ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ประเทศซาอุดีอาระเบีย"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: การแก้ไขแบบเห็นภาพ ลิงก์แก้ความกำกวม |
||
บรรทัด 90: | บรรทัด 90: | ||
| religion_year = ค.ศ. 2010 |
| religion_year = ค.ศ. 2010 |
||
}} |
}} |
||
'''ซาอุดีอาระเบีย''' ({{lang-en|Saudi Arabia}}; {{lang-ar|السعودية}}) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า '''ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย''' ({{lang-ar|المملكة العربية السعودية}}) เป็นรัฐ[[อาหรับ]]ใน[[เอเชียตะวันตกเฉียงใต้]] กินอาณาบริเวณกว้างขวางใน[[คาบสมุทรอาหรับ]] มีพื้นที่ประมาณ 2, |
'''ซาอุดีอาระเบีย''' ({{lang-en|Saudi Arabia}}; {{lang-ar|السعودية}}) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า '''ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย''' ({{lang-ar|المملكة العربية السعودية}}) เป็นรัฐ[[อาหรับ]]ใน[[เอเชียตะวันตกเฉียงใต้]] กินอาณาบริเวณกว้างขวางใน[[คาบสมุทรอาหรับ]] มีพื้นที่ประมาณ 2,150,000 ตารางกิโลเมตร ประเทศซาอุดีอาระเบียเป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองใน[[โลกอาหรับ]]รองจาก[[ประเทศแอลจีเรีย]] ใหญ่เป็นอันดับทีห้าใน[[ทวีปเอเชีย]] และใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันตก มีพรมแดนติด[[ประเทศจอร์แดน]]และ[[อิรัก]]ทางเหนือ [[ประเทศคูเวต]]ทางตะวันออกเฉียงเหนือ [[ประเทศกาตาร์]] [[บาห์เรน]]และ[[สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์]]ทางตะวันออก [[ประเทศโอมาน]]ทางตะวันออกเฉียงใต้ และ[[ประเทศเยเมน]]ทางใต้ และแยกกับ[[ประเทศอียิปต์]]ด้วยบริเวณตอนเหนือของ[[อ่าวอัลอะเกาะบะฮ์]] ซาอุดีอาระเบียถือเป็นประเทศเดียวที่มีชายฝั่งติดทั้ง[[ทะเลแดง]]และ[[อ่าวเปอร์เซีย]] [[ภูมิประเทศ]]ส่วนใหญ่ประกอบด้วย[[บริเวณแห้งแล้ง|ทะเลทราย]] ภูเขา และพื้นที่แห้งแล้งซึ่งไม่สามารถอยู่อาศัยได้ [[เมืองหลวง]]และเมืองขนาดใหญ่ที่สุดคือ[[รียาด]] ซาอุดีอาระเบียยังเป็นที่ตั้งของนคร[[มักกะฮ์]] และ [[อัลมะดีนะฮ์]] สองนครสำคัญทาง[[ศาสนาอิสลาม]] |
||
ใน[[ยุคก่อนประวัติศาสตร์]]ก่อนการถือกำเนิดของศาสนาอิสลาม ดินแดนของซาอุดีอาระเบียเป็นที่ตั้งของวัฒนธรรมและอารยธรรมโบราณมากมาย บริเวณนี้แสดงให้เห็นร่องรอยจากกิจกรรมของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ศาสนาอิสลามซึ่งถือเป็นศาสนาที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลกถือกำเนิดขึ้นในดินแดนปัจจุบัน ในช่วงต้นศตวรรษที่ 7 [[มุฮัมมัด]] ได้รวบรวมประชากรทั้งหมดในคาบสมุทรอาหรับเข้าด้วยกัน และถือเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างศาสนาอิสลาม<ref>{{Cite book|last=James E. Lindsay|url=http://archive.org/details/dailylifeinmedie00lind|title=Daily Life in the Medieval Islamic World|date=2005-06-30|publisher=Greenwood Press|others=Internet Archive|isbn=978-0-313-32270-9}}</ref> หลังการเสียชีวิตใน ค.ศ. 632 ผู้ติดตามของเขาได้ขยายอาณาเขตอย่างรวดเร็วภายใต้การปกครองของ[[มุสลิม|ชาวมุสลิม]] ตามมาด้วย[[การพิชิตดินแดนโดยมุสลิม|การพิชิตดินแดนครั้งใหญ่โดยมุสลิม]] (ตั้งแต่บริเวณทางตะวันตกของ[[คาบสมุทรไอบีเรีย]]ไปยังบางส่วนของ[[เอเชียกลาง]]และภูมิภาคตะวันออกของ[[เอเชียใต้]]) ในเวลาไม่กี่ทศวรรษ ราชวงศ์อาหรับที่มีต้นกำเนิดมาจากดินแดนซาอุดิอาระเบียปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้ง[[รัฐเคาะลีฟะฮ์รอชิดีน]] (ค.ศ. 632–661) [[รัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์]] (ค.ศ. 661–750) [[รัฐเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์]] (ค.ศ. 750–1517) และ [[รัฐเคาะลีฟะฮ์ฟาฏิมียะฮ์]] (ค.ศ. 909–1171) เช่นเดียวกับราชวงศ์อื่น ๆ ในเอเชีย [[ทวีปแอฟริกา|แอฟริกา]] และ[[ทวีปยุโรป|ยุโรป]] |
|||
พื้นที่ประเทศซาอุดีอาระเบียสมัยใหม่ประกอบด้วยสี่ภูมิภาคสำคัญ ได้แก่ [[ฮิญาซ]] [[นัจญด์]] และบางส่วนของอาระเบียตะวันออกและอาระเบียใต้ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียก่อตั้งในปี พ.ศ. 2475 โดย กษัตริย์ อิบนุ ซะอูด (King Ibnu Saud) พระองค์ทรงรวบรวมสี่ภูมิภาคเข้าเป็นรัฐเดี่ยวผ่านชุดการพิชิตเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2445 ด้วยการยึด[[รียาด]] บ้านบรรพบุรุษแห่ง[[ราชวงศ์ซะอูด]]ของพระองค์ นับแต่นั้น เป็นการปกครองประเทศแบบระบอบ[[สมบูรณาญาสิทธิราช]] |
|||
พื้นที่ประเทศซาอุดีอาระเบียสมัยใหม่ประกอบด้วยสี่ภูมิภาคสำคัญ ได้แก่ [[ฮิญาซ]] [[นัจญด์]] และบางส่วนของอาระเบียตะวันออกและอาระเบียใต้<ref>{{Cite book|last=Al-Rasheed|first=Madawi|url=https://books.google.co.th/books?id=JmafWmVNJAAC&pg=PA65&redir_esc=y#v=onepage&q&f=false|title=A Most Masculine State: Gender, Politics and Religion in Saudi Arabia|date=2013-03-15|publisher=Cambridge University Press|isbn=978-0-521-76104-8|language=en}}</ref> ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียก่อตั้งใน ค.ศ. 1932 โดย [[สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลอะซีซ อิบน์ ซะอูด]] ทรงรวบรวมสี่ภูมิภาคเข้าเป็นรัฐเดี่ยวผ่านการพิชิตหลายครั้งเริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1902 ด้วยการยึด[[รียาด]] บ้านบรรพบุรุษแห่ง[[ราชวงศ์ซะอูด]]ของพระองค์ นับแต่นั้น ซาอุดีอาระเบียปกครองแบบระบอบ[[สมบูรณาญาสิทธิราช]] โดยการตัดสินใจทางการเมืองตั้งอยู่บนพื้นฐานของการปรึกษาหารือระหว่าง[[พระมหากษัตริย์ซาอุดีอาระเบีย|พระมหากษัตริย์]] คณะรัฐมนตรี และชนชั้นสูง จนอาจเรียกได้ว่าเป็น[[ระบอบเผด็จการ]]<ref>{{Cite web|title=Council of Ministers System {{!}} The Embassy of The Kingdom of Saudi Arabia|url=https://www.saudiembassy.net/council-ministers-system-0|website=www.saudiembassy.net}}</ref><ref>{{Cite web|last=Wehrey|first=Frederic|last2=Wehrey|first2=Frederic|title=The Authoritarian Resurgence: Saudi Arabia’s Anxious Autocrats|url=https://carnegieendowment.org/2015/04/15/authoritarian-resurgence-saudi-arabia-s-anxious-autocrats-pub-59790|website=Carnegie Endowment for International Peace|language=en}}</ref> กลุ่มเคลื่อนไหวทางศาสนาในชื่อ [[วะฮาบีย์]] ซึ่งเป็นตัวแทนแห่ง[[ซุนนี|นิกายซุนนี]] ถูกมองว่าสะท้อนลักษณะเด่นของวัฒนธรรมซาอุ<ref>Malbouisson, Cofie D. (2007). ''Focus on Islamic issues''. ISBN <bdi>978-1-6002</bdi></ref> แม้ว่าอิทธิพลของศาสนสถานจะลดลงอย่างมากตั้งในช่วงทศวรรษ 2010 เป็นต้นมา<ref>{{Cite news|title=Saudi Crown Prince Mohammed seeks to reduce influential clerics’ power|language=en-US|work=Washington Post|url=https://www.washingtonpost.com/world/middle_east/saudi-clerics-crown-prince-mohammed/2021/08/02/9ae796a0-e3ed-11eb-88c5-4fd6382c47cb_story.html|access-date=2022-10-16|issn=0190-8286}}</ref> กฎหมายพื้นฐานของซาอุดีอาระเบียยังคงนิยามตนเองว่าเป็นรัฐอิสลามอาหรับที่มีอำนาจอธิปไตย โดยมีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ใช้[[ภาษาอาหรับ]]เป็นภาษาราชการ และกรุงรียาดมีสถานะเป็นเมืองหลวง |
|||
บ้างก็เรียกประเทศซาอุดีอาระเบียว่า "ดินแดนสองมัสยิดศักดิ์สิทธิ์" โดยหมายถึง มัสยิดอัลฮะรอมใน[[มักกะฮ์]] และมัสยิดอันนะบะวีใน[[มะดีนะฮ์]] ซึ่งเป็นสองมัสยิดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในศาสนาอิสลาม แห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย มีประชากร 28.7 ล้านคน สัญชาติซาอุดีอาระเบีย 20 ล้านคน และ 8.7 ล้านคนเป็นชาวต่างประเทศ |
|||
มีการค้นพบ[[ปิโตรเลียม]]ในวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1938 และตามมาด้วยการค้นพบอื่น ๆ อีกหลายแห่งในจังหวัดทางตะวันออก<ref>Learsy, Raymond (2011). ''Oil and Finance: The Epic Corruption''. p. 89.</ref><ref>{{Cite web|date=2016-12-12|title=Oil Discovered in Saudi Arabia - National Geographic Society|url=https://web.archive.org/web/20161212182621/http://nationalgeographic.org/thisday/mar3/oil-discovered-saudi-arabia/|website=web.archive.org}}</ref> และนับแต่นั้น ซาอุดีอาระเบียได้กลายเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก และควบคุมปริมาณน้ำมันสำรองใหญ่ที่สุดอันดับสองของโลกรองจาก[[สหรัฐ]] และมีปริมาณก๊าซสำรองมากเป็นอันดับสี่ของโลก<ref>{{Cite web|title=International - U.S. Energy Information Administration (EIA)|url=https://www.eia.gov/international/overview/world?view=production|website=www.eia.gov}}</ref> ราชอาณาจักรจัดอยู่ในเศรษฐกิจรายได้สูงของ[[ธนาคารโลก]] และเป็นประเทศอาหรับประเทศเดียวที่เป็นส่วนหนึ่งของ[[กลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ จี 20]]<ref>{{Cite news|date=2011-11-09|title=Saudi Arabia to overtake Russia as top oil producer-IEA|language=en|work=Reuters|url=https://www.reuters.com/article/russia-energy-iea-idUSL6E7M93XT20111109|access-date=2022-10-16}}</ref><ref>{{Cite book|last=Wynbrandt|first=James|url=https://books.google.co.th/books?id=99M0zoSqsF0C&pg=PA242&redir_esc=y#v=onepage&q&f=false|title=A Brief History of Saudi Arabia|date=2014-05-14|publisher=Infobase Publishing|isbn=978-1-4381-0830-8|language=en}}</ref> ซาอุดีอาระเบียได้รับการวิจารณ์ในหลายด้าน อาทิ บทบาทใน[[สงครามกลางเมืองเยเมน (พ.ศ. 2558–ปัจจุบัน)|สงครามกลางเมืองเยเมน]] การถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุนการก่อการร้ายอิสลาม และประวัติด้าน[[สิทธิมนุษยชน]]ที่ย่ำแย่ โดยเฉพาะความถี่ในการใช้[[โทษประหารชีวิต]] ตลอดจนความล้มเหลวในการดำเนินการเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ การเลือกปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยทางศาสนา และผู้ที่ไม่ศรัทธาในพระเจ้า การต่อต้าน[[ชาวยิว]] และการตีความ[[ชะรีอะฮ์|กฎหมายชารีอะฮ์]]ที่เคร่งครัด<ref>{{Cite web|last=Byman|first=Daniel L.|date=-001-11-30T00:00:00+00:00|title=Confronting Passive Sponsors of Terrorism|url=https://www.brookings.edu/research/confronting-passive-sponsors-of-terrorism/|website=Brookings|language=en-US}}</ref> |
|||
มีการค้นพบ[[ปิโตรเลียม]]ในปี พ.ศ. 2481 และประเทศซาอุดีอาระเบียเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยควบคุมน้ำมันสำรองใหญ่ที่สุดอันดับสองของโลก ราชอาณาจักรจัดอยู่ในเศรษฐกิจรายได้สูงของธนาคารโลกโดยมี[[ดัชนีการพัฒนามนุษย์]]สูง และเป็นประเทศอาหรับประเทศเดียวที่เป็นส่วนหนึ่งของ[[กลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ จี 20]] ทว่า เศรษฐกิจซาอุดีอาระเบียมีความหลากหลายน้อยที่สุดใน[[สภาความร่วมมืออ่าว]] ราชอาณาจักรเป็น[[อัตตาธิปไตย]]ราชาธิปไตยและ[[ฟรีดอมเฮาส์]]จัดว่า "ไม่เสรี" ประเทศซาอุดีอาระเบียมีรายจ่ายทางทหารสูงสุดเป็นอันดับ 4 ของโลก และในปี พ.ศ. 2553 – 2557 SIPRI พบว่าประเทศซาอุดีอาระเบียเป็นผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก ประเทศซาอุดีอาระเบียถือว่าเป็นอำนาจภูมิภาคและปานกลาง นอกเหนือจากสภาความร่วมมืออ่าว ราชอาณาจักรยังเป็นสมาชิกของ[[องค์การความร่วมมืออิสลาม]]และ[[โอเปค]]และนอกจากนี้ยังเริ่มมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางทะเลอีกด้วย |
|||
ซาอุดีอาระเบียถือเป็น[[มหาอำนาจ]]ในภูมิภาคและมหาอำนาจระดับกลางของโลก<ref>Buzan, Barry (2004). ''The United States and the Great Powers''. Cambridge: Polity Press. p. 71. ISBN <bdi>978-0-7456-3375-6</bdi>.</ref> มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดใน[[ตะวันออกกลาง]] และเป็นอันดับที่ 18 ของโลกตาม[[ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ]] และอันดับ 7 ตาม[[ภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ]] มี[[ดัชนีการพัฒนามนุษย์]]สูง พลเมืองมีสิทธิเข้าถึงการศึกษาโดยไม่เสียค่าเล่าเรียน ไม่มีการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา<ref>{{Cite web|title=Tax in Saudi Arabia {{!}} Saudi Arabia Tax Guide - HSBC Expat|url=https://www.expat.hsbc.com/expat-explorer/expat-guides/saudi-arabia/tax-in-saudi-arabia/|website=www.expat.hsbc.com|language=en-gb}}</ref> และมี[[บริการสุขภาพ]]ที่ทันสมัย ซาอุดีอาระเบียยังเป็นถิ่นอาศัยของผู้พลัดถิ่นที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเป็นสังคมผู้สูงอายุน้อยที่สุดของโลก โดยกว่าร้อยละ 50 ของประชากรจำนวน 34.2 ล้านคนมีอายุต่ำกว่า 25 ปี<ref>{{Cite web|url=https://web.archive.org/web/20200213113720/https://investsaudi.sa/en/node-1140/|website=web.archive.org}}</ref> นอกจากการเป็นสมาชิกของ[[สภาความร่วมมืออ่าว]]แล้ว ซาอุดีอาระเบียยังเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของ[[สหประชาชาติ]] [[องค์การความร่วมมืออิสลาม]] [[สันนิบาตอาหรับ]] [[องค์กรผู้ให้บริการการขนส่งทางอากาศแห่งอาหรับ]] และ [[โอเปก]] |
|||
== นิรุกติศาสตร์ == |
|||
การควบรวมของ[[ราชอาณาจักรฮิญาซ]] และ ภูมิภาคนัจญด์ นำไปสู่การก่อตั้งรัฐใหม่ในชื่อ ''"al-Mamlakah al-ʿArabīyah as-Suʿūdīyah" (การทับศัพท์คำว่า المملكة العربية السعودية ในภาษาอาหรับ)'' ตามพระราชกฤษฎีกาเมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1932 โดย [[สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลอะซีซ อิบน์ ซะอูด]] โดยทั่วไปแล้ว ชื่อนี้มีความหมายว่า ''"ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย"'' ใน[[ภาษาอังกฤษ]]<ref>{{Cite web|title=Saudi Arabia|url=https://2009-2017.state.gov/r/pa/ei/bgn/3584.htm|website=U.S. Department of State}}</ref> มีความหมายตามตัวอักษรว่า ''"อาณาจักรซาอุดิอาระเบีย"''<ref>{{Cite book|last=Lewis|first=Bernard|url=http://archive.org/details/crisisofislamhol00lewi|title=The crisis of Islam : holy war and unholy terror|date=2003|publisher=New York : Modern Library|others=Internet Archive|isbn=978-0-679-64281-7}}</ref> หรือ ''"อาณาจักรอาหรับซาอุดิอาระเบีย"''<ref>{{Cite book|last=Safran|first=Nadav|url=https://books.google.co.th/books?id=zSkIi_1T1FsC&pg=PA55&redir_esc=y#v=onepage&q&f=false|title=Saudi Arabia: The Ceaseless Quest for Security|date=1988|publisher=Cornell University Press|isbn=978-0-8014-9484-0|language=en}}</ref> |
|||
คำว่า ''"Saudi" (ซาอุดี)'' มาจากคำว่า ''as-Saʿūdīyah'' ซึ่งเป็นชื่อประเทศใน[[ภาษาอาหรับ]] โดยเป็นคำคุณศัพท์ประเภทหนึ่งที่รู้จักกันในชื่อ นิสบา ( نسبة ) เป็นชื่อของ[[ราชวงศ์ซะอูด]] (آل سعود) การรวมคำดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการแสดงทัศนะว่าประเทศนี้เป็นสมบัติส่วนตัวของราชวงศ์<ref>{{Cite book|last=Wilson|first=Peter W.|url=https://books.google.co.th/books?id=K_c9FOeeuewC&pg=PA46&redir_esc=y#v=onepage&q&f=false|title=Saudi Arabia: The Coming Storm|date=1994-07-20|publisher=M.E. Sharpe|isbn=978-0-7656-3347-7|language=en}}</ref><ref>{{Cite book|last=Kamrava|first=Mehran|url=https://books.google.co.th/books?id=CkLHZCzMEJkC&pg=PA67&redir_esc=y#v=onepage&q&f=false|title=The Modern Middle East: A Political History since the First World War|date=2011-01-03|publisher=University of California Press|isbn=978-0-520-94753-5|language=en}}</ref> ชื่อ ''"Al Saud"'' เป็นชื่อใน[[ภาษาอาหรับ]]ที่เกิดจากการเพิ่มคำว่า Al หมายถึง "ครอบครัว" หรือ "บ้านของ..."<ref>{{Cite book|last=Wynbrandt|first=James|url=http://archive.org/details/briefhistoryofsa0000wynb|title=A brief history of Saudi Arabia|date=2010|publisher=New York, NY : Facts On File|others=Internet Archive|isbn=978-0-8160-7876-9}}</ref> ในชื่อบุคคลซึ่งเป็นบรรพบุรุษของต้นตระกูล ซึ่งในกรณีของชื่อ "Al Saud" นี้ หมายถึง ''Saud bin Muhammad Al Muqrin'' พระราชบิดาของ Muhammad ''bin Saud Al Muqrin'' ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ในศตวรรษที่ 18 |
|||
== ภูมิศาสตร์ == |
== ภูมิศาสตร์ == |
||
[[ไฟล์:Saudi-desert.gif|thumb|ทะเลทรายในซาอุดีอาระเบีย]] |
[[ไฟล์:Saudi-desert.gif|thumb|ทะเลทรายในซาอุดีอาระเบีย]] |
||
ดินแดนของซาอุดีอาระเบียครอบครองพื้นที่ประมาณร้อยละ 80 บริเวณ[[คาบสมุทรอาหรับ]] (คาบสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลก)<ref>Stokes, Jamie (2009). ''Encyclopedia of the Peoples of Africa and the Middle East, Volume 1''. p. 605. ISBN <bdi>978-0-8160-7158-6</bdi>.</ref> ซึ่งอยู่ระหว่างละติจูดที่ 16° ถึง 33° เหนือ และลองจิจูด 34° ถึง 56° เนื่องจากทางใต้ของประเทศมีพรมแดนติดกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และโอมาน ขนาดที่แน่นอนของประเทศจึงไม่ได้กำหนดไว้ กองสถิติแห่ง[[สหประชาชาติ]]ประมาณการตัวเลขที่ 2,149,690 ตารางกิโลเมตร (830,000 ตารางไมล์) และระบุว่าซาอุดีอาระเบียเป็นรัฐที่ใหญ่เป็นอันดับ 12 ของโลก เป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลางและ[[แผ่นอาหรับ]]<ref>University Microfilms (2004). ''Dissertation Abstracts International: The sciences and engineering''. p. 23.</ref> |
|||
ประเทศซาอุดีอาระเบียตั้งอยู่ในภูมิภาค[[ตะวันออกกลาง]] ทิศเหนือติดอิรักและจอร์แดน ทิศตะวันออกติด [[คูเวต]] [[กาตาร์]] [[บาห์เรน]] ทิศตะวันตก [[อียิปต์]] ทิศใต้ติด[[เยเมน]] ติด[[อ่าวอาหรับ]] ([[อ่าวเปอร์เซีย]]) มีพื้นที่ประมาณ 2,149,690 ตร.กม. |
|||
ลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลายของซาอุดิอาระเบียถูกปกคลุมโดย[[ทะเลทรายอาหรับ]] [[สเตปป์]] เทือกเขาหลายแห่ง ทุ่งลาวาภูเขาไฟ และ[[ที่ราบสูง]] [[รุบอุลคอลี]] ครอบคลุมถึงสามส่วนในภาคใต้ของ[[คาบสมุทรอาหรับ]] ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเป็นทะเลทรายทรายที่มีพื้นที่ต่อเนื่องกันที่ใหญ่ที่สุดในโลก<ref>{{Cite book|last=Vincent|first=Peter|url=https://books.google.co.th/books?id=Vacv2wy3yd8C&pg=PA141&redir_esc=y#v=onepage&q&f=false|title=Saudi Arabia: An Environmental Overview|date=2008-01-17|publisher=CRC Press|isbn=978-0-203-03088-2|language=en}}</ref> แม้จะมี[[ทะเลสาบ]]ในประเทศ ทว่าซาอุดีอาระเบียถือเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลกตามขนาดพื้นที่ที่ไม่มีแม่น้ำถาวร บริเวณที่อุดมสมบูรณ์จะพบได้ในลุ่มน้ำในลุ่มน้ำ แอ่ง และโอเอซิส<ref>{{Cite web|title=Saudi Arabia {{!}} History, Map, Flag, Capital, Population, & Facts {{!}} Britannica|url=https://www.britannica.com/place/Saudi-Arabia|website=www.britannica.com|language=en}}</ref> จังหวัดทางตะวันตกเฉียงใต้ของ Asir เป็นภูเขาและมีภูเขา Sawda สูง 3,133 ม. (10,279 ฟุต) ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดในประเทศ ซาอุดีอาระเบียเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟกว่า 2,000 ลูก<ref>{{Cite web|last=Francis|first=Mohammed|title=The Tourists Guide To The 10 Amazing Volcanoes in Saudi Arabia|url=https://insidesaudi.com/the-tourists-guide-to-the-10-amazing-volcanoes-in-saudi-arabia/|website=For Lovers Of The Magic Kingdom|language=en-gb}}</ref> |
|||
ซาอุดีอาระเบียมี[[สภาพอากาศแบบทะเลทราย]]ซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึงสูงมากในตอนกลางวันโดยเฉพาะในฤดูร้อน และอุณหภูมิจะลดลงอย่างรวดเร็วในตอนกลางคืน อุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูร้อนอยู่ที่ประมาณ 45 °C (113 °F) แต่สูงสุดอาจสูงถึง 54 °C (129 °F) ในฤดูหนาว อุณหภูมิจะลดลงต่ำกว่า 0 °C (32 °F) ยกเว้นพื้นที่ส่วนใหญ่ทางเหนือของประเทศที่มีหิมะตกเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะในพื้นที่ภูเขาของ[[แคว้นตะบูก]] อุณหภูมิต่ำสุดที่บันทึกไว้จนถึงปัจจุบันคือ -12.0 °C (10.4 °F) |
|||
=== ความหลากหลายทางชีวภาพ === |
|||
ซาอุดีอาระเบียเป็นถิ่นอาศัยของระบบนิเวศภาคพื้นดิน 5 แห่ง ได้แก่ ทะเลทรายที่มีหมอกริมชายฝั่งคาบสมุทรอาหรับ ทุ่งหญ้าบริเวณเชิงเขาอาหรับทางตะวันตกเฉียงใต้ ป่าดิบเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ของอาหรับ [[ทะเลทรายอาหรับ]] และทะเลแดง [[ทะเลทรายเขตร้อนนูโบ-ซินเดียน]] และพื้นที่กึ่งทะเลทราย<ref>{{Cite journal|last=Dinerstein|first=Eric|last2=Olson|first2=David|last3=Joshi|first3=Anup|last4=Vynne|first4=Carly|last5=Burgess|first5=Neil D.|last6=Wikramanayake|first6=Eric|last7=Hahn|first7=Nathan|last8=Palminteri|first8=Suzanne|last9=Hedao|first9=Prashant|last10=Noss|first10=Reed|last11=Hansen|first11=Matt|date=2017-06-01|title=An Ecoregion-Based Approach to Protecting Half the Terrestrial Realm|url=https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5451287/|journal=Bioscience|volume=67|issue=6|pages=534–545|doi=10.1093/biosci/bix014|issn=0006-3568|pmc=5451287|pmid=28608869}}</ref> เป็นที่อยู่ของสัตว์ป่านานาชนิด อาทิ [[เสือดาวอาระเบีย]] หมาป่าอาระเบีย ไฮยีนา [[วงศ์พังพอน]] [[ลิงบาบูน]] [[แมวทราย]] สัตว์ต่าง ๆ เช่น [[ละองละมั่ง|ละมั่ง]] [[ออริกซ์]] [[เสือดาว]] และเสือ[[สกุลเสือชีตาห์|ชีตาห์]] มีจำนวนมากจนถึงศตวรรษที่ 19 เมื่อการล่าอย่างกว้างขวางทำให้สัตว์เหล่านี้เกือบจะสูญพันธุ์ [[สิงโตอินเดีย]] สัตว์ที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมอาศัยในซาอุดิอาระเบียจนถึงปลายศตวรรษที่ 19 ก่อนถูกล่าจนสูญพันธุ์จากธรรมชาติ นกพบได้ทุกภูมิภาค ได้แก่ [[อินทรี|นกอินทรี]] [[เหยี่ยว]] [[แร้ง]] นกทราย และ[[นกปรอด]] ซาอุดีาระเบียยังเป็นของงูหลายชนิด รวมถึงงูพิษหลายสายพันธุ์ และเป็นที่อยู่อาศัยของ[[สัตว์ทะเล]]ที่อุดมสมบูรณ์ ทะเลแดงเป็นหนึ่งในแหล่งระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์และหลากหลายที่สุดของโลก เป็นที่อยู่อาศัยของปลามากกว่า 1,000 ชนิด<ref>{{Cite web|title=Species in theRed Sea|url=https://www.fishbase.se/TrophicEco/FishEcoList.php?ve_code=5|website=www.fishbase.se}}</ref> |
|||
ความหลากหลายอันอุดมสมบูรณ์ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก[[พืดหินปะการัง|แนวปะการัง]]ความยาวกว่า 2,000 กม. (1,240 ไมล์) ที่ทอดยาวไปตามแนวชายฝั่ง แนวประการังเหล่านี้มีอายุ 5,000–7000 ปี และส่วนใหญ่ประกอบด้วยหินปะการังหินปะการังและปะการังพอไรต์ ทะเลแดงยังมีแนวปะการังนอกชายฝั่งหลายแห่ง การก่อตัวของแนวปะการังนอกชายฝั่งที่ผิดปกติจำนวนมากขัดต่อรูปแบบการจำแนกแนวปะการังแบบคลาสสิก และโดยทั่วไปมีสาเหตุมาจากกิจกรรมการแปรสัณฐานในระดับสูงซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพื้นที่ |
|||
== ประวัติศาสตร์ == |
== ประวัติศาสตร์ == |
||
บรรทัด 145: | บรรทัด 161: | ||
=== สิทธิมนุษยชน === |
=== สิทธิมนุษยชน === |
||
[[ไฟล์:Christian Bypass.jpg|thumb|right|280px|ป้ายถนนบนทางหลวงเข้าสู่นครมักกะฮ์ โดยทางซ้ายมือระบุว่าเป็นเส้นทางเฉพาะสำหรับ "ชาวมุสลิม" เท่านั้น ในขณะที่ป้ายขวามือสำหรับ "ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม"]] |
|||
{{โครงส่วน}} |
|||
รัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ซึ่งกำหนดให้ชาวมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมปฏิบัติตามกฎหมายชะรีอะห์ ล้วนอยู่ภายใต้การปกครองโดยเด็ดขาดของ[[ราชวงศ์ซะอูด]]ซึ่งได้รับการวิจารร์จากองค์กรและรัฐบาลระหว่างประเทศจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนภายในประเทศ<ref>{{Cite web|last=Department Of State. The Office of Electronic Information|first=Bureau of Public Affairs|title=Saudi Arabia|url=https://2001-2009.state.gov/g/drl/rls/hrrpt/2004/41731.htm|website=2001-2009.state.gov|language=en}}</ref> [[ลัทธิอำนาจนิยม]] ที่ครอบงำพลเมืองซาอุดีอาระเบียได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในกลุ่มที่ "เลวร้ายที่สุด" ในการสำรวจประจำปีโดย [[องค์กรวิจัยและสนับสนุนประชาธิปไตย เสรีภาพทางการเมือง และสิทธิมนุษยชน]] เกี่ยวกับสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมือง [[แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล]] วิจารณ์ว่าหน่วยงานด้านความมั่นคงและความยุติธรรมใช้วิธีทรมานผู้ต้องขัง เพื่อดึงคำสารภาพเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณาคดี<ref>{{Cite web|title=Saudi Arabia Archives|url=https://www.amnesty.org/en/location/middle-east-and-north-africa/saudi-arabia/report-saudi-arabia/|website=Amnesty International|language=en}}</ref> ซาอุดีอาระเบียงดเว้นจากการลงคะแนนเสียงของสหประชาชาติที่รับรอง[[ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน]] โดยกล่าวว่าขัดต่อ[[ชะรีอะฮ์|กฎหมายอิสลาม]]<ref>{{Cite book|last=Abiad|first=Nisrine|url=https://books.google.co.th/books?id=dex7TKuoUhgC&redir_esc=y|title=Sharia, Muslim States and International Human Rights Treaty Obligations: A Comparative Study|date=2008|publisher=BIICL|isbn=978-1-905221-41-7|language=en}}</ref> ตัวเลขการประหารชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยการประหารชีวิตในปี 2016 2019 และ 2022 ถูกประณามจากกลุ่มสิทธิระหว่างประเทศ<ref>{{Cite book|last=Anishchenkova|first=Valerie|url=https://books.google.co.th/books?id=F7XjDwAAQBAJ&pg=PA74&redir_esc=y#v=onepage&q&f=false|title=Modern Saudi Arabia|date=2020-06-01|publisher=ABC-CLIO|isbn=978-1-4408-5705-8|language=en}}</ref> |
|||
กฎหมายของซาอุดีอาระเบียไม่ให้การรับรอง[[กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ|ความหลากหลายทางเพศ]] หรือเสรีภาพทางศาสนา รวมถึงข้อห้ามในการปฏิบัติของพลเมืองที่มิใช่มุสลิม<ref>{{Cite web|date=2010-03-15|title=2009 Human Rights Report: Saudi Arabia|url=https://web.archive.org/web/20100315154836/http://www.state.gov/g/drl/rls/hrrpt/2009/nea/136079.htm|website=web.archive.org}}</ref> ระบบยุติธรรมของประเทศสนับสนุนการลงโทษประหารชีวิตเป็นประจำ รวมถึงการประหารชีวิตในที่สาธารณะด้วยการตัดศีรษะ<ref>{{Cite web|title=Rights group condemns Saudi beheadings|url=https://www.nbcnews.com/id/wbna27184784|website=NBC News|language=en}}</ref> โทษประหารชีวิตบังคับใช้ได้สำหรับความผิดที่หลากหลาย<ref>{{Cite web|date=2003-08-09|title=Saudi system condemned|url=http://www.theguardian.com/world/2003/aug/09/saudiarabia.brianwhitaker|website=the Guardian|language=en}}</ref> รวมถึงการฆาตกรรม, ข่มขืน, การโจรกรรมด้วยอาวุธ, การใช้ยาเสพติด, การละทิ้งความเชื่อทางศาสนา, การล่วงประเวณี, การใช้เวทมนตร์คาถาอย่างงมงาย และสามารถทำได้โดยการตัดศีรษะด้วยดาบ การขว้างปาหิน หรือการยิง ตามด้วยตรึงกางเขน<ref>{{Cite news|date=2003-06-05|title=Saudi executioner tells all|language=en-GB|url=http://news.bbc.co.uk/2/hi/middle_east/2966790.stm|access-date=2022-10-16}}</ref> ในเดือนเมษายน 2020 ศาลฎีกาซาอุดีอาระเบียได้ออกคำสั่งให้ยกเลิกการลงโทษการเฆี่ยนตีออกจากกฎหมายของซาอุดิอาระเบีย และให้แทนที่ด้วยโทษจำคุกหรือปรับ<ref>{{Cite news|date=2020-04-24|title=Saudi Arabia to abolish flogging - supreme court|language=en-GB|work=BBC News|url=https://www.bbc.com/news/world-middle-east-52420307|access-date=2022-10-16}}</ref><ref>{{Cite web|date=2020-04-24|title=In landmark decision, Saudi Arabia to eliminate flogging punishment|url=https://english.alarabiya.net/News/gulf/2020/04/24/Saudi-courts-ordered-to-stop-use-of-lashing-as-punishment-Okaz-report|website=Al Arabiya English|language=en}}</ref> |
|||
ประชากรสตรีในซาอุดีอาระเบียต้องเผชิญกับ[[การเลือกปฏิบัติ]]ในชีวิตประจำวัน และอยู่ภายใต้ระบบการปกครองซึ่งถือว่าประชากรหญิงเปรียบเสมมือนผู้เยาว์<ref>{{Cite web|date=2016-08-26|title=Women and Saudi Arabia’s Male Guardianship System {{!}} HRW|url=https://web.archive.org/web/20160826080422/https://www.hrw.org/report/2016/07/16/boxed/women-and-saudi-arabias-male-guardianship-system|website=web.archive.org}}</ref> แม้จะมีประชากรหญิงกว่า 70% ได้สิทธิลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัย ทว่าด้วยเหตุผลทางสังคม แรงงานสตรียังคิดเป็นกว่า 5% ของแรงงานทั้งหมดในประเทศ<ref>{{Cite web|title=Public Debate in Saudi Arabia on Employment Opportunities for Women|url=https://www.memri.org/reports/public-debate-saudi-arabia-employment-opportunities-women|website=MEMRI|language=en}}</ref> การปฏิบัติต่อสตรีในประเทศได้รับการขนานนามว่าเป็น "การแบ่งแยกเพศ" อย่างชัดเจน<ref>{{Cite web|date=2009-11-13|title=The Australian who has become a prisoner of gender apartheid|url=https://www.smh.com.au/world/the-australian-who-has-become-a-prisoner-of-gender-apartheid-20091113-ier0.html|website=The Sydney Morning Herald|language=en}}</ref> ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศปลายทางที่มีชื่อเสียงสำหรับชายและหญิงที่ถูกค้ามนุษย์เพื่อการใช้แรงงานทาส และการแสวงประโยชน์ทางเพศในเชิงพาณิชย์ ชายและหญิงจากเอเชียกลาง ตะวันออกกลาง แอฟริกา และอื่น ๆ อีกมากมายสมัครใจเดินทางไปซาอุดีอาระเบียในฐานะคนรับใช้ในบ้านหรือแรงงานที่มีทักษะต่ำ ทว่ามีบางรายที่ถูกบังคับไปโดยไม่สมัครใจ |
|||
=== กองทัพ === |
=== กองทัพ === |
||
[[ไฟล์:RSAF Typhoon at Malta - Gordon Zammit.jpg|thumbnail|[[ยูโรไฟเตอร์ ไทฟูน]] ของกองทัพอากาศซาอุดีอาระเบีย]] |
|||
{{บทความหลัก|กองทัพซาอุดีอาระเบีย}}กองกำลังทหารของซาอุดิอาระเบียประกอบด้วยกองกำลังย่อยสาขาต่าง ๆ ได้แก่ กองทัพอากาศ, กองทัพเรือ, การป้องกันทางอากาศของราชวงศ์, กองกำลังขีปนาวุธยุทธศาสตร์, กองกำลังป้องกันดินแดนแห่งชาติ, กองทหารรักษาการณ์, กองกำลังรักษาชายแดน, กองกำลังฉุกเฉิน, กองกำลังรักษาความปลอดภัยพิเศษ และ[[หน่วยรักษาความปลอดภัยพิเศษ]] รวมจำนวนเจ้าหน้าที่ประจำการทุกสาขาเกือบ 480,700 ราย นอกจากนี้ยังมี[[หน่วยสืบราชการลับ]] รับผิดชอบการในเรื่องการแสวงหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับราชการ |
|||
ซาอุดีอาระเบียมีความสัมพันธ์ทางการทหารกับ[[ประเทศปากีสถาน|ปากีสถาน]]มาอย่างยาวนาน มีการสันนิษฐานว่าซาอุดีอาระเบียได้ให้ทุนสนับสนุนโครงการ[[อาวุธนิวเคลียร์|ระเบิดปรมาณู]]ของปากีสถานอย่างลับ ๆ และมีความพยายามซื้ออาวุธปรมาณูจากปากีสถานในอนาคตอันใกล้นี้<ref>{{Cite book|last=Venter|first=Al J.|url=http://archive.org/details/allahsbombislami0000vent|title=Allah's bomb : the Islamic quest for nuclear weapons|date=2007|publisher=Guilford, CT : Lyons|others=Internet Archive|isbn=978-1-59921-205-0}}</ref><ref>{{Cite web|date=2003-11-07|title=Asia Times - Asia's most trusted news source for the Middle East|url=https://web.archive.org/web/20031107031736/http://www.atimes.com/atimes/Middle_East/EK07Ak01.html|website=web.archive.org}}</ref> ซาอุดีอาระเบียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการใช้จ่ายทางทหารสูงที่สุดในโลก โดยประมาณการใช้จ่ายกว่า 8% ของจีดีพีประเทศในการทหาร ตามการประมาณการของ SIPRI ในปี 2020 ซึ่งกำหนดให้ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่ใช้จ่ายด้านการทหารมากเป็นอันดับสามของโลกรองจากสหรัฐ และจีน<ref>{{Cite web|title=Global defence spending: the United States widens the gap|url=https://www.iiss.org/blogs/military-balance/2020/02/global-defence-spending|website=IISS|language=en}}</ref> และยังเป็นผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลกระหว่างปี 2015 ถึง 2019 โดยเป็นผู้รับอาวุธกว่าครึ่งหนึ่งที่สหรัฐส่งออกมายังตะวันออกกลาง<ref>{{Cite web|title=USA and France dramatically increase major arms exports; Saudi Arabia is largest arms importer, says SIPRI {{!}} SIPRI|url=https://www.sipri.org/media/press-release/2020/usa-and-france-dramatically-increase-major-arms-exports-saudi-arabia-largest-arms-importer-says|website=www.sipri.org}}</ref> การใช้จ่ายด้านการป้องกันและความปลอดภัยเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990 และมีมูลค่าประมาณ 78.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ ปี 2019 |
|||
จากข้อมูลของบีไอซีซี ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่มีกำลังทหารมากเป็นอันดับที่ 28 ของโลก และมีอุปกรณ์ทางทหารที่ดีที่สุดเป็นอันดับสองในภูมิภาคนี้ รองจาก[[ประเทศอิสราเอล|อิสราเอล]] ซาอุดีอาระเบียยังพัฒนาคลังแสงเทคโนโลยีชั้นสูงที่ทันสมัย ทำให้เป็นประเทศติดอาวุธที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งหนึ่งในโลก โดยอุปกรณ์ทางทหารของประเทศส่วนใหญ่ได้รับการส่งมอบจากสหรัฐ [[ประเทศฝรั่งเศส|ฝรั่งเศส]] และ[[สหราชอาณาจักร]]<ref>{{Cite web|title=About this Collection {{!}} Country Studies {{!}} Digital Collections {{!}} Library of Congress|url=https://www.loc.gov/collections/country-studies/about-this-collection/|website=Library of Congress, Washington, D.C. 20540 USA}}</ref> โดยสหรัฐทำการค้าอาวุธ และอุปกรณ์ทางการทหารด้วยมูลค่าสูงถึง 80 พันล้านดอลลาร์ระหว่าง ค.ศ. 1951 ถึง 2006 ให้แก่กองทัพซาอุดีอาระเบีย<ref>{{Cite web|date=2010-11-11|title=U.S. Arms Clients Profiles--SAUDI ARABIA|url=https://web.archive.org/web/20101111112056/https://fas.org/asmp/profiles/saudi_arabia.htm|website=web.archive.org}}</ref> เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 2010 [[กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ]] ได้แจ้งเจตนารมย์ต่อ[[รัฐสภาสหรัฐ|สภาคองเกรส]]ถึงความตั้งใจที่จะขายอาวุธที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ ซึ่งจะเป็นมูลค่าการซื้อขายกว่า 60.5 พันล้านดอลลาร์ แผนการนี้แสดงถึงการพัฒนาความสามารถในการพัฒนากองทัพซาอุดีอาระเบียอย่างมาก<ref>{{Cite web|date=2010-12-05|title=U.S. Middle East Policy-Arms for the King and His Family: The U.S. Arms Sale to Saudi Arabia|url=https://web.archive.org/web/20101205012554/http://www.jcpa.org/JCPA/Templates/ShowPage.asp?DRIT=1&DBID=1&LNGID=1&TMID=111&FID=376&PID=0&IID=5177&TTL=Arms_for_the_King_and_His_Family:_The_U.S._Arms_Sale_to_Saudi_Arabia|website=web.archive.org}}</ref> ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012 บีเออี บริษัทชั้นนำด้านการป้องกันของอังกฤษได้ลงนามในข้อตกลงมูลค่า 1.9 พันล้านปอนด์ (3 พันล้านดอลลาร์) เพื่อจัดหาเครื่อง [[บีเออี ฮ็อค]] ให้แก่ซาอุดีอาระเบีย<ref>{{Cite web|title=Reuters {{!}} Breaking International News & Views|url=https://www.reuters.com/|website=Reuters|language=en}}</ref> ตามรายงานของ[[สถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม]] ระหว่างปี 2010–2018 ซาอุดีอาระเบียกลายเป็นผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่เป็นอันดับสองของโลก โดยได้รับอาวุธหลักมากกว่าใน ค.ศ. 2005–2009 ถึงสี่เท่า การนำเข้าที่สำคัญประกอบด้วยเครื่องบินรบ 45 ลำจากสหราชอาณาจักร เฮลิคอปเตอร์ต่อสู้ 38 ลำจากสหรัฐอเมริกา เครื่องบินบรรทุกน้ำมัน 4 ลำจากสเปน และ[[รถถัง|ยานเกราะ]]มากกว่า 600 คันจากแคนาดา |
|||
=== ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ === |
|||
[[ไฟล์:Obama meets King Abdullah July 2014.jpg|thumb|[[ประธานาธิบดีสหรัฐ|ประธานาธิบดี]] [[บารัก โอบามา]] และ [[สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลอฮ์ บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด]] ถ่ายเมื่อ ค.ศ. 2014]] |
|||
ซาอุดีอาระเบียเข้าร่วมสหประชาชาติในปี 1945 และยังเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของ[[สหประชาชาติ]] [[องค์การความร่วมมืออิสลาม]] [[สันนิบาตอาหรับ]] [[องค์กรผู้ให้บริการการขนส่งทางอากาศแห่งอาหรับ]] และ [[โอเปก]] ซาอุดีอาระเบียสนับสนุนการก่อตั้งสหภาพศุลกากรอาหรับในปี 2015 และตลาดร่วมอาหรับตามที่ประกาศใน[[การประชุมสุดยอดสันนิบาตอาหรับ]]ปี 2009<ref>{{Cite web|title=KUNA : Arab leaders issue resolutions, emphasize Gaza reconstruction efforts - - 20/01/2009|url=https://www.kuna.net.kw/ArticleDetails.aspx?id=1969914&language=en|website=www.kuna.net.kw}}</ref> ตั้งแต่ ค.ศ. 1960 ในฐานะสมาชิกผู้ก่อตั้งโอเปก ราชอาณาจักรมีบาทบาทนำในการนโยบายการกำหนดราคาน้ำมันโดยทั่วไป ทำให้ตลาดน้ำมันโลกมีเสถียรภาพและพยายามลดการผันผวนของราคาเพื่อไม่ให้กระทบต่อเศรษฐกิจตะวันตก<ref>{{Cite web|title=OPEC : Brief History|url=https://www.opec.org/opec_web/en/about_us/24.htm|website=www.opec.org}}</ref> ใน ค.ศ. 1973 ซาอุดีอาระเบียและประเทศอาหรับอื่น ๆ ได้กำหนดห้ามขนส่งน้ำมันกับสหรัฐ สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และประเทศตะวันตกอื่น ๆ ที่สนับสนุนอิสราเอลใน[[สงครามยมคิปปูร์]]<ref>{{Cite news|date=1973-11-23|title=The Arab Oil Threat|language=en-US|work=The New York Times|url=https://www.nytimes.com/1973/11/23/archives/the-arab-oil-threat.html|access-date=2022-10-16|issn=0362-4331}}</ref> การคว่ำบาตรทำให้เกิดวิกฤตการณ์น้ำมันที่มีผลกระทบในระยะสั้นและระยะยาวมากมายต่อการเมืองและเศรษฐกิจโลก |
|||
ระหว่างกลางทศวรรษ 1970 ถึง 2002 ซาอุดีอาระเบียใช้เงินกว่า 70 พันล้านดอลลาร์ใน "ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาในต่างประเทศ" ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ และตั้งแต่ประธานาธิบดี [[บารัก โอบามา]] เข้ารับตำแหน่งในปี 2009 สหรัฐได้ค้าอาวุธให้กับซาอุดีอาระเบียคิดเป็นมูลค่ากว่า 110,000 ล้านดอลลาร์<ref>{{Cite web|last=Norton|first=Ben|date=2016-08-30|title=Rights group blasts U.S. "hypocrisy" in "vast flood of weapons" to Saudi Arabia, despite war crimes|url=https://www.salon.com/2016/08/30/rights-group-blasts-u-s-hypocrisy-in-vast-flood-of-weapons-to-saudi-arabia-despite-war-crimes/|website=Salon|language=en}}</ref> อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดีอาระเบียและสหรัฐเริ่มตึงเครียดและได้เห็นการลดลงอย่างมากในช่วงปีสุดท้ายของการบริหารของโอบามา<ref>{{Cite news|date=2016-09-29|title=Obama: Congress veto override of 9/11 lawsuits bill 'a mistake'|language=en-GB|work=BBC News|url=https://www.bbc.com/news/world-us-canada-37503224|access-date=2022-10-16}}</ref><ref>{{Cite web|date=2016-10-15|title=We finally know what Hillary Clinton knew all along – Saudi Arabia is funding Isis|url=https://www.independent.co.uk/voices/hillary-clinton-wikileaks-email-isis-saudi-arabia-qatar-us-allies-funding-barack-obama-knew-all-along-a7362071.html|website=The Independent|language=en}}</ref> แม้ว่าโอบามาจะอนุญาตให้กองกำลังสหรัฐให้การสนับสนุนด้าน[[โลจิสติกส์]]และข่าวกรองแก่ซาอุดีอาระเบียในการแทรกแซงทางทหารในเยเมน<ref>{{Cite news|date=2016-04-19|title=How strained are US-Saudi relations?|language=en-GB|work=BBC News|url=https://www.bbc.com/news/world-middle-east-36083990|access-date=2022-10-16}}</ref> ในช่วงทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 21 ซาอุดีอาระเบียจ่ายเงิน 100 ล้านดอลลาร์ให้แก่บริษัทอเมริกันเพื่อล็อบบี้รัฐบาลสหรัฐ เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ. 2017 ประธานาธิบดี [[ดอนัลด์ ทรัมป์]] และกษัตริย์ซัลมานได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงสำหรับซาอุดีอาระเบียเพื่อซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ มูลค่ารวม 110 พันล้านดอลลาร์ทันที และ 350 พันล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 10 ปี<ref>{{Cite web|last=News|first=A. B. C.|title=The truth about President Trump's $110 billion Saudi arms deal|url=https://abcnews.go.com/International/truth-president-trumps-110-billion-saudi-arms-deal/story?id=47874726|website=ABC News|language=en}}</ref> ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2021 [[วุฒิสภาสหรัฐ]] ลงมติคัดค้านข้อเสนอให้หยุดการขายขีปนาวุธอากาศสู่อากาศพิสัยกลางขั้นสูงมูลค่า 650 ล้านดอลลาร์ไปยังซาอุดีอาระเบีย เพื่อไม่ให้มีการแทรกแซงทางทหารในเยเมน |
|||
ความสัมพันธ์กับชาติตะวันออกกลางหลายชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง [[ประเทศอิหร่าน|อิหร่าน]]และ[[ประเทศอิรัก|อิรัก]]เต็มไปด้วยความตึงเครียด จากการเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นกับสหรัฐ<ref>{{Cite web|date=2007-11-22|title=Iraq's foreign militants 'come from US allies'|url=http://www.theguardian.com/world/2007/nov/22/iraq.peterwalker1|website=the Guardian|language=en}}</ref> และบทบาทของซาอุดีอาระเบียใน[[สงครามอ่าว]]ปี 1991 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่กองทหารสหรัฐ ประจำการบนซาอุดีอาระเบียตั้งแต่ปี 1991 กระตุ้นให้เกิดการตอบโต้ของอิสลามิสต์ และขยายเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงสืบถึงปัจจุบัน จีนถือเป็นอีกหนึ่งพันธมิตรที่สำคัญ ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ชาวซาอุดีอาระเบียจำนวนมากได้แสดงมุมมองเชิงบวกต่อจีนเช่นกัน<ref>{{Cite web|title=Saudi Poll: China Leads U.S.; Majority Back Curbs on Extremism, Coronavirus|url=https://www.washingtoninstitute.org/policy-analysis/saudi-poll-china-leads-us-majority-back-curbs-extremism-coronavirus|website=The Washington Institute|language=en}}</ref> ใน ค.ศ. 2019 [[มุฮัมมัด บิน ซัลมาน]] ออกมาปกป้อง[[กลุ่มค่ายปรับทัศนคติซินเจียง]] โดยกล่าวว่า ''"จีนมีสิทธิ์ดำเนินการต่อต้านการก่อการร้ายและขจัดความรุนแรงเพื่อความมั่นคงของชาติ"<ref>{{Cite web|last=Ma|first=Alexandra|title=Saudi crown prince defended China's imprisonment of a million Muslims in internment camps, giving Xi Jinping a reason to continue his 'precursors to genocide'|url=https://www.businessinsider.com/saudi-crown-prince-defends-china-oppression-of-muslims-in-xinjiang-mohammed-bin-salman-2019-2|website=Business Insider|language=en-US}}</ref>'' ในเดือนกรกฎาคม 2019 [[เอกอัครราชทูตสหประชาชาติ]]ใน 37 ประเทศ รวมทั้งซาอุดิอาระเบีย ได้ลงนามในจดหมายร่วมถึง[[คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ]] เพื่อปกป้องการปฏิบัติต่อ[[ชาวอุยกูร์]]ของจีนและชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่น ๆ ใน[[เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์]] |
|||
เพื่อปกป้อง[[ราชวงศ์คาลิฟา]]แห่งบาห์เรน ซาอุดีอาระเบียได้ส่งกองทหารไปปราบปรามการประท้วงของชาวบาห์เรนเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2011<ref>{{Cite web|date=2011-03-14|title=Saudi Arabian troops enter Bahrain as regime asks for help to quell uprising|url=http://www.theguardian.com/world/2011/mar/14/saudi-arabian-troops-enter-bahrain|website=the Guardian|language=en}}</ref> รัฐบาลซาอุดิอาระเบียถือว่าการลุกฮือในระยะเวลา 2 เดือนเป็น "ภัยคุกคามด้านความปลอดภัย" ที่เกิดจากชาวชีอะห์ ซึ่งเป็นตัวแทนของประชากรส่วนใหญ่ของบาห์เรน เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 2015 ซาอุดีอาระเบียซึ่งเป็นผู้นำของกลุ่มรัฐมุสลิม[[ซุนนี]] ได้เริ่มการแทรกแซงทางทหารในเยเมนเพื่อต่อต้านกลุ่มชีอะห์ และกองกำลังที่จงรักภักดีต่ออดีตประธานาธิบดี [[อาลี อับดุลลาห์ ซาเลห์]] ซึ่งถูกปลดออกจากการลุกฮือของชาว[[อาหรับสปริง]] มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 56,000 คนจากเหตุรุนแรงในเยเมนระหว่างเดือนมกราคม 2016 ถึงเดือนตุลาคม 2018<ref>{{Cite web|date=2018-10-26|title='The Yemen war death toll is five times higher than we think – we can't shrug off our responsibilities any longer'|url=https://www.independent.co.uk/voices/yemen-war-death-toll-saudi-arabia-allies-how-many-killed-responsibility-a8603326.html|website=The Independent|language=en}}</ref> ซาอุดีอาระเบีย ร่วมกับ[[ประเทศกาตาร์|กาตาร์]]และ[[ประเทศตุรกี|ตุรกี]] สนับสนุนกองทัพแห่งชัยชนะอย่างเปิดเผย<ref>{{Cite web|date=2015-09-19|title=Gulf-allies-and-‘Army-of-Conquest’ - Al-Ahram Weekly|url=https://web.archive.org/web/20150919055514/http://weekly.ahram.org.eg/News/12392/21/Gulf-allies-and-%E2%80%98Army-of-Conquest%E2%80%99.aspx|website=web.archive.org}}</ref><ref>{{Cite web|title='Army of Conquest' rebel alliance pressures Syria regime|url=http://news.yahoo.com/army-conquest-rebel-alliance-pressures-syria-regime-090529121.html|website=news.yahoo.com|language=en-US}}</ref> กลุ่มกองกำลังต่อต้านรัฐบาลที่ต่อสู้ในสงครามกลางเมืองซีเรีย |
|||
ในเดือนมีนาคม 2015 [[ประเทศสวีเดน|สวีเดน]]ยกเลิกข้อตกลงด้านอาวุธกับซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นการยุติข้อตกลงด้านการป้องกันประเทศที่มีมายาวนานกว่าทศวรรษกับราชอาณาจักร การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นหลังจากรัฐมนตรีต่างประเทศสวีเดนถูกซาอุดีอาระเบียขัดขวาง ขณะพูดเกี่ยวกับประชาธิปไตยและสิทธิสตรีที่สันนิบาตอาหรับในกรุงไคโร<ref>{{Cite web|date=2015-03-13|title=At last, a Western country stands up to Saudi Arabia on human rights|url=https://www.independent.co.uk/news/world/middle-east/saudi-ambassador-to-sweden-recalled-at-last-a-western-country-stands-up-to-saudi-arabia-on-human-rights-10103652.html|website=The Independent|language=en}}</ref> ซาอุดีอาระเบียถูกมองว่าเป็นอิทธิพลปานกลางใน[[ความขัดแย้งอาหรับ–อิสราเอล]] ในช่วงต้นปี 2014 ความสัมพันธ์กับกาตาร์เริ่มตึงเครียดจากการสนับสนุนกลุ่มอิควานมุสลิมีน และความเชื่อของซาอุดีอาระเบียว่ากาตาร์กำลังแทรกแซงกิจการของตน ซาอุดีอาระเบียและพันธมิตรได้วิพากษ์วิจารณ์ช่องทีวี[[อัลญะซีเราะฮ์]]ในกาตาร์ และความสัมพันธ์ของกาตาร์กับอิหร่าน ใน ค.ศ. 2017 ซาอุดิอาระเบียได้เริ่มต้นการปิดล้อมทางบก ทางน้ำ และทางอากาศในกาตาร์<ref>{{Cite web|title=Qatar-Gulf crisis: Your questions answered|url=https://www.aljazeera.com/features/2020/6/5/qatar-gulf-crisis-your-questions-answered|website=www.aljazeera.com|language=en}}</ref> |
|||
ใน ค.ศ. 2017 ซาอุดีอาระเบียวางแผนที่จะสกัดยูเรเนียมภายในประเทศซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ[[พลังงานนิวเคลียร์]] เพื่อก้าวไปสู่ความพอเพียงในการผลิตเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2017 รัฐบาลได้ลงนามใน[[บันทึกความเข้าใจ]]กับจีนเพื่อสำรวจและประเมินยูเรเนียม เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 2020 มีรายงานว่าซาอุดีอาระเบียได้สร้างโรงงานในทะเลทรายในภูมิภาคเมดินาสำหรับการสกัดยูเรเนียมด้วยความช่วยเหลือของประเทศจีน<ref>{{Cite news|date=2017-08-25|title=Saudi Arabia signs cooperation deals with China on nuclear energy|language=en|work=Reuters|url=https://www.reuters.com/article/saudi-china-nuclear-idUSL8N1LB1CE|access-date=2022-10-16}}</ref> เมื่อวันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 2020 [[เดอะการ์เดียน|เดอะการ์เดียนไ]]ด้เผยแพร่รายงานพิเศษที่เปิดเผยว่าซาอุดีอาระเบียกำลังปูทางสำหรับการผลิตเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ในประเทศ รายงานลับที่ได้รับจากสื่อระบุว่า ราชอาณาจักรได้รับความช่วยเหลือจาก[[นักธรณีวิทยา]]จีนในการผลิตยูเรเนียมมากกว่า 90,000 ตันจากแหล่งสะสมหลักสามแห่งในใจกลาง และทางตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบีย ใกล้กับบริเวณการพัฒนาเมืองใหม่ที่จะเป็นศูนย์กลางทางการค้าอย่างนีอุม |
|||
[[ไฟล์:DF-ST-92-08022-C.jpg|thumb|left|สงครามอ่าวเปอร์เซีย (Gulf War)]] |
[[ไฟล์:DF-ST-92-08022-C.jpg|thumb|left|สงครามอ่าวเปอร์เซีย (Gulf War)]] |
||
บรรทัด 173: | บรรทัด 214: | ||
== เศรษฐกิจ == |
== เศรษฐกิจ == |
||
=== โครงสร้าง === |
=== โครงสร้าง === |
||
[[ไฟล์:Kingdom Tower at night.JPG|thumb|left|กรุงรียาด]] |
[[ไฟล์:Kingdom Tower at night.JPG|thumb|left|[[รียาด|กรุงรียาด]] เมืองหลวงของประเทศ]] |
||
ซาอุดีอาระเบีย มีปริมาณ[[น้ำมัน]]สำรองมากที่สุดในโลก คิดเป็นประมาณ 260 พันล้านบาร์เรลหรือประมาณ |
ณ เดือนตุลาคม ค.ศ. 2018 ซาอุดีอาระเบียเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลางและเป็นอันดับที่ 18 ของโลก<ref>{{Cite web|title=Report for Selected Countries and Subjects|url=https://www.imf.org/en/Publications/WEO/weo-database/2021/October/weo-report|website=IMF|language=en}}</ref> ซาอุดีอาระเบีย มีปริมาณ[[น้ำมัน]]สำรองมากที่สุดในโลก คิดเป็นประมาณ 260 พันล้านบาร์เรล หรือประมาณหนึ่งในสี่ของปริมาณน้ำมันสำรองของโลก โดยที่รายรับของประเทศประมาณ 2 ใน 3 มาจากการส่งออกน้ำมัน เศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบียจึงขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันโลกค่อนข้างมาก ในช่วงหลัง[[การบุกครองคูเวต|สงครามอิรัก-คูเวต]] ภาระค่าใช้จ่ายในระหว่าง[[วิกฤตการณ์อ่าวเปอร์เซีย]]ประกอบกับรายได้ที่ลดลงจากการตกต่ำของราคาน้ำมัน และรายจ่ายภาครัฐบาลซึ่งส่วนใหญ่เป็นการซื้ออาวุธ ทำให้ซาอุดีอาระเบีย เผชิญปัญหาขาดดุลงบประมาณติดต่อกัน อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโดยรวมของซาอุดีอาระเบีย ยังอยู่ในสภาพที่มั่นคง การลงทุนภาคเอกชนมีมากขึ้น ความพยายามในการกระจายรายรับโดยการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่น้ำมันเริ่มประสบผลสำเร็จ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในต่อหัว ''(Per Capita Gross Domestic Product GDP Per Capita)'' ของซาอุดีอาระเบีย มีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมาเนื่องจากอัตราเพิ่มของประชากรมีมากกว่าอัตราความเจริญทางเศรษฐกิจ |
||
[[อุตสาหกรรมน้ำมัน]]คิดเป็น 45% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของซาอุดีอาระเบีย เทียบกับ 40% ของภาคเอกชน ซาอุดีอาระเบียมีน้ำมันสำรองอย่างเป็นทางการประมาณ 260 พันล้านบาร์เรล (4.1×1010 m3) ซึ่งประกอบด้วยประมาณหนึ่งในห้าของปริมาณสำรองปิโตรเลียมทั้งหมดที่ถูกค้นพบแล้วของโลก<ref>{{Cite web|title=International - U.S. Energy Information Administration (EIA)|url=https://www.eia.gov/international/overview/world|website=www.eia.gov}}</ref> [[โอเปก]] จำกัดการผลิตน้ำมันของสมาชิกโดยพิจารณาจาก "ปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้ว" ปริมาณสำรองที่เผยแพร่ของซาอุดิอาระเบียมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยตั้งแต่ปี 1980 คือเพิ่มขึ้นประมาณ 100 พันล้านบาร์เรล (1.6×1010 m3) ระหว่างปี 1987 ถึง 1988<ref>{{Cite web|date=2010-11-22|title=Wayback Machine|url=https://web.archive.org/web/20101122123445/http://www.eia.doe.gov/pub/international/iealf/crudeoilreserves.xls|website=web.archive.org}}</ref> ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 ถึง 2013 "บริการสาธารณูประโภคหลักหลายประการ" ได้รับการปฏิรูป เช่น ประปาเทศบาล ไฟฟ้า โทรคมนาคม และบางส่วนของการศึกษาและการดูแลสุขภาพ การควบคุมการจราจร และการรายงานอุบัติเหตุทางรถยนต์ ดัชนี ''TASI'' ของตลาดหลักทรัพย์ซาอุดิอาระเบียพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 16,712.64 ในปี 2005 และปิดที่ 8,535.60 ณ สิ้นปี 2013 ในเดือนพฤศจิกายน 2005 ซาอุดีอาระเบียได้รับการอนุมัติให้เป็นสมาชิก[[องค์การการค้าโลก]] รัฐบาลได้จัดตั้งสำนักงานการลงทุนทั่วไปของซาอุดีอาระเบียเพื่อส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในราชอาณาจักร ซาอุดีอาระเบียมีรายชื่อภาคอุตสาหกรรมที่ห้ามการลงทุนจากต่างประเทศ แต่รัฐบาลมีแผนที่จะเปิดการลงทุนในบางส่วน เช่น [[โทรคมนาคม]] [[การประกันภัย]] และการส่ง/จำหน่ายไฟฟ้าในอนาคต |
|||
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในต่อหัว (Per Capita Gross Domestic Product GDP Per Capita) ของซาอุดีอาระเบีย มีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมาเนื่องจากอัตราเพิ่มของประชากรมีมากกว่าอัตราความเจริญทางเศรษฐกิจ |
|||
นอกจากปิโตรเลียมและก๊าซแล้ว ซาอุดีอาระเบียยังมีภาคการทำเหมืองทองคำที่สำคัญ และอุตสาหกรรมแร่ที่สำคัญอื่น ๆ ภาคเกษตรกรรม (โดยเฉพาะในตะวันตกเฉียงใต้) เป็นที่ตั้งหลักของผลิตผลจากผัก ผลไม้ อินทผลัม ฯลฯ และปศุสัตว์และงานชั่วคราวจำนวนมากที่สร้างขึ้นโดยผู้แสวงบุญฮัจญ์ประจำปีประมาณสองล้านคน ซาอุดีอาระเบียกำลังเปิดใช้งานท่าเรือของตนมากขึ้นเพื่อมีส่วนร่วมในการค้าระหว่างยุโรปและจีนนอกเหนือจากการขนส่งน้ำมัน ด้วยเหตุนี้ ท่าเรือต่าง ๆ กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีการลงทุนด้านโลจิสติกส์ ประเทศนี้ในปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ[[เส้นทางสายไหม]]ทางทะเลที่วิ่งจากชายฝั่งจีนไปทางทิศใต้ผ่านปลายด้านใต้ของ[[ประเทศอินเดีย|อินเดีย]]ไปยัง[[มอมบาซา]] ผ่านทะเลแดงและ[[คลองสุเอซ]]ไปยัง[[ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน]] ไปจนถึง[[ภูมิภาคเอเดรียติก]]ตอนบน สู่ศูนย์กลางเมือง [[ตรีเยสเต]] ทางตอนเหนือของ[[ประเทศอิตาลี|อิตาลี]] พร้อมเส้นทางรถไฟไปยัง[[ยุโรปกลาง]] [[ยุโรปตะวันออก]] และ[[ทะเลเหนือ]]<ref>{{Cite web|last=Network|first=WANG KAIHAO China Daily Asia News|date=2018-03-24|title=Ancient silk road port found in Saudi Arabia|url=https://www.nationthailand.com/international/30341660|website=nationthailand|language=en}}</ref><ref>{{Cite web|date=2016-09-03|title=How Saudi Arabia revived the ancient Silk Road|url=https://www.arabnews.com/node/979341/saudi-arabia|website=Arab News|language=en}}</ref><ref>{{Cite web|title=China to Boost Belt and Road Links with Saudi Arabia|url=https://maritime-executive.com/article/china-to-boost-belt-and-road-links-with-saudi-arabia|website=The Maritime Executive|language=en}}</ref><ref>{{Cite web|title=Insights|url=https://www.business.hsbc.ae/en-gb/insights|website=www.business.hsbc.ae|language=en-gb}}</ref> |
|||
=== สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน === |
|||
{{โครงส่วน}} |
|||
ตัวเลขและสถิติด้านความยากจนในราชอาณาจักรไม่สามารถหาได้จากแหล่งข้อมูลของสหประชาชาติ เนื่องจากรัฐบาลซาอุดีอาระเบียไม่ได้ออกเอกสารใด ๆ ในเรื่องนี้<ref>{{Cite news|title=Poverty Hides Amid Saudi Arabia's Oil Wealth|language=en|work=NPR.org|url=https://www.npr.org/2011/05/19/136439885/poverty-hides-amid-saudi-arabias-oil-wealth|access-date=2022-10-16}}</ref> ในเดือนธันวาคม 2011 กระทรวงมหาดไทยของซาอุดีอาระเบียได้จับกุมนักข่าวสามคน และกักขังเป็นเวลาเกือบสองสัปดาห์เพื่อสอบปากคำหลังจากที่พวกเขาอัปโหลดวิดีโอในหัวข้อดังกล่าวบน[[ยูทูบ]]<ref>{{Cite web|date=2011-10-23|title=Saudi film-makers enter second week of detention|url=http://www.theguardian.com/world/2011/oct/23/feras-boqna-saudi-arabia-poverty|website=the Guardian|language=en}}</ref> โดยเจ้าของวิดีโอได้ให้ข้อมูลว่าประชากรกว่า 22% ของประเทศอาจประสบความยากจน<ref>{{Cite web|date=2012-01-03|title=A foreign Saudi plot to expose foreign poverty in foreign Saudi « Lebanon Spring|url=https://web.archive.org/web/20120103204944/http://lebanonspring.com/2011/10/19/plot-to-show-foreign-poverty-in-foreign-saudi-arabia-arab-spring-youtube-video/|website=web.archive.org}}</ref> |
|||
=== เกษตรกรรม === |
|||
[[ไฟล์:Jabal Al Qara Cave - Al Hassa, Saudi Arabia ജബൽ അൽ ഖാറ ഗുഹ, അൽ ഹസ, സൗദി അറേബ്യ 13.JPG|thumb|209x209px|ภุูมิภาคอัล-อะซาห์ ได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก ขึ้นชื่อเรื่อง[[ต้นปาล์ม]]และ[[อินทผลัม]] มีต้นปาล์มมากกว่า 30 ล้านต้น ซึ่งผลิตอินทผลัมมากกว่า 100,000 ตันทุกปี]] |
|||
การพัฒนาการเกษตรขนาดใหญ่ที่จริงจังเริ่มขึ้นในทศวรรษ 1970 รัฐบาลได้เปิดตัวโครงการสำคัญเพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ เพื่อสร้างถนนในชนบท เครือข่ายชลประทาน โรงเก็บและส่งออก และส่งเสริมสถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตร เป็นผลให้มีการเติบโตอย่างมหัศจรรย์ในการผลิตอาหารพื้นฐานทั้งหมด ปัจจุบันซาอุดีอาระเบียมีทรัพยากรอาหารหลายอย่างในประเทศอย่างพอเพียง รวมทั้ง[[เนื้อสัตว์]] [[นม]] และ[[ไข่ (อาหาร)|ไข่]] ประเทศเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลี อินทผลัม ผลิตภัณฑ์นม ไข่ ปลา สัตว์ปีก ผลไม้ ผัก และดอกไม้ไปยังตลาดทั่วโลก นอกจากนี้ ชาวนาซาอุดีอาระเบียยังปลูกธัญพืชอื่นๆ จำนวนมาก เช่น ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง ในปี ค.ศ. 2016 รัฐบาลประกาศยุติการผลิต[[ข้าวสาลี]]ในประเทศเพื่อรักษาทรัพยากรน้ำ<ref>{{Cite web|title=Saudi Arabia ends domestic wheat production {{!}} World-grain.com {{!}} March 18, 2016 14:23 {{!}} World Grain|url=https://www.world-grain.com/articles/6275-saudi-arabia-ends-domestic-wheat-production-program|website=www.world-grain.com|language=en}}</ref> |
|||
ซาอุดีอาระเบียมีฟาร์มโคนมที่ทันสมัย และใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง การผลิตน้ำนมมีอัตราการผลิตต่อปีที่ 6,800 ลิตร (1,800 แกลลอนสหรัฐ) ซึ่งเป็นหนึ่งในปริมาณที่สูงที่สุดในโลก บริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์นมในท้องถิ่น ''Almarai'' เป็นบริษัทนมครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง<ref>{{Cite web|date=2008-11-13|title=Elopak|url=https://web.archive.org/web/20081113093305/http://www.elopak.com/site/cms.jsp?node=11449|website=web.archive.org}}</ref> ความสำเร็จทางการเกษตรที่น่าทึ่งที่สุดของราชอาณาจักรซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก คือการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากการเป็นผู้นำเข้ามาเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีใน ค.ศ. 1978 ประเทศได้สร้างโรงเก็บเมล็ดพืชแห่งแรกขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน ซาอุดีอาระเบียเริ่มส่งออกข้าวสาลีไปยัง 30 ประเทศ รวมทั้งจีนและอดีต[[สหภาพโซเวียต]] และในพื้นที่การผลิตหลักอย่างตะบูก ลูกเห็บ และกอซิม ผลผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 8.1 ตันต่อเฮกตาร์ (3.6 ตันสั้น/เอเคอร์) อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้เพิ่มการผลิตผักและผลไม้ด้วยการปรับปรุงทั้งเทคนิคทางการเกษตรและถนนที่เชื่อมโยงเกษตรกรกับผู้บริโภคในเมือง ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้ส่งออกผักและผลไม้รายใหญ่ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน พืชผลส่วนใหญ่ได้แก่ แตงโม องุ่น ผลไม้รสเปรี้ยว หัวหอม สควอช และมะเขือเทศ บริเวณทางตะวันตกเฉียงใต้ที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ของประเทศ<ref>{{Cite web|title=Agriculture & Water {{!}} The Embassy of The Kingdom of Saudi Arabia|url=https://www.saudiembassy.net/agriculture-water|website=www.saudiembassy.net}}</ref> |
|||
=== การท่องเที่ยว === |
=== การท่องเที่ยว === |
||
แม้ว่าการท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในซาอุดีอาระเบียยังคงเกี่ยวข้องกับ[[การจาริกแสวงบุญ|การแสวงบุญ]]ทางศาสนาเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีการเติบโตในภาคการท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อน และนันทนาการ จากข้อมูลของ[[ธนาคารโลก]] มีผู้เดินทางมาซาอุดีอาระเบียประมาณ 14.3 ล้านคนในปี 2012 ทำให้เป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากเป็นอันดับ 19 ของโลก<ref>{{Cite news|title=Wish you were here|work=The Economist|url=https://www.economist.com/middle-east-and-africa/2014/07/19/wish-you-were-here|access-date=2022-10-16|issn=0013-0613}}</ref> การท่องเที่ยวเป็นองค์ประกอบสำคัญของวิสัยทัศน์ซาอุดิอาระเบียปี 2030 และจากรายงานของ ''BMI Research'' ในปี 2018 พบว่าการท่องเที่ยวทั้งเชิงศาสนาและนันทนาการมีศักยภาพในการขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ |
|||
{{บทความหลัก|การท่องเที่ยวในซาอุดีอาระเบีย}} |
|||
{{โครงส่วน}} |
|||
นับตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 2018 รัฐบาลเสนอ[[การตรวจลงตรา]]อิเล็กทรอนิกส์สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาและคอนเสิร์ต ในเดือนกันยายน 2019 รัฐบาลได้ประกาศแผนการที่จะเปิดการยื่นขอการตรวจลงตราสำหรับผู้มาเยือน ซึ่งผู้คนจากประมาณ 50 ประเทศจะสามารถขอกาตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยวไปยังซาอุดีอาระเบียได้ |
|||
== โครงสร้างพื้นฐาน == |
== โครงสร้างพื้นฐาน == |
||
บรรทัด 190: | บรรทัด 239: | ||
=== การศึกษา === |
=== การศึกษา === |
||
[[ไฟล์:UIS literacy rate Saudi Arabia population plus15 1990-2015.png|thumb|อัตราการรู้หนังสือของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป ระหว่าง ค.ศ. 1990–2015]] |
|||
{{บทความหลัก|การศึกษาในซาอุดีอาระเบีย}} |
|||
การศึกษาในทุกระดับไม่มีค่าใช้จ่าย แม้ว่าการศึกษาระดับอุดมศึกษาจะจำกัดเฉพาะพลเมืองเท่านั้น<ref>{{Cite web|title=Saudi Education System|url=https://www.ukessays.com/essays/education/the-saudi-education-system-education-essay.php|website=www.ukessays.com|language=en}}</ref> ระบบการศึกษาประกอบด้วยโรงเรียนประถม และมัธยมศึกษา ชั้นเรียนมีการแยกตามเพศชัดเจน ในระดับมัธยมศึกษา สามารถเลือกโรงเรียนได้ 3 แบบ คือ ศึกษาทั่วไป เทคนิค หรือ การศึกษาเพื่อศาสนา<ref>{{Cite web|title=K 12 Education System of Saudi Arabia Classes 1 to 12|url=https://www.saudiarabiaeducation.info/k12/saudi-arabia-k-12-education-system.html|website=www.saudiarabiaeducation.info}}</ref> [[อัตราการรู้หนังสือ]]ของประเทศอยู่ที่ 99% ในเพศชายชายและ 96% ในเพศหญิงในปี 2020<ref>{{Cite web|title=Literacy rate, adult female (% of females ages 15 and above) {{!}} Data|url=https://data.worldbank.org/indicator/SE.ADT.LITR.FE.ZS|website=data.worldbank.org}}</ref><ref>{{Cite web|title=Literacy rate, adult male (% of males ages 15 and above) {{!}} Data|url=https://data.worldbank.org/indicator/SE.ADT.LITR.MA.ZS|website=data.worldbank.org}}</ref> สำหรับเยาวชน อัตราการรู้หนังสือเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 99.5% สำหรับทั้งสองเพศ<ref>{{Cite web|title=Literacy rate, youth male (% of males ages 15-24) - Saudi Arabia {{!}} Data|url=https://data.worldbank.org/indicator/SE.ADT.1524.LT.MA.ZS?locations=SA|website=data.worldbank.org}}</ref><ref>{{Cite web|title=Literacy rate, youth female (% of females ages 15-24) - Saudi Arabia {{!}} Data|url=https://data.worldbank.org/indicator/SE.ADT.1524.LT.FE.ZS?locations=SA|website=data.worldbank.org}}</ref> |
|||
{{โครงส่วน}} |
|||
ตามแผนการศึกษาสำหรับการศึกษาระดับมัธยมศึกษา 1435–1438 [[ปฏิทินฮิจเราะห์]] นักเรียนที่ลงทะเบียนในเส้นทาง "วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ" จะต้องศึกษาวิชาศาสนาห้าวิชา ได้แก่ [[เตาฮีด]] [[ฟิกฮฺ]] ตัฟซีร [[หะดีษ]] และการศึกษาอิสลามและ[[อัลกุรอาน|คัมภีร์กุรอาน]] อย่างไรก็ตาม ใน ค.ศ. 2021 กระทรวงศึกษาธิการของซาอุดีอาระเบียได้ควบรวมวิชาทางศาสนาอิสลามหลายวิชาเข้าบรรุในตำราเล่มเดียว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปหลายครั้ง เพื่อปรับปรุงระบบการศึกษาของโรงเรียน นอกจากนี้ นักศึกษายังต้องลงทะเบียนในสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์ 6 วิชา ได้แก่ [[คณิตศาสตร์]] [[ฟิสิกส์]] [[เคมี]] [[ชีววิทยา]] [[ธรณีวิทยา]] และ[[คอมพิวเตอร์]] การศึกษาระดับอุดมศึกษาขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยจำนวนมากก่อตั้งขึ้นมาโดยเฉพาะตั้งแต่ทศวรรษ 2000 สถาบันอุดมศึกษาประกอบด้วยมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศ [[มหาวิทยาลัยซาอูด]] ก่อตั้งขึ้นในปี 1957 มหาวิทยาลัยอิสลามแห่ง[[อัลมะดีนะฮ์]] ก่อตั้งในปี 1961 และมหาวิทยาลัยคิงอับดุลอาซิซ ใน[[ญิดดะฮ์]] ก่อตั้งขึ้นในปี 1967 [[มหาวิทยาลัยปรินเซสโนรา บินท อับดุลารามัน]] เป็นมหาวิทยาลัยสำหรับสตรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก่อตั้งใน ค.ศ. 1970 |
|||
อันดับทางวิชาการของมหาวิทยาลัยโลก จัดอันดับสถาบันซาอุดีอาระเบีย 4 แห่งรวมอยู่ในรายชื่อมหาวิทยาลัยชั้นนำ 500 แห่งในปี 2021<ref>{{Cite web|title=ShanghaiRanking's Academic Ranking of World Universities|url=https://www.shanghairanking.com/rankings/arwu/2021|website=www.shanghairanking.com}}</ref> การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก ''QS'' แสดงรายการมหาวิทยาลัยซาอุดีอาระเบีย 14 แห่งจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกปี 2022 และมหาวิทยาลัย 23 แห่งรวมอยู่ใน 100 อันดับแรกในโลกอาหรับ<ref>{{Cite web|title=QS Arab Region University Rankings 2022|url=https://www.topuniversities.com/university-rankings/arab-region-university-rankings/2022|website=Top Universities|language=en}}</ref> |
|||
ใน ค.ศ. 2018 ซาอุดีอาระเบียอยู่ในอันดับที่ 28 ของโลกในด้านผลงานวิจัยคุณภาพสูงตามวารสารทางวิทยาศาสตร์ Nature ทำให้เป็นประเทศตะวันออกกลาง ประเทศอาหรับ และประเทศมุสลิมที่มีผลงานดีที่สุด ซาอุดีอาระเบียใช้จ่าย 8.8% ของ[[ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ]]เพื่อการศึกษา เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 4.6%<ref>{{Cite web|date=2019-05-28|title=Saudi Arabia most improved economy for business|url=https://www.arabnews.com/node/1503356/business-economy|website=Arab News|language=en}}</ref> ซาอุดีอาระเบียอยู่ในอันดับที่ 66 ใน[[ดัชนีนวัตกรรมโลก]]ในปี 2021 เพิ่มขึ้นจากอันดับที่ 68 ในปี 2019<ref>{{Cite web|title=Global Innovation Index 2019|url=https://www.wipo.int/global_innovation_index/en/2019/index.html|website=www.wipo.int|language=en}}</ref><ref>{{Cite web|title=RTD - Global Innovation Index 2020 (Cornell/Insead/WIPO)|url=https://ec.europa.eu/newsroom/rtd/items/691898|website=ec.europa.eu}}</ref> การท่องจำโดยท่องส่วนใหญ่ของ[[อัลกุรอาน]] การตีความและความเข้าใจ (''[[ตัฟซีร]]'') และการนำประเพณีอิสลามมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันเป็นหัวใจสำคัญของ ศาสนาที่สอนในลักษณะนี้ยังเป็นวิชาบังคับสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยทุกคนหลักสูตร<ref>{{Cite web|date=2001-11-01|title=Education in Saudi Arabia|url=https://wenr.wes.org/2001/11/wenr-nov-dec-2001-education-in-saudi-arabia|website=WENR|language=en-US}}</ref> อย่างไรก็ตาม [[สำนักข่าวกรองกลาง|ซีไอเอ]]รายงานถึงผลที่ตามมาก็คือ เยาวชนซาอุดิอาระเบีย "โดยทั่วไปขาดการศึกษาและทักษะทางเทคนิคที่ภาคเอกชนต้องการ" |
|||
ภาคศาสนาของหลักสูตรระดับชาติของซาอุดีอาระเบียได้รับการตรวจสอบในรายงานปี 2006 โดย Freedom House ซึ่งสรุปว่า "หลักสูตรศาสนาของโรงเรียนรัฐบาลของซาอุดิอาระเบียยังคงเผยแพร่อุดมการณ์แห่งความเกลียดชังต่อ "ผู้ไม่ศรัทธา" นั่นคือ [[คริสต์ศาสนิกชน|คริสเตียน]] ยิว ชีอะต์ และศูฟี ,ชาวมุสลิมซุนนีย์ที่ไม่ปฏิบัติตามหลักคำสอนของวะฮาบี, ชาวฮินดู, ผู้ไม่เชื่อในพระเจ้า และอื่น ๆ"<ref>{{Cite web|date=2008-12-11|title=freedomhouse.org: Press Release|url=https://web.archive.org/web/20081211172311/http://www.freedomhouse.org/template.cfm?page=70&release=379|website=web.archive.org}}</ref> |
|||
=== สาธารณสุข === |
=== สาธารณสุข === |
||
การดูแลสุขภาพในซาอุดีอาระเบียเป็นระบบการดูแลสุขภาพระดับชาติที่รัฐบาลให้บริการดูแลสุขภาพผ่านหน่วยงานของรัฐหลายแห่ง ซาอุดีอาระเบียได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 26 ประเทศที่ดีที่สุดในการให้บริการด้านการดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพสูง<ref>{{Cite journal|last=Al-Hanawi|first=Mohammed Khaled|last2=Khan|first2=Sami A.|last3=Al-Borie|first3=Hussein Mohammed|date=2019-02-27|title=Healthcare human resource development in Saudi Arabia: emerging challenges and opportunities—a critical review|url=https://doi.org/10.1186/s40985-019-0112-4|journal=Public Health Reviews|volume=40|issue=1|pages=1|doi=10.1186/s40985-019-0112-4|issn=2107-6952|pmc=PMC6391748|pmid=30858991}}</ref> กระทรวงสาธารณสุขของซาอุดิอาระเบีย (MOH) เป็นหน่วยงานหลักของรัฐบาลที่ได้รับความไว้วางใจให้ดูแลด้านการป้องกัน รักษา และฟื้นฟูสุขภาพสำหรับประชากรของราชอาณาจักร ต้นกำเนิดของกระทรวงสามารถสืบย้อนไปถึง ค.ศ. 1925 เมื่อมีการจัดตั้งหน่วยงานด้านสุขภาพในภูมิภาคหลายแห่ง โดยแห่งแรกในเมืองมักกะห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย สถาบันสุขภาพต่าง ๆ ถูกควบรวมกันใน ค.ศ. 1950 [[อับดุลลาห์ บิน ไฟซาล อัล ซาอุด]] เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนแรกและดำรงตำแหน่งเป็นเวลาสามปี โดยมีบทบาทหลักในการจัดตั้งกระทรวงที่จัดตั้งขึ้นใหม่<ref>{{Cite web|date=2007-05-09|title=Abdullah Al-Faisal Passes Away|url=https://www.arabnews.com/node/298147|website=Arab News|language=en}}</ref> |
|||
{{โครงส่วน}} |
|||
กระทรวงสาธารณสุขจัดการแข่งขันระหว่างแต่ละอำเภอ และระหว่างบริการทางการแพทย์และโรงพยาบาลต่าง ๆ แนวคิดนี้ส่งผลให้มีการสร้างโครงการ "Ada'a" ซึ่งเปิดตัวในปี 2016 ระบบใหม่นี้เป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพระดับประเทศสำหรับบริการและโรงพยาบาล หลังจากการนำตาราง KPI ใหม่ไปใช้ เวลาในการรอการรับบริการ และการวัดผลที่สำคัญอื่น ๆ ก็ดีขึ้นอย่างมากทั่วทั้งราชอาณาจักร<ref>{{Cite web|date=2018-10-15|title=Saudi Arabia’s 937 Service Center received 80,007 calls last week|url=https://www.arabnews.com/node/1387831/saudi-arabia|website=Arab News|language=en}}</ref> กระทรวงได้พัฒนายุทธศาสตร์ใหม่ หรือที่เรียกว่ากลยุทธ์การควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย หรือเรียกสั้นๆ ว่า DPAS<ref>{{Cite web|date=2018-08-01|title=It’s time to tip the scale against Saudi Arabia’s obesity problem|url=https://www.arabnews.com/node/1349476|website=Arab News|language=en}}</ref> การดูแลตนเองที่ไม่ดีในบรรดาประชากรบางกลุ่มในประเทศ ทำให้เกิดการเลือกวิถีชีวิตที่ไม่ดี ส่งผลให้กระทรวงแนะนำว่าควรขึ้นภาษีสำหรับอาหาร เครื่องดื่ม และบุหรี่ที่ไม่ดีต่อสุขภาพในภูมิภาค |
|||
ซาอุดีอาระเบียมีความคาดหมายคงชีพเฉลี่ยที่ 75 ปี (73.79 สำหรับผู้ชาย และ 76.61 สำหรับผู้หญิง) อัตราการเสียชีวิตของทารกในปี 2019 เท่ากับ 5.7 ต่อ 1,000 ราย<ref>{{Cite web|title=Life expectancy at birth, total (years) - Saudi Arabia {{!}} Data|url=https://data.worldbank.org/indicator/SP.DYN.LE00.IN?locations=SA&most_recent_value_desc=true|website=data.worldbank.org}}</ref> ในปี 2016 ประชากรผู้ใหญ่ 69.7% มีน้ำหนักเกิน และ 35.5% เป็นโรคอ้วน<ref>{{Cite web|title=Noncommunicable diseases: Risk factors|url=https://www.who.int/data/gho/data/themes/topics/topic-details/GHO/ncd-risk-factors|website=www.who.int|language=en}}</ref> การสูบบุหรี่ในซาอุดีอาระเบียในทุกกลุ่มอายุเป็นที่แพร่หลาย ในปี 2009 เปอร์เซ็นต์เฉลี่ยของผู้สูบบุหรี่ต่ำสุดคือนักศึกษามหาวิทยาลัย (~13.5%) ในขณะที่ผู้สูงอายุมีอัตราสูงสุด (~25%) การศึกษายังพบว่าร้อยละของผู้สูบบุหรี่ชายนั้นสูงกว่าเพศหญิงมาก (~26.5% สำหรับผู้ชาย, ~9% สำหรับผู้หญิง) ก่อนปี 2010 ซาอุดีอาระเบียไม่มีนโยบายห้ามหรือจำกัดการสูบบุหรี่ |
|||
=== สวัสดิการสังคม === |
=== สวัสดิการสังคม === |
||
บรรทัด 200: | บรรทัด 261: | ||
== ประชากรศาสตร์ == |
== ประชากรศาสตร์ == |
||
ประชากรของซาอุดีอาระเบีย ณ เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2013 คาดว่าจะอยู่ที่ 26.9 ล้านคน แม้ว่าประชากรซาอุดีอาระเบียได้รับการพิสูจน์แล้วว่ายากต่อการประมาณการอย่างแม่นยำมาเป็นเวลานานเนื่องจากแนวโน้มของผู้นำซาอุดีอาระเบียที่จะขยายผลการสำรวจสำมะโนประชากร<ref>{{Cite news|title=Saudi Arabia on the dole|work=The Economist|url=https://www.economist.com/international/2000/04/20/saudi-arabia-on-the-dole|access-date=2022-10-16|issn=0013-0613}}</ref> ประชากรซาอุดีอาระเบียเติบโตอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 1950 และหลายปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตของประชากรสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่ประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ต่อปี<ref>{{Cite book|last=Long|first=David E.|url=http://archive.org/details/culturecustomsof00long|title=Culture and customs of Saudi Arabia|date=2005|publisher=Greeenwood Press|others=Internet Archive|isbn=978-0-313-32021-7}}</ref> องค์ประกอบทางชาติพันธุ์ของพลเมืองซาอุดีอาระเบียประกอบไปด้วยชาวอาหรับคิดเป็น 90% และแอฟโฟร-อาหรับอีก 10% |
|||
=== เชื้อชาติ === |
|||
ประเทศซาอุดีอาระเบียนั้นมีประชากรประมาณ 27 ล้านคน |
|||
ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ชาวซาอุดีอาระเบียส่วนใหญ่ใช้ชีวิตแบบยังชีพในจังหวัดชนบท แต่ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ดินแดนทั้งหมดได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในปี 2012 ชาวซาอุดีอาระเบียประมาณ 80% อาศัยอยู่ในเขตเมืองใหญ่ โดยเฉพาะรียาด [[ญิดดะฮ์|ญิดดะห์]] หรือ [[อัดดัมมาม]] |
|||
{{เมืองใหญ่สุดในซาอุดีอาระเบีย}} |
{{เมืองใหญ่สุดในซาอุดีอาระเบีย}} |
||
บรรทัด 211: | บรรทัด 273: | ||
=== กีฬา === |
=== กีฬา === |
||
ฟุตบอลเป็นกีฬาประจำชาติของชาวซาอุดีอาระเบีย ฟุตบอลทีมชาติซาอุดีอาระเบีย เป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งใน[[ทวีปเอเชีย]] โดยชนะเลิศการแข่งขัน[[เอเชียนคัพ]] 3 สมัย (ค.ศ. 1984, 1988 และ 1996) และเป็นหนึ่งในสองทีมที่เข้าชิงชนะเลิศรายการนี้มากที่สุด 6 ครั้ง ซาอุดีอาระเบียเข้าร่วม[[ฟุตบอลโลก]]รอบสุดท้าย 6 ครั้ง และยังเป็นชาติแรกในเอเชียที่เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศการแข่งขันของฟีฟ่าในนามทีมชาติชุดใหญ่ |
|||
กระโดดยาง |
|||
==== ฟุตบอล ==== |
|||
[[การดำน้ำสกูบา]] วินด์เซิร์ฟ เรือใบ และบาสเกตบอล (ซึ่งเล่นโดยทั้งชายและหญิง) ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน ทีมบาสเกตบอลแห่งชาติซาอุดีอาระเบียที่คว้าเหรียญทองแดงในการแข่งขันชิงแชมป์เอเชียปี 1999<ref>https://web.archive.org/web/20111028000423/http://saudiembassy.net/files/PDF/Publications/Magazine/1998-Winter/slamdunk.htm</ref><ref>{{Cite web|date=2012-01-20|title=Saudi women show greater interest in sports and games - Arab News|url=https://web.archive.org/web/20120120102128/http://arabnews.com/saudiarabia/article463435.ece|website=web.archive.org}}</ref><ref>{{Cite web|date=2012-01-18|title=Men Basketball Asia Championship 1999 Fukuoka (JPN)- 28.08-05.09 Winner China|url=https://web.archive.org/web/20120118115942/http://todor66.com/basketball/Asia/Men_1999.html|website=web.archive.org}}</ref> กีฬาแบบดั้งเดิมเช่น การแข่งม้าและอูฐก็เป็นที่นิยมเช่นกัน สนามกีฬาในริยาดจัดการแข่งขันในฤดูหนาวประจำปีซึ่งเริ่มขึ้นในปี 1974 เป็นหนึ่งในการแข่งขันที่สำคัญที่สุดของกีฬาและดึงดูดสัตว์และผู้ขับขี่จากทั่วทั้งภูมิภาค การล่าสัตว์ป่าในสภาพธรรมชาติและที่อยู่อาศัยโดยใช้นกล่าเหยื่อที่ได้รับการฝึกฝนเป็นอีกหนึ่งกีฬาที่ได้รับความนิยม |
|||
{{บทความหลัก|สมาคมฟุตบอลซาอุดีอาระเบีย|ฟุตบอลทีมชาติซาอุดีอาระเบีย|ฟุตซอลทีมชาติซาอุดีอาระเบีย}} |
|||
{{โครงส่วน}} |
|||
กีฬาของสตรีเป็นที่ถกเถียงกันเนื่องจากการปราบปรามการมีส่วนร่วมของสตรีโดยเจ้าหน้าที่กลุ่มอนุรักษ์นิยม อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดนี้ผ่อนคลายลงเล็กน้อยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา<ref>{{Cite web|last=Elwazer|first=Schams|date=2013-05-05|title=Saudi government sanctions sports in girls' private schools|url=https://www.cnn.com/2013/05/05/world/meast/saudi-arabia-girls-sports/index.html|website=CNN|language=en}}</ref><ref>{{Cite web|date=2014-09-17|title=Saudi Arabia: No Women on Asian Games Team|url=https://www.hrw.org/news/2014/09/17/saudi-arabia-no-women-asian-games-team|website=Human Rights Watch|language=en}}</ref> จนถึงปี 2018 สตรีไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าชมกีฬาในสนาม ที่นั่งแบบแยกส่วนซึ่งอนุญาตให้ประชากรสตรีเข้าได้ ได้รับการพัฒนาในสนามกีฬาสามแห่งทั่วเมืองใหญ่ในประเทศ<ref>{{Cite web|last=Hallam|first=Emanuella Grinberg,Jonny|date=2017-10-30|title=Saudi Arabia to let women into sports stadiums|url=https://www.cnn.com/2017/10/29/middleeast/saudi-arabia-women-sports-arenas/index.html|website=CNN|language=en}}</ref> |
|||
== วัฒนธรรม == |
== วัฒนธรรม == |
||
{{บทความหลัก|วัฒนธรรมซาอุดีอาระเบีย}}ซาอุดีอาระเบียมีทัศนคติและขนบธรรมเนียมเก่าแก่หลายศตวรรษ ซึ่งมักมาจากอารยธรรมอาหรับ ปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมของซาอุดีอาระเบียคือมรดกอิสลามและประเพณีของชาวเบดูอินตลอดจนบทบาททางประวัติศาสตร์ในฐานะศูนย์กลางการค้าโบราณ<ref>{{Cite web|title=Culture, Traditions and Art|url=http://almaqbel.com/English/culture-traditions-and-art/|website=Saudi Arabian Cultural Mission {{!}}|language=en-US}}</ref> |
|||
{{บทความหลัก|วัฒนธรรมซาอุดีอาระเบีย}} |
|||
=== สถาปัตยกรรม === |
=== สถาปัตยกรรม === |
||
{{โครงส่วน}} |
{{โครงส่วน}} |
||
=== อาหาร === |
=== อาหาร === |
||
[[ไฟล์:Machboos.JPG|left|thumb|[[กับซะฮ์]] ข้าวหมกรับประทานกับเนื้อสัตว์เช่น ไก่ แกะ แพะ หรืออูฐ]] |
|||
{{โครงส่วน}} |
|||
[[อาหารซาอุดีอาระเบีย]] คล้ายกับประเทศโดยรอบในคาบสมุทรอาหรับและโลกอาหรับในวงกว้าง และได้รับอิทธิพลจาก[[อาหารตุรกี]] อินเดีย เปอร์เซีย และแอฟริกา เนื้อหมูเป็นสิ่งต้องห้ามโดยชาวมุสลิม การรับประทานเนื้อปศุสัตว์ต้องได้รับการเชือดอย่างถูกต้องภายใต้ข้อกำหนดของ [[ฮาลาล]] [[กะบาบ]] และ ฟาลาฟล เป็นที่นิยมเช่นเดียวกับ[[ชาวัรมา]] (เนื้อแกะย่างเนื้อแกะหรือไก่หมัก) เช่นเดียวกับในประเทศอาหรับอื่น ๆ ในคาบสมุทรอาหรับ มัคบู ([[กับซะฮ์]]) ข้าวพร้อมเนื้อแกะ ไก่ ปลา หรือกุ้ง เป็นหนึ่งในอาหารประจำชาติ เช่นเดียวกับมานดิ ขนมปังทาบูนเป็นอาหารหลักในแทบทุกมื้อ เช่นเดียวกับอินทผลัม ผลไม้สด โยเกิร์ต และครีม กาแฟอาหรับเป็นเครื่องดื่มแบบดั้งเดิมในอาหารอาหรับ หลักฐานยืนยันที่เก่าแก่ที่สุดของการดื่มกาแฟหรือความรู้เกี่ยวกับต้นกาแฟมีประวัติสืบไปถึงศตวรรษที่ 15 โดย[[ลัทธิศูฟี]] |
|||
=== การแต่งกาย === |
=== การแต่งกาย === |
||
บรรทัด 232: | บรรทัด 297: | ||
=== สื่อมวลชน === |
=== สื่อมวลชน === |
||
{{บทความหลัก|สื่อสารมวลชนในประเทศซาอุดีอาระเบีย}}โทรทัศน์ได้รับการเผยแพร่เข้าสู่ซาอุดีอาระเบียใน ค.ศ. 1954 ซาอุดีอาระเบียเป็นตลาดหลักสำหรับดาวเทียมและเพย์ทีวีในภูมิภาค โดยครอบครองส่วนแบ่งที่ใหญ่ที่สุดของตลาดกระจายเสียงในกลุ่ม[[สันนิบาตอาหรับ]] บริษัทกระจายเสียงรายใหญ่ของซาอุดีอาระเบีย ได้แก่ เอ็ม บี ซี กรุ๊ป, โรตานา กรุ๊ป และ Saudi Broadcasting Authority<ref>{{Cite book|url=https://books.google.co.th/books?id=gMPjxHzG1xQC&pg=PA173&redir_esc=y#v=onepage&q&f=false|title=The Report: Saudi Arabia 2008|date=2008|publisher=Oxford Business Group|isbn=978-1-902339-00-9|language=en}}</ref> |
|||
{{บทความหลัก|สื่อสารมวลชนในประเทศซาอุดีอาระเบีย}} |
|||
รัฐบาลซาอุดีอาระเบียติดตามสื่ออย่างใกล้ชิด และจำกัดสื่อดังกล่าวภายใต้กฎหมายของรัฐที่เป็นทางการ มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อลดข้อจำกัดเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ความพยายามบางอย่างที่นำโดยรัฐบาลในการควบคุมข้อมูลได้ดึงดูดความสนใจจากนานาชาติด้วยเช่นกัน ใน ค.ศ. 2022 ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนประเมินสถานการณ์สื่อมวลชนของราชอาณาจักรว่า "ตึงเครียดมาก"<ref>{{Cite web|title=Index {{!}} RSF|url=https://rsf.org/en/index|website=rsf.org|language=en}}</ref> หนังสือพิมพ์ยุคแรก ๆ ส่วนใหญ่ในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซียกำเนิดขึ้นในซาอุดีอาระเบีย หนังสือพิมพ์ฉบับแรกที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศและในบริเวณอ่าวเปอร์เซียคือ [[อัล ฟะลาฮ์]] ซึ่งเปิดตัวในปี 1920 หนังสือพิมพ์ทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในซาอุดีอาระเบียดำเนินงานโดยเอกชน<ref>{{Cite web|date=2014-09-12|title=Wayback Machine|url=https://web.archive.org/web/20140912115714/http://www.newsgroup.ae/swfs/AMIR-Master-Base.swf|website=web.archive.org}}</ref> |
|||
ประชากรของซาอุดีอาระเบียได้รับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในปี 1994<ref>{{Cite web|title=Internet in Saudi Arabia {{!}} Internet.sa {{!}} انترنت السعودية|url=https://internet.sa/en/internet-in-ksa/|website=internet.sa}}</ref> จากข้อมูลของธนาคารโลก ณ ปี 2020 ประชากร 98% ของซาอุดีอาระเบียเป็นผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่ 8 ของประเทศที่มีเปอร์เซ็นต์ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสูงสุด<ref>{{Cite web|title=Individuals using the Internet (% of population) - Saudi Arabia {{!}} Data|url=https://data.worldbank.org/indicator/IT.NET.USER.ZS?locations=SA|website=data.worldbank.org}}</ref> ซาอุดีอาระเบียมีความเร็วอินเทอร์เน็ต 5G ที่เร็วที่สุดชาติหนึ่งในโลก<ref>{{Cite web|title=Saudi Arabia has fastest 5G download speed, S Korea second --Full list of 15 countries|url=https://zeenews.india.com/technology/saudi-arabia-has-fastest-5g-download-speed-s-korea-second-full-list-of-15-countries-2318863.html|website=Zee News|language=en}}</ref><ref>{{Cite web|date=2021-04-19|title=Saudi 5G Is Fast, and New Spectrum Allocations Should Make it Faster|url=https://www.ookla.com/articles/saudi-5g-q1-2021|website=Ookla - Providing network intelligence to enable modern connectivity|language=en}}</ref> และยังเป็นตลาด[[การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์]]ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 27 ด้วยรายได้ 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐใน ค.ศ. 2021 โดยนำหน้า[[ประเทศเบลเยียม|เบลเยียม]]และหลัง[[ประเทศนอร์เวย์|นอร์เวย์]] |
|||
=== วันหยุด === |
=== วันหยุด === |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 22:32, 16 ตุลาคม 2565
ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ٱلْمَمْلَكَة ٱلْعَرَبِيَّة ٱلسُّعُوْدِيَّة (อาหรับ) | |
---|---|
เพลงชาติ: ٱلنَّشِيْد ٱلْوَطَنِي ٱلسُّعُوْدِي "อันนะชีดุลวะเฏาะนี อัสซะอูดี" "เพลงชาติซาอุดีอาระเบีย" | |
เมืองหลวง และเมืองใหญ่สุด | รียาด 24°39′N 46°46′E / 24.650°N 46.767°E |
ภาษาราชการ | อาหรับ[2][3] |
กลุ่มชาติพันธุ์ (ค.ศ. 2014[4]) | 90% ชาวอาหรับ 10% แอฟโร-อาหรับ |
ศาสนา (ค.ศ. 2010)[6] |
|
เดมะนิม |
|
การปกครอง | รัฐเดี่ยว สมบูรณาญาสิทธิราชย์อิสลาม |
สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ | |
มุฮัมมัด บิน ซัลมาน | |
สภานิติบัญญัติ | ไม่มี [a] |
ก่อตั้ง | |
ค.ศ. 1744 | |
ค.ศ. 1824 | |
13 มกราคม ค.ศ. 1902 | |
23 กันยายน ค.ศ. 1932 | |
• ได้รับการยอมรับเป็นสมาชิกสหประชาชาติ | 24 ตุลาคม ค.ศ. 1945 |
31 มกราคม ค.ศ. 1992 | |
พื้นที่ | |
• รวม | 2,149,690[2] ตารางกิโลเมตร (830,000 ตารางไมล์) (อันดับที่ 12) |
0.7 | |
ประชากร | |
• 2019 ประมาณ | 34,218,169[9] (อันดับที่ 40) |
15 ต่อตารางกิโลเมตร (38.8 ต่อตารางไมล์) (อันดับที่ 174) | |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | ค.ศ. 2022 (ประมาณ) |
• รวม | 1.868 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[10] (อันดับที่ 14) |
• ต่อหัว | 51,648.34 ดอลลาร์สหรัฐ[10] (อันดับที่ 12) |
จีดีพี (ราคาตลาด) | ค.ศ. 2022 (ประมาณ) |
• รวม | 876.148 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[10] (อันดับที่ 18) |
• ต่อหัว | 24,224.38 ดอลลาร์สหรัฐ[10] (อันดับที่ 35) |
จีนี (ค.ศ. 2013) | 45.9[11] ปานกลาง |
เอชดีไอ (ค.ศ. 2019) | 0.854[12] สูงมาก · อันดับที่ 40 |
สกุลเงิน | ริยาลซาอุดีอาระเบีย (SR) (SAR) |
เขตเวลา | UTC+3 (เวลามาตรฐานซาอุดีอาระเบีย) |
รูปแบบวันที่ | วว/ดด/ปปปป (ฮ.ศ.) |
ขับรถด้าน | ขวา |
รหัสโทรศัพท์ | +966 |
โดเมนบนสุด |
ซาอุดีอาระเบีย (อังกฤษ: Saudi Arabia; อาหรับ: السعودية) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย (อาหรับ: المملكة العربية السعودية) เป็นรัฐอาหรับในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ กินอาณาบริเวณกว้างขวางในคาบสมุทรอาหรับ มีพื้นที่ประมาณ 2,150,000 ตารางกิโลเมตร ประเทศซาอุดีอาระเบียเป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในโลกอาหรับรองจากประเทศแอลจีเรีย ใหญ่เป็นอันดับทีห้าในทวีปเอเชีย และใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันตก มีพรมแดนติดประเทศจอร์แดนและอิรักทางเหนือ ประเทศคูเวตทางตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศกาตาร์ บาห์เรนและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ทางตะวันออก ประเทศโอมานทางตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศเยเมนทางใต้ และแยกกับประเทศอียิปต์ด้วยบริเวณตอนเหนือของอ่าวอัลอะเกาะบะฮ์ ซาอุดีอาระเบียถือเป็นประเทศเดียวที่มีชายฝั่งติดทั้งทะเลแดงและอ่าวเปอร์เซีย ภูมิประเทศส่วนใหญ่ประกอบด้วยทะเลทราย ภูเขา และพื้นที่แห้งแล้งซึ่งไม่สามารถอยู่อาศัยได้ เมืองหลวงและเมืองขนาดใหญ่ที่สุดคือรียาด ซาอุดีอาระเบียยังเป็นที่ตั้งของนครมักกะฮ์ และ อัลมะดีนะฮ์ สองนครสำคัญทางศาสนาอิสลาม
ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ก่อนการถือกำเนิดของศาสนาอิสลาม ดินแดนของซาอุดีอาระเบียเป็นที่ตั้งของวัฒนธรรมและอารยธรรมโบราณมากมาย บริเวณนี้แสดงให้เห็นร่องรอยจากกิจกรรมของมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ศาสนาอิสลามซึ่งถือเป็นศาสนาที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลกถือกำเนิดขึ้นในดินแดนปัจจุบัน ในช่วงต้นศตวรรษที่ 7 มุฮัมมัด ได้รวบรวมประชากรทั้งหมดในคาบสมุทรอาหรับเข้าด้วยกัน และถือเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างศาสนาอิสลาม[13] หลังการเสียชีวิตใน ค.ศ. 632 ผู้ติดตามของเขาได้ขยายอาณาเขตอย่างรวดเร็วภายใต้การปกครองของชาวมุสลิม ตามมาด้วยการพิชิตดินแดนครั้งใหญ่โดยมุสลิม (ตั้งแต่บริเวณทางตะวันตกของคาบสมุทรไอบีเรียไปยังบางส่วนของเอเชียกลางและภูมิภาคตะวันออกของเอเชียใต้) ในเวลาไม่กี่ทศวรรษ ราชวงศ์อาหรับที่มีต้นกำเนิดมาจากดินแดนซาอุดิอาระเบียปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้งรัฐเคาะลีฟะฮ์รอชิดีน (ค.ศ. 632–661) รัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ (ค.ศ. 661–750) รัฐเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์ (ค.ศ. 750–1517) และ รัฐเคาะลีฟะฮ์ฟาฏิมียะฮ์ (ค.ศ. 909–1171) เช่นเดียวกับราชวงศ์อื่น ๆ ในเอเชีย แอฟริกา และยุโรป
พื้นที่ประเทศซาอุดีอาระเบียสมัยใหม่ประกอบด้วยสี่ภูมิภาคสำคัญ ได้แก่ ฮิญาซ นัจญด์ และบางส่วนของอาระเบียตะวันออกและอาระเบียใต้[14] ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียก่อตั้งใน ค.ศ. 1932 โดย สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลอะซีซ อิบน์ ซะอูด ทรงรวบรวมสี่ภูมิภาคเข้าเป็นรัฐเดี่ยวผ่านการพิชิตหลายครั้งเริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1902 ด้วยการยึดรียาด บ้านบรรพบุรุษแห่งราชวงศ์ซะอูดของพระองค์ นับแต่นั้น ซาอุดีอาระเบียปกครองแบบระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยการตัดสินใจทางการเมืองตั้งอยู่บนพื้นฐานของการปรึกษาหารือระหว่างพระมหากษัตริย์ คณะรัฐมนตรี และชนชั้นสูง จนอาจเรียกได้ว่าเป็นระบอบเผด็จการ[15][16] กลุ่มเคลื่อนไหวทางศาสนาในชื่อ วะฮาบีย์ ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งนิกายซุนนี ถูกมองว่าสะท้อนลักษณะเด่นของวัฒนธรรมซาอุ[17] แม้ว่าอิทธิพลของศาสนสถานจะลดลงอย่างมากตั้งในช่วงทศวรรษ 2010 เป็นต้นมา[18] กฎหมายพื้นฐานของซาอุดีอาระเบียยังคงนิยามตนเองว่าเป็นรัฐอิสลามอาหรับที่มีอำนาจอธิปไตย โดยมีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ใช้ภาษาอาหรับเป็นภาษาราชการ และกรุงรียาดมีสถานะเป็นเมืองหลวง
มีการค้นพบปิโตรเลียมในวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1938 และตามมาด้วยการค้นพบอื่น ๆ อีกหลายแห่งในจังหวัดทางตะวันออก[19][20] และนับแต่นั้น ซาอุดีอาระเบียได้กลายเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก และควบคุมปริมาณน้ำมันสำรองใหญ่ที่สุดอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐ และมีปริมาณก๊าซสำรองมากเป็นอันดับสี่ของโลก[21] ราชอาณาจักรจัดอยู่ในเศรษฐกิจรายได้สูงของธนาคารโลก และเป็นประเทศอาหรับประเทศเดียวที่เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ จี 20[22][23] ซาอุดีอาระเบียได้รับการวิจารณ์ในหลายด้าน อาทิ บทบาทในสงครามกลางเมืองเยเมน การถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุนการก่อการร้ายอิสลาม และประวัติด้านสิทธิมนุษยชนที่ย่ำแย่ โดยเฉพาะความถี่ในการใช้โทษประหารชีวิต ตลอดจนความล้มเหลวในการดำเนินการเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ การเลือกปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยทางศาสนา และผู้ที่ไม่ศรัทธาในพระเจ้า การต่อต้านชาวยิว และการตีความกฎหมายชารีอะฮ์ที่เคร่งครัด[24]
ซาอุดีอาระเบียถือเป็นมหาอำนาจในภูมิภาคและมหาอำนาจระดับกลางของโลก[25] มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง และเป็นอันดับที่ 18 ของโลกตามผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และอันดับ 7 ตามภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ มีดัชนีการพัฒนามนุษย์สูง พลเมืองมีสิทธิเข้าถึงการศึกษาโดยไม่เสียค่าเล่าเรียน ไม่มีการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา[26] และมีบริการสุขภาพที่ทันสมัย ซาอุดีอาระเบียยังเป็นถิ่นอาศัยของผู้พลัดถิ่นที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเป็นสังคมผู้สูงอายุน้อยที่สุดของโลก โดยกว่าร้อยละ 50 ของประชากรจำนวน 34.2 ล้านคนมีอายุต่ำกว่า 25 ปี[27] นอกจากการเป็นสมาชิกของสภาความร่วมมืออ่าวแล้ว ซาอุดีอาระเบียยังเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของสหประชาชาติ องค์การความร่วมมืออิสลาม สันนิบาตอาหรับ องค์กรผู้ให้บริการการขนส่งทางอากาศแห่งอาหรับ และ โอเปก
นิรุกติศาสตร์
การควบรวมของราชอาณาจักรฮิญาซ และ ภูมิภาคนัจญด์ นำไปสู่การก่อตั้งรัฐใหม่ในชื่อ "al-Mamlakah al-ʿArabīyah as-Suʿūdīyah" (การทับศัพท์คำว่า المملكة العربية السعودية ในภาษาอาหรับ) ตามพระราชกฤษฎีกาเมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1932 โดย สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลอะซีซ อิบน์ ซะอูด โดยทั่วไปแล้ว ชื่อนี้มีความหมายว่า "ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย" ในภาษาอังกฤษ[28] มีความหมายตามตัวอักษรว่า "อาณาจักรซาอุดิอาระเบีย"[29] หรือ "อาณาจักรอาหรับซาอุดิอาระเบีย"[30]
คำว่า "Saudi" (ซาอุดี) มาจากคำว่า as-Saʿūdīyah ซึ่งเป็นชื่อประเทศในภาษาอาหรับ โดยเป็นคำคุณศัพท์ประเภทหนึ่งที่รู้จักกันในชื่อ นิสบา ( نسبة ) เป็นชื่อของราชวงศ์ซะอูด (آل سعود) การรวมคำดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการแสดงทัศนะว่าประเทศนี้เป็นสมบัติส่วนตัวของราชวงศ์[31][32] ชื่อ "Al Saud" เป็นชื่อในภาษาอาหรับที่เกิดจากการเพิ่มคำว่า Al หมายถึง "ครอบครัว" หรือ "บ้านของ..."[33] ในชื่อบุคคลซึ่งเป็นบรรพบุรุษของต้นตระกูล ซึ่งในกรณีของชื่อ "Al Saud" นี้ หมายถึง Saud bin Muhammad Al Muqrin พระราชบิดาของ Muhammad bin Saud Al Muqrin ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ในศตวรรษที่ 18
ภูมิศาสตร์
ดินแดนของซาอุดีอาระเบียครอบครองพื้นที่ประมาณร้อยละ 80 บริเวณคาบสมุทรอาหรับ (คาบสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลก)[34] ซึ่งอยู่ระหว่างละติจูดที่ 16° ถึง 33° เหนือ และลองจิจูด 34° ถึง 56° เนื่องจากทางใต้ของประเทศมีพรมแดนติดกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และโอมาน ขนาดที่แน่นอนของประเทศจึงไม่ได้กำหนดไว้ กองสถิติแห่งสหประชาชาติประมาณการตัวเลขที่ 2,149,690 ตารางกิโลเมตร (830,000 ตารางไมล์) และระบุว่าซาอุดีอาระเบียเป็นรัฐที่ใหญ่เป็นอันดับ 12 ของโลก เป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลางและแผ่นอาหรับ[35]
ลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลายของซาอุดิอาระเบียถูกปกคลุมโดยทะเลทรายอาหรับ สเตปป์ เทือกเขาหลายแห่ง ทุ่งลาวาภูเขาไฟ และที่ราบสูง รุบอุลคอลี ครอบคลุมถึงสามส่วนในภาคใต้ของคาบสมุทรอาหรับ ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเป็นทะเลทรายทรายที่มีพื้นที่ต่อเนื่องกันที่ใหญ่ที่สุดในโลก[36] แม้จะมีทะเลสาบในประเทศ ทว่าซาอุดีอาระเบียถือเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลกตามขนาดพื้นที่ที่ไม่มีแม่น้ำถาวร บริเวณที่อุดมสมบูรณ์จะพบได้ในลุ่มน้ำในลุ่มน้ำ แอ่ง และโอเอซิส[37] จังหวัดทางตะวันตกเฉียงใต้ของ Asir เป็นภูเขาและมีภูเขา Sawda สูง 3,133 ม. (10,279 ฟุต) ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดในประเทศ ซาอุดีอาระเบียเป็นที่ตั้งของภูเขาไฟกว่า 2,000 ลูก[38]
ซาอุดีอาระเบียมีสภาพอากาศแบบทะเลทรายซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึงสูงมากในตอนกลางวันโดยเฉพาะในฤดูร้อน และอุณหภูมิจะลดลงอย่างรวดเร็วในตอนกลางคืน อุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูร้อนอยู่ที่ประมาณ 45 °C (113 °F) แต่สูงสุดอาจสูงถึง 54 °C (129 °F) ในฤดูหนาว อุณหภูมิจะลดลงต่ำกว่า 0 °C (32 °F) ยกเว้นพื้นที่ส่วนใหญ่ทางเหนือของประเทศที่มีหิมะตกเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะในพื้นที่ภูเขาของแคว้นตะบูก อุณหภูมิต่ำสุดที่บันทึกไว้จนถึงปัจจุบันคือ -12.0 °C (10.4 °F)
ความหลากหลายทางชีวภาพ
ซาอุดีอาระเบียเป็นถิ่นอาศัยของระบบนิเวศภาคพื้นดิน 5 แห่ง ได้แก่ ทะเลทรายที่มีหมอกริมชายฝั่งคาบสมุทรอาหรับ ทุ่งหญ้าบริเวณเชิงเขาอาหรับทางตะวันตกเฉียงใต้ ป่าดิบเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ของอาหรับ ทะเลทรายอาหรับ และทะเลแดง ทะเลทรายเขตร้อนนูโบ-ซินเดียน และพื้นที่กึ่งทะเลทราย[39] เป็นที่อยู่ของสัตว์ป่านานาชนิด อาทิ เสือดาวอาระเบีย หมาป่าอาระเบีย ไฮยีนา วงศ์พังพอน ลิงบาบูน แมวทราย สัตว์ต่าง ๆ เช่น ละมั่ง ออริกซ์ เสือดาว และเสือชีตาห์ มีจำนวนมากจนถึงศตวรรษที่ 19 เมื่อการล่าอย่างกว้างขวางทำให้สัตว์เหล่านี้เกือบจะสูญพันธุ์ สิงโตอินเดีย สัตว์ที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมอาศัยในซาอุดิอาระเบียจนถึงปลายศตวรรษที่ 19 ก่อนถูกล่าจนสูญพันธุ์จากธรรมชาติ นกพบได้ทุกภูมิภาค ได้แก่ นกอินทรี เหยี่ยว แร้ง นกทราย และนกปรอด ซาอุดีาระเบียยังเป็นของงูหลายชนิด รวมถึงงูพิษหลายสายพันธุ์ และเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลที่อุดมสมบูรณ์ ทะเลแดงเป็นหนึ่งในแหล่งระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์และหลากหลายที่สุดของโลก เป็นที่อยู่อาศัยของปลามากกว่า 1,000 ชนิด[40]
ความหลากหลายอันอุดมสมบูรณ์ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแนวปะการังความยาวกว่า 2,000 กม. (1,240 ไมล์) ที่ทอดยาวไปตามแนวชายฝั่ง แนวประการังเหล่านี้มีอายุ 5,000–7000 ปี และส่วนใหญ่ประกอบด้วยหินปะการังหินปะการังและปะการังพอไรต์ ทะเลแดงยังมีแนวปะการังนอกชายฝั่งหลายแห่ง การก่อตัวของแนวปะการังนอกชายฝั่งที่ผิดปกติจำนวนมากขัดต่อรูปแบบการจำแนกแนวปะการังแบบคลาสสิก และโดยทั่วไปมีสาเหตุมาจากกิจกรรมการแปรสัณฐานในระดับสูงซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพื้นที่
ประวัติศาสตร์
ยุคก่อนการสถาปนาซาอุดีอาระเบีย
ประวัติศาสตร์ประเทศซาอุดีอาระเบียเริ่มขึ้นประมาณปี 1850 ในใจกลางคาบสมุทรอาหรับ เมื่อ มุฮัมมัด บินซะอูด ผู้นำท้องถิ่นได้ร่วมมือกันกับ มุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ ก่อตั้งอาณาจักรใหม่ขึ้นมา เรียกว่า ราชอาณาจักรซาอุดีแรก โดยแยกออกจากอาณาจักรออตโตมัน แต่ประเทศที่เป็นซาอุดีอาระเบียในปัจจุบันนั้นสถาปนาขึ้นเป็นครั้งที่สองโดยกษัตริย์อับดุลอะซีซ อาลซะอูด (หรือเป็นที่รู้จักกันดีในนามของ อิบนุซะอูด) ในปี 1902 อิบนุซะอูดได้ยึดรียาดซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของราชวงศ์ซะอูด คืนมาจากตระกูลอัลรอชีด ซึ่งเป็นศัตรูคู่แข่งของราชวงศ์ซะอูด ต่อจากนั้น ก็ได้กรีฑาทัพเข้ายึดแคว้นต่าง ๆ มาได้ ได้แก่ อัลฮะสาอ์, นะญัด และฮิญาซ อันเป็นที่ตั้งของนครมักกะฮ์และนครมะดีนะฮ์ ในปี 1932 อิบนุซะอูดได้ทำการรวมประเทศขึ้นเป็นราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
สมัยการรวมชาติ
การเจรจาทำสนธิสัญญาแบ่งเส้นเขตแดนระหว่างซาอุดีอาระเบียกับจอร์แดน อิรัก และคูเวต มีขึ้นช่วงทศวรรษ 1920 และได้มีการจัดตั้ง "เขตเป็นกลาง" ขึ้นด้วยกัน 2 แห่ง คือระหว่างซาอุดีอาระเบียกับอิรัก และซาอุดีอาระเบียกับคูเวต ในปี 1971 ได้มีการแบ่งเขตเป็นกลางระหว่างซาอุดีอาระเบียกับคูเวต โดยให้แต่ละฝ่ายแบ่งทรัพยากรน้ำมันกันอย่างเท่าเทียมกัน ส่วนการแบ่งขตเป็นกลางระหว่างซาอุดีอาระเบียกับอิรักได้เสร็จสิ้นลงในปี 1983 ทางด้านเขตแดนตอนใต้ที่ติดกับเยเมนนั้น มีการเจรจาแบ่งเขตแดนโดยสนธิสัญญาฏออิฟ ในปี 1934 (พ.ศ. 2477) แต่ก็สิ้นสุดลงด้วยการสู้รบระหว่างสองประเทศ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ เขตแดนระหว่างซาอุดีอาระเบียกับเยเมนในบางพื้นที่ก็ยังมิได้แบ่งลงไปอย่างแน่ชัด ส่วนเขตแดนที่ติดกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นั้นสามารถตกลงกันได้ในปี 1974 สำหรับเขตแดนกับกาตาร์นั้นยังเป็นปัญหาอยู่
อิบนุซะอูด สิ้นพระชนม์ในปี 1953 และพระราชโอรสองค์โตคือเจ้าชายซะอูด ได้ขึ้นครองราชย์ต่อมาอีก 11 ปี ในปี 1964 กษัตริย์ซะอูดได้สละราชสมบัติให้กับเจ้าชายฟัยศ็อล ซึ่งเป็นน้องชายต่างมารดาและดำรงตำแหน่ง รมว.กต.อยู่ด้วย กษัตริย์ฟัยศ็อล เป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบียพัฒนาไปสู่ระบบที่ทันสมัย
ซาอุดีอาระเบียมิได้ส่งกำลังทหารเข้าร่วมรบในสงครามหกวันระหว่างอาหรับกับอิสราเอล แต่ได้ให้เงินช่วยเหลือรายปีแก่อียิปต์ จอร์แยเหลือเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ ในช่วงสงครามอาหรับ-อิสราเอล ปี 1973 ซาอุดีอาระเบียได้เข้าร่วมการคว่ำบาตรทางน้ำมันต่อสหรัฐอเมริกาและเนเธอร์แลนด์ ในฐานะสมาชิกของโอเปก (OPEC) ซาอุดีอาระเบียได้ร่วมกับประเทศสมาชิกอื่น ๆ ขึ้นราคาน้ำมันในปี 1971 ภายหลังสงครามปี 1973 ราคาน้ำมันได้พุ่งสูงขึ้นอย่างมากนำความมั่งคั่งและอิทธิพลทางการเมืองมาสู่ซาอุดีอาระเบีย
ในปี 1975 กษัตริย์ฟัยศ็อล ถูกลอบสังหารโดยหลานชายของพระองค์เอง เจ้าชายคอลิด พระอนุชาต่างมารดาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อมาและยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย กษัตริย์คอลิด ได้แต่งตั้งเจ้าชายฟะฮัด น้องชายต่างมารดาของพระองค์เป็นมกุฎราชกุมาร และมอบหมายให้มีอำนาจให้ดูแลกิจการภายในประเทศและต่างประเทศ ในรัชสมัยของกษัตริย์คอลิด เศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบียได้มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและซาอุดีอาระเบียได้มีบทบาทสำคัญมากขึ้นในเวทีการเมืองในภูมิภาคและในเวทีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในปี 1982 กษัติรย์ฟะฮัดได้ขึ้นครองราชย์และดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนกษัตริย์คอลิด ซึ่งสิ้นพระชนม์ลง กษัตริย์ฟะฮัดได้แต่งตั้งเจ้าชายอับดุลลอฮ์ น้องชายต่างมารดาซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการของซาอุดีอาระเบียขึ้นเป็นมกุฎราชกุมาร ส่วนเจ้าชายสุลต่านรัฐมนตรีกลาโหมซึ่งเป็นน้องชายแท้ ๆ ของกษัตริย์ฟะฮัด ได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรีคนที่สอง
ภายใต้รัชสมัยของพระราชาธิบดีฟะฮัด เศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบียได้ปรับสภาพให้เข้ากับรายได้จากน้ำมันซึ่งมีราคาตกต่ำลงอย่างมากอันสืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกซึ่งตกต่ำลงในช่วงสงครามอิรัก-อิหร่าน ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการให้มีการหยุดยิงระหว่างอิรัก-อิหร่านในปี 1988 และในการก่อตั้งคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC) ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศรัฐริมอ่าว 6 ประเทศ
ในระหว่างปี 1990 - 1991 พระราชาธิบดี ฯ มีบทบาทสำคัญทั้งก่อนหน้าและระหว่างสงครามอ่าวเปอร์เซีย (Gulf War) โดยพระองค์ได้ช่วยเป็นจุดศูนย์กลางในการระดมความสนับสนุนความช่วยเหลือ และได้ใช้อิทธิพลของพระองค์ในฐานะผู้พิทักษ์มัสญิดต้องห้ามอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง ชักชวนให้ประเทศอาหรับและอิสลามเข้าร่วมในกองกำลังผสม
การเมืองการปกครอง
ก่อนหน้าปี 2534 ซาอุดีอาระเบียใช้กฎหมายอิสลามเป็นหลักในการปกครองประเทศโดยพระมหากษัตริย์มีอำนาจเด็ดขาดและสูงสุดในการบริหารประเทศ ต่อมาหลังจากวิกฤตการณ์อิรัก-คูเวต ได้มีความเคลื่อนไหวจากประชาชนบางส่วนให้มีการพัฒนารูปแบบการปกครองให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย พระราชาธิบดีฯ จึงได้วางรูปแบบการปกครองอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นครั้งแรก โดยประกาศใช้พระราชกฤษฎีกา 3 ฉบับ เมื่อเดือนมีนาคม 2534 กฎหมายดังกล่าวระบุว่า การปกครองเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช พระมหากษัตริย์ มีอำนาจสูงสุด เป็นผู้แต่งตั้งและเพิกถอนครม. และสภาที่ปรึกษา (Shura) สภาที่ปรึกษานี้ถือเป็นพัฒนาการใหม่ของซาอุดีอาระเบีย ทีเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ แต่ก็เป็นเพียงในฐานะที่ปรึกษาเท่านั้น มิใช่สภานิติบัญญัติเช่นประเทศอื่น ๆ แม้ว่าในทางกฎหมายพระราชาธิบดีฯ มีอำนาจสิทธิขาดในปกครองประเทศ แต่ในทางปฏิบัติ พระราชาธิบดี ฯ จะใช้วิธีดำเนินนโยบายที่ได้รับความเห็นชอบร่วมกัน (consensus) จากกลุ่มต่าง ๆ ในประเทศ อาทิ ประชาชน ฝ่ายศาสนา ทหาร ราชวงศ์ และนักธุรกิจ
บริหาร
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
นิติบัญญัติ
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ตุลาการ
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
สิทธิมนุษยชน
รัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ซึ่งกำหนดให้ชาวมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมปฏิบัติตามกฎหมายชะรีอะห์ ล้วนอยู่ภายใต้การปกครองโดยเด็ดขาดของราชวงศ์ซะอูดซึ่งได้รับการวิจารร์จากองค์กรและรัฐบาลระหว่างประเทศจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนภายในประเทศ[41] ลัทธิอำนาจนิยม ที่ครอบงำพลเมืองซาอุดีอาระเบียได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในกลุ่มที่ "เลวร้ายที่สุด" ในการสำรวจประจำปีโดย องค์กรวิจัยและสนับสนุนประชาธิปไตย เสรีภาพทางการเมือง และสิทธิมนุษยชน เกี่ยวกับสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมือง แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล วิจารณ์ว่าหน่วยงานด้านความมั่นคงและความยุติธรรมใช้วิธีทรมานผู้ต้องขัง เพื่อดึงคำสารภาพเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณาคดี[42] ซาอุดีอาระเบียงดเว้นจากการลงคะแนนเสียงของสหประชาชาติที่รับรองปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน โดยกล่าวว่าขัดต่อกฎหมายอิสลาม[43] ตัวเลขการประหารชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยการประหารชีวิตในปี 2016 2019 และ 2022 ถูกประณามจากกลุ่มสิทธิระหว่างประเทศ[44]
กฎหมายของซาอุดีอาระเบียไม่ให้การรับรองความหลากหลายทางเพศ หรือเสรีภาพทางศาสนา รวมถึงข้อห้ามในการปฏิบัติของพลเมืองที่มิใช่มุสลิม[45] ระบบยุติธรรมของประเทศสนับสนุนการลงโทษประหารชีวิตเป็นประจำ รวมถึงการประหารชีวิตในที่สาธารณะด้วยการตัดศีรษะ[46] โทษประหารชีวิตบังคับใช้ได้สำหรับความผิดที่หลากหลาย[47] รวมถึงการฆาตกรรม, ข่มขืน, การโจรกรรมด้วยอาวุธ, การใช้ยาเสพติด, การละทิ้งความเชื่อทางศาสนา, การล่วงประเวณี, การใช้เวทมนตร์คาถาอย่างงมงาย และสามารถทำได้โดยการตัดศีรษะด้วยดาบ การขว้างปาหิน หรือการยิง ตามด้วยตรึงกางเขน[48] ในเดือนเมษายน 2020 ศาลฎีกาซาอุดีอาระเบียได้ออกคำสั่งให้ยกเลิกการลงโทษการเฆี่ยนตีออกจากกฎหมายของซาอุดิอาระเบีย และให้แทนที่ด้วยโทษจำคุกหรือปรับ[49][50]
ประชากรสตรีในซาอุดีอาระเบียต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และอยู่ภายใต้ระบบการปกครองซึ่งถือว่าประชากรหญิงเปรียบเสมมือนผู้เยาว์[51] แม้จะมีประชากรหญิงกว่า 70% ได้สิทธิลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัย ทว่าด้วยเหตุผลทางสังคม แรงงานสตรียังคิดเป็นกว่า 5% ของแรงงานทั้งหมดในประเทศ[52] การปฏิบัติต่อสตรีในประเทศได้รับการขนานนามว่าเป็น "การแบ่งแยกเพศ" อย่างชัดเจน[53] ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศปลายทางที่มีชื่อเสียงสำหรับชายและหญิงที่ถูกค้ามนุษย์เพื่อการใช้แรงงานทาส และการแสวงประโยชน์ทางเพศในเชิงพาณิชย์ ชายและหญิงจากเอเชียกลาง ตะวันออกกลาง แอฟริกา และอื่น ๆ อีกมากมายสมัครใจเดินทางไปซาอุดีอาระเบียในฐานะคนรับใช้ในบ้านหรือแรงงานที่มีทักษะต่ำ ทว่ามีบางรายที่ถูกบังคับไปโดยไม่สมัครใจ
กองทัพ
กองกำลังทหารของซาอุดิอาระเบียประกอบด้วยกองกำลังย่อยสาขาต่าง ๆ ได้แก่ กองทัพอากาศ, กองทัพเรือ, การป้องกันทางอากาศของราชวงศ์, กองกำลังขีปนาวุธยุทธศาสตร์, กองกำลังป้องกันดินแดนแห่งชาติ, กองทหารรักษาการณ์, กองกำลังรักษาชายแดน, กองกำลังฉุกเฉิน, กองกำลังรักษาความปลอดภัยพิเศษ และหน่วยรักษาความปลอดภัยพิเศษ รวมจำนวนเจ้าหน้าที่ประจำการทุกสาขาเกือบ 480,700 ราย นอกจากนี้ยังมีหน่วยสืบราชการลับ รับผิดชอบการในเรื่องการแสวงหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับราชการ
ซาอุดีอาระเบียมีความสัมพันธ์ทางการทหารกับปากีสถานมาอย่างยาวนาน มีการสันนิษฐานว่าซาอุดีอาระเบียได้ให้ทุนสนับสนุนโครงการระเบิดปรมาณูของปากีสถานอย่างลับ ๆ และมีความพยายามซื้ออาวุธปรมาณูจากปากีสถานในอนาคตอันใกล้นี้[54][55] ซาอุดีอาระเบียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการใช้จ่ายทางทหารสูงที่สุดในโลก โดยประมาณการใช้จ่ายกว่า 8% ของจีดีพีประเทศในการทหาร ตามการประมาณการของ SIPRI ในปี 2020 ซึ่งกำหนดให้ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่ใช้จ่ายด้านการทหารมากเป็นอันดับสามของโลกรองจากสหรัฐ และจีน[56] และยังเป็นผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลกระหว่างปี 2015 ถึง 2019 โดยเป็นผู้รับอาวุธกว่าครึ่งหนึ่งที่สหรัฐส่งออกมายังตะวันออกกลาง[57] การใช้จ่ายด้านการป้องกันและความปลอดภัยเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990 และมีมูลค่าประมาณ 78.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ ปี 2019
จากข้อมูลของบีไอซีซี ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่มีกำลังทหารมากเป็นอันดับที่ 28 ของโลก และมีอุปกรณ์ทางทหารที่ดีที่สุดเป็นอันดับสองในภูมิภาคนี้ รองจากอิสราเอล ซาอุดีอาระเบียยังพัฒนาคลังแสงเทคโนโลยีชั้นสูงที่ทันสมัย ทำให้เป็นประเทศติดอาวุธที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งหนึ่งในโลก โดยอุปกรณ์ทางทหารของประเทศส่วนใหญ่ได้รับการส่งมอบจากสหรัฐ ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร[58] โดยสหรัฐทำการค้าอาวุธ และอุปกรณ์ทางการทหารด้วยมูลค่าสูงถึง 80 พันล้านดอลลาร์ระหว่าง ค.ศ. 1951 ถึง 2006 ให้แก่กองทัพซาอุดีอาระเบีย[59] เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 2010 กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ได้แจ้งเจตนารมย์ต่อสภาคองเกรสถึงความตั้งใจที่จะขายอาวุธที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ ซึ่งจะเป็นมูลค่าการซื้อขายกว่า 60.5 พันล้านดอลลาร์ แผนการนี้แสดงถึงการพัฒนาความสามารถในการพัฒนากองทัพซาอุดีอาระเบียอย่างมาก[60] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012 บีเออี บริษัทชั้นนำด้านการป้องกันของอังกฤษได้ลงนามในข้อตกลงมูลค่า 1.9 พันล้านปอนด์ (3 พันล้านดอลลาร์) เพื่อจัดหาเครื่อง บีเออี ฮ็อค ให้แก่ซาอุดีอาระเบีย[61] ตามรายงานของสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม ระหว่างปี 2010–2018 ซาอุดีอาระเบียกลายเป็นผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่เป็นอันดับสองของโลก โดยได้รับอาวุธหลักมากกว่าใน ค.ศ. 2005–2009 ถึงสี่เท่า การนำเข้าที่สำคัญประกอบด้วยเครื่องบินรบ 45 ลำจากสหราชอาณาจักร เฮลิคอปเตอร์ต่อสู้ 38 ลำจากสหรัฐอเมริกา เครื่องบินบรรทุกน้ำมัน 4 ลำจากสเปน และยานเกราะมากกว่า 600 คันจากแคนาดา
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ซาอุดีอาระเบียเข้าร่วมสหประชาชาติในปี 1945 และยังเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของสหประชาชาติ องค์การความร่วมมืออิสลาม สันนิบาตอาหรับ องค์กรผู้ให้บริการการขนส่งทางอากาศแห่งอาหรับ และ โอเปก ซาอุดีอาระเบียสนับสนุนการก่อตั้งสหภาพศุลกากรอาหรับในปี 2015 และตลาดร่วมอาหรับตามที่ประกาศในการประชุมสุดยอดสันนิบาตอาหรับปี 2009[62] ตั้งแต่ ค.ศ. 1960 ในฐานะสมาชิกผู้ก่อตั้งโอเปก ราชอาณาจักรมีบาทบาทนำในการนโยบายการกำหนดราคาน้ำมันโดยทั่วไป ทำให้ตลาดน้ำมันโลกมีเสถียรภาพและพยายามลดการผันผวนของราคาเพื่อไม่ให้กระทบต่อเศรษฐกิจตะวันตก[63] ใน ค.ศ. 1973 ซาอุดีอาระเบียและประเทศอาหรับอื่น ๆ ได้กำหนดห้ามขนส่งน้ำมันกับสหรัฐ สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น และประเทศตะวันตกอื่น ๆ ที่สนับสนุนอิสราเอลในสงครามยมคิปปูร์[64] การคว่ำบาตรทำให้เกิดวิกฤตการณ์น้ำมันที่มีผลกระทบในระยะสั้นและระยะยาวมากมายต่อการเมืองและเศรษฐกิจโลก
ระหว่างกลางทศวรรษ 1970 ถึง 2002 ซาอุดีอาระเบียใช้เงินกว่า 70 พันล้านดอลลาร์ใน "ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาในต่างประเทศ" ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ และตั้งแต่ประธานาธิบดี บารัก โอบามา เข้ารับตำแหน่งในปี 2009 สหรัฐได้ค้าอาวุธให้กับซาอุดีอาระเบียคิดเป็นมูลค่ากว่า 110,000 ล้านดอลลาร์[65] อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดีอาระเบียและสหรัฐเริ่มตึงเครียดและได้เห็นการลดลงอย่างมากในช่วงปีสุดท้ายของการบริหารของโอบามา[66][67] แม้ว่าโอบามาจะอนุญาตให้กองกำลังสหรัฐให้การสนับสนุนด้านโลจิสติกส์และข่าวกรองแก่ซาอุดีอาระเบียในการแทรกแซงทางทหารในเยเมน[68] ในช่วงทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 21 ซาอุดีอาระเบียจ่ายเงิน 100 ล้านดอลลาร์ให้แก่บริษัทอเมริกันเพื่อล็อบบี้รัฐบาลสหรัฐ เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ. 2017 ประธานาธิบดี ดอนัลด์ ทรัมป์ และกษัตริย์ซัลมานได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงสำหรับซาอุดีอาระเบียเพื่อซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ มูลค่ารวม 110 พันล้านดอลลาร์ทันที และ 350 พันล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 10 ปี[69] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2021 วุฒิสภาสหรัฐ ลงมติคัดค้านข้อเสนอให้หยุดการขายขีปนาวุธอากาศสู่อากาศพิสัยกลางขั้นสูงมูลค่า 650 ล้านดอลลาร์ไปยังซาอุดีอาระเบีย เพื่อไม่ให้มีการแทรกแซงทางทหารในเยเมน
ความสัมพันธ์กับชาติตะวันออกกลางหลายชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อิหร่านและอิรักเต็มไปด้วยความตึงเครียด จากการเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นกับสหรัฐ[70] และบทบาทของซาอุดีอาระเบียในสงครามอ่าวปี 1991 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่กองทหารสหรัฐ ประจำการบนซาอุดีอาระเบียตั้งแต่ปี 1991 กระตุ้นให้เกิดการตอบโต้ของอิสลามิสต์ และขยายเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงสืบถึงปัจจุบัน จีนถือเป็นอีกหนึ่งพันธมิตรที่สำคัญ ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ชาวซาอุดีอาระเบียจำนวนมากได้แสดงมุมมองเชิงบวกต่อจีนเช่นกัน[71] ใน ค.ศ. 2019 มุฮัมมัด บิน ซัลมาน ออกมาปกป้องกลุ่มค่ายปรับทัศนคติซินเจียง โดยกล่าวว่า "จีนมีสิทธิ์ดำเนินการต่อต้านการก่อการร้ายและขจัดความรุนแรงเพื่อความมั่นคงของชาติ"[72] ในเดือนกรกฎาคม 2019 เอกอัครราชทูตสหประชาชาติใน 37 ประเทศ รวมทั้งซาอุดิอาระเบีย ได้ลงนามในจดหมายร่วมถึงคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เพื่อปกป้องการปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์ของจีนและชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่น ๆ ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์
เพื่อปกป้องราชวงศ์คาลิฟาแห่งบาห์เรน ซาอุดีอาระเบียได้ส่งกองทหารไปปราบปรามการประท้วงของชาวบาห์เรนเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2011[73] รัฐบาลซาอุดิอาระเบียถือว่าการลุกฮือในระยะเวลา 2 เดือนเป็น "ภัยคุกคามด้านความปลอดภัย" ที่เกิดจากชาวชีอะห์ ซึ่งเป็นตัวแทนของประชากรส่วนใหญ่ของบาห์เรน เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 2015 ซาอุดีอาระเบียซึ่งเป็นผู้นำของกลุ่มรัฐมุสลิมซุนนี ได้เริ่มการแทรกแซงทางทหารในเยเมนเพื่อต่อต้านกลุ่มชีอะห์ และกองกำลังที่จงรักภักดีต่ออดีตประธานาธิบดี อาลี อับดุลลาห์ ซาเลห์ ซึ่งถูกปลดออกจากการลุกฮือของชาวอาหรับสปริง มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 56,000 คนจากเหตุรุนแรงในเยเมนระหว่างเดือนมกราคม 2016 ถึงเดือนตุลาคม 2018[74] ซาอุดีอาระเบีย ร่วมกับกาตาร์และตุรกี สนับสนุนกองทัพแห่งชัยชนะอย่างเปิดเผย[75][76] กลุ่มกองกำลังต่อต้านรัฐบาลที่ต่อสู้ในสงครามกลางเมืองซีเรีย
ในเดือนมีนาคม 2015 สวีเดนยกเลิกข้อตกลงด้านอาวุธกับซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นการยุติข้อตกลงด้านการป้องกันประเทศที่มีมายาวนานกว่าทศวรรษกับราชอาณาจักร การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นหลังจากรัฐมนตรีต่างประเทศสวีเดนถูกซาอุดีอาระเบียขัดขวาง ขณะพูดเกี่ยวกับประชาธิปไตยและสิทธิสตรีที่สันนิบาตอาหรับในกรุงไคโร[77] ซาอุดีอาระเบียถูกมองว่าเป็นอิทธิพลปานกลางในความขัดแย้งอาหรับ–อิสราเอล ในช่วงต้นปี 2014 ความสัมพันธ์กับกาตาร์เริ่มตึงเครียดจากการสนับสนุนกลุ่มอิควานมุสลิมีน และความเชื่อของซาอุดีอาระเบียว่ากาตาร์กำลังแทรกแซงกิจการของตน ซาอุดีอาระเบียและพันธมิตรได้วิพากษ์วิจารณ์ช่องทีวีอัลญะซีเราะฮ์ในกาตาร์ และความสัมพันธ์ของกาตาร์กับอิหร่าน ใน ค.ศ. 2017 ซาอุดิอาระเบียได้เริ่มต้นการปิดล้อมทางบก ทางน้ำ และทางอากาศในกาตาร์[78]
ใน ค.ศ. 2017 ซาอุดีอาระเบียวางแผนที่จะสกัดยูเรเนียมภายในประเทศซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพลังงานนิวเคลียร์ เพื่อก้าวไปสู่ความพอเพียงในการผลิตเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2017 รัฐบาลได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับจีนเพื่อสำรวจและประเมินยูเรเนียม เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 2020 มีรายงานว่าซาอุดีอาระเบียได้สร้างโรงงานในทะเลทรายในภูมิภาคเมดินาสำหรับการสกัดยูเรเนียมด้วยความช่วยเหลือของประเทศจีน[79] เมื่อวันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 2020 เดอะการ์เดียนได้เผยแพร่รายงานพิเศษที่เปิดเผยว่าซาอุดีอาระเบียกำลังปูทางสำหรับการผลิตเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ในประเทศ รายงานลับที่ได้รับจากสื่อระบุว่า ราชอาณาจักรได้รับความช่วยเหลือจากนักธรณีวิทยาจีนในการผลิตยูเรเนียมมากกว่า 90,000 ตันจากแหล่งสะสมหลักสามแห่งในใจกลาง และทางตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบีย ใกล้กับบริเวณการพัฒนาเมืองใหม่ที่จะเป็นศูนย์กลางทางการค้าอย่างนีอุม
การแบ่งเขตการปกครอง
ซาอุดีอาระเบียแบ่งการปกครองเป็น 13 แคว้น ได้แก่
เศรษฐกิจ
โครงสร้าง
ณ เดือนตุลาคม ค.ศ. 2018 ซาอุดีอาระเบียเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลางและเป็นอันดับที่ 18 ของโลก[80] ซาอุดีอาระเบีย มีปริมาณน้ำมันสำรองมากที่สุดในโลก คิดเป็นประมาณ 260 พันล้านบาร์เรล หรือประมาณหนึ่งในสี่ของปริมาณน้ำมันสำรองของโลก โดยที่รายรับของประเทศประมาณ 2 ใน 3 มาจากการส่งออกน้ำมัน เศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบียจึงขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันโลกค่อนข้างมาก ในช่วงหลังสงครามอิรัก-คูเวต ภาระค่าใช้จ่ายในระหว่างวิกฤตการณ์อ่าวเปอร์เซียประกอบกับรายได้ที่ลดลงจากการตกต่ำของราคาน้ำมัน และรายจ่ายภาครัฐบาลซึ่งส่วนใหญ่เป็นการซื้ออาวุธ ทำให้ซาอุดีอาระเบีย เผชิญปัญหาขาดดุลงบประมาณติดต่อกัน อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโดยรวมของซาอุดีอาระเบีย ยังอยู่ในสภาพที่มั่นคง การลงทุนภาคเอกชนมีมากขึ้น ความพยายามในการกระจายรายรับโดยการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่น้ำมันเริ่มประสบผลสำเร็จ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในต่อหัว (Per Capita Gross Domestic Product GDP Per Capita) ของซาอุดีอาระเบีย มีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมาเนื่องจากอัตราเพิ่มของประชากรมีมากกว่าอัตราความเจริญทางเศรษฐกิจ
อุตสาหกรรมน้ำมันคิดเป็น 45% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของซาอุดีอาระเบีย เทียบกับ 40% ของภาคเอกชน ซาอุดีอาระเบียมีน้ำมันสำรองอย่างเป็นทางการประมาณ 260 พันล้านบาร์เรล (4.1×1010 m3) ซึ่งประกอบด้วยประมาณหนึ่งในห้าของปริมาณสำรองปิโตรเลียมทั้งหมดที่ถูกค้นพบแล้วของโลก[81] โอเปก จำกัดการผลิตน้ำมันของสมาชิกโดยพิจารณาจาก "ปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้ว" ปริมาณสำรองที่เผยแพร่ของซาอุดิอาระเบียมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยตั้งแต่ปี 1980 คือเพิ่มขึ้นประมาณ 100 พันล้านบาร์เรล (1.6×1010 m3) ระหว่างปี 1987 ถึง 1988[82] ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 ถึง 2013 "บริการสาธารณูประโภคหลักหลายประการ" ได้รับการปฏิรูป เช่น ประปาเทศบาล ไฟฟ้า โทรคมนาคม และบางส่วนของการศึกษาและการดูแลสุขภาพ การควบคุมการจราจร และการรายงานอุบัติเหตุทางรถยนต์ ดัชนี TASI ของตลาดหลักทรัพย์ซาอุดิอาระเบียพุ่งขึ้นสูงสุดที่ 16,712.64 ในปี 2005 และปิดที่ 8,535.60 ณ สิ้นปี 2013 ในเดือนพฤศจิกายน 2005 ซาอุดีอาระเบียได้รับการอนุมัติให้เป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก รัฐบาลได้จัดตั้งสำนักงานการลงทุนทั่วไปของซาอุดีอาระเบียเพื่อส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในราชอาณาจักร ซาอุดีอาระเบียมีรายชื่อภาคอุตสาหกรรมที่ห้ามการลงทุนจากต่างประเทศ แต่รัฐบาลมีแผนที่จะเปิดการลงทุนในบางส่วน เช่น โทรคมนาคม การประกันภัย และการส่ง/จำหน่ายไฟฟ้าในอนาคต
นอกจากปิโตรเลียมและก๊าซแล้ว ซาอุดีอาระเบียยังมีภาคการทำเหมืองทองคำที่สำคัญ และอุตสาหกรรมแร่ที่สำคัญอื่น ๆ ภาคเกษตรกรรม (โดยเฉพาะในตะวันตกเฉียงใต้) เป็นที่ตั้งหลักของผลิตผลจากผัก ผลไม้ อินทผลัม ฯลฯ และปศุสัตว์และงานชั่วคราวจำนวนมากที่สร้างขึ้นโดยผู้แสวงบุญฮัจญ์ประจำปีประมาณสองล้านคน ซาอุดีอาระเบียกำลังเปิดใช้งานท่าเรือของตนมากขึ้นเพื่อมีส่วนร่วมในการค้าระหว่างยุโรปและจีนนอกเหนือจากการขนส่งน้ำมัน ด้วยเหตุนี้ ท่าเรือต่าง ๆ กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีการลงทุนด้านโลจิสติกส์ ประเทศนี้ในปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมทางทะเลที่วิ่งจากชายฝั่งจีนไปทางทิศใต้ผ่านปลายด้านใต้ของอินเดียไปยังมอมบาซา ผ่านทะเลแดงและคลองสุเอซไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ไปจนถึงภูมิภาคเอเดรียติกตอนบน สู่ศูนย์กลางเมือง ตรีเยสเต ทางตอนเหนือของอิตาลี พร้อมเส้นทางรถไฟไปยังยุโรปกลาง ยุโรปตะวันออก และทะเลเหนือ[83][84][85][86]
ตัวเลขและสถิติด้านความยากจนในราชอาณาจักรไม่สามารถหาได้จากแหล่งข้อมูลของสหประชาชาติ เนื่องจากรัฐบาลซาอุดีอาระเบียไม่ได้ออกเอกสารใด ๆ ในเรื่องนี้[87] ในเดือนธันวาคม 2011 กระทรวงมหาดไทยของซาอุดีอาระเบียได้จับกุมนักข่าวสามคน และกักขังเป็นเวลาเกือบสองสัปดาห์เพื่อสอบปากคำหลังจากที่พวกเขาอัปโหลดวิดีโอในหัวข้อดังกล่าวบนยูทูบ[88] โดยเจ้าของวิดีโอได้ให้ข้อมูลว่าประชากรกว่า 22% ของประเทศอาจประสบความยากจน[89]
เกษตรกรรม
การพัฒนาการเกษตรขนาดใหญ่ที่จริงจังเริ่มขึ้นในทศวรรษ 1970 รัฐบาลได้เปิดตัวโครงการสำคัญเพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ เพื่อสร้างถนนในชนบท เครือข่ายชลประทาน โรงเก็บและส่งออก และส่งเสริมสถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตร เป็นผลให้มีการเติบโตอย่างมหัศจรรย์ในการผลิตอาหารพื้นฐานทั้งหมด ปัจจุบันซาอุดีอาระเบียมีทรัพยากรอาหารหลายอย่างในประเทศอย่างพอเพียง รวมทั้งเนื้อสัตว์ นม และไข่ ประเทศเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลี อินทผลัม ผลิตภัณฑ์นม ไข่ ปลา สัตว์ปีก ผลไม้ ผัก และดอกไม้ไปยังตลาดทั่วโลก นอกจากนี้ ชาวนาซาอุดีอาระเบียยังปลูกธัญพืชอื่นๆ จำนวนมาก เช่น ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง ในปี ค.ศ. 2016 รัฐบาลประกาศยุติการผลิตข้าวสาลีในประเทศเพื่อรักษาทรัพยากรน้ำ[90]
ซาอุดีอาระเบียมีฟาร์มโคนมที่ทันสมัย และใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง การผลิตน้ำนมมีอัตราการผลิตต่อปีที่ 6,800 ลิตร (1,800 แกลลอนสหรัฐ) ซึ่งเป็นหนึ่งในปริมาณที่สูงที่สุดในโลก บริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์นมในท้องถิ่น Almarai เป็นบริษัทนมครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง[91] ความสำเร็จทางการเกษตรที่น่าทึ่งที่สุดของราชอาณาจักรซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก คือการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากการเป็นผู้นำเข้ามาเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีใน ค.ศ. 1978 ประเทศได้สร้างโรงเก็บเมล็ดพืชแห่งแรกขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน ซาอุดีอาระเบียเริ่มส่งออกข้าวสาลีไปยัง 30 ประเทศ รวมทั้งจีนและอดีตสหภาพโซเวียต และในพื้นที่การผลิตหลักอย่างตะบูก ลูกเห็บ และกอซิม ผลผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 8.1 ตันต่อเฮกตาร์ (3.6 ตันสั้น/เอเคอร์) อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้เพิ่มการผลิตผักและผลไม้ด้วยการปรับปรุงทั้งเทคนิคทางการเกษตรและถนนที่เชื่อมโยงเกษตรกรกับผู้บริโภคในเมือง ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้ส่งออกผักและผลไม้รายใหญ่ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน พืชผลส่วนใหญ่ได้แก่ แตงโม องุ่น ผลไม้รสเปรี้ยว หัวหอม สควอช และมะเขือเทศ บริเวณทางตะวันตกเฉียงใต้ที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ของประเทศ[92]
การท่องเที่ยว
แม้ว่าการท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในซาอุดีอาระเบียยังคงเกี่ยวข้องกับการแสวงบุญทางศาสนาเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีการเติบโตในภาคการท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อน และนันทนาการ จากข้อมูลของธนาคารโลก มีผู้เดินทางมาซาอุดีอาระเบียประมาณ 14.3 ล้านคนในปี 2012 ทำให้เป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากเป็นอันดับ 19 ของโลก[93] การท่องเที่ยวเป็นองค์ประกอบสำคัญของวิสัยทัศน์ซาอุดิอาระเบียปี 2030 และจากรายงานของ BMI Research ในปี 2018 พบว่าการท่องเที่ยวทั้งเชิงศาสนาและนันทนาการมีศักยภาพในการขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ
นับตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 2018 รัฐบาลเสนอการตรวจลงตราอิเล็กทรอนิกส์สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาและคอนเสิร์ต ในเดือนกันยายน 2019 รัฐบาลได้ประกาศแผนการที่จะเปิดการยื่นขอการตรวจลงตราสำหรับผู้มาเยือน ซึ่งผู้คนจากประมาณ 50 ประเทศจะสามารถขอกาตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยวไปยังซาอุดีอาระเบียได้
โครงสร้างพื้นฐาน
วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การศึกษา
การศึกษาในทุกระดับไม่มีค่าใช้จ่าย แม้ว่าการศึกษาระดับอุดมศึกษาจะจำกัดเฉพาะพลเมืองเท่านั้น[94] ระบบการศึกษาประกอบด้วยโรงเรียนประถม และมัธยมศึกษา ชั้นเรียนมีการแยกตามเพศชัดเจน ในระดับมัธยมศึกษา สามารถเลือกโรงเรียนได้ 3 แบบ คือ ศึกษาทั่วไป เทคนิค หรือ การศึกษาเพื่อศาสนา[95] อัตราการรู้หนังสือของประเทศอยู่ที่ 99% ในเพศชายชายและ 96% ในเพศหญิงในปี 2020[96][97] สำหรับเยาวชน อัตราการรู้หนังสือเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 99.5% สำหรับทั้งสองเพศ[98][99]
ตามแผนการศึกษาสำหรับการศึกษาระดับมัธยมศึกษา 1435–1438 ปฏิทินฮิจเราะห์ นักเรียนที่ลงทะเบียนในเส้นทาง "วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ" จะต้องศึกษาวิชาศาสนาห้าวิชา ได้แก่ เตาฮีด ฟิกฮฺ ตัฟซีร หะดีษ และการศึกษาอิสลามและคัมภีร์กุรอาน อย่างไรก็ตาม ใน ค.ศ. 2021 กระทรวงศึกษาธิการของซาอุดีอาระเบียได้ควบรวมวิชาทางศาสนาอิสลามหลายวิชาเข้าบรรุในตำราเล่มเดียว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปหลายครั้ง เพื่อปรับปรุงระบบการศึกษาของโรงเรียน นอกจากนี้ นักศึกษายังต้องลงทะเบียนในสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์ 6 วิชา ได้แก่ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ธรณีวิทยา และคอมพิวเตอร์ การศึกษาระดับอุดมศึกษาขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมีมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยจำนวนมากก่อตั้งขึ้นมาโดยเฉพาะตั้งแต่ทศวรรษ 2000 สถาบันอุดมศึกษาประกอบด้วยมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศ มหาวิทยาลัยซาอูด ก่อตั้งขึ้นในปี 1957 มหาวิทยาลัยอิสลามแห่งอัลมะดีนะฮ์ ก่อตั้งในปี 1961 และมหาวิทยาลัยคิงอับดุลอาซิซ ในญิดดะฮ์ ก่อตั้งขึ้นในปี 1967 มหาวิทยาลัยปรินเซสโนรา บินท อับดุลารามัน เป็นมหาวิทยาลัยสำหรับสตรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก่อตั้งใน ค.ศ. 1970
อันดับทางวิชาการของมหาวิทยาลัยโลก จัดอันดับสถาบันซาอุดีอาระเบีย 4 แห่งรวมอยู่ในรายชื่อมหาวิทยาลัยชั้นนำ 500 แห่งในปี 2021[100] การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก QS แสดงรายการมหาวิทยาลัยซาอุดีอาระเบีย 14 แห่งจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกปี 2022 และมหาวิทยาลัย 23 แห่งรวมอยู่ใน 100 อันดับแรกในโลกอาหรับ[101]
ใน ค.ศ. 2018 ซาอุดีอาระเบียอยู่ในอันดับที่ 28 ของโลกในด้านผลงานวิจัยคุณภาพสูงตามวารสารทางวิทยาศาสตร์ Nature ทำให้เป็นประเทศตะวันออกกลาง ประเทศอาหรับ และประเทศมุสลิมที่มีผลงานดีที่สุด ซาอุดีอาระเบียใช้จ่าย 8.8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเพื่อการศึกษา เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 4.6%[102] ซาอุดีอาระเบียอยู่ในอันดับที่ 66 ในดัชนีนวัตกรรมโลกในปี 2021 เพิ่มขึ้นจากอันดับที่ 68 ในปี 2019[103][104] การท่องจำโดยท่องส่วนใหญ่ของอัลกุรอาน การตีความและความเข้าใจ (ตัฟซีร) และการนำประเพณีอิสลามมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันเป็นหัวใจสำคัญของ ศาสนาที่สอนในลักษณะนี้ยังเป็นวิชาบังคับสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยทุกคนหลักสูตร[105] อย่างไรก็ตาม ซีไอเอรายงานถึงผลที่ตามมาก็คือ เยาวชนซาอุดิอาระเบีย "โดยทั่วไปขาดการศึกษาและทักษะทางเทคนิคที่ภาคเอกชนต้องการ"
ภาคศาสนาของหลักสูตรระดับชาติของซาอุดีอาระเบียได้รับการตรวจสอบในรายงานปี 2006 โดย Freedom House ซึ่งสรุปว่า "หลักสูตรศาสนาของโรงเรียนรัฐบาลของซาอุดิอาระเบียยังคงเผยแพร่อุดมการณ์แห่งความเกลียดชังต่อ "ผู้ไม่ศรัทธา" นั่นคือ คริสเตียน ยิว ชีอะต์ และศูฟี ,ชาวมุสลิมซุนนีย์ที่ไม่ปฏิบัติตามหลักคำสอนของวะฮาบี, ชาวฮินดู, ผู้ไม่เชื่อในพระเจ้า และอื่น ๆ"[106]
สาธารณสุข
การดูแลสุขภาพในซาอุดีอาระเบียเป็นระบบการดูแลสุขภาพระดับชาติที่รัฐบาลให้บริการดูแลสุขภาพผ่านหน่วยงานของรัฐหลายแห่ง ซาอุดีอาระเบียได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 26 ประเทศที่ดีที่สุดในการให้บริการด้านการดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพสูง[107] กระทรวงสาธารณสุขของซาอุดิอาระเบีย (MOH) เป็นหน่วยงานหลักของรัฐบาลที่ได้รับความไว้วางใจให้ดูแลด้านการป้องกัน รักษา และฟื้นฟูสุขภาพสำหรับประชากรของราชอาณาจักร ต้นกำเนิดของกระทรวงสามารถสืบย้อนไปถึง ค.ศ. 1925 เมื่อมีการจัดตั้งหน่วยงานด้านสุขภาพในภูมิภาคหลายแห่ง โดยแห่งแรกในเมืองมักกะห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย สถาบันสุขภาพต่าง ๆ ถูกควบรวมกันใน ค.ศ. 1950 อับดุลลาห์ บิน ไฟซาล อัล ซาอุด เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนแรกและดำรงตำแหน่งเป็นเวลาสามปี โดยมีบทบาทหลักในการจัดตั้งกระทรวงที่จัดตั้งขึ้นใหม่[108]
กระทรวงสาธารณสุขจัดการแข่งขันระหว่างแต่ละอำเภอ และระหว่างบริการทางการแพทย์และโรงพยาบาลต่าง ๆ แนวคิดนี้ส่งผลให้มีการสร้างโครงการ "Ada'a" ซึ่งเปิดตัวในปี 2016 ระบบใหม่นี้เป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพระดับประเทศสำหรับบริการและโรงพยาบาล หลังจากการนำตาราง KPI ใหม่ไปใช้ เวลาในการรอการรับบริการ และการวัดผลที่สำคัญอื่น ๆ ก็ดีขึ้นอย่างมากทั่วทั้งราชอาณาจักร[109] กระทรวงได้พัฒนายุทธศาสตร์ใหม่ หรือที่เรียกว่ากลยุทธ์การควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย หรือเรียกสั้นๆ ว่า DPAS[110] การดูแลตนเองที่ไม่ดีในบรรดาประชากรบางกลุ่มในประเทศ ทำให้เกิดการเลือกวิถีชีวิตที่ไม่ดี ส่งผลให้กระทรวงแนะนำว่าควรขึ้นภาษีสำหรับอาหาร เครื่องดื่ม และบุหรี่ที่ไม่ดีต่อสุขภาพในภูมิภาค
ซาอุดีอาระเบียมีความคาดหมายคงชีพเฉลี่ยที่ 75 ปี (73.79 สำหรับผู้ชาย และ 76.61 สำหรับผู้หญิง) อัตราการเสียชีวิตของทารกในปี 2019 เท่ากับ 5.7 ต่อ 1,000 ราย[111] ในปี 2016 ประชากรผู้ใหญ่ 69.7% มีน้ำหนักเกิน และ 35.5% เป็นโรคอ้วน[112] การสูบบุหรี่ในซาอุดีอาระเบียในทุกกลุ่มอายุเป็นที่แพร่หลาย ในปี 2009 เปอร์เซ็นต์เฉลี่ยของผู้สูบบุหรี่ต่ำสุดคือนักศึกษามหาวิทยาลัย (~13.5%) ในขณะที่ผู้สูงอายุมีอัตราสูงสุด (~25%) การศึกษายังพบว่าร้อยละของผู้สูบบุหรี่ชายนั้นสูงกว่าเพศหญิงมาก (~26.5% สำหรับผู้ชาย, ~9% สำหรับผู้หญิง) ก่อนปี 2010 ซาอุดีอาระเบียไม่มีนโยบายห้ามหรือจำกัดการสูบบุหรี่
สวัสดิการสังคม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ประชากรศาสตร์
ประชากรของซาอุดีอาระเบีย ณ เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2013 คาดว่าจะอยู่ที่ 26.9 ล้านคน แม้ว่าประชากรซาอุดีอาระเบียได้รับการพิสูจน์แล้วว่ายากต่อการประมาณการอย่างแม่นยำมาเป็นเวลานานเนื่องจากแนวโน้มของผู้นำซาอุดีอาระเบียที่จะขยายผลการสำรวจสำมะโนประชากร[113] ประชากรซาอุดีอาระเบียเติบโตอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 1950 และหลายปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตของประชากรสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่ประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ต่อปี[114] องค์ประกอบทางชาติพันธุ์ของพลเมืองซาอุดีอาระเบียประกอบไปด้วยชาวอาหรับคิดเป็น 90% และแอฟโฟร-อาหรับอีก 10%
ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ชาวซาอุดีอาระเบียส่วนใหญ่ใช้ชีวิตแบบยังชีพในจังหวัดชนบท แต่ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ดินแดนทั้งหมดได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในปี 2012 ชาวซาอุดีอาระเบียประมาณ 80% อาศัยอยู่ในเขตเมืองใหญ่ โดยเฉพาะรียาด ญิดดะห์ หรือ อัดดัมมาม
ศาสนา
ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามประมาณ 95%
ภาษา
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
กีฬา
ฟุตบอลเป็นกีฬาประจำชาติของชาวซาอุดีอาระเบีย ฟุตบอลทีมชาติซาอุดีอาระเบีย เป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดทีมหนึ่งในทวีปเอเชีย โดยชนะเลิศการแข่งขันเอเชียนคัพ 3 สมัย (ค.ศ. 1984, 1988 และ 1996) และเป็นหนึ่งในสองทีมที่เข้าชิงชนะเลิศรายการนี้มากที่สุด 6 ครั้ง ซาอุดีอาระเบียเข้าร่วมฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 6 ครั้ง และยังเป็นชาติแรกในเอเชียที่เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศการแข่งขันของฟีฟ่าในนามทีมชาติชุดใหญ่
การดำน้ำสกูบา วินด์เซิร์ฟ เรือใบ และบาสเกตบอล (ซึ่งเล่นโดยทั้งชายและหญิง) ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน ทีมบาสเกตบอลแห่งชาติซาอุดีอาระเบียที่คว้าเหรียญทองแดงในการแข่งขันชิงแชมป์เอเชียปี 1999[125][126][127] กีฬาแบบดั้งเดิมเช่น การแข่งม้าและอูฐก็เป็นที่นิยมเช่นกัน สนามกีฬาในริยาดจัดการแข่งขันในฤดูหนาวประจำปีซึ่งเริ่มขึ้นในปี 1974 เป็นหนึ่งในการแข่งขันที่สำคัญที่สุดของกีฬาและดึงดูดสัตว์และผู้ขับขี่จากทั่วทั้งภูมิภาค การล่าสัตว์ป่าในสภาพธรรมชาติและที่อยู่อาศัยโดยใช้นกล่าเหยื่อที่ได้รับการฝึกฝนเป็นอีกหนึ่งกีฬาที่ได้รับความนิยม
กีฬาของสตรีเป็นที่ถกเถียงกันเนื่องจากการปราบปรามการมีส่วนร่วมของสตรีโดยเจ้าหน้าที่กลุ่มอนุรักษ์นิยม อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดนี้ผ่อนคลายลงเล็กน้อยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา[128][129] จนถึงปี 2018 สตรีไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าชมกีฬาในสนาม ที่นั่งแบบแยกส่วนซึ่งอนุญาตให้ประชากรสตรีเข้าได้ ได้รับการพัฒนาในสนามกีฬาสามแห่งทั่วเมืองใหญ่ในประเทศ[130]
วัฒนธรรม
ซาอุดีอาระเบียมีทัศนคติและขนบธรรมเนียมเก่าแก่หลายศตวรรษ ซึ่งมักมาจากอารยธรรมอาหรับ ปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมของซาอุดีอาระเบียคือมรดกอิสลามและประเพณีของชาวเบดูอินตลอดจนบทบาททางประวัติศาสตร์ในฐานะศูนย์กลางการค้าโบราณ[131]
สถาปัตยกรรม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อาหาร
อาหารซาอุดีอาระเบีย คล้ายกับประเทศโดยรอบในคาบสมุทรอาหรับและโลกอาหรับในวงกว้าง และได้รับอิทธิพลจากอาหารตุรกี อินเดีย เปอร์เซีย และแอฟริกา เนื้อหมูเป็นสิ่งต้องห้ามโดยชาวมุสลิม การรับประทานเนื้อปศุสัตว์ต้องได้รับการเชือดอย่างถูกต้องภายใต้ข้อกำหนดของ ฮาลาล กะบาบ และ ฟาลาฟล เป็นที่นิยมเช่นเดียวกับชาวัรมา (เนื้อแกะย่างเนื้อแกะหรือไก่หมัก) เช่นเดียวกับในประเทศอาหรับอื่น ๆ ในคาบสมุทรอาหรับ มัคบู (กับซะฮ์) ข้าวพร้อมเนื้อแกะ ไก่ ปลา หรือกุ้ง เป็นหนึ่งในอาหารประจำชาติ เช่นเดียวกับมานดิ ขนมปังทาบูนเป็นอาหารหลักในแทบทุกมื้อ เช่นเดียวกับอินทผลัม ผลไม้สด โยเกิร์ต และครีม กาแฟอาหรับเป็นเครื่องดื่มแบบดั้งเดิมในอาหารอาหรับ หลักฐานยืนยันที่เก่าแก่ที่สุดของการดื่มกาแฟหรือความรู้เกี่ยวกับต้นกาแฟมีประวัติสืบไปถึงศตวรรษที่ 15 โดยลัทธิศูฟี
การแต่งกาย
เนื่องจากซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่มีสภาพอากาศร้อนและแห้งแล้ง อีกทั้งประชาชนยังนับถือศาสนาอิสลามซึ่งมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการแต่งตัวไว้อย่างเคร่งครัด ทำให้ชาวซาอุดีอาระเบียแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่หลวมเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้อย่างสะดวก แต่ปกปิดร่างกายอย่างมิดชิดทั้งผู้ชายและผู้หญิงเพื่อช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายเสียความชุ่มชื้น ผู้ชายจะใส่ชุดสีขาว เรียกว่า โต๊ป (Thobe) ส่วนผู้หญิงต้องสวมใส่เสื้อคลุมสีดำที่เรียกว่า อาบายะห์ (Abaya)
ความเชื่อ
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
สื่อมวลชน
โทรทัศน์ได้รับการเผยแพร่เข้าสู่ซาอุดีอาระเบียใน ค.ศ. 1954 ซาอุดีอาระเบียเป็นตลาดหลักสำหรับดาวเทียมและเพย์ทีวีในภูมิภาค โดยครอบครองส่วนแบ่งที่ใหญ่ที่สุดของตลาดกระจายเสียงในกลุ่มสันนิบาตอาหรับ บริษัทกระจายเสียงรายใหญ่ของซาอุดีอาระเบีย ได้แก่ เอ็ม บี ซี กรุ๊ป, โรตานา กรุ๊ป และ Saudi Broadcasting Authority[132]
รัฐบาลซาอุดีอาระเบียติดตามสื่ออย่างใกล้ชิด และจำกัดสื่อดังกล่าวภายใต้กฎหมายของรัฐที่เป็นทางการ มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อลดข้อจำกัดเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ความพยายามบางอย่างที่นำโดยรัฐบาลในการควบคุมข้อมูลได้ดึงดูดความสนใจจากนานาชาติด้วยเช่นกัน ใน ค.ศ. 2022 ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนประเมินสถานการณ์สื่อมวลชนของราชอาณาจักรว่า "ตึงเครียดมาก"[133] หนังสือพิมพ์ยุคแรก ๆ ส่วนใหญ่ในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซียกำเนิดขึ้นในซาอุดีอาระเบีย หนังสือพิมพ์ฉบับแรกที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศและในบริเวณอ่าวเปอร์เซียคือ อัล ฟะลาฮ์ ซึ่งเปิดตัวในปี 1920 หนังสือพิมพ์ทั้งหมดที่ตีพิมพ์ในซาอุดีอาระเบียดำเนินงานโดยเอกชน[134]
ประชากรของซาอุดีอาระเบียได้รับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในปี 1994[135] จากข้อมูลของธนาคารโลก ณ ปี 2020 ประชากร 98% ของซาอุดีอาระเบียเป็นผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่ 8 ของประเทศที่มีเปอร์เซ็นต์ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสูงสุด[136] ซาอุดีอาระเบียมีความเร็วอินเทอร์เน็ต 5G ที่เร็วที่สุดชาติหนึ่งในโลก[137][138] และยังเป็นตลาดการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 27 ด้วยรายได้ 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐใน ค.ศ. 2021 โดยนำหน้าเบลเยียมและหลังนอร์เวย์
วันหยุด
หมายเหตุ
- ↑ มีสภาที่ปรึกษาหรือสภาชูรอ ซึ่งไม่มีอำนาจทางนิติบัญญัติ[7] เพราะบทบาทของสภานี้มีแค่เฉพาะเป็นที่ปรึกษา จึงไม่ถือเป็นนิติบัญญัติ[8]
อ้างอิง
- ↑ "About Saudi Arabia: Facts and figures". The Royal Embassy of Saudi Arabia, Washington, DC. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 April 2012.
- ↑ 2.0 2.1 Saudi Arabia. The World Factbook. Central Intelligence Agency.
- ↑ "Basic Law of Governance". Ministry of Education. Ministry of Education – Kingdom of Saudi Arabia. สืบค้นเมื่อ 1 September 2020.
- ↑ "The World Factbook". 2 July 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-07-02.
- ↑ "Saudi Arabia - The World Factbook". CIA. CIA. สืบค้นเมื่อ 30 May 2021.
- ↑ "Religious Composition by Country" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 23 มีนาคม 2018. สืบค้นเมื่อ 15 ตุลาคม 2021.
- ↑ Hefner, Robert W. (2009). Remaking Muslim Politics: Pluralism, Contestation, Democratization. Princeton University Press. p. 202. ISBN 978-1-4008-2639-1.
- ↑ "Analysts: Saudi Arabia Nervous About Domestic Discontent". www.voanews.com. VoA News - English. สืบค้นเมื่อ 2021-06-06.
- ↑ "The total population – General Authority for Statistics". stats.gov.sa. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 April 2019. สืบค้นเมื่อ 31 October 2019.
- ↑ 10.0 10.1 10.2 10.3 "Saudi Arabia". International Monetary Fund.
- ↑ "The World Factbook". CIA.gov. Central Intelligence Agency. สืบค้นเมื่อ 28 May 2019.
- ↑ Human Development Report 2020 The Next Frontier: Human Development and the Anthropocene (PDF). United Nations Development Programme. 15 December 2020. pp. 343–346. ISBN 978-92-1-126442-5. สืบค้นเมื่อ 16 December 2020.
- ↑ James E. Lindsay (2005-06-30). Daily Life in the Medieval Islamic World. Internet Archive. Greenwood Press. ISBN 978-0-313-32270-9.
- ↑ Al-Rasheed, Madawi (2013-03-15). A Most Masculine State: Gender, Politics and Religion in Saudi Arabia (ภาษาอังกฤษ). Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-76104-8.
- ↑ "Council of Ministers System | The Embassy of The Kingdom of Saudi Arabia". www.saudiembassy.net.
- ↑ Wehrey, Frederic; Wehrey, Frederic. "The Authoritarian Resurgence: Saudi Arabia's Anxious Autocrats". Carnegie Endowment for International Peace (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Malbouisson, Cofie D. (2007). Focus on Islamic issues. ISBN 978-1-6002
- ↑ "Saudi Crown Prince Mohammed seeks to reduce influential clerics' power". Washington Post (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0190-8286. สืบค้นเมื่อ 2022-10-16.
- ↑ Learsy, Raymond (2011). Oil and Finance: The Epic Corruption. p. 89.
- ↑ "Oil Discovered in Saudi Arabia - National Geographic Society". web.archive.org. 2016-12-12.
- ↑ "International - U.S. Energy Information Administration (EIA)". www.eia.gov.
- ↑ "Saudi Arabia to overtake Russia as top oil producer-IEA". Reuters (ภาษาอังกฤษ). 2011-11-09. สืบค้นเมื่อ 2022-10-16.
- ↑ Wynbrandt, James (2014-05-14). A Brief History of Saudi Arabia (ภาษาอังกฤษ). Infobase Publishing. ISBN 978-1-4381-0830-8.
- ↑ Byman, Daniel L. (-001-11-30T00:00:00+00:00). "Confronting Passive Sponsors of Terrorism". Brookings (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ Buzan, Barry (2004). The United States and the Great Powers. Cambridge: Polity Press. p. 71. ISBN 978-0-7456-3375-6.
- ↑ "Tax in Saudi Arabia | Saudi Arabia Tax Guide - HSBC Expat". www.expat.hsbc.com (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
- ↑ web.archive.org https://web.archive.org/web/20200213113720/https://investsaudi.sa/en/node-1140/.
{{cite web}}
:|title=
ไม่มีหรือว่างเปล่า (help) - ↑ "Saudi Arabia". U.S. Department of State.
- ↑ Lewis, Bernard (2003). The crisis of Islam : holy war and unholy terror. Internet Archive. New York : Modern Library. ISBN 978-0-679-64281-7.
- ↑ Safran, Nadav (1988). Saudi Arabia: The Ceaseless Quest for Security (ภาษาอังกฤษ). Cornell University Press. ISBN 978-0-8014-9484-0.
- ↑ Wilson, Peter W. (1994-07-20). Saudi Arabia: The Coming Storm (ภาษาอังกฤษ). M.E. Sharpe. ISBN 978-0-7656-3347-7.
- ↑ Kamrava, Mehran (2011-01-03). The Modern Middle East: A Political History since the First World War (ภาษาอังกฤษ). University of California Press. ISBN 978-0-520-94753-5.
- ↑ Wynbrandt, James (2010). A brief history of Saudi Arabia. Internet Archive. New York, NY : Facts On File. ISBN 978-0-8160-7876-9.
- ↑ Stokes, Jamie (2009). Encyclopedia of the Peoples of Africa and the Middle East, Volume 1. p. 605. ISBN 978-0-8160-7158-6.
- ↑ University Microfilms (2004). Dissertation Abstracts International: The sciences and engineering. p. 23.
- ↑ Vincent, Peter (2008-01-17). Saudi Arabia: An Environmental Overview (ภาษาอังกฤษ). CRC Press. ISBN 978-0-203-03088-2.
- ↑ "Saudi Arabia | History, Map, Flag, Capital, Population, & Facts | Britannica". www.britannica.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Francis, Mohammed. "The Tourists Guide To The 10 Amazing Volcanoes in Saudi Arabia". For Lovers Of The Magic Kingdom (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
- ↑ Dinerstein, Eric; Olson, David; Joshi, Anup; Vynne, Carly; Burgess, Neil D.; Wikramanayake, Eric; Hahn, Nathan; Palminteri, Suzanne; Hedao, Prashant; Noss, Reed; Hansen, Matt (2017-06-01). "An Ecoregion-Based Approach to Protecting Half the Terrestrial Realm". Bioscience. 67 (6): 534–545. doi:10.1093/biosci/bix014. ISSN 0006-3568. PMC 5451287. PMID 28608869.
- ↑ "Species in theRed Sea". www.fishbase.se.
- ↑ Department Of State. The Office of Electronic Information, Bureau of Public Affairs. "Saudi Arabia". 2001-2009.state.gov (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Saudi Arabia Archives". Amnesty International (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Abiad, Nisrine (2008). Sharia, Muslim States and International Human Rights Treaty Obligations: A Comparative Study (ภาษาอังกฤษ). BIICL. ISBN 978-1-905221-41-7.
- ↑ Anishchenkova, Valerie (2020-06-01). Modern Saudi Arabia (ภาษาอังกฤษ). ABC-CLIO. ISBN 978-1-4408-5705-8.
- ↑ "2009 Human Rights Report: Saudi Arabia". web.archive.org. 2010-03-15.
- ↑ "Rights group condemns Saudi beheadings". NBC News (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Saudi system condemned". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2003-08-09.
- ↑ "Saudi executioner tells all" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2003-06-05. สืบค้นเมื่อ 2022-10-16.
- ↑ "Saudi Arabia to abolish flogging - supreme court". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2020-04-24. สืบค้นเมื่อ 2022-10-16.
- ↑ "In landmark decision, Saudi Arabia to eliminate flogging punishment". Al Arabiya English (ภาษาอังกฤษ). 2020-04-24.
- ↑ "Women and Saudi Arabia's Male Guardianship System | HRW". web.archive.org. 2016-08-26.
- ↑ "Public Debate in Saudi Arabia on Employment Opportunities for Women". MEMRI (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "The Australian who has become a prisoner of gender apartheid". The Sydney Morning Herald (ภาษาอังกฤษ). 2009-11-13.
- ↑ Venter, Al J. (2007). Allah's bomb : the Islamic quest for nuclear weapons. Internet Archive. Guilford, CT : Lyons. ISBN 978-1-59921-205-0.
- ↑ "Asia Times - Asia's most trusted news source for the Middle East". web.archive.org. 2003-11-07.
- ↑ "Global defence spending: the United States widens the gap". IISS (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "USA and France dramatically increase major arms exports; Saudi Arabia is largest arms importer, says SIPRI | SIPRI". www.sipri.org.
- ↑ "About this Collection | Country Studies | Digital Collections | Library of Congress". Library of Congress, Washington, D.C. 20540 USA.
- ↑ "U.S. Arms Clients Profiles--SAUDI ARABIA". web.archive.org. 2010-11-11.
- ↑ "U.S. Middle East Policy-Arms for the King and His Family: The U.S. Arms Sale to Saudi Arabia". web.archive.org. 2010-12-05.
- ↑ "Reuters | Breaking International News & Views". Reuters (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "KUNA : Arab leaders issue resolutions, emphasize Gaza reconstruction efforts - - 20/01/2009". www.kuna.net.kw.
- ↑ "OPEC : Brief History". www.opec.org.
- ↑ "The Arab Oil Threat". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 1973-11-23. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2022-10-16.
- ↑ Norton, Ben (2016-08-30). "Rights group blasts U.S. "hypocrisy" in "vast flood of weapons" to Saudi Arabia, despite war crimes". Salon (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Obama: Congress veto override of 9/11 lawsuits bill 'a mistake'". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2016-09-29. สืบค้นเมื่อ 2022-10-16.
- ↑ "We finally know what Hillary Clinton knew all along – Saudi Arabia is funding Isis". The Independent (ภาษาอังกฤษ). 2016-10-15.
- ↑ "How strained are US-Saudi relations?". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2016-04-19. สืบค้นเมื่อ 2022-10-16.
- ↑ News, A. B. C. "The truth about President Trump's $110 billion Saudi arms deal". ABC News (ภาษาอังกฤษ).
{{cite web}}
:|last=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help) - ↑ "Iraq's foreign militants 'come from US allies'". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2007-11-22.
- ↑ "Saudi Poll: China Leads U.S.; Majority Back Curbs on Extremism, Coronavirus". The Washington Institute (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Ma, Alexandra. "Saudi crown prince defended China's imprisonment of a million Muslims in internment camps, giving Xi Jinping a reason to continue his 'precursors to genocide'". Business Insider (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "Saudi Arabian troops enter Bahrain as regime asks for help to quell uprising". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2011-03-14.
- ↑ "'The Yemen war death toll is five times higher than we think – we can't shrug off our responsibilities any longer'". The Independent (ภาษาอังกฤษ). 2018-10-26.
- ↑ "Gulf-allies-and-'Army-of-Conquest' - Al-Ahram Weekly". web.archive.org. 2015-09-19.
- ↑ "'Army of Conquest' rebel alliance pressures Syria regime". news.yahoo.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "At last, a Western country stands up to Saudi Arabia on human rights". The Independent (ภาษาอังกฤษ). 2015-03-13.
- ↑ "Qatar-Gulf crisis: Your questions answered". www.aljazeera.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Saudi Arabia signs cooperation deals with China on nuclear energy". Reuters (ภาษาอังกฤษ). 2017-08-25. สืบค้นเมื่อ 2022-10-16.
- ↑ "Report for Selected Countries and Subjects". IMF (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "International - U.S. Energy Information Administration (EIA)". www.eia.gov.
- ↑ "Wayback Machine". web.archive.org. 2010-11-22.
- ↑ Network, WANG KAIHAO China Daily Asia News (2018-03-24). "Ancient silk road port found in Saudi Arabia". nationthailand (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "How Saudi Arabia revived the ancient Silk Road". Arab News (ภาษาอังกฤษ). 2016-09-03.
- ↑ "China to Boost Belt and Road Links with Saudi Arabia". The Maritime Executive (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Insights". www.business.hsbc.ae (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
- ↑ "Poverty Hides Amid Saudi Arabia's Oil Wealth". NPR.org (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2022-10-16.
- ↑ "Saudi film-makers enter second week of detention". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 2011-10-23.
- ↑ "A foreign Saudi plot to expose foreign poverty in foreign Saudi « Lebanon Spring". web.archive.org. 2012-01-03.
- ↑ "Saudi Arabia ends domestic wheat production | World-grain.com | March 18, 2016 14:23 | World Grain". www.world-grain.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Elopak". web.archive.org. 2008-11-13.
- ↑ "Agriculture & Water | The Embassy of The Kingdom of Saudi Arabia". www.saudiembassy.net.
- ↑ "Wish you were here". The Economist. ISSN 0013-0613. สืบค้นเมื่อ 2022-10-16.
- ↑ "Saudi Education System". www.ukessays.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "K 12 Education System of Saudi Arabia Classes 1 to 12". www.saudiarabiaeducation.info.
- ↑ "Literacy rate, adult female (% of females ages 15 and above) | Data". data.worldbank.org.
- ↑ "Literacy rate, adult male (% of males ages 15 and above) | Data". data.worldbank.org.
- ↑ "Literacy rate, youth male (% of males ages 15-24) - Saudi Arabia | Data". data.worldbank.org.
- ↑ "Literacy rate, youth female (% of females ages 15-24) - Saudi Arabia | Data". data.worldbank.org.
- ↑ "ShanghaiRanking's Academic Ranking of World Universities". www.shanghairanking.com.
- ↑ "QS Arab Region University Rankings 2022". Top Universities (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Saudi Arabia most improved economy for business". Arab News (ภาษาอังกฤษ). 2019-05-28.
- ↑ "Global Innovation Index 2019". www.wipo.int (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "RTD - Global Innovation Index 2020 (Cornell/Insead/WIPO)". ec.europa.eu.
- ↑ "Education in Saudi Arabia". WENR (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2001-11-01.
- ↑ "freedomhouse.org: Press Release". web.archive.org. 2008-12-11.
- ↑ Al-Hanawi, Mohammed Khaled; Khan, Sami A.; Al-Borie, Hussein Mohammed (2019-02-27). "Healthcare human resource development in Saudi Arabia: emerging challenges and opportunities—a critical review". Public Health Reviews. 40 (1): 1. doi:10.1186/s40985-019-0112-4. ISSN 2107-6952. PMC 6391748. PMID 30858991.
{{cite journal}}
: CS1 maint: PMC format (ลิงก์) - ↑ "Abdullah Al-Faisal Passes Away". Arab News (ภาษาอังกฤษ). 2007-05-09.
- ↑ "Saudi Arabia's 937 Service Center received 80,007 calls last week". Arab News (ภาษาอังกฤษ). 2018-10-15.
- ↑ "It's time to tip the scale against Saudi Arabia's obesity problem". Arab News (ภาษาอังกฤษ). 2018-08-01.
- ↑ "Life expectancy at birth, total (years) - Saudi Arabia | Data". data.worldbank.org.
- ↑ "Noncommunicable diseases: Risk factors". www.who.int (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Saudi Arabia on the dole". The Economist. ISSN 0013-0613. สืบค้นเมื่อ 2022-10-16.
- ↑ Long, David E. (2005). Culture and customs of Saudi Arabia. Internet Archive. Greeenwood Press. ISBN 978-0-313-32021-7.
- ↑ "About ArRiyadh". High Commission for the Development of Ar-Riyadh. สืบค้นเมื่อ 14 June 2017.
- ↑ 116.0 116.1 116.2 116.3 116.4 116.5 "Population Distribution (Saudi and Non Saudi) in Governorates of Eastern Region, 2013 A.D." Stats.gov.sa. สืบค้นเมื่อ 14 June 2017.
- ↑ 117.0 117.1 117.2 117.3 "Population Distribution (Saudi and Non Saudi) in Governorates of Makkah Al-Mokarramah Region, 2014 A.D." Stats.gov.sa. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 March 2016. สืบค้นเมื่อ 14 June 2017.
- ↑ 118.0 118.1 "Population Distribution (Saudi and Non Saudi) in Governorates of Aseer Region, 2013 A.D." Stats.gov.sa. สืบค้นเมื่อ 14 June 2017.
- ↑ "Population Distribution (Saudi and Non Saudi) in Governorates of Hail Region, 2013 A.D." Stats.gov.sa. สืบค้นเมื่อ 14 June 2017.
- ↑ 120.0 120.1 "Population Distribution (Saudi and Non Saudi) in Governorates of Al-Madinah Al-Monawarah Region, 2013 A.D." Stats.gov.sa. สืบค้นเมื่อ 14 June 2017.
- ↑ "Population Distribution (Saudi and Non Saudi) in Governorates of Al-Riyad Region, 2013 A.D." Stats.gov.sa. สืบค้นเมื่อ 14 June 2017.
- ↑ "Population Distribution (Saudi and Non Saudi) in Governorates of Al-Qaseem Region, 2013 A.D." Stats.gov.sa. สืบค้นเมื่อ 14 June 2017.
- ↑ "Population Distribution (Saudi and Non Saudi) in Governorates of Najran Region, 2013 A.D." Stats.gov.sa. สืบค้นเมื่อ 14 June 2017.
- ↑ "Population Distribution (Saudi and Non Saudi) in Governorates of Tabouk Region, 2013 A.D." Stats.gov.sa. สืบค้นเมื่อ 14 June 2017.
- ↑ https://web.archive.org/web/20111028000423/http://saudiembassy.net/files/PDF/Publications/Magazine/1998-Winter/slamdunk.htm
- ↑ "Saudi women show greater interest in sports and games - Arab News". web.archive.org. 2012-01-20.
- ↑ "Men Basketball Asia Championship 1999 Fukuoka (JPN)- 28.08-05.09 Winner China". web.archive.org. 2012-01-18.
- ↑ Elwazer, Schams (2013-05-05). "Saudi government sanctions sports in girls' private schools". CNN (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Saudi Arabia: No Women on Asian Games Team". Human Rights Watch (ภาษาอังกฤษ). 2014-09-17.
- ↑ Hallam, Emanuella Grinberg,Jonny (2017-10-30). "Saudi Arabia to let women into sports stadiums". CNN (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Culture, Traditions and Art". Saudi Arabian Cultural Mission | (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ The Report: Saudi Arabia 2008 (ภาษาอังกฤษ). Oxford Business Group. 2008. ISBN 978-1-902339-00-9.
- ↑ "Index | RSF". rsf.org (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Wayback Machine". web.archive.org. 2014-09-12.
- ↑ "Internet in Saudi Arabia | Internet.sa | انترنت السعودية". internet.sa.
- ↑ "Individuals using the Internet (% of population) - Saudi Arabia | Data". data.worldbank.org.
- ↑ "Saudi Arabia has fastest 5G download speed, S Korea second --Full list of 15 countries". Zee News (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Saudi 5G Is Fast, and New Spectrum Allocations Should Make it Faster". Ookla - Providing network intelligence to enable modern connectivity (ภาษาอังกฤษ). 2021-04-19.
- ประเทศซาอุดีอาระเบีย เก็บถาวร 2011-05-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน จากเว็บไซต์กระทรวงต่างประเทศ
บรรณานุกรม
- Abir, Mordechai (1987). Saudi Arabia in the oil era: regime and elites : conflict and collaboration. ISBN 978-0-7099-5129-2.
- Abir, Mordechai (1993). Saudi Arabia: Government, Society, and the Persian Gulf Crisis. ISBN 978-0-415-09325-5.
- Mordechai, Abir (2019). Saudi Arabia In The Oil Era: Regime And Elites; Conflict And Collaboration. Taylor & Francis. ISBN 978-1-00-031069-6.
- Al-Rasheed, Madawi (2010). A History of Saudi Arabia. ISBN 978-0-521-74754-7.
- Bowen, Wayne H. (2007). The History of Saudi Arabia. ISBN 978-0-313-34012-3.
- Hegghammer, Thomas (2010). Jihad in Saudi Arabia: Violence and Pan-Islamism Since 1979. ISBN 978-0-521-73236-9.
- House, Karen Elliott (2012). On Saudi Arabia: Its People, Past, Religion, Fault Lines—and Future. Alfred A. Knopf. ISBN 978-0-307-27216-4.
- Long, David E. (2005). Culture and Customs of Saudi Arabia. ISBN 978-0-313-32021-7.
- Malbouisson, Cofie D. (2007). Focus on Islamic issues. ISBN 978-1-60021-204-8.
- Otto, Jan Michiel (2010). Sharia Incorporated: A Comparative Overview of the Legal Systems of Twelve Muslim Countries in Past and Present. ISBN 978-90-8728-057-4.
- Tausch, Arno; Heshmati, Almas; Karoui, Hichem (2015). The political algebra of global value change. General models and implications for the Muslim world (1st ed.). New York: Nova Science. ISBN 978-1-62948-899-8. Available at: https://www.researchgate.net/publication/290349218_The_political_algebra_of_global_value_change_General_models_and_implications_for_the_Muslim_world
- Tausch, Arno (2021). The Future of the Gulf Region: Value Change and Global Cycles. Gulf Studies, Volume 2, edited by Prof. Mizanur Rahman, Qatar University (1st ed.). Cham, Switzerland: Springer. ISBN 978-3-030-78298-6., especially Chapter 8: Saudi Arabia—Religion, Gender, and the Desire for Democracy. In: The Future of the Gulf Region. Gulf Studies, vol 2. Springer, Cham. https://doi.org/10.1007/978-3-030-78299-3_8
- Tripp, Harvey; North, Peter (2009). CultureShock! A Survival Guide to Customs and Etiquette. Saudi Arabia (3rd ed.). Marshall Cavendish.
- Tripp, Harvey; North, Peter (2003). Culture Shock, Saudi Arabia. A Guide to Customs and Etiquette. Singapore; Portland, Oregon: Times Media Private Limited.
แหล่งข้อมูลอื่น
- ซาอุดีอาระเบีย เก็บถาวร 2021-09-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เว็บไซต์รัฐบาลอย่างเป็นทางการ
- Saudi Arabia. The World Factbook. Central Intelligence Agency.
- ประเทศซาอุดีอาระเบีย ที่เว็บไซต์ Curlie
- Saudi Arabia profile from the BBC News
- Wikimedia Atlas of Saudi Arabia
- ประเทศซาอุดีอาระเบีย แหล่งข้อมูลบนเครือข่ายเว็บจัดทำโดย GovPubs ที่หอสมุดมหาวิทยาลัยโคโลราโด โบลเดอร์
- Key Development Forecasts for Saudi Arabia from International Futures