ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล"
Punpun2545 (คุย | ส่วนร่วม) ประวัติความกาก |
|||
บรรทัด 59: | บรรทัด 59: | ||
ลิเวอร์พูลมีการแข่งขันที่ยาวนานกับสโมสรเพื่อนบ้านอย่าง [[เอฟเวอร์ตัน]]และ[[แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด]] ลิเวอร์พูลเปลี่ยนจากเสื้อสีแดงและกางเกงขาสั้นสีขาวเป็นสีแดงเต็มตัวเมื่อเล่นเป็นทีมเหย้าในปี ค.ศ. 1964 มีฉายาในภาษาไทยว่า "หงส์แดง" พร้อมด้วยคำขวัญ "You'll Never Walk Alone" |
ลิเวอร์พูลมีการแข่งขันที่ยาวนานกับสโมสรเพื่อนบ้านอย่าง [[เอฟเวอร์ตัน]]และ[[แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด]] ลิเวอร์พูลเปลี่ยนจากเสื้อสีแดงและกางเกงขาสั้นสีขาวเป็นสีแดงเต็มตัวเมื่อเล่นเป็นทีมเหย้าในปี ค.ศ. 1964 มีฉายาในภาษาไทยว่า "หงส์แดง" พร้อมด้วยคำขวัญ "You'll Never Walk Alone" |
||
2013-2014 สตีเว่น เจอร์ราร์ด หรือ"เดอะลื่น" ได้ลื่นต่อหน้าแฟนบอลลิเวอร์พูลในแอนฟิลด์ ในนัดที่ชี้ชะตาแชมป์ ทำให้ลิเวอร์พูลว่าวแชมป์ลีกในปีนั้นไป กะโหลกจริงๆ |
|||
== ประวัติสโมสร == |
|||
[[ไฟล์:John Houlding.jpg|thumb|upright|จอห์น โฮลดิง ผู้ก่อตั้งสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล]] |
|||
จอห์น โฮลดิง นักธุรกิจชาวเมือง[[ลิเวอร์พูล]]ได้เช่าพื้นที่บริเวณ แอนฟีลด์ โรด เพื่อใช้สร้างสนามฟุตบอล และเมื่อสร้างเสร็จได้ให้[[สโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน|เอฟเวอร์ตัน]] เช่าเป็นสนามแข่ง และเมื่อทีมเอฟเวอร์ตันได้เข้าสู่สมาชิกฟุตบอลลีก จอห์น โฮลดิง พยายามจะเข้าไปบริหารงานในทีมเอฟเวอร์ตันและได้เพิ่มค่าเช่าสนามที่ทีมได้เช่าอยู่ ฝ่ายกลุ่มบริหารของเอฟเวอร์ตันจึงยกเลิกสัญญาเช่าสนาม และทีมเอฟเวอร์ตันได้ย้ายสนามไปอีกฝากของสวนสาธารณะ สแตนลีย์พาร์ค เพื่อไปสร้างสนามเป็นของตัวเองโดยใช้ชื่อสนามว่า [[กูดิสันพาร์ค]] ดังนั้น จอห์น โฮลดิง จึงต้องการสร้างทีมฟุตบอลขึ้นมา และ จอห์น โฮลดิง จึงไปชวนเพื่อนสนิทของเขาชื่อ [[จอห์น แมคเคนน่า]] มาทำหน้าที่ประธานสโมสรและได้ตั้งชื่อทีมฟุตบอลนี้ว่า Liverpool Football Club |
|||
[[ไฟล์:Shankly statue out front.jpg|thumb|left|upright|รูปปั้น [[บิลล์ แชงคลี]] ด้านนอก [[แอนฟีลด์]] โดยแชงคลีพาทีมเลื่อนชั้นและคว้าแชมป์ดิวิชันหนึ่งได้สำเร็จตั้งแต่ปี ค.ศ. 1947]] |
|||
หลังจากที่สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งได้ไม่นาน ได้จัดการแข่งขัดนัดอุ่นเครื่อง ซึ่งเป็นการลงสนามนัดแรกของทีมลิเวอร์พูลกับทีมร็อตเตอร์แฮม ซึ่งผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมลิเวอร์พูลชนะไปด้วยผลการแข่งขัน 7-1 และลิเวอร์พูล ได้ลงแข่งขันฟุตบอลลีกของแคว้น แลงคาเชียร์ ปรากฏว่าลิเวอร์พูลลงแข่งทั้งหมด 22 นัด ชนะ 17 นัด และได้แชมป์ไปครอง ส่งผลให้ทางสโมสรสามารถสมัครเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกซึ่งได้รับการยอมรับและถูกคัดเลือกให้ลงเล่นในดีวิชั่น 2 ในฤดูกาล 1893-1894 สโมสรจึงได้เลือกสัญลักษณ์ของทีมเป็น นกลิเวอร์เบิร์ด (Liverbird) ซึ่งเป็นนกแถบทะเลไอริช บริเวณแม่น้ำเมอร์ซีย์ โดยที่ปากนกคาบใบไม้ไว้ ทีมลิเวอร์พูลได้ลงทำการแข่งขันอย่างเป็นทางในฟุตบอลลีก ดิวิชั่น 2 ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1893 โดยทีมลิเวอร์พูลออกไปเยือนทีม[[มิดเดิลสโบรซ์]] ไอโรโนโปลิส และทีมลิเวอร์พูลสามารถได้แชมป์มาครองโดยที่ไม่แพ้ทีมใดเลยตลอดทั้งฤดูกาล (ทั้งหมด 28 นัด) แต่การคว้าแชมป์ลีก[[ดิวิชั่น 2]] ในตอนนั้นยังไม่ได้เลื่อนชั้นโดยทันที ต้องไปแข่งนัดชิงดำกับทีมอันดับสองก่อน โดยทีมอันดับสองในขณะนั้นคือ ทีม[[แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด|นิวตัน ฮีธ]] (ทีม[[แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด]] ในปัจจุบัน) และลงแข่งขันที่สนามของทีมแบล็คเบิร์น ซึ่งทีมลิเวอร์พูลเอาชนะทีมนิวตัน ฮีธไปด้วยผล 2-0 และได้เลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 ในที่สุด |
|||
สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งเมื่อ [[พ.ศ. 2435]] และก้าวขึ้นมาเป็นสโมสรแนวหน้าของอังกฤษอย่างรวดเร็วจนประสบความสำเร็จเป็นแชมป์ลีกสูงสุดชองประเทศครั้งแรกในปี [[พ.ศ. 2444]] (ฤดูกาล 1900/01) และครั้งที่สองในปี [[พ.ศ. 2449]] (ฤดูกาล 1905/06) ครั้งที่ 3 และ 4 เป็นแชมป์สองฤดูกาลติดใน [[พ.ศ. 2465]] กับ [[พ.ศ. 2466]] (ฤดูกาล 1921/22 กับ 1922/23) แชมป์ลีกสูงสุดครั้งที่ 5 คือปี [[พ.ศ. 2490]] (ฤดูกาล 1946/47) อย่างไรก็ตามลิเวอร์พูลพบกับช่วงตกต่ำต้องไปเล่นในในดิวิชัน 2 ใน [[พ.ศ. 2497]] (ฤดูกาล 1953/54) ภายหลังจึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสโมสรในปี [[พ.ศ. 2502]] สโมสรได้แต่งตั้ง [[บิลล์ แชงก์คลี]] เป็นผู้จัดการทีม เขาได้เปลี่ยนแปลงทีมไปอย่างมาก จนประสบความสำเร็จได้เลื่อนชั้นในปี [[พ.ศ. 2505]] (ฤดูกาล 1961/62) และได้แชมป์ลีกสูงสุดของประเทศอีกครั้งใน [[พ.ศ. 2507]] (ฤดูกาล 1963/64) หลังจากรอคอยมานานถึง 17 ปี บิล แชงก์ลี คว้าแชมป์[[เอฟเอคัพ]]เป็นถ้วยแรกของสโมสรลิเวอร์พูลในปี [[พ.ศ. 2508]] (ฤดูกาล 1964/65) และคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 อีกครั้งในฤดูกาลต่อมา [[พ.ศ. 2509]] (ฤดูกาล 1965/66) ความสำเร็จของแชงก์ลียังเดินหน้าต่อไป เมื่อลิเวอร์พูลคว้าแชมป์[[ยูฟ่าคัพ]] พร้อมแชมป์ดิวิชั่น 1 ใน [[พ.ศ. 2516]] (ฤดูกาล 1972/73) และ[[เอฟเอคัพ]] อีกครั้งใน [[พ.ศ. 2517]] (ฤดูกาล 1973/74) หลังจากนั้น บิลล์ แชงก์คลี ขอวางมือจากสโมสร โดยให้ผู้ช่วยของเขาสืบทอดตำแหน่ง ผู้จัดการทีมแทน นั่นคือ [[บ็อบ เพสส์ลี]] |
|||
[[ไฟล์:Hillsborough Memorial, Anfield.jpg|thumb|upright|ป้ายอนุสรณ์จารึกชื่อและอายุผู้เสียชีวิตจาก[[ภัยพิบัติฮิลส์โบโร]]ทั้งหมด 96 คน]] |
|||
สโมสรต้องประสบกับความซบเซาในช่วงหนึ่งหลังจากได้แชมป์ลีกสูงสุดในปี [[พ.ศ. 2533]] คือได้เพียง[[เอฟเอคัพ]] 1 ใบ ปี [[พ.ศ. 2535]] กับ[[ลีกคัพ]] 1 ใบในปี [[พ.ศ. 2538]] แต่ก็ฟื้นฟูขึ้นมาได้เมื่อพวกเขาสามารถคว้าแชมป์บอลถ้วยทั้งในระดับประเทศและระดับทวีปถึง 3 แชมป์ (คาร์ลิ่ง [[ลีกคัพ]], [[เอฟเอคัพ]] รวมทั้ง[[ยูฟ่าคัพ]]) ได้ในปี [[พ.ศ. 2544]] (ฤดูกาล 2000/01) ในปี 2544 นี้ลิเวอร์พูลยังคว้าถ้วย[[ยูฟ่าซูเปอร์คัพ]] ที่เอาชนะ [[บาเยิร์น มิวนิค]] แชมป์[[ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก]] ในปีนั้น รวมทั้งเอาชนะ [[สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด|แมนฯ ยูไนเต็ด]] คู่ปรับตัวฉกาจในถ้วย[[ชาริตีชีลด์]] ก่อนเปิดฤดูกาล[[พรีเมียร์ลีก]]เป็นปีที่หอมหวานปีหนึ่งของกองเชียร์ลิเวอร์พูล นักเตะสำคัญยุคนั้นได้แก่ [[ไมเคิล โอเวน]], [[เอมิล เฮสกี]], [[สตีเวน เจอร์ราร์ด]], [[ซามี ฮูเปีย]] และ [[ยอร์น อาร์เน รีเซ]] เป็นต้น ทีมชุดนี้ผู้จัดการทีมคือ [[เฌราร์ อูลีเย]] ชาวฝรั่งเศส ผลงานเป็นชิ้นเป็นอันส่งท้ายของอูลีเยคือ การนำทีมลิเวอร์พูลชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 2-0 ในนัดชิงฟุตบอล[[ลีกคัพ]] พ.ศ. 2546 (ฤดูกาล 2002/03) และแชมป์ที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งของลิเวอร์พูลคือปี 2548 ชนะในศึก[[ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก]] เป็นครั้งที่ 5 ของสโมสร ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ตื่นตาตื่นใจครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์บอลยุโรป เมื่อลิเวอร์พูลไล่ตีเสมอทีม [[เอซี มิลาน]] เป็น 3-3 ทั้งที่โดนยิงนำไปก่อนถึง 3-0 และในที่สุดคว้าแชมป์มาได้จากการยิง[[จุดโทษ]]ชนะ 3-2 เป็นทีมจากอังกฤษที่ครองถ้วย[[ยูโรเปียนคัพ]] (ปัจจุบันคือ [[ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก]]) มากครั้งที่สุดถึง 5 สมัย ผู้เล่นที่สำคัญในยุคนั้น อาทิ [[สตีเวน เจอร์ราร์ด]], [[ชาบี อาลอนโซ]], [[ดีทมา ฮามันน์]], [[วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์]], [[เจอร์ซี ดูเด็ค]] และ [[เจมี คาร์ราเกอร์]] คุมทัพโดย ผู้จัดการทีมสัญชาติสเปน [[ราฟาเอล เบนิเตซ]] ในฤดูกาลต่อมา [[พ.ศ. 2549]] (ฤดูกาล 2005/06) ลิเวอร์พูลของเบนิเตซทำให้แฟนบอลต้องลุ้นอีกครั้ง ในนัดชิง[[เอฟเอคัพ]] เมื่อต้องอาศัยลูกยิงมหัศจรรย์ของ [[สตีเวน เจอร์ราร์ด]] ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บตีเสมอทีม [[เวสต์แฮม ยูไนเต็ด]] คู่ชิงแชมป์ในปีนั้นทำให้เสมอกันที่ 3-3 ต้องตัดสินแชมป์ด้วยการยิง[[จุดโทษ]]อีกครั้ง และลิเวอร์พูลก็สามารถชนะไปได้ 3-1 เป็นแชมป์สำคัญรายการล่าสุดที่ลิเวอร์พูลทำได้ แต่รายการที่แฟนบอลต้องการมากที่สุดคือแชมป์ลีกของประเทศ หรือ[[พรีเมียร์ลีก]]ในปัจจุบัน ซึ่งปีล่าสุดที่ลิเวอร์พูลคว้ามาได้คือ [[พ.ศ. 2533]] (ฤดูกาล 1989/90) จากการคุมทีมของ [[เคนนี ดัลกลิช]] ซึ่งต่อมาภายหลังดัลกลิชสามารถนำ [[แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส]] คว้าแชมป์[[พรีเมียร์ลีก]] ได้ในปี [[พ.ศ. 2538]] (ฤดูกาล 1994/95) |
|||
[[ไฟล์:2005 trophy cropped.jpg|thumb|left|upright|ถ้วย [[ยูโรเปียนคัพ]] สมัยที่ 5 เมื่อปี ค.ศ. 2005]] |
|||
ในฤดูกาล 2009-10 ลิเวอร์พูลจบที่อันดับที่ 7 ใน[[พรีเมียร์ลีก]] ซึ่งทำให้ไม่ได้ไปแข่งขันในรายการ [[ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก]] ทำให้ [[ราฟาเอล เบนิเตซ]] ต้องลาออกจากตำแหน่งด้วยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย<ref>{{cite news|url=http://www.telegraph.co.uk/sport/football/leagues/premierleague/liverpool/7801223/Rafael-Benitez-leaves-Liverpool-club-statement.html|title=Rafael Benitez leaves Liverpool: club statement|date=3 June 2010|work=The Daily Telegraph|accessdate=3 June 2010}}</ref> และแทนที่โดย [[รอย ฮอดจ์สัน]] อดีตผู้จัดการทีม [[สโมสรฟุตบอลฟูลัม|สโมสรฟูแลม]]<ref>{{cite web|url=http://www.liverpoolfc.tv/news/latest-news/liverpool-appoint-hodgson |title=Liverpool appoint Hodgson |publisher=Liverpool F.C |date=1 July 2010 |accessdate=11 August 2010 }}</ref> |
|||
ในช่วงเริ่มต้นฤดูกาล 2010–11 สโมสรลิเวอร์พูลนั้นเสี่ยงต่อการล้มละลาย เนื่องจากแบกรับหนี้สินเป็นจำนวนมากจากการทำงานของ จอร์จ ยิลเลตต์ และ ทอม ฮิกส์ ทำให้ต้องขายสโมสร ต่อมา [[จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี]] เจ้าของทีม บอสตัน เรด ซ็อกซ์และนิว อิงแลนด์ สปอร์ตส์ เวนเจอร์ส ได้ซื้อสโมสรลิเวอร์พูล เมื่อตุลาคม 2010<ref>{{cite news|url=http://www.guardian.co.uk/football/2010/oct/15/liverpool-fc-get-new-owner|title=Liverpool FC finally has a new owner after 'win on penalties'|date=15 October 2010|accessdate=7 November 2010|work=The Guardian|first=Owen|last=Gibson}}</ref> ผลการแข่งขันที่ย่ำแย่ในช่วงต้นฤดูกาล ทำให้ฮอดจ์สันลาออกจากตำแหน่ง โดยมี [[เคนนี ดัลกลิช]] กลับมาคุมทีมอีกครั้ง<ref>{{cite news|url=http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/teams/l/liverpool/9350630.stm |title=Roy Hodgson exits and Kenny Dalglish takes over |publisher=BBC Sport |date=8 January 2011 |accessdate=22 April 2011 }}</ref>โดยในฤดูกาล 2011-12 สามารถคว้าแชมป์ในรายการ [[คาร์ลิงคัพ]] ได้สำเร็จเป็นสมัยที่แปดจากการยิง[[จุดโทษ]]ตัดสินชนะ [[สโมสรฟุตบอลคาร์ดิฟฟ์ซิตี|คาร์ดิฟฟ์ซีตี]] ผลประตูรวม 3-2<ref>{{cite news|url=http://www.manager.co.th/Sport/ViewNews.aspx?NewsID=9550000025942 |title=“หงส์” แม่นลูกโทษ ดับคาร์ดิฟฟ์ซิวลีกคัพ |publisher=ASTVผู้จัดการออนไลน์ |date=27 กุมภาพันธ์ 2555 |accessdate=27 กุมภาพันธ์ 2555 }}</ref> ในฤดูกาล 2011-12 ลิเวอร์พูลจบที่อันดับที่ 8 ซึ่งเป็นการจบอันดับที่แย่ที่สุดในรอบ 18 ปี<ref>{{cite news| url=http://www.bloomberg.com/news/2012-05-16/liverpool-manager-dalglish-fired-after-worst-finish-in-18-years.html | work=Bloomberg | first1=Bob | last1=Bensch | first2=Tariq | last2=Panja | title=Liverpool Fires Dalglish After Worst League Finish in 18 Years | date=16 May 2012}}</ref> ทางสโมสรก็ได้ปลดดัลกลิชออกจากตำแหน่ง<ref>{{cite web|author=Mike Ingham |url=http://www.bbc.co.uk/sport/0/football/18073446 |title=Kenny Dalglish sacked as Liverpool manager |publisher=BBC |date=16 May 2012 |accessdate=10 June 2012}}</ref><ref>[http://www.manager.co.th/Sport/ViewNews.aspx?NewsID=9550000060610 ประมวลภาพ "คิงเคนนี" วันแรกถึงวันลา จาก[[ผู้จัดการออนไลน์]]]</ref> เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555 ทางสโมสรได้ประกาศแต่งตั้ง [[เบรนดัน ร็อดเจอส์]] อดีตผู้จัดการทีม[[สโมสรฟุตบอลสวอนซีซิตี|สวอนซีซิตี]] เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่<ref>{{cite web|author=20:43 GMT |url=http://www.bbc.co.uk/sport/0/football/18294032 |title=BBC Sport - Liverpool manager Brendan Rodgers to 'fight for his life' |publisher=bbc.co.uk |date=1 June 2012 |accessdate=10 June 2012}}</ref> |
|||
ใน[[พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2013–14|ฤดูกาล 2013-14]] ลิเวอร์พูลมีโอกาสสูงที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยในช่วงท้ายฤดูกาลสามารถทำสถิติชนะรวดติดต่อกันมากถึง 11 นัด และ[[ลุยส์ ซัวเรซ]] กองหน้าของทีมก็เป็นผู้เล่นที่ยิงประตูได้สูงสุงของลีก ทำให้เป็นทีมมีคะแนนเป็นอันดับหนึ่งของตารางคะแนน แต่ทว่าในช่วงสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนสิ้นสุดฤดูกาล ลิเวอร์พูลไปแพ้ต่อ [[สโมสรฟุตบอลเชลซี|เชลซี]] และเสมอต่อ [[สโมสรฟุตบอลคริสตัลพาเลซ|คริสตัลพาเลซ]] ทำให้[[แมนเชสเตอร์ซิตี]] ซึ่งเป็นทีมที่มีคะแนนเป็นอันดับสอง แต่แข่งน้อยกว่าหนึ่งนัด สามารถแซงหน้าและได้แชมป์ไปในที่สุด ด้วยคะแนน 86 คะแนน ขณะที่ลิเวอร์พูลทำได้ 84 คะแนน จบฤดูกาลลงด้วยอันดับที่สอง<ref>{{cite web|url=http://sport.sanook.com/1506924/10-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%A5-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B9%8C%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%81-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%991/|title=10 เหตุผลที่ ลิเวอร์พูล ควรเป็นแชมป์พรีเมียร์ ลีก (ตอน1)|date=7 March 2014|accessdate=12 May 2014|publisher=สนุกดอตคอม}}</ref> <ref>{{cite web|url=http://sports.th.msn.com/football/photo/%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A4%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5-2013-14-1#image=28|title=ทอปสตอรี่! ที่สุดของพรีเมียร์ลีกแห่งฤดูกาล 2013-14|date=19 May 2014|accessdate=19 May 2014|publisher=เอ็มเอสเอ็น}}</ref><ref>หน้า 17 ต่อ 19 กีฬา, ''เรือใบแชมป์'พรีเมียร์ลีก'''. '''เดลินิวส์'''ฉบับที่ 23,587: วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเมีย</ref> และได้กลับไปแข่งขันในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอีกครั้ง โดยยิงประตูไป 101 ลูก นับเป็นการยิงประตูมากที่สุด นับตั้งแต่ฤดูกาล 1895–96 ที่ยิงประตูไป 106 ลูก<ref>{{cite news|last1=Ornstein|first1=David|title=Liverpool: Premier League near-miss offers hope for the future|url=http://www.bbc.co.uk/sport/0/football/27367934|accessdate=7 August 2014|work=BBC Sport|publisher=BBC|date=12 May 2014}}</ref><ref name="goals">{{cite web|url=http://www.liverpoolfc.com/history/records/goals |title=Goals |publisher=Liverpool F.C |accessdate=27 August 2012 }}</ref> หลังผลงานน่าผิดหวังในฤดูกาล 2014-15 ทำให้ลิเวอร์พูลจบอันดับที่ 6 ในลีกพร้อมกับเริ่มต้นฤดูกาล 2015-16 ที่ย่ำแย่ ทำให้ [[เบรนดัน ร็อดเจอส์]] ถูกไล่ออกเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2015<ref>{{cite news|url=http://www.bbc.com/sport/0/football/34423344 |title=Brendan Rodgers: Liverpool boss sacked after Merseyside derby |publisher=BBC Sport |date=4 October 2015 |accessdate=10 October 2015 }}</ref> โดยมี [[เยือร์เกิน คลอพพ์]] มาแทน<ref>{{cite news|last1=Smith|first1=Ben|title=Liverpool: Jurgen Klopp confirmed as manager on £15m Anfield deal|url=http://www.bbc.com/sport/0/football/34469429|accessdate=10 October 2015|work=BBC Sport|publisher=BBC|date=8 October 2015}}</ref> โดยเป็นผู้จัดการทีมคนที่สามที่เป็นชาวต่างชาติในประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูล<ref>{{cite news|url=http://www.westerndailypress.co.uk/Liverpool-s-foreign-managers-Jurgen-Klopp-club-s/story-27952550-detail/story.html |title=Liverpool's foreign managers – as Jurgen Klopp becomes the club's third in its history |publisher=Western Daily Press |date=9 October 2015 |accessdate=10 October 2015 }}</ref> |
|||
{{clear}} |
|||
<center> |
|||
<gallery caption="ประวัติตราสโมสร" widths="100px" heights="100px"> |
|||
ไฟล์:Liverpool FC crest (1950).png| (1950-55) |
|||
ไฟล์:Liverpool FC crest (1955-68).png| (1955-68) |
|||
ไฟล์:Liverpool FC crest (1968-87).png| (1968-87) |
|||
ไฟล์:Liverpool FC crest (1987-92).png| (1987-92) |
|||
ไฟล์:Liverpool FC crest (1992).png| (1992) |
|||
ไฟล์:Liverpool FC crest (1993-99).png| (1993-99) |
|||
ไฟล์:Liverpool FC.png| (1999-ปัจจุบัน) |
|||
ไฟล์:Liverpool_FC_crest_2012.png| (2012-ปัจจุบัน) |
|||
</gallery> |
|||
</center> |
|||
== ชุดแข่ง == |
== ชุดแข่ง == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 17:25, 17 มกราคม 2559
The words "Liverpool Football Club" are in the center of a pennant, with | ||||
ชื่อเต็ม | Liverpool Football Club | |||
---|---|---|---|---|
ฉายา | The Reds Red Machine หงส์แดง | |||
ก่อตั้ง | [1] | 3 มิถุนายน ค.ศ. 1892|||
สนาม | แอนฟีลด์ | |||
ความจุ | 45,276 คน[2] | |||
เจ้าของ | ![]() | |||
ประธาน | ![]() | |||
ผู้จัดการ | ![]() | |||
ลีก | พรีเมียร์ลีก | |||
2014–15 | พรีเมียร์ลีก, อันดับที่ 6 | |||
เว็บไซต์ | เว็บไซต์สโมสร | |||
| ||||
สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล (อังกฤษ: Liverpool Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ตั้งอยู่ที่เมืองลิเวอร์พูล มณฑลเมอร์ซีไซด์ ลิเวอร์พูลเป็นหนึ่งในทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอังกฤษครองแชมป์ดิวิชัน 1 ถึง 18 ครั้ง ครองแชมป์ยูโรเปียนคัพ 5 ครั้ง ยูฟ่าคัพ 3 ครั้ง ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 3 ครั้ง และฟุตบอลลีกคัพซึ่งเป็นการแข่งขันฟุตบอลภายในประเทศอังกฤษ อีก 8 ครั้ง
ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1892 และได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลลีกในปีต่อมา ลิเวอร์พูลใช้สนามแอนฟีลด์ตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร ช่วงเวลาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์คือช่วงทศวรรษ 1970 - 1980 เมื่อบิลล์ แชงคลีและบ็อบ เพลสลี่ย์พาทีมคว้าแชมป์ลีก 11 ครั้ง และคว้าถ้วยรางวัลยูโรเปียน 7 ใบ
ผู้สนับสนุนของสโมสรได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมที่สำคัญ 2 ครั้ง ครั้งแรกที่โศกนาฏกรรมเฮย์เซลเมื่อปี ค.ศ. 1985 แฟนฟุตบอลทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันส่งผลให้อัฒจันทร์พังลงมา มีผู้เสียชีวิต 39 คน เป็นชาวอิตาลีแฟนบอลยูเวนตุส 32 คน, เบลเยียม 4 คน, ฝรั่งเศส 2 คน, และไอร์แลนด์ 1 คน และส่งผลให้ลิเวอร์พูลถูกสโมสรฟุตบอลยุโรปแบนเป็นเวลา 6 ปี ต่อมาในปี ค.ศ. 1989 เกิดภัยพิบัติฮิลส์โบโร แฟนบอลของลิเวอร์พูล 96 คนเสียชีวิตเนื่องจากมีคนแออัดเข้ามาชมเกมมากเกินความจุจึงทำให้อัฒจันทร์ยืนได้พังลงมา
ลิเวอร์พูลมีการแข่งขันที่ยาวนานกับสโมสรเพื่อนบ้านอย่าง เอฟเวอร์ตันและแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ลิเวอร์พูลเปลี่ยนจากเสื้อสีแดงและกางเกงขาสั้นสีขาวเป็นสีแดงเต็มตัวเมื่อเล่นเป็นทีมเหย้าในปี ค.ศ. 1964 มีฉายาในภาษาไทยว่า "หงส์แดง" พร้อมด้วยคำขวัญ "You'll Never Walk Alone"
2013-2014 สตีเว่น เจอร์ราร์ด หรือ"เดอะลื่น" ได้ลื่นต่อหน้าแฟนบอลลิเวอร์พูลในแอนฟิลด์ ในนัดที่ชี้ชะตาแชมป์ ทำให้ลิเวอร์พูลว่าวแชมป์ลีกในปีนั้นไป กะโหลกจริงๆ
ชุดแข่ง
|
|
|
|
|
|
ช่วงเวลา | ชุดที่ใช้ | ผู้สนับสนุน |
---|---|---|
1973–1979 | อัมโบร | ไม่มี |
1979–1982 | ฮิตาชิ | |
1982–1985 | คราวน์ เพนต์ | |
1985–1988 | อาดิดาส | |
1988–1992 | แคนดี | |
1992–1996 | คาร์ลส์เบิร์ก | |
1996–2006 | รีบอค | |
2006–2010 | อาดิดาส | |
2010–2012 | สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด | |
2012–2015 | วอร์ริเออร์ | |
2015– | นิวบาลานซ์[4] |
สโมสรลิเวอร์พูลสวมชุดแข่งสีน้ำเงินและขาวก่อนที่จะมีการเปลี่ยนมาใช้ชุดสีแดงและกางเกงสีขาวในปี ค.ศ.1896 และใช้ชุดนั้นมาจนถึงปี ค.ศ. 1964 เมื่อบิลล์ แชงค์ลีย์ ตัดสินใจส่งทีมลิเวอร์พูลลงแข่งกับอันเดอร์เลชต์ พร้อมกับสวมชุดแข่งลายทางสีแดงทั้งชุดเป็นครั้งแรก
แถบชุดทีมเยือนของลิเวอร์พูลไม่ได้เป็นเสื้อสีเหลืองหรือสีขาวและกางเกงขาสั้นสีดำบ่อยๆ แต่มีหลายข้อยกเว้นชุดสีเทาทั้งเสื้อและกางเกงเป็นที่รู้จักในปี 1987 ซึ่งถูกนำมาใช้จนฤดูกาล 1991-1992 ซึ่งเป็นฤดูกาลรอบหนึ่งร้อยปี เมื่อมันถูกแทนที่ด้วยการผสมผสานของเสื้อสีเขียวและกางเกงขาสั้นสีขาว หลังจากการผสมสีต่างๆในปี 1990, รวมทั้งทองและน้ำเงินสีเหลือง, สีดำและสีเทาและสีนำตาลอ่อนสโมสรสลับไปมาระหว่างชุดออกสีเหลืองกับสีขาวจนกว่าฤดูกาล 2008-09, เมื่อชุดสีเทานำมาแนะนำอีก ชุดที่สามได้รับการออกแบบสำหรับการแข่งขันทีมเยือนในยุโรป ถึงแม้ว่าจะยังสวมใส่ในการแข่งขันทีมเยือนภายในประเทศในโอกาสที่เมื่อชุดทีมเยือนปัจจุบันปะทะกับชุดทีมเหย้า ชุดปัจจุบันได้รับการออกแบบโดยวอร์ริเออร์สปอตส์ที่กลายเป็นสโมสรที่ให้บริการชุดที่เริ่มต้นของฤดู 2012-13 เพียงเสื้อเชิ้ตแบรนด์อื่น ๆ ถูกสวมใส่โดยสโมสรที่ผลิตโดยอัมโบร จนกระทั่งปี 1985 เมื่อพวกเขาถูกแทนที่โดยอาดิดาส ผู้ซึ่งผลิตชุดจนกระทั่งปี 1996 เมื่อรีบ็อคเข้ามาครอบครองกิจการโดยผลิตชุดเป็นเวลา 10 ปีก่อนที่อาดิดาสจะเข้ามาทำแทนในช่วงปี 2006-2012
ลิเวอร์พูลเป็นเป็นสโมสรระดับมืออาชีพทีมแรกที่มีโลโก้ของสปอนเซอร์บนเสื้อของตัวเองหลังจากเห็นพ้องกับข้อตกลงกับบริษัท ฮิตาชิ ในปี ค.ศ. 1979 นับตั้งแต่นั้นมาสโมสรได้รับการสนับสนุนจาก Crown Paints, Candy, คาร์ลสเบิร์ก และสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด สัญญากับคาร์ลสเบิร์กลงนามเมื่อปี ค.ศ. 1992 เป็นสัญญาที่คงอยู่เป็นเวลานานที่สุดในฟุตบอลอังกฤษชั้นหนึ่ง สัญญาที่ทำร่วมกับคาร์ลสเบิร์กได้สิ้นสุดลงในช่วงเริ่มต้นของฤดูกาล 2010-11 เมื่อธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์กลายเป็นสปอนเซอร์ของสโมสร
สัญลักษณ์ของลิเวอร์พูลถูกอยู่บนฐาน Liver Bird ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองซึ่งในอดีตที่ผ่านมาได้วางอยู่ภายในโล่ ในปี ค.ศ. 1992 มีการจัดงานระลึกครบรอบ 100 ปีของสโมสร ป้ายใหม่ได้ถูกนำมาใช้รวมทั้งการประดับอยู่บนประตูแชงคลี ปีถัดมาเปลวไฟคู่ถูกเพิ่มเข้ามาในด้านใดด้านหนึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ระลึกถึงโศกนาฏกรรมฮิลส์โบโร ภายนอกสนามแอนฟีลด์ เปลวไฟที่เผาไหม้อยู่ในความทรงจำของผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ภัยพิบัติฮิลส์โบโร ในปี ค.ศ. 2012 ชุดแข่งของลิเวอร์พูลชุด Warrior Sports เอาโล่และประตูที่เป็นส่วนหนึ่งของสัญลักษณ์ออก แล้วนำป้ายที่เคยประดับอยู่บนเสื้อลิเวอร์พูลในปี ค.ศ. 1970 กลับมาใช้ เปลวไฟถูกย้ายไปอยู่ที่ปกเสื้อด้านหลังโดยรอบตัวเลข 96 ที่เป็นตัวเลขของจำนวนผู้เสียชีวิตที่ฮิลส์โบโร
สนามกีฬา
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/8/84/Anfield_Stadium_2426620378_2cfbe0b700_b.jpg/250px-Anfield_Stadium_2426620378_2cfbe0b700_b.jpg)
สนามฟุตบอลแอนฟีลด์สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1884 ติดกับแสตนลีย์ ปาร์ค เริ่มแรกเป็นสนามเหย้าของสโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน ก่อนที่เอฟเวอร์ตันย้ายสนามไปกูดิสันพาร์ค หลังจากขัดแย้งในเรื่องค่าเช่าพื้นที่สนามกับจอห์น โฮลดิง ผู้เป็นเจ้าของแอนฟีลด์ หลังจากนั้นโฮลดิ้งได้ก่อตั้งสโมรสรลิเวอร์พูลขึ้นเมื่อปี 1892 และแอนด์ฟีลด์จึงกลายเป็นสนามเหย้าของลิเวอร์พูลนับแต่นั้นมา ในขณะนั้นมีความจุของสนามทั้งสิ้น 20,000 คน ถึงแม้จะมีเพียงผู้ชม 100 คนเข้าชมการแข่งขันครั้งแรกของลิเวอร์พูลที่แอนฟีลด์
ในปี 1906 อัฒจันทร์ฝั่งยืนที่อยู่ปลายด้านหนึ่งของพื้นดินถูกเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการซึ่งคนท้องถิ่นจะรู้จักกันในนาม สปิออน ค็อป หลังจากที่เนินเขาแห่งหนึ่งใน นาทาล ประเทศแอฟริกาใต้ โดยเกิดเหตุการณ์การทำสงครามบัวร์ขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1900 อังกฤษได้ส่งทหารไปกว่า 300 นาย โดยส่วนใหญ่เป็นชาวเมืองลิเวอร์พูล เมื่อถึงจุดสูงสุดอัฒจันทร์สามารถบรรจุผู้ชมได้ถึง 28,000 คน และเป็นอัฒจันทร์ยืนชั้นเดียวที่หญ่ที่สุดในโลก สนามกีฬาหลายแห่งในประเทศอังกฤษได้จึงตั้งชื่อ สปิออน ค็อป เป็นชื่อของอัฒจันทร์ แต่แอนฟีลด์เป็นสนามที่ใหญ่ที่สุดในตอนนั้น ซึ่งสามารถบรรจุผู้สนับสนุนได้มากกว่าพื้นที่สนามฟุตบอลทั้งหมด
แอนฟีลด์สามารถรองรับผู้สนับสนุนได้สูงสุดกว่า 60,000 คนและมีความจุ 55,000 ที่นั่ง จนกระทั่งทศวรรษ 1990 เทเลอร์ รีพอร์ต รายงานเหตุการณ์การถล่มของอัฒจันทร์ที่สนามฮิลส์โบโร่ พรีเมียร์ลีกจึงมีคำสั่งให้ทุกสนามเปลี่ยนจากอัฒจันทร์ยืนเป็นแบบนั่งทั้งหมดในฤดูกาล 1993-94 ลดความจุลงเหลือ 45,276 ที่นั่ง จากผลการวิจัยของเทอลร์ รีพอร์ต ได้ผลักดันให้มีการสร้างอัฒจันทร์ใหม่ทางด้าน Kemlyn Road Stand ในปี ค.ศ. 1992 ซึ่งตรงกับการครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งสโมสร จึงตั้งชื่อว่า เซนเทเนรีสแตนด์ เป็นชั้นพิเศษที่ถูกเพิ่มในฝั่งถนนแอนฟีลด์ปลายปี ค.ศ. 1998 ซึ่งต่อไปจะเพิ่มความจุของภาคพื้นดินแต่เกิดปัญหาขึ้นหลังจากการเปิดใช้ ชุดของเสาสนับสนุนและตอม่อถูกเสริมเข้าไปเพื่อสร้างความมั่งคงให้กับชั้นบนสุดของอัฒจันทร์ หลังจากการเคลื่อนไหวของชั้นอัฒจันทร์ได้ถูกรายงานช่วงเริ่มต้นของฤดูกาล 1999-2000
เนื่องจากข้อจำกัดในการขยายความจุที่นั่งของแอนฟีลด์ ลิเวอร์พูลได้ประกาศแผนเสนอให้ย้ายไปสนามแสตนลีย์ พาร์ค เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2002[5] แผนนี้ถูกอนุมัติในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2004[6] และในเดือนกันยายน ค.ศ. 2006 สภาเมืองลิเวอร์พูลได้อนุมัติสัญญาเช่า 999 ปี ทำให้ลิเวอร์พูลได้รับอนุญาตให้สร้างสนามแห่งใหม่ใกล้สแตนลี่ย์ ปาร์ค[7] ภายหลังจากการซื้อสโมสรโดยจอร์จ จิลเลตต์และทอม ฮิคส์ ในเดือนกรกฎาคมค.ศ. 2007 สโมสรได้นำเสนอแผนใหม่ที่ออกแบบและเสนอโดยบริษัท HKS เมืองดัลลัส สหรัฐอเมริกา โดยปรับความจุเป็น 76,000 ที่นั่ง มูลค่าการลงทุน 300 ล้านปอนด์ ต่อมาเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2008 เนื่องจากมูลค่าเหล็กกล้าในตลาดระหว่างประเทศสูงขึ้น ทำให้มูลค่าการลงทุนต้องเพิ่มขึ้นเป็น 400 ล้านปอนด์ ฮิคส์และจิลเล็ตต์จึงตัดสินใจยุติการสร้าง
ผู้สนับสนุน
ลิเวอร์พูลเป็นหนึ่งสโมสรฟุตบอลที่ได้รับการสนับสนุนมากที่สุดในโลก[8] ลิเวอร์พูลแถลงว่าฐานแฟนคลับทั่วโลกรวมไปถึงมากกว่า 200 สาขาได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจาก Association of International Branches (AIB) อย่างน้อย 50 ประเทศ[9] สโมสรจะได้ประโยชน์จากการสนับสนุนนี้ผ่านการทัวร์ฤดูร้อนทั่วโลก[10] แฟนคลับของลิเวอร์พูลได้เรียกตัวเองว่าเป็น Kopites เป็นการอ้างถึงของแฟนๆ ที่เคยยืนและนั่งใน เดอะค็อปที่แอนฟีลด์[11] ในปี ค.ศ. 2008 แฟนบอลของลิเวอร์พูลได้ก่อตั้งทีมสาขาย่อยของลิเวอร์พูลมีชื่อว่า A.F.C. Liverpool แฟนบอลนับพันของลิเวอร์พูลไม่สามารถเข้าไปดูเกมส์ได้ เนื่องจากตั๋วเข้าชมนั้นหายากหรือไม่ก็แพงเกินไปสำหรับแฟนบอล[12]
ที่มาของเพลง "You'll never walk alone" ประพันธ์ดนตรีโดย Richard Rodger เนื้อร้องโดย Oscar Hammerstein II แต่งขึ้นพื่อใช้ในการแสดงละครเพลงบอร์ดเวย์เรื่อง Carousel และต่อมาได้รับการบันทึกเสียงใหม่จาก Gerry and the Pacemakers ซึ่งเป็นนักดนตรีลิเวอร์พูลเมื่อต้นปี ค.ศ. 1960 และยังได้รับความนิยมจากแฟนคลับสโมสรอื่นๆ ทั่วโลก[13] ชื่อเพลงนี้ใช้ประดับบนประตู Shankly Gates ซึ่งเปิดเผยเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1982 เพื่อเป็นเกียรติยศของอดีตผู้จัดการทีม Bill Shankly คำว่า "You'll never walk alone" บนประตู Shankly Gates ถูกนำไปใส่ไว้ด้านบนของตราสัญลักษณ์สโมสร
ในปี ค.ศ. 2015 มีการสำรวจความนิยมจากแฟนฟุตบอลทั่วโลกผ่านทางโปรแกรมทวิตเตอร์ พบว่าในประเทศไทย มีผู้นิยมลิเวอร์พูลมากที่สุด โดยคิดเป็นร้อยละ 29.6 ในขณะที่สโมสรรองลงไป คือ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คิดเป็นร้อยละ 19.77 และเชลซี คิดเป็นร้อยละ 18.95 ส่วนในประเทศอังกฤษ ลิเวอร์พูล คือสโมสรที่มีผู้นิยมมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 15.21[14]
ผู้เล่น
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
- ณ วันที่ 12 มกราคม 2016[15]
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
|
ผู้เล่นที่ถูกยืมตัว
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
|
ผู้เล่นตัวสำรองและผู้เล่นจากสถาบัน
ผู้เล่นในอดีตที่สำคัญ
|
|
บันทึกสถิติของผู้เล่น
สถิติการลงเล่น
- ลงเล่นมากที่สุดรวมทุกการแข่งขัน: เอียน คัลลาแกน, 857.[25]
- ลงเล่นในลีกมากที่สุด: เอียน คัลลาแกน, 640.[25]
- ลงเล่นเอฟเอคัพมากที่สุด: เอียน คัลลาแกน, 79.[25]
- ลงเล่นลีกคัพมากที่สุด: เอียน รัช, 78.[25]
- ลงเล่นยุโรปมากที่สุด: เจมี่ คาราเกอร์, 150.[25][26]
- อายุน้อยสุดที่ลงเล่น: เจอโรม ซินแคลร์, 16 ปี 6 วัน (พบ เวสบรอมวิชอัลเบียน, 26 กันยายน 2012).[25]
- อายุมากสุดที่ลงเล่น: เน็ด โดก์, 41 ปี 165 วัน (พบ นิวคาสเซิล, 11 เมษายน 1908).[25]
- อายุมากที่สุดในนัดประเดิมสนาม: เน็ด โดก์, 37 ปี 307 วัน (พบ เบอร์ตัน, 1 กันยายน 1904).[25]
- ลงเล่นติดต่อกันมากที่สุด: ฟิล นีล, 417 (ตั้งแต่ 23 ตุลาคม 1976 ถึง 24 กันยายน 1983).[25]
- ฤดูกาลที่ลงเล่นทุกเกมลีกและบอลถ้วยมากที่สุด: ฟิล นีล, 9 (ตั้งแต่ 1976–77 ถึง 1983-84).[25]
- เป็นผู้เล่นของสโมสรนานที่สุด: เอลิชา สกอตต์, 21 ปี 52 วัน (ตั้งแต่ปี 1913 ถึง 1934).[25]
ความเป็นเจ้าของและฐานะทางการเงิน
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ลิเวอร์พูลในวัฒนธรรมร่วมสมัย
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
เนื่องจากประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูลที่ประสบความสำเร็จ ลิเวอร์พูลมักเป็นจุดเด่นเมื่อฟุตบอลเป็นที่ปรากฏในวัฒนธรรมอังกฤษและปรากฏอยู่บนสื่ออันดับต้นๆ สโมสรปรากฏในนิตรสารแมทช์ ออฟ เดอะ เดย์ ของบีบีซีฉบับพิมพ์ครั้งแรก ซึ่งไฮไลท์การแข่งระหว่างลิเวอร์พูลกับอาร์เซนอลที่แอนฟีลด์เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 1964 การแข่งขันฟุตบอลครั้งแรกระหว่างลิเวอร์พูลและเวสต์แฮมยูไนเต็ดป็นหารถ่ายทอดสดแบบภาพสีในมีนาคม ค.ศ. 1967 วงดนตรี Pink Floyd ที่เป็นแฟนของลิเวอร์พูลร้องเพลง "Fearless" ซึ่งตัดต่อมาจากเพลง "You'll Never Walk Alone" เพื่อจดจำการปรากฏตัวของสโมสรในเอฟเอคัพรอบสุดท้ายเมื่อปี ค.ศ. 1988 ลิเวอร์พูลได้แต่งเพลงเป็นที่รู้จักนชื่อ "แอนฟีลด์แร็พ" ร้องร่วมกับจอห์น บาร์นส์และสมาชิกคนอื่นๆ ของทีม ละครสารคดีเรื่องภัยพิบัติฮิลส์โบโร่ถูกเขียนโดยจิมมี่ แม็คโกฟเวิร์น ถูกฉายในปี 1996
ในประเทศไทย
ลิเวอร์พูล เคยเดินมาแข่งขันในประเทศไทยแล้วทั้งหมด 6 ครั้ง โดยเป็นการแข่งขันนัดพิเศษกับทีมชาติไทย ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1986 โดยลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 3-0, ครั้งที่สองเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2001 ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 3-1, ครั้งที่สามเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2003 ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 3-1, ครั้งที่สี่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2009 โดยครั้งนี้เสมอกันไป 1-1, ครั้งที่ห้าเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2013 ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 3-0[27] และครั้งสุดท้ายนับเป็นครั้งที่ 6 ในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน (โดยครั้งนี้เป็นการแข่งขัดกับทรูออลสตาร์ ซึ่งเป็นการรวมผู้เล่นเด่น ๆ ในไทยพรีเมียร์ลีก) ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 4-0 สรุปสถิติทั้งหมด ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายเอาชนะไทยไปได้ทั้งหมด 5 นัด และเสมอ 1 นัด โดยยังไม่เคยแพ้เลย[28] [29]
สำหรับในประเทศไทย ลิเวอร์พูล ถือได้ว่าเป็นสโมสรที่มีผู้สนับสนุนเป็นจำนวนมากสโมสรหนึ่ง โดยในเดือนเมษายน ค.ศ. 2015 มีการสำรวจผ่านการติดตามทางโปรแกรมทวิตเตอร์พบว่า ลิเวอร์พูลเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีชาวไทยเป็นผู้สนับสนุนมากที่สุดในบรรดาสโมสรฟุตบอลของอังกฤษทั้งหมด[30]
สำหรับชาวไทยที่มีชื่อเสียง ที่เป็นผู้สนับสนุนลิเวอร์พูล เช่น เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง (นักฟุตบอลทีมชาติไทยและหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย[31]), อภิภู สุนทรพนาเวศ (นักฟุตบอลทีมชาติไทย[31]), สรยุทธ์ สุทัศนะจินดา (ผู้ประกาศข่าว[32]), ธีระ ธัญไพบูลย์ (ผู้ประกาศข่าว[33]), วีรศักดิ์ นิลกลัด (ผู้ประกาศข่าวและผู้บรรยายกีฬา[34]), อดิสรณ์ พึ่งยา (ผู้ประกาศข่าวและผู้บรรยายกีฬา[34]), สุฐิตา ปัญญายงค์ (ผู้ประกาศข่าว, พิธีกร และนักแสดง[35]), พชร ปัญญายงค์ (ผู้ประกาศข่าวและนักธุรกิจ[35])
บุคลากร
ดูเพิ่มเติม รายชื่อผู้จัดการทีมสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล
- เจ้าของ: เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป
- ผู้อำนวยการกิตติมศักดิ์: เดวิด มูเรส
|
|
เกียรติประวัติ
ลีก
- ดิวิชันหนึ่ง: 18
- ดิวิชันสอง: 4
- แลงคาไชร์ลีก: 1
คัพส์
- เอฟเอคัพ: 7
- ลีกคัพ: 8
- เอฟเอชาริตี/คอมมูนิตีชีลด์: 15
ยูโรเปียน
- *ร่วม
ชนะเลิศสองรายการและสามรายการ
การแข่งขันที่มีช่วงเวลาสั้นๆ เช่น ชาริตี/คอมมิวนิตีชิลด์ และ ซูเปอร์คัพ จะไม่นับรวมกับแชมป์รายการอื่นๆ[39]
อ้างอิง
- ↑ "Happy birthday LFC? Not quite yet..." Liverpool F.C. สืบค้นเมื่อ 15 March 2014.
Liverpool F.C. was born on 3 June 1892. It was at John Houlding's house in Anfield Road that he and his closest friends left from Everton FC, formed a new club.
- ↑ "Club Directory". ,12306~152399, 00.pdf Premier League Handbook Season 2010/11 (PDF). London: Premier League. 2010. p. 35. สืบค้นเมื่อ 17 August 2010.
{{cite book}}
: ตรวจสอบค่า|url=
(help) - ↑ "Old Liverpool colours". Historical Football Kits. สืบค้นเมื่อ 2010-02-01.
- ↑ "สโมสรลิเวอร์พูลประกาศข้อตกลงชุดแข่งใหม่กับนิว บาลานซ์". สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล. 5 กุมภาพันธ์ 2015. สืบค้นเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2015.
- ↑ "Liverpool unveil new stadium". BBC Sport. 17 May 2002. สืบค้นเมื่อ 17 March 2007.
- ↑ Hornby, Mike (31 July 2004). "Reds stadium gets go-ahead". Liverpool Echo. สืบค้นเมื่อ 12 September 2006.
- ↑ "Liverpool get go-ahead on stadium". BBC Sport. 8 September 2006. สืบค้นเมื่อ 8 March 2007.
- ↑ Rice, Simon (6 November 2009). "Manchester United top of the 25 best supported clubs in Europe". The Independent. สืบค้นเมื่อ 6 August 2011.
- ↑ "LFC Official Supporters Clubs". Liverpool F.C. สืบค้นเมื่อ 6 August 2011.
- ↑ "Asia Tour 2011". Liverpool F.C. สืบค้นเมื่อ 6 August 2011. [ลิงก์เสีย]
- ↑ "Anfield giants never walk alone". Fédération Internationale de Football Association (FIFA). 11 June 2008. สืบค้นเมื่อ 14 November 2008.
- ↑ George, Ricky (18 March 2008). "Liverpool fans form a club in their price range". The Daily Telegraph. สืบค้นเมื่อ 18 March 2008.
- ↑ "Liverpool". Fédération Internationale de Football Association (FIFA). สืบค้นเมื่อ 23 July 2011.
- ↑ ""ทวิตเตอร์" สำรวจ "หงส์" ครองใจแฟนสยามมากสุด". ผู้จัดการออนไลน์. 23 April 2015. สืบค้นเมื่อ 23 April 2015.
- ↑ "First Team". Liverpool F.C. สืบค้นเมื่อ 19 สิงหาคม 2014.
- ↑ Carroll, James (31 August 2015). "Yesil makes loan move to Luzern". Liverpool F.C.
- ↑ "A special club". A.C. Milan. 26 August 2015.
- ↑ "Wisdom heads to Norwich on loan". Liverpool FC. 29 July 2015.
- ↑ Shaw, Chris (10 July 2015). "Williams makes loan move to Swindon". Liverpool F.C.
- ↑ "Markovic completes Fenerbahce loan switch". Liverpool FC. 30 August 2015.
- ↑ "Jones joins Blackpool on loan". Liverpool F.C. 10 July 2015.
- ↑ "Luis Alberto, nuevo jugador del Deportivo" (ภาษาSpanish). Deportivo La Coruña. 6 July 2015.
{{cite web}}
: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์) - ↑ "Reds complete signing of Taiwo Awoniyi". Liverpool F.C. 31 August 2015. สืบค้นเมื่อ 1 September 2015.
- ↑ Carroll, James (6 January 2016). "Reds complete Marko Grujic deal". Liverpool F.C.
- ↑ 25.00 25.01 25.02 25.03 25.04 25.05 25.06 25.07 25.08 25.09 25.10 "Appearances". Liverpool F.C. สืบค้นเมื่อ 27 August 2012.
- ↑ "Total games played per season by Jamie Carragher". LFC history. สืบค้นเมื่อ 15 February 2008.
- ↑ หน้า 19, ย้อนรอย "หงส์" บุก โดย บี บางปะกง. "ตะลุยฟุตบอลโลก". ไทยรัฐปีที่ 66 ฉบับที่ 20991: วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 แรม 12 ค่ำ เดือน 8 ปีมะแม
- ↑ หน้า 19 ต่อจากหน้า 17 กีฬา, 'ซิโก้'ฮึกเหิมโวนำแข้งไทยเด็ดปีกหงส์. เดลินิวส์ฉบับที่ 24,015: วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 แรม 14 ค่ำ เดือน 8 ปีมะแม
- ↑ ""เฮนโด" 2 แอสซิสต์ส่งหงส์ยิง "ทรู" ขาด 4-0". ผู้จัดการออนไลน์. 14 July 2015. สืบค้นเมื่อ 15 July 2015.
- ↑ "ผลสำรวจชี้เมืองไทยแฟนบอลลิเวอร์พูลมากสุด". manuclubth.com. 23 April 2015. สืบค้นเมื่อ 14 July 2015.
- ↑ 31.0 31.1 ""ไทย" ตื่นกระแสแชมป์? "เสื้อหงส์" ขายดิบขายดี". ผู้จัดการออนไลน์. 2 May 2014. สืบค้นเมื่อ 15 July 2015.
- ↑ "หงส์ตัวพ่อ! สรยุทธขอโทษแมนฯยูเหตุป้ายหยามผี". goal.com. 29 July 2013. สืบค้นเมื่อ 14 July 2015.
- ↑ "ธีระ ธัญไพบูลย์ จริงจัง แต่ไม่เครียด โดนใจ MASS". positioningmag.com. 5 June 2009. สืบค้นเมื่อ 14 July 2015.
- ↑ 34.0 34.1 "แฟนเกรียนสุดแสบ! ทำภาพแซว แจ็คกี้ วีรศักดิ์ เกมหงส์พ่ายวิลล่า". เอ็มไทยดอตคอม. สืบค้นเมื่อ 14 July 2015.
- ↑ 35.0 35.1 "เปิดใจคู่รักแฟนบอลลิเวอร์พูล นิหน่า-แบงค์งัดกลยุทธ์รุ่นแม่ ดูแลสามีจนอยู่หมัด". praew.com. สืบค้นเมื่อ 14 July 2015.
- ↑ "Corporate Information". Liverpool F.C. สืบค้นเมื่อ 2 July 2011.
- ↑ "Billy Hogan joins Liverpool FC". Liverpool FC. สืบค้นเมื่อ 24 May 2012.
- ↑ "First Team". Liverpool F.C. สืบค้นเมื่อ 9 December 2012.
- ↑ Rice, Simon (20 May 2010). "Treble treble: The teams that won the treble". The Independent. สืบค้นเมื่อ 14 July 2010.
- หมายเหตุ
แหล่งข้อมูลอื่น
- liverpoolfc.tv เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของทีมลิเวอร์พูล (อังกฤษ)
- Thailand Liverpool FC เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของทีมลิเวอร์พูล (ไทย)
- lfchistory.net รวบรวมประวัติศาสตร์ทีมลิเวอร์พูล