ข้ามไปเนื้อหา

ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Patseaza (คุย | ส่วนร่วม)
Punpun2545 (คุย | ส่วนร่วม)
ประวัติความกาก
บรรทัด 59: บรรทัด 59:
ลิเวอร์พูลมีการแข่งขันที่ยาวนานกับสโมสรเพื่อนบ้านอย่าง [[เอฟเวอร์ตัน]]และ[[แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด]] ลิเวอร์พูลเปลี่ยนจากเสื้อสีแดงและกางเกงขาสั้นสีขาวเป็นสีแดงเต็มตัวเมื่อเล่นเป็นทีมเหย้าในปี ค.ศ. 1964 มีฉายาในภาษาไทยว่า "หงส์แดง" พร้อมด้วยคำขวัญ "You'll Never Walk Alone"
ลิเวอร์พูลมีการแข่งขันที่ยาวนานกับสโมสรเพื่อนบ้านอย่าง [[เอฟเวอร์ตัน]]และ[[แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด]] ลิเวอร์พูลเปลี่ยนจากเสื้อสีแดงและกางเกงขาสั้นสีขาวเป็นสีแดงเต็มตัวเมื่อเล่นเป็นทีมเหย้าในปี ค.ศ. 1964 มีฉายาในภาษาไทยว่า "หงส์แดง" พร้อมด้วยคำขวัญ "You'll Never Walk Alone"


2013-2014 สตีเว่น เจอร์ราร์ด หรือ"เดอะลื่น" ได้ลื่นต่อหน้าแฟนบอลลิเวอร์พูลในแอนฟิลด์ ในนัดที่ชี้ชะตาแชมป์ ทำให้ลิเวอร์พูลว่าวแชมป์ลีกในปีนั้นไป กะโหลกจริงๆ
== ประวัติสโมสร ==
[[ไฟล์:John Houlding.jpg|thumb|upright|จอห์น โฮลดิง ผู้ก่อตั้งสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล]]
จอห์น โฮลดิง นักธุรกิจชาวเมือง[[ลิเวอร์พูล]]ได้เช่าพื้นที่บริเวณ แอนฟีลด์ โรด เพื่อใช้สร้างสนามฟุตบอล และเมื่อสร้างเสร็จได้ให้[[สโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน|เอฟเวอร์ตัน]] เช่าเป็นสนามแข่ง และเมื่อทีมเอฟเวอร์ตันได้เข้าสู่สมาชิกฟุตบอลลีก จอห์น โฮลดิง พยายามจะเข้าไปบริหารงานในทีมเอฟเวอร์ตันและได้เพิ่มค่าเช่าสนามที่ทีมได้เช่าอยู่ ฝ่ายกลุ่มบริหารของเอฟเวอร์ตันจึงยกเลิกสัญญาเช่าสนาม และทีมเอฟเวอร์ตันได้ย้ายสนามไปอีกฝากของสวนสาธารณะ สแตนลีย์พาร์ค เพื่อไปสร้างสนามเป็นของตัวเองโดยใช้ชื่อสนามว่า [[กูดิสันพาร์ค]] ดังนั้น จอห์น โฮลดิง จึงต้องการสร้างทีมฟุตบอลขึ้นมา และ จอห์น โฮลดิง จึงไปชวนเพื่อนสนิทของเขาชื่อ [[จอห์น แมคเคนน่า]] มาทำหน้าที่ประธานสโมสรและได้ตั้งชื่อทีมฟุตบอลนี้ว่า Liverpool Football Club

[[ไฟล์:Shankly statue out front.jpg|thumb|left|upright|รูปปั้น [[บิลล์ แชงคลี]] ด้านนอก [[แอนฟีลด์]] โดยแชงคลีพาทีมเลื่อนชั้นและคว้าแชมป์ดิวิชันหนึ่งได้สำเร็จตั้งแต่ปี ค.ศ. 1947]]
หลังจากที่สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งได้ไม่นาน ได้จัดการแข่งขัดนัดอุ่นเครื่อง ซึ่งเป็นการลงสนามนัดแรกของทีมลิเวอร์พูลกับทีมร็อตเตอร์แฮม ซึ่งผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมลิเวอร์พูลชนะไปด้วยผลการแข่งขัน 7-1 และลิเวอร์พูล ได้ลงแข่งขันฟุตบอลลีกของแคว้น แลงคาเชียร์ ปรากฏว่าลิเวอร์พูลลงแข่งทั้งหมด 22 นัด ชนะ 17 นัด และได้แชมป์ไปครอง ส่งผลให้ทางสโมสรสามารถสมัครเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกซึ่งได้รับการยอมรับและถูกคัดเลือกให้ลงเล่นในดีวิชั่น 2 ในฤดูกาล 1893-1894 สโมสรจึงได้เลือกสัญลักษณ์ของทีมเป็น นกลิเวอร์เบิร์ด (Liverbird) ซึ่งเป็นนกแถบทะเลไอริช บริเวณแม่น้ำเมอร์ซีย์ โดยที่ปากนกคาบใบไม้ไว้ ทีมลิเวอร์พูลได้ลงทำการแข่งขันอย่างเป็นทางในฟุตบอลลีก ดิวิชั่น 2 ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1893 โดยทีมลิเวอร์พูลออกไปเยือนทีม[[มิดเดิลสโบรซ์]] ไอโรโนโปลิส และทีมลิเวอร์พูลสามารถได้แชมป์มาครองโดยที่ไม่แพ้ทีมใดเลยตลอดทั้งฤดูกาล (ทั้งหมด 28 นัด) แต่การคว้าแชมป์ลีก[[ดิวิชั่น 2]] ในตอนนั้นยังไม่ได้เลื่อนชั้นโดยทันที ต้องไปแข่งนัดชิงดำกับทีมอันดับสองก่อน โดยทีมอันดับสองในขณะนั้นคือ ทีม[[แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด|นิวตัน ฮีธ]] (ทีม[[แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด]] ในปัจจุบัน) และลงแข่งขันที่สนามของทีมแบล็คเบิร์น ซึ่งทีมลิเวอร์พูลเอาชนะทีมนิวตัน ฮีธไปด้วยผล 2-0 และได้เลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 ในที่สุด

สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งเมื่อ [[พ.ศ. 2435]] และก้าวขึ้นมาเป็นสโมสรแนวหน้าของอังกฤษอย่างรวดเร็วจนประสบความสำเร็จเป็นแชมป์ลีกสูงสุดชองประเทศครั้งแรกในปี [[พ.ศ. 2444]] (ฤดูกาล 1900/01) และครั้งที่สองในปี [[พ.ศ. 2449]] (ฤดูกาล 1905/06) ครั้งที่ 3 และ 4 เป็นแชมป์สองฤดูกาลติดใน [[พ.ศ. 2465]] กับ [[พ.ศ. 2466]] (ฤดูกาล 1921/22 กับ 1922/23) แชมป์ลีกสูงสุดครั้งที่ 5 คือปี [[พ.ศ. 2490]] (ฤดูกาล 1946/47) อย่างไรก็ตามลิเวอร์พูลพบกับช่วงตกต่ำต้องไปเล่นในในดิวิชัน 2 ใน [[พ.ศ. 2497]] (ฤดูกาล 1953/54) ภายหลังจึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสโมสรในปี [[พ.ศ. 2502]] สโมสรได้แต่งตั้ง [[บิลล์ แชงก์คลี]] เป็นผู้จัดการทีม เขาได้เปลี่ยนแปลงทีมไปอย่างมาก จนประสบความสำเร็จได้เลื่อนชั้นในปี [[พ.ศ. 2505]] (ฤดูกาล 1961/62) และได้แชมป์ลีกสูงสุดของประเทศอีกครั้งใน [[พ.ศ. 2507]] (ฤดูกาล 1963/64) หลังจากรอคอยมานานถึง 17 ปี บิล แชงก์ลี คว้าแชมป์[[เอฟเอคัพ]]เป็นถ้วยแรกของสโมสรลิเวอร์พูลในปี [[พ.ศ. 2508]] (ฤดูกาล 1964/65) และคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 อีกครั้งในฤดูกาลต่อมา [[พ.ศ. 2509]] (ฤดูกาล 1965/66) ความสำเร็จของแชงก์ลียังเดินหน้าต่อไป เมื่อลิเวอร์พูลคว้าแชมป์[[ยูฟ่าคัพ]] พร้อมแชมป์ดิวิชั่น 1 ใน [[พ.ศ. 2516]] (ฤดูกาล 1972/73) และ[[เอฟเอคัพ]] อีกครั้งใน [[พ.ศ. 2517]] (ฤดูกาล 1973/74) หลังจากนั้น บิลล์ แชงก์คลี ขอวางมือจากสโมสร โดยให้ผู้ช่วยของเขาสืบทอดตำแหน่ง ผู้จัดการทีมแทน นั่นคือ [[บ็อบ เพสส์ลี]]

[[ไฟล์:Hillsborough Memorial, Anfield.jpg|thumb|upright|ป้ายอนุสรณ์จารึกชื่อและอายุผู้เสียชีวิตจาก[[ภัยพิบัติฮิลส์โบโร]]ทั้งหมด 96 คน]]
สโมสรต้องประสบกับความซบเซาในช่วงหนึ่งหลังจากได้แชมป์ลีกสูงสุดในปี [[พ.ศ. 2533]] คือได้เพียง[[เอฟเอคัพ]] 1 ใบ ปี [[พ.ศ. 2535]] กับ[[ลีกคัพ]] 1 ใบในปี [[พ.ศ. 2538]] แต่ก็ฟื้นฟูขึ้นมาได้เมื่อพวกเขาสามารถคว้าแชมป์บอลถ้วยทั้งในระดับประเทศและระดับทวีปถึง 3 แชมป์ (คาร์ลิ่ง [[ลีกคัพ]], [[เอฟเอคัพ]] รวมทั้ง[[ยูฟ่าคัพ]]) ได้ในปี [[พ.ศ. 2544]] (ฤดูกาล 2000/01) ในปี 2544 นี้ลิเวอร์พูลยังคว้าถ้วย[[ยูฟ่าซูเปอร์คัพ]] ที่เอาชนะ [[บาเยิร์น มิวนิค]] แชมป์[[ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก]] ในปีนั้น รวมทั้งเอาชนะ [[สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด|แมนฯ ยูไนเต็ด]] คู่ปรับตัวฉกาจในถ้วย[[ชาริตีชีลด์]] ก่อนเปิดฤดูกาล[[พรีเมียร์ลีก]]เป็นปีที่หอมหวานปีหนึ่งของกองเชียร์ลิเวอร์พูล นักเตะสำคัญยุคนั้นได้แก่ [[ไมเคิล โอเวน]], [[เอมิล เฮสกี]], [[สตีเวน เจอร์ราร์ด]], [[ซามี ฮูเปีย]] และ [[ยอร์น อาร์เน รีเซ]] เป็นต้น ทีมชุดนี้ผู้จัดการทีมคือ [[เฌราร์ อูลีเย]] ชาวฝรั่งเศส ผลงานเป็นชิ้นเป็นอันส่งท้ายของอูลีเยคือ การนำทีมลิเวอร์พูลชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 2-0 ในนัดชิงฟุตบอล[[ลีกคัพ]] พ.ศ. 2546 (ฤดูกาล 2002/03) และแชมป์ที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งของลิเวอร์พูลคือปี 2548 ชนะในศึก[[ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก]] เป็นครั้งที่ 5 ของสโมสร ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ตื่นตาตื่นใจครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์บอลยุโรป เมื่อลิเวอร์พูลไล่ตีเสมอทีม [[เอซี มิลาน]] เป็น 3-3 ทั้งที่โดนยิงนำไปก่อนถึง 3-0 และในที่สุดคว้าแชมป์มาได้จากการยิง[[จุดโทษ]]ชนะ 3-2 เป็นทีมจากอังกฤษที่ครองถ้วย[[ยูโรเปียนคัพ]] (ปัจจุบันคือ [[ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก]]) มากครั้งที่สุดถึง 5 สมัย ผู้เล่นที่สำคัญในยุคนั้น อาทิ [[สตีเวน เจอร์ราร์ด]], [[ชาบี อาลอนโซ]], [[ดีทมา ฮามันน์]], [[วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์]], [[เจอร์ซี ดูเด็ค]] และ [[เจมี คาร์ราเกอร์]] คุมทัพโดย ผู้จัดการทีมสัญชาติสเปน [[ราฟาเอล เบนิเตซ]] ในฤดูกาลต่อมา [[พ.ศ. 2549]] (ฤดูกาล 2005/06) ลิเวอร์พูลของเบนิเตซทำให้แฟนบอลต้องลุ้นอีกครั้ง ในนัดชิง[[เอฟเอคัพ]] เมื่อต้องอาศัยลูกยิงมหัศจรรย์ของ [[สตีเวน เจอร์ราร์ด]] ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บตีเสมอทีม [[เวสต์แฮม ยูไนเต็ด]] คู่ชิงแชมป์ในปีนั้นทำให้เสมอกันที่ 3-3 ต้องตัดสินแชมป์ด้วยการยิง[[จุดโทษ]]อีกครั้ง และลิเวอร์พูลก็สามารถชนะไปได้ 3-1 เป็นแชมป์สำคัญรายการล่าสุดที่ลิเวอร์พูลทำได้ แต่รายการที่แฟนบอลต้องการมากที่สุดคือแชมป์ลีกของประเทศ หรือ[[พรีเมียร์ลีก]]ในปัจจุบัน ซึ่งปีล่าสุดที่ลิเวอร์พูลคว้ามาได้คือ [[พ.ศ. 2533]] (ฤดูกาล 1989/90) จากการคุมทีมของ [[เคนนี ดัลกลิช]] ซึ่งต่อมาภายหลังดัลกลิชสามารถนำ [[แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส]] คว้าแชมป์[[พรีเมียร์ลีก]] ได้ในปี [[พ.ศ. 2538]] (ฤดูกาล 1994/95)

[[ไฟล์:2005 trophy cropped.jpg|thumb|left|upright|ถ้วย [[ยูโรเปียนคัพ]] สมัยที่ 5 เมื่อปี ค.ศ. 2005]]
ในฤดูกาล 2009-10 ลิเวอร์พูลจบที่อันดับที่ 7 ใน[[พรีเมียร์ลีก]] ซึ่งทำให้ไม่ได้ไปแข่งขันในรายการ [[ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก]] ทำให้ [[ราฟาเอล เบนิเตซ]] ต้องลาออกจากตำแหน่งด้วยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย<ref>{{cite news|url=http://www.telegraph.co.uk/sport/football/leagues/premierleague/liverpool/7801223/Rafael-Benitez-leaves-Liverpool-club-statement.html|title=Rafael Benitez leaves Liverpool: club statement|date=3 June 2010|work=The Daily Telegraph|accessdate=3 June 2010}}</ref> และแทนที่โดย [[รอย ฮอดจ์สัน]] อดีตผู้จัดการทีม [[สโมสรฟุตบอลฟูลัม|สโมสรฟูแลม]]<ref>{{cite web|url=http://www.liverpoolfc.tv/news/latest-news/liverpool-appoint-hodgson |title=Liverpool appoint Hodgson |publisher=Liverpool F.C |date=1 July 2010 |accessdate=11 August 2010 }}</ref>
ในช่วงเริ่มต้นฤดูกาล 2010–11 สโมสรลิเวอร์พูลนั้นเสี่ยงต่อการล้มละลาย เนื่องจากแบกรับหนี้สินเป็นจำนวนมากจากการทำงานของ จอร์จ ยิลเลตต์ และ ทอม ฮิกส์ ทำให้ต้องขายสโมสร ต่อมา [[จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี]] เจ้าของทีม บอสตัน เรด ซ็อกซ์และนิว อิงแลนด์ สปอร์ตส์ เวนเจอร์ส ได้ซื้อสโมสรลิเวอร์พูล เมื่อตุลาคม 2010<ref>{{cite news|url=http://www.guardian.co.uk/football/2010/oct/15/liverpool-fc-get-new-owner|title=Liverpool FC finally has a new owner after 'win on penalties'|date=15 October 2010|accessdate=7 November 2010|work=The Guardian|first=Owen|last=Gibson}}</ref> ผลการแข่งขันที่ย่ำแย่ในช่วงต้นฤดูกาล ทำให้ฮอดจ์สันลาออกจากตำแหน่ง โดยมี [[เคนนี ดัลกลิช]] กลับมาคุมทีมอีกครั้ง<ref>{{cite news|url=http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/teams/l/liverpool/9350630.stm |title=Roy Hodgson exits and Kenny Dalglish takes over |publisher=BBC Sport |date=8 January 2011 |accessdate=22 April 2011 }}</ref>โดยในฤดูกาล 2011-12 สามารถคว้าแชมป์ในรายการ [[คาร์ลิงคัพ]] ได้สำเร็จเป็นสมัยที่แปดจากการยิง[[จุดโทษ]]ตัดสินชนะ [[สโมสรฟุตบอลคาร์ดิฟฟ์ซิตี|คาร์ดิฟฟ์ซีตี]] ผลประตูรวม 3-2<ref>{{cite news|url=http://www.manager.co.th/Sport/ViewNews.aspx?NewsID=9550000025942 |title=“หงส์” แม่นลูกโทษ ดับคาร์ดิฟฟ์ซิวลีกคัพ |publisher=ASTVผู้จัดการออนไลน์ |date=27 กุมภาพันธ์ 2555 |accessdate=27 กุมภาพันธ์ 2555 }}</ref> ในฤดูกาล 2011-12 ลิเวอร์พูลจบที่อันดับที่ 8 ซึ่งเป็นการจบอันดับที่แย่ที่สุดในรอบ 18 ปี<ref>{{cite news| url=http://www.bloomberg.com/news/2012-05-16/liverpool-manager-dalglish-fired-after-worst-finish-in-18-years.html | work=Bloomberg | first1=Bob | last1=Bensch | first2=Tariq | last2=Panja | title=Liverpool Fires Dalglish After Worst League Finish in 18 Years | date=16 May 2012}}</ref> ทางสโมสรก็ได้ปลดดัลกลิชออกจากตำแหน่ง<ref>{{cite web|author=Mike Ingham |url=http://www.bbc.co.uk/sport/0/football/18073446 |title=Kenny Dalglish sacked as Liverpool manager |publisher=BBC |date=16 May 2012 |accessdate=10 June 2012}}</ref><ref>[http://www.manager.co.th/Sport/ViewNews.aspx?NewsID=9550000060610 ประมวลภาพ "คิงเคนนี" วันแรกถึงวันลา จาก[[ผู้จัดการออนไลน์]]]</ref> เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ทางสโมสรได้ประกาศแต่งตั้ง [[เบรนดัน ร็อดเจอส์]] อดีตผู้จัดการทีม[[สโมสรฟุตบอลสวอนซีซิตี|สวอนซีซิตี]] เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่<ref>{{cite web|author=20:43 GMT |url=http://www.bbc.co.uk/sport/0/football/18294032 |title=BBC Sport - Liverpool manager Brendan Rodgers to 'fight for his life' |publisher=bbc.co.uk |date=1 June 2012 |accessdate=10 June 2012}}</ref>

ใน[[พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2013–14|ฤดูกาล 2013-14]] ลิเวอร์พูลมีโอกาสสูงที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยในช่วงท้ายฤดูกาลสามารถทำสถิติชนะรวดติดต่อกันมากถึง 11 นัด และ[[ลุยส์ ซัวเรซ]] กองหน้าของทีมก็เป็นผู้เล่นที่ยิงประตูได้สูงสุงของลีก ทำให้เป็นทีมมีคะแนนเป็นอันดับหนึ่งของตารางคะแนน แต่ทว่าในช่วงสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนสิ้นสุดฤดูกาล ลิเวอร์พูลไปแพ้ต่อ [[สโมสรฟุตบอลเชลซี|เชลซี]] และเสมอต่อ [[สโมสรฟุตบอลคริสตัลพาเลซ|คริสตัลพาเลซ]] ทำให้[[แมนเชสเตอร์ซิตี]] ซึ่งเป็นทีมที่มีคะแนนเป็นอันดับสอง แต่แข่งน้อยกว่าหนึ่งนัด สามารถแซงหน้าและได้แชมป์ไปในที่สุด ด้วยคะแนน 86 คะแนน ขณะที่ลิเวอร์พูลทำได้ 84 คะแนน จบฤดูกาลลงด้วยอันดับที่สอง<ref>{{cite web|url=http://sport.sanook.com/1506924/10-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%A5-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B9%8C%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%81-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%991/|title=10 เหตุผลที่ ลิเวอร์พูล ควรเป็นแชมป์พรีเมียร์ ลีก (ตอน1)|date=7 March 2014|accessdate=12 May 2014|publisher=สนุกดอตคอม}}</ref> <ref>{{cite web|url=http://sports.th.msn.com/football/photo/%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A4%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5-2013-14-1#image=28|title=ทอปสตอรี่! ที่สุดของพรีเมียร์ลีกแห่งฤดูกาล 2013-14|date=19 May 2014|accessdate=19 May 2014|publisher=เอ็มเอสเอ็น}}</ref><ref>หน้า 17 ต่อ 19 กีฬา, ''เรือใบแชมป์'พรีเมียร์ลีก'''. '''เดลินิวส์'''ฉบับที่ 23,587: วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเมีย</ref> และได้กลับไปแข่งขันในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอีกครั้ง โดยยิงประตูไป 101 ลูก นับเป็นการยิงประตูมากที่สุด นับตั้งแต่ฤดูกาล 1895–96 ที่ยิงประตูไป 106 ลูก<ref>{{cite news|last1=Ornstein|first1=David|title=Liverpool: Premier League near-miss offers hope for the future|url=http://www.bbc.co.uk/sport/0/football/27367934|accessdate=7 August 2014|work=BBC Sport|publisher=BBC|date=12 May 2014}}</ref><ref name="goals">{{cite web|url=http://www.liverpoolfc.com/history/records/goals |title=Goals |publisher=Liverpool F.C |accessdate=27 August 2012 }}</ref> หลังผลงานน่าผิดหวังในฤดูกาล 2014-15 ทำให้ลิเวอร์พูลจบอันดับที่ 6 ในลีกพร้อมกับเริ่มต้นฤดูกาล 2015-16 ที่ย่ำแย่ ทำให้ [[เบรนดัน ร็อดเจอส์]] ถูกไล่ออกเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2015<ref>{{cite news|url=http://www.bbc.com/sport/0/football/34423344 |title=Brendan Rodgers: Liverpool boss sacked after Merseyside derby |publisher=BBC Sport |date=4 October 2015 |accessdate=10 October 2015 }}</ref> โดยมี [[เยือร์เกิน คลอพพ์]] มาแทน<ref>{{cite news|last1=Smith|first1=Ben|title=Liverpool: Jurgen Klopp confirmed as manager on £15m Anfield deal|url=http://www.bbc.com/sport/0/football/34469429|accessdate=10 October 2015|work=BBC Sport|publisher=BBC|date=8 October 2015}}</ref> โดยเป็นผู้จัดการทีมคนที่สามที่เป็นชาวต่างชาติในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล<ref>{{cite news|url=http://www.westerndailypress.co.uk/Liverpool-s-foreign-managers-Jurgen-Klopp-club-s/story-27952550-detail/story.html |title=Liverpool's foreign managers&nbsp;– as Jurgen Klopp becomes the club's third in its history |publisher=Western Daily Press |date=9 October 2015 |accessdate=10 October 2015 }}</ref>
{{clear}}
<center>
<gallery caption="ประวัติตราสโมสร" widths="100px" heights="100px">
ไฟล์:Liverpool FC crest (1950).png| (1950-55)
ไฟล์:Liverpool FC crest (1955-68).png| (1955-68)
ไฟล์:Liverpool FC crest (1968-87).png| (1968-87)
ไฟล์:Liverpool FC crest (1987-92).png| (1987-92)
ไฟล์:Liverpool FC crest (1992).png| (1992)
ไฟล์:Liverpool FC crest (1993-99).png| (1993-99)
ไฟล์:Liverpool FC.png| (1999-ปัจจุบัน)
ไฟล์:Liverpool_FC_crest_2012.png| (2012-ปัจจุบัน)
</gallery>
</center>


== ชุดแข่ง ==
== ชุดแข่ง ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 17:25, 17 มกราคม 2559

สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล
The words "Liverpool Football Club" are in the center of a pennant, with
ชื่อเต็มLiverpool Football Club
ฉายาThe Reds
Red Machine
หงส์แดง
ก่อตั้ง (1892-06-03) 3 มิถุนายน ค.ศ. 1892 (132 ปี)[1]
สนามแอนฟีลด์
ความจุ45,276 คน[2]
เจ้าของสหรัฐ เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป
ประธานสหรัฐ ทอม วอร์เนอร์
ผู้จัดการเยอรมนี เยือร์เกิน คลอพพ์
ลีกพรีเมียร์ลีก
2014–15พรีเมียร์ลีก, อันดับที่ 6
เว็บไซต์เว็บไซต์สโมสร
สีชุดทีมเยือน
สีชุดที่สาม
ฤดูกาลปัจจุบัน

สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล (อังกฤษ: Liverpool Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ตั้งอยู่ที่เมืองลิเวอร์พูล มณฑลเมอร์ซีไซด์ ลิเวอร์พูลเป็นหนึ่งในทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอังกฤษครองแชมป์ดิวิชัน 1 ถึง 18 ครั้ง ครองแชมป์ยูโรเปียนคัพ 5 ครั้ง ยูฟ่าคัพ 3 ครั้ง ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 3 ครั้ง และฟุตบอลลีกคัพซึ่งเป็นการแข่งขันฟุตบอลภายในประเทศอังกฤษ อีก 8 ครั้ง

ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1892 และได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลลีกในปีต่อมา ลิเวอร์พูลใช้สนามแอนฟีลด์ตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร ช่วงเวลาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์คือช่วงทศวรรษ 1970 - 1980 เมื่อบิลล์ แชงคลีและบ็อบ เพลสลี่ย์พาทีมคว้าแชมป์ลีก 11 ครั้ง และคว้าถ้วยรางวัลยูโรเปียน 7 ใบ

ผู้สนับสนุนของสโมสรได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมที่สำคัญ 2 ครั้ง ครั้งแรกที่โศกนาฏกรรมเฮย์เซลเมื่อปี ค.ศ. 1985 แฟนฟุตบอลทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันส่งผลให้อัฒจันทร์พังลงมา มีผู้เสียชีวิต 39 คน เป็นชาวอิตาลีแฟนบอลยูเวนตุส 32 คน, เบลเยียม 4 คน, ฝรั่งเศส 2 คน, และไอร์แลนด์ 1 คน และส่งผลให้ลิเวอร์พูลถูกสโมสรฟุตบอลยุโรปแบนเป็นเวลา 6 ปี ต่อมาในปี ค.ศ. 1989 เกิดภัยพิบัติฮิลส์โบโร แฟนบอลของลิเวอร์พูล 96 คนเสียชีวิตเนื่องจากมีคนแออัดเข้ามาชมเกมมากเกินความจุจึงทำให้อัฒจันทร์ยืนได้พังลงมา

ลิเวอร์พูลมีการแข่งขันที่ยาวนานกับสโมสรเพื่อนบ้านอย่าง เอฟเวอร์ตันและแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ลิเวอร์พูลเปลี่ยนจากเสื้อสีแดงและกางเกงขาสั้นสีขาวเป็นสีแดงเต็มตัวเมื่อเล่นเป็นทีมเหย้าในปี ค.ศ. 1964 มีฉายาในภาษาไทยว่า "หงส์แดง" พร้อมด้วยคำขวัญ "You'll Never Walk Alone"

2013-2014 สตีเว่น เจอร์ราร์ด หรือ"เดอะลื่น" ได้ลื่นต่อหน้าแฟนบอลลิเวอร์พูลในแอนฟิลด์ ในนัดที่ชี้ชะตาแชมป์ ทำให้ลิเวอร์พูลว่าวแชมป์ลีกในปีนั้นไป กะโหลกจริงๆ

ชุดแข่ง

ประวัติชุดทีมเหย้า
(1892–96) [3]
(1896-07) (1910-34)
(1907-1910) (1934-36) (1944-45)
(1936-40) (1945-59)
(1959-64)
(1964-ปัจจุบัน)
ช่วงเวลา ชุดที่ใช้ ผู้สนับสนุน
1973–1979 อัมโบร ไม่มี
1979–1982 ฮิตาชิ
1982–1985 คราวน์ เพนต์
1985–1988 อาดิดาส
1988–1992 แคนดี
1992–1996 คาร์ลส์เบิร์ก
1996–2006 รีบอค
2006–2010 อาดิดาส
2010–2012 สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด
2012–2015 วอร์ริเออร์
2015– นิวบาลานซ์[4]

สโมสรลิเวอร์พูลสวมชุดแข่งสีน้ำเงินและขาวก่อนที่จะมีการเปลี่ยนมาใช้ชุดสีแดงและกางเกงสีขาวในปี ค.ศ.1896 และใช้ชุดนั้นมาจนถึงปี ค.ศ. 1964 เมื่อบิลล์ แชงค์ลีย์ ตัดสินใจส่งทีมลิเวอร์พูลลงแข่งกับอันเดอร์เลชต์ พร้อมกับสวมชุดแข่งลายทางสีแดงทั้งชุดเป็นครั้งแรก

แถบชุดทีมเยือนของลิเวอร์พูลไม่ได้เป็นเสื้อสีเหลืองหรือสีขาวและกางเกงขาสั้นสีดำบ่อยๆ แต่มีหลายข้อยกเว้นชุดสีเทาทั้งเสื้อและกางเกงเป็นที่รู้จักในปี 1987 ซึ่งถูกนำมาใช้จนฤดูกาล 1991-1992 ซึ่งเป็นฤดูกาลรอบหนึ่งร้อยปี เมื่อมันถูกแทนที่ด้วยการผสมผสานของเสื้อสีเขียวและกางเกงขาสั้นสีขาว หลังจากการผสมสีต่างๆในปี 1990, รวมทั้งทองและน้ำเงินสีเหลือง, สีดำและสีเทาและสีนำตาลอ่อนสโมสรสลับไปมาระหว่างชุดออกสีเหลืองกับสีขาวจนกว่าฤดูกาล 2008-09, เมื่อชุดสีเทานำมาแนะนำอีก ชุดที่สามได้รับการออกแบบสำหรับการแข่งขันทีมเยือนในยุโรป ถึงแม้ว่าจะยังสวมใส่ในการแข่งขันทีมเยือนภายในประเทศในโอกาสที่เมื่อชุดทีมเยือนปัจจุบันปะทะกับชุดทีมเหย้า ชุดปัจจุบันได้รับการออกแบบโดยวอร์ริเออร์สปอตส์ที่กลายเป็นสโมสรที่ให้บริการชุดที่เริ่มต้นของฤดู 2012-13 เพียงเสื้อเชิ้ตแบรนด์อื่น ๆ ถูกสวมใส่โดยสโมสรที่ผลิตโดยอัมโบร จนกระทั่งปี 1985 เมื่อพวกเขาถูกแทนที่โดยอาดิดาส ผู้ซึ่งผลิตชุดจนกระทั่งปี 1996 เมื่อรีบ็อคเข้ามาครอบครองกิจการโดยผลิตชุดเป็นเวลา 10 ปีก่อนที่อาดิดาสจะเข้ามาทำแทนในช่วงปี 2006-2012

ลิเวอร์พูลเป็นเป็นสโมสรระดับมืออาชีพทีมแรกที่มีโลโก้ของสปอนเซอร์บนเสื้อของตัวเองหลังจากเห็นพ้องกับข้อตกลงกับบริษัท ฮิตาชิ ในปี ค.ศ. 1979 นับตั้งแต่นั้นมาสโมสรได้รับการสนับสนุนจาก Crown Paints, Candy, คาร์ลสเบิร์ก และสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด สัญญากับคาร์ลสเบิร์กลงนามเมื่อปี ค.ศ. 1992 เป็นสัญญาที่คงอยู่เป็นเวลานานที่สุดในฟุตบอลอังกฤษชั้นหนึ่ง สัญญาที่ทำร่วมกับคาร์ลสเบิร์กได้สิ้นสุดลงในช่วงเริ่มต้นของฤดูกาล 2010-11 เมื่อธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์กลายเป็นสปอนเซอร์ของสโมสร

สัญลักษณ์ของลิเวอร์พูลถูกอยู่บนฐาน Liver Bird ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองซึ่งในอดีตที่ผ่านมาได้วางอยู่ภายในโล่ ในปี ค.ศ. 1992 มีการจัดงานระลึกครบรอบ 100 ปีของสโมสร ป้ายใหม่ได้ถูกนำมาใช้รวมทั้งการประดับอยู่บนประตูแชงคลี ปีถัดมาเปลวไฟคู่ถูกเพิ่มเข้ามาในด้านใดด้านหนึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ระลึกถึงโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร ภายนอกสนามแอนฟีลด์ เปลวไฟที่เผาไหม้อยู่ในความทรงจำของผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ภัยพิบัติฮิลส์โบโร ในปี ค.ศ. 2012 ชุดแข่งของลิเวอร์พูลชุด Warrior Sports เอาโล่และประตูที่เป็นส่วนหนึ่งของสัญลักษณ์ออก แล้วนำป้ายที่เคยประดับอยู่บนเสื้อลิเวอร์พูลในปี ค.ศ. 1970 กลับมาใช้ เปลวไฟถูกย้ายไปอยู่ที่ปกเสื้อด้านหลังโดยรอบตัวเลข 96 ที่เป็นตัวเลขของจำนวนผู้เสียชีวิตที่ฮิลส์โบโร

สนามกีฬา

ด้านหน้าอัฒจันทร์ฝั่ง เดอะค็อป

สนามฟุตบอลแอนฟีลด์สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1884 ติดกับแสตนลีย์ ปาร์ค เริ่มแรกเป็นสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน ก่อนที่เอฟเวอร์ตันย้ายสนามไปกูดิสันพาร์ค หลังจากขัดแย้งในเรื่องค่าเช่าพื้นที่สนามกับจอห์น โฮลดิง ผู้เป็นเจ้าของแอนฟีลด์ หลังจากนั้นโฮลดิ้งได้ก่อตั้งสโมรสรลิเวอร์พูลขึ้นเมื่อปี 1892 และแอนด์ฟีลด์จึงกลายเป็นสนามเหย้าของลิเวอร์พูลนับแต่นั้นมา ในขณะนั้นมีความจุของสนามทั้งสิ้น 20,000 คน ถึงแม้จะมีเพียงผู้ชม 100 คนเข้าชมการแข่งขันครั้งแรกของลิเวอร์พูลที่แอนฟีลด์

ในปี 1906 อัฒจันทร์ฝั่งยืนที่อยู่ปลายด้านหนึ่งของพื้นดินถูกเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการซึ่งคนท้องถิ่นจะรู้จักกันในนาม สปิออน ค็อป หลังจากที่เนินเขาแห่งหนึ่งใน นาทาล ประเทศแอฟริกาใต้ โดยเกิดเหตุการณ์การทำสงครามบัวร์ขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1900 อังกฤษได้ส่งทหารไปกว่า 300 นาย โดยส่วนใหญ่เป็นชาวเมืองลิเวอร์พูล เมื่อถึงจุดสูงสุดอัฒจันทร์สามารถบรรจุผู้ชมได้ถึง 28,000 คน และเป็นอัฒจันทร์ยืนชั้นเดียวที่หญ่ที่สุดในโลก สนามกีฬาหลายแห่งในประเทศอังกฤษได้จึงตั้งชื่อ สปิออน ค็อป เป็นชื่อของอัฒจันทร์ แต่แอนฟีลด์เป็นสนามที่ใหญ่ที่สุดในตอนนั้น ซึ่งสามารถบรรจุผู้สนับสนุนได้มากกว่าพื้นที่สนามฟุตบอลทั้งหมด

แอนฟีลด์สามารถรองรับผู้สนับสนุนได้สูงสุดกว่า 60,000 คนและมีความจุ 55,000 ที่นั่ง จนกระทั่งทศวรรษ 1990 เทเลอร์ รีพอร์ต รายงานเหตุการณ์การถล่มของอัฒจันทร์ที่สนามฮิลส์โบโร่ พรีเมียร์ลีกจึงมีคำสั่งให้ทุกสนามเปลี่ยนจากอัฒจันทร์ยืนเป็นแบบนั่งทั้งหมดในฤดูกาล 1993-94 ลดความจุลงเหลือ 45,276 ที่นั่ง จากผลการวิจัยของเทอลร์ รีพอร์ต ได้ผลักดันให้มีการสร้างอัฒจันทร์ใหม่ทางด้าน Kemlyn Road Stand ในปี ค.ศ. 1992 ซึ่งตรงกับการครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งสโมสร จึงตั้งชื่อว่า เซนเทเนรีสแตนด์ เป็นชั้นพิเศษที่ถูกเพิ่มในฝั่งถนนแอนฟีลด์ปลายปี ค.ศ. 1998 ซึ่งต่อไปจะเพิ่มความจุของภาคพื้นดินแต่เกิดปัญหาขึ้นหลังจากการเปิดใช้ ชุดของเสาสนับสนุนและตอม่อถูกเสริมเข้าไปเพื่อสร้างความมั่งคงให้กับชั้นบนสุดของอัฒจันทร์ หลังจากการเคลื่อนไหวของชั้นอัฒจันทร์ได้ถูกรายงานช่วงเริ่มต้นของฤดูกาล 1999-2000

เนื่องจากข้อจำกัดในการขยายความจุที่นั่งของแอนฟีลด์ ลิเวอร์พูลได้ประกาศแผนเสนอให้ย้ายไปสนามแสตนลีย์ พาร์ค เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2002[5] แผนนี้ถูกอนุมัติในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2004[6] และในเดือนกันยายน ค.ศ. 2006 สภาเมืองลิเวอร์พูลได้อนุมัติสัญญาเช่า 999 ปี ทำให้ลิเวอร์พูลได้รับอนุญาตให้สร้างสนามแห่งใหม่ใกล้สแตนลี่ย์ ปาร์ค[7] ภายหลังจากการซื้อสโมสรโดยจอร์จ จิลเลตต์และทอม ฮิคส์ ในเดือนกรกฎาคมค.ศ. 2007 สโมสรได้นำเสนอแผนใหม่ที่ออกแบบและเสนอโดยบริษัท HKS เมืองดัลลัส สหรัฐอเมริกา โดยปรับความจุเป็น 76,000 ที่นั่ง มูลค่าการลงทุน 300 ล้านปอนด์ ต่อมาเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2008 เนื่องจากมูลค่าเหล็กกล้าในตลาดระหว่างประเทศสูงขึ้น ทำให้มูลค่าการลงทุนต้องเพิ่มขึ้นเป็น 400 ล้านปอนด์ ฮิคส์และจิลเล็ตต์จึงตัดสินใจยุติการสร้าง

ผู้สนับสนุน

ลิเวอร์พูลเป็นหนึ่งสโมสรฟุตบอลที่ได้รับการสนับสนุนมากที่สุดในโลก[8] ลิเวอร์พูลแถลงว่าฐานแฟนคลับทั่วโลกรวมไปถึงมากกว่า 200 สาขาได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจาก Association of International Branches (AIB) อย่างน้อย 50 ประเทศ[9] สโมสรจะได้ประโยชน์จากการสนับสนุนนี้ผ่านการทัวร์ฤดูร้อนทั่วโลก[10] แฟนคลับของลิเวอร์พูลได้เรียกตัวเองว่าเป็น Kopites เป็นการอ้างถึงของแฟนๆ ที่เคยยืนและนั่งใน เดอะค็อปที่แอนฟีลด์[11] ในปี ค.ศ. 2008 แฟนบอลของลิเวอร์พูลได้ก่อตั้งทีมสาขาย่อยของลิเวอร์พูลมีชื่อว่า A.F.C. Liverpool แฟนบอลนับพันของลิเวอร์พูลไม่สามารถเข้าไปดูเกมส์ได้ เนื่องจากตั๋วเข้าชมนั้นหายากหรือไม่ก็แพงเกินไปสำหรับแฟนบอล[12]

ที่มาของเพลง "You'll never walk alone" ประพันธ์ดนตรีโดย Richard Rodger เนื้อร้องโดย Oscar Hammerstein II แต่งขึ้นพื่อใช้ในการแสดงละครเพลงบอร์ดเวย์เรื่อง Carousel และต่อมาได้รับการบันทึกเสียงใหม่จาก Gerry and the Pacemakers ซึ่งเป็นนักดนตรีลิเวอร์พูลเมื่อต้นปี ค.ศ. 1960 และยังได้รับความนิยมจากแฟนคลับสโมสรอื่นๆ ทั่วโลก[13] ชื่อเพลงนี้ใช้ประดับบนประตู Shankly Gates ซึ่งเปิดเผยเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1982 เพื่อเป็นเกียรติยศของอดีตผู้จัดการทีม Bill Shankly คำว่า "You'll never walk alone" บนประตู Shankly Gates ถูกนำไปใส่ไว้ด้านบนของตราสัญลักษณ์สโมสร

ในปี ค.ศ. 2015 มีการสำรวจความนิยมจากแฟนฟุตบอลทั่วโลกผ่านทางโปรแกรมทวิตเตอร์ พบว่าในประเทศไทย มีผู้นิยมลิเวอร์พูลมากที่สุด โดยคิดเป็นร้อยละ 29.6 ในขณะที่สโมสรรองลงไป คือ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คิดเป็นร้อยละ 19.77 และเชลซี คิดเป็นร้อยละ 18.95 ส่วนในประเทศอังกฤษ ลิเวอร์พูล คือสโมสรที่มีผู้นิยมมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 15.21[14]

ผู้เล่น

ผู้เล่นชุดปัจจุบัน

ณ วันที่ 12 มกราคม 2016[15]

หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ

เลข ตำแหน่ง สัญชาติ ผู้เล่น
2 DF อังกฤษ นาแทเนียล ไคลน์
3 DF สเปน โคเซ เอนรีเก
4 DF โกตดิวัวร์ โกโล ตูเร
6 DF โครเอเชีย เดยัน ลอฟเรน
7 MF อังกฤษ เจมส์ มิลเนอร์ (รองกัปตัน)
9 FW เบลเยียม คริสตีย็อง แบนเตเก
10 MF บราซิล ฟีลีปี โกชินยู
11 MF บราซิล โรแบร์ตู ฟีร์มีนู
12 DF อังกฤษ โจ โกเมซ
14 MF อังกฤษ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน (กัปตัน)
15 FW อังกฤษ แดเนียล สเตอร์ริดจ์
17 DF ฝรั่งเศส มามาดู ซาโก
18 DF สเปน อัลเบร์โต โมเรโน
19 DF อังกฤษ สตีเวน คอลเกอร์ (ยืมตัวจาก ควีนส์พาร์กเรนเจอส์)
20 MF อังกฤษ แอดัม ลัลลานา
21 MF บราซิล ลูกัส เลย์วา
22 GK เบลเยียม ซีมง มีญอแล
23 MF เยอรมนี เอมเร จัน
24 MF เวลส์ โจ แอลเลน
26 DF โปรตุเกส ตีอากู อีลูรี
27 FW เบลเยียม ดีว็อก โอรีกี
28 FW อังกฤษ แดนนี อิงส์
เลข ตำแหน่ง สัญชาติ ผู้เล่น
32 MF อังกฤษ แคเมอรอน แบรนนากัน
33 MF อังกฤษ จอร์ดอน ไอบ์
34 GK ฮังการี อาดาม โบกดาน
35 DF อังกฤษ เควิน สจ๊วต
37 DF สโลวาเกีย มาร์ติน ชเกอร์เตล
38 DF อังกฤษ จอน แฟลนากัน
39 GK สกอตแลนด์ ไรอัน ฟูลตัน
40 MF อังกฤษ ไรอัน เคนท์
41 MF อังกฤษ แจ็ก ดันน์
43 DF ไอร์แลนด์เหนือ ไรอัน แม็คลาฟลิน
44 DF ออสเตรเลีย แบรด สมิธ
46 MF อังกฤษ จอร์แดน รอสซิเตอร์
48 FW อังกฤษ เจอโรม ซินแคลร์
52 GK เวลส์ แดนนี วอร์ด
53 MF โปรตุเกส ฌูเอา การ์ลุช ไตไชรา
54 MF อังกฤษ เชยิ โอโจ
56 MF อังกฤษ คอนเนอร์ แรนเดลล์
57 DF อังกฤษ โจ เมไกวร์
58 DF สาธารณรัฐไอร์แลนด์ แดเนียล เคลียรี
60 MF บราซิล อาลัง โซซา
68 MF สเปน เปโดร ชีรีเบยา
87 DF สาธารณรัฐไอร์แลนด์ คอเนอร์ มาสเตอร์สัน

ผู้เล่นที่ถูกยืมตัว

หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ

เลข ตำแหน่ง สัญชาติ ผู้เล่น
36 FW เยอรมนี ซาเหม็ด เยซิล (ยืมตัวไป ลูเซิร์น จนจบฤดูกาล)[16]
45 FW อิตาลี มารีโอ บาโลเตลลี (ยืมตัวไป มิลาน จนจบฤดูกาล)[17]
47 DF อังกฤษ อังเดร วิสดอม (ยืมตัวไป นอริชซิตี จนจบฤดูกาล)[18]
49 MF เวลส์ จอร์แดน วิลเลียมส์ (ยืมตัวไป สวินดอนทาวน์ จนจบฤดูกาล)[19]
50 MF เซอร์เบีย ลาซาร์ มาร์โควิช (ยืมตัวไป เฟแนร์บาห์เช จนจบฤดูกาล)[20]
เลข ตำแหน่ง สัญชาติ ผู้เล่น
51 DF อังกฤษ ลอยด์ โจนส์ (ยืมตัวไป แบล็กพูล จนจบฤดูกาล)[21]
FW สเปน ลุยซ์ อัลแบร์โต (ยืมตัวไป เดปอร์ตีโบ ลา โกรูญา จนจบฤดูกาล)[22]
FW ไนจีเรีย ตาอิโว อโวนิยี (ยืมตัวไป เอฟเอสเฟา แฟรงค์เฟิร์ต จนจบฤดูกาล)[23]
MF เซอร์เบีย มาร์โก กรูยิช (ยืมตัวไป เรดสตาร์เบลเกรด จนจบฤดูกาล)[24]

ผู้เล่นตัวสำรองและผู้เล่นจากสถาบัน

ผู้เล่นในอดีตที่สำคัญ

บันทึกสถิติของผู้เล่น

สถิติการลงเล่น

ความเป็นเจ้าของและฐานะทางการเงิน

ลิเวอร์พูลในวัฒนธรรมร่วมสมัย

เนื่องจากประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูลที่ประสบความสำเร็จ ลิเวอร์พูลมักเป็นจุดเด่นเมื่อฟุตบอลเป็นที่ปรากฏในวัฒนธรรมอังกฤษและปรากฏอยู่บนสื่ออันดับต้นๆ สโมสรปรากฏในนิตรสารแมทช์ ออฟ เดอะ เดย์ ของบีบีซีฉบับพิมพ์ครั้งแรก ซึ่งไฮไลท์การแข่งระหว่างลิเวอร์พูลกับอาร์เซนอลที่แอนฟีลด์เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 1964 การแข่งขันฟุตบอลครั้งแรกระหว่างลิเวอร์พูลและเวสต์แฮมยูไนเต็ดป็นหารถ่ายทอดสดแบบภาพสีในมีนาคม ค.ศ. 1967 วงดนตรี Pink Floyd ที่เป็นแฟนของลิเวอร์พูลร้องเพลง "Fearless" ซึ่งตัดต่อมาจากเพลง "You'll Never Walk Alone" เพื่อจดจำการปรากฏตัวของสโมสรในเอฟเอคัพรอบสุดท้ายเมื่อปี ค.ศ. 1988 ลิเวอร์พูลได้แต่งเพลงเป็นที่รู้จักนชื่อ "แอนฟีลด์แร็พ" ร้องร่วมกับจอห์น บาร์นส์และสมาชิกคนอื่นๆ ของทีม ละครสารคดีเรื่องภัยพิบัติฮิลส์โบโร่ถูกเขียนโดยจิมมี่ แม็คโกฟเวิร์น ถูกฉายในปี 1996

ในประเทศไทย

ลิเวอร์พูล เคยเดินมาแข่งขันในประเทศไทยแล้วทั้งหมด 6 ครั้ง โดยเป็นการแข่งขันนัดพิเศษกับทีมชาติไทย ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1986 โดยลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 3-0, ครั้งที่สองเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2001 ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 3-1, ครั้งที่สามเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2003 ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 3-1, ครั้งที่สี่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2009 โดยครั้งนี้เสมอกันไป 1-1, ครั้งที่ห้าเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2013 ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 3-0[27] และครั้งสุดท้ายนับเป็นครั้งที่ 6 ในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน (โดยครั้งนี้เป็นการแข่งขัดกับทรูออลสตาร์ ซึ่งเป็นการรวมผู้เล่นเด่น ๆ ในไทยพรีเมียร์ลีก) ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 4-0 สรุปสถิติทั้งหมด ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายเอาชนะไทยไปได้ทั้งหมด 5 นัด และเสมอ 1 นัด โดยยังไม่เคยแพ้เลย[28] [29]

สำหรับในประเทศไทย ลิเวอร์พูล ถือได้ว่าเป็นสโมสรที่มีผู้สนับสนุนเป็นจำนวนมากสโมสรหนึ่ง โดยในเดือนเมษายน ค.ศ. 2015 มีการสำรวจผ่านการติดตามทางโปรแกรมทวิตเตอร์พบว่า ลิเวอร์พูลเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีชาวไทยเป็นผู้สนับสนุนมากที่สุดในบรรดาสโมสรฟุตบอลของอังกฤษทั้งหมด[30]

สำหรับชาวไทยที่มีชื่อเสียง ที่เป็นผู้สนับสนุนลิเวอร์พูล เช่น เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง (นักฟุตบอลทีมชาติไทยและหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย[31]), อภิภู สุนทรพนาเวศ (นักฟุตบอลทีมชาติไทย[31]), สรยุทธ์ สุทัศนะจินดา (ผู้ประกาศข่าว[32]), ธีระ ธัญไพบูลย์ (ผู้ประกาศข่าว[33]), วีรศักดิ์ นิลกลัด (ผู้ประกาศข่าวและผู้บรรยายกีฬา[34]), อดิสรณ์ พึ่งยา (ผู้ประกาศข่าวและผู้บรรยายกีฬา[34]), สุฐิตา ปัญญายงค์ (ผู้ประกาศข่าว, พิธีกร และนักแสดง[35]), พชร ปัญญายงค์ (ผู้ประกาศข่าวและนักธุรกิจ[35])

บุคลากร

ดูเพิ่มเติม รายชื่อผู้จัดการทีมสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล

เกียรติประวัติ

ลีก

คัพส์

ยูโรเปียน

*ร่วม

ชนะเลิศสองรายการและสามรายการ

การแข่งขันที่มีช่วงเวลาสั้นๆ เช่น ชาริตี/คอมมิวนิตีชิลด์ และ ซูเปอร์คัพ จะไม่นับรวมกับแชมป์รายการอื่นๆ[39]

อ้างอิง

  1. "Happy birthday LFC? Not quite yet..." Liverpool F.C. สืบค้นเมื่อ 15 March 2014. Liverpool F.C. was born on 3 June 1892. It was at John Houlding's house in Anfield Road that he and his closest friends left from Everton FC, formed a new club.
  2. "Club Directory". ,12306~152399, 00.pdf Premier League Handbook Season 2010/11 (PDF). London: Premier League. 2010. p. 35. สืบค้นเมื่อ 17 August 2010. {{cite book}}: ตรวจสอบค่า |url= (help)
  3. "Old Liverpool colours". Historical Football Kits. สืบค้นเมื่อ 2010-02-01.
  4. "สโมสรลิเวอร์พูลประกาศข้อตกลงชุดแข่งใหม่กับนิว บาลานซ์". สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล. 5 กุมภาพันธ์ 2015. สืบค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2015.
  5. "Liverpool unveil new stadium". BBC Sport. 17 May 2002. สืบค้นเมื่อ 17 March 2007.
  6. Hornby, Mike (31 July 2004). "Reds stadium gets go-ahead". Liverpool Echo. สืบค้นเมื่อ 12 September 2006.
  7. "Liverpool get go-ahead on stadium". BBC Sport. 8 September 2006. สืบค้นเมื่อ 8 March 2007.
  8. Rice, Simon (6 November 2009). "Manchester United top of the 25 best supported clubs in Europe". The Independent. สืบค้นเมื่อ 6 August 2011.
  9. "LFC Official Supporters Clubs". Liverpool F.C. สืบค้นเมื่อ 6 August 2011.
  10. "Asia Tour 2011". Liverpool F.C. สืบค้นเมื่อ 6 August 2011. [ลิงก์เสีย]
  11. "Anfield giants never walk alone". Fédération Internationale de Football Association (FIFA). 11 June 2008. สืบค้นเมื่อ 14 November 2008.
  12. George, Ricky (18 March 2008). "Liverpool fans form a club in their price range". The Daily Telegraph. สืบค้นเมื่อ 18 March 2008.
  13. "Liverpool". Fédération Internationale de Football Association (FIFA). สืบค้นเมื่อ 23 July 2011.
  14. ""ทวิตเตอร์" สำรวจ "หงส์" ครองใจแฟนสยามมากสุด". ผู้จัดการออนไลน์. 23 April 2015. สืบค้นเมื่อ 23 April 2015.
  15. "First Team". Liverpool F.C. สืบค้นเมื่อ 19 สิงหาคม 2014.
  16. Carroll, James (31 August 2015). "Yesil makes loan move to Luzern". Liverpool F.C.
  17. "A special club". A.C. Milan. 26 August 2015.
  18. "Wisdom heads to Norwich on loan". Liverpool FC. 29 July 2015.
  19. Shaw, Chris (10 July 2015). "Williams makes loan move to Swindon". Liverpool F.C.
  20. "Markovic completes Fenerbahce loan switch". Liverpool FC. 30 August 2015.
  21. "Jones joins Blackpool on loan". Liverpool F.C. 10 July 2015.
  22. "Luis Alberto, nuevo jugador del Deportivo" (ภาษาSpanish). Deportivo La Coruña. 6 July 2015.{{cite web}}: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์)
  23. "Reds complete signing of Taiwo Awoniyi". Liverpool F.C. 31 August 2015. สืบค้นเมื่อ 1 September 2015.
  24. Carroll, James (6 January 2016). "Reds complete Marko Grujic deal". Liverpool F.C.
  25. 25.00 25.01 25.02 25.03 25.04 25.05 25.06 25.07 25.08 25.09 25.10 "Appearances". Liverpool F.C. สืบค้นเมื่อ 27 August 2012.
  26. "Total games played per season by Jamie Carragher". LFC history. สืบค้นเมื่อ 15 February 2008.
  27. หน้า 19, ย้อนรอย "หงส์" บุก โดย บี บางปะกง. "ตะลุยฟุตบอลโลก". ไทยรัฐปีที่ 66 ฉบับที่ 20991: วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 แรม 12 ค่ำ เดือน 8 ปีมะแม
  28. หน้า 19 ต่อจากหน้า 17 กีฬา, 'ซิโก้'ฮึกเหิมโวนำแข้งไทยเด็ดปีกหงส์. เดลินิวส์ฉบับที่ 24,015: วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 แรม 14 ค่ำ เดือน 8 ปีมะแม
  29. ""เฮนโด" 2 แอสซิสต์ส่งหงส์ยิง "ทรู" ขาด 4-0". ผู้จัดการออนไลน์. 14 July 2015. สืบค้นเมื่อ 15 July 2015.
  30. "ผลสำรวจชี้เมืองไทยแฟนบอลลิเวอร์พูลมากสุด". manuclubth.com. 23 April 2015. สืบค้นเมื่อ 14 July 2015.
  31. 31.0 31.1 ""ไทย" ตื่นกระแสแชมป์? "เสื้อหงส์" ขายดิบขายดี". ผู้จัดการออนไลน์. 2 May 2014. สืบค้นเมื่อ 15 July 2015.
  32. "หงส์ตัวพ่อ! สรยุทธขอโทษแมนฯยูเหตุป้ายหยามผี". goal.com. 29 July 2013. สืบค้นเมื่อ 14 July 2015.
  33. "ธีระ ธัญไพบูลย์ จริงจัง แต่ไม่เครียด โดนใจ MASS". positioningmag.com. 5 June 2009. สืบค้นเมื่อ 14 July 2015.
  34. 34.0 34.1 "แฟนเกรียนสุดแสบ! ทำภาพแซว แจ็คกี้ วีรศักดิ์ เกมหงส์พ่ายวิลล่า". เอ็มไทยดอตคอม. สืบค้นเมื่อ 14 July 2015.
  35. 35.0 35.1 "เปิดใจคู่รักแฟนบอลลิเวอร์พูล นิหน่า-แบงค์งัดกลยุทธ์รุ่นแม่ ดูแลสามีจนอยู่หมัด". praew.com. สืบค้นเมื่อ 14 July 2015.
  36. "Corporate Information". Liverpool F.C. สืบค้นเมื่อ 2 July 2011.
  37. "Billy Hogan joins Liverpool FC". Liverpool FC. สืบค้นเมื่อ 24 May 2012.
  38. "First Team". Liverpool F.C. สืบค้นเมื่อ 9 December 2012.
  39. Rice, Simon (20 May 2010). "Treble treble: The teams that won the treble". The Independent. สืบค้นเมื่อ 14 July 2010.
หมายเหตุ
  1. 1.0 1.1 Doubles won in conjunction with the treble, such as a FA Cup and League Cup double in 2001, are not included in the Doubles section.

แหล่งข้อมูลอื่น

  • liverpoolfc.tv เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของทีมลิเวอร์พูล (อังกฤษ)
  • Thailand Liverpool FC เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของทีมลิเวอร์พูล (ไทย)
  • lfchistory.net รวบรวมประวัติศาสตร์ทีมลิเวอร์พูล