ผลต่างระหว่างรุ่นของ "หมู่บ้านคุ้งตะเภา"
ล ย้อนการแก้ไขของ Mr.BuriramCN (พูดคุย) ไปยังรุ่นก่อนหน้าโดย Sry85 |
Mr.GentleCN (คุย | ส่วนร่วม) |
||
บรรทัด 207: | บรรทัด 207: | ||
หมู่บ้านคุ้งตะเภาตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองอุตรดิตถ์ มีเส้นทางคมนาคมที่สำคัญ คือ[[ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11]] มีทรัพยากรแหล่งน้ำ คือ [[แม่น้ำน่าน]] มีวัดประจำหมู่บ้าน 1 แห่ง บ้านพักอาศัยตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของหมู่บ้าน เดิมการตั้งบ้านเรือนจะอยู่ใกล้กัน แต่เมื่อมีการตัดถนนใหญ่ผ่านทางด้านตกวันตกของหมู่บ้านในช่วงปี [[พ.ศ. 2521]]-[[พ.ศ. 2528]]<ref>[[ราชกิจจานุเบกษา]], [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2521/A/030/44.PDF พระราชกฤษฎีกา กำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดิน สายอินทร์บุรี-บ้านหมี่-ตากฟ้า-ท่าตะโก-บ้านเขาทราย-วังทอง-อุตรดิตถ์-แพร่-ลำปาง-เชียงใหม่ ตอนพิษณุโลก-เด่นชัย พ.ศ. ๒๕๒๑], เล่ม ๙๕ ตอนที่ ๓๐, ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๑, ฉบับพิเศษ หน้า ๔๔</ref> ทำให้บ้านคุ้งตะเภาแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ บ้านเรือนที่ตั้งอยู่ทิศตะวันออกและตะวันตก บ้านเรือนส่วนใหญ่นั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของ[[ถนนเอเชีย]] ปัจจุบันชาวบ้านคุ้งตะเภาเรียกส่วนบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ทิศตะวันออกของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 ตั้งแต่สี่แยกคุ้งตะเภาขึ้นไปว่า "บ้านไร่" หรือ "บ้านไร่คุ้งตะเภา" เนื่องจากบริเวณนั้นในอดีตเป็นที่สำหรับปลูกพืชไร่ทำเกษตรกรรมของชาวบ้านคุ้งตะเภามาก่อนที่จะมีชาวบ้านย้ายเข้ามาอยู่อาศัย ซึ่งทางการเคยขอแบ่งหมู่บ้านคุ้งตะเภาออกเป็นสองส่วนดังกล่าว แต่ถูกชาวบ้านคุ้งตะเภาคัดค้าน<ref name="เอกสารแนะนำวัดคุ้งตะเภา"/> |
หมู่บ้านคุ้งตะเภาตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองอุตรดิตถ์ มีเส้นทางคมนาคมที่สำคัญ คือ[[ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11]] มีทรัพยากรแหล่งน้ำ คือ [[แม่น้ำน่าน]] มีวัดประจำหมู่บ้าน 1 แห่ง บ้านพักอาศัยตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของหมู่บ้าน เดิมการตั้งบ้านเรือนจะอยู่ใกล้กัน แต่เมื่อมีการตัดถนนใหญ่ผ่านทางด้านตกวันตกของหมู่บ้านในช่วงปี [[พ.ศ. 2521]]-[[พ.ศ. 2528]]<ref>[[ราชกิจจานุเบกษา]], [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2521/A/030/44.PDF พระราชกฤษฎีกา กำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดิน สายอินทร์บุรี-บ้านหมี่-ตากฟ้า-ท่าตะโก-บ้านเขาทราย-วังทอง-อุตรดิตถ์-แพร่-ลำปาง-เชียงใหม่ ตอนพิษณุโลก-เด่นชัย พ.ศ. ๒๕๒๑], เล่ม ๙๕ ตอนที่ ๓๐, ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๑, ฉบับพิเศษ หน้า ๔๔</ref> ทำให้บ้านคุ้งตะเภาแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ บ้านเรือนที่ตั้งอยู่ทิศตะวันออกและตะวันตก บ้านเรือนส่วนใหญ่นั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของ[[ถนนเอเชีย]] ปัจจุบันชาวบ้านคุ้งตะเภาเรียกส่วนบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ทิศตะวันออกของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 ตั้งแต่สี่แยกคุ้งตะเภาขึ้นไปว่า "บ้านไร่" หรือ "บ้านไร่คุ้งตะเภา" เนื่องจากบริเวณนั้นในอดีตเป็นที่สำหรับปลูกพืชไร่ทำเกษตรกรรมของชาวบ้านคุ้งตะเภามาก่อนที่จะมีชาวบ้านย้ายเข้ามาอยู่อาศัย ซึ่งทางการเคยขอแบ่งหมู่บ้านคุ้งตะเภาออกเป็นสองส่วนดังกล่าว แต่ถูกชาวบ้านคุ้งตะเภาคัดค้าน<ref name="เอกสารแนะนำวัดคุ้งตะเภา"/> |
||
ปัจจุบัน หมู่บ้านคุ้งตะเภา มีพื้นที่ทั้งหมด 2,657 [[ไร่]] พื้นที่บางส่วนอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน (สปก.) <ref>[[ราชกิจจานุเบกษา]], [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2526/A/135/31.PDF พระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตที่ดินในท้องที่อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๒๖], เล่ม ๑๐๐ ตอนที่ ๑๓๕, ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖, ฉบับพิเศษ หน้า ๓๑</ref> <ref>[[ราชกิจจานุเบกษา]], [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2554/A/085/13.PDF พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลขุนฝาง ตำบลบ้านด่านนาขาม ตำบลคุ้งตะเภา ตำบลผาจุก ตำบลป่าเซ่า และตำบลหาดกรวด อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๕๔], เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๘๕ ก, ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๔, หน้า ๑๓</ref> แบ่งเป็นพื้นที่ทาง[[เกษตรกรรม]] 1,915 ไร่ พื้นที่อยู่อาศัย 433 ไร่<ref name="โปสเตอร์สรุปข้อมูลหมู่บ้านคุ้งตะเภา"/> โดยพื้นที่[[เกษตรกรรม]]ส่วนใหญ่ตั้งอยู่[[ทิศตะวันออก]]ของหมู่บ้าน แบ่งเป็นพื้นที่ในการทำนา จำนวน 2,070 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 77.90 พื้นที่ในการทำสวน จำนวน 427 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 16.08 และพื้นที่ในการทำไร่ จำนวน 160 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 6.02<ref name="ธนวรรณ ฮองกุล"/> และด้วยการที่หมู่บ้านคุ้งตะเภาเป็นหมู่บ้านแรกในจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่มีโครงการสูบ[[น้ำ]]ด้วย[[ไฟฟ้า]] เมื่อ [[พ.ศ. 2522]]<ref> |
ปัจจุบัน หมู่บ้านคุ้งตะเภา มีพื้นที่ทั้งหมด 2,657 [[ไร่]] พื้นที่บางส่วนอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน (สปก.) <ref>[[ราชกิจจานุเบกษา]], [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2526/A/135/31.PDF พระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตที่ดินในท้องที่อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๒๖], เล่ม ๑๐๐ ตอนที่ ๑๓๕, ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖, ฉบับพิเศษ หน้า ๓๑</ref> <ref>[[ราชกิจจานุเบกษา]], [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2554/A/085/13.PDF พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลขุนฝาง ตำบลบ้านด่านนาขาม ตำบลคุ้งตะเภา ตำบลผาจุก ตำบลป่าเซ่า และตำบลหาดกรวด อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๕๔], เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๘๕ ก, ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๔, หน้า ๑๓</ref> แบ่งเป็นพื้นที่ทาง[[เกษตรกรรม]] 1,915 ไร่ พื้นที่อยู่อาศัย 433 ไร่<ref name="โปสเตอร์สรุปข้อมูลหมู่บ้านคุ้งตะเภา"/> โดยพื้นที่[[เกษตรกรรม]]ส่วนใหญ่ตั้งอยู่[[ทิศตะวันออก]]ของหมู่บ้าน แบ่งเป็นพื้นที่ในการทำนา จำนวน 2,070 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 77.90 พื้นที่ในการทำสวน จำนวน 427 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 16.08 และพื้นที่ในการทำไร่ จำนวน 160 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 6.02<ref name="ธนวรรณ ฮองกุล"/> และด้วยการที่หมู่บ้านคุ้งตะเภาเป็นหมู่บ้านแรกในจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่มีโครงการสูบ[[น้ำ]]ด้วย[[ไฟฟ้า]] เมื่อ [[พ.ศ. 2522]]<ref>ประวัติสาธารณูปโภค จังหวัดอุตรดิตถ์ จาก ''เว็บไซด์รักษ์บ้านเกิด.คอม''</ref> โดยสูบน้ำจากแม่น้ำน่าน มาทำการชลประทานผันน้ำเข้าสู่[[นา]][[ข้าว]]ของชาวบ้าน ทำให้ ตั้งแต่ [[พ.ศ. 2522]] เป็นต้นมา ชาวบ้านคุ้งตะเภาสามารถทำนาได้ปีละ 2 ครั้ง |
||
หมู่บ้านคุ้งตะเภาเป็นที่ตั้งของ[[สถานีอนามัย]]ประจำตำบลคุ้งตะเภา และมี[[สถานีตำรวจ]] 1 แห่ง มีพื้นที่ติดต่อกับหมู่บ้านใกล้เคียง ดังต่อไปนี้ |
หมู่บ้านคุ้งตะเภาเป็นที่ตั้งของ[[สถานีอนามัย]]ประจำตำบลคุ้งตะเภา และมี[[สถานีตำรวจ]] 1 แห่ง มีพื้นที่ติดต่อกับหมู่บ้านใกล้เคียง ดังต่อไปนี้ |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:39, 1 กันยายน 2556
หมู่บ้านคุ้งตะเภา Ban Khung Taphao | |
---|---|
Village | |
ป้ายหมู่บ้านคุ้งตะเภา ถ่ายเมื่อ พ.ศ. 2535 | |
พิกัด: 17°39′24.44″N 100°8′54.56″E / 17.6567889°N 100.1484889°E | |
ตำบล | ตำบลคุ้งตะเภา |
อำเภอ | เมืองอุตรดิตถ์ |
จังหวัด | อุตรดิตถ์ |
ประเทศ | ราชอาณาจักรไทย |
การปกครอง (เจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายปกครองตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2542) | |
• ผู้ใหญ่บ้าน | นายสมชาย สำเภาทอง[1] |
พื้นที่(2,657 ไร่) [2] | |
• ทั้งหมด | 0.6928 ตร.กม. (0.2675 ตร.ไมล์) |
• พื้นที่ทั้งหมด | 4.2512 ตร.กม. (1.6414 ตร.ไมล์) |
ความสูง | 62 เมตร (203 ฟุต) |
ประชากร | |
• ทั้งหมด | 1,436 คน (ชาย 650 คน หญิง 786 คน) คน |
• ความหนาแน่น | 59.22 คน/ตร.กม. (153.4 คน/ตร.ไมล์) |
จำแนกครัวเรือน 437 หลัง[3] | |
เขตเวลา | UTC+7 (Thailand) |
Postal code | 53000 |
เส้นทางคมนาคมหลัก | ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 |
แหล่งน้ำสำคัญ | แม่น้ำน่าน |
เว็บไซต์ | www.watkungtaphao.ob.tc |
1ข้อมูลประชากรหมู่บ้านคุ้งตะเภาจากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เป็นข้อมูลเก่า เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2550 |
หมู่บ้านคุ้งตะเภา หรือ บ้านคุ้งตะเภา เดิมชื่อว่า "ทุ่งบ้านคุ้งตะเภา"[4] เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ในตำบลคุ้งตะเภา อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ นับเป็นหมู่บ้านในแถบลุ่มแม่น้ำน่านฝั่งขวาตอนบนที่เคยอยู่ในการปกครองของหัวเมืองพิชัยที่เก่าแก่ที่สุดหมู่บ้านหนึ่ง รองจากเมืองฝางสว่างคบุรีที่มีที่ตั้งอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำน่านฝั่งขวาตอนบนเช่นเดียวกัน
หมู่บ้านคุ้งตะเภาเป็นชุมชนคนไทยดั้งเดิมที่ตั้งอยู่ปลายเหนือสุดของวัฒนธรรมที่ราบลุ่มภาคกลางตอนบน ตัวหมู่บ้านอยู่ติดริมแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออก มีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบสองระดับ โดยพื้นที่ติดริมแม่น้ำน่านจะเป็นที่ระดับต่ำมีชั้นลดจากที่ราบปกติ เดิมตัวหมู่บ้านตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มชั้นลดดินตะกอนแม่น้ำพัดดังกล่าว แต่ในปัจจุบันบ้านเรือนส่วนใหญ่ได้ย้ายขึ้นมาตั้งอยู่บนที่ราบภาคกลางริมทางหลวงแผ่นดินหมายเลขที่ 11 โดยพื้นที่เกษตรกรรมของหมู่บ้านส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ทิศตะวันออกของหมู่บ้านและที่ราบลุ่มตะกอนแม่น้ำพัดริมแม่น้ำน่านด้านตะวันตกของหมู่บ้าน
ชาวบ้านคุ้งตะเภาในปัจจุบันส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท มีประเพณีและวัฒนธรรมคล้ายกับหมู่บ้านชนบททั่วไปในแถบภาคกลางตอนบน โดยมีวัดประจำหมู่บ้าน 1 แห่ง สถานีอนามัย 1 แห่ง และ โรงเรียนระดับพื้นฐาน 1 โรง เส้นทางคมนาคมหลักคือ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 ด้านเศรษฐกิจ ชาวบ้านประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่ ปัจจุบันมีนายสมชาย สำเภาทอง เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านคุ้งตะเภา
ประวัติ
ชื่อหมู่บ้าน
นิรุกติศาสตร์
ดูเพิ่มได้ที่ ความเป็นมาของชื่อคุ้งตะเภา
คุ้งตะเภา มีความหมายว่า "คุ้งเรือสำเภา" มาจากศัพท์คำว่า "คุ้ง" หมายถึง ส่วนเว้าโค้งเข้าไปของฝั่งน้ำด้านที่ตรงกันข้ามกับหัวแหลม[5] และ "ตะเภา" แผลงมาจากศัพท์เดิม คือ "สำเภา"
ตำนานและความเป็นมาชื่อหมู่บ้าน
สภาพที่ตั้งของหมู่บ้านคุ้งตะเภาในอดีตนั้นอยู่ติดริมแม่น้ำน่านและอยู่ใกล้กับชุมนุมการค้าที่สำคัญของภาคเหนือที่มีความสำคัญมาตั้งแต่สมัยโบราณ คือ ตำบลท่าเสา โดยในสมัยก่อนการทำการค้าขายนิยมขนสินค้าขึ้นมาลงยังท่าเสาโดยอาศัยเรือเป็นยานพาหนะหลัก เพื่อส่งสินค้าไปยังเมืองทางเหนือขึ้นไปจนไปถึงหลวงพระบางโดยทางบกเพราะเหนือขึ้นไปนั้นแม่น้ำจะตื้นเขินและมีเกาะแก่งมาก แต่ในฤดูฝนนั้นแม่น้ำมักจะมีน้ำหลากท่วมเต็มตลิ่งเป็นเวิ้งน้ำขนาดใหญ่ ทำให้พ่อค้าสามารถขนสินค้าขึ้นล่องไปยังเมืองเหนือโดยใช้เรือขนาดใหญ่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของตำนานเรือสำเภาล่มอันกลายมาเป็นชื่อหมู่บ้านนี้ในปัจจุบัน
ชื่อหมู่บ้านคุ้งตะเภานั้นมีที่มาจากคำบอกเล่าที่กล่าวกันว่า เคยมีเรือสำเภาล่มบริเวณโค้งแม่น้ำน่านหน้าวัดคุ้งตะเภา ชาวสวนที่อาศัยทำไร่นาอยู่แถบนั้นจึงเรียกบริเวณนั้นว่า โค้งสำเภาล่ม ต่อมา มีคนมาอาศัยอยู่มากขึ้นและเพื่อความสะดวกปาก จึงกลายเป็น คุ้งสำเภา เมื่อเรียกกันนานเข้าจึงแผลงมาเป็น คุ้งตะเภา และเรียกกันเช่นนี้ตลอดมา[7] ซึ่งเรื่องเรือสำเภาล่มนี้ถูกเล่าขานเป็นตำนานมานานแล้ว โดยไม่ปรากฏหลักฐานใด ๆ ของเรือลำดังกล่าวหลงเหลืออยู่ หากในตำนานหมายถึงเรือสำเภาเดินทะเลในสมัยรัตนโกสินทร์หรืออยุธยา ก็เป็นไปได้ว่าอาจมีการแต่งเสริมตำนานกันในสมัยหลัง เพราะจากข้อเท็จจริงที่ได้จากการศึกษาตำแหน่งที่ตั้งและภูมิศาสตร์สัมพันธ์ในพื้นที่แถบลุ่มแม่น้ำภาคกลาง แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาของพื้นที่ภาคกลางในปัจจุบันที่ชายฝั่งทะเลในช่วง 2,000 ปีที่ผ่านมาจะอยู่ลึกเข้ามาในแผ่นดินมาก โดยในช่วงหลังชายฝั่งได้ยื่นกลับออกไปจนเป็นพื้นที่ภาคกลางตอนล่างในปัจจุบัน[8] ทำให้เรือสำเภานั้นไม่สามารถเแล่นเข้ามาสู่แผ่นดินตอนในเกินกว่าเมืองอยุธยาได้มาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายแล้ว[6] อย่างไรก็ตามบาทหลวงปาลกัว มุขนายกคณะมิซซังโรมันคาทอลิกประจำสยามในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้กล่าวอ้างอิงถึงตำนานโบราณของสยามตอนหนึ่งไว้ในหนังสือของท่านว่าในสมัยพระร่วงเจ้า พ.ศ. 1193 หรือในสมัยสุโขทัยนั้น เรือสำเภาจีนเดินทะเลสามารถขึ้นมาได้ถึงเมืองสังคโลก หรือสวรรคโลก[6] ซึ่งหากเป็นจริงตามนี้ เรื่องเรือสำเภาล่มหน้าวัดคุ้งตะเภาอาจจะเก่าแก่ไปถึงสมัยสุโขทัยก็เป็นได้[9]
ประวัติการเรียกชื่อหมู่บ้าน
จากข้อมูลคำประพันธ์ในขุนช้างขุนแผน พบหลักฐานว่าคนทั่วไปเรียกหมู่บ้านนี้ว่า คุ้งตะเภา มาตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว[9] ดังปรากฏในเสภาตอนหนึ่ง[10]ใน ขุนช้าง–ขุนแผน ดังนี้
"...อ้ายมอญมือด่างบางโฉลง | เมียชื่ออีโด่งเป็นชาวเหนือ |
ลักถ้วนลักถี่ทั้งตีเรือ | ครกกระบากสากกะเบือไล่เก็บครบ |
ถัดไปอ้ายทองอยู่หนอกฟูก | เมียชื่ออีดูกลูกตาจบ |
กลางวันปิดเรือนเหมือนชะมบ | แต่พอพลบคนเดียวเที่ยวย่องเบา |
อ้ายมากสากเหล็กเจ๊กกือ | เมียมันตาปรือชื่ออีเสา |
ถัดไปอ้ายกุ้ง "คุ้งตะเภา" | ..." |
ซึ่งตอนนี้เป็นตอนที่สมเด็จพระพันวษา พระราชทานนักโทษฉกาจให้แก่ขุนแผนเพื่อนำร่วมทัพไปรบกับเมืองเชียงใหม่ ซึ่งมี "อ้ายกุ้ง (ชาว) คุ้งตะเภา" ปรากฏตัวในรายชื่อ 35 นักโทษด้วย และเนื่องจากข้อความในขุนช้างขุนแผนดังกล่าว เป็นวรรณคดีที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ ให้แต่งขึ้นในสมัยของพระองค์ โดยมีเค้าโครงเรื่องเดิมจากสมัยอยุธยา จึงชี้ให้เห็นว่ามีการเรียกชื่อคุ้งตะเภาเพี้ยนมาก่อนหน้านั้นแล้วดังกล่าว
นอกจากนี้ ชื่อหมู่บ้านคุ้งตะเภาหรือทุ่งบ้านคุ้งตะเภาในอดีต ยังได้ถูกใช้เป็นชื่อเรียกครอบคลุมเขตย่านตำบลแถบแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออกมาตั้งแต่โบราณ เพราะในแถบย่านแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออกด้านตรงข้ามกับตำบลท่าเสาในสมัยก่อนยังไม่มีหมู่บ้านใดตั้งขึ้น คนทั่วไปจึงได้ใช้ชื่อหมู่บ้านคุ้งตะเภาเรียกขานย่านบริเวณตำบลแม่น้ำน่านฝั่งตะวันออกว่า ตำบลคุ้งตะเภา มาตั้งแต่อดีต ดังปรากฏหลักฐานว่ามีการเรียกแถบตำบลนี้ว่า "ตำบลคุ้งตะเภา" มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว โดยในสมัยนั้นหมู่บ้านคุ้งตะเภา เรียกว่า "ทุ่งบ้านคุ้งตะเภา" อยู่ในเขตการปกครองของ ตำบลคุ้งตะเภา อำเภออุตรดิฐ แขวงเมืองพิชัย มณฑลพิษณุโลก[11][12]
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์
บริบทสมัยก่อนประวัติศาสตร์
หมู่บ้านคุ้งตะเภาในอดีตเป็นพื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์ มีพื้นที่ราบลุ่มอันเกิดจากดินตะกอนแม่น้ำพัดของแม่น้ำน่านที่เหมาะแก่การตั้งถิ่นฐานและประกอบกสิกรรมมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ปรากฏหลักฐานบริเวณรอบหมู่บ้านคุ้งตะเภาที่แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวและการตั้งถิ่นฐานของแหล่งชุมชนมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุมากกว่า 2,000 ปี ดังการค้นพบเครื่องมือหินขัดและซากกระดูกมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านบุ่งวังงิ้วซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของหมู่บ้าน และการค้นพบกลองมโหระทึกสำริดที่บ้านท่าเสาซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับหมู่บ้านคุ้งตะเภาในปี พ.ศ. 24701[14]
บริบทสมัยประวัติศาสตร์
และเนื่องด้วยหมู่บ้านคุ้งตะเภาตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่าน ในทำเลที่ตั้งอันเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญที่มีความเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ดังนั้นในบริเวณแถบนี้จึงมีการเคลื่อนไหวและย้ายถิ่นฐานของผู้คนมาโดยตลอด[16][17] จนมาในสมัยอาณาจักรขอมเมืองพระนครเป็นใหญ่เหนือภูมิภาคแถบนี้ก็ได้ปรากฏหลักฐานว่าแถบตำบลท่าเสา-ท่าอิฐเป็นแหล่งชุมชนการค้าที่สำคัญแล้ว[18] จนมาในสมัยสุโขทัย ได้มีการการปรากฏขึ้นของเมืองฝางอันเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญในสมัยสุโขทัยที่มีที่ตั้งอยู่ทางด้านเหนือน้ำของหมู่บ้านคุ้งตะเภา[19] ทำให้แถบโดยรอบของคุ้งตะเภามีความสำคัญเพิ่มขึ้นในฐานะทางผ่านและจุดเชื่อมต่อทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของอาณาจักรตั้งแต่นั้นมา[20]
การตั้งถิ่นฐาน
ชาติพันธุ์คนบ้านคุ้งตะเภา
การอพยพมาตั้งถิ่นฐานของกลุ่มคนที่สืบเชื้อสายมาเป็นชาวบ้านคุ้งตะเภาในปัจจุบันนั้น ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่ามีการย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่หมู่บ้านคุ้งตะเภาตั้งแต่เมื่อใด แต่อย่างไรก็ตาม จากบริบทด้านชาติพันธุ์และสำเนียงภาษาของชาวบ้านคุ้งตะเภานั้น ทำให้สามารถสันนิษฐานได้ชัดเจนว่าพื้นเพของคนคุ้งตะเภานั้นเป็น "คนไทยเหนือ" ตามคำปากของคนในสมัยอยุธยา[21] คือเป็นกลุ่มคนชาติพันธ์ไทยเดิมที่อยู่แถบเมืองพิษณุโลก, พิจิตร และสุโขทัย ซึ่งก็คือกลุ่มคนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ปลายดินแดนหัวเมืองทางเหนือของอาณาจักรอยุธยา อันเป็นรอยต่อระหว่างวัฒนธรรมภาคกลางและวัฒนธรรมล้านนา โดยคนคุ้งตะเภาดั้งเดิมนั้นจะมีสำเนียงการพูดคล้ายคนสุโขทัยเดิม เมืองฝางสวางคบุรีและทุ่งยั้ง ในเรื่องนี้ พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ประจำกรมศิลปากร สันนิษฐานว่าสำเนียงการพูดของคนคุ้งตะเภานั้น เป็นสำเนียงดั้งเดิมของคนไทยที่ตั้งถิ่นฐานมาตั้งแต่อาณาจักรสุโขทัย[22] โดยกล่าวว่าคนบ้านคุ้งตะเภานั้น
"มีสำเนียงพูดเหน่อ... แบบเดียวกับสำเนียงชาวบ้านฝาง บ้านท่าอิฐ บ้านทุ่งยั้ง ..บ้านท่าเสา.. และหมู่บ้านในเขตอำเภอพิชัย ที่อยู่ในเขตจังหวัดเดียวกัน และเหมือนกับสำเนียงพื้นบ้านของชาวสุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร อันเป็นกลุ่มหัวเมืองเหนือในสมัยอยุธยา หรือบ้านเมืองที่เคยอยู่ในเขตแคว้นของสุโขทัยแต่เดิม"
— พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ประจำกรมศิลปากร[23]
ข้อเท็จจริงที่ว่าคนคุ้งตะเภาเป็นคนไทยดั้งเดิมที่สืบเชื้อสายโดยตรงมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัยดังกล่าวข้างต้น สอดคล้องกับตำนานหมู่บ้านและข้อสันนิษฐานจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านที่เล่าสืบกันมาว่ากลุ่มคนที่มาตั้งหมู่บ้านคุ้งตะเภากลุ่มแรกเป็นทหารจากเมืองสุโขทัยที่เดินเท้าไปรบทางลาว2 เมื่อเดินทัพผ่านมาทางนี้เห็นเป็นที่อุดมสมบูรณ์ดีไม่มีใครจับจอง เมื่อเสร็จศึกจึงชวนกันมาตั้งหลักแหล่งอยู่อาศัยจนกลายมาเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ในปัจจุบัน[24] ซึ่งเมื่อพิจารณาจากคำบอกเล่าดังกล่าวประกอบกับบริบททางประวัติศาสตร์ของพื้นที่แถบนี้ ทำให้สามารถสันนิษฐานได้ว่าอาจเป็นเรื่องที่มีที่มาจากเค้าโครงความจริง เพราะโดยสภาพที่ตั้งของหมู่บ้านคุ้งตะเภานั้นเป็นเส้นทางผ่านของอารยธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ รวมทั้งตั้งอยู่ใกล้จุดเคลื่อนและแวะพักทัพสำคัญในสงครามระหว่างลาว2กับไทยในสมัยโบราณ ตั้งแต่สมัยสุโขทัย, อยุธยา, ธนบุรี ไปจนถึงสมัยสงครามปราบเงี้ยวในสมัยรัชกาลที่ 5
อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าสงครามที่คนกลุ่มแรกที่มาตั้งรกรากที่คุ้งตะเภาไปทำศึกนั้นจะเป็นสงครามในครั้งใด แต่เมื่อพิจารณาจากพระราชพงศาวดารที่ระบุสงครามระหว่างไทยกับลาวหลวงพระบางหรือสงครามกับลาวล้านนาครั้งล่าสุด ก็มีเพียงสงครามที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยกทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่เพื่อขับไล่พม่า ในช่วงปี พ.ศ. 2313 - พ.ศ. 2314[25] ซึ่งเมื่อพิจารณาสอบทานพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีดังกล่าวเทียบกับปีที่สร้างวัดคุ้งตะเภา ที่ระบุว่ามีการอนุญาตให้ตั้งวัดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2313 แล้ว ก็ไม่น่าเป็นไปได้ว่าจะเป็นสงครามในครั้งนั้น เพราะสงครามครั้งนั้นจบในปี พ.ศ. 2314 ซึ่งหมู่บ้านคุ้งตะเภาคงจะตั้งมาก่อนหน้านั้นจนเป็นชุมชนก่อนแล้วตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
และนอกจากการเป็นเส้นทางเดินทัพเข้าสู่ภาคเหนือ (ล้านนา) แล้ว ในหมู่บ้านคุ้งตะเภายังปรากฏคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ที่กล่าวถึงถนนโบราณที่ปัจจุบันคือทางหลวงแผ่นดินหมายเลขที่ 1047 ที่เคยเป็นทางผ่านเดินทัพส่งกำลังไพร่พลเพื่อเข้าสู่หลวงพระบาง (ล้านช้าง) โดยทางบก ทางเส้นนี้จะไปสุดที่บ้านปากลาย เพื่อลงเรือในแม่น้ำโขงขึ้นไปที่หลวงพระบาง โดยต้นทางถนนโบราณที่เป็นท่าเรือที่ขึ้นจากแม่น้ำน่านในอดีต (คนคุ้งตะเภาเรียกว่าท่าควาย หรือบ้านท่าควาย) จะปรากฏเป็นลักษณะร่องลึกอันเกิดจากการเดินเท้าของคนจำนวนมาก (ในช่วงเส้นทางจากห้าแยกป่าขนุนลงไปทางวัดใหม่เจริญธรรมตรงไปท่าทรายชลิตดาในปัจจุบัน ซึ่งในปัจจุบันถูกถมและลาดยางหมดแล้ว) ทำให้เมื่อมีน้ำหลากน้ำก็จะท่วมท่าเข้ามาถนนเสมอ ด้วยเพราะทางเส้นนี้เป็นทางเดินทัพโบราณ เวลายกกองทัพมาพักที่ท่าเสาแล้ว เมื่อจะเคลื่อนทัพไปลาวทางบกหรือเมืองฝาง ก็จะข้ามแม่น้ำน่านมาขึ้นที่นี่เพื่อผ่านไปเมืองฝางตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนสมัยกรุงธนบุรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคราวปราบก๊กเจ้าพระฝางที่เมืองฝางสวางคบุรี ก็ได้มีการเล่าสืบกันมาว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินและเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกก็เคยเดินทัพผ่านมาทางนี้ด้วย[26] และแม้ในสงครามครั้งหลังสุดที่ใช้เส้นทางนี้ คือในปี พ.ศ. 2484 สมัยสงครามอินโดจีน กองทัพไทยโดยการนำของหลวงหาญสงคราม (พิชัย หาญสงคราม) ผู้บัญชาการกองพลพายัพในกรณีพิพาทอินโดจีน ก็ได้อาศัยเส้นทางนี้ทำสะพานไม้ข้ามแม่น้ำน่านเพื่อเดินทางเข้าไปยึดเมืองปากลายคืนจากอินโดจีนฝรั่งเศสด้วย[27]
พัฒนาการของหมู่บ้าน
สมัยกรุงศรีอยุธยา
หมู่บ้านคุ้งตะเภาตั้งอยู่ตรงข้ามกับหมู่บ้านท่าเสา ที่มีหลักฐานประวัติการมีอยู่ของชุมชนมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ดังปรากฏในจดหมายเหตุของลาลูแบร์ (Du Royaume de Siam) ราชทูตแห่งราชสำนักพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ชาวฝรั่งเศส ที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อต้นพุทธศตวรรษที่ 23 บริเวณแถบหมู่บ้านคุ้งตะเภาจึงเป็นบริเวณที่มีความเจริญมาช้านานแล้ว[28] แต่คงไม่มีหลักฐานชัดเจนปรากฏความมีตัวตนของหมู่บ้านคุ้งตะเภาในเอกสารอื่นใดในสมัยอยุธยา
อย่างไรก็ดีตั้งแต่สมัยอยุธยา ที่ตั้งหมู่บ้านคุ้งตะเภาในปัจจุบันคงมีผู้คนเข้ามาอาศัยอยู่มานานแล้ว โดยมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับหมู่บ้านเก่าแก่ใกล้เคียงคือหมู่บ้านท่าเสา ท่าอิฐ บางโพ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ใช้ภาษาไทยสำเนียงกลุ่มเมืองในแคว้นสุโขทัย โดยคนคุ้งตะเภามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหมู่บ้านท่าเสามากที่สุด เพราะอยู่ตรงข้ามคนละฝั่งแม่น้ำน่าน และผู้เฒ่าผู้แก่หลายท่านมีบรรพบุรุษหรือมีความเชื่อมโยงกับคนในบ้านท่าเสา คนในรุ่นปัจจุบันหลายคนเมื่อสืบสายสกุลลงไปก็มีความเกี่ยวข้องกับคนบ้านท่าเสา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากหลักฐานของกระทรวงมหาดไทย หมู่บ้านคุ้งตะเภาได้เคยอยู่ในเขตการปกครองของตำบลท่าเสามาก่อนที่จะแยกมาตั้งเป็นตำบลใหม่ในภายหลัง[29]
สมัยกรุงธนบุรี
ในช่วงสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในปี พ.ศ. 2310 ชาวหมู่บ้านคุ้งตะเภาคงได้อพยพลี้ภัยไปอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ที่มีความปลอดภัยกว่า ดังปรากฏหลักฐานในพงศาวดารว่ามีชุมนุมเจ้าพระฝางอยู่ที่เมืองฝางเหนือบ้านคุ้งตะเภาไป ทำให้อาจสันนิษฐานได้ว่าในช่วงสงครามครั้งนั้นคนคุ้งตะเภาคงได้ละทิ้งถิ่นฐานและเข้าไปอาศัยหลบภัยอยู่ในเมืองฝางด้วย จวบจนสิ้นชุมนุมเจ้าพระฝางใน พ.ศ. 2313 ชาวคุ้งตะเภาที่ยังมีความผูกพันกับถิ่นฐานที่อยู่สืบมาแต่บรรพบุรษก็ได้กลับเข้ามายังถิ่นฐานเดิมเพื่อบูรณะสร้างบ้านเรือนขึ้นใหม่เป็นการมั่นคง ดังปรากฏหลักฐานว่าทางการได้อนุญาตให้ชาวคุ้งตะเภาสามารถตั้งวัดคุ้งตะเภาได้ในปีเดียวกัน ซึ่งเป็นช่วงที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จประทับจัดการการปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งหมด
แต่ชาวคุ้งตะเภาก็คงได้พบกับการถูกเกณฑ์ไปสงครามรบพุ่งกับพม่าอีกหลายครั้ง ตลอดช่วงกรุงธนบุรีจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แต่แถบนี้ในช่วงนั้นก็คงมีความสงบพอสมควร เพราะในแถบบางโพ ท่าอิฐ ท่าเสา คุ้งตะเภา ไม่ได้เคยเป็นทางผ่านและสมรภูมิรบมาตลอดช่วงเวลาสงครามกับพม่า
สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
หมู่บ้านคุ้งตะเภานั้น เมื่อมาถึงสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ หลังการสงครามกับพม่าสงบราบคาบลงในสมัยรัชกาลที่ 2 เป็นต้นมา ก็คงมีความเจริญและมีขนาดชุมชนที่ใหญ่โตพอสมควร ดังปรากฏหลักฐานว่าในปี พ.ศ. 2395 มีคนคุ้งตะเภาได้อพยพย้ายออกจากหมู่บ้านไปยังพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อแสวงหาที่ทำกินและตั้งบ้านเรือนใหม่ที่อุดมสมบูรณ์กว่า จนกลายมาเป็นหมู่บ้านป่าขนุนในปัจจุบัน[30]
สมัยรัชกาลที่ 5
ในช่วงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากมายในเมืองอุตรดิตถ์จากอิทธิพลตะวันตก ชาวบ้านคุ้งตะเภาในช่วงนั้นก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบลักษณะการสร้างบ้านเรือนด้วยไม้ โดยเริ่มหันมาเปลี่ยนเป็นรูปแบบที่นิยมในสมัยนั้นมากขึ้น ดังรูปแบบอาคารบ้านขุนพิเนตรจีนภักดิ์ ที่เป็นเรือนไม้หลังคาแบบทรงตะวันตกมุงกระเบื้องว่าวสถาปัตยกรรมแบบ ARCH ของโรมัน ที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 (อาคารหลังนี้สร้างโดยช่างชาวจีนชื่อเถ้าแก่โฮก) [31] โดยอิทธิพลรูปแบบบ้านตะวันตกดังกล่าวได้กลายเป็นที่นิยมแพร่หลายในช่วงกว่าร้อยปีก่อนปล้ว และทำให้ชาวหมู่บ้านคุ้งตะเภาในสมัยนั้นพยายามเปลี่ยนรูปแบบบ้านทรงไทยภาคกลางแบบมาเป็นรูปแบบใหม่จนเกือบหมด บ้านทรงไทยภาคกลางแบบโบราณเดิมหลังสุดท้ายของหมู่บ้านคุ้งตะเภาเป็นของปู่สุด มากคล้าย อดีตกำนันตำบลคุ้งตะเภาเมื่อกว่า 60 ปีก่อน ปัจจุบันถูกแม่น้ำน่านซัดจมตลิ่งไปหมดแล้ว ทำให้บ้านรุ่นเก่า ๆ ที่เหลืออยู่ในปัจจุบันคงเป็นบ้านทรงสมัยใหม่ซึ่งได้รับอิทธิพลจากสมัยรัชกาลที่ 5 หรือเป็นบ้านที่มีการปรับปรุงแบบใหม่ในช่วงหลังจากนี้ เช่นเปลี่ยนหลังคาเป็นแบบมะนิลา แทนที่จะเป็นทรงจั่วแบบไทยภาคกลาง
ในช่วงรัชกาลที่ 5 มีหลักฐานยืนยันได้ว่าคนคุ้งตะเภายังคงให้ความสำคัญกับการศึกษาในวัด ดังปรากฏหลักฐานว่ามีการบวชเรียนและส่งพระเณรชาวคุ้งตะเภาไปเล่าเรียนศึกษาพระปริยัติธรรมที่พระอารามหลวงในกรุงเทพมหานคร โดยมีสายวัดสระเกศราชวรมหาวิหารเป็นสำนักเรียนหลักที่ชาวหมู่บ้านคุ้งตะเภาจะส่งพระเณรไปศึกษาต่อ และในสมัยนี้เคยมีพระชาวคุ้งตะเภาสำเร็จเป็นเปรียญธรรมในสนามหลวงต่อหน้าพระที่นั่งด้วย[32] ซึ่งยังคงเป็นสมัยสอบปากเปล่าต่อหน้าพระที่นั่งในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ก่อนเปลี่ยนเป็นสอบด้วยข้อเขียนในช่วงหลัง
สงครามโลกครั้งที่สอง
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หมู่บ้านคุ้งตะเภาไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยมีเพียงรถไฟขนส่งอ้อย (รถไฟลากอ้อย) ของโรงงานน้ำตาลวังกะพี้สายที่วิ่งผ่านบริเวณทางรถไฟบ้านไร่คุ้งตะเภา ได้ถูกเครื่องบินของสัมพันธมิตรยิงกราดใส่จนได้รับความเสียหาย (ปัจจุบันเส้นทางนี้กลายเป็นเส้นทางระบายน้ำชลประทานเพื่อการเกษตรกรรม) เพราะคิดว่าเป็นทางรถไฟสำคัญของทหารญี่ปุ่น (ประมาณปี พ.ศ. 2487) อย่างไรก็ตามในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวบ้านคุ้งตะเภาก็มีการขุดหลุมหลบภัยและมีการพรางแสงตามบ้านเรือน เพื่อป้องกันระเบิดสัมพันธมิตรที่เคยมาทิ้งใส่สถานีรถไฟอุตรดิตถ์จนพินาศ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2487[33] ซึ่งในการทิ้งระเบิดครั้งนั้นทำให้คนคุ้งตะเภาเสียชีวิตไป 1 ราย
ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
ในปี พ.ศ. 2493 หมู่บ้านคุ้งตะเภาประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้บ้านเรือนของชาวบ้านคุ้งตะเภาที่ตั้งอยู่เลียบริมแม่น้ำน่านในพื้นที่ตะกอนแม่น้ำพัดโบราณถูกน้ำท่วมได้รับความเสียหายมาก ประกอบกับเส้นทางคมนาคมโดยแม่น้ำน่านได้ถูกลดความสำคัญในฐานะเส้นทางคมนาคมค้าขายสำคัญของภูมิภาคลงมาก่อนหน้านั้นแล้ว จาการตัดเส้นทางรถไฟผ่านเมืองอุตรดิตถ์ใน พ.ศ. 2459 ทำให้ชาวบ้านคุ้งตะเภาตัดสินใจทำการย้ายที่ตั้งกลุ่มหมู่บ้านเดิมที่อยู่ในที่ลุ่มเลียบริมแม่น้ำน่านขึ้นมาตั้งในพื้นที่ดอนสูงกว่าจนถึงปัจจุบัน
ยุคเมืองปิด
และหลังจากการตัดเส้นทางรถไฟผ่านเมืองอุตรดิตถ์ที่ทำให้แหล่งชุมนุมการค้าย่านท่าเสาและท่าอิฐหมดความสำคัญลงดังกล่าว ได้มาประกอบกับการที่ทางราชการสร้างเขื่อนสิริกิติ์ปิดกั้นแม่น้ำน่านในเขตอำเภอท่าปลาในปี พ.ศ. 2510 ทำให้การคมนาคมทางน้ำของชาวบ้านคุ้งตะเภายุติลงสิ้นเชิง ชาวบ้านจึงต้องเปลี่ยนมาใช้เส้นทางคมนาคมทางรถไฟหรือทางบกเป็นหลัก เมื่อจะไปจังหวัดอื่นทางรถยนต์ชาวบ้านคุ้งตะเภาจำเป็นต้องลงเรือและข้ามแม่น้ำน่านเข้าตลาดบางโพเพื่อโดยสารรถออกไปทางสายศรีสัชนาลัย (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 102 หรือถนนบรมอาสน์) ซึ่งเป็นถนนทางออกสายเดียวของจังหวัด โดยในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2500 นั้น เส้นทางคมนาคมทางบกในจังหวัดอุตรดิตถ์มีเพียงไม่กี่เส้นทาง และกว่าไฟฟ้าจะเข้ามาถึงหมู่บ้านคุ้งตะเภาก็ล่วงไปถึงปี พ.ศ. 2518[34] ด้วยทำเลที่ตั้งและความไม่สะดวกในการคมนาคมทางบกในช่วงนั้นดังกล่าว ทำให้หมู่บ้านคุ้งตะเภากลายเป็นหมู่บ้านโดดเดี่ยวในมุมปิด ไม่เหมือนเมื่อครั้งการคมนาคมทางน้ำรุ่งเรือง
ปัจจุบัน
แต่ในปัจจุบันนี้ หลังจากทางการได้ตัดทางหลวงแผ่นดินหมายเลขที่ 11 ผ่านกลางตัวหมู่บ้านในประมาณปี พ.ศ. 2522 ทำให้หมู่บ้านคุ้งตะเภาเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงและมีการพัฒนามากขึ้นตามลำดับ เพราะทางเส้นนี้เป็นเส้นทางส่วนหนึ่งของถนนสายเอเชียที่ตัดผ่านมาจากจังหวัดพิษณุโลกผ่านบ้านคุ้งตะเภาเข้าสู่จังหวัดแพร่ ทำให้เส้นทางนี้กลายเป็นเส้นทางคมนาคมทางบกหลักของจังหวัดอุตรดิตถ์และกลายเป็นทางผ่านสำคัญเพื่อเข้าสู่ภาคเหนือ และหลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ตัวเมืองอุตรดิตถ์หลายครั้ง ทำให้เริ่มมีผู้หันมาพัฒนาที่ดินที่อยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่านที่ไม่เคยประสบอุทกภัยมากขึ้น โดยเฉพาะที่ดินที่อยู่ติดทางหลวงแผ่นดินหมายเลขที่ 11 ในเขตตำบลคุ้งตะเภา ที่ไม่เคยประสบอุทกภัยเลยมาตั้งแต่อดีต ซึ่งการพัฒนาที่ดินดังกล่าวอาจส่งผลให้หมู่บ้านคุ้งตะเภากลายเป็นแหล่งที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจแห่งใหม่ของอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ได้ในอนาคต[9]
สภาพภูมิศาสตร์
หมู่บ้านคุ้งตะเภาตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองอุตรดิตถ์ มีเส้นทางคมนาคมที่สำคัญ คือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 มีทรัพยากรแหล่งน้ำ คือ แม่น้ำน่าน มีวัดประจำหมู่บ้าน 1 แห่ง บ้านพักอาศัยตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของหมู่บ้าน เดิมการตั้งบ้านเรือนจะอยู่ใกล้กัน แต่เมื่อมีการตัดถนนใหญ่ผ่านทางด้านตกวันตกของหมู่บ้านในช่วงปี พ.ศ. 2521-พ.ศ. 2528[35] ทำให้บ้านคุ้งตะเภาแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ บ้านเรือนที่ตั้งอยู่ทิศตะวันออกและตะวันตก บ้านเรือนส่วนใหญ่นั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของถนนเอเชีย ปัจจุบันชาวบ้านคุ้งตะเภาเรียกส่วนบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ทิศตะวันออกของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 ตั้งแต่สี่แยกคุ้งตะเภาขึ้นไปว่า "บ้านไร่" หรือ "บ้านไร่คุ้งตะเภา" เนื่องจากบริเวณนั้นในอดีตเป็นที่สำหรับปลูกพืชไร่ทำเกษตรกรรมของชาวบ้านคุ้งตะเภามาก่อนที่จะมีชาวบ้านย้ายเข้ามาอยู่อาศัย ซึ่งทางการเคยขอแบ่งหมู่บ้านคุ้งตะเภาออกเป็นสองส่วนดังกล่าว แต่ถูกชาวบ้านคุ้งตะเภาคัดค้าน[9]
ปัจจุบัน หมู่บ้านคุ้งตะเภา มีพื้นที่ทั้งหมด 2,657 ไร่ พื้นที่บางส่วนอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน (สปก.) [36] [37] แบ่งเป็นพื้นที่ทางเกษตรกรรม 1,915 ไร่ พื้นที่อยู่อาศัย 433 ไร่[2] โดยพื้นที่เกษตรกรรมส่วนใหญ่ตั้งอยู่ทิศตะวันออกของหมู่บ้าน แบ่งเป็นพื้นที่ในการทำนา จำนวน 2,070 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 77.90 พื้นที่ในการทำสวน จำนวน 427 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 16.08 และพื้นที่ในการทำไร่ จำนวน 160 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 6.02[34] และด้วยการที่หมู่บ้านคุ้งตะเภาเป็นหมู่บ้านแรกในจังหวัดอุตรดิตถ์ ที่มีโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้า เมื่อ พ.ศ. 2522[38] โดยสูบน้ำจากแม่น้ำน่าน มาทำการชลประทานผันน้ำเข้าสู่นาข้าวของชาวบ้าน ทำให้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2522 เป็นต้นมา ชาวบ้านคุ้งตะเภาสามารถทำนาได้ปีละ 2 ครั้ง
หมู่บ้านคุ้งตะเภาเป็นที่ตั้งของสถานีอนามัยประจำตำบลคุ้งตะเภา และมีสถานีตำรวจ 1 แห่ง มีพื้นที่ติดต่อกับหมู่บ้านใกล้เคียง ดังต่อไปนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับแม่น้ำน่าน (หมู่บ้านวังสีสูบ ตำบลงิ้วงาม)
- ทิศใต้ ติดต่อกับหมู่บ้านป่าขนุน ตำบลคุ้งตะเภา
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับหมู่บ้านบ่อพระ ตำบลคุ้งตะเภา
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับแม่น้ำน่าน (ค่ายพระยาพิชัยดาบหัก)
การปกครอง
เดิมการปกครองของหมู่บ้านคุ้งตะเภาขึ้นอยู่กับตำบลท่าเสา อำเภอบางโพ (อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ในปัจจุบัน) โดยในสมัยนั้นหมู่บ้านคุ้งตะเภาเป็นหมู่ที่ 14 ตำบลท่าเสา แต่ต่อมาในปี พ.ศ. 2490 ทางการจึงได้แยกการปกครองทั้งตำบลจากตำบลท่าเสามาตั้งเป็นตำบลใหม่[39] โดยใช้ชื่อหมู่บ้านคุ้งตะเภาเป็นชื่อตำบล เนื่องด้วยเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่กึ่งกลางตำบลและเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่าหมู่บ้านอื่นที่ได้รับการตั้งให้อยู่ในตำบลใหม่ด้วยกัน
ปัจจุบันหมู่บ้านคุ้งตะเภาเป็นหมู่ที่ 4 ของตำบลคุ้งตะเภา มีการปกครองโดยมีผู้ใหญ่บ้านตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาโดยตลอด ผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบันเข้าดำรงตำแหน่งในวาระแรกตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ 10) เมื่อปี พ.ศ. 2548 และหลังจากหมดวาระลงในปี พ.ศ. 2553 ก็ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านใหม่เป็นวาระที่ 2 ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ 11) อันเป็นฉบับแก้ไขล่าสุด (ซึ่งมีกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านยาวนานจนปลดเกษียณอายุที่ 60 ปี) เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553
รายชื่อผู้ใหญ่บ้านนับตั้งแต่ พ.ศ. 2528
รายชื่อผู้ใหญ่บ้านคุ้งตะเภาย้อนหลังตั้งแต่ พ.ศ. 2528 จนถึงปัจจุบัน
รายชื่อผู้ใหญ่บ้านคุ้งตะเภาตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๒๗[40] | |||
ชื่อ | สกุล | วาระการดำรงตำแหน่ง | หมายเหตุ |
---|---|---|---|
นายสะอาด | ศรศรีสุวรรณ | พ.ศ. 2528 - พ.ศ. 2531 | |
นายบุญช่วย | เรืองคำ | พ.ศ. 2532 - พ.ศ. 2535 (วาระที่ 1) |
|
รายชื่อผู้ใหญ่บ้านคุ้งตะเภาตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๓๕[41] | |||
ชื่อ | สกุล | วาระการดำรงตำแหน่ง | หมายเหตุ |
นายบุญช่วย | เรืองคำ | พ.ศ. 2536 - พ.ศ. 2539 (วาระที่ 2) |
|
นายสมหมาย | มากคล้าย | พ.ศ. 2540 - พ.ศ. 2543 |
|
รายชื่อผู้ใหญ่บ้านคุ้งตะเภาตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๕๔๒[42] | |||
ชื่อ | สกุล | วาระการดำรงตำแหน่ง | หมายเหตุ |
นางเรียมจิตร | สุรัตนวรินทร์ | พ.ศ. 2544 - พ.ศ. 2547 |
|
นายสมชาย | สำเภาทอง | พ.ศ. 2548 - พ.ศ. 2553 (วาระที่ 1) |
|
รายชื่อผู้ใหญ่บ้านคุ้งตะเภาตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑[43] | |||
ชื่อ | สกุล | วาระการดำรงตำแหน่ง | หมายเหตุ |
นายสมชาย | สำเภาทอง | พ.ศ. 2553 -อายุเกษียณ (60 ปี) 3 (วาระที่ 2) |
|
เศรษฐกิจ
หมู่บ้านคุ้งตะเภาเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ ประชากรในหมู่บ้านประกอบอาชีพหลากหลาย และเนื่องจากสภาพพื้นที่โดยส่วนใหญ่ของหมู่บ้านเป็นที่ราบ เหมาะแก่การทำการเกษตร ประชากรส่วนใหญ่ของหมู่บ้านจึงนิยมประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งมีจำนวนมากกว่าครึ่งของประชากรในหมู่บ้าน สามารถแบ่งจำนวนชาวบ้านที่ประกอบอาชีพต่าง ๆ ได้เป็นผู้ที่ทำนาคิดเป็นร้อยละ 19.56 รองลงมาประกอบอาชีพทำสวนร้อยละ 49.56 ค้าขายร้อยละ 2.91 รับจ้างทั่วไปร้อยละ 4.37 รับราชการร้อยละ 10.20 และอาชีพอื่น ๆ อีกร้อยละ 10.20[34] โดยชาวบ้านคุ้งตะเภาที่มีรายได้เฉลี่ยต่อปีประมาณ 30,000-50,000 บาทมีประมาณร้อยละ 46.64 และที่มีรายได้เฉลี่ยต่อปีประมาณ 50,000-100,000 บาท มีประมาณร้อยละ 34.98 และภายในหมู่บ้านมีร้านค้าจำนวน 10 ร้าน โรงสีขนาดเล็กจำนวน 3 โรง สถานีบริการน้ำมันจำนวน 2 แห่ง และหมู่บ้านคุ้งตะเภายังมีการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรคุ้งตะเภา หมู่ 4 เพื่อเป็นการรวมตัวของคนในชุมชนจัดทำผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างรายได้เสริมอีกด้วย[44]
นอกจากนี้ หมู่บ้านคุ้งตะเภายังเป็นที่ตั้งของ กลุ่มเกษตรกรทำนาคุ้งตะเภา เป็นกลุ่มเกษตรกรขนาดใหญ่มาก[45] ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2516[46] ที่มีการรวมตัวจากเกษตรหลายพื้นที่กว่า 900 คน มีทุนดำเนินงานกว่า 8 ล้านบาท มีลานตากข้าวขนาดใหญ่ เครื่องชั่ง โกดัง และโรงสีข้าวเปลือกเป็นของตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพ่อค้าคนกลาง[9]
การศึกษา
หมู่บ้านคุ้งตะเภา มีสถานศึกษาระดับพื้นฐานประจำหมู่บ้าน 1 แห่ง คือ โรงเรียนบ้านคุ้งตะเภา โดยเปิดการเรียนการสอนในระดับปฐมวัย ถึงระดับประถมศึกษาปีที่ 6 และมีโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่ใกล้หมู่บ้านที่สุด คือ โรงเรียนป่าขนุนเจริญวิทยา ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านป่าขนุน ปัจจุบัน ทั้งโรงเรียนบ้านคุ้งตะเภาและโรงเรียนป่าขนุนเจริญวิทยาเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีนักเรียนไม่มากนัก เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ที่มีฐานะนิยมส่งบุตรหลานเข้าไปเรียนในสถานศึกษาในตัวจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านไม่ถึง 10 กิโลเมตร
ปัจจุบัน โรงเรียนบ้านคุ้งตะเภา เป็นโรงเรียนประจำหมู่บ้านเพียงแห่งเดียว ตัวโรงเรียนตั้งอยู่ติดกับวัดคุ้งตะเภา ริมถนนสายเอเชีย เดิมมีชื่อว่า "โรงเรียนวัดคุ้งตะเภา" ต่อมาได้ขออนุญาตเปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนบ้านคุ้งตะเภา" เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2514
โรงเรียนบ้านคุ้งตะเภาได้ทำการสอนครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2465 โดยใช้ศาลาการเปรียญวัดคุ้งตะเภาเป็นสถานที่ทำการเรียนการสอน[47] โดยเริ่มเปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ชั้น ป.1 - 5 ต่อมาจึงเปิดตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยมี นายเอี่ยม ศาสตร์จำเริญ เป็นครูใหญ่คนแรก ปัจจุบันเปิดทำการสอนเป็น 2 ระดับชั้น คือระดับก่อนประถมศึกษา และระดับประถมศึกษา มีนายสุชีพ เสาเกิด ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านคุ้งตะเภาคนปัจจุบัน
สาธารณสุข
ปัจจุบันในหมู่บ้านคุ้งตะเภา มีสถานให้บริการสาธารณสุขขั้นมูลฐานจำนวน 1 แห่ง คือ สถานีอนามัยประจำตำบลคุ้งตะเภา เป็นสถานีอนามัยขนาดเล็กประจำตำบลคุ้งตะเภา ตั้งอยู่บนที่ราชพัสดุ ริมทางหลวงแผ่นดินหมายเลขที่ 1213 อยู่ในกำกับของกระทรวงสาธารณสุข สังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุตรดิตถ์[48] ให้บริการทางสาธารณสุขมูลฐานด้านการรักษาพยาบาล งานควบคุมป้องกันโรค งานส่งเสริมสุขภาพ ที่เกี่ยวข้องกับประชาชนในเขตตำบลคุ้งตะเภา โดยสถานีอนามัยแห่งนี้ จัดเป็นสถานีอนามัยเพียงแห่งเดียวในตำบลคุ้งตะเภา
นอกจากการสาธารณสุขขั้นมูลฐานแล้ว ภายในหมู่บ้านคุ้งตะเภายังมีศูนย์ศึกษาสมุนไพรแผนไทย ตั้งอยู่ที่วัดคุ้งตะเภา วัดประจำหมู่บ้าน มีพื้นที่ป่าปลูกสมุนไพรไทยหายากที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์กว่า 10 ไร่ ภายใต้การดูแลของพระสงฆ์ในวัดคุ้งตะเภา ศูนย์ศึกษาสมุนไพรวัดคุ้งตะเภาปัจจุบันเป็นศูนย์ศึกษาสมุนไพรในวัดประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ มีหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ พยายามให้การร่วมมือในการจัดโครงการส่งเสริมและให้ความรู้สมุนไพร เช่น โครงการอรุณรุ่งที่คุ้งตะเภา ของสถาบันราชภัฏอุตรดิตถ์ ในปี พ.ศ. 2545 และโครงการจัดตั้งศูนย์สมุนไพรตำบลคุ้งตะเภา ในปี พ.ศ. 2550[49]
ประชากร
ประชากรท้องถิ่นดั้งเดิมกลุ่มแรกที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในบริเวณบ้านคุ้งตะเภา คือ "คนไทยเดิม" หรือ "คนไทยเหนือ" ตามคำปากของคนในสมัยอยุธยา[21] จากหลักฐานการตั้งวัดคุ้งตะเภาในสมัยธนบุรีทำให้ทราบว่า หมู่บ้านคุ้งตะเภา มีผู้คนอาศัยอยู่มาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย
หมู่บ้านคุ้งตะเภา มีนามสกุลใหญ่ในหมู่บ้าน คือ สกุล อ่อนคำ มากคล้าย และ รวยอบกลิ่น ซึ่งจัดว่าเป็นญาติกันมาแต่เดิม จนแม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ คนทั้ง 3 สกุล ก็ยังเป็นสกุลใหญ่ในหมู่บ้าน และประชากรของหมู่บ้านคุ้งตะเภาส่วนใหญ่ จะเป็นญาติพี่น้องสืบสายจากทั้งสามสกุลกันลงมาทั้งสิ้น[50]
ในอดีต ประมาณปี พ.ศ. 2480 ครัวเรือนในหมู่บ้านคุ้งตะเภามีเพียง 48 หลังคาเรือน แต่ในช่วงระยะหลังมีประชากรเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ประกอบกับมีประชากรจากถิ่นอื่นย้ายมาอยู่ในหมู่บ้านมากขึ้น ทำให้ในปัจจุบันหมู่บ้านคุ้งตะเภามีครัวเรือนถึง 473 หลังคาเรือน และมีประชากรกว่า 1,436 คน (ข้อมูลปี 2550) โดยชาวบ้านคุ้งตะเภาในปัจจุบันส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงอายุ 18-50 ปี ประกอบอาชีพการเกษตรและรับจ้างเป็นหลัก เช่น อาชีพทำนา ทำไร่ข้าวโพด สวนข่า ค้าขายทั่วไป รวมไปถึง อาชีพรับราชการ[34]
การคมนาคม
เส้นทางคมนาคม
ในอดีตชาวบ้านคุ้งตะเภาตั้งหมู่บ้านอยู่บริเวณที่ลุ่มริมแม่น้ำน่าน การคมนาคมจึงอาศัยการเดินทางน้ำเป็นหลัก แต่หลังจากเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2493 ชาวบ้านคุ้งตะเภาจึงได้ย้ายหมู่บ้านขึ้นมาตั้งบนที่ราบในปัจจุบันริมถนนเลียบแม่น้ำน่านเก่า (ถนนหลังวัดคุ้งตะเภา) จึงทำให้การคมนาคมหลักของหมู่บ้านคุ้งตะเภาเปลี่ยนเป็นทางบกแทน ต่อมาหลังจากการตัดทางหลวงแผ่นดินหมายเลขที่ 11 (ถนนสายเอเชีย) ในปี พ.ศ. 2522 ทำให้การเดินทางมาสู่หมู่บ้านคุ้งตะเภาสะดวกสบายยิ่งขึ้นกว่าในอดีต และทางหลวงแผ่นดินหมายเลขที่ 11 กลายมาเป็นเส้นทางคมนาคมทางบกหลัก (แทนถนนเลียบแม่น้ำน่านเดิม ซึ่งปัจจุบันไม่มีการใช้งานแล้ว)
ปัจจุบันเส้นทางคมนาคมหลักของหมู่บ้านคุ้งตะเภานอกจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลขที่ 11แล้ว ยังมีทางหลวงแผ่นดินหมายเลขที่ 1213 อีกด้วย และนอกจากทางหลวงแผ่นดินแล้ว ยังมีถนนในความดูแลของกรมทางหลวงชนบทและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอีกหลายสายที่ตัดผ่านในหมู่บ้าน ซึ่งส่วนใหญ่ชาวบ้านคุ้งตะเภาจะมีคำปากใช้เรียกถนนต่าง ๆ ในหมู่บ้านแตกต่างกันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะโดยนับเอาแยกคุ้งตะเภาเป็นจุดกำหนด[9] เช่น "เส้นบ้านไร่, เส้นเหนือล่าง" หมายถึงทางหลวงชนบทที่ตัดผ่านหมู่บ้านคุ้งตะเภาเลียบแม่น้ำน่านทางด้านทิศเหนือ, "เส้นอนามัย, เส้นเหนือบน" หมายถึงทางหลวงแผ่นดินหมายเลขที่ 1213 ที่ตัดผ่านบริเวณหมู่บ้านทางทิศตะวันออก ชาวบ้านคุ้งตะเภาเรียกถนนเส้นนี้ว่าทางสายอนามัยเพราะถนนเส้นนี้ตัดผ่านที่ตั้งของสถานีอนามัยตำบลคุ้งตะเภา, "เส้นเอเชีย, เส้นนอก" หมายถึงทางหลวงแผ่นดินหมายเลขที่ 11 ตลอดทั้งสายที่ผ่านหมู่บ้าน โดยแบ่งเป็นถนนระยะเหนือหมู่บ้านจะเรียกว่า เส้นนอกบน และถนนระยะใต้หมู่บ้านจะเรียกว่า เส้นนอกล่าง, "เส้นในล่าง, เส้นใน" หมายถึงทางหลวงชนบทที่ตัดผ่านหมู่บ้านคุ้งตะเภาทางด้านทิศใต้ของวัดคุ้งตะเภา นอกจากนี้คำว่า "เส้นใน" ยังอาจหมายถึงเส้นทางที่นอกเหนือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 ก็ได้ด้วย[51]
บริการขนส่งสาธารณะ
ปัจจุบันการให้บริการขนส่งสาธารณะ หรือรถรับส่งสาธารณะของหมู่บ้านคุ้งตะเภาเพื่อเข้าสู่ตัวจังหวัดอุตรดิตถ์ มีเอกชนให้บริการประจำจำนวน 3 ราย คือรถโดยสารชุมชนสาย "อุตรดิตถ์-คุ้งตะเภา-เอกลักษณ์ (โรงงานน้ำตาลเอกลักษณ์)" จำนวน 2 ราย โดยมีค่าบริการครั้งละ 25 บาท ตลอดสาย มีบริการขนส่งเฉพาะช่วงเช้าถึงเที่ยงเท่านั้น และรถโดยสารแท็กซี่ไม่ประจำทางจำนวน 1 ราย คิดค่าบริการในอัตราเดียวกับรถโดยสารชุมชนปกติ หากมีผู้นั่งเต็มคันรถ โดยรถโดยสารทั้งหมดจะหยุดพักรถที่จุดหมายบริเวณหน้าร้านขายยาไพศาลเภสัช ริมแม่น้ำน่านใกล้กับวัดท่าถนน อันเป็นชุมชนการค้าและตลาดสดที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งนอกจากผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะแบบประจำเส้นทางแล้วยังมีผู้ให้บริการแบบไม่ประจำเส้นทางอีกหลายราย แต่ส่วนใหญ่จะคิดค่าบริการในอัตราเดียวกับผู้ให้บริการประจำ[51]
นอกจากนี้ หมู่บ้านคุ้งตะเภายังมีจุดพักรับส่งผู้โดยสารของบริษัทเชิดชัยทัวร์ มีศูนย์ย่อยให้บริการอยู่บริเวณห้องแถวเหนือสะพานลอยบ้านคุ้งตะเภา รับส่งในเส้นทาง แม่สาย (เชียงราย) -กรุงเทพฯ กรุงเทพฯ-แม่สาย (เชียงราย), เชียงใหม่-กรุงเทพฯ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ โดยรถทัวร์จะหยุดรับส่งผู้โดยสารต่อเมื่อมีผู้จองตั๋วรถโดยสารไว้แล้วเท่านั้น[52]
ด้วยการที่หมู่บ้านคุ้งตะเภาเป็นเส้นทางผ่านของถนนสายหลักของจังหวัด (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลขที่ 11) ซึ่งเป็นเส้นทางผ่านสำคัญเพื่อเข้าสู่ภาคเหนือ ทำให้รถโดยสารสาธารณะเกือบทั้งหมดจะวิ่งผ่านตัวหมู่บ้านคุ้งตะเภาตลอดทั้งวัน ดังนั้นชาวบ้านคุ้งตะเภาส่วนใหญ่ที่เดินทางโดยรถโดยสาร (รถทัวร์) จึงมักนิยมเลือกผู้ให้บริการรถโดยสารสวาธารณะที่สามารถหยุดรถเพื่อส่งผู้โดยสารลงริมทางหลวงแผ่นดินหมายเลขที่ 11 หรือหน้าบ้านตัวเองได้[51]
ศาสนสถาน
หมู่บ้านคุ้งตะเภา มีศาสนสถานจำนวน 1 แห่ง คือ วัดคุ้งตะเภา เป็นศาสนสถานในพระพุทธศาสนา ไม่ปรากฏศาสนสถานในศาสนาอื่นในเขตหมู่บ้าน เนื่องจากชาวหมู่บ้านคุ้งตะเภาทั้งหมดนับถือศาสนาพุทธ นิกายเถรวาท สันนิษฐานว่าการนับถือศาสนาพุทธของประชากรหมู่บ้านคุ้งตะเภามีมาพร้อม ๆ กับประชากรกลุ่มแรกที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในแถบนี้
ปัจจุบัน หมู่บ้านคุ้งตะเภามีวัดประจำหมู่บ้าน 1 แห่งคือ วัดคุ้งตะเภา ซึ่งอยู่คู่มาพร้อม ๆ กับการตั้งหมู่บ้าน นับว่าเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในเขตปกครองคณะสงฆ์ตำบลคุ้งตะเภา ปัจจุบันวัดคุ้งตะเภาเป็นสถานที่เก็บรวบรวมโบราณวัตถุของหมู่บ้าน เป็นสถานที่ประกอบกิจกรรมประเพณีต่าง ๆ เป็นศูนย์กลางในการจัดกิจกรรมของชุมชน เป็นที่ตั้งอาคารธนาคารหมู่บ้านคุ้งตะเภา, สำนักงานสมาพันธ์สหกรณ์การเกษตรเพื่อการพัฒนา, เป็นที่ตั้งร้านค้าชุมชนหมู่บ้านคุ้งตะเภา, ศูนย์สาธิตผลิตภัณฑ์ชุมชนหมู่บ้านคุ้งตะเภา, ศูนย์ศึกษาการทำสมุนไพรภูมิปัญญาท้องถิ่นซึ่งมีชื่อเสียงด้านสมุนไพรแผนโบราณ และวัดคุ้งตะเภายังเป็นศูนย์กลางการศึกษาของคณะสงฆ์ในเขตปกครองคณะสงฆ์ตำบลคุ้งตะเภา โดยได้รับการจัดตั้งจากคณะสงฆ์จังหวัดอุตรดิตถ์ให้เป็นสำนักศาสนาศึกษาประจำตำบล ซึ่งมีผู้สอบผ่านธรรมศึกษาได้มากติดอันดับต้น ๆ ของอำเภอเมืองอุตรดิตถ์[53]
ปัจจุบันวัดคุ้งตะเภามี พระสมุห์สมชาย จีรปุญฺโญ (แสงสิน) เป็นเจ้าอาวาส
องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร
นอกจากนี้ หมู่บ้านคุ้งตะเภา ยังเป็นที่ตั้งของมูลนิธิสร้างคุณค่าชีวิตเด็กและเยาวชน[54] ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (nonprofit organization) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนที่พิการหรือบกพร่องทางกายภาพ มูลนิธินี้ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งมูลนิธิเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2553[55] โดยนายอัฑฒพงศ์ โมลี นักกิจกรรมบำบัดของโรงพยาบาลศูนย์อุตรดิตถ์ ชาวหมู่บ้านคุ้งตะเภา ได้ปรับพื้นที่บ้านของตนเองและที่ดินจำนวน 7 ไร่ ให้เป็นสถานบำบัดเชิงธรรมชาติ มีห้องทำกิจกรรมบำบัดกระตุ้นพัฒนาการ ลานจัดกิจกรรม เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ในการฟื้นฟูบำบัดเด็กและเยาวชนผู้ด้อยโอกาส ตลอดจนการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและรักษาสิ่งแวดล้อม[56]
วัฒนธรรมประเพณี
ชาวหมู่บ้านคุ้งตะเภาทั้งหมด เป็นชาวพุทธเถรวาท มีวัดประจำหมู่บ้าน 1 แห่ง คือ วัดคุ้งตะเภา ซึ่งมีอายุสองร้อยกว่าปี[57] อยู่คู่มากับการตั้งหมู่บ้านแห่งนี้
ปัจจุบันประเพณีบางอย่างยังคงหลงเหลืออยู่ แต่การละเล่นแบบโบราณซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคนบ้านคุ้งตะเภาได้สูญหายไปหมดแล้ว เหลือไว้แต่คำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ว่าเคยมีการละเล่นนั้น ๆ อยู่ในอดีต ซึ่งในปัจจุบันการจัดงานประเพณีบางอย่างเช่นการบวชนาค งานแต่งงาน ฯลฯ เมื่อมีการละเล่นเช่นลิเก ดนตรี ก็จะเป็นการ "จ้าง" มาจากต่างถิ่นแทน
ประเพณีและวัฒนธรรมดั้งเดิมส่วนใหญ่ของหมู่บ้านคุ้งตะเภาจะคล้ายกับหมู่บ้านในแถบภาคกลางตอนบน ซึ่งโดยพื้นเพของคนคุ้งตะเภานั้นเป็น “คนไทยเหนือ” ตามคำปากของคนในสมัยอยุธยา[21] คือเป็นคนไทยเดิมที่ตั้งถิ่นฐานแถบเมืองพิษณุโลก พิจิตร สุโขทัย ฯ โดยคนคุ้งตะเภานั้นมีสำเนียงการพูดคล้ายคนสุโขทัย,เมืองฝางสวางคบุรีและทุ่งยั้ง มีประเพณีและวัฒนธรรมไม่แตกต่างจากชาวพุทธเถรวาทในแถบภาคกลางตอนบนของประเทศไทย โดยส่วนใหญ่การจัดประเพณีหรือกิจกรรมของหมู่บ้านมักจะจัดที่วัดประจำหมู่บ้าน[9]
ประเพณีของหมู่บ้านคุ้งตะเภา
เดือน 3 :สามประเพณีบุญบ้าน-บุญขวัญข้าว
ประเพณีทำบุญกลางบ้าน
ประเพณีทำบุญกลางบ้านคุ้งตะเภา เป็นประเพณีโบราณของชาวบ้านคุ้งตะเภา ชุมชนคนไทยดั้งเดิมที่มีประวัติความเป็นมาสืบย้อนไปได้กว่า 700 ปี นับตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี ซึ่งยังคงสืบทอดประเพณีนี้มาจนถึงปัจจุบัน
โดยประเพณีทำบุญกลางบ้านคุ้งตะเภาในปัจจุบันนั้น คล้ายคลึงกับหมู่บ้านในแถบภาคกลางทั่วไป แต่มีการปรับประยุกต์ขั้นตอนบางอย่างให้สะดวกขึ้น โดยประเพณีทำบุญกลางบ้านนี้ชาวบ้านคุ้งตะเภาจะแยกจัดพิธีเป็นสองครั้งคือ ในต้นเดือน 3 จัดพิธีทำบุญกลางบ้านที่บ้านคุ้งตะเภาฝั่งตะวันออก (บ้านเหนือ) และปลายเดือน จัดพิธีทำบุญกลางบ้านที่บ้านคุ้งตะเภาฝั่งตะวันตก (บ้านใต้) โดยมีบริเวณในการจัดแน่นอน โดยบ้านเหนือจัดที่ทางสามแพร่งเหนือหมู่บ้าน ส่วนบ้านใต้จัดที่ลานข้าวกลุ่มเกษตรกรทำนาคุ้งตะเภา โดยชาวบ้านจะเป็นผู้ร่วมกันกำหนดวันทำบุญ
ขั้นตอนในการประกอบพิธีทำบุญกลางบ้านเริ่มจากชาวบ้านเตรียมทำกะบาน โดยทำเป็นถาดกาบกล้วยรูปสี่เหลี่ยม ปักธงกบิล 4 ทิศ ใช้ดินเหนียวปั้นเป็นรูปคนเท่าจำนวนคนในบ้านรวมไปถึงวัวควาย ไก่หรือสัตว์เลี้ยงอื่นด้วย ใส่เสื้อผ้าให้รูปคน มีการใส่ผักพล่าปลายำ พริกแห้ง เกลือ หัวหอม ข้าวสาร แล้วปักธูปลงในกะบาน และใส่สตางค์ลงไปด้วย
วันจัดงานทำบุญกลางบ้านชาวบ้านจะถือกะบานนำไปวางไว้บริเวณปรำพิธีซึ่งตั้งอยู่บริเวณพระพุทธรูป โดยจะมีการก่อเจดีย์ทรายปักธงบนยอดเจดีย์และประดับด้วยใบมะพร้าว ธงกบิลฯลฯ พร้อมกับทำกำแพงล้อมทั้ง 4 ทิศ พร้อมกับนิมนต์พระสงฆ์จากวัดคุ้งตะเภามาเจริญพระพุทธมนต์พระปริตรในเวลาเย็น ในระหว่างพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ เมื่อพระสวดจบบทหนึ่งก็จะมีการตีฆ้อง 3 ครั้ง ครั้นพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์จบในช่วงค่ำ พระสงฆ์จะสวดบท สุมงฺคลคาถา (สุนกฺขตฺตํ สุมงฺคลํ) และชาวบ้านก็จะจุดธูปเทียนในกะบานและนำกะบานไปวางไว้ตามทางสามแพร่งหรือสถานที่ ๆ กำหนดไว้ และมีการละเล่นต่าง ๆ ในเวลากลางคืน ในวันที่สองจะนิมนต์พระสงฆ์มาฉันภัตตาหารเช้าถวายจตุปัจจัย จึงเป็นอันเสร็จพิธี
คติความเชื่อของประเพณีนี้มาจากการผสานความเชื่อเรื่องผีของคนโบราณเข้ากับความเชื่อทางพุทธศาสนา มาจากคติความเชื่อเรื่องผีในการขอบคุณผีที่ประทานความอุดมสมบูรณ์จนสามารถเก็บเกี่ยวได้ และเป็นการสะเดาะห์เคราะห์คนในหมู่บ้านทั้งหมด และสอดคล้องกับวิถีชีวิตทางเกษตรกรรมของคนในชุมชน โดยประสานกับคติทางพุทธศาสนาเถรวาท ด้วยการจัดให้มีการทำบุญเพื่อเป็นอุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษและเสริมสวัสดิมงคลความอุดมสมบูรณ์ของคนในหมู่บ้านหลังฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งประเพณีนี้เป็นประเพณีที่แปลกกว่าประเพณีอื่น ๆ โดยจัดนอกวัด ชาวบ้านจะเลือกเอาสถานที่จัดบริเวณลานกว้างในหมู่บ้าน เพื่อเป็นการชุมนุมชาวหมู่บ้านมาร่วมจัดงานด้วยกัน เป็นการไต่ถามสารทุกข์สุกดิบซึ่งกันและกัน โดยมีการก่อพระเจดีย์ทรายไว้เป็นเครื่องหมาย ซึ่งคติการก่อเจดีย์ทรายไว้กลางหมู่บ้านนี้มาจากเรื่องราวในธรรมบทเพื่อเป็นการสร้างกุศลก่อเจดีย์ถวายเป็นพุทธบูชาร่วมกัน และมีการทำกะบานใส่ดินปั้นผู้อาศัยในครัวเรือนของตน ๆ ไปวางไว้ตามทางสามแพร่งเพื่อสะเดาะห์เคราะห์ ซึ่งเป็นอุบายของคนโบราณในการสำรวจประชากรและสัตว์เลี้ยงในหมู่บ้านคุ้งตะเภาได้อย่างดียิ่ง
ประเพณีแรกตักข้าว
เมื่อเสร็จฤดูเก็บเกี่ยวนำข้าวขึ้นยุ้งฉางแล้ว ชาวคุ้งตะเภามีคติความเชื่อเรื่องหนึ่งคือ "แรกตักข้าว" คือเป็นวันแรกที่จะทำการตักข้าวที่เก็บเกี่ยวจากปีก่อนออกจากฉางมาทำการสี โดยกำหนดวันแรกตักไว้ตรงกับ วัน 3 ค่ำเดือน 3 มีความเชื่อว่าถ้าตักข้าวเก่าในฉางออกมาก่อนวันที่กำหนดนี้ ข้าวในฉางจะถูก ผีตะมอย กิน คือถ้าตักหนึ่งขัน ข้าวในฉางก็จะหายไปหนึ่งขัน เพื่อไม่ให้นำข้าวใหม่มาสีกินก่อนเวลาอันควร
คตินี้น่าจะมาจากอุบายของคนโบราณและสอดคล้องกับสภาพของข้าวใหม่ที่เก็บเกี่ยวในปีก่อน โดยก่อนที่จะถึงวัน 3 ค่ำเดือน 3 ข้าวใหม่จะยังไม่แห้งดี ไม่สมควรแก่การบริโภค แต่เมื่อถึงเดือน 3 ข้าวก็จะแห้งพอสมควรที่จะนำไปสีนำมารับประทานได้ และเพื่อให้ใช้ข้าวเก่าค้างยุ้งมารับประทานให้หมดไม่เหลือทิ้งไว้ ทำนองได้ใหม่ไม่ลืมเก่านั่นเอง
แต่ในปัจจุบันไม่ปรากฏว่ามีบ้านใดทำพิธีนี้อีกแล้ว เพราะไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตปัจจุบัน ประเพณีนี้พึ่งสูญหายไปเมื่อไม่เกิน 30 ปีมานี้ คงเหลือไว้แต่เพียงคำบอกเล่าเท่านั้น
ประเพณีก่อเจดีย์ข้าวเปลือก
ประเพณีก่อข้าวเปลือกประจำปีของหมู่บ้านคุ้งตะเภาจัดตรงกับ วัน ขึ้น 14-15 ค่ำเดือน 3 ของทุกปี โดยชาวบ้านจะแบ่งข้าวเปลือกที่ตนเองทำการเพาะปลูกได้ในปีก่อนนำมาถวายวัด โดยในวัน ขึ้น 14 ค่ำ จะมีการเจริญพระพุทธมนต์ฉลององค์พระเจดีย์ข้าวเปลือก และอาจมีการละเล่นบ้างตามความเหมาะสม และวันรุ่งขึ้น มีการถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์ในวัด พร้อมกับทำพิธีถวายองค์เจดีย์ (ข้าวเปลือก) จึงเสร็จพิธี
พิธีนี้คล้ายพิธีสู่ขวัญข้าว ตามความเชื่อโบราณของคนในแถบลุ่มอารยธรรมอุษาคเนย์ ที่เชื่อกันว่าทุกสิ่งมี "ขวัญ" สถิตย์อยู่ เมื่อชาวบ้านทำนาเพาะปลูกข้าวและเก็บเกี่ยวได้แล้ว ก่อนนำข้าวมาบริโภคหรือจำหน่าย จะมีการทำพิธี "สู่ขวัญข้าว" ทำนองเป็นการบูชาผีที่สถิตย์อยู่ในข้าว เป็นการแสดงความเคารพต่อสรรพสิ่งและนบน้อมต่อธรรมชาติ ซึ่งต่อมาเมื่อรับวัฒนธรรมแบบชาวพุทธเถรวาทซึ่งปฏิเสธการบูชาเซ่นทรวงเข้ามา จึงได้ "ปรับ" ประเพณีนี้ให้เข้ากับวัฒนธรรมความเชื่อดั้งเดิมของตน คือการนำข้าวแรกเกี่ยวไปถวายพระเพื่อเป็นการทำบุญเป็นสิริมงคลแทน ซึ่งชาวบ้านคุ้งตะเภาก็ได้ถือปฏิบัติเช่นนี้เรื่อยมา แต่ด้วยสภาพสังคมและการดำรงชีวิตในปัจจุบัน ทำให้การจัดพิธีก่อเจดีย์ข้าวเปลือกในวัด มีผู้มาร่วมงานบางตา แต่โดยส่วนใหญ่ของผู้ที่ไม่มาร่วมงาน ก็ยังคงแบ่งข้าวเปลือกฝากมาถวายวัดตามประเพณีนี้ตลอดมา
เดือน 4 :ประเพณีตรุษไทย (วันปีใหม่ไทย)
ตามจารีตประเพณีแต่ดั้งเดิมของไทยถือเอาวันแรม 1 ค่ำเดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ เป็นการสอดคล้องกับคติแห่งพุทธศาสนาซึ่งถีอเอาฤดูหนาวเป็นการเริ่มต้นปี แต่ต่อมาได้ถือว่าวันขึ้น 1 ค่ำ เดือนห้าเป็นวันขึ้นปีใหม่ (ตรุษไทย) ซึ่งถึอตามปฏิทินทางจันทรคติและยึดถือมา จนกระทั่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าไทยได้ติดต่อกับประเทศต่าง ๆ มากขึ้น การใช้ปฏิทินทางจันทรคติไม่เหมาะสมและไม่สะดวก เพราะไม่ลงรอยกับปฏิทินสากล จึงประกาศให้ใช้วันทางสุริยคติตามแบบสากลแทน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2432 เป็นต้นมา และถือเอาวันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ด้วย[58] แต่ชาวคุ้งตะเภายังคงรักษาธรรมเนียมตรุษไทยไว้โดยจัดทำบุญติดต่อกัน 2 วัน คือ วันแรม 15 ค่ำ เดือน 4 ถึง วันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ในสมัยโบราณจะมีการ "กวนข้าวแดง" ซึ่งส่วนประกอบหลัก ๆ ของข้าวแดงก็มี ข้าว อ้อย น้ำตาล ฯลฯ โดยมีการรวมตัวคนในหมู่บ้านมาช่วยกวนข้าวแดงด้วยกันเพื่อนำไปแจกจ่ายคนในหมู่บ้านและถวายพระสงฆ์ ซึ่งนอกจากข้าวแดงแล้วยังมี ขนมต้ม และขนมจีนซึ่งแต่ละบ้านจะทำกันเองและนำมาแจกจ่ายกันในวันทำบุญ
ในปัจจุบันไม่ปรากฏว่ามีการรวมตัวเพื่อกวนข้าวแดงกันอีกต่อไปแล้ว คงเหลือแต่การทำบุญเลี้ยงพระสงฆ์ตามปรกติเท่านั้น จะมีพิเศษบ้างก็แต่ชาวบ้านจะนำอ้อย ขนมจีน ขนมต้ม มาถวายพระมาก แต่ก็เป็นเพียงสิ่งที่ซื้อหากันมา มิได้เป็นสิ่งที่เกิดจากความสามัคคีของคนในชุมชนอย่างที่ควรจะเป็นอีกแล้ว
เดือน 5 :ประเพณีสงกรานต์
การจัดประเพณีสงกรานต์ของชาวบ้านคุ้งตะเภาคล้ายคลึงกับพื้นที่อื่น คือมีการทำบุญ 3 วัน (13-15 เมษายน) ในวันสุดท้ายจะมีพิธีสรงน้ำพระตามประเพณี และในบางปีจะมีการรวมตัวจัดอุปสมบทหมู่อีกด้วยเพื่อบวชลูกหลานซึ่งกลับมาจากต่างถิ่น โดยทุกเช้าของทั้งสามวันจะมีการทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ในวัดคุ้งตะเภา โดยในวันแรกจะมีการทอดผ้าป่าสามัคคีของคณะชาวบ้านคุ้งตะเภาและลูกหลานของชาวหมู่บ้านที่ไปทำงานต่างถิ่น ในวันที่สองมีการบวชนาคสามัคคี โดยเวลาเที่ยง มีการทำพิธีปลงผมนาค เวลาบ่ายทำการแห่นาค เมื่อถึงช่วงเย็นมีการเทศน์สอนนาค และอุปัชฌาย์พร้อมทั้งกรรมวาจา-อนุสาวนาจารย์ พระอันดับจะลงอุโบสถเพื่อประกอบการอุปสมบทนาคในเวลาตี 5 ของวันรุ่งขึ้น คือวันที่ 15 เมษายน อันเป็นวันมหาสงกรานต์ เมื่อบวชนาคเสร็จ เวลาเช้ามีการเจริญพระพุทธมนต์ฉลองพระบวชใหม่ และในเวลาบ่ายของวันนั้นมีการจัดพิธีแห่อัญเชิญสมโภชพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานบนบุษบกชั่วคราวกลางมณฑลพิธี จากนั้นประกอบพิธีขอขมาและสรงน้ำพระบรมธาตุเจ้า พระพุทธรูปสำคัญและพระสงฆ์ในวัดพร้อมกับผู้สูงอายุ และเมื่อสรงน้ำพระเสร็จ ชาวบ้านก็จะนำน้ำธูปเทียนดอกไม้ไปสักการะเจดีย์บรรจุอัฐิบรรพบุรุษที่ตั้งอยู่ในวัดหรือบ้านของตน ๆ เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีสงกรานต์ที่จัดในวัดประจำหมู่บ้าน
พิธีเวียนเทียนพระภิกษุใหม่
ในการบวชนาคหมู่ (บรรพชาอุปสมบทพระภิกษุสามเณรหมู่) ของชาวบ้านคุ้งตะเภานั้น มีพิธีกรรมที่น่าสนใจยิ่งพิธีกรรมหนึ่งคือ "พิธีเวียนเทียนพระบวชใหม่" ซึ่งเป็นพิธีกรรมโบราณที่ปัจจุบันหาดูได้ยาก เนื่องจากปัจจุบันไม่มีวัดใดประกอบพิธีนี้อีกแล้ว แต่วัดคุ้งตะเภายังคงอนุรักษ์พิธีกรรมนี้อยู่จนปัจจุบัน
พิธีเวียนเทียนพระบวชใหม่นี้ จะประกอบเมื่อพระภิกษุใหม่ได้ผ่านการบรรพชาอุปสมบทในอุโบสถเสร็จแล้ว ซึ่งสถานที่จัดพิธีเวียนเทียนฯ นั้น จะจัดบนศาลาการเปรียญของวัด โดยมี "หมอทำพิธี" และพระสงฆ์บวชใหม่ นั่งอยู่กลางมณฑลพิธี บางครั้งก็จะมีพานพุ่มบายสีขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางพิธีด้วย โดยให้ญาติโยมนั่งล้อมพระสงฆ์และหมอพิธีเป็นวงกลม เมื่อก่อนเริ่มพิธีหมอพิธีจะทำน้ำมนต์ธรณีสาร เมื่อเสร็จแล้วจะกล่าวคำนมัสการพระรัตนตรัย (ตั้งนะโมสามจบ) กล่าวคาถาขอขมากรรม (บทบาลีที่ขึ้นต้นด้วย: โย โทโส โมหจิตฺเตน...) เมื่อกล่าวคำขอขมาเสร็จแล้วจะขึ้นบทชุมนุมเทวดา (บทบาลีที่ขึ้นต้นด้วย:สคฺเค กาเม จ รูเป...) และขึ้นบทเฉพาะสำหรับพิธีกรรมนี้เป็นทำนองเหล่ (ดูเพิ่มได้ที่:วิกิซอร์ซ) เมื่อกล่าวจบแล้วปี่พาทย์จะประโคมเพลงสาธุการ หมอพิธีจะนำใบพลูเก้าใบห่อและจุดแว่นเทียนชัยจำนวน 9 เล่ม นำไปเวียนเทียนรอบพระประธานสามรอบ และส่งต่อให้ชาวบ้านที่นั่งล้อมวงมณฑลพิธีนำไปทำพิธีเวียนเทียนแบบพราหมณ์ โดยการประคองเทียนวนขึ้นลงสามรอบและใช้มือขวาปัดควันเทียนเข้ามณฑลพิธี และส่งต่อไปยังคนด้านซ้ายเพื่อทำเช่นนั้นต่อไปจนสำเร็จครบสามรอบมณฑลพิธีจึงส่งเทียนชัยให้แก่หมอพิธีเพื่อนำเวียนรอบพระประธานอีกครั้ง และเป่าดับเทียนให้ควันลอยถูกตัวพระสงฆ์บวชใหม่เป็นอันเสร็จพิธีกรรม หลังจากนั้นประธานพระสงฆ์จะนำพระภิกษุใหม่ให้พรเป็นอันเสร็จพิธีเวียนเทียนพระใหม่อย่างสมบูรณ์ และเป็นการเสร็จพิธีกรรมสุดท้ายในงานบรรพชาอุปสมบทของชาวบ้านคุ้งตะเภา
การประกอบพิธีกรรมเวียนเทียนพระบวชใหม่นี้เป็นพิธีที่สืบต่อกันมาแต่โบราณ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประสิทธิ์พรแก่พระภิกษุบวชใหม่ และแสดงสักการะแก่พระสงฆ์ซึ่งเป็นเนื้อนาบุญใหม่ของชุมชน เป็นการผสมผสานความเชื่อคติพราหมณ์และพุทธกันได้อย่างลงตัว เมื่อดูจากเนื้อหาของบทเวียนเทียนฯ แล้วจะพบว่าเป็นการ "บอก" วัตถุประสงค์แห่งการบวชให้พระภิกษุใหม่ทราบอย่างมีนัยยะสำคัญ เช่น การศึกษาเพื่อให้มีปัญญาดุจดังพระอานนท์ การกำจัดทำพระนิพพานให้แจ้งเป็นต้น และด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรมนี้สามารถทำให้พระใหม่รู้สึกตัวว่าได้เข้าสู่สมณภาวะอันเป็นฐานะที่สูงยิ่งของชุมชนแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการกระตุ้นให้พระภิกษุใหม่มีความละอายในการกระทำผิดศีล และตั้งใจปฏิบัติตนในเพศภาวะแห่งพระสงฆ์ให้สมบูรณ์ไม่บกพร่อง
ในปัจจุบันหาชมพิธีนี้ได้ยากแล้ว สันนิษฐานว่าในชั้นหลังชุมชนอื่น ๆ ตัดพิธีนี้ออกไปเนื่องจากความเข้าใจว่าเป็นพิธีของพราหมณ์ ทำให้ไม่เห็นความสำคัญของพิธีนี้ และเลยไปถึงการไม่เข้าใจอุบายของคนโบราณในการตักเตือนพระภิกษุใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต้องการความสะดวกและประหยัดเวลาในการประกอบพิธีบรรพชาอุปสมบท ทำให้ชุมชนที่เลิกพิธีนี้ไปขาดการสืบต่อผู้รู้ในพิธี และเลือนหายไปจากสำนึกของคนในรุ่นหลังอย่างน่าเสียดาย
เดือน 7 :ประเพณีถวายสลากภัต
การจัดงานทำบุญถวายสลากภัตของชาวบ้านคุ้งตะเภาจัดระหว่างขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ถึง ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี [59] โดยชาวบ้านจะนำสำรับภัตตาหารและผลไม้มาถวายพระสงฆ์ โดยจะนิมนต์พระสงฆ์จากวัดต่าง ๆ ร่วม 30 วัด กว่าร้อยรูป มาฉันภัตตาหารและถวายจตุปัจจัยไทยธรรม ในอดีตมีการจับฉลากเลือกพระสงฆ์รับสังฆทานตามประเพณี และเวลากลางคืนมีการละเล่นต่าง ๆ เช่นชกมวยคาดเชือก มวยไทยสายพระยาพิชัย ฯลฯ สำหรับวัดในแถบตำบลคุ้งตะเภา-ป่าเซ่า นิยมมีการจัดมหรสพดนตรีเป็นงานใหญ่ บางหมู่บ้านก็ขอทางวัดจัดให้มีกีฬาชกมวยไทย เป็นงานเอิกเริกประจำปีของหมู่บ้านนั้น ๆ
เดือน 10 :ประเพณีสารทไทย
ชาวบ้านคุ้งตะเภาจัดงานทำบุญวันสารทตรงกับวัน แรม 15 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปี โดยมีการรวมตัวคนในหมู่บ้านมาร่วมกันกวนข้าวกระยาสารทเพื่อถวายพระสงฆ์และแจกจ่ายคนในหมู่บ้าน และมีการละเล่นต่าง ๆ แต่ในปัจจุบันคงเหลือแต่การทำบุญเลี้ยงพระสงฆ์ตามปรกติ การรวมตัวเพื่อกวนข้าวกระยาสารทไม่มีอีกแล้ว มีแต่ข้าวกระยาสารทซึ่งซื้อหามาถวายพระสงฆ์แทน
เดือน 11 :ประเพณีเทศน์มหาชาติ
ประเพณีการจัดเทศน์มหาชาติของหมู่บ้านคุ้งตะเภา จัดตรงกับ วันแรม 4,5,6 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี โดยจัดในวัดประจำหมู่บ้าน
ซึ่งในวันแรกจะมีการเทศน์ พระมาลัยสูตร 3 ธรรมาสน์ ตามประเพณี เพื่อเป็นการชี้แจงอานิสงส์การฟังมหาชาติเวสสันดรชาดกในวันถัดไป ตามกัณฑ์เทศน์พระมาลัยนั้น องค์แสดงเป็นพระศรีอาริยเมตไตย จะชี้แจงผลานิสงส์ที่จะให้มาเกิดในยุคพระศรีอาริย์ โดยบอกเหตุว่า ผู้ใดฟังเวสสันดรชาดกครบ 13 กัณฑ์ พันพระคาถา ตั้งใจมุ่งมาบังเกิดในยุคของพระศรีอาริย์ก็จะสำเร็จผลดังปรารถนา ซึ่งพระมาลัยสูตรนั้น เป็นเรื่องที่พระภิกษุชาวสิงหล (ศรีลังกา) แต่งขึ้น เมื่อประมาณ พ.ศ. 900 กล่าวถึงพระอรหันต์องค์หนึ่ง ซึ่งลงไปเยี่ยมเมืองนรกและสวรรค์และได้พบกับพระศรีอาริยเมตไตยบนสวรรค์นั้น
ในวันที่สองเวลาเช้า พระสงฆ์ในวัดจะขึ้นธรรมมาสน์อ่านเวสสันดรชาดกเป็นภาษาบาลี และเจ้าภาพผู้รับขันกัณฑ์เทศน์ทั้ง 13 กัณฑ์ จะจุดเทียนธูปบูชาตามคาถาของกัณฑ์ที่ตนรับเป็นเจ้าภาพไว้ (เช่นทานกัณฑ์ มีคาถาบาลี 209 คาถา (ประโยค) เจ้าภาพจะนำเทียนและธูปเท่ากับจำนวน 209 คาถา มาจุดบูชา) ต่อมาในเวลาบ่าย พระสงฆ์จะขึ้นเทศน์เวสสันดรชาดกเป็นทำนองเหล่ ครบ 13 กัณฑ์ ทั้งหมดเสร็จสิ้นในเวลาเย็นของวันนั้น
ในวันที่สามเวลาเช้ามีการถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์และมีเทศน์อานิสงส์ฟังเวสสันดรชาดก เป็นอันเสร็จสิ้น
คติของประเพณีนี้สืบเนื่องมาจากช่วงเดือน 11 ข้าวกำลังออกรวง ชาวบ้านว่างงานรอเก็บเกี่ยว จึงจัดพิธีเทศน์มหาชาติขึ้นโดยมีการรวมตัวคนในหมู่บ้านมาจัดประดับศาลา (โดยเฉพาะหนุ่มสาว ที่หวังจะมาพบปะและหยอกเอินหวังจีบกันในงานนี้) และมีการละเล่นต่าง ๆ รวมทั้งจัดประดับตกแต่งศาลาให้เป็นป่าหิมพานต์ มีต้นอ้อย กล้วย ธงกบิล ฉัตรบูชา ซึ่งเมื่อเลิกพิธีชาวบ้านจะแย่งกันนำต้นกล้วยอ้อยนำไปฝานเป็นแว่นเล็ก ๆ ใส่ชะลอมนำไปปักไว้ท้องนา เพราะเวลานั้นข้าวกำลังออกรวง เหมือนแม่โพสพตั้งท้อง จึงนำสิ่งเหล่านี้ไปถวายแม่โพสพ เพราะคิดว่าคนตั้งท้องน่าจะชอบของเหล่านี้ ตามความเชื่อในเรื่องผีของคนโบราณ[60]
แต่ในปัจจุบันสภาพสังคมเปลี่ยนไป การจัดเทศน์มหาชาติไม่ค่อยมีคนหนุ่มสาวในหมู่บ้านสนใจ ส่วนใหญ่จะมีแต่พระสงฆ์และผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านที่ยังพอมีแรง มาช่วยกันประดับตกแต่งศาลาการเปรียญ ผู้มาฟังเทศน์ก็เป็นคนรุ่นเก่า และค่อนข้างน้อย เมื่องานเสร็จก็ไม่ปรากฏว่ามีการแย่งฉัตรธงอ้อยกล้วยกันอีกต่อไป
การละเล่นพื้นบ้าน
ปัจจุบันการละเล่นพื้นบ้านของหมู่บ้านคุ้งตะเภาบางอย่างยังคงหลงเหลืออยู่ แต่การละเล่นแบบโบราณซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคนบ้านคุ้งตะเภาได้สูญหายไปหมดแล้ว เหลือไว้แต่คำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ว่าเคยมีการละเล่นนั้น ๆ อยู่ในอดีต ซึ่งในปัจจุบันการจัดงานประเพณีบางอย่างเช่นการบวชนาค งานแต่งงาน ฯลฯ เมื่อมีการละเล่นเช่นลิเก ดนตรี ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการจ้างเหมานำมาจากต่างถิ่นแทน
ในอดีต การละเล่นพื้นบ้านของชาวบ้านคุ้งตะเภาจะมีขึ้นไม่เฉพาะแต่ในวัดเท่านั้น แม้แต่ในทุ่งนา ลานนวดข้าว หรือหาดทรายริมแม่น้ำน่าน ก็ถูกใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมการละเล่นต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการทำงานในระหว่างวัน จากคำบอกเล่าของคนรุ่นเก่า ทำให้ทราบว่าหมู่บ้านคุ้งตะเภามีการละเล่นมากมายที่คล้ายกับการละเล่นพื้นบ้านทั่วไปในแถบภาคกลาง เช่น การเล่นนางด้ง นางกะลา การรำช่วง การร้องเพลงเกี่ยวข้าว จนไปถึงขับขานเพลงฉ่อย ส่วนการจัดงานวัดหรือกิจกรรมร่วมกันของชุมชน ที่จัดให้มีมหรสพต่าง ๆ จะได้รับความสนใจจากชาวบ้านคุ้งตะเภามากแทบทั้งหมู่บ้าน แต่ปัจจุบันเมื่อมีการจัดมหรสพต่าง ๆ ในวัด จะมีผู้เข้าชมมหรสพไม่มากนักเมื่อเทียบกับอดีต ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าการละเล่นของชาวบ้านคุ้งตะเภาในอดีตผูกพันกับวิถีชีวิตประจำวันอย่างมาก จนมาสูญหายไปเมื่อมาถึงยุคปัจจุบัน ที่อำนาจของสื่อต่าง ๆ เข้ามาแทนที่ของดั้งเดิม
แม้ในปัจจุบันจะยังคงพอมีการละเล่นพื้นบ้านอยู่บ้าง แต่เป็นเพียงการละเล่นเฉพาะในพิธีกรรมหรืองานบุญต่าง ๆ ทางศาสนาไป เช่น การแห่กลองยาว (งานบวชพระ) เป็นต้น ในปัจจุบันหมู่บ้านคุ้งตะเภายังคงมีวงดนตรีไทยเดิม (วงปี่พาทย์) อยู่ แต่เป็นวงดนตรีของผู้สูงอายุ และเป็นวงดนตรีไทยเดิมวงเดียวของตำบลคุ้งตะเภา และเมื่อออกแสดงในงานต่าง ๆ ต้องรวบรวมลูกวงจากหมู่บ้านอื่นมาร่วมด้วย เพื่อให้สามารถเล่นดนตรีไทยเดิมได้ครบวง เนื่องจากคนรุ่นหลังไม่สนใจที่จะศึกษา ทำให้วงดนตรีไทยเดิมผู้สูงอายุบ้านคุ้งตะเภาอาจจะสูญหายไปในเวลาอีกไม่นาน
ความเชื่อและตำนาน
แม้ชาวหมู่บ้านคุ้งตะเภาทั้งหมด จะนับถือพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท แต่ยังคงมีความเชื่อเกี่ยวกับตำนานเรื่องเล่าพื้นบ้านที่เกี่ยวกับศาสนาดั้งเดิม หรือศาสนาผี คือ ความเชื่อเกี่ยวกับภูตผี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งความเชื่อส่วนใหญ่ในหมู่บ้านคุ้งตะเภามีทั้งความเชื่อในตำนานเล่าขานถึงเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งทำให้เกิดมีเจ้าที่หรือเจ้าแม่สิงสถิตย์ในที่นั้น ๆ หรือความเชื่อในสถานที่ต่าง ๆ ในหมู่บ้านว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ตำนานและความเชื่อในหมู่บ้านคุ้งตะเภาที่ยังคงมีอยู่และสูญหายไปแล้วพอประมวลได้ดังนี้
ตำนานเรือสำเภาล่ม-เจ้าแม่สำเภาทอง
ความเชื่อเรื่องเรือสำเภาล่มมีมาตั้งแต่แรกตั้งหมู่บ้าน ตำนานนี้มีความเกี่ยวข้องกับที่มาของชื่อหมู่บ้านคุ้งตะเภาด้วย สันนิษฐานว่ามีความเชื่อเรื่องตำนานเรือสำเภาล่มมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย ส่วนเรื่องการมีอยู่ของเจ้าแม่สำเภาทองนั้น พึ่งมีในสมัยหลัง
ตำนานเรือสำเภาล่มและเจ้าแม่สำเภาทอง สันนิษฐานว่าเป็นเหตุการณ์จริงและเป็นเจ้าแม่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ตามตำนานเรือสำเภาล่มหน้าวัดคุ้งตะเภา จากการสืบค้นเอกสารพบหลักฐานที่อดีตผู้ใหญ่บ้าน บุญช่วย เรืองคำ ได้บันทึกไว้ตามคำบอกเล่า พอสรุปได้ว่า "ในสมัยอยุธยาตอนปลาย มีเรือสำเภาส่งสินค้าลำหนึ่ง ซึ่งมีพี่น้องบิดามารดาเดียวกันสองคนที่อยู่กินกันฉันท์สามีภรรยา ได้ทำมาหากินรับส่งสินค้าขึ้นล่องทางเมืองเหนือ จนวันหนึ่งเรือของสองพี่น้องดังกล่าวได้ล่องแม่น้ำน่านผ่านหน้าวัดคุ้งตะเภาและปรากฏว่ามีลมพายุใหญ่เกิดขึ้น ทำให้ไม่สามารถประคองเรือไว้ได้ เรือจึงล่มลงตรงหน้าวัดคุ้งตะเภา [ปัจจุบันเป็นหลังวัด และร่องน้ำน่านบริเวณที่เรือล่มได้ตื้นเขินไปแล้วเพราะแม่น้ำเปลี่ยนทิศทางเดินไปไกลจากวัดมาก] ลูกเรือทั้งปวงหนีขึ้นฝั่งได้ แต่สองพี่น้องได้จมหายไปกับเรือ ทิ้งสมบัติไว้กับเรือนั่นเอง[7]
จากตำนานนี้ทำให้ชาวบ้านคุ้งตะเภาเล่าต่อกันมาว่ามีสมบัติถูกฝังไปพร้อมกับเรือ และมีตำนานเล่าว่าเคยมีคนขุดเจอซากเรือและหีบบรรจุเหรียญเงิน แต่แล้วก็มีอันเป็นไป ทั้งสองตำนานเป็นเรื่องเล่าที่เล่าสืบกันมาช้านาน แต่เจ้าแม่สำเภาทองนั้นเพิ่งจะมาได้รับการเชื่อถือกันในระยะหลัง จากเหตุการณ์ที่พระสงฆ์ในวัดคุ้งตะเภาได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้หญิงด้านหลังวัดทุกวันที่มีฝนตกในช่วงเข้าพรรษา และเจ้าแม่ได้เข้าฝันพระสงฆ์ในวัดบอกว่าเสียงผู้หญิงร้องเป็นเสียงคน ๆ เดียวกับที่จมไปกับเรือสำเภาในตำนาน[61] ญาติโยมและพระสงฆ์ในวัดคุ้งตะเภาจึงได้ร่วมกันสร้างศาลให้หลังหนึ่งบริเวณหลังวัด และหลังจากสร้างศาลแล้วก็ไม่ปรากฏเสียงผู้หญิงร้องไห้อีก จนความศรัทธาในเจ้าแม่สำเภาทองได้เสื่อมลงไปบ้างในช่วงหลัง
เจ้าแม่โพธิ์เขียว
เจ้าแม่โพธิ์เขียวเป็นความเชื่อในความมีอยู่ของรุกขเทวดาประจำต้นพระศรีมหาโพธิ์ประจำวัดของหมู่บ้านคุ้งตะเภา โดยเป็นความเชื่อในช่วงหลังจากเหตุการณ์โค่นต้นพระศรีมหาโพธิ์วัดคุ้งตะเภา ซึ่งมีผู้ศรัทธานับถือถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลหลายคน ทำให้มีผู้มาสร้างศาลให้เจ้าแม่หลายศาลตรงบริเวณใกล้กับที่ตั้งต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ถูกโค่น ปัจจุบันศาลยังตั้งอยู่และยังคงมีผู้มากราบไหว้อยู่เสมอ แม้ต้นพระศรีมหาโพธิ์จะไม่มีอยู่แล้ว[62]
เจ้าแม่จุฑามาศ
เจ้าแม่จุฑามาศ เป็นความเชื่อในความมีอยู่ของรุกขเทวดาหรือเจ้าแม่ประจำต้นยางยักษ์ที่วัดคุ้งตะเภานำขึ้นมาจากท้องแม่น้ำน่าน ซึ่งต้นยางยักษ์วัดคุ้งตะเภานี้เป็นยางนา นำขึ้นมาจากแม่น้ำน่านบริเวณเหนือหมู่บ้านคุ้งตะเภา เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ยาว 8 เมตร 45 เซนติเมตร หรือยาว 23 วา 12 ศอก มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 1 เมตร 85 เซนติเมตร ชาวบ้านคุ้งตะเภาบางส่วนนับถือว่ามีเจ้าแม่สถิตย์อยู่ตามความเชื่อของคนทรงเจ้าที่ตั้งชื่อให้ว่า "เจ้าแม่จุฑามาศ"[63]
ต้นยางต้นนี้พบโดยชาวบ้านที่ดำน้ำหาปลาในแม่น้ำน่าน โดยวัดคุ้งตะเภาได้นำขึ้นมาจากแม่น้ำน่านโดยวัตถุประสงค์จะนำมาบูรณะศาลาการเปรียญ[64] แต่ชาวบ้านคุ้งตะเภาส่วนหนึ่งได้ขอร้องให้นำโคนและต้นยางขึ้นมาเก็บรักษาที่วัดคุ้งตะเภาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ซึ่งยางต้นนี้กินพื้นที่ความยาวกว่าครึ่งของวัดคุ้งตะเภา โดยส่วนโคนต้นที่วางหันไปทางทิศตะวันออกมีลักษณะเหมือนช้างเอราวัณ หรือสามเศียร ปัจจุบันความนิยมในเจ้าแม่จุฑามาศได้เสื่อมลง วัดคุ้งตะเภาจึงได้นำต้นไปบูรณะศาลาการเปรียญ คงเหลือส่วนปลายและโคนต้นไว้ให้ผู้สนใจได้ศึกษา[64]
ป่าไผ่หลวง
ป่าไผ่หลวงหรือตำนานไผ่หลวง เป็นความเชื่อของคนคุ้งตะเภาและใกล้เคียงที่มีในสถานที่บริเวณกลุ่มป่าไผ่ขนาดใหญ่บริเวณพื้นที่หลังหมู่บ้านคุ้งตะเภา ความเชื่อนี้มีสืบต่อกันมานาน จนหายไปหมดสิ้นหลังจากชาวบ้านบุกรุกป่าไผ่หลวงจนกลายเป็นทุ่งนาเช่นในปัจจุบันเมื่อ 40 กว่าปีก่อน
ไผ่หลวงเป็นพื้นที่ ๆ ชาวบ้านคุ้งตะเภาและใกล้เคียงเมื่อกว่า 40 ปีก่อนลงไปนับถือว่าเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ มีเจ้าที่เจ้าทางคุ้มครองดูแลรักษาอยู่ ซึ่งพอเปรียบเทียบได้กับวังนาคินทร์คำชะโนด ที่จังหวัดอุดรธานี โดยมีตำนานพื้นบ้านเล่าขานมากมายเกี่ยวกับไผ่หลวงแห่งนี้ ซึ่งตำนานส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวของนายพรานหรือคนบ้านที่ไปจับสัตว์ในไผ่หลวงแล้วหาทางออกไม่ได้ หรือไปทำลบหลู่ในบริเวณไผ่หลวงจนเกิดมีอันเป็นไปต่าง ๆ นา ๆ แม้ชาวบ้านคุ้งตะเภาส่วนใหญ่ในปัจจุบันที่พอมีอายุที่ยังทันเห็นป่าไผ่หลวง มักจะมีเรื่องเล่าถึงประสบการณ์ที่ตนเคยพบเหตุการณ์อัศจรรย์ต่าง ๆ ในบริเวณป่าไผ่หลวงนี้[65]
ในอดีต โดยรอบหมู่บ้านคุ้งตะเภาจะเป็นป่าดิบไม่มีคนอาศัย ดังนั้นตำนานไผ่หลวงจึงเป็นเรื่องเล่าที่สำคัญที่บอกให้เห็นว่าในอดีตนั้นบริเวณบ้านคุ้งตะเภามีความอุดมสมบูรณ์มาก ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบันที่ไม่สามารถหากลุ่มต้นไม้รกทึบร่มรื่นเช่นในอดีตได้อีก[66]
เขาหญ้าวัว
เขาหญ้าวัว หรือเขาเยี่ยววัว, เขายูงงัว ตั้งอยู่กลางค่ายพระยาพิชัยดาบหัก ตำบลท่าเสา มีลักษณะเป็นเนินเขาขนาดเล็กไม่สูงมาก ตัวเขาตั้งอยู่ตรงข้ามวัดคุ้งตะเภาคนละฝั่งแม่น้ำ ในอดีตนั้นตีนเขาหญ้าวัวเคยเป็นที่ตั้งของวัดไทรย้อย (บริเวณประตู 1 ค่ายพระยาพิชัยดาบหัก) ซึ่งหลังจากรัฐบาลได้มาเวนคืนพื้นที่เพื่อสร้างค่ายทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 วัดไทรย้อยได้ย้ายที่ตั้งไปสร้างบริเวณข้างค่ายพระยาพิชัยดาบหัก อันได้แก่ที่ตั้งวัดดอยท่าเสาในปัจจุบัน
เขาหญ้าวัวในปัจจุบัน แม้จะตั้งอยู่ต่างตำบลและอยู่คนละฝั่งแม่น้ำ แต่แม้กระนั้นเขาหญ้าวัวก็ถือว่าเป็นสถานที่สำคัญที่ชาวบ้านคุ้งตะเภาและชาวท่าเสานับถือร่วมกันมานานว่าเป็นเขาศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีเรื่องราวและตำนานมากมายเกี่ยวกับเขาแห่งนี้ เช่น ตำนานแท่นฤๅษี ถ้ำฤๅษี (ที่สามารถมุดลอดไปออกแม่น้ำน่านได้) เรื่องการมีอันเป็นไปของคนที่เข้าไปทำร้ายสัตว์ที่อาศัยอยู่บนเขา หรือแม้กระทั่งการหลงป่าของนายทหารที่ขึ้นไปลองของบนยอดเขา เป็นต้น[67]
ในปัจจุบัน ค่ายพระยาพิชัยดาบหักคงตั้งค่ายอยู่เพียงเชิงตีนเขาหญ้าวัว โดยไม่ได้ขึ้นไปสร้างสิ่งก่อสร้างถาวรใด ๆ บนยอดเขา ปล่อยให้เป็นพื้นที่ป่าธรรมชาติ[68]
เพลงประจำหมู่บ้าน
คุ้งตะเภารำลึก | |
ตัวอย่างบทเพลง คุ้งตะเภารำลึก |
อรุณรุ่งที่คุ้งตะเภา | |
ตัวอย่างบทเพลง อรุณรุ่งที่คุ้งตะเภา |
ชาวบ้านคุ้งตะเภาได้มีการจัดทำเพลงประจำหมู่บ้านขึ้น โดยมี นายวิเชียร ครุฑทอง ปราชญ์ชุมชนของตำบลคุ้งตะเภา เป็นผู้แต่งบทเพลง - ทำนองเพลง รวมทั้งเป็นผู้ขับร้อง ซึ่งได้มีการบันทึกเสียงดนตรีที่ห้องบันทึกเสียงคณะดนตรีวง "ไทไท" ในปี พ.ศ. 2547
เพลงที่นายวิเชียร ครุฑทอง แต่งขึ้นมี 2 บทเพลง ทั้งสองเพลงเป็นเพลงขับร้องแบบลูกทุ่ง โดยมีชื่อตามลำดับดังนี้
- "เพลงคุ้งตะเภารำลึก" มีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านคุ้งตะเภา
- "เพลงอรุณรุ่งที่คุ้งตะเภา" มีเนื้อหาเกี่ยวกับการพัฒนาหมู่บ้านคุ้งตะเภาในปัจจุบัน
ปัจจุบันทั้งสองเพลงได้มีการเปิดบรรเลงตาม "เสียงตามสาย" ของหมู่บ้านคุ้งตะเภา ก่อนการประชาสัมพันธ์กิจกรรมของหมู่บ้าน เป็นเพลงที่คุ้นหู และเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งของหมู่บ้านคุ้งตะเภามาจนปัจจุบัน[9]
สวนสาธารณะหาดน้ำน่าน หมู่บ้านคุ้งตะเภา
สวนสาธารณะหาดน้ำน่าน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่านทางด้านเหนือสุดของหมู่บ้านคุ้งตะเภา ติดกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 เดิมบริเวณที่แห่งนี้เป็นหาดแม่น้ำกว้างสวยงาม เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชุมชนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 ในปี พ.ศ. 2545 องค์การบริหารส่วนตำบลคุ้งตะเภา โดยการนำของนายเอกสิทธิ์ พรหมน้อย นายกองค์การบริหารส่วนตำบลคุ้งตะเภา ได้ขอรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลในการปรับปรุงภูมิทัศน์และก่อสร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ มีการจัดระเบียบร้านค้า จัดสร้างกำแพงกั้นและมีการจัดเก็บเงินค้าบำรุงสำหรับประชาชนที่มาพักผ่อนในช่วงเทศกาลสำคัญ รวมทั้งมีการฟื้นฟูกิจกรรมประเพณีต่าง ๆ เช่น ประเพณีลอยกระทง ประเพณีสงกรานต์ รดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ ประเพณีเทศน์มหาชาติ เป็นต้น [69]
ด้วยความสวยงามของภูมิทัศน์และความสะดวกสะบายในการเดินทาง ปัจจุบัน สวนสาธารณะหาดน้ำน่านได้รับความสนใจจากประชาชนมาพักผ่อนหย่อนใจและออกกำลังกายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลสำคัญ ๆ ต่าง ๆ เช่น เทศกาลสงกรานต์ เทศกาลลอยกระทง
เชิงอรรถ
หมายเหตุ 1: นายแจ้ง เลิศวิลัย เป็นผู้พบกลองมโหระทึกสมัยก่อนประวัติศาสตร์ดังกล่าว โดยได้ขุดพบที่ตำบลท่าเสา อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ ในปี พ.ศ. 2470 และได้ส่งมอบให้แก่ทางราชการ ปัจจุบันกลองมโหระทึกดังกล่าวตั้งแสดงอยู่ในพระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพมหานคร[20]
หมายเหตุ 2: ลาวในที่นี้ไม่ได้หมายเฉพาะอาณาจักรที่ตั้งอยู่ในดินแดนลาวปัจจุบันเท่านั้น แต่หากยังรวมถึงดินแดนล้านนาในปัจจุบันด้วย [70]
หมายเหตุ 3: ตามความในมาตรา 14 แห่ง พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2551 ความว่า "ผู้ใหญ่บ้านต้องพ้นจากตำแหน่งด้วย... (1) มีอายุครบหกสิบปี..."[43]
อ้างอิง
- ↑ ข้อมูลรายชื่อผู้ใหญ่บ้านจาก เว็บไซด์กรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
- ↑ 2.0 2.1 โปสเตอร์สรุป ข้อมูลหมู่บ้านและปัญหาความต้องการของประชาชน บ้านคุ้งตะเภา ประจำปี 2547 (ข้อมูล จปฐ.) .จาก คณะกรรมการอำนวยการงานพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในชนบท (พชช.) กรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
- ↑ ข้อมูลประชากร หมู่บ้านคุ้งตะเภา อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ (กันยายน 2550) .จาก สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศบอกล่วงหน้าจะแจกโฉนดสำหรับที่ดิน ในทุ่งบ้านวังหมู ตำบลวังหมู อำเภออุตรดิตถ์,ทุ่งบ้านป่าเซ่า ตำบลป่าเซ่า อำเภออุตรดิตถ์,ทุ่งบ้านคุ้งตะเภา ตำบลคุ้งตะเภา อำเภออุตรดิตถ์ แขวงเมืองพิชัย, เล่ม ๒๔, ๑๕ กันยายน รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๖, หน้า ๕๘๕
- ↑ พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถาน
- ↑ 6.0 6.1 6.2 Pallegoix, Jean Baptiste. (1854). Description du Royaume Thai ou Siam. Paris : Mission de Siam.
- ↑ 7.0 7.1 บุญช่วย เรืองคำ. (ม.ป.ป). พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นบ้านคุ้งตะเภาหมู่ที่ ๔. อุตรดิตถ์ : สำนักงานที่ทำการผู้ใหญ่บ้านคุ้งตะเภา. อัดสำเนา.
- ↑ ผ่องศรี วนาสิน. (2523). เมืองโบราณบริเวณชายฝั่งทะเลเดิมของที่ราบภาคกลางประเทศไทย :, การศึกษาตำแหน่งที่ตั้งและภูมิศาสตร์สัมพันธ์. กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพร่ผลงานวิจัย ภาควิชาภูมิศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 9.4 9.5 9.6 9.7 เทวประภาส มากคล้าย เปรียญ.. (2551). สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น : ประเพณีวัฒนธรรมและพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของวัดและหมู่บ้านคุ้งตะเภา. อุตรดิตถ์: วัดคุ้งตะเภา
- ↑ ขุนช้างขุนแผน ตอนที่ ๒๗ พลายงามอาสา
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศกระทรวงเกษตราธิการ ประกาศยกเลิกหนังสือสำคัญเดิมสำหรับที่ดิน ตำบลป่าคาย ตำบลน้ำอ่าง อำเภอตรอน ตำบลวังกะพี้ ตำบลวังหมู ตำบลป่าเซ่า ตำบลคุ้งตะเภา อำเภออุตรดิตถ์ แขวงเมืองพิชัย, เล่ม ๒๔, ตอน ๓๕, ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๐, หน้า ๘๙๓
- ↑ ความเป็นมาของชื่อคุ้งตะเภา จากประวัติวัดคุ้งตะเภา ในวิกิซอร์ซ
- ↑ พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. (2545). ศาสนาการเมืองในประวัติศาสตร์สุโขทัย-อยุธยา. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน.
- ↑ ชิน อยู่ดี และสุด แสงวิเชียร. (2517). อดีต. กรุงเทพฯ : ฝ่ายวิชาการนักศึกษา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. หน้า 170-171
- ↑ Karl Doehring. (1920). The Country and People of Siam. London : White Lotus Co Ltd. ISBN 978-9748434872
- ↑ พระวิภาคภูวดล (เจมส์ ฟีตซรอย แมกคาร์ธี). (2533). บันทึกการสำรวจและบุกเบิกในแดนสยาม. กรุงเทพฯ : สโมสรนายทหาร กรมแผนที่ทหาร
- ↑ ขอม - เขมร - กัมพูชา ... เป็นเรื่องแล้ว ขอม คือไทย ไม่ใช่เขมร. เว็บไซต์ oknation. [ออน-ไลน์]. เข้าถึงข้อมูลได้จาก [1]. เข้าถึงข้อมูลเมื่อ 25-8-52
- ↑ วิบูลย์ บูรณารมย์. (2540). ตำนานเมืองอุตรดิษฐ์. พิมพ์ครั้งที่ 2. อุตรดิตถ์ : โรงพิมพ์พี.ออฟเซ็ทอาร์ท.
- ↑ ศิลาจารึกวัดป่ามะม่วง. (2521). ประชุมศิลาจารึก ภาคที่ ๑. กรุงเทพฯ : คณะกรรมการพิจารณาและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี.
- ↑ 20.0 20.1 หวน พินพันธุ์, ผศ.. (2529). ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาคจังหวัดอุตรดิตถ์. กรุงเทพฯ : กระทรวงมหาดไทย.
- ↑ 21.0 21.1 21.2 ชุนนุมพระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เรื่อง "แผ่นดินทอง แผ่นดินพระร่วง" คนไทยในสมัยสุโขทัย
- ↑ พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. (2535). หนังสืออนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ แม่บุญมี เจียจันทร์พงษ์. (ม.ป.ท.). หน้า 104
- ↑ __________. (2543). วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดอุตรดิตถ์. กรุงเทพฯ : กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กรมศิลปากร. หน้า 104.
- ↑ น้อย มากคล้าย และผิว มากคล้าย (มีกล่ำ) เป็นผู้ให้สัมภาษณ์, มานะ มากคล้าย เป็นผู้สัมภาษณ์, ที่บ้านเลขที่ 229 บ้านคุ้งตะเภา ตำบลคุ้งตะเภา อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อ 13 เมษายน 2541.
- ↑ กรมตำรากระทรวงธรรมการ. (2472). พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี แผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาที่ ๔ (พระเจ้าตากสิน) จุลศักราช ๑๑๒๘-๑๑๔๔. พิมพ์ครั้งที่ ๔. พระนคร : โรงพิมพ์กรมตำรากระทรวงพระธรรมการ. หน้า ๗๖-๘๑.
- ↑ พระอู๋ ปญฺญาวชิโร (แสงสิน) เป็นผู้ให้สัมภาษณ์, เทวประภาส มากคล้าย เป็นผู้สัมภาษณ์, ที่วัดคุ้งตะเภา อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อ 19 สิงหาคม 2549.
- ↑ คณะทำงานโครงการอุตรดิตถ์เมืองน่าอยู่. (2545). อุตรดิตถ์...ที่เป็นมา. กรุงเทพฯ : สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน).
- ↑ พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. (2530). วัดใหญ่ท่าเสา : รายงานการสำรวจและแนวทางการสงวนรักษาอาคารที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และสถาปัตยกรรม. กรุงเทพฯ : กองโบราณคดี กรมศิลปากร. ถ่ายเอกสาร.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, เรื่องตั้งตำบลในจังหวัดต่าง ๆ, เล่ม ๖๔, ตอน ๔๖, ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๐, หน้า ๒๕๑๖
- ↑ นุชนารถ พรมลัภ. (2545). การประเมินโครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง : กรณีศึกษาบ้านป่าขนุน หมู่ที่ 3 ตำบลคุ้งตะเภา อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์. สารนิพนธ์ ป.กศ. (หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาการจัดการและการประเมินโครงการ). อุตรดิตถ์ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฎอุตรดิตถ์. อัดสำเนา
- ↑ หน่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมศิลปกรรมท้องถิ่นจังหวัดอุตรดิตถ์. (2530). สถาปัตยกรรมในเมืองจังหวัดอุตรดิตถ์. กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ. หน้า 24-26
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, รายนามพระสงฆ์สามเณร ที่สอบไล่ได้ รัตนโกสินทรศก ๑๒๙ ซึ่งได้รับพระราชทานพัดเปรียญ [2], เล่ม ๒๘, ๑๔ มกราคม ร.ศ.๑๓๐, หน้า ๒๒๔๕
- ↑ มณเฑียร ดีแท้. (2523). มรดกทางวัฒนธรรมของจังหวัดอุตรดิตถ์. กรุงเทพฯ: วิเทศธุรกิจการพิมพ์. หน้า 56
- ↑ 34.0 34.1 34.2 34.3 ธนวรรณ ฮองกุล. (2545). การประเมินโครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง : กรณีศึกษาบ้านคุ้งตะเภา หมู่ที่ 4 ตำบลคุ้งตะเภา อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์. สารนิพนธ์ ป.กศ. (หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาการจัดการและการประเมินโครงการ). อุตรดิตถ์ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฎอุตรดิตถ์. อัดสำเนา
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชกฤษฎีกา กำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดิน สายอินทร์บุรี-บ้านหมี่-ตากฟ้า-ท่าตะโก-บ้านเขาทราย-วังทอง-อุตรดิตถ์-แพร่-ลำปาง-เชียงใหม่ ตอนพิษณุโลก-เด่นชัย พ.ศ. ๒๕๒๑, เล่ม ๙๕ ตอนที่ ๓๐, ๑๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๑, ฉบับพิเศษ หน้า ๔๔
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตที่ดินในท้องที่อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๒๖, เล่ม ๑๐๐ ตอนที่ ๑๓๕, ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๖, ฉบับพิเศษ หน้า ๓๑
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลขุนฝาง ตำบลบ้านด่านนาขาม ตำบลคุ้งตะเภา ตำบลผาจุก ตำบลป่าเซ่า และตำบลหาดกรวด อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๕๔, เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๘๕ ก, ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๔, หน้า ๑๓
- ↑ ประวัติสาธารณูปโภค จังหวัดอุตรดิตถ์ จาก เว็บไซด์รักษ์บ้านเกิด.คอม
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, เรื่องตั้งตำบลในจังหวัดต่าง ๆ, เล่ม ๖๔, ตอน ๔๖, ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๐, หน้า ๒๕๑๖
- ↑ 40.0 40.1 ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๒๗ เล่ม ๑๐๑, ตอนที่ ๑๑๒ ก ฉบับพิเศษ, ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๗, หน้า ๑
- ↑ 41.0 41.1 41.2 ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๓๕ เล่ม ๑๐๙, ตอนที่ ๔๒ ก ฉบับพิเศษ, ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๕, หน้า ๙๐
- ↑ 42.0 42.1 42.2 ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๕๔๒ (แก้ไขอายุของผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านเป็นไม่ต่ำกว่า ๑๘ ปี แก้ไขคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ว่าที่ผู้ใหญ่บ้าน และกรรมการหมู่บ้าน ฯ ตลอดจน ปรับปรุงหลักเกณฑ์การออกจากตำแหน่งของผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และกรรมการหมู่บ้าน และเพิ่มเติมให้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านออกจากตำแหน่งเมื่อผู้ใหญ่บ้านต้องออกจาก ตำแหน่ง) เล่ม ๑๑๖, ตอนที่ ๗๐ ก, ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๒, หน้า ๑
- ↑ 43.0 43.1 43.2 ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ เล่ม ๑๒๕, ตอนที่ ๒๗ ก, ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑๕ , หน้า ๙๖
- ↑ สำนักส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน กรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. แบบรายงาน ส.ว.ช.01_2. [ออนไลน์]. เข้าถึงข้อมูลได้จาก [3]. เข้าถึงข้อมูลเมื่อ 28-6-52
- ↑ เกษตรจังหวัดอุตรดิตถ์. กลุ่มเกษตรกรในจังหวัดอุตรดิตถ์. [ออนไลน์]. เข้าถึงข้อมูลได้จาก [4]. เข้าถึงข้อมูลเมื่อ 28-6-52
- ↑ ศูนย์สารสนเทศ กรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. ทะเบียนกลุ่มเกษตรกรในประเทศไทย รายงานแบ่งตามเขตตรวจราชการ จังหวัดอุตรดิตถ์. [ออนไลน์]. เข้าถึงข้อมูลได้จาก [5]. เข้าถึงข้อมูลเมื่อ 28-6-52
- ↑ ประวัติวัดคุ้งตะเภา : ศาลาการเปรียญวัดคุ้งตะเภา จาก วิกิซอร์ซ
- ↑ ศูนย์บริหารจัดการฐานข้อมูลสุขภาพระดับปฐมภูมิ สำนักนโนบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. (2551). รายละเอียดสถานพยาบาลสถานีอนามัยตำบลคุ้งตะเภา. [ออน-ไลน์]. แหล่งข้อมูล http://healthcaredata.moph.go.th/regis/serviceplacedetail.php?provincecode=53&off_id=06254
- ↑ โครงการจัดตั้งศูนย์สมุนไพรตำบลคุ้งตะเภา. [ออน-ไลน์]. (2550)./แหล่งที่มา : http://tobt.nhso.go.th/report/admin_report/admin_report3_5.php?
- ↑ พื้นเพคนคุ้งตะเภา จาก ประวัติวัดคุ้งตะเภา ในวิกิซอร์ซ
- ↑ 51.0 51.1 51.2 ชาติชาย มุกสง. (2543). อุตรดิตถ์-ภูมิประเทศและการท่องเที่ยว. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา.
- ↑ เว็บไซค์รถทัวร์ไทย. บริษัทรถทัวร์ที่ให้บริการเส้นทางมากกว่า 1 ภาคในประเทศไทย. [ออน-ไลน์]. เข้าถึงแหล่งข้อมูลได้จาก [6]. เข้าถึงเมื่อ 24-8-52
- ↑ ผลสอบธรรมศึกษาจังหวัดอุตรดิตถ์. สำนักงานแม่กองธรรมสนามหลวง : แผนกสถิติ-ข้อมูล
- ↑ มูลนิธิสร้างคุณค่าชีวิตเด็กและเยาวชน. (2554). เกี่ยวกับมูลนิธิ. [ออน-ไลน์]. เข้าถึงแหล่งข้อมูลได้จาก : http://www.vfckids.com/index.php
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศนายทะเบียนมูลนิธิจังหวัดอุตรดิตถ์ เรื่อง จดทะเบียนจัดตั้ง "มูลนิธิสร้างคุณค่าชีวิตเด็กและเยาวชน", เล่ม ๑๒๗ ตอน ๔๗ ง, ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓, หน้า ๑๒๔
- ↑ สถาบันพระบรมราชชนก. (2554). สารสัมพันธ์สถาบันพระบรมราชชนก ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2554. [ออน-ไลน์]. เข้าถึงแหล่งข้อมูลได้จาก : http://www.pi.ac.th/includes/download.php?id=2189
- ↑ จรูญ พรหมน้อย, พระมหา. (2545). เอกสารฉลองวัดป่ากล้วยครบ ๑๕๐ ปี คืนสู่เหย้า ชาวบ้านป่ากล้วย. อุตรดิตถ์ : องค์การบริหารส่วนตำบลคุ้งตะเภา.
- ↑ ศิลปวัฒนธรรมไทย เล่มที่ 3 ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมกรุงรัตนโกสินทร์ เรื่อง เปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่ (น.131 132)
- ↑ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดอุตรดิตถ์. (2553). บันทึกการค้นคว้าวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นจากปราชญ์พื้นบ้านและภูมิปัญญาของแผ่นดินจังหวัดอุตรดิตถ์ประจำปีงบประมาณ 2553. อุตรดิตถ์ : พีออฟเซ็ตอาร์ต. หน้า 25
- ↑ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. เอกสารการสอนชุดวิชาความเชื่อและศาสนาในสังคมไทย :สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช พ.ศ. 2532
- ↑ พระเดือนชัย แก้วแก้ว เป็นผู้ให้สัมภาษณ์, เทวประภาส มากคล้าย เป็นผู้สัมภาษณ์, ที่วัดคุ้งตะเภา อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อ 19 สิงหาคม 2549.
- ↑ พระอธิการธง ฐิติธมฺโม (พระครูประดิษฐ์ธรรมธัช) เป็นผู้ให้สัมภาษณ์, เทวประภาส มากคล้าย เป็นผู้สัมภาษณ์, ที่กุฎิสงฆ์วัดคุ้งตะเภา บ้านคุ้งตะเภา อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อ 13 เมษายน 2550.
- ↑ วิชลักษณ์ จั่นจีน เป็นผู้ให้สัมภาษณ์, เทวประภาส มากคล้าย เป็นผู้สัมภาษณ์, ที่ริมฝั่งแม่น้ำน่าน สำนักปฏิบัติธรรมตระกูลธรรมะ บ้านคุ้งตะเภา อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อ 31 กรกฎาคม 2550.
- ↑ 64.0 64.1 พระสมุห์สมชาย จีรปุญฺโญ เป็นผู้ให้สัมภาษณ์, เทวประภาส มากคล้าย เป็นผู้สัมภาษณ์, ที่วัดคุ้งตะเภา บ้านคุ้งตะเภา อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อ 19 สิงหาคม 2550.
- ↑ พระทองเพียร อุปสนฺโต (รวยอบกลิ่น) เป็นผู้ให้สัมภาษณ์, เทวประภาส มากคล้าย เป็นผู้สัมภาษณ์, ที่วัดคุ้งตะเภา บ้านคุ้งตะเภา อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อ 20 มกราคม 2551.
- ↑ พระสมุห์สมชาย จีรปุญฺโญ เป็นผู้ให้สัมภาษณ์, เทวประภาส มากคล้าย เป็นผู้สัมภาษณ์, ที่วัดคุ้งตะเภา บ้านคุ้งตะเภา อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อ 20 มกราคม 2551.
- ↑ จ่าสิบเอกบุญเลี่ยม แสงวิจิตร เป็นผู้ให้สัมภาษณ์, เทวประภาส มากคล้าย เป็นผู้สัมภาษณ์, ที่ศาลาการเปรียญวัดคุ้งตะเภา บ้านคุ้งตะเภา อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อ 2 พฤษภาคม 2552.
- ↑ พันเอกสิงหนาท โพธิ์กล่ำ เป็นผู้ให้สัมภาษณ์, เทวประภาส มากคล้าย เป็นผู้สัมภาษณ์, ที่บ้านเลขที่ 196 หมู่ 4 บ้านคุ้งตะเภา อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อ 3 พฤษภาคม 2552.
- ↑ คืนชีวิต "หาดน้ำน่าน" ผลงานชุมชน-อ.บ.ต.คุ้งตะเภา.เว็บไซต์กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
- ↑ จิตร ภูมิศักดิ์. (2544). ความเป็นมาของคำ สยาม ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ศยาม
หนังสืออ่านเพิ่มเติม
- เทวประภาส มากคล้าย. (2553). คุ้งตะเภา จากอดีตสู่ปัจจุบัน : พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ประเพณีวัฒนธรรม ความเชื่อ และภูมิปัญญาท้องถิ่น. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ISBN 9789743648847
- ธนวรรณ ฮองกุล. (2545). การประเมินโครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง : กรณีศึกษาบ้านคุ้งตะเภา หมู่ที่ 4 ตำบลคุ้งตะเภา อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์. สารนิพนธ์ ป.กศ. (หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาการจัดการและการประเมินโครงการ). อุตรดิตถ์ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฎอุตรดิตถ์. อัดสำเนา
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
- เว็บไซด์วัดคุ้งตะเภา. วัดประจำหมู่บ้านคุ้งตะเภา
- แผนที่และภาพถ่ายทางอากาศของ หมู่บ้านคุ้งตะเภา
- ภาพถ่ายดาวเทียมจากวิกิแมเปีย หรือกูเกิลแมปส์
- แผนที่จากลองดูแมป หรือเฮียวีโก
- ภาพถ่ายทางอากาศจากเทอร์ราเซิร์ฟเวอร์