ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สโมสรกีฬาราชประชา"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ยุทธนาสาระขันธ์ (คุย | ส่วนร่วม)
→‎ผู้เล่นชุดปัจจุบัน: ธนินท์ เกียรติเลิศธรรม, รณชัย รังสิโย ย้ายไปราชประชา
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
บรรทัด 148: บรรทัด 148:
{{Fs player |no=− | nat= Thailand | pos= FW | name= [[รณชัย รังสิโย]]}}
{{Fs player |no=− | nat= Thailand | pos= FW | name= [[รณชัย รังสิโย]]}}
{{Fs player|no=−|nat=THA|pos=DF|name=ธนินท์ เกียรติเลิศธรรม}}
{{Fs player|no=−|nat=THA|pos=DF|name=ธนินท์ เกียรติเลิศธรรม}}
{{Fs player|no=-|nat=THA|pos=DF|name=[[สุวรรณภัทร กิ่งแก้ว]]}}
{{Fs end}}
{{Fs end}}



รุ่นแก้ไขเมื่อ 22:35, 13 มิถุนายน 2563

ราชประชา เอฟซี
ไฟล์:Rajpracha LOGO.png
ชื่อเต็มสโมสรกีฬาราชประชา
ฉายาตราชฎา
ก่อตั้ง1968; 56 ปีที่แล้ว (1968)
(ในชื่อ ราชประชานุเคราะห์ดับเพลิง)
สนามลีโอ สเตเดียม
ความจุ11,000
เจ้าของบริษัท สโมสรกีฬาราชประชา จำกัด
ประธานพล.ท. ม.ล. สุปรีดี ประวิตร ไทย
ผู้อำนวยการสโมสรธนวิชญ์ ชัยภักดี ไทย
ผู้จัดการกิตินันท์ ศรีปราโมช ไทย
ผู้ฝึกสอนพัฒนพงษ์ ศรีปราโมช ไทย
ลีกไทยลีก 3 (โซนตอนล่าง)
2562อันดับ 12
เว็บไซต์เว็บไซต์สโมสร
สีชุดทีมเยือน

สโมสรกีฬาราชประชา เป็นสโมสรฟุตบอล ในประเทศไทย มีสำนักงานตั้งอยู่ที่แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันลงแข่งขันในระดับ ไทยลีก 3 โซนตอนล่าง โดยก่อตั้งในนาม ทีมราชประชานุเคราะห์ดับเพลิง ซึ่ง พล.ต.ต.ม.ร.ว.เจตจันทร์ ประวิตร เป็นผู้ก่อตั้ง

สโมสรกีฬาราชประชา ถือเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศไทย โดยเป็นสโมสรฟุตบอลที่สามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศ ไทยเอฟเอคัพ ได้เป็นสโมสรแรก และเป็นสโมสรที่ชนะเลิศการแข่งขันนี้มากที่สุดคือ 5 สมัย รวมถึงชนะเลิศ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ก. ได้ถึง 4 สมัย, ชนะเลิศ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ข. 1 สมัย, ชนะเลิศ ถ้วยพระราชทานควีนส์คัพ 2 สมัย และ ชนะเลิศ ลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 อีก 1 สมัย

นอกจากนี้ยังได้รับการยกย่องในด้านการสนับสนุนนักฟุตบอลระดับเยาวชน และถือเป็นสโมสรหนึ่งที่ผลิตนักฟุตบอลเข้าสู่สารระบบ ทีมชาติไทย มากที่สุดตลอดระยะเวลากว่า 40 ปี และยังได้รับการยกย่องว่าเป็นต้นแบบของฟุตบอลอาชีพในประเทศไทย เนื่องจากเป็นสโมสรฟุตบอลที่ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากหน่วยงานราชการหรือห้างร้านเอกชนเป็นสโมสรแรกของประเทศ

ประวัติสโมสร

ทีมฟุตบอลราชประชานุเคราะห์ดับเพลิง

สโมสรกีฬาราชประชา ก่อตั้งขึ้นอย่างไม่เป็นทางการเมื่อปี 2509 โดย พล.ต.ต.ม.ร.ว.เจตจันทร์ ประวิตร ผู้บังคับการตำรวจดับเพลิง (ในขณะนั้น) ในนาม ทีมฟุตบอลราชประชานุเคราะห์ดับเพลิง[1] โดยมีแนวคิดที่ว่ากีฬาเท่านั้นที่จะเบี่ยงเบนความสนใจด้านอบายมุขของเยาวชนได้ โดยเดิมนั้น มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ ได้จัดให้มีการอบรม ลูกเสือราชประชาฯ จึงได้เสริมกีฬาเข้าไปในหลักสูตรลูกเสือ โดยได้นำนักฟุตบอลในสมัยนั้นมาฝึกสอนฟุตบอลให้กับเด็กๆ โดยที่สโมสรเริ่มด้วยการเป็นทีมเยาวชนให้กับ สโมสรตำรวจ

ในปี 2511 สามารถชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนแห่งประเทศไทยเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร โดยมีนักฟุตบอล อย่าง ฉัตรชัย โชยะสิทธิ์, ทินกร แพทย์เจริญ, เชิดศักดิ์ ชัยบุตร, สหัส พรสวรรค์ เป็นต้น

ต่อมา สโมสร ลงทำแข่งขันอย่างเป็นทางการครั้งแรกในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2511 กับ สโมสรทหารอากาศ ในฟุตบอลการกุศลช่วยเหลือผู้ประสบวาตภัยที่แหลมตะลุมพุก จ.นครศรีธรรมราช สโมสร สามารถเอาชนะ สโมสรทหารอากาศ แชมป์ ถ้วย ก. ในขณะนั้น ไปได้ 1 - 0 โดยในงานนั้นเป็นครั้งแรกที่ เพลงสดุดีมหาราชา ได้ถูกบรรเลงและขับร้อง ต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรก[1]

และด้วยผลงานที่ประจักษ์ จึงทำให้ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เชิญ สโมสรราชประชาฯ ให้เข้าร่วมการแข่งขัน ถ้วยพระราชทานประเภท ก. โดยไม่ต้องเริ่มแข่งขันจาก ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ง. ซึ่งส่งผลให้ สโมสร ต้องแยกตัวมาบริหารจัดการเอง และไม่ขึ้นกับ สโมสรตำรวจ อีกต่อไป

สโมสรกีฬาราชประชานุเคราะห์

สโมสรฯ ลงทำการแข่งขัน ถ้วยพระราชทานประเภท ก. ในการแข่งขันประจำปี 2512 แต่ผลงานในปีแรกไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ต่อมาในปี 2513 สโมสรได้เป็นหนึ่งภาคีร่วมก่อตั้ง และแข่งขัน ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานควีนสคัพ แต่ผลงานในครั้งแรกไม่ดีนัก โดยตกรอบแรก ทำให้ประธานสโมสร อย่าง พล.ต.ต.ม.ร.ว.เจตจันทร์ แต่งตั้ง กุนเธ่อร์ กลอมบ์ โค้ชชาวเยอรมันตะวันตก เข้ามาเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน และได้เซ็นสัญญา เพ็ญพัฒน์ วงษ์สวรรค์ นักฟุตบอลชาวกัมพูชา ซึ่งเป็นนักฟุตบอลต่างชาติคนแรกของสโมสรฯ[1]

ถ้วยพระราชทานใบแรกของสโมสรและดับเบี้ลแชมป์

ไฟล์:Prapon2champ.jpg
ประพนธ์ ตันตริยานนท์ กับ ถ้วยพระราชทาน ก. และ ถ้วยพระราชทานควีนส์คัพ ของสโมสร ในปี 2515

ในปี 2514 สโมสรฯ เป็นสโมสรแรกในเมืองไทยที่มีการส่งผู้เล่นไปเก็บตัวฝึกซ้อมที่ต่างประเทศ เก็บตัวฝึกซ้อมที่เยอรมนีตะวันตก เป็นเวลาถึง 2 เดือน คือในช่วงในช่วง พฤศจิกายน-ธันวาคม ของปีนั้น ซึ่งทำให้สโมสรฯ สามารถชนะเลิศ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานประเภท ก. สมัยแรกของสโมสร ในการแข่งขันประจำปี 2515 และเป็นสโมสรแรก ที่ทำสถิติคว้าตำแหน่งชนะเลิศการแข่งขันได้ถึงสองใบ หรือ "ดับเบิลแชมป์" คือ คว้าตำแหน่งชนะเลิศ ถ้วยพระราชทานควีนส์คัพ ได้สำเร็จ ในเดือนตุลาคมปีเดียวกันโดยมีผู้ฝึกสอนคู่คือ กุนเธ่อร์ กลอมบ์ และ ยรรยง ณ หนองคาย

ซึ่งต่อมาเมื่อมีการแข่งขันนัดกระชับมิตรระหว่าง สโมสรซานโต๊ส ที่นำมาโดย เปเล่ กับ ทีมกรุงเทพ 11 ก็มีผู้เล่นของสโมสร ติดทีมชุดนี้ถึง 8 คน โดยมีผู้เล่นอย่าง ณรงค์ สังข์สุวรรณ, โรจนะ สมุนไพร, ไพรฤทธิ์ ผังดี, ประพนธ์ ตันตริยานนท์, วันชัย เหลืองไพฑูรย์, ประยูร เสชนะ, และ อาจินต์ พฤกษธรรมโกวิท[1]

สโมสรกีฬาราชประชา

ไฟล์:ราชประชานนทบุรี.png
ตราสัญลักษณ์ของสโมสรในยุคแรก

ต่อมาเมื่อเกิดวิกฤตการเมืองในปี พ.ศ. 2516 ซึ่งมีผลทำให้ พล.ต.ต.ม.ร.ว.เจตจันทร์ ต้องพ้นจากตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจดับเพลิงไปด้วย และนักฟุตบอลของสโมสรที่เป็นตำรวจ ต้องถูกสั่งย้ายไปรับราชการในที่ต่างๆกัน ทำให้สโมสรอยู่ในสภาวะวิกฤต ต่อมา เมื่อสถานการณ์ผ่านพ้น อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น (พล.ต.อ. ประเสริฐ รุจิรวงศ์) เข้าใจในสถานการณ์นี้ดี จึงอนุญาตให้นักฟุตบอลของสโมสร ย้ายกลับเข้าเขตนครบาล สืบเนื่องจากจุดนี้เอง ทำให้สโมสรไม่ส่งทีมเข้าร่วมแข่งขัน ควีนส์คัพ ครั้งที่ 2 แต่ก็ยังสามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศ ถ้วยพระราชทาน ก. ได้สองสมัยติดต่อกัน

ต่อมา กุนเธอร์ กลอมบ์ มีธุระส่วนตัว สโมสรจึงแต่งตั้ง ประวิทย์ ไชยสาม ขึ้นแทน พร้อมกับแยกตัวออกจาก มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ เพื่อความสะดวกในการบริหารงาน โดยเปลื่ยนชื่อเป็น สโมสรกีฬาราชประชา[1]

ทีมพัฒนาเยาวชน

ด้วยที่สโมสรฯ ประสบปัญหาขาดผู้เล่นทดแทน สโมสรจึงตัดสินใจสร้างทีมขึ้นใหม่ โดยได้จัดตั้ง ทีมมูลนิธิพัฒนาเยาวชน ขึ้นในปี 2517 โดยมีหลักการสำคัญคือ การฝึกฟุตบอลให้เยาวชนควบคู่ไปกับการศึกษา โดยนำเด็กจากต่างจังหวัดมาร่วมกินอยู่กับ นักฟุตบอลทีมชุดใหญ่ของสโมสรฯ และ ฝึกซ้อมร่วมกัน พร้อมๆ ไปกับการศึกษาในระดับปริญญาตรี โดยมีผู้เล่นสายเลือดใหม่ของสโมสรฯ ในยุคนี้ที่ถูกดันขึ้นมาได้แก่ วศิณ มาศพงษ์, ประพันธ์ เปรมศรี, ประพนธ์ พงษ์พานิช, วิทยา เลาหกุล, วรวรรณ ชิตะวณิช, สุทิน ไชยกิตติ, สุรัก ไชยกิตติ, มาด๊าด ทองท้วม เป็นต้น ซึ่งทีมชุดนี้ ได้ต่อยอดและประสบความสำเร็จด้วยการชนะเลิศ ไทยเอฟเอคัพ สมัยแรก เมื่อปี 2518 โดยมี ยรรยง ณ หนองคาย และ ประวิทย์ ไชยสาม เป็นผู้ฝึกสอนร่วมกันแทน กุนเธ่อร์ กลอมบ์ ที่ลาออกจากตำแหน่งเป็นการถาวร[1]

พ.ศ. 2520 - พ.ศ. 2529

ไฟล์:Sutin Tukumuda.jpg
สุทิน ไชยกิตติ กับ ถ้วยตูกูมูด้า คัพ ของสโมสร ในปี 2525

ราชประชาเสีย วิทยา เลาหกุล ที่ไปค้าแข้งที่ญี่ปุ่น แต่ก็ได้ผู้เล่นรุ่นใหม่มาเข้ามาเพิ่มอีกอาทิเช่น สมปอง นันทประภาศิลป์, ศักดริน ทองมี, สาธิต จึงสำราญ และประสบความสำเร็จสูงสุดในช่วงปี 2523-2525 คือชนะเลิศ ถ้วยพระราชทานประเภท ก. ประจำปี 2523 ชนะเลิศ ถ้วยพระราชทานควีนส์คัพ ในปี 2524 และได้แชมป์ ถ้วยพระราชทานประเภท ก. อีกครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน คือต้นปี 2525 นับเป็นครั้งที่ 2 ที่สโมสรสามารถนำถ้วยพระราชทานสูงสุดทั้ง 2 ใบ มาประดิษฐานควบคู่กันได้ ต่อมาสโมสรฯ จึงได้รับเชิญเข้าร่วมแข่งขัน ตูกูมูด้า คัพ และ ได้ตำแหน่งชนะเลิศ จึงทำสถิติเป็น "ทริปเปี้ลแชมป์" ครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร

ในปี 2527 ร.ท.ม.ล.สุปรีดี ประวิตร บุตรชาย ม.ร.ว.เจตจันทร์ ได้เข้ามามีบทบาทในสโมสรมากขึ้น และเป็นสโมสรแรกของประเทศที่มีผู้สนับสนุนสโมสรฯ ติดบนเสื้อแข่งขัน ซึ่งก็คือ สุราแม่โขง และได้มีการริเริ่มกิจกรรมเพื่อสังคมในนาม "ราชประชา แกรนด์ทัวร์" โดยได้รับการสนับสนุนจาก พรเทพ เตชะไพบูลย์ โดยเป็นโครงการที่นำทีมไปตระเวนแข่งขันกับทีมท้องถิ่นในจังหวัดต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชน ได้สัมผัสกับนักฟุตบอลระดับประเทศ

ในปี 2528 สโมสรฯ ประสบปัญหาทางการเงิน ทำให้จำเป็นต้องยุบ ทีมพัฒนาเยาวชน แต่ได้สร้างทีมน้องขึ้นมาใหม่ คือ สโมสรมูลนิธินวมราชานุสรณ์ แทน

ไฟล์:Rajpracha V MU.jpg
ราชประชา แข่งขันกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ปี 2529

ในปี 2529 สโมสรได้ลงแข่งนัดกระชับมิตร กับ สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นโอกาสที่ไม่ได้จะหาบ่อยนัก โดยราชประชาพ่ายไปแบบประทับใจคนไทย 2-0

พ.ศ. 2530 - พ.ศ. 2539

ราชประชาสูญเสียครั้งใหญ่เมื่อ ประวิทย์ ไชยสาม ถึงแก่อนิจกรรม จึงได้ดันนักเตะรุ่นใหญ่ของทีมอย่าง สุทิน และ สุรัก ไชยกิตติ ให้มาเป็นโค้ชแทน นักเตะรุ่นใหม่ของราชประชาในยุคนี้ได้แก่ สราวุธ สุขประเสริฐ, ยุทธนา พลศักดิ์, อนุพงษ์ พลศักดิ์, พัฒนพงษ์ ศรีปราโมช, พัทยา เปี่ยมคุ้ม, สมาน ดีสันเที๊ยะ, ทรงกลด หมื่นนุปิง, อิริค ไชยสงคราม นักเตะราชประชาชุดนี้สามารถคว้าแชมป์ ยูคอมเอฟเอ คัพ ได้ในปี 2535 และ 2537

ต่อมาสโมสรฯ เจรจากับ ยูคอม เพื่อมาเป็นสปอนเซอร์หลักภายใต้นาม สโมสรยูคอมราชประชา และสโมสรฯ ได้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กองหน้า ทีมชาติไทยชุดดรีมทีม จาก สโมสรธนาคารกรุงไทย ในราคา 300,000 บาท รวมไปถึงผู้เล่นอย่าง รุ่งเพชร เจริญวงศ์, วิฑูรย์ ถาวรหมื่น, ชูเกียรติ หนูสลุง, บทชาย พ้นยาก, สุชิน พันธุ์ประภาส เป็นต้น[1]

ด้านการพัฒนาเยาวชน สโมสรฯ ได้ดาวรุ่งอย่าง อภิเชษฐ์ พุฒตาล, กฤษณ์ ธนามี และ พิพัฒน์ ต้นกันยา มาร่วมทีมแต่ก็ไม่สามารถสอดแทรกตำแน่งตัวจริงของรุ่นพี่ได้ ด้านผลงานในช่วงเวลานี้ ส่วนมากมักจะเป็นรองชนะเลิศเสียเป็นส่วนใหญ่

ตกชั้นเป็นครั้งแรก

ไฟล์:Rajpracha 1998.jpg
สโมสรราชประชา ไทยลีก 2541

ใน ไทยลีก 2541 สโมสรทำผลงานได้ไม่ดีนัก และด้วยถูกโปรแกรมการฝึกซ้อมของทีมชาติรบกวนตลอดฤดูกาล ทำให้สโมสรฯ ต้องตกชั้นจากลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ต่อมาสโมสรฯ ลงเล่นในระดับ ดิวิชั่น 1 โดยมี อดีตผู้เล่นของสโมสรฯ อย่าง ทินกร แพทย์เจริญ เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน และได้ลงทำการแข่งขันที่ สนามราชประชา สปอร์ต รีสอร์ท เป็นสนามเหย้า เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสโมสร[1] แต่ในฤดูกาล 2542 สโมสรทำได้ดีที่สุดแค่อันดับ 3 และได้รองชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลถ้วย ทั้ง ไทยเอฟเอคัพ และ ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน ควีนสคัพ

พ.ศ. 2543 - พ.ศ. 2548

ต่อมาในปี 2543 ได้มีการแต่งตั้ง ประพันธ์ เปรมศรี อดีตผู้เล่นของสโมสรฯ เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน และในปีนี้เอง สโมสรได้ตำแหน่ง รองชนะเลิศฟุตบอลเยาวชนควีนส์คัพ และได้มีการร่วมมือกับ โรงเรียนพณิชยการราชดำเนิน ในการส่งผู้เล่นของโรงเรียนมาเล่นให้กับสโมสรฯ โดยในยุคนี้มีผู้เล่น ได้แก่ พิพัฒน์ ต้นกันยา, อภิเชษฐ์ พุฒตาล, สถิติ แพงมา, ไพรัช ทับเกตุแก้ว, อนุชา กิจพงษ์ศรี, ดัสกร ทองเหลา, ยุทธจักร ก้อนจันทร์ เป็นต้น แต่กระนั้นก็ไม่สามารถพาทีมกลับขึ้นไปเล่นไทยลีกได้

ปี 2544 สโมสรฯ ได้เซ้นสัญญาร่วมกับ บริษัท เสริมสุข จำกัด ในการร่วมกันบริหารสโมสร โดยใช้ชื่อว่า สโมสรเป๊ปซี่-ราชประชา ต่อมาสัญญาระหว่างสโมสรฯ กับทาง โรงเรียนพณิชยการราชดำเนิน สิ้นสุดลง ทำให้ผู้เล่นหลายราย ย้ายออกไปเล่นให้กับ สโมสรบีอีซี เทโรศาสน แต่ก็ยังได้ผู้เล่นอย่าง ยุทธจักร ก้อนจันทร์, เอกลักษณ์ ทองกริต เป็นต้น จากการเปิดคัดตัวนักเตะจากภาคอีสาน[1]

แต่การเสียผู้เล่นตัวหลัก นี่เอง ทำให้สโมสรฯ ผลงานไม่ จนต้องตกชั้นจากดิวิชั่น 1 ใน ฤดูกาล 2545/46

พ.ศ. 2549 - พ.ศ. 2552

ในปี พ.ศ. 2549 สโมสรฯ ได้มีการเปลื่ยนแปลงครั้งสำคัญ กิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตผู้อำนวยการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รับอาสาเข้ามาบริหารสโมสรแทน และได้นำเพื่อนสนิทอย่าง ณรงค์วิทย์ อุ่นแสงจันทร์ และ สุชาติ อินทรลักษณ์ มาร่วมทำทีมด้วย ราชประชาชุดใหม่นี้ประกอบนักเตะเยาวชนจากโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี อาทิเช่น ธีรศิลป์ แดงดา, รณชัย รังสิโย, วิสูตร บุญเป็ง, นฤพล อรมณ์สวะ, กวิน ธรรมสัจจานันท์, ธีราทร บุญมาทัน, นิรันดร์ พันทอง

ต่อมา ต้นปี พ.ศ. 2550 พล.ต.ต.ม.ร.ว.เจตจันทร์ ประวิตร ผู้ก่อตั้งสโมสรและอดีตประธานสโมสร ถึงแก่อนิจกรรม แต่สโมสรก็ต้องเดินหน้าต่อด้วยผู้นำรุ่นต่อไปอย่าง พล.ต.ม.ล.สุปรีดี ประวิตร และ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ราชประชาเริ่มกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งด้วยการคว้าแชมป์ ถ้วยพระราชทานประเภท ข. ในปี พ.ศ. 2551 (แต่เป็นการแข่งขันของฤดูกาล 2550) ทำได้สิทธิ์ขึ้นไปเล่น ดิวิชั่น 2[2]

ไฟล์:Rajpracha Champion D2.jpg
สโมสรราชประชานนทบุรี ดิวิชั่น 2 2552

ในปี 2552 ราชประชาจับมือกับ อบจ.นนทบุรี ภายใต้ชื่อใหม่ว่า สโมสรกีฬาราชประชานนทบุรี พร้อมใช้ สนามกีฬากลางจังหวัดนนทบุรี เป็นสนามเหย้า โดยสโมสรฯ ประสบความสำเร็จ ชนะเลิศ ดิวิชั่น 2 ลีกภูมิภาค ได้อย่างเหลือเชื่อ เนื่องจากเป็นผู้ตามหลังเชียงราย ยูไนเต็ด มาตลอดในรอบมินิลีก นักเตะหลักที่เพิ่มมาจากชุดแชมป์ ถ้วย ข. ได้แก่ สุริยา กุพะลัง, กรพรหม จรูญพงศ์, ประกิต ดีพร้อม, โชคดี อินทรลักษณ์, ตามีซี หะยียูโซ๊ะ, เยน เอมิเล่, ดาวุด้า วูลัมป้า, สุภัทร อ้นทอง, ชูศักดิ์ สุวรรณา

พ.ศ. 2555 - พ.ศ. 2560

สโมสรฯ ลงทำการแข่งขันในระดับ ดิวิชั่น 1 มาจน ฤดูกาล 2555 ก็ต้องมีอันตกชั้นลงไปแข่งขัน ดิวิชั่น 2

ปี 2556 สโมสรฯ ได้ร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี โดยใช้ผู้เล่นจากมหาวิทยาลัย เป็นหลักในการแข่งขันดิวิชั่น 2 โซนกรุงเทพตะวันตก

ต่อมา เมื่อ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ มีนโยบายในการตั้งลีกใหม่ โดยนำอันดับที่ 1-4 ของตารางในแต่ละโซน ใน ดิวิชั่น 2 ฤดูกาล 2559 เลื่อนชั้น สโมสรฯ จบฤดูกาลด้วยตำแหน่งชนะเลิศของโซนกรุงเทพฯตะวันออก จึงได้สิทธิ์เลื่อนชั้นโดยอัตโนมัติ และ เข้ารอบแชมป์เปี้ยนลีกอีกด้วย ก่อนที่ในรอบแชมป์เปี้ยนลีก สโมสรฯจะแพ้ ให้กับ สโมสรมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แต่ก็ยังได้เลื่อนชั้นสู่ ไทยลีก 3 ฤดูกาล 2560 และจบฤดูกาลในอันดับ 14

สำหรับผลงานในฤดูกาลอื่นๆนั้น ไทยลีก 3 ฤดูกาล 2561 สโมสรฯ จบฤดูกาลในอันดับ 13 ส่วนใน ไทยลีก 3 ฤดูกาล 2562 สโมสรฯ จบฤดูกาลในอันดับ 12

ผู้เล่นชุดปัจจุบัน

หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ

เลข ตำแหน่ง สัญชาติ ผู้เล่น
3 DF ไทย คีรอน อ้อนชัยภูมิ
5 DF ไทย อลงกต ชันแสง
6 DF ไทย พิษณุ ทาติด
7 MF ไทย จักรินทร์ อินทจักร์
8 MF ไทย ทศวรรษ พิทาดำ
9 FW เยอรมนี George Kelbel
11 FW ไทย ศุภกิจ ประทุมศิริ
13 FW ไทย เฉลิมชัย เทียนแก้ว
14 MF ไทย วิสุทธิ์ วงคะสุ่ม
15 FW ญี่ปุ่น Yuki Nohara
16 DF ไทย ปริญญา จันทร์ส่อง
17 FW ไทย ธเนศ จันทร์แก้ว
18 GK ไทย กิตติพงศ์ วงษ์ผาบ
19 MF ไทย จิตรกรณ์ วอนิล
21 MF ไทย รัชภาคย์ ดวงฟ้า
23 MF ไทย ฟูตินันท์ นิวาส
เลข ตำแหน่ง สัญชาติ ผู้เล่น
26 DF ไทย ผดุงเกียรติ วิริยะธนกิตติ์
27 DF ไทย ชัยยุทธ คู่มงคลชัย
28 MF ไทย นัฐพล แซมทอง
29 MF ไทย ศิริพงษ์ พันธ์ดี
30 DF ไทย ฉัตรชัย ชัยมาลา
32 DF ไทย อลงกรณ์ ประทุมวงศ์
33 FW ไทย ธนายุต บุญมีฤทธิ์
35 GK ไทย วิทยา วงษ์เอี่ยม
37 MF ไทย วชิระ แจ่มสกุล
39 DF ไทย พงษ์ดนัย บุญกอ
40 MF ไนจีเรีย Onyemelukwe Okechukwu
MF ไทย ศุภเสกข์ ไก่แก้ว
DF ไทย สมยศ พงษ์สุวรรณ
DF ไทย ปิยะชนก ดาฤทธิ์
FW ไทย รณชัย รังสิโย
DF ไทย ธนินท์ เกียรติเลิศธรรม
- DF ไทย สุวรรณภัทร กิ่งแก้ว

ผลงาน

ผลงานที่ดีสุดในระดับเอเชีย

  • เอเชียนคัพวินเนอร์คัพ - รอบ 2 (ฤดูกาล 1995/96)
  • ตูกูมูด้าคัพ (อินโดนีเซีย) - ชนะเลิศ 2 ครั้ง - 2525, 2527
  • โบโดรอยด์ โทรฟี่ อินเดีย - รองชนะเลิศ 2544

สโมสรพันธมิตร

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 1.6 1.7 1.8 http://www.rajprachafc.com:80/aboutrajpracha.php ประวัติสโมสร - สโมสรกีฬาราชประชา
  2. http://football.rajpracha.com:80/news/newsarticle.asp?newsID=29 ตราชฎาซัดโทษดับเกษมบัณฑิตแชมป์ถ้วยข. - สโมสรกีฬาราชประชา
  3. "ราชประชา" หวังเลื่อนชั้นสู่ไทยลีก 2 หลังเป็นพันธมิตร "บีจี"

แหล่งข้อมูลอื่น