มารีโอ บาโลเตลลี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มารีโอ บาโลเตลลี
บาโลเตลลีกับมาร์แซย์ในปี ค.ศ. 2019
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม มารีโอ บาโลเตลลี บาร์วูอา [1][2]
วันเกิด (1990-08-12) 12 สิงหาคม ค.ศ. 1990 (33 ปี)[3]
สถานที่เกิด ปาแลร์โม อิตาลี
ส่วนสูง 1.89 m (6 ft 2 12 in)[4]
ตำแหน่ง กองหน้า
ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบัน
อดานา เดมีร์สปอร์
หมายเลข 9
สโมสรเยาวชน
2001–2006 ลูเมซซาเน
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
2006–2007 ลูเมซซาเน 2 (0)
2007–2010 อินแตร์นาซีโอนาเล 59 (20)
2010–2013 แมนเชสเตอร์ซิตี 54 (20)
2013–2014 มิลาน 43 (26)
2014–2016 ลิเวอร์พูล 16 (1)
2015–2016มิลาน (ยืมตัว) 20 (1)
2016–2019 นิส 61 (33)
2019 มาร์แซย์ 15 (8)
2019–2020 เบรชชา 19 (5)
2020–2021 มอนซา 8 (2)
2021– อดานา เดมีร์สปอร์ 33 (18)
2022–2023 ซิยง 18 (6)
2023– อดานา เดมีร์สปอร์ 10 (6)
ทีมชาติ
2008–2010 อิตาลี อายุไม่เกิน 21 ปี 15 (5)
2010–2018 อิตาลี 36 (14)
เกียรติประวัติ
ตัวแทนของ ธงของประเทศอิตาลี อิตาลี
Association football
UEFA Euro
รองชนะเลิศ Poland & Ukraine 2012
FIFA Confederations Cup
อันดับที่ 3 Brazil 2013
* นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 2021
‡ ข้อมูลการลงเล่นและประตูให้แก่ทีมชาติล่าสุด ณ วันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 2014

มารีโอ บาโลเตลลี บาร์วูอา (อิตาลี: Mario Balotelli Barwuah, เสียงอ่านภาษาอิตาลี: [ˈmaːrjo baloˈtɛlli])[5] นักฟุตบอลอาชีพชาวอิตาลี เล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า ปัจจุบันลงเล่นให้กับอดานา เดมีร์สปอร์ในซือเปร์ลีก

บาโลเตลลี เกิดในประเทศอิตาลี โดยมีเชื้อสายกานา ครอบครัวมีฐานะยากจนมาก แถมมีปัญหาสุขภาพตั้งแต่เด็ก ทำให้พ่อและแม่ต้องตัดสินใจส่งให้กับผู้ที่มีฐานะร่ำรวยดูแลเมื่ออายุ 3 ขวบ [6] บาโลเตลลีเริ่มอาชีพในฐานะนักฟุตบอลอาชีพกับลูเมซซาเน และได้เล่นในทีมชุดใหญ่เพียง 2 ครั้ง เคยทดสอบฝีเท้ากับบาร์เซโลนา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จากนั้นได้ร่วมกับอินเตอร์มิลาน ในปี ค.ศ. 2007 โรแบร์โต มันชีนี ผู้จัดการทีมนำบาโลเตลลีเข้าสู่ทีมชุดใหญ่ แต่เมื่อมันชีนีออกจากทีมไป วินัยของบาโลเตลลีก็แย่ลง บาโลเตลลีไม่ลงรอยกับโชเซ มูรีนโย ผู้ช่วยผู้จัดการทีม และในเดือนมกราคม ค.ศ. 2009 ก็ถูกพักออกไปจากทีมชุดใหญ่หลังมีปัญหาด้านวินัย ปัญหาเริ่มมากขึ้นในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2010 เมื่อถูกวิจารณ์อย่างหนักจากแฟน ๆ อินเตอร์มิลาน เมื่อบาโลเตลลีออกรายการโทรทัศน์อิตาลีที่ชื่อ Striscia la Notizia โดยสวมเสื้อเอ.ซี. มิลาน สถานการณ์ในทีมของบาโลเตลลียังแย่ลงเรื่อย ๆ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ยังได้ลงสนามเป็นครั้งคราว และสถานการณ์ก็มาเลวร้ายสุด ๆ เมื่อบาโลเตลลีโยนชุดอินเตอร์มิลานลงบนพื้น หลังจากถูกแฟนสโมสรโห่ในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในรอบรองชนะเลิศที่เสมอกับบาร์เซโลนา

เมื่ออนาคตกับอินเตอร์มิลานไม่แน่นอน บาโลเตลลีก็ได้รับการติดต่อจากมันชีนี อดีตผู้จัดการของอินเตอร์มิลานให้ย้ายไปร่วมกับแมนเชสเตอร์ซิตีในพรีเมียร์ลีกของอังกฤษ ที่นั่นบาโลเตลลีได้ลงเล่นอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าในช่วงปลายฤดูกาลมันชีนีก็ระบุว่า มาโลเตลลีเป็นนักฟุตบอลที่ไม่อาจจะควบคุมได้ และสั่งระงับการลงเล่นของบาโลเตลลีในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ในนัดที่พบกับเรอัลมาดริด ถึงขนาดมีข่าวลือว่าทั้งคู่เกือบจะชกต่อยกันในสนามฝึกซ้อม แต่มันชีนีก็ได้ปฏิเสธ[7] ต่อมาบาโลเตลลีได้ย้ายเล่นที่เอ.ซี. มิลาน ในอิตาลี ประเทศของตนเองอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่ต้นฤดูกาล 2014-15 เมื่อลิเวอร์พูลได้ขอซื้อตัวบาโลเตลลีกลับไปยังพรีเมียร์ลีกอีกครั้งด้วยค่าตัว 16 ล้านปอนด์ สัญญา 3 ปี[8] ทั้งที่สโมสรที่มีข่าวกับบาโลเตลลีมาอย่างต่อเนื่อง คือ อาร์เซนอล[9]

สโมสรอาชีพ[แก้]

อินเตอร์มิลาน[แก้]

บาโลเตลลีย้ายไป อินเตอร์ มิลาน ในปี 2006 โดยยืมตัวแบบเป็นเจ้าของร่วมกันในราคาเบื้องต้น 150,000 ยูโร       
วันที่ 8 พฤศจิกายน 2007 เขาเป็นส่วนหนึ่งของเกมที่พบ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด โดยเป็นแมตช์ฉลองครบรอบ 150 ปีของเชฟฟิลด์ โดยเกมนั้นเขายิงไป 2 ลูก จากชัยชนะ 5-2      บาโลเตลลี่ได้ลงเล่นนัดแรกในเซเรีย อา เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2007 แทนที่ ดาวิด ซัวโซ่ ในเกมที่ชนะ กายารี่ 2-0[10]      ในเดือน พฤศจิกายน 2008 บาโลเตลลี่ กลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุด ของอินเตอร์ มิลาน ที่ยิงประตูได้ ในรายการยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีก โดยซัดไป 1 เม็ด ในนัดเสมอ อนอร์โธซิส ฟามากัสต้า 3-3 ต่อมาเขาต้องถูกแฟนบอลยูเวนตุส ร้องเพลงตะโดนเหยียดสีผิว จนทำให้ยูเวนตุส ถูกแบนเกมในบ้านห้ามแฟนบอลเข้าสนามไป 1 เกม ทำให้จบฤดูกาลแรกของเขา พาอินเตอร์ คว้าแชมป์ลีก 4 สมัยซ้อน      ในซีซั่นที่ 2 เขาเริ่มมีปัญหาด้านพฤติกรรม โดยเฉพาะกับ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ตัดเขาออกจากทีมชุดใหญ่ ด้วยสาเหตุที่บาโลเตลลี่ซ้อมไม่มากพอเท่าผู้เล่นคนอื่นๆ ด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่ดีนักของเขากับมูรินโญ่ เกิดขึ้นอีก ในเกมเสมอ โรม่า 1-1 โดยผู้จัดการชาวโปรตุเกสบอกว่า "คะแนนความสามารถของบาโลเตลลี่เกือบจะเป็นศูนย์"[11]       
จากนั้นวันที่ 5 ธันวาคม 2009 ในเกมที่แพ้ยูเวนตุส เมื่อเขาถูกเฟลิเป้ เมโล่ ตีศอกเข้าที่หัวไหล่ จนเกิดการทะเลาะกัน และ เมโล่ ถูกไล่ออกจากสนาม       ความขัดแย้งของเขากับมูรินโญ่ยิ่งทวีหนักขึ้น ในเกมยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ ลีกในเกมชนะ เชลซี 1-0 โดยบาโลเตลลี่หลุดจากทีมชุดใหญ่หลังทะเลาะกับผู้จัดการทีม[12]      
ในเดือนมีนาคม 2010 เขาถูกแฟนๆ ของทีมวิจารณ์อย่างหนัก หลังเอาเสื้อของ เอซี มิลาน ไปใส่ออกรายการทางทีวี จนเขาต้องออกแถลงการณ์ขอโทษผ่านเว็บไซต์สโมสร ความเจ้าปัญหาของเขามาถึงจุดแตกหัก เมื่อเขาแสดงอาการไม่พอใจ โดยปาเสื้อทีมลงพื้น หลังถูกแฟน โห่ไล่ตลอดเวลาในสนาม จนทำให้ตกเป็นข่าวว่า บรรดาทีมในพรีเมียร์ ลีก อย่างแมน ยูไนเต็ด และ แมน ซิตี้ สนใจจะดึงตัวไปร่วมทีม[13]

แมนเชสเตอร์ซิตี[แก้]

 วันที่ 12 สิงหาคม 2010 บาโลเตลลี่ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ซิตี ด้วยค่าตัว 21.8 ล้านปอนด์ โดยเป็นการร่วมงานกันอีกครั้งกับเจ้านายเก่า โรแบร์โต้ มันชินี่ โดยเลือกสวมเบอร์ 45 ที่ขอมาจาก เกร็ก คันนิ่งแฮม[14] วันที่ 19 สิงหาคม 2010 บาโลตลลี่ ลงประเดิมให้ทีม ในเกมบุกไปเยือนชนะ โปเลคติก้า ทิมิโซร่า 1-0 ในยูโรป้า ลีก จากนั้นวันที่ 24 ตุลาคม 2010 ก็เปิดซิงให้ทีมในเกมลีกทีแพ้อาร์เซนอลไป 3-0  ต่อมาวันที่ 30 ตุลาคม เข้าทำให้ทีมได้ 1 ประตู ในเกมเฉือนชนะ วูลฟ์แฮมป์ตัน ไป 2-1   วันที่ 21 ธันวาคม 2010 เขาได้รับรางวัล โกลเด้น บอย ซึ่งได้รับถัดจาก ลิโอเนล เมสซี่ ในปีก่อน โดยไม่วายแขวะว่า เขาไม่รู้จัก แจ็ค วิลเชียร์ ของสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล แต่อย่างใด  วันที่ 28 ธันวาคม 2010 เขาทำแฮตทริกครั้งแรกให้ทีม ในเกมถล่ม แอสตันวิลลา 4-0  วันที่ 14 พฤษภาคม 2011 เขากลายเป็นแมนออฟเดอะแมตช์ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ที่ชนะ สโต๊ค ซิตี้ ไป 1-0 เป็นโทรฟี่แรกของสโมสรในรอบ 35 ปี
2011-12       เขาประเดิมลูกแรกของฤดูกาล 2011-12 ในนัดที่ชนะ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ไป 2-0 ในถ้วยลีกคัพ       วันที่ 23 ตุลาคม 2011 เขากดสองลูก ในเกมถล่ม แมน ยูไนเต็ด คาสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด 6-1 จากนั้นได้ประเดิมเกมถ้วยยุโรปครั้งแรก ที่พบกับบียาร์รีล โดยซัดจุดโทษไป 1 ลูก ต่อมาเขาถูกเอฟเอ แบนห้ามลงสนามไป 4 เกม หลังจากตั้งใจเตะใส่ สก็อต พาร์กเกอร์  ในเกมพบ สเปอร์ส       อย่างไรก็ตาม เขาถูกวิพากษ์อย่างหนัก ในจังหวะแย่งกันยิงฟรีคิกกับ อเล็กซานเดร์ โคลารอฟ จนมีปากเสียงกัน      วันที่ 8 เมษายน 2012 บาโลเตลลี่ ถูกแบนไปอีก 3 เกม หลังจากรับใบเหลืองไปอีก จากจังหวะไปปะทะกับ บาการี่ ซานญ่า ในเกมแพ้ อาร์เซนอล 1-0 จนมันชินี่ ต้องออกมาประกาศว่า จะให้โอกาสบาโลเตลลี่ เป็นครั้งสุดท้าย และพร้อมจะขายทิ้งหากมีปัญหาอีก ที่สุดแล้ว เขาจบซีซั่นนี้ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ ลีก นับตั้งแต่หนสุดท้ายเมื่อปี 1968[15] 
2012-13      ในเดือน ธันวาคม 2012 เขามีปัญหาอีกครั้งจนถูกลงโทษปรับเงินค่าแรง 2 สัปดาห์ ในเรื่องความประพฤติ จนพลาดการเล่นไปอีก 11 เกม เพราะโทษแบน[16]  

เอ.ซี. มิลาน[แก้]

 วันที่ 29 มกราคม 2013 เอซีมิลานประกาสคว้าตัวเขามาร่วมทีม ด้วยสัญญา 5 ปี มูลค่า 20 ล้านปอนด์  โดย มันชินี่ บอกว่า นี่คือเรื่องที่ถูกต้องที่เขาย้ายไป และสักวันเขาจะกลายเป็นนักเตะที่ดีสุดในโลก โดย บาโลเตลลี่ ยังเลือกสวมเบอร์ 45 ตามเดิม[17] 
2012-13      วันที 3 มีนาคม 2013 บาโลเตลลี่ ประเดิมเหมาสองประตูให้ มิลาน ในเกมชนะ อูดิเนเซ่ 2-1 ต่อมาเขากดเบิ้ลได้อีก ในเกมเจอ ปาร์ม่า ซีซั่นนี้เขาโชว์ฟอร์มได้น่าประทับใจมาก จบซีซั่นซัดไป 12 ลูก จาก 13 เกม  และพาทีมคว้าโควต้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ด้วย  
2013-14       วันที่ 22 กันยายน 2013 เขาพลาดการทำจุดโทษเป็นครั้งแรก จากทั้งหมด 22 หน โดยถูกเซฟจาก เปเป เรน่า ในเกมแพ้ นาโปลี 2-1       โดยเกมที่ฮือฮาของเขาคือ เกมที่เสมอ ลิวอร์โน่ 2-2 เขายิงฟรีคิกจากระยะ 30 หลา ด้วยความแรง 109 กิโลเมตรต่อชั่วโมง  
2014-15      วันที่ 21 สิงหาคม 2014 มิลานได้ตกลงขายเขาให้กับ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 16 ล้านปอนด์ โดยมีรายงานว่า เขาเตรียมออกจากมิลาน พร้อมร่ำลาทีมไว้เรียบร้อยแล้ว[18] 

ลิเวอร์พูล[แก้]

ฤดูกาล 2014-15[แก้]

บาโลเตลลีขณะที่ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูล ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2014

เอ.ซี. มิลาน[แก้]

ฤดูกาล 2015-16[แก้]

หลังจากไม่ประสบความสำเร็จที่ลิเวอร์พูล หลังสิ้นสุดฤดูกาล ในช่วงต้นฤดูกาลใหม่ บาโลเตลลีได้ย้ายกลับไปยังเอ.ซี. มิลาน อีกครั้ง ด้วยการยืมตัว ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ให้คำยืนยันว่าจะปรับปรุงพฤติกรรมตัวเองเสียใหม่[19]

ทีมชาติอิตาลี[แก้]

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012[แก้]

ขณะที่ลงเล่นให้กับอิตาลี ในฟุตบอลยูโร 2012 นัดที่พบกับอังกฤษ

วันที่ 10 มิถุนายน 2012 บาโลเตลลี่ กลายเป็นนักเตะผิวสีคนแรกที่ได้ลงสนามให้อิตาลีในทัวร์นาเม้นท์ใหญ่ ในเกมที่เสมอ สเปน 1-1 โดยเป็นเกมที่เขาโชว์ฟอร์มได้ย่ำแย่ ต่อมา วันที่ 18 มิถุนายน 2012 เขาก็ทำประตูแรกในรายการนี้ได้ในเกมชนะ ไอร์แลนด์ 2-1 โดยจังหวะฉลองประตู เขาถูก เลโอนาโด้ โบนุชชี่ ปิดปากไว้ เนื่องจากกลัวจะสร้างปัญหาอะไรขึ้นมา[20]        
ต่อมาเขาถูก เซซาเร่ ปรันเดลลี่ ดรอปไว้ข้างสนาม เนื่องจากโชว์ฟอร์มไม่ดี โดยไฮไลต์สำคัญอยู่ที่การเหมาสองลูก พาทีมชนะ เยอรมนี ไป 2-1 ภายใน 40 นาทีแรกของเกม และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศ แม้ที่สุดจะได้แค่รองแชมป์หลังแพ้ สเปน 4-0 ก็ตาม[21] 

ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก[แก้]

วันที่ 1 มิถุนายน 2014 บาโลเตลลี่ ถูกเลือกเป็น 23 ผู้เล่นทีมชาติอิตาลี ชุดลุยบอลโลก 2014 โดยนัดเปิดสนาม เขายิงประตูชัยให้ทีมชนะ อังกฤษ 2-1 แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาตกรอบแรกของรายการนี้[22] 

ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2013[แก้]

ฟุตบอลโลก 2014[แก้]

สถิติ[แก้]

สโมสร[แก้]

สโมสร ฤดูกาล ลีก ฟุตบอลถ้วย ลีกคัพ ยุโรป อื่น ๆ รวม
Division ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู
ลูเมซซาเน 2005–06 Serie C1 2 0 2 0
Total 2 0 2 0
อินเตอร์มิลาน 2007–08 เซเรียอา 11 3 4 4 0 0 0 0 15 7
2008–09 22 8 2 0 6 1 1 1 31 10
2009–10 29 9 5 1 8 1 1 0 40 11
Total 59 20 11 5 14 2 2 1 86 28
แมนเชสเตอร์ซิตี 2010–11 พรีเมียร์ลีก 17 6 5 1 0 0 6 3 28 10
2011–12 23 13 0 0 2 1 6 3 1 0 32 17
2012–13 14 1 1 0 1 1 4 1 0 0 20 3
รวม 54 20 6 1 3 2 16 7 1 0 80 30
มิลาน 2012–13 เซเรียอา 13 12 0 0 13 12
2013–14 30 14 1 1 10 3 41 18
รวม 43 26 1 1 10 3 54 30
ลิเวอร์พูล 2014–15 พรีเมียร์ลีก 16 1 4 0 3 1 5 2 0 0 28 4
รวม 16 1 4 0 3 1 5 2 0 0 28 4
รวมทั้งหมด 174 67 22 7 6 3 45 14 3 1 250 92

ทีมชาติ[แก้]

ทีมชาติ ปี ลงเล่น ประตู
อิตาลี 2010 2 0
2011 5 1
2012 9 4
2013 13 7
2014 4 1
2015 0 0
2016 0 0
2017 0 0
2018 3 1
ทั้งหมด 36 14

ประตูในนามทีมชาติ[แก้]

Scores and results list Italy's goal tally first.
# Date Venue Opponent Score Result Competition
1. 11 November 2011 Stadion Miejski, Wrocław ธงชาติโปแลนด์ โปแลนด์ 1–0 2–0 Friendly
2. 18 June 2012 Municipal Stadium, Poznań ธงชาติสาธารณรัฐไอร์แลนด์ สาธารณรัฐไอร์แลนด์ 2–0 2–0 Euro 2012
3. 28 June 2012 National Stadium, Warsaw ธงชาติเยอรมนี เยอรมนี 1–0 2–1 Euro 2012
4. 2–0
5. 16 October 2012 San Siro, Milan ธงชาติเดนมาร์ก เดนมาร์ก 3–1 3–1 2014 World Cup qualifier
6. 21 March 2013 Stade de Genève, Geneva ธงชาติบราซิล บราซิล 2–2 2–2 Friendly
7. 26 March 2013 Ta' Qali National Stadium, Ta' Qali ธงชาติมอลตา มอลตา 1–0 2–0 2014 World Cup qualifier
8. 2–0
9. 16 June 2013 Estádio do Maracanã, Rio de Janeiro ธงชาติเม็กซิโก เม็กซิโก 2–1 2–1 2013 FIFA Confederations Cup
10. 19 June 2013 Arena Pernambuco, Recife, Brazil ธงชาติญี่ปุ่น ญี่ปุ่น 3–2 4–3 2013 FIFA Confederations Cup
11. 10 September 2013 Juventus Stadium, Turin, Italy ธงชาติเช็กเกีย เช็กเกีย 2–1 2–1 2014 World Cup qualifier
12. 15 October 2013 Stadio San Paolo, Naples, Italy ธงชาติอาร์มีเนีย อาร์มีเนีย 2–2 2–2 2014 World Cup qualifier
13. 14 June 2014 Arena Amazonia, Manaus, Brazil ธงชาติอังกฤษ อังกฤษ 2–1 2–1 2014 World Cup
ณ วันที่ 14 June 2014.[23]

เกียรติประวัติ[แก้]

สโมสร[แก้]

อินเตอร์มิลาน

  • Serie A (3): 2007–08, 2008–09, 2009–10
  • Coppa Italia (1): 2009–10
  • Supercoppa Italiana (1): 2008
  • UEFA Champions League (1): 2009–10

แมนเชสเตอร์ซิตี

  • Premier League (1): 2011–12
  • FA Cup (1): 2010–11
  • FA Community Shield (1): 2012

ทีมชาติ[แก้]

  • UEFA European Football Championship Runner up: 2012
  • FIFA Confederations Cup Third place: 2013

รางวัลส่วนตัว[แก้]

  • Golden Boy Award (1): 2010
  • Serie A Team of the Year (1): 2012–13
  • FA Cup Final Man of the Match (1): 2011
  • UEFA Euro Team of the Tournament (1): 2012

อ้างอิง[แก้]

  1. "2014 FIFA World Cup Brazil List of Players" (PDF). fifa.com. Fédération Internationale de Football Association. 10 June 2014. p. 21. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (pdf)เมื่อ 2017-01-15. สืบค้นเมื่อ 25 July 2016.
  2. "Comunicato Ufficiale N. 210" [Official Communication No. 210] (PDF). legaseriea.it (ภาษาอิตาลี). Lega Serie A. 22 April 2016. p. 2. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (pdf)เมื่อ 2016-08-27. สืบค้นเมื่อ 25 July 2016.
  3. "Mario Balotelli". Barry Hugman's Footballers. สืบค้นเมื่อ 2 January 2016.
  4. "Mario Balotelli". liverpoolfc.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-09-13. สืบค้นเมื่อ 9 September 2014.
  5. "Mario Balosas" (ภาษาอิตาลี). FC Internazionale Milano. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-12-12. สืบค้นเมื่อ 18 October 2008.
  6. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ บาโล
  7. "มันชินี่ปัดทะเลาะเกรียนโอ้". sport.thaiza.com. สืบค้นเมื่อ 30 August 2014.
  8. ""หงส์แดง" เปิดตัว "บาโลเตลลี"". now26.tv. 26 August 2014. สืบค้นเมื่อ 30 August 2014.[ลิงก์เสีย]
  9. "'ปืนใหญ่' เล็งคว้า 'บาโลเตลลี' เสริมแนวรุกช่วงปิดฤดูกาล". ไทยรัฐ. 13 February 2014. สืบค้นเมื่อ 30 August 2014.
  10. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
  11. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
  12. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
  13. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
  14. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
  15. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
  16. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
  17. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
  18. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
  19. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ ลา
  20. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
  21. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
  22. "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-02-16. สืบค้นเมื่อ 2015-05-23.
  23. Matches of M. Balotelli. soccerway.com. Retrieved 19 June 2013.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]