ผู้ใช้:บุญพฤทธิ์ ทวนทัย/กระบะทราย

ผู้ใช้นี้อยู่ในดิสคอร์ดของชุมชนวิกิมีเดีย
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

หน้าหลัก User คุยกับผม Talk
กระบะทราย

Sandbox

โต๊ะทำงาน

Desk

คลังภาพและสื่อโดยผู้ใช้

User's Photo Archive
บทความที่เขียน
Wikipedia article
กระบะทราย : 1 | 2
พูดคุย

เฮคเลอร์แอนด์คอช ยูเอสพี (en:Heckler & Koch USP)[แก้]

เฮคเลอร์แอนด์คอช ยูเอสพี
ชนิดปืนพกกึ่งอัตโนมัติ
แหล่งกำเนิด เยอรมนี
บทบาท
ประจำการพ.ศ. 2536-ปัจจุบัน
ประวัติการผลิต
ผู้ออกแบบเฮลมัท วิดเดิล
ช่วงการออกแบบพ.ศ. 2529-พ.ศ. 2536
บริษัทผู้ผลิตเฮคเลอร์แอนด์คอช  • อีเอเอส[1]
ช่วงการผลิตพ.ศ. 2536-ปัจจุบัน
แบบอื่น
  • ยูเอสพี
  • ยูเอสพี คอมแพค
  • ยูเอสพี คอมแพค ไททิเคิล
  • ยูเอสพี ไททิเคิล
  • ยูเอสพี เอกซ์เปอร์ท
  • ยูเอสพี แมทซ์
  • ยูเอสพี เอลเท
  • ยูเอสพี คอมแบท คอมเพซิชั่น
  • ปืนพก พี 8
ข้อมูลจำเพาะ
มวล
  • 748 ก. (ยูเอสพี 9 มม./.40)
  • 789 ก. (ยูเอสพี .45)
  • 667 ก. (คอมแพค 9 มม.)
  • 694 ก. (คอมแพค .40)
  • 726 ก. (คอมแพค .45)
  • 771 ก. (ไททิเคิล 9 มม.)
  • 861 ก. (ไททิเคิล .40/.45)
  • 875 ก. (เอ็กซ์เปอร์ท .40)
  • 848 ก. (เอ็กซ์เปอร์ท .45)
  • 1180 ก. (แมทซ์)
ความยาว
  • 194 มม. (ยูเอสพี 9 มม./.40)
  • 201 มม. (ยูเอสพี .45)
  • 173 มม. (คอมแพค 9 มม./.40)
  • 219 มม. (ไททิเคิล .40/.45.)
  • 244 มม. (เอ็กซ์เปอร์ท .40)
  • 240 มม. (แมทซ์)
[2]

กระสุน
อัตราการยิงกึ่งอัตโนมัติ
ระยะหวังผล50 เมตร
พิสัยไกลสุด100 เมตร
ระบบป้อนกระสุน
  • 15 นัด (9×19mm)
  • 13 นัด (.40 S&W)
  • 12 นัด (.45 ACP)
  • 18 นัด (9×19mm)
  • 16 นัด (.40 S&W)
  • 12 นัด (.45 ACP)
  • 13 นัด (9×19mm)
  • 12 นัด (.357, .40 S&W)
  • 8 หรือ 10 นัด (.45 ACP)

เฮคเลอร์แอนด์คอช ยูเอสพี (เยอรมัน: Universelle Selbstladepistole, อังกฤษ: universal self-loading pistol เป็นปืนพกกึ่งอัตโนมัติของประเทศเยอรมนี ออกแบบ ผลิต และจัดจำหน่ายโดยบริษัทเฮคเลอร์แอนด์คอช โดยออกแบบในปี พ.ศ. 2529-พ.ศ. 2536 จากนั้นก็ผลิตและจัดจำหน่ายในปี พ.ศ. 2536 จนถึงปัจจุบัน ปืนรุ่นนี้พัฒนามาจากเฮคเลอร์แอนด์คอช พี 7

ประวัติ[แก้]

กองทัพเรือเยอรมนีกำลังใช้ปืนเฮชเค ยูเอสพี แบบ พี 8

ปืนพกรุ่นนี้ได้ออกแบบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 โดยวัตถุประสงค์เพื่อใช้ประจำการในกองทัพและตำรวจในสหรัฐ โดยปืนชนิดนี้ได้ออกแบบ และทดลองอย่างมีคุณภาาพ โดยใช้ระบบการผลิตยุทโธปกรณ์ OHWS ที่มาจากความต้องการของหน่วยรบบัญชาการพิเศษของสหรัฐอเมริกา โดยจะนำมาใช้แทนปืนพก เอ็มเค 23 มอต 0[3] ยูเอสพีเริ่มทดลองผลิตในปี พ.ศ. 2535 โดยระบบการผลิตแบบ OHWS และการออกแบบได้เสร็จสิ้นในเดือนธันวาคม ปีเดียวกัน จากนั้นจึงเริ่มผลิตอย่างจริงจังตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536[3] และยังผลิตอยู่จนถึงปัจจุบัน โดยปืนรุ่นแรกของชนิดนี้คือ ยูเอสพี .40 ตามมาด้วย ยูเอสพี 9 และ ยูเอสพี .45 ลักษณะปืนชนิดนี้เป็นการรวมกันของ พี 7, พี 9 เอส และ วีพี 702 ส่วนการทำงานมันจะคล้ายกับบราวนิง ไฮ-พาวเวอร์ แต่ปืนชนิดนี้ผลิตด้วยโพลิเมอร์[3][4][5]

รุ่นปืน[แก้]

ปืนพกชนิดนี้มีด้วยกัน 9 รุ่น ดังนี้

  • ยูเอสพี
  • ยูเอสพี คอมแพค
  • ยูเอสพี คอมแพค ไททิเคิล
  • ยูเอสพี ไททิเคิล
  • ยูเอสพี เอ็กซ์เปอร์ท
  • ยูเอสพี แมทซ์
  • ยูเอสพี เอลเท
  • ยูเอสพี คอมแบค คอมแพซิชั่น
  • ปืนพก พี 8

ประเทศผู้ใช้งาน[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. "eas.gr". eas.gr.
  2. "Heckler & Koch :: Product Overview - USP Elite". heckler-koch.com.
  3. 3.0 3.1 3.2 "Heckler & Koch USP (Universal Self-Loading Pistol) Semi-Automatic Pistol (1993)". Military Factory. June 22, 2014. สืบค้นเมื่อ 2014-12-23.
  4. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ hkusa_usp
  5. Heckler & Koch Global. "USP: Specifications". สืบค้นเมื่อ 2008-08-03.

ปืนสั้นมาคารอฟ (en:Makarov pistol)[แก้]

ปืนสั้นมาคารอฟ
ชนิดปืนพกกึ่งอัตโนมัติ
แหล่งกำเนิด สหภาพโซเวียต
บทบาท
ประจำการ1951-ปัจจุบัน
สงครามสงครามอินโดจีน
สงครามเวียดนาม
ความยุ่งยากนิการากัว
สงครามกลางเมืองเลบานอน

สงครามกลางเมืองแองโกลา

สงครามกลางเมืองบุรุนดี
สงครามอัฟกานิสถาน[1]
สงครามรัสเซีย-จอร์เจีย[2]
สงครามกลางเมืองลิเบีย
สงครามกลางเมืองซีเรีย
ประวัติการผลิต
ผู้ออกแบบนิโคไล ฟยูโดโรวิช มาคารอฟ
ช่วงการออกแบบ1948
บริษัทผู้ผลิตแหล่งผลิตยุทโธปกรณ์อิสอีวาก (โซเวียต/รัสเซีย), ซิมป์สัน (เยอรมนี), อาร์เซนอล เอดี (บัลแกเรีย), โนรินโค (จีน), โรงงาน 626 (จีน)
ช่วงการผลิต1949-ปัจจุบัน
ข้อมูลจำเพาะ
มวล730 g (26 oz)
ความยาว161.5 mm (6.36 in)
ความยาวลำกล้อง93.5 mm (3.68 in)
ความกว้าง29.4 mm (1.16 in)

กระสุน
  • 9x18 มิลลิเมตรมาคารอฟ
  • .380 เอซีพี
ความเร็วปากกระบอก315 m/s (1,030 ft/s)
ระยะหวังผล50 m (160 ft)
ระบบป้อนกระสุน8 นัด

มาคารอฟ (รัสเซีย: Пистолет Макарова, Pistolet Makarova, literally Makarov's Pistol) เป็นปืนพกกึ่งอัตโนมัติชนิดหนึ่งของสหภาพโซเวียต และใช้มาจนถึงยุคของประเทศรัสเซีย ถูกออกแบบโดยนิโคไล ฟยูโดโรวิช มาคารอฟ เมื่อปี ค.ศ. 1948 และเริ่มประจำการเป็นอาวุธประจำกายหลักของกองทัพสหภาพโซเวียต ในปี ค.ศ. 1951[3]

การใช้งานและรุ่น[แก้]

ปืนสั้นมาคารอฟนั้น ผลิตเพื่อใช้ประจำการในประเทศคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็น และปืนสั้นมาคารอฟ ยังมีประเทศที่ผลิตปืนชนิดนี้อีกด้วย เช่น เยอรมนีตะวันตก บัลแกเรีย และจีน

รุ่นที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุด และแพร่หลายมากที่สุด คือรุ่น พีเอ็มเอ็ม (PMM) (Pistolet Makarova Modernizirovannyy or Modernised Makarov pistol) ผลิตจากปืนรุ่นเดิมในปี ค.ศ. 1990 โโยทีมงานที่ผลิตปืนชนิดนี้ชุดเดิมจากปืนรุ่นต้นฉบับ ปืนสั้นมาคารอฟรุ่นต้นฉบับนั้นบรรจุกระสุนได้ 8 นัด ส่วน PMM บรรจุกระสุนได้ 12 นัด พีเอ็มเอ็มนั้นใช้กระสุน 9.2x18 มิลลิเมตร[4]

อีกรุ่นคือรุ่น ไบกัน ออกแบบในปี ค.ศ. 1962 หลังจากปืนมาคารอฟรุ่นเดิมใช้การได้ผล จึงผลิตปืนชนิดนี้ออกมาเป็นรุ่นดังกล่าว และปืนรุ่นนี้ที่เป็นรุ่นสำหรับที่ใช้ในกีฬายิงปืนคือ Bikan-442[5] โดยไบกันนั้นใช้กระสุน .380 เอซีพี

ประเทศผู้ใช้งาน[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. Small Arms Survey (2012). "Surveying the Battlefield: Illicit Arms In Afghanistan, Iraq, and Somalia" (PDF). Small Arms Survey 2012: Moving Targets. Cambridge University Press. p. 332. ISBN 978-0-521-19714-4.
  2. Galeotti 2017, p. 22.
  3. Makarov.com, Makarov Basics, สืบค้นเมื่อ 2008-01-27
  4. Cutshaw, Charles Q. (28 February 2011). Tactical Small Arms of the 21st Century: A Complete Guide to Small Arms From Around the World. Iola, Wisconsin: Gun Digest Books. p. 105. ISBN 978-1-4402-2709-7. สืบค้นเมื่อ 10 July 2013.
  5. ' "BAIKAL-442" Sporting Pistol (for export)' เก็บถาวร 2009-08-31 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  6. 6.00 6.01 6.02 6.03 6.04 6.05 6.06 6.07 6.08 6.09 6.10 6.11 6.12 6.13 6.14 6.15 6.16 6.17 6.18 6.19 6.20 6.21 6.22 6.23 6.24 6.25 6.26 6.27 Jones, Richard D. Jane's Infantry Weapons 2009/2010. Jane's Information Group; 35 edition (January 27, 2009). ISBN 978-0-7106-2869-5.
  7. Albania: Special Operations and Counterterrorist Forces เก็บถาวร 2013-08-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน at specialoperations.com (a non-official, personal website). Retrieved 8 September 2012.
  8. "World Infantry Weapons: Algeria". 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 November 2016.
  9. Small Arms Survey (2007). "Armed Violence in Burundi: Conflict and Post-Conflict Bujumbura" (PDF). The Small Arms Survey 2007: Guns and the City. Cambridge University Press. p. 204. ISBN 978-0-521-88039-8.
  10. Kokalis, Peter. Weapons Tests And Evaluations: The Best Of Soldier Of Fortune. Paladin Press. 2001. pp99–102.
  11. Hogg, Ian (2002). Jane's Guns Recognition Guide. Jane's Information Group. ISBN 0-00-712760-X.
  12. "Urgent Fury 1983: WWII weapons encountered". wordpress.com. 18 October 2015. สืบค้นเมื่อ 22 March 2018.
  13. Small Arms Survey (2005). "Sourcing the Tools of War: Small Arms Supplies to Conflict Zones" (PDF). Small Arms Survey 2005: Weapons at War. Oxford University Press. p. 166. ISBN 978-0-19-928085-8.
  14. US Department of Defense: North Korea Country Handbook (1997) page xii, at Federation of American Scientists. Retrieved 8 September 2012.
  15. "World Infantry Weapons: Sierra Leone". 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 November 2016.[แหล่งข้อมูลที่ตีพิมพ์เอง]
  16. http://www.mo.gov.si/fileadmin/mo.gov.si/pageuploads/pdf/javne_objave/2015/orozje_2015/Sklopi1_8_za_objavo.pdf
  17. 17.0 17.1 Marchington, James (2004). The Encyclopedia of Handheld Weapons. Lewis International, Inc. ISBN 1-930983-14-X.
  18. VCCorp.vnwebsite=soha.vn. "Quân đội Nhân dân Việt Nam được trang bị những loại súng ngắn nào". สืบค้นเมื่อ 22 March 2018.
  19. "[Indo Defense 2018] Vietnamese Small Arms Part Two: Grenade Launcher's, Galil ACE's, and OSV-96's -". 2018-11-30.

พัก โช-อา (en:Park Cho-a)[แก้]

พัก โช-อา
박초아
upright=201px
เกิดพัก โช-อา
(1990-03-06) 6 มีนาคม ค.ศ. 1990 (34 ปี)
อินช็อน,  เกาหลีใต้
สัญชาติเกาหลีใต้
อาชีพนักร้อง  • นักแสดง
อาชีพทางดนตรี
แนวเพลงเคป็อป
เครื่องดนตรีเสียงร้อง
ช่วงปี2012–2017
ค่ายเพลงเอฟเอ็นซีเอ็นเทอร์เทนเมนท์

พัก โช-อา (เกาหลี: 박초아, อังกฤษ: Park Cho-a) (เกิด 6 มีนาคม ค.ศ. 1990) เป็นไอดอลสาวชาวเกาหลีใต้ อดีตสมาชิกวงเอโอเอ ซึ่งเธอผ่านการเดบิวต์ในปี ค.ศ. 2012 ภายใต้สังกัดเอฟเอ็นซีเอนเทอร์เทนเมนท์

ประวัติ[แก้]

เธอเกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1990 ที่อินช็อน ประเทศเกาหลีใต้[1] เธอเคยมีความฝันอยากเป็นนักร้องประจำมหาวิทยาลัย แต่บิดาของเธอคัดค้านไว้ อยากให้เธอประกอบธุรกิจมากกว่า เธอจบการศึกษาจากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอินฮา

เธอเคยประกวดเข้าเป็นศิลปินสังกัดเอสเอ็มเอนเตอร์เทนเมนต์ แต่ตกรอบ[2] ต่อมาในปี ค.ศ. 2012 เธอได้พบกับจูเนียล นักแต่งเพลงชื่อดัง จูเนียลจึงชักชวนเธอเข้าสู่วงการ โดยเธอได้เป็นศิลปินสังกัดเอฟเอ็นซีเอนเทอร์เทนเมนท์ และเป็นสมาชิกวงเอโอเอ[3] ต่อมาปี ค.ศ. 2017 เธอก็ออกจากวงการเนื่องจากเป็นโรคซึมเศร้า[4]

ผลงานด้านดนตรี[แก้]

ซิงเกิล[แก้]

ปี ชื่อ เหตุผล ยอดจำหน่าย อัลบั้ม
KOR
Gaon

[5]
2015 "2015 แดทเมย์บีโซ" (บรรเลงเปียโนโดย ยู ฮี-ย็อน) 26
  • KOR (DL): 84,692+
Two Yoo Project - Sugar Man Part.3
"เฟลม" 25
  • KOR (DL): 165,936+
Flame (Digital Single)
2017 "ซิงฟอร์ยู" (ร่วมกับ คิม แท-วู)
  • KOR (DL): –
Sing For You - The Eighth Story
"ไอดอนด์แฮฟเดอะเวิล์ด"
  • KOR (DL): –
Sing For You - The Last Story

ผลงานด้านการแสดง[แก้]

เรียลลิตีโชว์[แก้]

ปี ชื่อ บทบาท ช่อง อ้างอิง
2013 ช็องดัม-ด็อง 111 ตัวเธอเอง tvN [6]
2015 โอเพนอัพ เอโอเอ ตัวเธอเอง ไม่ทราบ
วันฟายเดย์ ตัวเธอเอง MBC Music [7]
2016 ชาแนล เอโอเอ ตัวเธอเอง ออนสไตล์

วาไรตีโชว์[แก้]

ปี ชื่อเรื่อง บทบาท ช่อง อ้างอิง
2015 วีก็อตมารีเอด MC MBC
คิงออฟมาคซิงเกอร์ คอนสแตติน [8]
2016 เกิร์ลฮูลีพาร์ตชารต์ Regular MC KBS Joy [9]
ซิงฟอยู Regular MC JTBC

อ้างอิง[แก้]

มุกดาวัน สันติพอน[แก้]

มุกดาวัน สันติพอน
เกิด6 มิถุนายน พ.ศ. 2540 (26 ปี)
ที่เกิดประเทศลาว
แนวเพลงหมอลำ
อาชีพนักร้อง
เครื่องดนตรีเสียงร้อง
ช่วงปีพ.ศ. 2547 - ปัจจุบัน

มุกดาวัน สันติพอน (ลาว: ມຸກດາວັນ ສັນຕິພອນ) เป็นนักร้องหญิงชาวลาว มีชื่อเสียงจากผลงานเพลง เอิ้นอ้ายใส่หม้อนึ่ง[1] และ มนต์ฮักบ่าวเมืองวัง

ประวัติ[แก้]

เธอเกิดเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2540 ที่บ้านธาตุอิงฮัง เมืองไกสอน พมวิหาน แขวงสะหวันนะเขต ประเทศลาว[2] ในครอบครัวที่ทำอาชีพเกษตรกรรม แต่เมื่อยามบิดามารดาของเธอว่างจากการทำนา ก็จะตระเวนรับจ้างร้องเพลงโดยที่บิดาของเธอมีวงดนตรีอยู่วงหนึ่ง โดยบิดาของเธอมมีรายได้จากการตระเวนร้องเพลงคืนละ 5 แสนกีบ

วงการบันเทิง[แก้]

เธอเริ่มร้องเพลงจากการสอนของบิดา และเรียนการลำกลอนจากดอกเพ็ด แดนจำพอน เธอเริ่มเดินสายประกวดร้องเพลงตั้งแต่อายุได้ 5 ปี ในระหว่างที่เธอร้องเพลงประกวดนี้ ได้รับรางวัลบ้าง ไม่ได้รับรางวัลบ้าง และเธอยังเป็นสมาชิกของคณะศิลป์สโมสรวัฒนธรรมบรรดาเผ่าแขวงสะหวันนะเขต ตำแหน่งน้กร้อง-หมอลำ เธอเคยเดินทางไปแสดงในนามแขวงสะหวันเขต ทั้งในและต่างประเทศ

ขณะที่มุกดาวันศึกษาอยู่ที่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เธอได้ออกอัลบั้มเพลง ไหว้บ่พ่อ สังกัดค่ายเพลง ลาวเด้อมิวสิก ซึ่งได้รับความนิยมในระดับหนึ่ง ต่อมาเมื่อเธอกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เธอได้ออกอัลบั้ม บ่าวท่าแขก-สาวสะหวัน มีเพลงดังจากอัลบั้มนี้เช่น ถามข่าวบ่าวมัธยม และ เพิ่นมิมักข่อย หลังจากนั้นเธอจึงตัดสินใจทำเพลงเองในนามค่าย "กล้วยสุกเขียว" ซึ่งมาจากชื่อวงดนตรีของบิดา[2]

อ้างอิง[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

หม่อมหลวงขวัญทิพย์ เทวกุล[แก้]

หม่อมหลวงขวัญทิพย์ เทวกุล
เกิด24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2504 (63 ปี)
กรุงเทพมหานคร,  ไทย
สัญชาติไทย
ชื่ออื่นเชฟป้อม  • หม่อมป้อม  • หม่อมป้า
การศึกษาปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
อาชีพนักออกแบบอาหาร  • นักโภชนาการ
ปีปฏิบัติงานพ.ศ. 2548 - ปัจจุบัน
มีชื่อเสียงจากกรรมการรายการมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์
บุตร3 คน
บุพการี
  • หม่อมราชวงศ์เทพยพงษ์ เทวกุล (บิดา)
  • ประเทือง เทวกุล (มารดา)

หม่อมหลวงขวัญทิพย์ เทวกุล เป็นนักโภชนาการ และเชพที่มีชื่อเสียงชาวไทย จากการเป็นกรรมการรายการแข่งขันทำอาหารมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ ซึ่งออกอากาศทางช่อง 7 เอชดี เจ้าของคำพูด เตือนแล้วนะ หรือ แล้วมันจะทันมั้ย[1]

ประวัติ[แก้]

เป็นธิดาคนสุดท้องของหม่อมราชวงศ์เทพยพงศ์ และนางประเทือง เทวกุล เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2504 มีพี่น้องด้วยกัน 4 คน[2] ท่านจบการศึกษาระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนจิตรดา ระดับมัธยาศึกษาจากโรงเรียนราชินี และระดับปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย[2]

หลังท่านสำเร็จการศึกษา ท่านได้ทำงานที่บริษัท Loxely ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับด้านอาหารแต่อย่างใด[2] ต่อมาท่านสมรสกับสามีชาวอเมริกัน มีบุตรด้วยกัน 3 คน[3] ต่อมาเมื่อท่านอายุ 44 ปี ท่านได้หย่ากับสามีและเริ่มประกอบอาชีพเป็นเชฟเต็มตัว[2][4]

ท่านเคยประกอบกิจการร้านอาหารมาก่อน แต่ได้ปิดตัวลงเนื่องจากวิกฤตการณ์ทางการเมือง ปัจจุบันท่านเป็นนักออกแบบอาหาร[5] และเชฟ ทั้งยังเป็นที่ปรึกษาให้กับร้านอาหารทั้งในและต่างประเทศ และเป็นเจ้าของคอลัมน์ "สำรับ" ซึ่งเกี่ยวกับตำราอาหารไทยที่เขียนลงในนิตยาสารพลอยแกม โดยเขียนเกี่ยวกับตำรับอาหารไทยมาแล้ว 250 สูตร[2]

ท่านมีชื่อเสียงจากการเป็นคณะกรรมการจากรายการมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ จากการวิจารณ์อาหารและควบคุมการทำอาหารของผู้เข้าแข่งขันด้วยอารมณ์ที่โผงผาง และจริงจัง

ผลงาน[แก้]

คณะกรรมการ[แก้]

คอลัมน์นิสต์[แก้]

  • "สำรับ"

อ้างอิง[แก้]

สุริยุปราคาเต็มดวง 24 ตุลาคม พ.ศ. 2538 (en:Solar eclipse of October 24, 1995)[แก้]

สุริยุปราคา 24 ตุลาคม พ.ศ. 2538
ภาพสุริยุปราคาในประเทศอินเดีย ถ่ายโดยเฟรดซ์ เอ็กซ์เปอร์นาด
ประเภท
แกมมา0.3518
ความส่องสว่าง1.0213
บดบังมากที่สุด
ระยะเวลา2 นาที 10 วินาที
พิกัด8°25'0"N, 113°11'18"E
ความกว้างของเงามืด78 กิโลเมตร
เวลา (UTC)
บดบังมากที่สุด4:33:30
แหล่งอ้างอิง
แซรอส143
บัญชี # (SE5000)9498

สุริยุปราคาเต็มดวงที่เกิดขึ้นในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2538 เป็นการที่ดวงจันทร์เคลื่อนเข้ามาบดบังดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดเงามืดของดวงจันทร์บนพื้นโลก สุริยุปราคานี้สามารถมองได้ที่ประเทศอิหร่าน อัฟกานิสถาน ปากีสถาน อินเดีย บังกลาเทศ เมียนมา กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย

การสังเกตการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงเกิดขึ้นในประเทศอินเดีย[1] เมื่อเครื่องบินมิก 25 จากกองทัพอากาศอินเดีย และสามารถถ่ายภาพสุริยุปราคาซึ่งไกลได้ถึง 25 กิโลเมตร[2]

ในประเทศไทย[แก้]

สุริยุปราคาเต็มดวงที่เกิดขึ้นในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2538 ยังสามารถมองเห็นได้ในประเทศไทย ซึ่งในประเทศไทยสามารถมองเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งนี้ในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา[3] (ก่อนหน้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2476[4]) และเป็นสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งล่าสุดที่สามารถมองเห็นได้ในประเทศไทย โดยจังหวัดที่เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงได้ชัดเจนในไทยมี 11 จังหวัด[3] ได้แก่ จังหวัดตาก จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดพิจิตร จังหวัดอุทัยธานี จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดลพบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดสระแก้ว ซึ่งเห็นเต็มดวงนาน 1 นาที 52 วินาที ส่วนจังหวัดอื่นๆ จะเป็นสุริยุปราคาบางส่วน

นอกจากนี้ ยังเกิดปรากฎการณ์ "ลูกปัดเบลลี่" และแสงสว่างคล้ายหัวแหวนซึ่งเรียกว่าปรากฎการณ์ "ไดอมอนด์ริง"[5] ซึ่งเกิดขึ้น 2-3 นาทีก่อนจะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงนอกจากนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง ณ จังหวัดนครราชสีมา อีกด้วย[3]

กราฟิกการเกิดสุริยุปราคา[แก้]

วัฒนธรรมสมัยนิยม[แก้]

ฟิลล์ วิกเทเกอร์ ได้ประพันธ์หนังสือ Eclipse of the Sun และตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2540

อ้างอิง[แก้]

ซิก ซาวเออร์ พี 226 (en:SIG Sauer P226)[แก้]

ซิก ซาวเออร์ พี 226
ชนิดปืนพกกึ่งอัตโนมัติ
แหล่งกำเนิด เยอรมนี
ประวัติการผลิต
ช่วงการออกแบบ1980-1983
บริษัทผู้ผลิตซิก ซาวเออร์
ช่วงการผลิต1983-ปัจจุบัน
ข้อมูลจำเพาะ
ความยาว196 mm (7.7 in)[1]
ความยาวลำกล้อง112 mm (4.4 in)
ความกว้าง38.1 mm (1.50 in)
ความสูง140 mm (5.5 in)

กระสุน
ระบบป้อนกระสุน10-, 12-, 13-, และ 15-นัด (.357/.40)  • 10-, 15-, 17-, 18-, และ 20-นัด (9×19 มม.)

ซิก ซาวเออร์ พี 226 (อังกฤษ: SIG Sauer P226) เป็นปืนพกกึ่งอัตโนมัติที่ผลิตโดยบริษัท ซิกซาวเออร์ สามารถบรรจุกระสุนได้หลายชนิด ทั้ง .22 9×19 มิลลิเมตร .40 สมิทธ์แอนด์เวสสัน และ .357 ซิกซาวเออร์ มันพัฒนามาจากซิก ซาวเออร์ พี 220 แต่ซิก ซาวเออร์ พี 220 นั้นมีการใช้กระสุนที่จำกัด จึงผลิตปืนรุ่นนี้ออกมา และยังมีรุ่นย่อยคือ พี 227 และ พี 229 ซิก ซาวเออร์ พี 226 เป็นปืนอีกรุ่นหนึ่งที่ได้รับความนิยม และนำไปใช้ในกองทัพหลายประเทศ[2]

การผลิต[แก้]

ปืนนี้มีบริษัทผลิตอยู่ที่ประเทศเยอรมนี และยังมีผลิตที่สหรัฐอเมริกา อีกด้วย และยังมีบริษัทอีกมากมายที่ผลิตปืนรุ่นชนิดนี้ออกมา[3] นอกจากนี้ยังมีหลายประเทศนำแบบปืนรุ่นนี้ไปใช้ผลิตในประเทศตน เช่น ประเทศจีน ซึ่งใช้ชื่อรุ่นว่า เอ็นพี 226 ประเทศอิหร่าน ใช้ชื่อรุ่นว่า ซีโอเอเอฟ และประเทศพม่า ใช้ชื่อรุ่นว่า เอ็มเอ 5 หรือ เอ็มเค 3[4]

รุ่น[แก้]

ปืนชนิดนี้มี 4 รุ่น ได้แก่ พี 226 เนวี, พี 226 อี 2, พี 228 และพี 229

ประเทศผู้ใช้งาน[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. "P226", Guns.ru, web: Modern Firearms article on P226
  2. Valpolini, Paolo (June 2009). "There are Two Types of Men in this World..." (PDF). Armada International. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2010-02-14. สืบค้นเมื่อ 2010-02-13.
  3. "Sensation: Lüke Group takes over majority shares at GSG". All 4 Shooters.com. สืบค้นเมื่อ 13 January 2018.
  4. "MA5 MK II: The Burmese Tatmadaw's Production Glock Handgun". thefirearmblog.com. 2018-07-23. สืบค้นเมื่อ 2018-07-29.
  5. "อาวุธประจำกาย และอาวุธธประจำกายทหารราบ" [Body armor and weapons for the infantry]. Thai Army. สืบค้นเมื่อ 2019-03-24.


เครื่องราชอิสริยาภรณ์สิงโตเนเธอร์แลนด์ (en:Order of the Netherlands Lion)[แก้]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์สิงโตเนเธอร์แลนด์
ประเภทเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฝ่ายพลเรือนสามชั้น
วันสถาปนา29 กันยายน ค.ศ. 1815
ประเทศธงของประเทศเนเธอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์
จำนวนสำรับไม่จำกัดจำนวน
ผู้สมควรได้รับผู้กระทำคุณประโยชน์และคุณความดีอย่างยิ่งยวดต่อประเทศเนเธอร์แลนด์
สถานะยังมีการมอบ
ผู้สถาปนาพระเจ้าวิลเลิมที่ 1 แห่งเนเธอร์แลนด์
ประธานพระมหากษัตริย์เนเธอร์แลนด์
ลำดับเกียรติ
รองมาเครื่องราชอิสริยาภรณ์ออเรนจ์-นัสเซา

เครื่องราชอิสริยาภรณ์สิงโตเนเธอร์แลนด์ (ดัตช์: De Orde van de Nederlandse Leeuw) เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของประเทศเนเธอร์แลนด์ สถาปนาเมื่อวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 1815 โดยจะมอบให้กับผู้กระทำคุณประโยชน์อันยิ่งยวดต่อสังคมในประเทศเนเธอร์แลนด์ ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ

เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้มีศักดิ์รองมาจากเครื่องราชอิสริยาภรณ์กิตติคุณฝ่ายทหาร ซึ่งพระราชทานเฉพาะฝ่ายทหารเท่านั้น ส่วนเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้สำหรับพระราชทานให้ฝ่ายพลเรือน เช่นเดียวกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ออเรนจ์-นัสเซา

สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งเนเธอร์แลนด์ทรงเป็นประธานแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ เมื่อเริ่มสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ขึ้นมามีเพียง 3 ชั้นเท่านั้น ต่อมาในปี ค.ศ. 1960 ได้เพิ่มชั้น "Brothers" ซึ่งเป็นชั้นสมาชิก ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ต่อมาในปี ค.ศ. 1994 ชั้นสมาชิกได้ถูกยกเลิกไป

ระดับชั้น[แก้]

แพรแถบ
ประถมาภรณ์
ตริตาภรณ์
เบญจมาภรณ์
ชั้นสมาชิก

ลักษณะ[แก้]

ดวงตราและดาราทุกระดับชั้น จะมีลักษณะเป็นกางเขนมอลตาสีขาว และมีตัว W ซึ่งมาจากพระนามของพระเจ้าวิลเลิมที่ 1 แห่งเนเธอร์แลนด์ คั่นอยู่ระหว่างกางเขน ส่วนแพรแถบเป็นสีน้ำเงิน มีสีเหลืองคั่นอยู่สองข้าง[1]

อ้างอิง[แก้]

  1. "Decorations of the Order of the Netherlands Lion - Royal Honours". Lintjes.nl. สืบค้นเมื่อ 2012-03-25.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]

ชุดส่าหรี่ (en:Sari)[แก้]

ส่าหรี่ (มราฐี: शाटी, อังกฤษ: Sari)[1] เป็นเครื่องแต่ากายของสตรีชาวเอเชียใต้ เช่น อินเดีย, เนปาล, ศรีลังกา, บังคลาเทศ มีลักษณะเป็นผ้าคลุมตัว มีความยาว 5-9 หลา[2] และกว้าง 2-4 ฟุต[3] การแต่งกายจะพาดรอบเอว และคลุมไหล่อีกด้านเพื่อไม่ให้ร่างการชื้นจนเกินไป ชุดส่าหรี่นั้นมีหลายประเภท แต่ประเภทที่นิยมใส่มักจะเป็นแบบนีวิ (อังกฤษ: Nivi style ชุดส่าหรี่นั้นมักจะแต่งกายคู่กับเสื้อครึ่งตัวที่เรียกว่า "โชลี" (อังกฤษ: Choli) ชุดส่าหรี่นั้นเป็นเครื่องแต่งกายชนิดหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมแห่งภูมิภาคเอเชียใต้

ชุดส่าหรี่นั้นเป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เนื่องจากมักนิยมสวมใส่ในเหตุการณ์หรืองานสำคัญต่างๆ โดยเฉพาะนักแสดงฮอลีวูดชาวอินเดีย เป็นต้นว่า ไอศวรรยา ราย[4][5] ได้สวมชุดส่าหรี่ในงานแสดงวัฒนธรรมอินเดีย ในปี ค.ศ. 2010 หรือทีปิกา ปาทุโกณ[6][7] มักจะสวมใส่ในงานแสดงวัฒนธรรมอินเดีย หรือในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ และมีนักแสดงชาวอินเดียจำนวนมากที่สวมใส่ชุดส่าหรี่ที่ออกแบบโดยชาวอินเดียเอง[8]

ภาพการแต่งกายชุดส่าหรี่[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. Lynton, Linda (1995). The Sari. New York: Harry N. Abrams, Incorporated. ISBN 978-0-8109-4461-9.
  2. Boulanger, Chantal (1997). Saris: An Illustrated Guide to the Indian Art of Draping. New York: Shakti Press International. ISBN 978-0-9661496-1-6.
  3. Boulanger, Chantal (1997). Saris: An Illustrated Guide to the Indian Art of Draping. New York: Shakti Press International. p. 6.
  4. ""Ravan's star-studded premiere in London," The Indian Express". The Indian Express. India. 17 June 2010. สืบค้นเมื่อ 13 November 2011.
  5. "Indian threads: When Bollywood celebrities went ethnic at Cannes". Th Indian Express. สืบค้นเมื่อ 4 June 2016.
  6. ""Deepika walks Cannes red carpet in saree," The Hindu". The Hindu. India. Press Trust of India. 14 May 2010. สืบค้นเมื่อ 13 November 2011.
  7. "Deepika always wanted to wear saree at international do". Movies.ndtv.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 พฤษภาคม 2012. สืบค้นเมื่อ 13 พฤศจิกายน 2011.
  8. "Saree – Re-emerging as the Fashion Icon of Indian Youth!". forimmediaterelease.net. สืบค้นเมื่อ 7 February 2015. {{cite web}}: ไม่อนุญาตให้ใช้มาร์กอัปตัวเอียงหรือตัวหนาใน: |website= (help)

อนุษกา ศรรมา (en:Anushka Sharma)[แก้]

อนุษกา ศรรมา
สารนิเทศภูมิหลัง
เกิด1 พฤษภาคม พ.ศ. 2531 (35 ปี)
อโยธยา, รัฐอุตตรประเทศ, ธงของประเทศอินเดีย อินเดีย
คู่สมรสวิรัด โกฮีร์
อาชีพนักแสดง  • ผู้กำกับภาพยนตร์  • นักออกแบบเสื้อผ้า
ปีที่แสดงพ.ศ. 2550-ปัจจุบัน

อนุษกา ศรรมา (อังกฤษ: Anushka Sharma) เป็นนักแสดงหญิงและผู้กำกับภาพยนตร์หญิงชาวอินเดียในวงการหนังบอลลีวูด เธอเป็นนักแสดงหญิงที่มีชื่อเสียงอย่างมากติดอันดับหนึ่งในอินเดีย และคล้ารางวัลต่างๆ เป็นจำนวนมาก เช่น รางวัลฟิมแฟร์อวอร์ดส์ และยังอยู่ในรายชื่อเกียรติยศ ฟอร์บส์ 30 อันเดอร์ 30 อีกด้วย

เธอเกิดที่เมืองอโยธยา, รัฐอุตตรประเทศ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2531[1][2] บิดารับราชการทหาร มารดาเป็นแม่บ้าน[3] เธอมีพี่ชาย 1 คนซึ่งเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ ชีวิตในวัยเด็ก เธออาศัยที่เมืองบังคาลอร์, รัฐกรณาฏกะ และเธอจบการศึกษาจากวิทยาลัยเมาท์คาร์เมลล์[4][5] สาขาศิลปะการแสดง เริ่มแรกเธอทำงานด้านสื่อมวลชนและไม่เคยคิดจะเป็นนักแสดง จนกระทั่งเธอเริ่มเข้าสู่วงการจากการเป็นนางแบบแฟชั่นของเวนเดล รอร์ดริค[6] หลังจากที่เธอย้ายมาอยู่เมืองมุมไบ เธอก็ใช้เวลากับการเป็นนางแบบอย่างเต็มที่ จนกระทั่งเธอได้แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในปี พ.ศ. 2550 คือเรื่อง Rab Ne Bana Di Jodi ซึ่งเธอได้รับรางวัลฟิล์มแฟร์อวอร์ดส์ สาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่องแรกดังกว่าว หลังจากนั้นก็มีผลงานแสดงภาพยนตร์ที่ทำให้เธอมีชื่อเสียงอีกสองเรื่อง คือ Band Baaja Baaraat ในปี พ.ศ. 2553 และ Jab Tak Hai Jaan ในปี พ.ศ. 2555 หลังจากนั้นเธอก็หันมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เอง และได้รับรางวัลฟิล์มแฟร์อวอร์ด สาขานักแสดงประกอบยอดเยี่ยมหลายครั้ง

ผลงานเด่น[แก้]

ปี ชื่อเรื่อง บทบาท ผู้กำกับ อ้างอิง
2551 Rab Ne Bana Di Jodi Taani Sahni Aditya Chopra Nominated—Filmfare Award for Best Actress
Nominated—Filmfare Award for Best Female Debut
2553 Badmaash Company Bulbul Singh Parmeet Sethi
2553 Band Baaja Baaraat Shruti Kakkar Maneesh Sharma Nominated—Filmfare Award for Best Actress
2553 Patiala House Simran Chaggal Nikhil Advani
2554 Ladies vs Ricky Bahl Ishika Desai Maneesh Sharma
2554 Jab Tak Hai Jaan Akira Rai Yash Chopra Filmfare Award for Best Supporting Actress
2556 Matru Ki Bijlee Ka Mandola Bijlee Mandola Vishal Bhardwaj
2557 PK Jagat "Jaggu" Janini Rajkumar Hirani
2558 NH10 Meera Navdeep Singh Also producer
Nominated—Filmfare Award for Best Actress
2558 Bombay Velvet Rosie Noronha Anurag Kashyap
2558 Dil Dhadakne Do Farah Ali Zoya Akhtar Nominated—Filmfare Award for Best Supporting Actress
2558 Sultan Aarfa Hussain Ali Abbas Zafar
2558 Ae Dil Hai Mushkil Alizeh Khan Karan Johar Nominated—Filmfare Award for Best Actress
2560 Phillauri Shashi Kumari Anshai Lal Also producer and playback singer for song "Naughty Billo"[7][8]
2560 Jab Harry Met Sejal Sejal Zaveri Imtiaz Ali
2561 Pari Rukhsana Prosit Roy Also producer
2561 Sanju Winnie Diaz Rajkumar Hirani
2561 Sui Dhaaga Mamta Sharat Katariya Nominated—Filmfare Critics Award for Best Actress
2561 Zero Aafia Yusufzai Bhinder Aanand L. Rai

อ้างอิง[แก้]

  1. "Anushka Sharma celebrates 25th birthday in Goa". Hindustan Times. 1 May 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 May 2013. สืบค้นเมื่อ 10 March 2014.
  2. Gupta, Priya (18 December 2012). "There is no system in the film industry: Anushka". The Times of India. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 December 2012. สืบค้นเมื่อ 10 March 2014.
  3. Joshi, Sonali (8 April 2012). "Anushka Sharma buys three flats worth Rs.10 crore in Mumbai's posh area". India Today. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 March 2014. สืบค้นเมื่อ 10 March 2014.
  4. "Anushka Sharma: Lesser known facts". The Times of India. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 June 2015. สืบค้นเมื่อ 2 June 2015.
  5. "Just how educated are bollywood heroines". Rediff.com. 18 January 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 August 2013. สืบค้นเมื่อ 2 June 2015.
  6. "10 facts about Anushka Sharma you didn't know". The Express Tribune. 11 March 2015. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 May 2015. สืบค้นเมื่อ 6 June 2015.
  7. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ phillauri
  8. "Phillauri song Naughty Billo: Anushka Sharma raps in Diljit Dosanjh song". The indian Express. 4 March 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 March 2017. สืบค้นเมื่อ 5 March 2017.


ปืนพกโตกาเรฟ (en:TT pistol)[แก้]

ปืนพกโตกาเรฟ
ชนิดปืนพกกึ่งอัตโนมัติ
แหล่งกำเนิด สหภาพโซเวียต
บทบาท
ประจำการ1930-ปัจจุบัน
ประวัติการผลิต
ผู้ออกแบบเฟดอร์ โตกาเรฟ
ช่วงการออกแบบ1930
ช่วงการผลิต1930-1955
ข้อมูลจำเพาะ
ความยาว194 mm (7.6 in)
ความสูง134 mm (5.3 in)

กระสุน
  • 7.62x25 มิลลิเมตรมาคารอฟ
ความเร็วปากกระบอก450 m/s (1,500 ft/s)
ระบบป้อนกระสุน8 นัด

โตกาเรฟ หรือ ที-ที เป็นปืนพกกึ่งอัตโนมัติของสหภาพโซเวียต ออกแบบโดยเฟดอร์ โตกาเรฟ ในปี ค.ศ. 1930 เพื่อใช้เป็นปืนพกประจำการของกองทัพแดง และใช้งานแทนปืนลูกโม่ชนิดเอ็ม 1895 [1] ปืนชนิดนี้เข้าประจำการจนถึงปี ค.ศ. 1952 ก็ถูกแทนที่ด้วยปืนพกมาคารอฟ[2] แต่ก็ยังคงใช้ในกองทัพแดงจนกระทั่งปี ค.ศ. 1960 และยังถูกใช้ประจำการของหน่วยตำรวจโซเวียตอีกด้วย

ปืนชนิดนี้มีหลายรุ่น แต่รุ่นที่นิยมใช้กันก็คือ ทีที-33 (อังกฤษ: TT-33) และเป็นปืนที่ประจำการในประเทศกลุ่มตะวันออกในช่วงสงครามเย็น และยังถูกนำไปผลิตใหม่ในหลายประเทศ เช่น จีน ผลิตปืนในรูปแบบนี้โดยใช้ชื่อรุ่นว่า ปืนพกชนิด 54 (อังกฤษ: Type 54) ผลิตโดยบริษัทโนรินโค นอกจากนี้ยังมีประเทศอื่นๆ อีกมากที่ผลิตปืนลักษณะนี้เช่น โปแลนด์ โรมาเนีย ยูโกสโลวาเกีย ฯลฯ

ความเป็นมา[แก้]

"โตกาเรฟ" ถูกออกแบบโดยเฟดอร์ โตกาเรฟ (Fedor Tokarev) ในปื ค.ศ. 1930 ระหว่างนี้ก็ยังถูกทางการโซเวียตติเตียนตักเตือนในเรื่องความไม่สมบูรณ์หลายครั้ง[3] จึงออกแบบใหม่หลายครั้งจนกระทั่งได้รุ่นที่สมบูรณ์ที่สุดคือ ทีที-33[2] ซึ่งเป็นรุ่นที่นิยมใช้กันมากที่สุด ต่อมาในช่วงทศวรรษ 1950 สหภาพโซเวียตได้ให้กรรมสิทธิ์การผลิตปืนชนิดนี้ของประเทศในกลุ่มวอร์ซอแพ็ค(Warsaw pact) โดยใช้กระสุนแบบ 7.62x25 มม หลังจากนั้นปืนชนิดนี้ก็ถูกนำไปผลิตในลักษณะเดียวกันอีกหลายประเทศ[4]

ประเทศผู้ใช้งาน[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. World.guns.ru. "Tokarev TT pistol (USSR/Russia)". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-04-05. สืบค้นเมื่อ 2008-01-29.
  2. 2.0 2.1 Cruffler.com (March 2001). "Polish M48 (Tokarev TT-33) Pistols". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-01-31. สืบค้นเมื่อ 2008-01-29.
  3. Tokarev, Vladimir (2000). "Fedor V. Tokarev". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-01-31. สืบค้นเมื่อ 2008-01-29.
  4. “โตกาเรฟ“ ทูตมรณะดับ “เอ็กซ์ จักรกฤษณ์“
  5. 5.00 5.01 5.02 5.03 5.04 5.05 5.06 5.07 5.08 5.09 5.10 5.11 5.12 5.13 5.14 5.15 5.16 5.17 5.18 5.19 5.20 5.21 5.22 5.23 5.24 5.25 5.26 5.27 5.28 5.29 5.30 5.31 5.32 5.33 5.34 5.35 5.36 5.37 5.38 5.39 Jones, Richard D. Jane's Infantry Weapons 2009/2010. Jane's Information Group; 35 edition (January 27, 2009). ISBN 978-0-7106-2869-5.
  6. "Bangladesh Military Forces - BDMilitary.com". Bangladesh Military Forces - BDMilitary.com. สืบค้นเมื่อ 14 November 2014.
  7. Small Arms Survey (2007). "Armed Violence in Burundi: Conflict and Post-Conflict Bujumbura" (PDF). The Small Arms Survey 2007: Guns and the City. Cambridge University Press. p. 204. ISBN 978-0-521-88039-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-08-27. สืบค้นเมื่อ 2018-08-29.
  8. 8.0 8.1 8.2 Marchington, James (2004). The Encyclopedia of Handheld Weapons. Lewis International, Inc. ISBN 1-930983-14-X.
  9. Hogg, Ian (2002). Jane's Guns Recognition Guide. Jane's Information Group. ISBN 0-00-712760-X.
  10. 10.0 10.1 "FINNISH ARMY 1918 - 1945: REVOLVERS & PISTOLS PART 2". www.jaegerplatoon.net. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 April 2018. สืบค้นเมื่อ 1 April 2018.
  11. 11.0 11.1 11.2 11.3 "Modern Firearms". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 December 2014. สืบค้นเมื่อ 14 November 2014.
  12. Anders, Holger (June 2014). Identifier les sources d’approvisionnement: Les munitions de petit calibre en Côte d’Ivoire (PDF) (ภาษาฝรั่งเศส). Small Arms Survey and United Nations Operation in Côte d'Ivoire. p. 15. ISBN 978-2-940-548-05-7. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-10-09. สืบค้นเมื่อ 2018-09-05.
  13. Small Arms Survey (2012). "Blue Skies and Dark Clouds: Kazakhstan and Small Arms" (PDF). Small Arms Survey 2012: Moving Targets. Cambridge University Press. p. 131. ISBN 978-0-521-19714-4. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-08-31. สืบค้นเมื่อ 2018-08-30.
  14. "Lietuvos kariuomenė :: Ginkluotė ir karinė technika » Pistoletai". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 November 2014. สืบค้นเมื่อ 14 November 2014.
  15. Small Arms Survey (2005). "Sourcing the Tools of War: Small Arms Supplies to Conflict Zones" (PDF). Small Arms Survey 2005: Weapons at War. Oxford University Press. p. 166. ISBN 978-0-19-928085-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-08-30. สืบค้นเมื่อ 2018-08-29.
  16. "Weapon". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 December 2014. สืบค้นเมื่อ 14 November 2014.
  17. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ ESAA
  18. "Archived copy" (PDF). เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-04-04.{{cite web}}: CS1 maint: archived copy as title (ลิงก์)
  19. Smith, Chris (October 2003). In the Shadow of a Cease-fire: The Impacts of Small Arms Availability and Misuse in Sri Lanka (PDF). Small Arms Survey. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-07-05. สืบค้นเมื่อ 2017-11-07.
  20. Peter Abbott (1986). Modern African Wars (1) 1965-80. p. 10. ISBN 0850457289.