อำเภอสิชล

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อำเภอสิชล
การถอดเสียงอักษรโรมัน
 • อักษรโรมันAmphoe Sichon
วัดเจดีย์
คำขวัญ: 
สิชลเมืองโบราณ ถ้ำพิสดาร ธารสะอาด
หาดหินงาม น้ำตกสวย รวยทรัพยากร
แผนที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เน้นอำเภอสิชล
แผนที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เน้นอำเภอสิชล
พิกัด: 9°0′24″N 99°54′6″E / 9.00667°N 99.90167°E / 9.00667; 99.90167
ประเทศ ไทย
จังหวัดนครศรีธรรมราช
พื้นที่
 • ทั้งหมด703.1 ตร.กม. (271.5 ตร.ไมล์)
ประชากร
 (2565)
 • ทั้งหมด81,652 คน
 • ความหนาแน่น116.13 คน/ตร.กม. (300.8 คน/ตร.ไมล์)
รหัสไปรษณีย์ 80120, 80340 (เฉพาะตำบลเสาเภา ตำบลเทพราชและตำบลเปลี่ยน)
รหัสภูมิศาสตร์8014
ที่ตั้งที่ว่าการที่ว่าการอำเภอสิชล หมู่ที่ 10 ถนนนครศรีธรรมราช-สุราษฎร์ธานี ตำบล
ทุ่งปรัง อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช 80120
สารานุกรมประเทศไทย ส่วนหนึ่งของสารานุกรมประเทศไทย

สิชล เป็นอำเภอหนึ่งอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดนครศรีธรรมราช มีพื้นที่ 703.105 ตารางกิโลเมตร อยู่ห่างจากอำเภอเมืองนครศรีธรรมราชไปทางทิศเหนือตามแนวทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 401 ราว 61 กิโลเมตร ได้รับการจัดตั้งขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. 116 เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2440

เขาคอกวาง ตำบลสิชล

ที่ตั้งและอาณาเขต[แก้]

อำเภอสิชลตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้

นิรุกติศาสตร์[แก้]

คำว่า สิชล มีความหมายว่า น้ำดี ตามที่ปรากฏในตำนานเมืองนครศรีธรรมราชดังกล่าว ทั้งยังปรากฏในพระราชพิธีตรุศ (ตรุษ) เมื่อรัชสมัยรัชกาลที่ 4 ว่า “สุชล” ในประกาศพระราชพิธีตรุษรัชกาลที่ 5 ว่า “สีชล” ซึ่งปรากฏชื่อสถานที่ใกล้เคียง คือ กระนพพิตำอลอง, กลายและขนอม ในประกาศพระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์รัชกาลที่ 6 เป็น “สีชล” เช่นเดียวกับในสมัยรัชกาลที่ 5 สรุปได้ว่าในสมัยอยุธยาเรียกว่า “ตระชน” ก็มี”ศรีชน”ก็มี การที่เปลี่ยนจาก “สุชล”เป็น “สิชล” มีคำบอกเล่ากระแสหนึ่งว่า เกิดขึ้นเมื่อครั้งพระรัตนธัชมุนี (ม่วง) เจ้าคณะมณฑลนครศรีธรรมราชไปตรวจราชการที่สุชลเห็นความสมบูรณ์ของน้ำและน้ำใสจืดสนิท จึงเปลี่ยนชื่อจาก “สุชล” เป็น “สิชล” เมื่อ ร.ศ.116 (พ.ศ. 2440) ซึ่งเป็นลักษณะพื้นที่ทั่วไปของเมืองนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะเขตอำเภอเมือง อำเภอท่าศาลา อำเภอสิชลและอำเภอขนอม จากข้อความในวรรณกรรมท้องถิ่นเรื่อง พระนิพพานโสตร หรือ ตำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช (ฉบับกลอนสวด) ดังนี้

"เห็นดีที่ภูมิชัย

ราบเสมอไปในที่ฐาน"

"นัยน์ตาข้าพเจ้านี้

ตั้งบุรีเห็นได้การ

ห้วยหนองคลองชลธาร

เห็นวิตถารงามหนักหนา"



ทั้งจาก "กลอนกาพย์เรื่องเสด็จเมืองนครศรีธรรมราช" ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ได้กล่าวถึงเมืองนครศรีธรรมราชไว้ว่า



"อีกอย่างหนึ่งนั้น น้ำใช้น้ำฉัน

เหมือนน้ำธารเขา ใสเย็นดีนัก

ไม่เหมือนบ้านเรา บ่อน้ำของเขา

ไม่เปื้อนโคลนเลน"

"กินน้ำใสสะอาด คนจึงฉลาด

ไม่โง่ถมเถร ว่องไวไหวพริบ

งานการจัดเจน ทำใดไม่เถร

การช่างงามตา"

ประวัติศาสตร์[แก้]

ยุคหินกลาง (10,000 - 4,000 ปี)[แก้]

ภาพแสดงชายฝั่งในอดีตทางภาคใต้ของประเทศไทย

การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์มีความสัมพันธ์โดยตรงกับสภาพทางภูมิประเทศของพื้นที่อำเภอสิชล ซึ่งเป็นพื้นที่ราบชายฝั่งตะวันออกและมีภูเขาทางทิศตะวันตก จึงอยู่ในเส้นทางของกระแสวัฒนธรรมการอพยพเคลื่อนย้ายของกลุ่มคนและใช้พื้นที่เป็นที่อยู่อาศัย โดยจากการสำรวจขุดค้นได้พบหลักฐานสมัยแรกๆ เกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานของชุมชนโบราณในป่าเขาก่อนพื้นที่ราบชายฝั่งทะเล เช่น อำเภอช้างกลาง และ ถ้ำเขาหลักอำเภอสิชล

ถ้ำเขาหลัก[แก้]

ถ้ำเขาหลัก ตั้งอยู่บ้านเขาหลัก อำเภอสิชล โดยมีการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีที่บ่งชี้ถึงการดำรงชีพของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ในพื้นที่ อาทิเช่น เครื่องมือหินกะเทาะสองหน้า ลักษณะเป็นขวานสั้นมีรอยกะเทาะหยาบๆ ทำจากหินควอร์ตไซต์จำนวน 1 ชิ้น, ชิ้นส่วนครกดินเผ่า, หม้อก้นกลม 1 ชิ้น, หม้อก้นแบน 3 ชิ้นและกระดูกสัตว์ประเภทลิง 2 ชิ้น ทำให้สามารถสันนิษฐานได้ว่า ถ้ำแห่งนี้มีมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์อยู่อาศัยหรือทำกิจกรรมบางอย่าง แต่ไม่สามารถกำหนดอายุได้ชัดเจน เนื่องจากเป็นการพบบนผิวดิน ซึ่งพื้นที่ภายในถ้ำส่วนใหญ่ถูกขุดทำลาย

ยุคหินใหม่ (4,000 - 2,000 ปี)[แก้]

มีการค้นพบโบราณวัตถุอาทิเช่น ขวานหินขัดและภาชนะดินเผาประเภทหม้อสามขา ซึ่งส่วนใหญ่มักพบบริเวณถ้ำหรือเพิงผา อาทิบริเวณถ้ำเขาพรง ตำบลทุ่งปรัง, พื้นที่ราบเชิงเขาคา, พื้นที่ราบบริเวณเชิงเขาตลอดแนวตำบลเปลี่ยน ตำบลเทพราช ตำบลฉลองและตำบลเขาน้อย ซึ่งมีการค้นพบขวานหินขัดรูปสี่เหลี่ยมคางหมู และบริเวณบ้านสำนักเนียน ตำบลเขาน้อย ที่มีการค้นพบหินทุบรูปทรงกลมด้านหนึ่งโค้งมน ด้านหนึ่งตัดเสมอพื้นแต่งเป็นลายข้าวหลามตัด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการกระจายตัวของชุนโบราณที่ส่วนใหญ่ยังอาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่ป่าเขาตอนใน ซึ่งมีแหล่งอาหารอุดมสมบูรณ์กว่า

ขวานหินขัดในยุคหินใหม่พบบริเวณที่ราบเชิงเขาคา ตำบลเสาเภา

ยุคโลหะ (2,000 - 1,500 ปี)[แก้]

ชุมชนโบราณในยุคหินใหม่ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงราวพุทธศตวรรษที่ 5 - 6 เป็นช่วงที่ได้รับเอาอารยธรรมสมัยประวัติศาสตร์จากดินแดนภายนอกทั้งจีน เวียดนาม อินเดียและอาหรับ เข้าสู่ชุมชนทำให้ชุมชนพื้นเมืองเดิมเปลี่ยนแปลงไปสู่ลักษณะของชุมชนใหม่ พบเครื่องมือเครื่องใช้ที่เป็นโลหะ ในส่วนของการตั้งถิ่นฐานก็มีการรวมกลุ่มเป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีการจัดระเบียบชุมชนแตกต่างจากเดิม

ชิ้นส่วนหน้าของกลองมโหระทึก ค้นพบบริเวณบ้านเขายวนเฒ่า อำเภอสิชล

หลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญแสดงให้เห็นถึงการรับเอาวัฒนธรรมและความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมในอดีต เช่น การขุดค้นพบชิ้นส่วนของกลองมโหระทึกในพื้นที่ของอำเภอสิชลและจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยบริเวณที่พบอันได้แก่ บริเวณแหล่งโบราณคดีบ้านเกียกกาย อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช, แหล่งโบราณคดีบ้านคุดด้วง อำเภอฉวางและแหล่งโบราณคดีบ้านเขายวนเฒ่า อำเภอสิชล โดยชิ้นส่วนของกลองมโหระทึกที่พบในบริเวณแหล่งโบราณคดีบ้านเขายวนเฒ่า เป็นชิ้นส่วนของหน้ากลอง มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 52 เซนติเมตร ตรงกลางมีลวดลายเป็นดวงอาทิตย์สาดแสงสิบแฉก หน้ากลองเป็นรูปนกปากและหางยาว 4 ตัว กำหนดอายุได้ราว 2,000 - 1,500 ปี โดยคาดว่าผลิตขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 200 - 300

สมัยประวัติศาสตร์[แก้]

ประวัติศาสตร์ยุคเริ่มแรก[แก้]

สิชลเป็นส่วนหนึ่งของภาคใต้ได้พัฒนาเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ราวพุทธศตวรรษที่ 5 - 6 หรือประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างยุคโลหะและยุคประวัติศาสตร์ ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมในช่วงนี้ได้รับมาจากดินแดนอื่น เทคโนโลยีก้าวหน้ากว่าในลักษณะเมืองท่าทางการค้า ส่วนใหญ่เป็นชุมชนบนสันทรายริมเส้นทางสายน้ำที่มีทางออกสู่ทะเล โดยมีแหล่งโบราณคดีที่สำคัญในทางประวัติศาสตร์ของอำเภอสิชล ได้แก่

  • แหล่งโบราณคดีบ้านเขายวนเฒ่า ตำบลเทพราช มีการค้นพบกลองมโหระทึกและโบราณวัตถุอื่นๆ ในบริเวณนี้
  • แหล่งโบราณคดีสระสี่มุม ตำบลสิชล มีการค้นพบสำริดจีน
  • แหล่งโบราณคดีจอมทอง ตำบลสิชล มีการค้นพบพระพุทธรูปที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 10 - 11
  • แหล่งโบราณคดีบ้านสระกูด ตำบลฉลอง พบศิวลึงค์และฐานโยนี

ประวัติศาสตร์ยุคต้น (อาณาจักรตามพรลิงก์)[แก้]

พื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ถือเป็นการเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์แท้จริงในพุทธศตวรรษที่ 12 โดยพบจารึกอักษรอินเดียโบราณหลายหลักในพื้นที่จังหวัด เช่น ศิลาจารึกหุบเขาช่องคอย อำเภอจุฬาภรณ์, ศิลาจารึกวัดมเหยงคณ์ อำเภอเมือง ศิลาจารึกวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อำเภอเมือง และสิชลก็ได้ถือยุคเดียวกันตามลักษณะของพื้นที่ร่วมวัฒนธรรม

กลุ่มชุมชนผู้นับถือศาสนาพราหมณ์ (พุทธศตวรรษที่ 11 - 16)[แก้]

หลักฐานที่แสดงถึงชุมชนโบราณสมัยประวัติศาสตร์ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 ต่อเนื่องมาถึงพุทธศตวรรษที่ 18 สิชลเป็นพื้นที่ที่มีหลักฐานการตั้งถิ่นฐานจำนวนมากที่สุดในจังหวัดนครศรีธรรมราช ครอบคลุมตามแนวสันทรายใน โดยเฉพาะแนวสายน้ำที่ไหลมาจากภูเขาด้านตะวันตกผ่านสันทรายไปออกทะเลอ่าวไทยที่สำคัญ เช่น

1. กลุ่มชุมชนโบราณคลองท่าเรือรี ได้แก่ แหล่งโบราณคดีในแนวเส้นทางคลองท่าเรือรี เช่น ชุมชนบ้านจอมทอง บ้านเขาเหล็กและวัดนาขอม เป็นต้น

2. กลุ่มชุมชนโบราณของท่าควาย ได้แก่ แหล่งโบราณคดีในแนวเส้นทางคลองท่าควาย เช่น บ้านท่าควาย บ้านไสสับ และบ้านตีน เป็นต้น

3. กลุ่มชุมชนโบราณคลองท่าเชี่ยว ได้แก่ แหล่งโบราณคดีในแนวเส้นทางคลองท่าเชี่ยว เช่น วัดเบิก บ้านนาหันและบ้านหัวทอน เป็นต้น

4. กลุ่มชุมชนโบราณคลองท่าทน ได้แก่ แหล่งโบราณคดีในแนวเส้นทางคลองท่าทน เช่น เขาคา บ้านต่อเรือและบ้านพังกำ เป็นต้น

5. กลุ่มชุมชนโบราณคลองท่าหิน ได้แก่ แหล่งโบราณคดีในแนวเส้นทางคลองท่าหิน เช่น บ้านสีสา บ้านวังปรางและบ้านเขาทราย เป็นต้น

กลุ่มชุมชนโบราณตามสายน้ำทั้ง 5 กลุ่มนี้แสดงหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของชุมชนสมัยประวัติศาสตร์ช่วงต้นมีโบราณวัตถุที่แสดงถึงการรับวัฒนธรรมมาจากอินเดีย มีศาสนสถานประจำชุมชนซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นศาสนาพราหมณ์ ทั้งลัทธิไศวนิกายและไวษณพนิกาย โดยเฉพาะเขาคา ถือว่าเป็นศูนย์กลางของลัทธิไศวนิกาย นักวิชาการได้ถือว่าเขาคาเป็นศูนย์กลางของไศวมณฑล ส่วนลัทธิไวษณพนิกายก็พบทั่วไป โดยเฉพาะแหล่งโบราณคดีวัดจอมทองและแหล่งโบราณคดีบ้านพังกำ

กลุ่มชุมชนผู้นับถือศาสนาพุทธ (พุทธศตวรรษที่ 12 - 18)[แก้]

นอกจากแหล่งโบราณคดีในศาสนาพราหมณ์แล้ว ในสมัยนี้ยังพบแหล่งโบราณคดีในศาสนาพุทธหลายแห่งที่สำคัญ คือ แหล่งโบราณคดีวัดจอมทอง วัดนาขอมและวัดเขาพนมไตย เป็นต้น หลักฐานที่สำคัญ เช่น เศียรพระพุทธรูปที่มีอายุในพุทธศตวรรษที่ 12 - 13 พระพุทธรูปที่วัดจอมทองที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 12

ประวัติศาสตร์ยุคกลาง (รัฐนครศรีธรรมราช)[แก้]

ช่วงพุทธศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมาเป็นช่วงที่นครศรีธรรมราชมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดภายใต้การปกครองของราชวงศ์ศรีธรรมโศกราช พื้นที่เป็นศูนย์กลางการค้าอันสำคัญของคาบสมุทรไทย เป็นจุดพักถ่ายซื้อขายสินค้าระหว่างตะวันออกกับตะวันตกและเป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาในภาคใต้ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุบนหาดทรายแก้ว ความศรัทธาและความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นปัจจัยชักนำให้ผู้คนเดินทางมาจากทั่วทิศเข้ามาตั้งถิ่นฐานอย่างหนาแน่น ราชวงศ์ศรีธรรมโศกราชสามารถจัดการปกครองหัวเมืองรายรอบ 12 เมืองเรียกว่า เมืองสิบสองนักษัตร พื้นที่อำเภอสิชลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเมืองนครศรีธรรมราชอยู่ในแนวชายทะเลที่ใกล้กัน อิทธิพลของศาสนาพุทธจึงแพร่กระจายมาเต็มพื้นที่ ปรากฏหลักฐานทั้งแนวสันทรายในและสันทรายกลางจำนวนมาก ปัจจุบันเป็นวัดร้างและวัดที่ตั้งใหม่บนพื้นที่วัดร้าง เช่น วัดจอมทอง วัดเจ้าหยุย (ร้าง) วัดขอยเตี้ย (ร้าง) วัดเขาพนมไตย วัดนาขอม (ร้าง) วัดถ้ำเทียนถวาย วัดเขาเกียด (ร้าง) วัดเขาพรง (ร้าง) วัดเขาน้อย วัดเบิก วัดพระโอน (ร้าง) วัดปากด่านและวัดนาแล เป็นต้น

สิชลยุคเมืองนครดอนพระ[แก้]

มีข้อความปรากฏในตำนานเมืองนครศรีธรรมราช สรุปได้ดังนี้

พระพนมวังพระราชโอรสของพระพนมทะเลศรี ผู้ครองเมืองเพชรบุรี ได้อภิเษกสมรสกับนางสะเดียงทอง ราชธิดาของกษัตริย์เมืองตรัยตรึง เมื่อประมาณพ.ศ. 1820 พระพนมทะเลศรีได้รับสั่งให้พระพนมวังกับนางสะเดียงทองออกมาพัฒนาเมืองนครดอนพระหรือนครศรีธรรมราช ความว่า

"ให้อยู่จงขาดมิให้โยกย้ายไปที่อื่น ให้ทำการหักป่าเป็นนา สร้างบ้านให้เป็นชุมนุมชน สร้างชุมนุมชนให้เป็นเมือง ขยายเขตตัวเมืองให้กว้างขวางออกไป เนื่องจากเกิดไข้ห่ายมบนลงทั้งเมืองนครดอนพระ ผู้คนล้มตายและทิ้งร้างเมืองให้เป็นป่ารังโรมอยู่ถึงนาน วัดวาอารามชำรุด ทรุดโทรมลงสิ้น"

เมื่อขบวนล่วงแดนไชยาเข้าเขตเมืองนครดอนพระ พระพนมวังก็ให้หยุดตั้งวังขึ้นที่บ้านจงสระหรือบ้านกงตาก อำเภอกาญจนดิษฐ์ ยังไม่เข้าตัวเมืองนครดอนพระเพราะขณะนั้นเป็นป่าร้างรังโรม ได้เบิกที่ป่าเป็นนา เช่น นาทุ่งเขน นาท่าทอง นาไชยคราม นากะนอม นาสะเพียง นาตระชน นากลางและนาอลอง พระพนมวังและนางสะเดียงทอง มีบุตรธิดา 3 คน คือ เจ้าศรีราชา เจ้าสนตราและเจ้ากุมาร เจ้าศรีราชาอยู่ตำบลถุหมดท่าทอง สร้างนาทุ่งเอน เจ้าสนตราแต่งกับไสอินทราชา ตั้งบ้านแถบทะเลตระนอม สร้างนาศรีชล สร้างนาสะเพียง นากระนอมและเมืองอลอง จากตำนานเมืองนครศรีธรรมราชแสดงให้เห็นว่า ราชวงศ์ศรีธรรมโศกราชปกครองเมืองนครศรีธรรมราชตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 เมื่อได้ 100 กว่าปีเกิดไข้ยมบน หรือ ไข้ห่า คนล้มตายมากมาย ที่เหลือก็หนีไปในป่าในเขา เหตุการณ์มาถึงสมัยต้นอยุธยา พระเจ้าอู่ทองได้มอบหมายให้เจ้าเมืองเพชรบุรีมาฟื้นเมืองนครศรีธรรมราช โดยเริ่มจากล่วงแดนไชยามาถึงอำเภอสิชล อำเภอขนอมในปัจจุบัน ปรากฏชื่อ เช่น ทะเลตระนอม (ทะเลขนอม) นากะนอม (นาขนอม) นาตระชน (นาสิชล) นากลาง เมืองอลอง (ฉลอง)

ยุทธภูมิสมัยพระเพทราชา พ.ศ 2235[แก้]

เมืองนครศรีธรรมราชเป็นกบฏต่อกรุงศรีอยุธยา เมื่อมีรับสั่งให้พระยารามเดโช เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชเข้าเฝ้าเพื่อแสดงความจงรักภักดี แต่พระยารามเดโชมิได้ปฏิบัติตามพระราชประสงค์กลับกระทำการกระด้างกระเดื่องแข็งเมืองอยู่ โดยอ้างเหตุผลที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า

"ใช่ว่าตัวเราจะเป็นกบฏต่อแผ่นดินหามิได้ เหตุว่าเราคิดกตัญญูในพระเจ้าอยู่หัวของเรา (หมายถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) ซึ่งเสด็จสวรรคตนั้นจึงมิได้เข้าไปอ่อนน้อมยอมตัวเป็นข้าผู้ประทุษร้ายแผ่นดิน"

ดังนั้น พระเพทราชาจึงสั่งให้พระยาสุรสงครามเป็นแม่ทัพหลวง พระสุรเสนาเป็นยกกระบัตร พระยาราชบุรีเป็นทัพหลัง พระยาราชวังสันเป็นนายกองเรือยกไประดมตีเอาเมืองนครศรีธรรมราช ใช้เวลาเกือบ 3 ปี จึงตีเมืองนครศรีธรรมราชได้ พื้นที่สมรภูมิตั้งค่ายรับของนครศรีธรรมราชทางบก เป็นบริเวณตอนเหนือของอำเภอสิชลตั้งแต่ปากน้ำสิชล บ้านนากลาง บ้านสระสี่มุมถึงบ้านทุ่งหัวนา ค่ายใหญ่อยู่บ้านเขาหัวช้าง สงครามครั้งนี้เป็นเหตุให้วัดวาอารามต่างๆ ร้างไปตลอดพื้นที่ ปัจจุบันพบหลักฐานการทำนาที่บ้านทุ่งหัวนา ปืนตั้งแท่นยิงที่วัดสระสี่มุม ส่วนทางทะเลก็เกิดยุทธภูมิตามค่ายต่างๆ ในพื้นที่สิชลรบที่บริเวณปากน้ำท่าหมาก ตำบลเสาเภา ก่อนที่จะเกิดยุทธนาวีอ่าวนคร สงครามครั้งนี้ถือได้ว่าสิชลเป็นสมรภูมิที่รุนแรงและใช้เวลานานที่สุด

ยุทธภูมิสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช พ.ศ 2312[แก้]

หลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าเมื่อปี พ.ศ 2310 เมืองนครศรีธรรมราชโดยปลัดหนูได้ตั้งตนเป็นเจ้านคร เรียกว่า ชุมนุมเจ้านคร สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเมื่อได้สถาปนาตนเป็นพระมหากษัตริย์ครองกรุงธนบุรี ได้ปราบชุมนุมต่างๆ ล่วงถึงปี พ.ศ 2312 ได้โปรดให้เจ้าพระยาจักรี (หมุด) เป็นแม่ทัพ มีพระยาอภัยรณฤทธิ์ (รัชกาลที่ 1) พระยายมราช (กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท) พระยาศรีพิพัฒน์เป็นแม่ทัพใหญ่ยกมาตีเมืองชุมพร เมืองไชยา เจ้าเมืองทั้งสองเห็นว่าพม่ายกมามากไม่สามารถจะสู้รบได้ จึงเทครัวเข้าป่าทิ้งเมืองเสีย พม่าก็เอาไฟเผาบ้านเมืองเสียทั้ง 2 เมืองแล้วยกมาตีนครศรีธรรมราช ขณะนั้นเจ้าพระยานครพัฒน์ แต่งทัพไปขัดตาทัพพม่าที่ท่าต่อแดน เมืองไชยา แต่พม่าได้คิดอุบายให้ชาวเมืองไชยาไปลวงว่ากรุงบางกอกเสียแก่พม่าแล้ว เมื่อความทราบถึงพระยานครเข้าใจว่าจริง จึงทิ้งเมืองเสียหนีไปอยู่นอกเขา แขวงอำเภอฉวาง พม่าจึงได้เมืองนครศรีธรรมราชและรวบรวมกองทัพไปตีเมืองพัทลุงและสงขลาต่อไป เหตุการณ์ครั้งนี้ชาวบ้านในอำเภอสิชลซึ่งเป็นทางผ่านของกองทัพพม่า ส่วนใหญ่ได้หนีไปซ่อนในป่าในเขามีหน่วยย่อยๆ สู้พม่ากองกำลังเล็กๆ บ้างแต่กำลังน้อยและเป็นชาวบ้านจึงพ่ายแพ้ในที่สุด

เมืองอลอง[แก้]

เมืองอลองปรากฏชื่อครั้งแรกขึ้นเมื่อพุทธศตวรรษที่ 19 สมัยพระพนมวังและนางสะเดียงทองและปรากฏหลักฐานอีกครั้งในแผนที่ราชอาณาจักรสยาม จัดทำโดยบาทหลวงโคโลเนลลิ พ.ศ. 2230 ทำเนียบข้าราชการเมืองที่จัดทำสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พระหลวงกรมการเมืองขาดมิครบตามตำแหน่ง จึงให้ทรงชำระใหม่ใน พ.ศ. 2354 ประกอบด้วย 10 เมือง 14 อำเภอ 26 ตำบล พร้อมแขวงและด่าน ในส่วนของพื้นที่อำเภอสิชลได้กล่าวถึงเมืองอลอง 1 ใน 10 ของเมืองในเมืองนครศรีธรรมราชและปรากฏชื่อสิชลและด่านท่าหมากด้วย ส่วนร่อนเขาใหญ่ยังไม่สามารถกำหนดได้ชัดเจนดังข้อความในทำเนียบข้าราชการเมืองนครศรีธรรมราชครั้งสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ว่า

"ศุภมัสดุ ๑๑๗๓ (๒๓๕๔) อนึ่งพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นศักดิ์พลเสพย์ กราบทูลพระกรุณาว่า พระหลวงกรมการเมืองนครขาดมิครบตามตำแหน่ง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดแจงขึ้นให้ครบตามตำแหน่ง ๕ ณ วัน ๒ ฯ ๑๒ ค่ำ (วันจันทร์ เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๕ ค่ำ) ปีมะแมตรีศก พระหลวงกรมการพร้อมกันให้หลวงเทพเสนาผู้ว่าที่จ่าหลวงแพ่งนอกหลวงแพ่งใน กรมการคนเก่าเชิญพระอัยการตำแหน่งนายทหารหัวเมืองทรงชำระใหม่ ขุนทิพย์มณเฑียรเชิญพระอัยการในพระบรมโกศ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ไว้สำหรับเมืองกับสมุด ตำแหน่งพระหลวงกรมการเมืองนคร ครั้งพระยาสุโขทัยออกมาเป็นเจ้าพระยานครดูแลในพระอัยการนั้น มีแต่กรมการผู้ใหญ่สมุดตำแหน่งครั้งพระยาสุโขทัยเป็นเจ้าพระยานครนั้น มีกรมการขุนหมื่นผู้น้อยอยู่ด้วย จึงเอาบรรจบคัดขึ้นเป็นจำนวนกรมการเมืองนครศรีธรรมราชตามตำแหน่งแต่ก่อน ดังนี้ เมืองภักดีสงคราม เมืองอลอง ถือศักดินา ๑,๐๐๐ ฝ่ายซ้ายถือตรารูปเลียงผามีช้างพลาย ๑ จำลอง ๑ ธงทวน ๑ นวม ๓ หมวก ๓ แหลน ๒๐ ปืนนกสับหลังช้าง ๑ กระบอกปืนกระสุนนิ้วกึ่งบรรดาศักดิ์ ๑ กระบอกปืนนกสับ ๔ กระบอกหอกแขน ๑๐ ทวนท้าว ๑๐ เข้าอยู่รักษาอลองได้เรียกส่วยอากรในที่ได้รับพระราชทานค่าคำนับฤชาภาษีส่วย ขุนอินทรพิชัย ช่วยราชการที่อลอง ถือศักดินา ๔๐๐ หมื่นคชบุรีสมุห์บาญชี ถือศักดินา ๒๐๐ ที่วัดถ้ำตีมัน ๑ วัดเบิก ๑ วัดกลาง ๑ วัดถ้ำเทียนถวาย ๑ เป็นเลณฑุบาตในที่อลอง สิริขุนหมื่นในที่อลอง เมือง ๑ ขุน ๒ หมื่น ๒ รวม ๕ คน"

สิชล (ตำบล)

ขุนชะนะคีรี นายที่สิชล ถือศักดินา ๔๐๐ ฝ่ายซ้าย หมื่นชัย รองที่สิชล ถือศักดินา ๓๐๐ หมื่นสมุดคิรี สมุห์บาญชี ถือศักดินา ๒๐๐ สิริคุณหมื่นที่สิชลขุน ๑ หมื่น ๒ รวม ๓ คน

ร่อนเขาใหญ่ (ข้อมูลพื้นที่ยังไม่ชัดเจน)

ขุนไชยภักดี นายที่ร่อนเขาใหญ่ ถือศักดินา ๔๐๐ หมื่นวิจิตบุรี รองที่ร่อนเขาใหญ่ ถือศักดินา ๓๐๐ หมื่นวิจิตบุรี สมุห์บาญชีถือศักดินา ๒๐๐ หมื่นสิทธบุรี สมุห์บาญชี ถือศักดินา ๒๐๐ สิริขุนหมื่นที่ร่อนเขาใหญ่ขุน ๑ หมื่น ๓ รวม ๔ คน

ด่านท่าหมาก

หมื่นชะนะ นายด่านท่าหมาก ถือศักดินา ๓๐๐ (ฝ่ายซ้าย) หมื่นเต็ม ปลัดด่านท่าหมากถือศักดินา ๒๐๐ พันชุม สารวัตร ถือศักดินา ๒๐๐

ที่ว่าการอำเภอสิชล[แก้]

เมื่อเกิดการปฏิรูปการปกครองในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หัวเมืองต่างๆ ได้ถูกจัดเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล ร.ศ 115 (พ.ศ 2439) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งมณฑลนครศรีธรรมราช โดยมีพระยาสุขุมนัยวินิต (ปั้น สุขุม) เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลและได้ดำเนินการให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการปกครองท้องที่ ร.ศ. 116 (พ.ศ 2440) จึงจัดตั้งอำเภอขึ้น 9 อำเภอ รวมถึงอำเภอสิชลด้วยและแต่งตั้งหลวงอนุสรสิทธิการ (บัว ณ นคร) เป็นนายอำเภอคนแรก

เมื่อหลวงอนุสรสิทธิกรรมมารับตำแหน่งได้ตั้งอำเภอขึ้นที่บ้านปากแพรก ปัจจุบันคือบริเวณศาลเจ้าม่วงทอง ปรากฏหลักฐานจากผู้สูงอายุและบันทึกจดหมายระยะทางไปตรวจราชการแหลมมลายู ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ 2445) พระนิพนธ์โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์จนถึงสมัยหลวงมหานุภาพปราบสงครามประมาณ พ.ศ 2470 ได้ย้ายไปบ้านบางฉางที่ว่าการอำเภอสิชลเก่าปัจจุบันคือที่ทำการเทศบาลตำบลสิชลจนถึงพ.ศ 2532 ได้ย้ายไปตั้งบ้านจอมพิบูลย์ ตำบลทุ่งปรัง เป็นที่ว่าการอำเภอสิชลจนถึงปัจจุบัน

ยุคสงครามเย็น (พ.ศ. 2517 - 2518)[แก้]

หน่วยปฏิบัติงานมวลชนหน่วยแรกของพรรคคอมมิวนิสต์ที่มาเคลื่อนไหวในเขตอำเภอสิชล ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเป็นใคร แต่เข้ามาในราว พ.ศ 2517 ถึง 2518 และมาในเงื่อนไขที่คนในอำเภอสิชลไปบุกเบิกที่ทำมาหากินแถวบ้านม่วงลีบ บ้านปากงาย ตำบลคลองสระ บ้านกรุงตก บ้านกงช้าง ตำบลช้างซ้าย อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งอยู่ใกล้กับที่ตั้งของค่าย 511 มากที่สุด โดยค่าย 511 จะรับผิดชอบเขตพื้นที่อำเภอดอนสัก อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอท่าศาลา กิ่งอำเภอนบพิตำ ตำบลกรุงชิง จังหวัดนครศรีธรรมราช

ผู้ปฏิบัติงานชุดแรกได้อำพรางตัวในคราบของชาวบ้านมาพร้อมกับชาวสิชลที่กลับมาเยี่ยมญาติมิตรในภูมิลำเนาเดิมหน่วยละ 2 - 3 คน แถวบ้านยาน ตำบลเขาน้อย บ้านเขาเกียด ตำบลทุ่งปรัง ผู้ปฏิบัติงานส่วนใหญ่ที่ถูกส่งมาเป็นคนมาจากอำเภอบ้านนาสารและอำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี กลุ่มนี้สังกัดค่าย 511 ทั้งหมด ส่วนทางด้านตำบลสี่ขีดมาในเงื่อนไขของชาวปากพนังที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่แถวบ้านช่องเขาหมาก บ้านน้ำร้อนและผู้ปฏิบัติงานของพรรคที่เข้ามาเคลื่อนไหวก็เป็นคนถิ่นเดิมปากพนังด้วย

การปฏิบัติงานในช่วงนี้ได้มีการเปิดเผยตัวภารกิจในเบื้องต้น ซึ่งจะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการวางรากฐานในการขยายงานในอนาคต คือ การสำรวจสภาพของหมู่บ้านไม่ว่าจะเป็นด้านชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ความสัมพันธ์ของคนในชุมชน ความขัดแย้งในหมู่บ้าน ความเข้มแข็งหรืออ่อนแอของกลไกรัฐในที่ตั้งของกำลังเจ้าหน้าที่ ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานของรัฐกับประชาชนและทัศนคติของชาวบ้านที่มีต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ภารกิจที่ได้รับมอบหมายนี้ต้องเสร็จสิ้นตามวันเวลาที่กำหนด ซึ่งจะมีเวลาไม่มากนักและกลับไปรายงานให้หน่วยเหนือรับทราบ เพื่อจะได้กำหนดเป็นโครงการการทำงานอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

โดยปฏิบัติการทางทหารที่สำคัญ อันได้แก่ การปิดล้อมหมู่บ้านในตำบลสี่ขีดโดยกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์ประมาณ 70 - 80 คน เข้าปิดล้อมหมู่บ้านตั้งแต่กลางคืน แต่เนื่องจากหมู่บ้านเป็นหมู่บ้านเปิดมีเส้นทางเข้าออกหลายเส้นทางจึงทำให้ข่าวการเคลื่อนไหวรั่วไหลกำลังของฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็มาถึงที่เกิดเหตุโดยใช้รถยนต์หลายคันและยิงต่อสู้กับหน่วยเฝ้าเส้นทางในช่วงบ่ายขณะจะเริ่มสลายตัวแล้ว เหตุการณ์นี้ยังไม่ปรากฏความเสียหายของทั้งสองฝ่าย และการปฏิบัติการทางทหารที่เกิดขึ้นในอำเภอสิชลคือวันที่ 29 มิถุนายนพุทธศักราช 2521 เวลาประมาณ 1:00 น กองกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์หรือทหารปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทยประมาณ 120 คนได้เครื่องกำลังเข้าโจมตีสถานีตำรวจภูธรอำเภอสิชลและยึดสถานีตำรวจพร้อมบ้านพักตำรวจและที่ว่าการอำเภอสิชลไว้ในเวลารวดเร็วเหตุการณ์นี้ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 3 - 4 นายฝ่ายคอมมิวนิสต์ไม่ปรากฏมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต

ประวัติโดยสังเขป[แก้]

  • วันที่ 14 เมษายน 2472 เปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช และ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยโอนพื้นที่ตำบลไชยคราม และตำบลดอนสัก จากอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปขึ้นกับอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี[1]
  • วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2481 แยกพื้นที่ตำบลขนอม และตำบลท้องเนียน จากอำเภอสิชล ไปตั้งเป็น กิ่งอำเภอขนอม[2] และกำหนดให้ขึ้นการปกครองกับอำเภอสิชล
  • วันที่ 10 มิถุนายน 2490 ตั้งตำบลทุ่งปรัง แยกออกจากตำบลสิชล และตำบลฉลอง ตั้งตำบลเปลี่ยน แยกออกจากตำบลเสาเภา และตำบลฉลอง[3]
  • วันที่ 30 พฤษภาคม 2499 จัดตั้งสุขาภิบาลสิชล ในท้องที่หมู่ที่ 1,3 (ในขณะนั้น) ของตำบลสิชล[4]
  • วันที่ 15 มกราคม 2500 ย้ายที่ว่าการกิ่งอำเภอขนอม อำเภอสิชล จากตำบลท้องเนียน ไปตั้งที่ตำบลขนอม[5]
  • วันที่ 26 มกราคม 2500 จัดตั้งสุขาภิบาลขนอม ในท้องที่บางส่วนของตำบลขนอม[6]
  • วันที่ 10 มกราคม 2502 ยกฐานะจากกิ่งอำเภอขนอม อำเภอสิชล เป็น อำเภอขนอม[7]
  • วันที่ 16 กันยายน 2523 ตั้งตำบลสี่ขีด แยกออกจากตำบลสิชล[8]
  • วันที่ 7 กรกฎาคม 2524 ตั้งตำบลเทพราช แยกออกจากตำบลเสาเภา[9]
  • วันที่ 15 กันยายน 2532 ตั้งตำบลเขาน้อย แยกออกจากตำบลฉลอง[10]
  • วันที่ 14 พฤศจิกายน 2538 ตั้งตำบลทุ่งใส แยกออกจากตำบลสิชล[11]
  • วันที่ 25 พฤษภาคม 2542 ยกฐานะจากสุขาภิบาลสิชล เป็นเทศบาลตำบลสิชล[12] ด้วยผลของกฎหมาย
  • วันที่ 6 เมษายน 2555 จัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งใส ขึ้นเป็น เทศบาลตำบลทุ่งใส[13]

การแบ่งเขตการปกครอง[แก้]

การปกครองส่วนภูมิภาค[แก้]

อำเภอสิชลแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 9 ตำบล 106 หมู่บ้าน ได้แก่

ลำดับ อักษรไทย อักษรโรมัน จำนวนหมู่บ้าน จำนวนประชากร
(ธันวาคม 2565)[14]
แผนที่
1. สิชล Sichon
10
15,715
แผนที่
แผนที่
2. ทุ่งปรัง Thung Prang
16
11,256
3. ฉลอง Chalong
11
6,562
4. เสาเภา Sao Phao
16
12,181
5. เปลี่ยน Plian
14
7,626
6. สี่ขีด Si Khit
12
10,091
7. เทพราช Theppharat
13
8,102
8. เขาน้อย Khao Noi
7
5,709
9. ทุ่งใส Thung Sai
8
11,378

การปกครองส่วนท้องถิ่น[แก้]

ท้องที่อำเภอสิชลประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 10 แห่ง ได้แก่

  • เทศบาลตำบลสิชล ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลสิชล
  • เทศบาลตำบลทุ่งใส ครอบคลุมพื้นที่ตำบลทุ่งใสทั้งตำบล
  • องค์การบริหารส่วนตำบลสิชล ครอบคลุมพื้นที่ตำบลสิชล (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตำบลสิชล)
  • องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งปรัง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลทุ่งปรังทั้งตำบล
  • องค์การบริหารส่วนตำบลฉลอง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลฉลองทั้งตำบล
  • องค์การบริหารส่วนตำบลเสาเภา ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเสาเภาทั้งตำบล
  • องค์การบริหารส่วนตำบลเปลี่ยน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเปลี่ยนทั้งตำบล
  • องค์การบริหารส่วนตำบลสี่ขีด ครอบคลุมพื้นที่ตำบลสี่ขีดทั้งตำบล
  • องค์การบริหารส่วนตำบลเทพราช ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเทพราชทั้งตำบล
  • องค์การบริหารส่วนตำบลเขาน้อย ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเขาน้อยทั้งตำบล

สถานที่ท่องเที่ยว[แก้]

หาดหินงาม
  • หาดสิชล หรือที่ชาวท้องถิ่นเรียกกันว่า "หัวหินสิชล" เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมานานของอำเภอ ชายหาดเป็นแนวหินไปจนจดหาดทรายโค้ง เป็นบริเวณที่เล่นน้ำได้ บนหาดมีที่พักและร้านอาหารสำหรับนักท่องเที่ยว
  • หาดหินงาม บริเวณชายหาดเต็มไปด้วยก้อนหินกลมเกลี้ยง มีสีสันสวยงาม และเป็นที่มาของชื่อหาดหินงาม ตลอดแนวชายหาดไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกบริการ
  • หาดปิติ เป็นหาดที่ชาวท้องถิ่นนิยมไปพักผ่อน ชายหาดจะต่อจากหาดหินงาม บริเวณโดยรอบได้รับการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกด้านที่พักและร้านอาหาร สำหรับบริการนักท่องเที่ยว การเดินทางโดยทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 401 จากอำเภอเมืองนครศรีธรรมราชประมาณ 70 กิโลเมตร เข้าสู่อำเภอสิชล จากตัวอำเภอสิชล แยกขวาไปทางบ้านปากน้ำ ระยะทาง 3 กิโลเมตร ถึงชายหาดสิชล และจากหาดสิชล ไปอีก 1.5 กิโลเมตร ถึงหาดหินงาม และหาดคอเขา ห่างจากหาดหินงาม 2 กิโลเมตร
  • อุทยานแห่งชาติน้ำตกสี่ขีด อยู่ที่หมู่ 2 ตำบลสี่ขีด ใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4105 ห่างจากหาดสิชลไปทางทิศตะวันตก 15 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดเล็ก ที่เกิดจากภูเขาด้านตะวันตกเปลี่ยนระดับเป็นระยะลดหลั่นเป็นชั้น ๆ ท่ามกลางความสวยงามของร่มไม้กับสายน้ำ นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของอุทยานแห่งชาติน้ำตกสี่ขีด ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งใหม่
  • แหล่งโบราณคดีเขาคา อยู่ที่ตำบลเสาเภา ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 401 จากสี่แยกจอมพิบูลย์ ถึงกิโลเมตรที่ 99 แยกซ้ายเข้าถนนจินดาประชาสวรรค์ ประมาณ 7 กิโลเมตร โบราณคดีเขาคา มีอายุกว่า 1,500 ปี บริเวณเขาคาเป็นศาสนสถานสำคัญในลัทธิไศวนิกาย ซึ่งเคารพนับถือพระศิวะหรือพระอิศวรเป็นเทพเจ้าสูงสุด มีเขาคาประดุจเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลาง และมีโบราณสถานเล็ก ๆ กระจายเป็นบริวารโดยรอบ มีการค้นพบโบราณวัตถุที่ใช้พิธีกรรม เช่น ฐานโยนิ (ฐานศิวลึงค์) ศิวลึงค์ท่อโสมสูตร (ท่อน้ำมนต์) ตลอดจนซากโบราณสถานที่เป็นเทวสถาน สระน้ำโบราณ กรมศิลปากรได้ทำการบูรณะเสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อปี พ.ศ. 2540
  • ถ้ำทวดสุข อยู่ที่บ้านนาขุด หมู่ที่ 12 ตำบลทุ่งปรัง เป็นถ้ำที่ชาวบ้านในสมัยอยุธยาใช้เก็บพระพุทธรูปเพื่อให้พ้นภัยสงครามพม่า

อ้างอิง[แก้]

  1. "แจ้งความกระทรวงมหาดไทย เรื่อง โอนตำบล" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 46 (0 ง): 149. April 14, 1929.
  2. "ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ตั้งกิ่งอำเภอขนอม ขึ้นอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 55 (0 ง): 3875. February 20, 1938. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2012-04-27. สืบค้นเมื่อ 2021-09-06.
  3. "ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ตั้งตำบลในจังหวัดต่าง ๆ" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 64 (26 ง): 1114–1433. June 10, 1947. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-11-09. สืบค้นเมื่อ 2021-09-06.
  4. "ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง จัดตั้งสุขาภิบาลสิชล อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 73 (45 ง): (ฉบับพิเศษ) 81-82. May 30, 1956.
  5. "ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ย้ายที่ว่าการกิ่งอำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 74 (7 ง): 185–186. January 15, 1957.
  6. "ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง จัดตั้งสุขาภิบาลขนอม กิ่งอำเภอขนอม อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 74 (10 ง): (ฉบับพิเศษ) 26-27. January 26, 1957. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2012-01-25. สืบค้นเมื่อ 2021-09-06.
  7. "พระราชกฤษฎีกาตั้งอำเภอชุมพวง อำเภอเชียงยืน อำเภอแก้งคร้อ อำเภอสำโรงทาบ อำเภอคอนสาร อำเภอเซกา อำเภอทุ่งเสลี่ยม อำเภอบ้านด่าน อำเภอขนอม อำเภอบ้านแพรก อำเภอกระทู้ และอำเภอคลองใหญ่ พ.ศ. ๒๕๐๒" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 76 (113 ก): (ฉบับพิเศษ) 8-11. January 10, 1959. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-07-18. สืบค้นเมื่อ 2021-09-06.
  8. "ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ตั้งและเปลี่ยนแปลงเขตตำบลในท้องที่อำเภอหัวไทร และอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 97 (144 ง): 3181–3186. September 16, 1980.
  9. "ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ตั้งและเปลี่ยนเขตตำบลในท้องที่อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 98 (110 ง): 2169–2172. July 7, 1981.
  10. "ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ตั้งและกำหนดเขตตำบล ในท้องที่อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 106 (154 ง): (ฉบับพิเศษ) 262-266. September 15, 1989.
  11. "ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ตั้งและกำหนดเขตตำบลในท้องที่อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 112 (91 ง): 54–58. November 14, 1995.
  12. "พระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะของสุขาภิบาลเป็นเทศบาล พ.ศ. ๒๕๔๒" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 116 (9 ก): 1–4. February 24, 1999. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2008-04-09. สืบค้นเมื่อ 2021-09-06.
  13. "เปลี่ยนฐานะจาก องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งใส เป็น เทศบาลตำบลทุ่งใส". April 6, 2012. {{cite journal}}: Cite journal ต้องการ |journal= (help)
  14. "ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร". stat.bora.dopa.go.th.