ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การรับรู้รส"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Horus (คุย | ส่วนร่วม)
รส = flavor ตอนแรกเข้าใจผิด
Tikmok (คุย | ส่วนร่วม)
แปลจากวิกิอังกฤษ + บทความเก่า
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
{{about |[[ความรู้สึก]]ทาง[[ประสาทสัมผัส]]คือรสชาติ |รสนิยมทางสังคมและทางศิลป์ |รสนิยม}}
'''การชิม''' '''การลิ้มรส''' หรือ '''การรับรู้รส''' เป็นความประทับรับความรู้สึกของอาหารหรือสารอื่นบนลิ้นและเป็นหนึ่งในห้าสัมผัสดั้งเดิม
[[ไฟล์:Taste bud.svg|thumb|right| ตุ่มรับรส (Taste bud) ]]
<!-- บทอื่น ๆ ที่เปลี่ยนทางมายังบทความนี้:
รส, รสชาติ, ประสาทในการรับรส, การชิม, ชิม, ลิ้มรส, การลิ้มรส, การรับรู้รส, รับรู้รส, ระบบรู้รส, ระบบลิ้มรส, ระบบรับรส, รู้รส, การรู้รส
gustatory system, taste, gustation, gustatory perception,
เซลล์รับรส, เซลล์รู้รส, taste cell, taste receptor cell => #taste cell
-->
'''รส''' หรือ '''รสชาติ'''<ref name=Lexitron>{{Citation | title = taste | quote = รสชาติ, ประสาทในการรับรส, การชิม, ชิม | work = Lexitron พจนานุกรมไทย<=>อังกฤษ รุ่น 2.6 | url = http://lexitron.nectec.or.th | publisher = หน่วยปฏิบัติการวิจัยวิทยาการมนุษยภาษา, ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | year = 2546 }}</ref>
({{lang-en |Taste, gustatory perception, gustation}})
เป็นเรื่องเกี่ยวกับ[[ประสาทสัมผัส]]หนึ่งในห้า (นับตามโบราณ) โดยเป็น[[ความรู้สึก]]ที่ได้จาก'''ระบบรู้รส''' (gustatory system)
[[รส]]เป็นความรู้สึกที่ได้เมื่อ[[สาร]]ในปากก่อ[[ปฏิกิริยาเคมี]]กับ[[เซลล์รับรส]] (taste receptor cell) ที่อยู่ใน[[ตุ่มรับรส]] (taste bud) ในช่องปากโดยมากที่[[ลิ้น]]
รสพร้อม ๆ กับ[[กลิ่น]] และ[[การกระตุ้นที่เหมาะสม|การกระตุ้น]]ที่ประสาทไทรเจมินัล (ซึ่งทำให้รู้เนื้ออาหาร [[ความเจ็บปวด]] และ[[อุณหภูมิ]]) จะเป็นตัวกำหนดความอร่อยของอาหารหรือสารอื่น ๆ<ref name=kids>
{{cite web | title = What Are Taste Buds? | url = http://kidshealth.org/kid/talk/qa/taste_buds.html | publisher = kidshealth - Nemours Foundation }}</ref><ref>
{{cite book | authors = Chiras, Daniel D | year = 2005 | url = https://books.google.com/books?id=dNhFLnc6NRkC&lpg=PA201&ots=D2KQ-D740L&dq=taste%20bud%20concentrated&pg=PA201#v=onepage&q=taste%20bud%20concentrated&f=false | title = Human biology | publisher = Jones & Bartlett Learning | pages = 201, 464}}</ref>
กล่าวอีกอย่างก็คือ ระบบรู้รสจะตรวจจับโมเลกุล[[อาหาร]]และ[[เครื่องดื่ม]]เป็นต้น โดยมากที่ละลายใน[[น้ำ]]หรือ[[ไขมัน]]ได้
ซึ่งเมื่อรวมกับข้อมูลจาก[[ระบบรู้กลิ่น]]และ[[ระบบรับความรู้สึกทางกาย]] จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพของ[[สารอาหาร]] ปริมาณ และความปลอดภัยของสิ่งที่เข้ามาในปาก<ref>{{harvnb | Purves et al |2008a | pp = 363, 382 }}</ref>


มีรสชาติหลัก ๆ 5 อย่างคือ หวาน เปรี้ยว เค็ม ขม และ[[อุมะมิ]]<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua | name = IncompleteList |
รสเป็นความรู้สึกที่ผลิตเมื่อสสารในปากทำปฏิกิริยาเคมีกับเซลล์รับรสที่อยู่ในตุ่มรับรส การรับรู้รสร่วมกับกลิ่นและการกระตุ้นประสาทไทรเจมินัลตัดสิน[[รส]]ของอาหารหรือสารอื่น มนุษย์มีตัวรับรสบนตุ่มรับรสและพื้นที่อื่นรวมทั้งผิวด้านบนของลิ้นและ[[ฝากล่องเสียง]]
รู้กันมานานแล้วว่า การจัดหมวดหมู่แค่นี้อาจจะไม่สมบูรณ์
ในหนังสือแพทย์ยอดนิยมปี 1976 ผู้เขียนได้กล่าวไว้ว่า
{{quote |
ตามหลักการศึกษาทาง[[สรีรวิทยา]] ทั่วไปเชื่อว่ามีรส "หลัก" อย่างน้อยสี่อย่าง คือ "เปรี้ยว" "เค็ม" "หวาน" และ "ขม"
ถึงกระนั้น เราก็รู้ว่า บุคคลหนึ่ง ๆ สามารถรู้รสต่าง ๆ ได้จริง ๆ เป็นพัน ๆ
ซึ่งสมมุติว่า เป็นการรวมความรู้สึกหลัก 4 อย่างเหล่านั้น...
อย่างไรก็ดี ก็ยังอาจจะมีรสหลักอื่น ๆ หรือรสย่อย ๆ ของความรู้สึกหลัก ๆ ที่เห็นได้ยากกว่า
| ''Textbook of Medical Physiology'' (1976)<ref name=Guyton1976>{{citation | title = Textbook of Medical Physiology | last = Guyton | first = Arthur C. | year = 1976 | edition = 5th | page = 839 | publisher = W.B. Saunders | location = Philadelphia | isbn = 0-7216-4393-0 | quote = On the basis of physiologic studies, there are generally believed to be at least four ''primary'' sensations of taste: ''sour'', ''salty'', ''sweet,'' and ''bitter''. Yet we know that a person can perceive literally hundreds of different tastes. These are all supposed to be combinations of the four primary sensations...However, there might be other less conspicuous classes or subclasses of primary sensations }}</ref>}}
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***--><ref name=Kean>
{{cite journal | last1 = Kean | first1 = Sam | title = The science of satisfaction | journal = Distillations Magazine | date = Fall 2015 | volume = 1 | issue = 3 | pages = 5 | url = https://www.chemheritage.org/distillations/magazine/the-science-of-satisfaction | accessdate = 2016-12-02}}</ref><ref>
{{cite web | url = https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmedhealth/PMH0072592/ | title = How does our sense of taste work? | date = 2012-01-06 | website = PubMed | accessdate = 2016-04-05}}</ref>
มีงานทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์แล้วว่า รสชาติ 5 อย่างนี้มีจริง ๆ และแตกต่างจากกัน{{ต้องการอ้างอิงเฉพาะส่วน | date = 2016-11}}
ตุ่มรับรสสามารถแยกแยะรสชาติต่าง ๆ ผ่านปฏิสัมพันธ์ที่มีกับ[[โมเลกุล]]หรือ[[ไอออน]]ต่าง ๆ
รสหวาน อุมะมิ และขม จะเริ่มจากการจับกันของโมเลกุลกับ [[G protein-coupled receptors]] ที่[[เยื่อหุ้มเซลล์]]ของเซลล์รับรส
ส่วนความเค็มและความหวานจะรู้ได้เมื่อ[[โลหะแอลคาไล]]หรือ[[ไอออน]][[ไฮโดรเจน]] (ตามลำดับ) ไหลเข้าไปในตุ่มรับรส<ref>{{cite book | title = Human Physiology: An integrated approach | edition = 5th | publisher = Silverthorn | chapter = 10 | pages = 354}}</ref>

การรับรู้รสจะเริ่มตั้งแต่สารที่มีรสทำปฏิกิริยากับ[[น้ำลาย]]ซึ่งท่วม[[ตุ่มรับรส]]ที่อยู่บนโครงสร้างต่าง ๆ เช่น[[ปุ่มลิ้น]]
ทำให้โมเลกุลรสมีโอกาสทำปฏิกิริยากับ[[หน่วยรับรส]]ที่อยู่บน[[เยื่อหุ้มเซลล์]]ของเซลล์รับรสซึ่งอยู่รวมตัวกันที่ตุ่มรับรส
ผ่านกลไกต่าง ๆ ของหน่วยรับรสเช่นที่เป็น [[G Protein-coupled receptor]] ในที่สุดเซลล์รับรสก็จะ[[การลดขั้ว|ลดขั้ว]]แล้วส่งสัญญาณกลิ่นผ่านใยประสาทรับความรู้สึกไปยัง[[ระบบประสาทกลาง]]
สมองก็จะประมวลผลข้อมูลรสซึ่งในที่สุดก็ทำให้รู้รส<ref name=Saladin2010a>{{harvnb | Saladin |2010a }}</ref>

รสพื้นฐานจะมีส่วนต่อความรู้สึกอร่อยของอาหารในปาก ปัจจัยอื่น ๆ รวมทั้ง[[กลิ่น]]<ref name=kids/>
ที่ตรวจจับโดย[[เยื่อบุผิวรับกลิ่น]]ใน[[จมูก]]<ref>{{cite web | authors = Chudler, Eric H | title = Smell - The Nose Knows | url = http://faculty.washington.edu/chudler/nosek.html | publisher = washington.edu | deadurl = no | archiveurl = https://web.archive.org/web/20170913090326/http://faculty.washington.edu:80/chudler/nosek.html | archivedate = 2017-09-13 }}</ref>,
เนื้ออาหาร<ref>{{cite book | ref = harv | last = Rosenthal | first = Andrew J | year = 1999 | title = Food texture: measurement and perception | url = https://books.google.com/books?id=aJBIbvClWfcC&lpg=PP1&dq=Food%20texture&pg=PA36#v=onepage&q&f=false | publisher = Springer | pages = 3, 36 }}</ref>
ที่ตรวจจับโดย[[ตัวรับแรงกล]] และประสาทกล้ามเนื้อต่าง ๆ เป็นต้น<ref>{{harvnb | Rosenthal |1999 | pp = [https://books.google.com/books?id=aJBIbvClWfcC&lpg=PP1&dq=Food%20texture&pg=PA4#v=onepage&q&f=false 4] }}</ref>,
[[อุณหภูมิ]]ที่ตรวจจับโดย[[ปลายประสาทรับร้อน]],
ความเย็น (เช่นที่ได้จากเมนทอล) กับรสเผ็สที่ได้จาก[[ตัวรับรู้สารเคมี]],
รูปลักษณ์ที่ปรากฏของอาหาร ที่เห็นได้ผ่าน[[เซลล์รับแสง]]ใน[[จอตา]]<ref name=Saladin2010a-p595-597 />,
และสภาพทางจิตใจเอง<ref name=Saladin2010a-p595-597 />

เพราะเรารู้ทั้งรสที่เป็นอันตรายและมีประโยชน์ รสพื้นฐานทั้งหมดสามารถจัดเป็นไม่น่าพอใจ (aversive) หรือทำให้อยากอาหาร (appetitive)<ref name=aa>{{cite web | authors = Jacob, Tim | date = 2009-05-22 | title = Why do two great tastes sometimes not taste great together? | url = http://www.scientificamerican.com/article.cfm?id=two-great-tastes-not-great-together | publisher = scientificamerican }}</ref>
ความหวานช่วยระบุอาหารที่สมบูรณ์ด้วย[[พลังงาน]] ในขณะที่ความขมช่วยเตือนว่าอาจมีพิษ<ref>{{cite journal | last = Miller | first = Greg | title = Sweet here, salty there: Evidence of a taste map in the mammilian brain. | journal = Science | date = 2011-09-02 | volume = 333 | issue = 6047 | page = 1213 | doi = 10.1126/science.333.6047.1213}}</ref>

สำหรับ[[มนุษย์]] การรู้รสจะเริ่มลดลงราว ๆ อายุ 50 ปี
เพราะการเสีย[[ปุ่มลิ้น]]และการผลิต[[น้ำลาย]]ที่น้อยลง<ref name="SeidelBall2010">{{cite book | authors = Seidel, Henry M; Ball, Jane W; Dains, Joyce E | title = Mosby's Guide to Physical Examination | url = https://books.google.com/books?id=j7HSCQAAQBAJ&pg=PA303 | date = 2010-02-01 | publisher = Elsevier Health Sciences | isbn = 978-0-323-07357-8 | page = 303 }}</ref>
ทำให้[[ผู้สูงอายุ]]มักทานรสจัดขึ้นเทียบกับ[[เด็ก]] เช่น ต้องเติม[[เกลือ]] เติม[[พริก]]เป็นต้น ซึ่งอาจเป็นปัญหาต่อผู้มี[[ความดันโลหิตสูง]]หรือมีปัญหาธำรงดุล[[อิเล็กโทรไลต์]]ในร่างกาย<ref name=Purves2008a-p384-387>{{harvnb | Purves et al |2008a | loc = Taste Perception in Humans, pp. 384-387 }}</ref>
มนุษย์สามารถรู้รสแบบผิดปกติเพราะเป็นโรค dysgeusia<!--*** เริ่มเชิงอรรถ ***-->{{Efn-ua | name = dysgeusia |
'''dysgeusia''' หรือ '''parageusia''' เป็นการรู้รสชาติที่ผิดปกติ
บ่อยครั้งสัมพันธ์กับ ageusia ซึ่งก็คือการไม่รู้รสชาติเลย และ hypogeusia ซึ่งเป็นความไวรสชาติที่ลดลง<ref>{{cite book | authors = Feske, Samuel K; Samuels, Martin A | year = 2003 | title = Office Practice of Neurology | edition = 2nd | location = Philadelphia | publisher = Elsevier Science | pages = 114 }}</ref>
การรู้รสหรือกลิ่นที่เปลี่ยนไป อาจเป็นอาการรองของ[[โรค]]ต่าง ๆ หรืออาจเป็นอาการหลัก
แต่ปกติจะเป็น[[อาการ]]อย่างหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น [[การวินิจฉัยทางการแพทย์|การวินิจฉัย]]โรคมักจะซับซ้อนเพราะการรู้รสจะเชื่อมกับ[[ประสาทสัมผัส]]อื่น ๆ
เหตุสามัญรวมทั้ง[[เคมีบำบัด]] การรักษา[[โรคหืด]]ด้วยยา[[ซัลบูทามอล]] และการขาด[[สังกะสี]]
ยาต่าง ๆ อาจทำให้รู้รสเปลี่ยนไปจนจัดได้ว่าเป็น dysgeusia
เนื่องจากมีเหตุต่าง ๆ มากมาย จึงรักษาได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการลดหรือการระงับอาการ
รวมทั้งน้ำลายเทียม ยา[[ไพโลคาร์พีน]] อาหารเสริมสังกะสี การเปลี่ยนยารักษา และยา alpha lipoic acid
}}<!--*** จบเชิงอรรถ ***-->

[[สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม]]ทั้งหมดไม่ได้รู้รสได้เหมือน ๆ กัน
[[สัตว์ฟันแทะ]]บางชนิดสามารถรู้รส[[แป้ง]] (ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถ) แมวไม่สามารถรู้รสหวาน และ[[สัตว์กินเนื้อ]]หลายอย่างรวมทั้งหมา[[ไฮยีน่า]] ปลา[[โลมา]] และ[[สิงโตทะเล]]ต่างก็ได้เสียการรู้รสชาติอาจถึง 4 อย่างจาก 5 อย่างที่[[บรรพบุรุษ]]ของพวกมันรู้<ref>{{cite web | last1 = Scully | first1 = Simone M. | title = The Animals That Taste Only Saltiness | url = http://nautil.us/blog/the-animals-that-taste-only-saltiness | website = Nautilus | accessdate = 2014-08-08}}</ref>

== รสชาติพื้นฐาน ==
รสชาติทำให้มนุษย์สามารถแยกแยะ[[อาหาร]]ที่ปลอดภัยและเป็นอันตราย และประเมินคุณค่าทาง[[โภชนาการ]]ได้
[[เอนไซม์]]ย่อยอาหารใน[[น้ำลาย]]จะเริ่มย่อยละลายอาหารให้เป็น[[สารเคมี]]พื้นฐาน ที่ท่วมปุ่มลิ้นให้ตุ่มรับรสตรวจจับรสชาติได้
ถ้าไม่มีน้ำลาย น้ำตาลหรือเกลือจะไม่มีรสชาติอะไร ๆ<ref name=Saladin2010a-p595 />
ลิ้นเต็มไปด้วย[[ปุ่มลิ้น]]เล็ก ๆ (lingual papillae) เป็นพัน ๆ ซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แต่ละปุ่มจะมี[[ตุ่มรับรส]] (taste bud) เป็นร้อย ๆ<ref name="Schacter169"/>
ยกเว้น[[ปุ่มรูปใบไม้]] (filiform papillae) ซึ่งไม่มีตุ่มรับรส
มีตุ่มรับรสจำนวนระหว่าง 2,000-5,000 ที่ด้านหน้าและหลังของ[[ลิ้น]]<ref name="Boron, W.F. 2003"/>
และยังอยู่ที่เพดาน ข้าง ๆ และหลัง[[ปาก]] และใน[[คอ]]อีกด้วย
ตุ่มรับรสแต่ละตุ่มจะมี[[เซลล์รับรส]] 40-60 เซลล์<ref name=Saladin2010a-p595 />
และ[[หน่วยรับรส]]ที่เป็นจุดเริ่มการรู้รสชาติก็จะอยู่ที่[[เยื่อหุ้มเซลล์|เยื่อหุ้ม]]ของเซลล์รับรส<ref name=Saladin2010a-p595-597 />

รสชาติ 5 อย่างที่[[หน่วยรับรส]]สามารถรู้ได้รวมทั้งเค็ม หวาน ขม เปรี้ยว และ[[อุมะมิ]] ซึ่งเป็นคำ[[ภาษาญี่ปุ่น]]ซึ่งสามารถแปลเป็น "อร่อย"
อาหารรสขมโดยทั่วไปจะไม่น่าชอบใจ ในขณะที่รสเปรี้ยว เค็ม หวาน และอุมะมิโดยทั่วไปเป็นรสที่ดี
เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 นัก[[สรีรวิทยา]]และนัก[[จิตวิทยา]]ชาวตะวันตกได้เชื่อว่ามีรสชาติพื้นฐานอยู่ 4 อย่าง คือ หวาน เปรี้ยว เค็ม และขม
ในเวลานั้น ยังไม่มีใครค้นพบรสอุมะมิ<ref>{{cite journal | last = Ikeda | first = Kikunae | title = New Seasonings | journal = Chemical Senses | origyear = First published 1909 | year = 2002 | volume = 27 | issue = 9 | pages = 847-849 | url = http://chemse.oxfordjournals.org/cgi/reprint/27/9/847 | format = [[PDF]] | accessdate = 2007-12-030 | doi = 10.1093/chemse/27.9.847 | pmid = 12438213}}</ref>
แต่ปัจจุบันผู้ชำนาญการโดยมากได้ยอมรับมันว่าเป็นรสชาติที่ห้า

งานศึกษาหนึ่งพบว่า กลไกที่ตรวจจับรสเค็มและเปรี้ยว สามารถตรวจจับ[[โซเดียมคลอไรด์]]คือเกลือได้แม้จะทำงานต่างกัน อย่างไรก็ดี กรดก็สามารถตรวจจับโดยเป็นรสเปรี้ยวได้ด้วย<ref>{{cite journal | last = Lindemann | first = Bernd | title = Receptors and transduction in taste | journal = Nature | date = 2001-09-13 | volume = 413 | pages = 219-225 | url = http://www.nature.com/nature/journal/v413/n6852/pdf/413219a0.pdf | format = [[PDF]] | accessdate = 2007-12-030 | doi = 10.1038/35093032 | pmid = 11557991 | issue = 6852}}</ref>
การตรวจจับเกลือได้สำคัญใน[[สิ่งมีชีวิต]]ต่าง ๆ โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพราะมันมีบทบาทที่ขาดไม่ได้ใน[[ภาวะธำรงดุล|การดำรงดุล]]ไอออนและน้ำในร่างกาย
มันจำเป็นโดยเฉพาะที่[[ไต]] เพราะเป็น[[สารประกอบ]]ที่มีฤทธิ์เกี่ยวกับ[[ออสโมซิส]] ซึ่งช่วยดูดซึมน้ำกลับเข้าในเส้นเลือด{{ต้องการอ้างอิงเฉพาะส่วน | date = 2016-09}}
เพราะเหตุนี้ เกลือจึงเป็นรสที่น่าพึงใจในมนุษย์โดยมาก

รสเปรี้ยวและรสเค็มจะน่ายินดีเมื่อมีน้อย แต่ถ้ามีมากขึ้นก็อาจไม่น่ายินดีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
สำหรับรสเปรี้ยว นี่อาจเป็นเพราะมันเป็นตัวบ่งผลไม้ที่ยังไม่สุก เนื้อหรืออาหารที่เสียแล้ว
ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายเพราะ[[แบคทีเรีย]]ในอาหาร
อนึ่ง รสเปรี้ยวเป็นตัวแสดงกรด ซึ่งอาจเป็นอันตรายมากต่อเนื้อเยื่อต่าง ๆ

รสขมปกติจะไม่น่ายินดีต่อมนุษย์เกือบทั้งหมด
เพราะ[[สารประกอบอินทรีย์|โมเลกุลอินทรีย์]]หลายประเภทที่มี[[ไนโตรเจน]] จะมีผลทาง[[เภสัชวิทยา]]ที่ทำให้รู้สึกขม
รวมทั้ง[[กาเฟอีน]] [[นิโคติน]] strychnine (สารพิษไร้สีชนิดหนึ่ง) ซึ่งตามลำดับเป็นส่วนประกอบของสารเร้าใน[[กาแฟ]] สารเสพติดใน[[บุหรี่]] สารประกอบออกฤทธิ์ของ[[สารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์]]จำนวนมาก และอาหารที่เสีย<ref name=Saladin2010a-p595-597 />
แต่ก็ปรากฏว่า มีกระบวนการทางจิตใจบางอย่างที่ทำให้มนุษย์สามารถข้ามความรังเกียจตามธรรมชาติที่มีต่อรสขม ดังที่พบว่ากาแฟเป็นสิ่งบริโภคที่คนชอบทั่วโลก
เป็นเรื่องน่าสนใจด้วยว่า ยาสามัญต่าง ๆ จะมีรสขมถ้าเคี้ยว
ซึ่งระบบรู้รสดูเหมือนจะตีความสารเหล่านี้ว่าเป็นพิษ
เพราะเหตุนี้ ความรู้สึกไม่ชอบใจในรสขมอาจเป็นระบบเตือนภัยขั้นสุดท้ายก่อนจะบริโภคสิ่งที่อาจเป็นอันตราย

รสหวานเป็นตัวบอกการมี[[คาร์โบไฮเดรต]]ในสาร
เพราะคาร์โบไฮเดรตมี[[แคลอรี]]สูง (เพราะ saccharide มีพันธะหลายอัน จึงมี[[พลังงาน]]มาก)
ร่างกายจึงต้องการเพราะได้[[วิวัฒนาการ]]ให้หาอาหารที่มี[[แคลอรี]]สูงสุด
คาร์โบไฮเดรตสามารถใช้เป็น[[พลังงาน]]โดยตรง (คือ[[น้ำตาล]]) หรือใช้เก็บพลังงาน (โดยเป็น[[ไกลโคเจน]])
อย่างไรก็ดี ก็ยังมีโมเลกุลที่ไม่ใช่คาร์โบไฮเดรตอื่น ๆ ที่ทำให้รู้สึกหวาน
จึงสามารถพัฒนาน้ำตาลเทียมได้หลายอย่าง รวมทั้ง[[แซกคารีน]], sucralose, และ[[แอสปาร์แตม]]
ยังไม่ชัดเจนว่าสารเหล่านี้ทำให้หน่วยรับรสหวานทำงานได้อย่างไร และเคยมีความสำคัญทาง[[การปรับตัว (ชีววิทยา)|การปรับตัว]]ด้วยหรือไม่

ส่วนรส[[อุมะมิ]]ได้ค้นพบโดย[[นักเคมี]][[ชาวญี่ปุ่น]] ศ.ดร.คิคุนาเอะ อิเคดะ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียวอิมพีเรียล (ปัจจุบันคือ[[มหาวิทยาลัยโตเกียว]]) เป็นรสที่แสดงว่ามี[[กรดอะมิโน]] L-glutamate ซึ่งทำให้พอใจและกระตุ้นให้ทานอาหารที่มี[[เพปไทด์]]และ[[โปรตีน]]
เพราะร่างกายจะใช้กรดอะมิโนในโปรตีนเพื่อสร้าง[[กล้ามเนื้อ]]และ[[อวัยวะ]]ต่าง ๆ สร้างโมเลกุลขนส่ง (รวมทั้ง[[เฮโมโกลบิน]]) สร้าง[[สารภูมิต้านทาน]] และสร้าง[[การเร่งปฏิกิริยา|ตัวเร่งอินทรีย์]]คือ[[เอนไซม์]]
ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่จำเป็น ร่างกายจึงจำเป็นจะต้องมีกรดอะมิโนอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้น จึงก่อความรู้สึกยินดีเมื่อมีในปาก

ในปี ค.ศ. 2015 นักวิจัยที่[[มหาวิทยาลัยเพอร์ดู]]ได้เสนอรสชาติพื้นฐานของไขมันที่เรียกว่า oleogustus<ref name="oleogustus">{{cite news | last = Oaklander | first = Mandy | date = 2015-07-28 | title = A New Taste Has Been Added to the Human Palate | url = http://time.com/3973294/fat-taste-oleogustus/ | newspaper = TIME | access-date = 2015-08-04}}</ref>
อนึ่ง ในประเทศ[[เอเชีย]]ที่อยู่ใต้อิทธิพลของ[[วัฒนธรรม]][[จีน]]และ[[อินเดีย]] รสเผ็ดอาจจัดว่าเป็นรสชาติพื้นฐานที่หก<ref name="Ayurvedic2002"/>

=== รสหวาน ===
<!--เผื่ออนาคต {{บทความหลัก |Sweetness}} -->
[[ไฟล์:Signal Transaction of the Sweet Taste.svg|thumb|
แผนภาพแสดงวิถี[[การถ่ายโอนสัญญาณ]] (signal transduction pathway) ของการรู้รสหวาน
'''A'''&nbsp;เป็น[[ตุ่มรับรส]] '''B'''&nbsp;เป็นเซลล์รับรสที่ตุ่มรับรส และ '''C'''&nbsp;เป็น[[เซลล์ประสาท]]ที่เชื่อมกับเซลล์รับรส
{{Ordered list | list_style_type = upper-roman
|ส่วนนี้แสดงการรับ/การจับกับ[[โมเลกุล]]ที่มีรส
{{Ordered list | list_style_type = decimal
| [[น้ำตาล]]เป็นโมเลกุลส่งสัญญาณที่หนึ่ง ซึ่งจับกับ[[โปรตีน]][[หน่วยรับรส]]ที่[[เยื่อหุ้มเซลล์]]
}}
|ส่วนนี้แสดง[[การถ่ายโอนความรู้สึก|การถ่ายโอนสัญญาณ]]ของโมเลกุลรีเลย์
{{Ordered list | list_style_type = decimal | start = 2
| [[G Protein-coupled receptor]] ซึ่งเป็น[[โมเลกุลส่งสัญญาณที่สอง]] จะเริ่มทำงาน
| [[โปรตีนจี]]จะเริ่มการทำงานของ[[เอนไซม์]] adenylate cyclase ซึ่งเพิ่มความเข้มข้นของ cAMP โดย[[การลดขั้ว]]ของเซลล์รับรสจะเริ่มจากจุดนี้
| [[พลังงาน]]ที่ได้จาก 3 จะใช้เริ่มการทำงานของโปรตีนซึ่งเป็นช่อง[[โพแทสเซียม]] (K+)
}}
|ส่วนนี้แสดงการตอบสนองของ[[เซลล์รับรส]]
{{Ordered list | list_style_type = decimal | start = 5
| โปรตีนคือช่องแคลเซียม (Ca<sup>+</sup>) จะเริ่มทำงาน
| Ca<sup>+</sup> ที่เข้มข้นขึ้นจะทำให้ถุงเก็บหลั่ง[[สารสื่อประสาท]]ออกนอกเซลล์
| ซึ่งเริ่มการทำงานของ[[เซลล์ประสาท]]ที่เชื่อมกับ[[ตุ่มรับรส]]
}}
}}
]]
ความหวาน ซึ่งเป็นรสชาติที่น่ายินดี เกิดอาศัย[[น้ำตาล]]และสารอื่น ๆ บางอย่าง รวมทั้ง[[น้ำตาลเทียม]] ([[แซกคารีน]]และ[[แอสปาร์แตม]]เป็นต้น) [[โปรตีน]]รสหวานบางอย่าง (monellin และ thaumatin เป็นต้น) และกรด d-amino บางชนิด<ref>
{{harvnb | Buck | Bargmann |2013a | loc = Sweet Taste, 728-729 }}</ref><ref name=ChaudhariRoper2010-p290-291>
{{harvnb | Chaudhari | Roper |2010 | loc = Beyond the tasty morsel: the underlying molecular mechanisms for nutrient detection Transduction of gustatory stimuli in receptor (Type III) cell, pp. 290-291 }}</ref>
เป็นรสที่บ่อยครั้งเชื่อมกับ[[แอลดีไฮด์]]และ[[คีโทน]] ซึ่งมีกลุ่มทำงาน carbonyl{{ต้องการอ้างอิงเฉพาะส่วน | date = 2010-10}}
เป็นรสที่สัมพันธ์กับ[[คาร์โบไฮเดรต]]และอาหารที่มีพลังงานสูง<ref name=Saladin2010a-p595-597 />
และตรวจจับได้โดย [[G protein coupled receptor]] (GPCR) แบบต่าง ๆ ซึ่งพบที่เซลล์รับรส<ref>{{cite news | title = How the Taste Bud Translates Between Tongue and Brain | date = 1992-08-04 | url = https://www.nytimes.com/1992/08/04/science/how-the-taste-bud-translates-between-tongue-and-brain.html?pagewanted=all | work = New York Times}}</ref>

หน่วยรับรสหวานสองชนิดจะต้องทำงานก่อนที่[[สมอง]]จะแปลผลว่าเป็นรสหวาน
สารประกอบที่สมองรู้สึกว่าหวาน จึงเป็นสารที่จับกับหน่วยรับรสหวานสองประเภทโดยมีกำลังของ[[พันธะเคมี]]ในระดับต่าง ๆ
เป็นหน่วยรับรสประเภท T1R2+3 (เป็น heterodimer คือโมเลกุลโปรตีนต่าง ๆ กันจับคู่) และ T1R3 (เป็น homodimer เป็นโมเลกุลโปรตีนเหมือนกันจับคู่) ซึ่งอธิบายรสหวานทั้งหมดที่มีใน[[มนุษย์]]และ[[สัตว์]]<ref name=ZhaoEtAl2003>{{cite journal | authors = Zhao, Grace Q; Zhang, Yifeng; Hoon, Mark A; Chandrashekar, Jayaram; Erlenbach, Isolde; Ryba, Nicholas JP; Zuker, Charles S | title = The Receptors for Mammalian Sweet and Savory taste | journal = Cell | date = 2003-10 | volume = 115 | issue = 3 | pages = 255-266 | url = http://download.cell.com/pdfs/0092-8674/PIIS0092867403008444.pdf | format = [[PDF]] | accessdate = 2007-12-030 | doi = 10.1016/S0092-8674(03)00844-4 | pmid = 14636554}}</ref>

ส่วนขีดเริ่มเปลี่ยนของการรู้รสหวานจะวัดเทียบกับ[[ซูโครส]] ซึ่งมีค่าดรรชนีที่ 1<ref name="textbookofmedicalphysiology8thed" /><ref name=McLaughlin&Margolskee/>
มนุษย์มีขีดเริ่มเปลี่ยนเฉลี่ยของการรู้รสซูโครสที่ 10 [[มิลลิโมล]]/[[ลิตร]] (mmol/L)
สำหรับ[[แล็กโทส]] จะอยู่ที่ 30 mmol/L โดยมีค่าดรรชนีที่ 0.3<ref name="textbookofmedicalphysiology8thed" />
และสำหรับ 5-Nitro-2-propoxyaniline จะอยู่ที่ 0.002 mmol/L

น้ำตาล "ธรรมชาติ" เช่น saccharide จะเริ่มการทำงานหน่วยรับรสหวานอันเป็น [[G protein-coupled receptor]] ซึ่งก็จะเริ่มการทำงานของโปรตีนจีที่คู่กัน
ซึ่งในที่สุดก็เริ่มการทำงานของ isoform ของ phospholipase C คือ PLC{{sub |β2}} ซึ่งทำให้ inositol triphosphate (IP{{sub |3}}) เข้มข้นขึ้น และเปิดช่อง TRPM{{sub |5}} ซึ่งทำให้เซลล์[[การลดขั้ว|ลดขั้ว]]ผ่านการมี Ca<sup>2+</sup> เพิ่มขึ้นในเซลล์
แล้วนำไปสู่การหลั่งสารสื่อประสาทที่ฐานของเซลล์ในที่สุด<ref name=Purves2008a-p387-389 />
น้ำตาลเทียมเช่น [[แซกคารีน]] จะเริ่มการทำงานของ GPCR ต่างประเภทกัน แล้วทำให้เซลล์รับรสลดขั้วผ่านวิถี[[การถ่ายโอนความรู้สึก|การถ่ายโอนสัญญาณ]]ที่ต่างกัน{{ต้องการอ้างอิงเฉพาะส่วน | date = 2014-04-24 }}

ต้นไม้หลายอย่างได้วิวัฒนาการให้มีรสหวานในดอกและผล ซึ่งชวนให้สัตว์กินและช่วยกระจาย[[ละอองเกสร]]และเม็ดของต้นไม้ ความชอบผลไม้หวาน ๆ และของหวาน ๆ ของมนุษย์ ได้วิวัฒนาการขึ้นร่วมกับวิธีการสืบพันธุ์ของต้นไม้<ref name=Saladin2010a-p595-597 />

=== รสเปรี้ยว ===
<!--เผื่ออนาคต {{Redirect |Sour}} -->
[[ไฟล์:Signal Transaction of Taste; Sour & Salty.svg|thumb|
แผนภาพแสดง[[วิถีการถ่ายโอนสัญญาณ]] (signal transduction pathway) ของการรู้รสเปรี้ยวหรือรสเค็ม
'''A''' เป็น[[ตุ่มรับรส]] '''B''' เป็นเซลล์รับรสที่ตุ่มรับรส และ '''C''' เป็น[[เซลล์ประสาท]]ที่เชื่อมกับเซลล์รับรส
'''I''' ส่วนนี้แสดงการรับไอออน[[ไฮโดรเจน]]หรือ[[โซเดียม]]
'''1''' ถ้าเป็นรสเปรี้ยว ไอออน H<sup>+</sup> จากสารที่เป็น[[กรด]]จะผ่านเข้าช่องไอออนโดยเฉพาะของมัน แต่บางส่วนก็จะสามารถผ่านช่องไอออน Na<sup>+</sup> ด้วย ถ้าเป็นรสเค็ม ไอออน Na<sup>+</sup> จะผ่านเข้าช่องไอออน Na<sup>+</sup> นี่เป็นจุดที่เซลล์เริ่ม[[การลดขั้ว|ลดขั้ว]]
'''II''' ส่วนนี้แสดง[[การถ่ายโอนความรู้สึก|การถ่ายโอนสัญญาณ]]ของโมเลกุลรีเลย์
'''2''' ช่อง[[แคตไอออน]]เช่นช่อง [[โพแทสเซียม|K<sup>+</sup>]] จะเปิด
'''III''' ส่วนนี้แสดงการตอบสนองของเซลล์รับรส
'''3''' ไอออน Ca<sup>+</sup> จะไหลเข้ามาในเซลล์
'''4''' แล้วเริ่มการทำงานของ[[สารสื่อประสาท]]
'''5''' ซึ่งส่งสัญญาณไปยังเซลล์ประสาทที่เชื่อมกับตุ่มรับรส
]]
รสเปรี้ยวเป็นตัวบ่ง[[ความเป็นกรด]]<ref>
{{cite book | authors = Fenton, Henry John Horstman | url = https://books.google.com/books?id=HL88AAAAIAAJ&lpg=PA241&dq=dilute%20hcl%20sourness&pg=PA241#v=onepage&q&f=false | title = outlines of chemistry with practical work | publisher = CUP Archive | pages = 241 }}</ref><ref>
{{cite book | authors = Leong, Chang See; Ying, Chong Kum; Tong, Choo Yan; Neo, Low Swee | year = 2009 | url = https://books.google.com/books?id=-liIkg49at0C&lpg=PA242&dq=dilute%20hcl%20sourness&pg=PA242#v=onepage&q&f=false | title = Focus Ace Pmr 2009 Science | pages = 242 }}</ref>
รสเปรี้ยวจะตรวจจับโดยเซลล์รับรสส่วนหนึ่งที่กระจายไปทั่ว[[ตุ่มรับรส]]ที่[[ลิ้น]]
และเหมือนกับเกลือ การรู้รสเกิดขึ้นได้ต้องอาศัย[[ช่องไอออน]]<ref name=ion>{{cite book | authors = Frings, Stephan; Bradley, Jonathan | year = 2004 | url = https://books.google.com/books?id=7r4NFLOBSmsC&pg=PA155&dq=salty+sodium+ion+channel&hl=en&ei=lE2VTJuJIonksQOyk4XACg&sa=X&oi=book_result&ct=result&resnum=1&ved=0CCoQ6AEwAA#v=onepage&q=salty%20sodium%20ion%20channel&f=false | title = Transduction channels in sensory cells | publisher = Wiley-VCH | pages = 155 }}</ref>
คือ[[แคตไอออน]] H<sup>+</sup> จาก[[กรด]] เช่น [[กรดน้ำส้ม]] จะไหลผ่านช่องไอออนซึ่งน่าจะเป็นแบบ H<sup>+</sup>-permeant, non-selective cation channel (ช่องแคตไอออนแบบไม่เลือกที่ให้ H<sup>+</sup> ซึมเข้าได้) ในตระกูล TRP ซึ่งบางครั้งเรียกว่า PKD (เพราะสัมพันธ์กับช่องไอออนที่[[กลายพันธุ์]]ในโรค polycystic kidney disease)<ref name=Purves2008a-p387-389 />
รวมทั้งช่อง PKD2L1<ref name=ScienceDaily24Aug06Sour>{{citation | date = 2006-08-24 | title = Biologists Discover How We Detect Sour Taste | work = Science Daily | url = http://www.sciencedaily.com/releases/2006/08/060823184824.htm | accessdate = 2010-09-12}}</ref>
โดย[[โปรตอน]] (H<sup>+</sup>) ที่เข้ามาจะทำให้เซลล์ลดขั้วโดยตรง มีผลให้ไอออนแคลเซียมไหลผ่านช่องแคลเซียมในส่วนฐานเป็นการเพิ่มการลดขั้วอีก ซึ่งในที่สุดทำให้เซลล์หลั่งสารสื่อประสาท<ref name=Purves2008a-p387-389 />

แต่[[ยีน]] PKD2L1 อาจไม่จำเป็นสำหรับการรู้รสเปรี้ยว
เพราะมีหลักฐานว่า [[โปรตอน]]ที่มีอยู่อย่างสมบูรณ์ในสารเปรี้ยว สามารถเข้าไปในเซลล์รับรสเปรี้ยวโดยตรงผ่าน[[ช่องไอออน]]ที่ส่วนยอด<ref>{{cite journal | title = A proton current drives action potentials in genetically identified sour taste cells | authors = Chang, Rui; Waters, Hang; Liman, Emily | journal = Proc Natl Acad Sci U S A | date = 2010 | volume = 107 | issue = 51 | pages = 22320-22325 | pmc = 3009759 | pmid = 21098668 | doi = 10.1073/pnas.1013664107}}</ref>
คือการย้าย[[ประจุ]]บวกเข้าไปในเซลล์ก็เพียงพอจุดชนวนการตอบสนองทางไฟฟ้าได้แล้ว
จึงมีการเสนอว่า [[กรด]]อ่อน ๆ เช่น [[กรดน้ำส้ม]] ซึ่งไม่ได้[[การแตกตัวเป็นไอออน|แตกตัว]]อย่างสมบูรณ์ที่ค่า[[พีเอช (เคมี)|พีเอช]]ในร่างกาย ก็ยังสามารถเข้าไปในเซลล์รับรสแล้วก่อให้ตอบสนองทางไฟฟ้า
ตามกลไกนี้ ไอออนไฮโดรเจนภายในเซลล์เองจะยับยั้งช่องโพแทสเซียม
ซึ่งปกติมีหน้าที่เพิ่มขั้วเซลล์ (จึงทำให้[[การลดขั้ว|ลดขั้ว]]ได้ยากขึ้น)
เมื่อรวมการรับไฮโดรเจนเข้าโดยตรง (ซึ่งก็จะลดขั้วเซลล์) และการยับยั้งการทำงานของช่องไอออนที่เพิ่มขั้วเซลล์
รสเปรี้ยวจึงมีผลให้เซลล์รับรสลดขั้วและปล่อยสารสื่อประสาท<ref>{{cite journal | title = The K<sup>+</sup> channel KIR2.1 functions in tandem with proton influx to mediate sour taste transduction | author = Ye, W; Chang, RB; Bushman, JD; Tu, YH; Mulhall, EM; Wilson, CE; Cooper, AJ; Chick, WS; Hill-Eubanks, DC; Nelson, MT; Kinnamon, SC; Liman, ER | journal = Proc Natl Acad Sci U S A | date = 2016 | volume = 113 | pages = E229-238 | pmid = 26627720 | pmc = 4720319 | doi = 10.1073/pnas.1514282112}}</ref>

ความเข้มข้นของรสเปรี้ยวจะวัดเทียบกับ[[กรดไฮโดรคลอริก]]เจือจาง ซึ่งมีดรรชนีความเปรี้ยวที่ 1
เทียบกับกรดปูน (tartaric acid) ที่มีค่าดรรชนีรสเปรี้ยว 0.7 และกรดซิตริกที่มีค่าดรรชนี 0.46 (2 mMol/L) และ[[กรดคาร์บอนิก]]ที่มีค่าดรรชนี 0.06<ref name="textbookofmedicalphysiology8thed" /><ref name=McLaughlin&Margolskee/>

รสเปรี้ยวปกติจะไม่ค่อยเป็นที่ชอบใจ ดังนั้น เราจึงหลีกเลี่ยงทานอาหารที่เปรี้ยวมาก ๆ ซึ่งสามารถกวนการรักษาความเป็นกรดด่างภายในร่างกาย นอกจากนั้น อาหารที่เสียบ่อยครั้งยังมีรสเปรี้ยวด้วย ถึงกระนั้น เราก็อาจเรียนรู้แล้วกลายมาเป็นชอบใจอาหารที่ออกขมและเปรี้ยวได้<ref name=ChaudhariRoper2010-p285-286 />

ในบรรดาอาหารซึ่งสามัญที่สุด กลุ่มที่มีรสเปรี้ยวตามธรรมชาติก็คือ[[ผลไม้]]
เช่น ลูก[[เลมอน]] ลูก[[องุ่น]] [[ส้ม]] [[มะขาม]] และบางครั้ง เมลอน/แตง
[[ไวน์]]ปกติก็มีรสเปรี้ยวหน่อย ๆ ด้วย และนมถ้าไม่เก็บให้ดี ก็จะเสียแล้วเกิดรสเปรี้ยว
เด็กใน[[สหรัฐอเมริกา]]และ[[สหราชอาณาจักร]] ชอบรสเปรี้ยวมากกว่าผู้ใหญ่<ref>{{cite journal | title = Heightened Sour Preferences During Childhood | authors = Liem, Djin Gie; Mennella, Julie A | journal = Chem Senses | date = 2003-02 | volume = 28 | issue = 2 | pages = 173-180 | pmc = 2789429 | doi = 10.1093/chemse/28.2.173 | pmid = 12588738}}</ref>
และขนมรสเปรี้ยวก็เป็นที่นิยมใน[[อเมริกาเหนือ]]<ref>{{cite web | title = New for Vending! Twizzlers | url = http://www.hersheys.com/vending/lib/pdf/sellsheets/SweetSourSS.pdf | format = [[PDF]] | publisher = Hersheys | deadurl = no | archiveurl = https://web.archive.org/web/20160304083928/http://www.hersheys.com/vending/lib/pdf/sellsheets/SweetSourSS.pdf | archivedate = 2016-03-04 | quote = Sour candy is growing segment (+8.1% vs. YAG) and is outpacing growth in the non-chocolate category (+2.4% vs. YAG)}}</ref>
โดยขนมหลายอย่างจะมีกรดซิตริก

=== รสเค็ม ===
<!--เผื่ออนาคต {{Redirect |Saltiness|the saltiness in the water|Salinity}} -->
ความเค็มเป็นรสที่เกิดโดยหลักเนื่องจากมี[[ไอออนโซเดียม]]
ไอออนของ[[โลหะแอลคาไล]]อื่น ๆ ก็มีรสเค็มเช่นกัน แต่ยิ่งห่างจากเกลือเท่าไรตาม[[ตารางธาตุ]] ก็เค็มน้อยลงเท่านั้น
ไอออนที่ทำให้รู้รสเค็มรวมทั้ง
Na<sup>+</sup>, K<sup>+</sup>, และ Li<sup>+</sup><ref name=ion/>
ที่สามารถตรวจจับได้โดยตรงเมื่อ[[แคตไอออน]]ไหลเข้า[[เซลล์รับรส]] โดยผ่านช่องไอออนแคลเซียมที่ไวต่อ[[อะมิโลไรด์]] ซึ่งมีผลให้เซลล์[[การลดขั้ว|ลดขั้ว]]โดยตรง
มีผลให้ไอออนแคลเซียมไหลผ่านช่องแคลเซียมในส่วนฐานเป็นการเพิ่มการลดขั้วอีก ซึ่งในที่สุดทำให้เซลล์หลั่ง[[สารสื่อประสาท]]<ref name=Purves2008a-p387-389 />

หน่วยรับเกลือคือช่องโซเดียมที่ผนังของเซลล์รับรส ปล่อยให้[[แคตไอออน]]ของโซเดียมไหลเข้ามาในเซลล์ได้
และนี่โดยตนเองก็สามารถ[[การลดขั้ว|ลดขั้ว]]ของเซลล์ และเปิดช่องแคลเซียมที่เปิดปิดขึ้นกับศักย์ไฟฟ้า (voltage-dependent calcium channel) ทำให้เซลล์ท่วมเต็มไปด้วยไอออนแคลเซียมที่มี[[ประจุ]]บวก และนำไปสู่การปล่อย[[สารสื่อประสาท]]

ช่องโซเดียมที่ว่านี้เรียกว่าช่องโซเดียมที่เนื้อเยื่อบุผิว (epithelial sodium channel, ENaC) ซึ่งมีหน่วยย่อย ๆ 3 หน่วย
ใน[[สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม]]หลายอย่างโดยเฉพาะ[[หนู]] ENaC สามารถระงับการทำงานได้ด้วยยา[[อะมิโลไรด์]]
แต่ความไวของรสเค็มต่อยาอะมิโลไรด์ในมนุษย์จะชัดเจนน้อยกว่า ทำให้คาดว่า อาจมีโปรตีนหน่วยรับรสอื่น ๆ อีกนอกเหนือจาก ENaC ที่ยังค้นไม่พบ

ขนาดของไอออน[[ลิเทียม]]และ[[โพแทสเซียม]]จะคล้ายกับของโซเดียมมาก และดังนั้น ก็จะเค็มคล้าย ๆ กัน
เทียบกับขนาดของไอออน[[รูบิเดียม]]และ[[ซีเซียม]]ซึ่งใหญ่กว่ามาก ดังนั้น จึงเค็มต่างกัน{{ต้องการอ้างอิงเฉพาะส่วน | date = 2008-11}}
รสเค็มจะวัดเทียบกับโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ซึ่งมีค่าดรรชนีที่ 1 (10 mmol/L)<ref name="textbookofmedicalphysiology8thed" /><ref name=McLaughlin&Margolskee />
โพแทสเซียม เช่นใน [[โพแทสเซียมคลอไรด์]] (KCl) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักสำหรับเกลือเทียม มีดรรชนีที่ 0.6<ref name="textbookofmedicalphysiology8thed" /><ref name=McLaughlin&Margolskee/>

ส่วนแคตไอออนที่มี[[เวเลนซ์]]เดี่ยวอื่น ๆ เช่น
แอมโมเนียม (NH<sub>4</sub><sup>+</sup>), และแคตไอออนที่มีสองเวเลนซ์ของหมู่โลหะแอลคาไลเอิร์ท (alkali earth metal) ใน[[ตารางธาตุ]] เช่น แคลเซียม (Ca<sup>2+</sup>)
โดยทั่วไปจะทำให้รู้สึกขมแทนเค็ม แม้จะผ่านเข้าช่องไอออนในลิ้นโดยตรงแล้วก่อ[[ศักยะงาน]]เหมือน ๆ กัน{{ต้องการอ้างอิงเฉพาะส่วน | date = 2010-09}}

โซเดียมและโพแทสเซียม เป็น[[อิเล็กโทรไลต์]]ที่จำเป็นต่อร่างกาย การรู้รสเค็มได้จึงมีประโยชน์ทาง[[วิวัฒนาการ]] สัตว์ต่าง ๆ รวมทั้ง[[ช้าง]]และ[[นกแก้ว]]จะหาโป่งเกลือเมื่อจำเป็น [[หญิงมีครรภ์]]อาจรู้สึกอยากอาหารเค็มเพราะขาดอิเล็กโทรไลต์<ref name=Saladin2010a-p595-597>{{harvnb | Saladin |2010a | loc = Physiology, pp. 595-597 (611-613) }}</ref>

=== รสขม ===
<!--เผื่ออนาคต {{ข้อมูลเพิ่มเติม |Bitter taste evolution}} -->
[[ไฟล์:Signal Transaction of Taste; Bitter.svg|thumb|
แผนภาพแสดง[[วิถีการถ่ายโอนสัญญาณ]] (signal transduction pathway) ของการรู้รสขม โดยมีหน่วยรับหลายประเภทและมีวิถีหลายวิถี รสขมเป็นตัวบ่งสารพิษสำหรับสัตว์ และคล้ายกับการรู้รสหวานมากที่สุด
'''A''' เป็น[[ตุ่มรับรส]] '''B''' เป็นเซลล์รับรสที่ตุ่มรับรส และ '''C''' เป็น[[เซลล์ประสาท]]ที่เชื่อมกับเซลล์รับรส
'''I''' ส่วนนี้แสดงการรับ/การจับกับ[[โมเลกุล]]ที่มีรส
'''1''' สารรสขมเช่นยาควินิน จะจับกับโปรตีนหน่วยรับกลุ่ม [[G Protein-coupled receptor]] ที่[[เยื่อหุ้มเซลล์]]
'''II''' ส่วนนี้แสดง[[การถ่ายโอนความรู้สึก|การถ่ายโอนสัญญาณ]]ของโมเลกุลรีเลย์
'''2''' gustducin ซึ่งเป็น[[โมเลกุลส่งสัญญาณที่สอง]] จะเริ่มทำงาน
'''3''' โปรตีนจีจะเริ่มการทำงานของ[[เอนไซม์]] phosphodiesterase
'''4''' ซึ่งช่วยสลาย Cyclic nucleotide (cNMP) และดังนั้น จึงลด[[ความเข้มข้น]]ของ cNMP
'''5''' [[ช่องไอออน]]ต่าง ๆ เช่นช่องโพแทสเซียม ก็จะปิดลง
'''III''' ส่วนนี้แสดงการตอบสนองของเซลล์รับรส
'''6''' ซึ่งเพิ่มระดับ Ca<sup>+</sup>
'''7''' ดังนั้น เซลล์รับรสก็จะหลั่ง[[สารสื่อประสาท]]
'''8''' เป็นการส่งสัญญาณให้แก่เซลล์ประสาทที่เชื่อมกัน
]]
ในบรรดารสทั้งหลาย รสขมสามารถรับรู้ได้ไวที่สุด และคนหลายคนก็รู้สึกมันว่าไม่น่ายินดี ฉุน ไม่ชอบ แต่บางครั้งมันก็ถือเป็นสิ่งที่น่าต้องการ และเติมใส่อาหารโดยใช้สารที่ทำให้ขม
อาหารและเครื่องดื่มสามัญที่มีรสขมรวมทั้ง[[กาแฟ]] [[โกโก้]]ที่ไม่ได้ใส่น้ำตาล [[มะระ]] ลูก[[มะกอก]] เปลือกส้มมะนาว และพืชต่าง ๆ ใน[[วงศ์ผักกาด]]
ใน[[เครื่องดื่มแอลกอฮอล์]] รสขมมาจาก[[เอทานอล]]<ref>{{cite journal | authors = Scinska, A; Koros, E; Habrat, B; Kukwa, A; Kostowski, W; Bienkowski, P | title = Bitter and sweet components of ethanol taste in humans | journal = Drug and Alcohol Dependence | volume = 60 | issue = 2 | pages = 199-206 | date = 2000-08 | pmid = 10940547 | doi = 10.1016/S0376-8716(99)00149-0}}</ref>
และส่วนประกอบรสขมอื่น ๆ รวมทั้งฮอบส์ใน[[เบียร์]]
ยาควินินก็เป็นที่รู้จักว่ามีรสขมและใส่ในน้ำโทนิค

รสขมเป็นเรื่องน่าสนใจในการศึกษาเรื่อง[[วิวัฒนาการ]]และ[[สุขภาพ]]<ref name="textbookofmedicalphysiology8thed" /><ref name="psychologyofeating&drinking">{{cite book | authors = Logue, A.W. | year = 1986 | title = The Psychology of Eating and Drinking | location = New York | publisher = W.H. Freeman & Co }} {{page needed | date = 2014-08}}</ref>
เพราะ[[สารประกอบ]]รสขมธรรมชาติจำนวนมากมีพิษ
สมรรถภาพในการรู้รสขมของสารประกอบในระดับขีดเริ่มเปลี่ยนน้อย ๆ พิจารณาว่า ช่วยป้องกันอันตราย<ref name="textbookofmedicalphysiology8thed" /><ref name= psychologyofeating&drinking/><ref>{{cite journal | author = Glendinning, J. I. | title = Is the bitter rejection response always adaptive? | journal = Physiol Behav | volume = 56 | year = 1994 | pages = 1217-1227 | doi = 10.1016/0031-9384(94)90369-7 | pmid = 7878094 | issue = 6 }}</ref>
[[ใบไม้]]บ่อยครั้งมีสารประกอบที่เป็นพิษ ในบรรดา[[ไพรเมต]]ที่กินใบไม้ สัตว์มักเลือกใบอ่อนซึ่งค่อนข้างมีโปรตีนสูง มีไฟเบอร์และพิษที่น้อยกว่าใบแก่<ref>{{cite book | authors = Jones, S; Martin, R; Pilbeam, D | year = 1994 | title = The Cambridge Encyclopedia of Human Evolution | location = Cambridge | publisher = Cambridge University Press }} {{page needed | date = 2014-08}}</ref>

ส่วนในมนุษย์ มีเทคนิคทำอาหารหลายอย่างที่ใช้ทั่วโลกเพื่อเอาพิษออกจากอาหารที่ถ้าไม่ทำก็จะกินไม่ได้ และทำให้มีรสชาติดีขึ้น<ref>{{cite book | authors = Johns, T. | year = 1990 | title = With Bitter Herbs They Shall Eat It: Chemical ecology and the origins of human diet and medicine | location = Tucson | publisher = University of Arizona Press }} {{page needed | date = 2014-08}}</ref>
อนึ่ง การหุงด้วยไฟ การเปลี่ยนอาหาร และการหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นพิษได้ก่อให้เกิดวิวัฒนาการที่ไม่มีผลได้ผลเสียในเรื่องความไวรสขม
ซึ่งทำให้เกิด[[การกลายพันธุ์]]ที่ลดสมรรถภาพการรับรู้ความขมในมนุษย์เมื่อเทียบกับ[[สปีชีส์]]อื่น ๆ<ref>{{cite journal | last1 = Wang | first1 = X. | year = 2004 | title = Relaxation Of Selective Constraint And Loss Of Function In The Evolution Of Human Bitter Taste Receptor Genes | journal = Human Molecular Genetics | volume = 13 | issue = 21 | pages = 2671-2678 | doi = 10.1093/hmg/ddh289 | pmid = 15367488}}</ref>
งานศึกษาหนึ่งคาดว่า แรงกดดันใน[[การคัดเลือกโดยธรรมชาติ|การคัดเลือก]]หน่วยรับรสขม (TAS2R) ในมนุษย์ได้ลดลง เพราะ[[การกลายพันธุ์]]และการเปลี่ยนเป็นยีนเทียม (pseudogenization) มีอัตราสูงโดยเปรียบเทียบ<ref>{{cite journal | author = Wang, X; Thomas, SD; Zhang, J | title = Relaxation of selective constraint and loss of function in the evolution of human bitter taste receptor genes | journal = Hum Mol Genet | volume = 13 | year = 2004 | pages = 2671-2678 | doi = 10.1093/hmg/ddh289 | pmid = 15367488 | issue = 21}}</ref>

ขีดเริ่มเปลี่ยนให้รู้รสขมของควินินอยู่ที่ความเข้มข้นเฉลี่ย 8 μmol/L ซึ่งมีดรรชนีอ้างอิงคือ 1<ref name="textbookofmedicalphysiology8thed">{{cite book | authors = Guyton, Arthur C | year = 1991 | title = Textbook of Medical Physiology | edition = 8th | location = Philadelphia | publisher = W.B. Saunders }}</ref>
ขีดเริ่มเปลี่ยนให้รู้รสขมของสารอื่น ๆ จะวัดเทียบกับควินิน<ref name="textbookofmedicalphysiology8thed" /><ref name="McLaughlin&Margolskee">{{cite journal | author1 = McLaughlin S. | author2 = Margolskee R.F. | year = 1994 | title = The Sense of Taste | journal = American Scientist | volume = 82 | issue = 6 | pages = 538-545 }}</ref>
ยกตัวอย่างเช่น brucine มีดรรชนีที่ 11 ด้งนั้น จึงรู้สึกขมกว่าควินินมาก และสามารถรู้ได้ที่[[ความเข้มข้น]]ต่ำกว่า<ref name="textbookofmedicalphysiology8thed" />

ของขมที่สุดที่รู้จักก็คือสารเคมีสังเคราะห์ denatonium ซึ่งมีดรรชนี 1,000<ref name=McLaughlin&Margolskee/>
และใช้เป็นสารทำให้ขมโดยใส่ในสารพิษเพื่อป้องกันการกินโดยไม่ได้ตั้งใจ
เป็นสารที่พบในปี 1958 เมื่อทำ[[งานวิจัย]]เกี่ยวกับยาระงับความรู้สึกเฉพาะที่คือ lignocaine{{ต้องการอ้างอิงเฉพาะส่วน | date = 2018-04-20}}

งานวิจัยได้แสดงว่าหน่วยรับรสหมู่ TAS2Rs (คือหน่วยรับรสแบบ 2 หรือรู้จักกันด้วยว่า T2Rs) เช่น TAS2R38 ซึ่งจับคู่กับ[[โปรตีนจี]] gustducin เป็นหน่วยรับรสที่ทำให้มนุษย์สามารถรับรู้รสขมได้<ref name=MaehashiEtAl2008>{{cite journal | authors = Maehashi, K; Matano, M; Wang, H; Vo, LA; Yamamoto, Y; Huang, L | title = Bitter peptides activate hTAS2Rs, the human bitter receptors | journal = Biochem Biophys Res Commun | volume = 365 | year = 2008 | pages = 851-855 | doi = 10.1016/j.bbrc.2007.11.070 | pmid = 18037373 | issue = 4 | pmc = 2692459}}</ref>
เป็นโปรตีนที่ได้ระบุไม่ใช่โดยสมรรถภาพในการรับ[[ลิแกนด์]]ที่ขมเป็นบางอย่างเท่านั้น แต่ระบุโดยสัณฐานของหน่วยรับรสเองด้วย (surface bound, monomeric)<ref name=Lindemann2001>{{cite journal | last = Lindemann | first = Bernd | title = Receptors and transduction in taste | journal = Nature | date = 2001-09-13 | volume = 413 | pages = 219-225 | url = http://www.nature.com/nature/journal/v413/n6852/pdf/413219a0.pdf | format = [[PDF]] | accessdate = 2007-12-030 | doi = 10.1038/35093032 | pmid = 11557991 | issue = 6852}}</ref>
หมู่โปรตีน TAS2R ในมนุษย์เชื่อว่า มีหน่วยรับรสประมาณ 25 ชนิด บางอย่างทำปฏิกิริยากับสารประกอบรสขมเป็นจำนวนมาก<ref>{{cite journal | last = Meyerhof | year = 2010 | doi = 10.1093/chemse/bjp092 | url = http://chemse.oxfordjournals.org/content/35/2/157.long | pmid = 20022913 | volume = 35 | issue = 2 | title = The molecular receptive ranges of human TAS2R bitter taste receptors. | journal = Chem Senses | pages = 157-70}}</ref>
โดยเซลล์รับรสหนึ่ง ๆ จะแสดงออกยีน TAS2R หลายประเภท<ref name=Purves2008a-p387-389 />
มีสารประกอบรสขม 670 ที่ได้ระบุแล้วใน[[ฐานข้อมูล]] BitterDB โดยมีกว่า 200 ชนิดที่ได้เจาะจงหน่วยรับกลิ่นหนึ่งชนิดหรือมากกว่านั้นที่รับรู้ได้<ref>{{cite journal | last = Wiener | year = 2012 | doi = 10.1093/nar/gkr755 | url = http://nar.oxfordjournals.org/content/40/D1/D413.long | pmid = 21940398 | pmc = 3245057 | volume = 40 | issue = Database issue | title = BitterDB: a database of bitter compounds | journal = Nucleic Acids Res. | pages = D413-9}}</ref>

นักวิจัยได้ใช้สารสังเคราะห์สองอย่าง คือ phenylthiocarbamide (PTC) และ 6-n-propylthiouracil (PROP) เพื่อศึกษาการรับรู้รสขมในด้าน[[พันธุกรรม]]
คือ สารสองชนิดนี้ขมสำหรับบางคน แต่กลับไม่มีรสสำหรับคนอื่น
ในบรรดาผู้เข้าร่วมการทดลอง บางคนเป็น[[ซูเปอร์เทสเตอร์]] ที่ PTC และ PROP จะขมมาก
ความแปรผันของความไวรสจะกำหนดโดย[[อัลลีล]]สามัญสองชนิดที่[[โลคัส (พันธุศาสตร์)|โลคัส]]ของ TAS2R38<ref>{{cite journal | author = Wooding, S; Kim, UK; Bamshad, MJ; Larsen, J; Jorde, LB; Drayna, D | title = Natural selection and molecular evolution in PTC, a bitter-taste receptor gene | journal = Am J Hum Genet | volume = 74 | year = 2004 | pages = 637-646 | doi = 10.1086/383092 | pmid = 14997422 | issue = 4 | pmc = 1181941}}</ref>
การกลายพันธุ์ที่ยีนเดียวเช่นนี้ เป็นตัวบ่งว่ารสชาตินี้ต่างจากรสอื่น ๆ
ซึ่งยืนยันโดยการกระจายตัวของเซลล์รับรสที่แสดงออกยีนนี้ อันต่างจากเซลล์ที่แสดงออก T1R1 T1R2 และ T1R3 (ที่เป็นโปรตีนของหน่วยรับรสหวานและรสอุมะมิ)
เป็นการแสดงว่า เซลล์รับรสขมเป็นกลุ่มเซลล์แยกจากเซลล์รับรสหวานและอุมะมิ<ref name=Purves2008a-p387-389 />

เมื่อสารรสขมจับกับหน่วยรับรสขมซึ่งเป็น [[G protein-coupled receptor]]
มันก็จะเริ่มการทำงานของโปรตีนจีที่จับคู่กันกับหน่วยรับรสขมโดยเฉพาะคือ gustducin ที่หน่วยรับรสหวานและรสอุมะมิไม่มี
ซึ่งในที่สุดก็เริ่มการทำงานของ isoform ของ phospholipase C คือ PLC{{sub |β2}} ซึ่งทำให้ inositol triphosphate (IP{{sub |3}}) เข้มข้นขึ้น และเปิดช่อง TRPM{{sub |5}} ซึ่งทำให้เซลล์[[การลดขั้ว|ลดขั้ว]]ผ่านการมี Ca<sup>2+</sup> เพิ่มขึ้นในเซลล์
แล้วนำไปสู่การหลั่งสารสื่อประสาทที่ฐานของเซลล์ในที่สุด
อย่างไรก็ดี บทบาทของ gustducin เทียบกับโปรตีนจีของหน่วยรับรสหวานและหน่วยรับรสอุมะมิก็ยังไม่ชัดเจน<ref name=Purves2008a-p387-389 />
<!--เผื่ออนาคต เมื่อ GPCR เริ่มการทำงานของมัน หน่วยย่อยจะแตกออกแล้วเริ่มการทำงานของเอนไซม์ที่อยู่ใกล้ ๆ คือ phosphodiesterase ซึ่งก็จะเปลี่ยน[[สารตั้งต้น]]ชนิดหนึ่งภายในเซลล์ ให้เป็น[[โมเลกุลส่งสัญญาณที่สอง]] ซึ่งก็จะปิดช่องไอออนโพแทสเซียม{{ต้องการอ้างอิงเฉพาะส่วน | date = 2016-03}}
Ruiz­Avila, L., S.K. McLaughlin, D. Wildman, P.J. McKinnon, A. Robichon, N. Spickofsky, and R.F. Margolskee. 1995. Coupling of bitter receptor to phosphodiesterase through transducin in taste receptor cells. Nature. 376:80-85. doi:10.1038/376080a0
โดยโมเลกุลส่งสัญญาณที่สองยังกระตุ้น[[ร่างแหเอนโดพลาซึม]]ให้ปล่อย Ca<sup>2+</sup> ซึ่งมีบทบาทให้เซลล์ลดขั้ว
นี่นำไปสู่การสะสมไอออนโพแทสเซียมภายในเซลล์ ทำให้เซลล์ลดขั้ว และปล่อยสารสื่อประสาท
สารขมบางอย่างยังมีปฏิกิริยากับโปรตีนจีได้โดยตรง เพราะมีโครงสร้างคล้ายกับ GPCR ที่จับคู่กับโปรตีน -->

=== รสอุมะมิ ===
{{บทความหลัก | อุมะมิ}}
รสอุมะมิ หรือรสกลมกล่อม (คล้ายน้ำต้มกระดูก) เป็นรสชาติที่ทำให้อยากอาหาร<ref name=aa/><ref>
* {{cite web | url = http://www.foodprocessing.com/articles/2005/434.html | title = You say savory, I say umami}}
* {{cite news | url = http://www.nydailynews.com/lifestyle/food/2010/02/09/2010-02-09_umami_savory_fifth_taste_now_available_in_a_tube_in_grocery_stores.html | date = 2010-02-09 | title = Umami, savory 'fifth taste,' now available in a tube in grocery stores | publisher = NY Daily News | accessdate = 2011-01-01 | location = New York}}
* {{cite web | url = http://dictionary.cambridge.org/dictionary/british/umami | title = Cambridge Advanced Learner's Dictionary | publisher = Cambridge University Press | accessdate = 2011-01-01}}</ref><ref name=umamiMW>
{{cite web | url = http://www.merriam-webster.com/dictionary/umami | title = Merriam-Webster English Dictionary | publisher = Merriam-Webster, Incorporated | accessdate = 2011-01-01}}</ref><ref name=umamiMW/><ref>
{{cite web | url = http://chemse.oxfordjournals.org/content/27/9/847 | title = New Seasonings}}</ref>
ซึ่งสามารถลิ้มรสได้ใน[[ชีส์]]<ref name=umami>{{cite web | title = Umami culture around the world | url = http://www.umamiinfo.com/world/ | publisher = Umami Information Center | accessdate = 2018-04-09 | deadurl = no | archiveurl = https://web.archive.org/web/20180124101122/http://www.umamiinfo.com/world/ | archivedate = 2018-01-24 }}</ref>
ใน[[ซอสถั่วเหลือง]]<ref name=times>{{citation | date = 2008-11-10 | title = The Claim: The tongue is mapped into four areas of taste. Anahad O'connor. | newspaper = The New York Times | page = Health section | url = https://www.nytimes.com/2008/11/11/health/11real.html?_r=1 | accessdate = 2010-09-13 | postscript = &nbsp;&nbsp;May require free registration to view}}</ref>
ใน[[อาหารหมักดอง]]บางชนิด
และในน้ำต้มเนื้อหรือต้มไก่<ref name=Saladin2010a-p595-597 />
รสนี้ก็มีด้วยใน[[มะเขือเทศ]] เมล็ด[[ข้าว]] และ[[ถั่ว]]ด้วย<ref name=umami/>

ชื่อรสคือ {{nihongo |''umami''|旨味}} เป็นคำภาษาญี่ปุ่นซึ่งแปลว่า "รสดี" หรือ "รสอร่อย"<ref>{{cite web | title = 旨味 definition in English | url = http://jisho.org/search/%E6%97%A8%E5%91%B3 | publisher = Denshi Jisho—Online Japanese dictionary | accessdate = 2018-04-09 | deadurl = no | archiveurl = https://web.archive.org/web/20180409063407/http://jisho.org/search/%E6%97%A8%E5%91%B3 | archivedate = 2018-04-09 }}</ref>
เป็นรสชาติพื้นฐานอย่างหนึ่งในอาหารชาวตะวันออก<ref name=jmin/>
ของชนชาติอื่น ๆ ที่มีหลักผสมอาหารให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม เช่น การเน้นน้ำซุปต้มเนื้อลูกวัวโดยเชฟชาวฝรั่งเศส Auguste Escoffier ผู้ได้รับยกย่องว่าเป็น "บิดาแห่งการครัว" ในคริสต์วรรษที่ 19<ref>{{cite web | title = Auguste Escoffier and The Essence of Taste | url = http://www.college.columbia.edu/cct_archive/mar_apr08/forum.php | publisher = Columbia University | deadurl = yes | archiveurl = https://web.archive.org/web/20171229062300/http://www.college.columbia.edu/cct_archive/mar_apr08/forum.php | archivedate = 2017-12-29}}</ref>
และการใช้[[น้ำปลา]]ของ[[ชาวโรมัน]]<ref>{{cite web | date = 2013-10-26 | title = Fish Sauce An Ancient Roman Condiment | url = http://www.npr.org/sections/thesalt/2013/10/26/240237774/fish-sauce-an-ancient-roman-condiment-rises-again | deadurl = no | archiveurl = https://web.archive.org/web/20171014183013/http://www.npr.org/sections/thesalt/2013/10/26/240237774/fish-sauce-an-ancient-roman-condiment-rises-again | archivedate = 2017-10-14 }}</ref>
แต่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็เพิ่งยอมรับว่าเป็นรสชาติพื้นฐานเมื่อไม่นาน
เทียบกับรสชาติ 4 อย่างอย่างอื่นที่ได้ยอมรับมานานแล้ว โดยส่วนหนึ่งก็เพราะเข้ากับรสชาติที่ได้กล่าวไว้ในปรัชญา[[กรีกโบราณ]]<ref name=times/><ref name=umamiinfo>{{cite web | date = 2011-02 | url = http://www.umamiinfo.com/2011/02/What-exactly-is-umami.php | title = What exactly is umami? | publisher = The Umami Information Center | deadurl = yes | archiveurl = https://web.archive.org/web/20171025075235/http://www.umamiinfo.com/ | archivedate = 2017-10-25}}</ref>

รสอุมะมิได้ศึกษาและระบุเป็นครั้งด้วยวิธีการทาง[[วิทยาศาสตร์]]โดยนักเคมีชาวญี่ปุ่น ศ.ดร.คิคุนาเอะ อิเคดะ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียวอิมพีเรียล (ปัจจุบันคือ[[มหาวิทยาลัยโตเกียว]]) ผู้เริ่มวิเคราะห์[[คมบุ]]เพื่อที่จะแยกรสของดาชิ ({{lang-jpn | 出汁, だし}})
เขาได้แยกสารที่เขาเรียกว่า อายิโนะโมะโต๊ะ ซึ่งเป็นคำญี่ปุ่นซึ่งหมายความว่า "ต้นกำเนิดของรส"
ซึ่งภายหลังได้ตั้งชื่อเคมี [[โมโนโซเดียมกลูตาเมต]] (ผงชูรส) ซึ่งได้กลายมาเป็นสารแต่งเติมอาหารยอดฮิต<ref name=Kean/><ref name=msgt>
* [http://www.chm.bris.ac.uk/motm/msg/msgv.htm Monosodium Glutamate: The molecule that enhances taste in food] Pio Monti. chm.bris.ac.uk
* {{cite journal | author = Ikeda, K | title = New seasonings | journal = Chemical Senses | volume = 27 | issue = 9 | pages = 847-9 | date = 2002-11 | pmid = 12438213 | url = http://chemse.oxfordjournals.org/cgi/pmidlookup?view=long&pmid=12438213 | doi = 10.1093/chemse/27.9.847}}
* {{cite journal | authors = Nelson, G; Chandrashekar, J; Hoon, MA; etal | title = An amino-acid taste receptor | journal = Nature | volume = 416 | issue = 6877 | pages = 199-202 | date = 2002-03 | pmid = 11894099 | doi = 10.1038/nature726}}</ref>
มันเป็นเกลือโซเดียมที่ให้รสชาติอร่อย โดยเฉพาะเมื่อใส่กับอาหารที่สมบูรณ์ด้วย[[นิวคลีโอไทด์]]เช่น [[เนื้อสัตว์]] [[ปลา]] [[ถั่ว]] และ[[เห็ด]]<ref name=times/><ref name=Yamaguchi&Ninomiya>
{{citation | year = 1999 | author1 = Yamaguchi, Shizuko | author2 = Ninomiya, Kumiko | lastauthoramp = yes | chapter = Umami and Food Palatability | chapter-url = https://books.google.com/books?id=P3AggY-dWikC&pg=PA423&dq=umami&hl=en&ei=n6WNTPqEM4y4ceaanY0E&sa=X&oi=book_result&ct=result&resnum=6&ved=0CEEQ6AEwBQ#v=onepage&q=umami&f=false | pages = 423-432 | editor1 = Roy Teranishi | editor2 = Emily L. Wick | editor3 = Irwin Hornstein | title = Flavor Chemistry: Thirty Years of Progress | series = Proceedings of an American Chemical Society Symposium, held 23-27 August 1998, in Boston, Massachusetts | place = Published in New York | publisher = Kluwer Academic/Plenum Publishers | isbn = 0-306-46199-4 | url = https://books.google.com/books?id=P3AggY-dWikC&printsec=frontcover&dq=%22Flavor+chemistry%22#v=onepage&q&f=false | accessdate = 2010-09-13}}</ref>

กรดอะมิโนคือกรดกลูตามิก ทำให้เกิดรสชาติอุมะมิ/กลมกล่อม/อร่อย<ref name=umamiinfo /><ref name=ChandrashekarHoonEtal2006>{{Citation | date = 2006-11-16 | author = Chandrashekar, Jayaram; Hoon, Mark A; Ryba, Nicholas J. P. & Zuker, Charles S | lastauthoramp = yes | title = The receptors and cells for mammalian taste | journal = Nature | pmid = 17108952 | volume = 444 | issue = 7117 | pages = 288-294 | doi = 10.1038/nature05401 | url = https://wiki.brown.edu/confluence/download/attachments/1444406/nature05401.pdf | accessdate = 2010-09-13}}</ref>
แต่[[นิวคลีโอไทด์]]บางอย่าง
(เช่น inosinic acid<ref name=jmin/><ref name=umamiinfo/>
และ guanylic acid<ref name=umamiinfo/>)
ก็สามารถมีฤทธิ์เสริม ทำให้รสดียิ่งขึ้น<ref name=jmin>
{{cite web | date = 2007 | title = ''Umami'' Food Ingredients | url = http://www.maff.go.jp/e/oishii/ingredients/umami.html | publisher = Japan's Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries | deadurl = no | archiveurl = https://web.archive.org/web/20170816021305/http://www.maff.go.jp/e/oishii/ingredients/umami.html | archivedate = 2017-08-16 }}</ref>

มีเซลล์รับรสอุมะมิที่ตอบสนองต่อกลูตาเมต ในลักษณะเดียวกับที่เซลล์รับรสหวานตอบสนองต่อน้ำตาล
คือกลูตาเมตจะจับกับ [[G protein coupled receptor|G protein coupled glutamate receptor]] อย่างหนึ่ง<ref name="Lindemann B 99-100">
{{cite journal | author = Lindemann, B | title = A taste for umami | journal = Nature Neuroscience | volume = 3 | issue = 2 | pages = 99-100 | date = 2000-02 | pmid = 10649560 | doi = 10.1038/72153}}</ref><ref name="Chaudhari N, Landin AM, Roper SD 113-9">
{{cite journal | authors = Chaudhari, N; Landin, AM; Roper, SD | title = A metabotropic glutamate receptor variant functions as a taste receptor | journal = Nature Neuroscience | volume = 3 | issue = 2 | pages = 113-9 | date = 2000-02 | pmid = 10649565 | doi = 10.1038/72053}}</ref>
มันเชื่อว่า [[กรดอะมิโน]] L-glutamate จะจับกับ GPCR ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า metabotropic glutamate receptor (mGluR4) ซึ่งก็จะเริ่มการทำงานของโปรตีนจีที่คู่กัน
ซึ่งในที่สุดก็เริ่มการทำงานของ isoform ของ phospholipase C คือ PLC{{sub |β2}} ซึ่งทำให้ inositol triphosphate (IP{{sub |3}}) เข้มข้นขึ้น และเปิดช่อง TRPM{{sub |5}} ซึ่งทำให้เซลล์[[การลดขั้ว|ลดขั้ว]]ผ่านการมี Ca<sup>2+</sup> เพิ่มขึ้นในเซลล์
แล้วนำไปสู่การหลั่งสารสื่อประสาทที่ฐานของเซลล์ในที่สุด<ref name=Purves2008a-p387-389 />

=== การวัดรสชาติต่าง ๆ ===
การวัดว่าสิ่ง ๆ หนึ่งมีรสชาติพื้นฐานอย่างหนึ่งเท่าไร สามารถทำอย่างเป็น[[อัตวิสัย]]โดยเทียบรสนั้นกับสิ่งที่เป็นตัวอ้างอิง
ความหวานสามารถวัดแบบอัตวิสัยโดยเปรียบเทียบค่าขีดเริ่มเปลี่ยน หรือสารในระดับเจือจางที่สุดซึ่งสามารถรู้ได้โดยมนุษย์ ในบรรดาของหวานต่าง ๆ<ref name=Tsai2007>{{citation | date = 2007-05-14 | author = Tsai, Michelle | title = How Sweet It Is? Measuring the intensity of sugar substitutes | url = http://www.slate.com/id/2165999/ | work = Slate | publisher = The Washington Post Company | accessdate = 2010-09-14}}</ref>
และของหวาน ๆ ก็มักจะเปรียบเทียบกับ[[ซูโครส]]<ref name=Walters>{{citation | date = 2008-05-13 | author = Walters, D. Eric | chapter = How is Sweetness Measured? | title = All About Sweeteners | url = http://www.sweetenerbook.com/measure.html | accessdate = 2010-09-15}}</ref>
ซึ่งปกติให้ค่าดรรชนีเป็น 1<ref name=JoestenEal2007>
{{citation | year = 2007 | author1 = Joesten, Melvin D | author2 = Hogg, John L | author3 = Castellion, Mary E | chapter = Sweeteness Relative to Sucrose (table) | page = 359 | chapter-url = https://books.google.com/books?id=8hIoN3Q_zOkC&pg=PA359&lpg=PA359&dq=%22relative+to+sucrose%22&source=bl&ots=E1txi4DsSX&sig=wAbLIzj7Y5cCu2PeWOdiXfzr8nc&hl=en&ei=17ePTIK0LoXmvQPglYDqCw&sa=X&oi=book_result&ct=result&resnum=6&ved=0CDAQ6AEwBTgK#v=onepage&q=%22relative%20to%20sucrose%22&f=false | title = The World of Chemistry: Essentials | edition = 4th | place = Belmont, California | publisher = Thomson Brooks/Cole | isbn = 0-495-01213-0 | url = https://books.google.com/books?id=8hIoN3Q_zOkC&printsec=frontcover&dq=world+chemistry#v=onepage&q&f=false | accessdate = 2010-09-14}}</ref><ref name=Coultate>
{{citation | year = 2009 | author = Coultate, Tom P | chapter = Sweetness relative to sucrose as an arbitrary standard | chapter-url = https://books.google.com/books?id=KF2A8Cz7B-cC&pg=PA268&lpg=PA268&dq=%22relative+to+sucrose%22&source=bl&ots=fgH81scq2_&sig=Sx6J_yj9oD2n3zbFadwwGRi5sIY&hl=en&ei=kfSPTLfdMM6DcMLT_L8M&sa=X&oi=book_result&ct=result&resnum=4&ved=0CCAQ6AEwAzgo#v=onepage&q=%22relative%20to%20sucrose%22&f=false | title = Food: The Chemistry of its Components | edition = 5th | url = https://books.google.com/books?id=KF2A8Cz7B-cC&printsec=frontcover&dq=food+chemistry+components#v=onepage&q&f=false | pages = 268-269 | place = Cambridge, UK | publisher = Royal Society of Chemistry | isbn = 978-0-85404-111-4 | accessdate = 2010-09-15}}</ref>
หรือ 100<ref name=Mehta2005>{{citation | year = 2005 | author1 = Mehta, Bhupinder | author2 = Mehta, Manju | lastauthoramp = yes | chapter = Sweetness of sugars | title = Organic Chemistry | page = 956 | chapter-url = https://books.google.com/books?id=QV6cwXA9XkEC&pg=PA956&dq=%22Organic+Chemistry+%22+taste&hl=en&ei=M7GQTL_NOIT-vQOv67HfCw&sa=X&oi=book_result&ct=result&resnum=4&ved=0CEAQ6AEwAw#v=onepage&q&f=false | url = https://books.google.com/books?id=QV6cwXA9XkEC&printsec=frontcover&dq=%22Organic+Chemistry+%22+Mehta#v=onepage&q&f=false | place = India | publisher = Prentice-Hall | isbn = 81-203-2441-2 | accessdate = 2010-09-15 | postscript = &nbsp;&nbsp;Alternative}}</ref>
ส่วน[[กลูโคส]] ซึ่งเป็น[[น้ำตาล]]ที่พบใน[[น้ำผึ้ง]]และ[[ผัก]] จะหวานเป็นประมาณ 3/4 ของซูโครส
และ[[แล็กโทส]] ซึ่งเป็นน้ำตาลในนม จะหวานประมาณครึ่งหนึ่ง{{Ref label |b|b|none}}<ref name=Tsai2007/>

ส่วนรสเปรี้ยวสามารถเปรียบเทียบกับ[[กรดไฮโดรคลอริก]] (HCl) ที่เจือจางมาก<ref name=Guyton&Hall2006>{{citation | year = 2006 | last = Guyton | first = Arthur C | last2 = Hall | first2 = John E. | title = Guyton and Hall Textbook of Medical Physiology | page = 664 | edition = 11th | publisher = Elsevier Saunders | location = Philadelphia | isbn = 0-7216-0240-1 | postscript = &nbsp;International }}</ref>
และรสเค็มก็สามารถเปรียบเทียบกับ[[น้ำเกลือ]]เจือจาง<ref>{{cite book | authors = Belitz, HD; Grosch, Werner; Schieberle, Peter | year = 2009 | url = https://books.google.com/books?id=xteiARU46SQC&lpg=PA38&dq=rating%20a%20salty%20taste&pg=PA38#v=onepage&q&f=false | title = Food Chemistry | publisher = Springer | pages = 38 }}</ref>

ควินิน ซึ่งเป็นยาขมที่ใส่ในน้ำโทนิค สามารถใช้วัดความขม<ref name=qn/>
คือ ความขมของควินินไฮโดรคลอไรด์ ที่ 1 กรัมต่อ 2,000 มิลลิลิตร สามารถใช้เปรียบกับขีดเริ่มเปรียบในการรับรู้รสขมของสารประกอบอื่น<ref name=qn>[https://books.google.com/books?id=4LazhtBDub0C&pg=PA38&lpg=PA38&dq=measure+of+bitter+quinine&source=bl&ots=3uZPIZcv9U&sig=qllEfc6Ra-e_CTBUtg2q8rPgNS8&hl=en&ei=JryJTI5-i9S1A563yLUE&sa=X&oi=book_result&ct=result&resnum=4&ved=0CCEQ6AEwAw#v=onepage&q=measure%20of%20bitter%20quinine&f=false Quality control methods for medicinal plant materials, Pg. 38] World Health Organization, 1998.</ref>
การวิเคราะห์ที่เป็นรูปธรรมมากกว่า แม้จะเป็นไปได้ แต่ก็ยากกว่า<ref name=qn/>

=== การรู้รสทั่วไปไม่ไวเท่าการรู้กลิ่น ===
โดยทั่วไปแล้ว ความจัดของรสจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของโมเลกุลรส โดยมนุษย์จะไวต่อรสไม่เท่ากับไวต่อ[[กลิ่น]] เช่น ขีดเริ่มเปลี่ยนการรู้รสของกรดซิตริกอยู่ที่ 2 mmol/L ของ[[โซเดียมคลอไรด์]]ที่ 10 mmol/L และของ[[ซูโครส]]ที่ 20 mmol/L เทียบกับขีดเริ่มเปลี่ยนการรู้กลิ่นบางอย่างที่อาจต่ำถึง 0.00001 mmol/L ซึ่งอาจเป็นแรงกระตุ้นให้ทานอาหารที่มีคุณค่าสูงเป็นจำนวนมาก
นี่สามารถเทียบกับรสที่อาจแสดงพิษคือรสขม ซึ่งรู้ได้อย่างไวที่สุด เช่น ควินินที่ 0.008 mmol/L และ strychnine ที่ 0.0001 mmol/L<ref name=Purves2008a-p384-387 />

== รสและความรู้สึกอื่น ๆ ==
นอกจากรสชาติพื้นฐานแล้ว เป็นไปได้ว่าลิ้นอาจรู้รสอื่น ๆ {{Efn-ua | name = IncompleteList }}
รวมทั้งรสฝาด รสไขมัน รสแป้ง และรสโลหะเป็นต้น
นอกจากนั้น การรวมสารเคมีต่าง ๆ อาจทำให้ได้รสใหม่ ๆ<ref name=Purves2008a-p384-387 />

ลิ้นยังสามารถได้[[ความรู้สึก]]อื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับรสชาติ
โดยมากตรวจจับโดย[[ระบบรับความรู้สึกทางกาย]]
และเส้นประสาทไทรเจมินัล (trigeminal nerve, V) เป็นตัวให้ข้อมูลเกี่ยวกับเนื้ออาหาร ความรู้สึกเผ็ดร้อน และความรู้สึกเย็น

=== ความเผ็ดร้อน ===
สารต่าง ๆ เช่น [[เอทานอล]]และ[[แคปเซอิซิน]]ทำให้รู้สึกร้อน/เผ็ด โดยสร้างปฏิกิริยากับประสาทไทรเจมินัลพร้อม ๆ กับการรู้รสปกติ<ref name=Saladin2010a-p595-597 />
ซึ่งโดยหลักเกิดที่[[ปลายประสาทอิสระ]]ของ[[โนซิเซ็ปเตอร์]]ที่สามารถรับรู้[[ตัวกระตุ้น]]ได้หลายอย่าง
แม้โดยทั่วไปจะต้องมีความเข้มข้นที่สูงกว่ารสทั่ว ๆ ไป<ref name=Purves2008a-391-392>{{harvnb | Purves et al |2008a | loc = Trigeminal Chemoreception, pp. 391-392 }}</ref>
[[สารประกอบ]]จาก[[พืช]]ที่ให้ความรู้สึกเช่นนี้ คือ แคปเซอิซินจาก[[พริก]], [[พิเพอรีน]]จาก[[พริกไทย]], gingerol จาก[[ขิง]], และ allyl isothiocyanate จาก[[วงศ์ผักกาด|ผักกาด]] เช่น ''Armoracia rusticana'' (horseradish) หรือ ''Wasabia japonica'' ([[วาซาบิ]])
ความเผ็ดร้อนจากอาหารและเครื่องเทศ เป็นองค์ประกอบสำคัญในเครื่องปรุงอาหารของเชื้อชาติต่าง ๆ ทั่วโลก
โดยเฉพาะใน[[เขตร้อน]]และ[[เขตกึ่งร้อน]]
เช่น อาหาร[[เอธิโอเปีย]] [[ลาว]] [[มาเลเซีย]] [[เม็กซิกัน]] [[นิวเม็กซิกัน]] [[สิงค์โปร์]] จีนตะวันตกเฉียงใต้ (รวมทั้งอาหาร[[เสฉวน]]) [[เวียดนาม]] และ[[ไทย]]

ความรู้สึกเช่นนี้ ไม่ใช่รสโดยตรง เพราะไม่ได้เกิดจากตุ่มรับรส และเป็นความรู้สึกที่ส่งไปทางเส้นประสาทคนละเส้น
ความรู้สึกเผ็ดมาจาก[[หน่วยรับความรู้สึก]]ที่แสดงออกยีน TRPV1<ref name=Gold2008-p51-53>{{harvnb | Gold | Caterina |2008 | loc = 5.04.2.1.3 Transient receptor potential ion channels, pp. 51-53}}</ref>
และ TRPA1<ref name=Lackie2007-p.433>{{cite book | authors = Lackie, JM | year = 2007 | title = The Dictionary of Cell and Molecular Biology | edition = 4th | publisher = Elsevier | isbn = 978-0-12-373986-5 | at = TRP Channels, p. 433 | quote = '''Capsaicin''' and resiniferatoxin are agonists for TRPV1, menthol for TRPM8 (cold receptor), and icilin for both TRPM8 and TRPA1. }}</ref>
โดยอาหารเช่น [[พริก]] จะกระตุ้น[[ปลายประสาทอิสระ]]ของใยประสาทซึ่งมีหน่วยรับความรู้สึกโดยตรง
ซึ่งรู้สึกว่า "ร้อน" ก็เพราะเป็นใยประสาทรับความรู้สึกทางกาย (คือ [[โนซิเซ็ปเตอร์|ความเจ็บปวด]]) ซึ่งอยู่ที่ลิ้น
ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่มี[[เยื่อบุผิว]]ซึ่งเปิดรับสิ่งแวดล้อมแต่ไม่มีเซลล์รับรส (เช่น ช่องจมูก ใต้เล็บ [[กระจกตา|ผิวตา]] หรือที่แผล) ก็สามารถทำให้รู้สึกร้อนเช่นเดียวกันเมื่อถูกสารที่เผ็ด
และ[[ระบบรู้กลิ่น]]ก็สามารถรับรู้ตัวกระตุ้นอย่างเดียวกันบางชนิดด้วย<ref name=Purves2008a-391-392 />

ในประเทศ[[เอเชีย]]ที่ได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรม[[จีน]] [[อินเดีย]]และ[[ญี่ปุ่น]] รสเผ็ดอาจจัดว่าเป็นรสชาติพื้นฐานที่ห้าหรือที่หก<ref name="Ayurvedic2002"/>

=== ความเย็น ===
สารบางอย่างจะกระตุ้น[[ปลายประสาทรับเย็น]]/[[โนซิเซ็ปเตอร์]]ของประสาทไทรเจมินัลแม้เมื่อไม่ได้มีอุณหภูมิต่ำ
ความรู้สึกเย็นเช่นนี้ อาจได้จากเมนทอล, [[วงศ์กะเพรา|พืชวงศ์กะเพรา]] ([[กะเพรา]] [[โหระพา]] [[แมงลัก]]เป็นต้น), และ icilin
โดยเกิดจากการทำงานของกลไกเดียวกันที่ทำให้รู้สึกเย็น ซึ่งก็คือ[[ช่องไอออน]] TRPM8 ของเซลล์ประสาท แต่ความเย็นที่รู้สึกจากสารเหล่านี้ก็ไม่ใช่อุณหภูมิเย็นจริง ๆ<ref name=Lackie2007-p.433 />
และจะต้องมีความเข้มข้นสูงกว่ารสทั่ว ๆ ไป<ref name=Purves2008a-391-392 />

=== ความชา ===
ทั้งอาหารคนจีนและคนโตบา บาตัก ต่างก็มีแนวคิดเกี่ยวกับ 麻 (''má'' หรือ ''mati rasa'') ซึ่งเป็นความเหน็บชาที่เกิดจาก[[เครื่องเทศ]] เช่น "พริกเสฉวน" (ซึ่งไม่ได้ทำมาจากพืชในสกุลพริกจริง ๆ)
อาหารเสฉวนของจีนและอาหารอินโดนีเซียจาก[[สุมาตราเหนือ]] บ่อยครั้งจะรวมผลิตภัณฑ์เช่นนี้กับพริก เพื่อให้ได้รส 麻辣 หรือ ''málà'' หรือ ชาและเผ็ด หรือ "mati rasa"<ref>{{cite web | title = Spice Pages: Sichuan Pepper (Zanthoxylum, Szechwan peppercorn, fagara, hua jiao, sansho 山椒, timur, andaliman, tirphal) | url = http://gernot-katzers-spice-pages.com/engl/Zant_pip.html | deadurl = no | archiveurl = https://web.archive.org/web/20170915161100/http:/gernot-katzers-spice-pages.com/engl/Zant_pip.html | archivedate = 2017-09-15 }}</ref>
ความรู้สึกเช่นนี้แม้ไม่ใช่การรู้รส แต่เป็น[[ตัวรับรู้สารเคมี|การรู้สารเคมี]]

=== รสฝาด ===
อาหารบางอย่าง เช่น[[ผลไม้]]ที่ยังไม่สุก จะมี[[แทนนิน]]หรือแคลเซียมออกซาเลต ซึ่งทำให้เกิดรสฝาดที่[[เยื่อเมือก]]ของ[[ปาก]]
ตัวอย่างรวมทั้ง[[ชา]] [[ไวน์]]แดง พืชใน[[สกุลโกฐน้ำเต้า]] ผลไม้ใน[[สกุล (ชีววิทยา)|สกุล]][[ชมพู่]] [[พลับ]] และ[[กล้วย]]<ref>{{cite journal | last1 = Peleg | first1 = Hanna | last2 = Gacon | first2 = Karine | last3 = Schlich | first3 = Pascal | last4 = Noble | first4 = Ann C | title = Bitterness and astringency of flavan-3-ol monomers, dimers and trimers | journal = Journal of the Science of Food and Agriculture | date = 1999-06 | volume = 79 | issue = 8 | pages = 1123-1128 | doi = 10.1002/(SICI)1097-0010(199906)79:8<1123::AID-JSFA336>3.0.CO;2-D}}</ref>
คำเรียกรสนี้อื่น ๆ รวมทั้ง ฝืด ไม่ลื่นคอ บาดคอ กลืนยาก ด้าน

ใน[[อายุรเวท]] รสหนึ่งในหกก็คือรสฝาด (''kasaaya'')<ref>{{cite web | title = Types of Tastes in Ayurveda | url = http://www.ayurshop.com/diet/rasas.html | deadurl = yes | archiveurl = https://web.archive.org/web/20071008083229/http://www.ayurshop.com/diet/rasas.html | archivedate = 2007-10-08 }}</ref>
ใน[[ภาษาสิงหล]]และภาษาอังกฤษสิงหล มันเรียกว่า ''kahata''<ref>{{cite web | title = Sri Lankan English - Updates K | url = http://www.mirisgala.net/Updates/SL_English_Updates_K.html | deadurl = no | at = kahata | quote = (1) : astringent (one of the 6 tastes described in ayurveda, also called stainy in Caribbean English) (Sinhala) | archiveurl = https://web.archive.org/web/20170923161201/http://www.mirisgala.net:80/Updates/SL_English_Updates_K.html | archivedate = 2017-09-23 }}</ref>

=== รสโลหะ ===
รสโลหะอาจเกิดจากอาหารและเครื่องดื่ม ยาบางชนิดหรือวัสดุอุดฟันคือ อะมัลกัม (amalgam)
มันธรรมดาจะเป็นรสชาติผิดปกติถ้ามีในอาหารและเครื่องดื่ม
เป็นรสที่อาจเกิดจากปฏิกิริยาทางไฟฟ้าในปาก
เช่น ในกรณีที่เกิดจากวัสดุ[[ทันตกรรม]] [[โลหะ]]ที่ไม่เหมือนกันอาจสร้างกระแสไฟฟ้าในระดับที่วัดและรู้สึกได้<ref>{{cite web | url = http://www.toothbody.com/art-battery-in-your-mouth.php | title = Is there a Battery in your Mouth? | publisher = www.toothbody.com | accessdate = 2012-02-10 | deadurl = yes | archiveurl = https://web.archive.org/web/20120228223339/http://www.toothbody.com:80/art-battery-in-your-mouth.php | archivedate = 2012-02-28}}</ref>
[[น้ำตาลเทียม]]บางชนิดอาจมีรสเหมือนโลหะ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ตรวจจับโดยหน่วยรับ TRPV1<ref>{{cite web | last1 = Riera | first1 = Céline E. | last2 = Vogel | first2 = Horst | last3 = Simon | first3 = Sidney A. | last4 = le Coutre | first4 = Johannes | title = Artificial sweeteners and salts producing a metallic taste sensation activate TRPV1 receptors. | date = 2007 | journal = American Journal of Physiology | volume = 293 | number = 2 | pages = R626-R634 | doi = 10.1152/ajpregu.00286.2007 | pmid = 17567713 | url = http://ajpregu.physiology.org/content/293/2/R626 | accessdate = 2012-02-10}}</ref>
[[เลือด]]ก็เป็นอะไรที่คนจำนวนมากรู้สึกว่ามีรสโลหะ<ref>
{{cite journal | last = Willard | first = James P. | year = 1905 | title = Current Events | journal = Progress: A Monthly Journal Devoted to Medicine and Surgery | volume = 4 | pages = 861-68 | url = https://books.google.com/books?id=6xygAAAAMAAJ&pg=PA862}}</ref><ref>
{{cite book | last = Monosson | first = Emily | title = Evolution in a Toxic World: How Life Responds to Chemical Threats | url = https://books.google.com/books?id=vqtrn8iwtecC&pg=PA49 | year = 2012 | publisher = Island Press | isbn = 9781597269766 | page = 49}}</ref>

รสโลหะในปากอาจเป็น[[อาการ]]ของ[[โรค]]ต่าง ๆ ซึ่งจัดเข้าได้ว่าเป็นอาการ dysgeusia หรือ parageusia{{Efn-ua | name = dysgeusia }}
ซึ่งเป็นการได้รสชาติที่ผิดปกติ<ref name=goldstein>{{cite book | last = Goldstein | first = E. Bruce | title = Encyclopedia of Perception | url = https://books.google.com/books?id=6M3NSNm6MlkC&pg=PA959 | volume = 2 | year = 2010 | publisher = SAGE | isbn = 9781412940818 | pages = 958-59}}</ref>
อาจมีเหตุจากยาหลายอย่างรวมทั้ง [[ซาควินาเวียร์]]<ref name=goldstein/>
และ zonisamide<ref>{{cite book | last = Levy | first = René H. | title = Antiepileptic Drugs | url = https://books.google.com/books?id=HAOY0qG-vAYC&pg=PA875 | year = 2002 | publisher = Lippincott Williams & Wilkins | isbn = 9780781723213 | page = 875}}</ref>
หรืออาจมาจากภัยเนื่องกับ[[อาชีพ]] เช่น ต้องทำงานกับ[[สารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์]]<ref>{{cite book | last = Stellman | first = Jeanne Mager | title = Encyclopaedia of Occupational Health and Safety: The body, health care, management and policy, tools and approaches | url = https://books.google.com/books?id=vW6rXFvm4sQC&pg=PT299 | year = 1998 | publisher = International Labour Organization | isbn = 9789221098140 | page = 299}}</ref>

=== รสแคลเซียม ===
การได้รสเหมือนชอล์กได้แสดงแล้วว่า มาจาก[[แคลเซียม]]ซึ่งอยู่ในวัตถุนั้น<ref>{{cite web | url = http://www.scientificamerican.com/article/osteoporosis-calcium-taste-chalk/ | title = Like the Taste of Chalk? You're in Luck--Humans May Be Able to Taste Calcium. | publisher = Scientific American | date = 2008-08-20 | accessdate = 2014-03-14}}</ref>
ในปี 2008 นัก[[พันธุศาสตร์]]ได้ค้นพบหน่วยรับแคลเซียม CaSR ที่ลิ้นของ[[หนูหริ่ง]]
หน่วยรับ CaSR นี้ปกติพบได้อย่างสามัญที่[[ทางเดินอาหาร]] [[ไต]] และ[[สมอง]]
พร้อม ๆ กับหน่วยรับรสหวาน คือ T1R3 หน่วยรับ CaSR สามารถตรวจจับแคลเซียมโดยเป็นรสอย่างหนึ่ง
แม้จะเป็นยีนที่สัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดระหว่างหนูหริ่งกับมนุษย์ ก็ยังไม่ชัดเจนว่ามนุษย์มีหน่วยรับ CaSR ที่ลิ้นหรือไม่<ref>
{{Citation | first = Michael G. | last = Tordorf | contribution = Chemosensation of Calcium | title = American Chemical Society National Meeting, Fall 2008, 236th | year = 2008 | pages = AGFD 207 | place = Philadelphia, PA | publisher = American Chemical Society | contribution-url = http://portal.acs.org/portal/acs/corg/content?_nfpb=true&_pageLabel=PP_TRANSITIONMAIN&node_id=859&use_sec=false&sec_url_var=region1 | nopp = true }}</ref><ref name=ScienceDaily21Aug08Calcium>
{{citation | date = 2008-08-21 | title = That Tastes ... Sweet? Sour? No, It's Definitely Calcium! | url = http://www.sciencedaily.com/releases/2008/08/080820163008.htm | work = Science Daily | accessdate = 2010-09-14}}</ref>

=== รสไขมัน ===
การรู้ความมันของอาหารเชื่อกันมาหลายปีแล้วว่า มาจาก[[ระบบรับความรู้สึกทางกาย]]<ref name=ChaudhariRoper2010-p286>{{harvnb | Chaudhari | Roper |2010 | loc = Diverse sensory inputs tickle our taste buds, p. 286 }}</ref>
แต่งานวิจัยเริ่มตั้งแต่ปี 2005 ได้พบหน่วยรับรสที่เรียกว่า CD36 receptor<ref>
{{cite web | date = 2005-11-02 | title = Potential Taste Receptor for Fat Identified | url = http://www.scientificamerican.com/article/potential-taste-receptor/ | publisher = Scientific American }}</ref><ref>
{{Cite journal | pmid = 16276419 | pmc = 1265871 | year = 2005 | author1 = Laugerette | first1 = F | title = CD36 involvement in orosensory detection of dietary lipids, spontaneous fat preference, and digestive secretions | journal = Journal of Clinical Investigation | volume = 115 | issue = 11 | pages = 3177-84 | last2 = Passilly-Degrace | first2 = P | last3 = Patris | first3 = B | last4 = Niot | first4 = I | last5 = Febbraio | first5 = M | last6 = Montmayeur | first6 = J. P. | last7 = Besnard | first7 = P | doi = 10.1172/JCI25299 }}</ref><ref>
{{Cite journal | pmid = 24631296 | year = 2014 | author1 = Dipatrizio | first1 = N. V. | title = Is fat taste ready for primetime? | journal = Physiology & Behavior | volume = 136C | pages = 145-154 | doi = 10.1016/j.physbeh.2014.03.002 | pmc = 4162865 }}</ref>
ซึ่งอาจเป็นตัวรับ[[ไขมัน]]เพราะจับกับ[[กรดไขมัน]]แบบโซ่ยาว<ref>{{Cite journal | pmid = 8694909 | year = 1996 | author1 = Baillie | first1 = A. G. | title = Reversible binding of long-chain fatty acids to purified FAT, the adipose CD36 homolog | journal = The Journal of membrane biology | volume = 153 | issue = 1 | pages = 75-81 | last2 = Coburn | first2 = C. T. | last3 = Abumrad | first3 = N. A. | doi = 10.1007/s002329900111 }}</ref>
และได้ระบุแล้วที่เซลล์[[ตุ่มรับรส]]ของ[[มนุษย์]]และ[[หมู]] โดยเฉพาะก็คือที่[[ปุ่มเซอร์คัมแวลเลต]]และ[[ปุ่มรูปใบไม้]]<ref>{{Cite journal | pmid = 20950842 | year = 2011 | author1 = Simons | first1 = P. J. | title = Apical CD36 immunolocalization in human and porcine taste buds from circumvallate and foliate papillae | journal = Acta Histochemica | volume = 113 | issue = 8 | pages = 839-43 | last2 = Kummer | first2 = J. A. | last3 = Luiken | first3 = J. J. | last4 = Boon | first4 = L | doi = 10.1016/j.acthis.2010.08.006 }}</ref>
แต่ก็ยังเป็นเรื่องยังไม่ยุติว่า เราสามารถรู้รสไขมันได้จริง ๆ หรือไม่ โดยนักวิชาการที่สนับสนุนว่าสามารถรู้รสกรดไขมันอิสระ (FFA) ได้อ้างเหตุผลดังต่อไปนี้คือ<ref name="pmid21557960">{{Cite journal | pmid = 21557960 | pmc = 3139746 | year = 2011 | author1 = Mattes | first1 = R. D. | title = Accumulating evidence supports a taste component for free fatty acids in humans | journal = Physiology & Behavior | volume = 104 | issue = 4 | pages = 624-31 | doi = 10.1016/j.physbeh.2011.05.002 }}</ref>
* มีประโยชน์ทาง[[วิวัฒนาการ]]ในการรู้ไขมันทางปาก
* หน่วยรับไขมันที่เป็นไปได้ ก็ค้นพบแล้วที่เซลล์ตุ่มรับรส
* กรดไขมันทำให้เกิดการตอบสนองของเซลล์ประสาทรับรส คล้ายกับรสอื่น ๆ ที่ได้ยอมรับแล้ว
* มีการตอบสนองทาง[[สรีรภาพ]]ต่อการมีไขมันในปาก

แม้ CD36 จะได้ศึกษาโดยหลักในหนูบ้าน งานวิจัยที่ตรวจสอบสมรรถภาพในการรู้รสไขมันในมนุษย์ที่มี[[การแสดงออกของยีน|การแสดงออกของ CD36]] สูง ก็ได้พบว่า บุคคลเหล่านี้ไวต่อไขมันมากกว่าบุคคลที่แสดงออกยีนต่ำ<ref>{{Cite journal | pmid = 22210925 | pmc = 3276480 | year = 2012 | author1 = Pepino | first1 = M. Y. | title = The fatty acid translocase gene CD36 and lingual lipase influence oral sensitivity to fat in obese subjects | journal = The Journal of Lipid Research | volume = 53 | issue = 3 | pages = 561-6 | last2 = Love-Gregory | first2 = L | last3 = Klein | first3 = S | last4 = Abumrad | first4 = N. A. | doi = 10.1194/jlr.M021873 }}</ref>
งานวิจัยนี้จึงชี้ความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างจำนวนหน่วยรับ CD36 กับสมรรถภาพในการรู้รสไขมัน

ยังมีหน่วยรับไขมันที่เป็นไปได้อื่น ๆ อีกด้วย
[[G protein-coupled receptor]] คือ GPR120 และ GPR40 พบว่า สัมพันธ์กับรสไขมัน เพราะการไร้พวกมันจะลดความชอบใจในกรดไขมันสองอย่าง (linoleic acid และ [[กรดโอเลอิก]]) และลดการตอบสนองของเซลล์ประสาทต่อกรดไขมันทางปาก<ref>{{Cite journal | pmid = 20573884 | year = 2010 | author1 = Cartoni | first1 = C | title = Taste preference for fatty acids is mediated by GPR40 and GPR120 | journal = Journal of Neuroscience | volume = 30 | issue = 25 | pages = 8376-82 | last2 = Yasumatsu | first2 = K | last3 = Ohkuri | first3 = T | last4 = Shigemura | first4 = N | last5 = Yoshida | first5 = R | last6 = Godinot | first6 = N | last7 = Le Coutre | first7 = J | last8 = Ninomiya | first8 = Y | last9 = Damak | first9 = S | doi = 10.1523/JNEUROSCI.0496-10.2010 }}</ref>

ช่องแคตไอออน TRPM5 ซึ่งมี[[เวเลนซ์]]เดี่ยว ยังพบว่าช่วยรับรสไขมันด้วย<ref>{{Cite journal | pmid = 21653867 | pmc = 3125678 | year = 2011 | author1 = Liu | first1 = P | title = Transient receptor potential channel type M5 is essential for fat taste | journal = Journal of Neuroscience | volume = 31 | issue = 23 | pages = 8634-42 | last2 = Shah | first2 = B. P. | last3 = Croasdell | first3 = S | last4 = Gilbertson | first4 = T. A. | doi = 10.1523/JNEUROSCI.6273-10.2011 }}</ref>
แม้จะเชื่อว่า มันเป็นตัวประมวลข้อมูลรสในขั้นต่อ ๆ มา และไม่ใช่เป็นการรับรสหลักดังที่พบในรสอื่น ๆ เช่น ขม หวาน และอุมะมิ<ref name="pmid21557960"/>
ในปี ค.ศ. 2015 นักวิจัยที่[[มหาวิทยาลัยเพอร์ดู]]ได้เสนอชื่อรสชาติพื้นฐานของไขมันที่เรียกว่า oleogustus<ref>
{{cite journal | last1 = Running | first1 = Cordelia A. | last2 = Craig | first2 = Bruce A. | last3 = Mattes | first3 = Richard D. | date = 2015-07-03 | title = Oleogustus: The Unique Taste of Fat | url = http://chemse.oxfordjournals.org/content/early/2015/07/02/chemse.bjv036.abstract?sid=f45a0d90-7258-44e9-ac06-35ffde1b9bb1 | journal = Chemical Senses | volume = 40 | issue = 6 | pages = 507-516 | doi = 10.1093/chemse/bjv036 | accessdate = 2015-08-03}}</ref>
แม้จะยังไม่ได้การยอมรับอย่างกว้างขวางใน[[ชุมชนนักวิทยาศาสตร์]]

รูปแบบหลักของไขมันที่ทานก็คือ[[ไตรกลีเซอไรด์]] ซึ่งประกอบด้วยกรดไขมันสามส่วนยึดเข้าด้วยกัน
ในรูปแบบนี้ ไตรกลีเซอไรด์จะทำให้อาหารที่ประกอบด้วยไขมันรู้สึกว่ามัน หรือเหมือน[[ครีม]]
แต่ความรู้สึกต่อเนื้ออาหารเช่นนี้ไม่ใช่การรู้รสชาติจริง ๆ

ในระหว่างการย่อยอาหาร ไตรกลีเซอไรด์จะสลายด้วยน้ำอาศัย[[เอนไซม์]] "ลิเพส (lipase)" กลายเป็นกรดไขมันย่อย ๆ
ซึ่งให้รสชาติที่ไม่น่าชอบใจอีกอย่างหนึ่งในมนุษย์ นอกเหนือจากรสขมและเปรี้ยว
แต่นักวิชาการในงานศึกษาก็ได้อธิบายว่า ระดับเจือจางของกรดไขมันเช่นนี้ อาจเพิ่มรสชาติอาหาร คล้ายกับรสขมหน่อย ๆ ที่ทำให้อาหารบางอย่างมีรสชาติกลมกล่อมดีขึ้น
อย่างไรก็ดี กรดไขมันในระดับความเข้มข้นสูงในอาหารบางอย่างพิจารณาว่า ทานไม่ลง<ref name="Purdue">{{cite web | url = http://www.purdue.edu/newsroom/releases/2015/Q3/research-confirms-fat-is-sixth-taste-names-it-oleogustus.html | title = Research confirms fat is sixth taste; names it oleogustus | last1 = Neubert | first1 = Amy Patterson | date = 2015-07-23 | website = Purdue News | publisher = Purdue University | access-date = 2015-08-04}}</ref>

เพื่อแสดงว่า บุคคลจะสามารถแยกแยะรสไขมันออกจากรสอื่น ๆ นักวิจัยได้แยกผู้เข้าร่วมการทดลองออกเป็นกลุ่ม ๆ และให้พวกเขาชิมอาหารต่าง ๆ ที่มีรสชาติพื้นฐานอื่น ๆ ด้วย
ผู้ร่วมการทดลองสามารถแยกรสกรดไขมันออกเป็นกลุ่มโดยเฉพาะ แม้จะเหลื่อมล้ำกับรสอุมะมิบ้าง ซึ่งนักวิชาการได้สมมุติว่า เพราะไม่คุ้นเคยเป็นอย่างดีกับรสทั้งสอง
นักวิจัยได้ให้ข้อสังเกตว่า "ความรู้สึกมันและเหนียวที่เราสัมพันธ์กับอาหารไขมันสูง มีเหตุโดยหลักจากไตรกลีเซอไรด์" ซึ่งไม่เกี่ยวกับการรู้รส
ในขณะที่การได้รสกรดไขมันจริง ๆ จะไม่น่าชอบใจ
ซึ่งนักวิชาการระบุรสชาติเช่นนี้ว่า เป็น "เหมือนระบบเตือนภัยมากกว่า" ว่าอาหารบางอย่างไม่ควรทาน<ref name="oleogustus"/>
มีอาหารบริโภคเป็นประจำน้อยอย่างมากที่มีรสชาติมัน เพราะปริมาณมาก ๆ มักทำให้ไม่ชอบใจ
อาหารส่วนน้อยที่ไขมันให้รสชาติรวมทั้ง[[น้ำมันมะกอก]]และ[[เนยสด]] พร้อมกับ[[น้ำมันพืช]]และน้ำมันถั่วต่าง ๆ<ref>{{cite news | last = Feldhausen | first = Teresa Shipley | date = 2015-07-31 | title = The five basic tastes have sixth sibling: oleogustus | url = https://www.sciencenews.org/article/five-basic-tastes-have-sixth-sibling-oleogustus | newspaper = Science News | access-date = 2015-08-04}}</ref>

=== รสเบิกบานใจ (''kokumi'') ===
นักวิจัยชาวญี่ปุ่นบางท่านกล่างถึงรสเบิกบานใจ (''kokumi'') ในอาหาร
ซึ่งกล่าวว่า เป็นรสที่แผ่ไปทั่วปาก<ref name="foodprot">{{cite book | editor1-last = Hettiarachchy | editor1-first = Navam S. | editor2-last = Sato | editor2-first = Kenji | editor3-last = Marshall | editor3-first = Maurice R. | title = Food proteins and peptides: chemistry, functionality interactions, and commercialization | date = 2010 | publisher = CRC | location = Boca Raton, Fla. | isbn = 9781420093414 | url = https://books.google.com/books?id=-h8UEImN7SAC&pg=PA290&dq=kokumi | page = 290 | accessdate = 2014-06-26 }}</ref>
ซึ่งดูเหมือนจะสัมพันธ์กับ[[เพปไทด์]]จำนวนหนึ่งคือ {{nowrap |γ-L-[[กรดกลูตามิก|glutamyl]] peptide}} ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นหน่วยรับแคลเซียม (calcium-sensing receptor) ซึ่งไวต่อ[[กลูตาไธโอน]]ด้วย<ref name="foodprot"/>

=== รสแป้ง ===
งานปี 2016 แสดงว่า มนุษย์สามารถรู้รส[[แป้ง]] (โดยเฉพาะคือ [[glucose]] oligomer) ต่างหากจากรสอื่น ๆ เช่นรสหวาน
อย่างไรก็ดี ก็ยังไม่ได้ค้นพบหน่วยรับสารเคมีโดยเฉพาะของรสชาตินี้<ref>
{{Cite journal | last = Lapis | first = Trina J. | last2 = Penner | first2 = Michael H. | last3 = Lim | first3 = Juyun | date = 2016-08-23 | title = Humans Can Taste Glucose Oligomers Independent of the hT1R2/hT1R3 Sweet Taste Receptor | url = https://nature.berkeley.edu/garbelottoat/wp-content/uploads/lapis-etal-2106.pdf | journal = Chemical Senses | language = en | pages = bjw088 | doi = 10.1093/chemse/bjw088 | issn = 0379-864X | pmid = 27553043 | volume = 41}}</ref><ref>
{{cite journal | first1 = Alexa J. | last1 = Pullicin | first2 = Michael H. | last2 = Penner | first3 = Juyun | last3 = Lim | title = Human taste detection of glucose oligomers with low degree of polymerization | url = http://journals.plos.org/plosone/article?id=10.1371/journal.pone.0183008 | journal = PLOS ONE | date = 2017-08-29 | issn = 1932-6203 | pages = e0183008 | volume = 12 | issue = 8 | doi = 10.1371/journal.pone.0183008}}</ref><ref>
{{Cite web | url = https://www.newscientist.com/article/2104244-there-is-now-a-sixth-taste-and-it-explains-why-we-love-carbs/ | title = There is now a sixth taste - and it explains why we love carbs | last = Hamzelou | first = Jessica | date = 2016-09-02 | website = New Scientist | language = en-US | access-date = 2016-09-14}}</ref>

=== อุณหภูมิ ===
[[อุณหภูมิ]]เป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับการได้รสชาติทั่วไป
ในวัฒนธรรมหนึ่ง ๆ อาหารและเครื่องดื่มที่ตามประเพณีให้ทานร้อน ๆ บ่อยครั้งจะพิจารณาว่าไม่อร่อยถ้าเย็น และในนัยกลับกันก็เช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยกเว้นบางชนิด
ทั่วไปเชื่อว่าดีสุดเมื่อให้ดื่มที่อุณหภูมิห้องหรือเย็นในระดับต่าง ๆ แต่[[ซุป]]ยกเว้นบางชนิดเหมือนกัน ปกติจะทานร้อน ๆ
ตัวอย่างทางวัฒนธรรมก็เช่น[[น้ำอัดลม]]
ใน[[อเมริกาเหนือ]] มันมักจะดื่มเมื่อเย็นไม่ว่าจะเป็น[[ฤดู]]ไหน

== โครงสร้างต่าง ๆ ==
[[ไฟล์:1402 The Tongue.jpg|thumb|left|350px| [[ตุ่มรับรส]] (taste bud) และ[[ปุ่มลิ้น]] (lingual papillae) ]]
คล้ายกับระบบ[[ประสาทสัมผัส]]อื่น ๆ ระบบรู้รสประกอบด้วยเซลล์รับความรู้สึกที่มีลักษณะพิเศษใน[[ระบบประสาทส่วนนอก]] ที่ส่งข้อมูลรสไปตามวิถีประสาทไปยัง[[ระบบประสาทส่วนกลาง]]<ref name=Purves2008-p381-383 />

=== หน่วยรับรส ===
{{บทความหลัก |หน่วยรับรส}}
ในร่างกายมนุษย์ [[สิ่งเร้า]]หมายถึงรูปแบบ[[พลังงาน]]ชนิดหนึ่ง ที่ชักนำให้เกิดการทำงานหรือการตอบสนองทาง[[สรีรภาพ]]หรือทาง[[จิตใจ]]
[[ตัวรับความรู้สึก]]เป็นโครงสร้างในร่างกายซึ่ง[[การถ่ายโอนความรู้สึก|ถ่ายโอนสิ่งเร้าจากพลังงานชนิดหนึ่ง ๆ]]
ซึ่งอาจมาจาก[[สารเคมี]] [[คลื่นเสียง]] [[ความร้อน]] [[สัมผัส]]ที่ผิวหนัง โดยเปลี่ยนเป็น[[ศักยะงาน]] ซึ่งเป็นขบวนพัลส์ไฟฟ้าที่[[สมอง]]ซึ่งเป็นศูนย์ประมวลผลของร่างกายสามารถแปลผล

ตัวรับความรู้สึกเป็นปลายประสาทในรูปแบบต่าง ๆ ของ[[เซลล์ประสาทรับความรู้สึก]]
โดยแต่ละรูปแบบจะ[[การเลือกตัวกระตุ้นของนิวรอน|เหมาะกับสิ่งเร้าประเภทหนึ่ง ๆ]] ดังนั้น จึงมี[[ตัวรับความรู้สึก]]มากมายหลายแบบในร่างกาย
[[เซลล์ประสาท]]เป็นองค์ประกอบหลักของ[[ระบบประสาท]] ซึ่งส่งข้อมูลจากตัวรับความรู้สึกไปทั่วร่างกาย

การรู้รสเป็นรูปแบบหนึ่งของ[[ตัวรับรู้สารเคมี|การรับรู้สารเคมี]] (chemoreception) โดยเกิดที่[[หน่วยรับรส]] (taste receptor) ภายใน[[ปาก]]
รวมทั้งที่[[ลิ้น]] [[แก้ม]] เพดานอ่อน [[คอหอย]] และ[[ฝากล่องเสียง]]<ref name=Saladin2010a-p595 />
ในปัจจุบัน [[นักวิทยาศาสตร์]]ได้ระบุ[[หน่วยรับรส]] 5 อย่างแล้ว คือที่รู้รสเค็ม หวาน เปรี้ยว ขม และ[[อุมะมิ]]{{Efn-ua | name = IncompleteList}}
หน่วยรับรสจะมี[[การถ่ายโอนความรู้สึก]]ต่าง ๆ กัน คือจะสามารถตรวจับสารประกอบบางอย่าง แล้วเริ่ม[[ศักยะงาน]]เพื่อส่งไปยัง[[สมอง]]

{{anchor | taste cell}}<!-- มีลิงก์จากที่อื่น กรุณาอย่าลบหรือเปลี่ยนโดยไม่แก้ลิงก์ด้วย -->
=== เซลล์รับรส ===
หน่วยรับรสอยู่ที่เซลล์รับรส (taste receptor cell/taste cell) ซึ่งเป็นเซลล์เนื้อเยื่อบุผิว (epithelial cell) ที่มีรูป[[กล้วย]]/รูป[[กระสวย]] และมีขนที่ส่วนยอดแบบ microvilli ที่เรียกได้ว่า ขนรับกลิ่น (gustatory/taste hairs) ซึ่งทำหน้าที่เป็นพื้นผิวให้หน่วยรับรสทำปฏิกิริยากับโมเลกุลมีรสได้ โดยขนจะยื่นเข้าไปในรูรับรส (taste pore) ซึ่งกว้างประมาณ 1&nbsp;มม. และอยู่ที่ผิวลิ้น
โดยทั่วไปแล้ว เซลล์รับรสมีหน้าที่[[การถ่ายโอนความรู้สึก|ถ่ายโอน]]ข้อมูล[[รส]]เป็น[[กระแสประสาท]] โดย[[การเข้ารหัสทางประสาท|เข้ารหัส]]ข้อมูลว่าเป็นรสอะไร เข้มข้นแค่ไหน น่าชอบใจไม่น่าชอบใจ เป็นอันตรายหรือไม่ของรส
และส่งข้อมูลผ่าน[[ไซแนปส์]]ที่ฐานเซลล์ผ่าน[[สารสื่อประสาท]]ต่าง ๆ เช่น[[เซโรโทนิน]]เป็นต้น
ไปยังใยประสาทรับความรู้สึก (sensory nerve fiber) ซึ่งส่งข้อมูลต่อไปยัง[[ระบบประสาทกลาง]]<ref name=Saladin2010a-p595 /><ref name=Purves2008-p381-383 />

เซลล์รับรสมีชีวิตอยู่เพียงแค่ 7-10 วันโดยเซลล์ที่ตายจะทดแทนด้วยเซลล์ต้นกำเนิดชั้นฐานที่อยู่ด้วยกันใน[[ตุ่มรับรส]]<ref name=Saladin2010a-p595 /><ref name=Purves2008-p381-383>{{harvnb | Purves et al |2008a | loc = The Organization of the Taste System, pp. 381-383 }}</ref>
ซึ่งทำให้มันมีลักษณะคล้ายกับ[[เซลล์รับกลิ่น]]ใน[[จมูก]] เพราะต้องแทนที่อยู่ตลอดชีวิต และไม่เหมือนกับ[[เซลล์รับแสง]]ใน[[จอตา]]ซึ่งใช้ในการเห็น หรือ[[เซลล์ขน]]ใน[[คอเคลีย]]ของ[[หูชั้นใน]]ซึ่งใช้ในการได้ยิน<ref name=ChaudhariRoper2010-p286-288>{{harvnb | Chaudhari | Roper |2010 | loc = The structure of taste buds and other matters of taste, p. 286-288 }}</ref>
ซึ่งต้องดำรงอยู่ตลอดชีวิตและถ้าเสียไปแล้วก็จะไม่มีเซลล์ใหม่ ๆ มาแทน

เซลล์รับรสสามารถแบ่งได้เป็นสองส่วน (สองโดเมน) คือ ส่วนยอดและส่วนฐาน โดยแบ่งออกด้วย tight junctions
ส่วนยอดมีช่องไอออนที่ทำปฏิกิริยากับรสเค็มหรือรสเปรี้ยว
หรือมี [[G protein-coupled receptor]] ที่ทำปฏิกิริยากับรสขม รสหวาน และรสอุมะมิ
โมเลกุลต่าง ๆ ที่มีส่วนในการส่งสัญญาณผ่าน[[ระบบโมเลกุลส่งสัญญาณที่สอง]] (second messenger system) ก็มีอยู่อย่างเข้มข้นในส่วนยอดด้วย<ref name=Purves2008-p386-F15.17>{{harvnb | Purves et al |2008a | loc = Figure 15.1 Taste buds, taste cells, and taste transduction, p. 386 }}</ref>

ส่วนฐานมีช่องไอออน Na<sup>+</sup> K<sup>+</sup> และ Ca<sup>+</sup> ซึ่งเปิดปิดขึ้นอยู่กับศักย์ไฟฟ้า
และเป็นช่องที่อำนวยการหลั่ง[[สารสื่อประสาท]]ของ presynaptic specialization ที่ฐานเซลล์ซึ่งเชื่อมกับเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณกลิ่นไปยังสมอง นอกจากนั้น
ส่วนฐานยังมี[[ร่างแหเอนโดพลาซึม]]ที่ควบคุมความเข้มข้นของ Ca<sup>+</sup> ภายในเซลล์
และดังนั้นจึงมีบทบาทการหลั่งสารสื่อประสาทด้วยเหมือนกัน<ref name=Purves2008-p386-F15.17 />
ถุงไซแนปส์ของเซลล์จะบรรจุ[[สารสื่อประสาท]][[เซโรโทนิน]]และ[[อะดีโนซีนไตรฟอสเฟต]]เป็นต้น เพื่อส่งสื่อข้อมูลให้เซลล์อื่น ๆ<ref name=Purves2008a-p387-389>{{harvnb | Purves et al |2008a | loc = Taste Buds Taste Cells, Receptor Proteins, and Transduction, pp. 387-389}}</ref>

นอกจากนั้น เซลล์ยังมีช่อง TRPM5 ซึ่งอำนวยการลดขั้วของเซลล์ โดยเป็นส่วนการทำงานของระบบโมเลกุลส่งสัญญาณที่สอง แม้ยังไม่ชัดเจนว่า ช่องนี้มีที่ส่วนยอดหรือที่ส่วนฐาน<ref name=Purves2008-p386-F15.17 />

รสพื้นฐานแต่ละรสจะมีหน่วยรับรสโดยเฉพาะ ๆ ซึ่งแสดงออกในเซลล์รับรสบางส่วนโดยเฉพาะ ๆ เป็นการแสดงว่า เซลล์รับรสอุมะมิ รสหวาน และรสขม เป็นเซลล์กลุ่มต่าง ๆ กัน<ref name=Purves2008a-p384-387 /><ref name=Kandel2013-p728-732>{{harvnb | Buck | Bargmann |2013a | loc = Each Taste Is Detected by a Distinct Sensory Transduction Mechanism and Distinct Population of Taste Cells, 728-732 }}</ref>
หน่วยรับรส T1R1+T1R3 เป็นตัวตรวจจับรสอุมะมิ หน่วยรับรส T1R2+T1R3 เป็นตัวตรวจจับรสหวาน (ยกเว้นในกรณีที่หวานมาก ซึ่งหน่วยรับรส T1R3 เพียงอย่างเดียวก็ตรวจจับได้) และหน่วยรับรส T2R เป็นตัวตรวจจับรสขม
งานศึกษายีนระดับโมเลกุลพบว่า T1R1 และ T1R2 จะแสดงออกในเซลล์รับรสกลุ่มต่าง ๆ กัน ดังนั้น เซลล์รับรสอุมะมิและรับรสหวานจะเป็นคนละกลุ่มกัน และก็พบด้วยว่า เซลล์รับรสที่ตรวจจับรสขมเป็นเซลล์คนละกลุ่มจากเซลล์ที่รับรสอุมะมิและรับรสหวาน<ref name=Kandel2013-p728-732 /><ref name=Purves2008a-p387-389 />

นอกจากการรู้รสแต่ละอย่างจะมีเซลล์รับรสโดยเฉพาะ ๆ ที่ตุ่มรับรสแล้ว ส่วนสมองที่ทำงานเป็นตัวแทนการรู้รสแต่ละอย่าง ๆ ก็ดูจะแยกเป็นส่วน ๆ ด้วย ดังที่พบใน insular cortex
คือในมนุษย์ปกติ เมื่อรู้รสหนึ่ง ๆ คอร์เทกซ์ส่วนรู้รสบริเวณโดยเฉพาะ ๆ จะทำงาน เป็น[[การเข้ารหัสทางประสาท|การเข้ารหัสข้อมูลรสทางประสาท]]ที่เรียกได้ว่า labeled line code<ref name=Purves2008a-p384-387 /><ref name=Purves2008a-p389-392>{{harvnb | Purves et al |2008a | loc = Neural Coding in the Taste System, pp. 389-392 }}</ref>
<!--เผื่ออนาคต ยังเป็นเรื่องไม่ยุติว่า เซลล์รับรสหนึ่ง ๆ สามารถรู้รสชนิดหนึ่งโดยเฉพาะหรือรู้ได้หลายหลายรส
นักวิชาการบางท่านอ้างว่า "เซลล์ประสาทรับรสปกติจะตอบสนองต่อสิ่งเร้ามากกว่าประเภทเดียว แม้เซลล์ประสาทแต่ละเซลล์จะตอบสนองอย่างมีกำลังที่สุดต่อรสชนิดเดียว"
นักวิชาการบางส่วนก็เชื่อว่า สมองตีความรสชาติที่ซับซ้อนโดยตรวจสอบรูปแบบการตอบสนองของเซลล์ประสาทรวมกันเป็นจำนวนมาก
ซึ่งทำให้ร่างกายสามารถตัดสินใจว่าจะกินหรือจะคายออก เมื่อมีรสมากกว่ารสเดียว
"ไม่มีเซลล์ประสาทชนิดเดียวที่สามารถแยกแยะสิ่งเร้าหรือลักษณะต่าง ๆ โดยตนเอง เพราะเซลล์ ๆ หนึ่งสามารถตอบสนองแบบเดียวกันต่อสิ่งเร้าที่ต่างกัน"{{ต้องการอ้างอิงเฉพาะส่วน | date = 2016-09}} -->

=== ตุ่มรับรส ===
{{บทความหลัก |ตุ่มรับรส}}
[[เซลล์รับรส]]จะอยู่ที่[[ตุ่มรับรส]] (taste bud) โดยมีตุ่มรับรสจำนวนระหว่าง 2,000-5,000 ตุ่มที่ด้านหน้าและหลังของลิ้น<ref name="Boron, W.F. 2003">{{cite book | authors = Boron, WF; Boulpaep, EL | year = 2003 | title = Medical Physiology | edition = 1st | location = USA | publisher = Elsevier Science }}</ref>
และยังอยู่ที่เพดาน ข้าง ๆ ปาก หลังปาก และในคออีกด้วย
ตุ่มรับรสแต่ละตุ่มซึ่งมีรูปเป็นลูก[[เลมอน]]/หัว[[กระเทียม]]จะมีเซลล์รับรส 40-60 เซลล์ โดยอยู่ร่วมกับเซลล์ค้ำจุนกับ[[เซลล์ต้นกำเนิด]]ชั้นฐาน (basal stem cell)<ref name=Saladin2010a-p595>{{harvnb | Saladin |2010a | pp = 595 (611) }}</ref>

เพราะเซลล์รับรสมีชีวิตอยู่เพียงแค่ 7-10 วัน เซลล์ที่ตายจะทดแทนด้วยเซลล์ต้นกำเนิดชั้นฐานที่อยู่ด้วยกันในตุ่มรับรส
ส่วนเซลล์ค้ำจุนมีรูปร่างคล้ายเซลล์รับรส แต่ไม่มีขนรับรส และไม่มีบทบาทในการรู้รส<ref name=Saladin2010a-p595 />

=== ปุ่มลิ้น ===
{{บทความหลัก |ปุ่มลิ้น}}
[[ลิ้น]]ปกคลุมไปด้วยปุ่มเล็ก ๆ เป็นพัน ๆ ซึ่งเรียกว่า [[ปุ่มลิ้น]] (lingual papillae) และมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ปุ่มแต่ละปุ่มจะมี[[ตุ่มรับรส]] (taste bud) เป็นร้อย ๆ<ref name = Schacter169>{{cite book | last = Schacter | first = Daniel | title = Psychology | edition = 2nd | year = 2009 | publisher = Worth Publishers | location = United States of America | isbn = 978-1-4292-3719-2 | page = 169}}</ref>
โดย[[ปุ่มรูปด้าย]]เป็นข้อยกเว้นเพราะไม่มีตุ่มรับรส

ปุ่มลิ้นเป็นผิวลิ้นที่ยื่นออกคล้าย[[หัวนม]] โดยมีรูปร่างและการกระจายตัวบนลิ้นที่แตกต่างกัน รวมทั้ง<ref name=Saladin2010a-p595 />
* '''ปุ่มเซอร์คัมแวลเลต'''/'''ปุ่มล้อมด้วยกำแพง''' (circumvallate papillae, vallate papillae) เป็นปุ่มขนาดใหญ่มีรูป[[โดม]] จัดเป็นแถวหนึ่ง ๆ ที่แต่ละข้างของลิ้น โดยแถวแต่ละข้างจะวิ่งไปทางข้างหลังเข้าไปตรงกลาง และไปประจบกันที่เส้นกลาง เป็นรูปตัวอักษร V บนลิ้นมนุษย์ ปุ่มมีจำนวนระหว่าง 8-12 ปุ่ม แต่มีตุ่มรับรสจำนวนเกือบครึ่ง คือแต่ละปุ่มมีตุ่มรับรสประมาณ 250 ตุ่ม
* '''ปุ่มรูปเห็ด''' (fungiform papillae) เป็นส่วนยื่นของลิ้นที่มีรูปเห็ด โดยทั่วไปมีสีแดง โดยกระจายไปในระหว่างปุ่มรูปด้าย แต่โดยมากอยู่ที่ปลายและข้าง ๆ ลิ้น เป็นปุ่มที่มีตุ่มรับรสประมาณ 3 ตุ่มที่ยอด และโดยรวม ๆ กันแล้วมีตุ่มรับรส 25% ของทั้งหมด<ref name=Purves2008a-p384-387 />
* '''ปุ่มรูปด้าย''' (filiform papillae) เป็นปุ่มลิ้นซึ่งเล็ก ๆ ละเอียด และมีมากที่สุด<ref name= Norton2007>{{cite book | author = Norton, N | others = illustrations by Netter FH | title = Netter's head and neck anatomy for dentistry | year = 2007 | publisher = Saunders Elsevier | location = Philadelphia, Pa. | isbn = 1929007884 | page = 402}}</ref> เป็นปุ่มที่กระจายไปตามผิวลิ้นประมาณ 2/3 ด้านหน้า และจัดเป็นแถว ๆ ขนานไปกับส่วน sulcus terminalis ของลิ้น ปุ่มรูปด้ายไม่มีตุ่มรับรส จึงไม่มีส่วนในการรู้รส แต่โครงสร้างของมันจะทำให้ลิ้นสาก และก็ยังมีส่วนในการทำให้รับรู้เนื้ออาหารนอกจากรสได้
* '''ปุ่มรูปใบไม้''' (foliate papillae) เป็นรอยพับสั้น ๆ 4-5 รอยเป็นแนวขนานที่ข้าง ๆ ของลิ้นด้านหลัง<ref name="Gray's40e">{{cite book | editors = Standring, Susan | title = Gray's anatomy : the anatomical basis of clinical practice | year = 2008 | publisher = Churchill Livingstone/Elsevier | location = Edinburgh | isbn = 978-0443066849 | edition = 40th | chapter = Chapter 33: NECK AND UPPER AERODIGESTIVE TRACT}}</ref> ประมาณ 2/3 เข้าไปจากปลายลิ้น ปุ่มปรากฏเป็นแถวของสันเยื่อเมือกรูปใบไม้ซึ่งมีสีแดง และปกคลุมด้วย[[เนื้อเยื่อบุผิว]]โดยไม่มีเคอราทิน จึงไม่แข็ง และมีตุ่มรับรสมากมาย<ref name="Gray's40e" /> โดยรวม ๆ กันมีตุ่มรับรส 25% ของทั้งหมด<ref name=Purves2008a-p384-387 />

=== การส่งข้อมูลรสทั่วไป ===
ในมนุษย์ รสชาติจะส่งไปทาง[[ประสาทสมอง]] 3 เส้นจาก 12 เส้น
[[เส้นประสาทเฟเชียล]] (VII) ส่งข้อมูลรสชาติจากลิ้นด้านหลังประมาณ 2/3<ref name=Saladin2010a-p595-597 />
ส่วนประสาทลิ้นคอหอย (glossopharyngeal nerve, IX) ส่งข้อมูลจากลิ้นด้านหน้าประมาณ 1/3<ref name=Saladin2010a-p595-597 />
ในขณะที่สาขาของประสาทเวกัส (vagus nerve, X) ส่งข้อมูลรสไปจากส่วนต่าง ๆ ด้านหลังของช่องปากรวมทั้งเพดาน [[คอหอย]] และ[[ฝากล่องเสียง]]<ref name=Saladin2010a-p595-597 />
โดยประสาททั้งหมดจะส่งไปยัง solitary nucleus (NST) ทางด้านหน้าส่วนข้าง (rostral and lateral) ซึ่งเป็นส่วนที่เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า gustatory nucleus of NST โดยอยู่ในก้านสมองส่วนท้าย (medulla oblongata)<ref name=Saladin2010a-p595-597 /><ref name=Purves2008-p381-383 />
ซึ่งเป็นจุดที่[[เซลล์รีเลย์]]ที่สองส่งข้อมูลต่อไปยังเขตต่าง ๆ ในสมองรวมทั้ง<ref name=Saladin2010a-p595-597 />
* [[ไฮโปทาลามัส]]และ[[อะมิกดะลา]] ที่มีส่วนให้เกิด[[ระบบประสาทอิสระ|รีเฟล็กซ์อิสระ]] เช่น น้ำลายไหล การขย้อนออก และ[[การอาเจียน]]<ref name=Saladin2010a-p595-597 /> มีผลต่ออารมณ์ (เช่นชอบใจหรือไม่ชอบใจ) เมื่อได้หรือหาอาหาร มีผลต่อความอยาก ความอิ่ม และการตอบสนองเพื่อรักษา[[ภาวะธำรงดุล]]เมื่อทานอาหาร<ref name=Purves2008-p381-383 />
* [[ทาลามัส]]ส่วน ventral posterior medial nucleus (VPM) ซึ่งก็ส่งข้อมูลต่อไปยังส่วนต่าง ๆ ใน[[คอร์เทกซ์ใหม่]]รวมทั้ง insular cortex และ operculum ใน[[สมองกลีบหน้า]]<ref name=Purves2008-p381-383 /> ซึ่งอาจเรียกรวมกันว่า[[คอร์เทกซ์ส่วนรู้รส]] (gustatory cortex) ที่ทำให้เกิดการรู้รสเหนือจิตสำนึก<ref>{{cite book | authors = Marieb, Elaine N.; Hoehn, Katja | year = 2008 | title = Anatomy & Physiology | edition = 3rd | location = Boston | publisher = Benjamin Cummings/Pearson | isbn = 0-8053-0094-5 | pages = 391-395 }}</ref>

นอกจากนั้น ศูนย์กลางการประมวลผลทางประชานและการตัดสินใจ คือ orbitofrontal cortex (OFC) ด้านหลังส่วนข้าง (caudolateral) จะรวมข้อมูลทาง[[ระบบการเห็น|ตา]] [[ระบบรู้กลิ่น|จมูก]] ลิ้น และ[[ระบบรับความรู้สึกทางกาย|กาย]] เพื่อประเมินความอร่อยหรือไม่อร่อยของอาหาร เช่น ดังที่พบภายในลิงว่า เมื่อทานอาหารชนิดหนึ่งจนอิ่ม รสนั้น ๆ จะไม่ทำให้ OFC ตอบสนอง ซึ่งแสดงนัยว่า OFC มีบทบาทในแรงบันดาลใจให้ทานอาหารหนึ่ง ๆ<ref name=Saladin2010a-p595-597 /><ref name=Purves2008-p381-383 />

[[ไฟล์:Comprehensive List of Relevant Pathways for the Gustatory System.png|thumb| แผนภาพนี้ติดตามการส่ง[[กระแสประสาท]]ของโครงสร้างทั้งหมดที่ทำให้รู้รสได้ ในเขตต่าง ๆ ของ[[สมองมนุษย์]]ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ]]
=== การเชื่อมต่อทางประสาท ===
'''เส้นประสาทลิ้นคอหอย''' (glossopharyngeal nerve) เป็นตัวส่งสัญญาณจาก 1/3 ของลิ้นรวมทั้ง[[ปุ่มเซอร์คัมแวลเลต]]
ส่วน'''[[เส้นประสาทเฟเชียล]]'''เป็นตัวส่งข้อมูลรสจากส่วน 2/3 ที่เหลือของลิ้น
และจาก[[แก้ม]]ผ่านสาขา chorda tympani ของเส้นประสาท<ref>{{Cite pmid | 17473041}}<!-- J Am Dent Assoc. 2007 May;138(5) :628-33. Evidence of chorda tympani dysfunction in patients with burning mouth syndrome. Eliav E, Kamran B, Schaham R, Czerninski R, Gracely RH, Benoliel R. --></ref>
ส่วนใยประสาท '''special visceral afferent''' ของเส้นประสาทเวกัสจะส่งข้อมูลรสจาก[[ฝากล่องเสียง]]ที่โคนลิ้น
โดยส่งไปในระบบประสาทกลางที่ด้านหน้าส่วนข้างของ '''nucleus of the solitary tract''' (NST)

'''Pterygopalatine''' เป็นปมประสาท (ganglia) ในด้านทั้งสองของเพดานอ่อน
เส้นประสาท greater petrosal, lesser palatine, และ zygomatic ทั้งหมดยุติเป็น[[ไซแนปส์]]ที่ส่วนนี้
เส้นประสาท '''greater petrosal''' ส่งข้อมูลรสจากเพดานอ่อนไปยังเส้นประสาทเฟเชียล
ส่วนเส้นประสาท '''lesser palatine''' ส่งสัญญาณไปยังช่องจมูก (nasal cavity) ซึ่งเป็นเหตุให้น้ำมูกไหลเมื่ออาหารเผ็ด
ส่วนเส้นประสาท '''zygomatic''' ส่งสัญญาณไปยัง lacrimal nerve เพื่อกระตุ้นต่อมน้ำตา (lacrimal gland) ให้ทำงาน ซึ่งเป็นเหตุให้[[น้ำตา]]ไหลเมื่อได้อาหารเผ็ด
ทั้งเส้นประสาท lesser palatine และ zygomatic เป็นสาขา maxillary nerve ของเส้นประสาทไทรเจมินัล

เส้นประสาทลิ้นซึ่งเป็นส่วนของเส้นประสาทไทรเจมินัล (ไม่แสดงในแผนภาพ) เป็นตัวให้ข้อมูลความรู้สึกอื่น ๆ นอกจากรสจาก ⅔ ของลิ้น และเป็นเส้นประสาทที่วิ่งร่วมกับสาขา chorda tympani ของเส้นประสาทเฟเชียลซึ่งส่งข้อมูลรสชาติเมื่อออกจากลิ้น<ref>{{Cite doi |10.1002/ca.21011}}<!-- Mu, Liancai, and Ira Sanders. "Human Tongue Neuroanatomy: Nerve Supply and Motor Endplates." Wiley Online Library. Oct. 2010. Web. 27 March 2016. --></ref>

NST จัดระเบียบข้อมูลรสแบบเป็น[[แผนที่ภูมิลักษณ์]]คือได้รับข้อมูลรสจากเส้นประสาทเวกัสที่ด้านหน้า (rostral) จากเส้นประสาทลิ้นคอหอยที่ส่วนกลาง และจากเส้นประสาทเวกัสที่ส่วนหลัง (caudal)<ref name=Purves2008-p381-383 />
NST ยังรวมประมวลความรู้สึกอื่น ๆ (เช่น อุณหภูมิ เนื้ออาหาร เป็นต้น) เข้าด้วย<ref>{{cite journal | authors = King, Camillae T; Travers, Susan P | date = 1999-04-15 | title = Glossopharyngeal Nerve Transection Eliminates Quinine-Stimulated Fos-Like Immunoreactivity in the Nucleus of the Solitary Tract: Implications for a Functional Topography of Gustatory Nerve Input in Rats | journal = JNeurosci }} </ref>
NST ส่วนหลังยังได้รับเส้นประสาทสาขาใต้กะบังลมของเส้นประสาทเวกัสซึ่งควบคุมการเคลื่อนไหวเองของ[[กระเพาะอาหาร]] และอาจช่วยให้สัตว์สามารถตอบสนองเมื่อได้อาหารที่ทำให้ป่วย<ref name=Purves2008-p381-383 />
NST ได้รับสัญญาณจาก[[อะมิกดะลา]] (ซึ่งควบคุมการส่งสัญญาณของส่วน oculomotor nuclei) จาก bed nuclei of stria terminalis จาก[[ไฮโปทาลามัส]] และจาก[[คอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า]]

'''Reticular formation''' (ซึ่งรวม Raphe nuclei ที่ผลิต[[เซโรโทนิน]]) จะได้รับสัญญาณให้หลั่งเซโรโทนินในระหว่างและหลังจากการทานอาหารเพื่อระงับความอยาก<ref>{{Cite pmid | 14729135}}<!-- J Chem Neuroanat. 2003 Dec;26(4) :331-43. The human raphe nuclei and the serotonergic system. Hornung JP.--></ref>
และคล้าย ๆ กัน ส่วน '''salivary nuclei''' ก็จะได้รับสัญญาณให้ลดการหลั่งน้ำลาย

ทางเดินประสาทที่เกี่ยวข้องกันอื่น ๆ รวมทั้ง
* การเชื่อมกับ'''เส้นประสาทใต้ลิ้น''' (Hypoglossal nerve) และ[[ทาลามัส]]จะช่วยในการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับปาก
* การเชื่อมกับ'''[[ไฮโปทาลามัส]]'''จะควบคุม[[ความหิว]]และ[[ระบบย่อยอาหาร]]
* '''Substantia innominata''' จะเป็นตัวเชื่อมกับ[[ทาลามัส]] [[สมองกลีบขมับ]] และ insular cortex
* '''Edinger-Westphal nucleus''' จะตอบสนองต่อ[[สิ่งเร้า]]ที่มีรสโดยขยายหรือหดรูม่านตา<ref>{{Cite doi |10.1016/0166-2236(83)90068-1 }}<!-- Parasympathetic ocular control — functional subdivisions and circuitry of the avian nucleus of Edinger-Westphal. Anton Reiner , Harvey J. Karten , Paul D.R. Gamlin , Jonathan T. Erichsen --></ref>
* '''ปมประสาทไขสันหลัง''' (spinal ganglion) จะมีบทบาทในการเคลื่อนไหว
* '''frontal operculum''' คาดว่า เป็นแหล่งความจำและการเชื่อมโยงของรสชาติ{{ต้องการอ้างอิงเฉพาะส่วน | date = 2016-04}}
* '''insula cortex''' เป็นตัวช่วยกลืนและการเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหาร<ref>
{{Cite pmid |12667843}}<!-- Wright, Christopher I., and Brain Martis. "Novelty Responses and Differential Effects of Order in theAmygdala, Substantia Innominata, and Inferior Temporal Cortex." Science Direct. Mar. 2003. Web. 27 March 2016. --></ref><ref>
{{Cite doi |10.1007/s00429-010-0262-0}} [https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2899886/ Full article]<!-- Menon, Vinod, and Lucina Q. Uddin. "Saliency, Switching, Attention and Control: A Network Model of Insula." Springer. 29 May 2010. Web. 28 March 2016 --></ref>

== การตอบสนองทางสรีรภาพ ==
รสช่วยให้สัตว์ระบุและกินอาหารในขณะที่หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นพิษและที่กินไม่ได้
ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารเริ่มเตรียมรับและย่อยอาหาร เช่น การหลั่งน้ำย่อย การบีบรูดของทางเดินอาหาร
และช่วยระบบอื่น ๆ เตรียมตัวเพื่อปรับ[[เมแทบอลิซึม]] เช่น การเพิ่มอัตราการเต้นหัวใจ โดยให้ข้อมูลแก่ระบบประสาทร่วมกับการเห็น การได้กลิ่นเป็นต้น<ref name=ChaudhariRoper2010-p285-286>{{harvnb | Chaudhari | Roper |2010 | loc = Taste: our most intrepid sense Sampling the environment through our sense of taste, pp. 285-286 }}</ref>

ข้อมูลรสอาจทำให้ระบบประสาทตอบสนอง คือ<ref name=Purves2008-p381-383 /><ref name=Purves2008a-p384-387 />
* รสหวาน รสเค็ม และรสอุมะมิที่ด้านหน้าของลิ้น ซึ่งเป็นรสของอาหารที่ร่างกายต้องการ ทำให้เกิดพฤติกรรมกินอาหารและการเตรียม[[ระบบย่อยอาหาร]]เพื่อรับและย่อยอาหาร เช่น การเคลื่อนไหวของ[[ปาก]] การหลั่ง[[น้ำลาย]] การกลืน และการหลั่งสาร[[อินซูลิน]]
* รสเปรี้ยว ซึ่งเป็นตัวแสดงความเป็นกรด ทำให้เกิดพฤติกรรมปฏิเสธอาหารที่อาจเป็นอันตราย เช่น การทำหน้าเบี้ยว หน้าย่น และการหลั่งน้ำลายจำนวนมากเพื่อทำสารละลายให้จาง
* รสขม ซึ่งอาจแสดงความเป็นพิษ ทำให้เกิดพฤติกรรมปฏิเสธอาหารที่อาจเป็นอันตราย เช่น การขากและการขย้อน

== แนวคิดอื่น ๆ ==
=== ทางปรัชญา ===
รสชาติสามารถจัดเป็นรสพื้นฐานที่เป็น[[ปรวิสัย]]ได้ 5 รส (คือ หวาน เค็ม เปรี้ยว ขม และอุมะมิ) แต่ก็สามารถจัดตาม[[อัตวิสัย]]เป็นอร่อยและไม่อร่อย
ดังนั้น การรู้รสจึงเป็นประสบการณ์ทั้งแบบ "อัตวิสัย ปรวิสัย และเชิงคุณภาพ"<ref name="Schehr, Lawrence R. 2001">{{cite book | authors = Schehr, Lawrence R; Weiss, Allen S | year = 2001 | title = French Food: On the Table, on the Page, and in French Culture | location = New York | publisher = Routledge | pages = 228-41 }}</ref>
โดยเป็นแนวคิดทางปรัชญา รสเป็นเรื่องที่นิยามได้ยาก เพราะความชอบใจรสชาติเป็นเรื่องทางอัตวิสัย<ref name="Schehr, Lawrence R. 2001"/>
คือ เราไม่สามารถบอกตรงความจริงว่า อีกคนหนึ่งรู้สึกว่านี่ไม่อร่อย เพราะเราคิดว่าไม่อร่อย แม้นัยกลับกันก็เช่นกัน
เพื่อประเมินรสในบริบทเช่นนี้ เราต้องตรวจสอบนิยามต่าง ๆ ของรสชาติ<ref name="Schehr, Lawrence R. 2001" />

=== ซูเปอร์เทสเตอร์ ===
{{บทความหลัก |ซูเปอร์เทสเตอร์}}
ซูเปอร์เทสเตอร์ก็คือบุคคลที่ไวรสชาติกว่าคนอื่น ๆ
ซึ่งมีเหตุมาจากอย่างน้อยก็โดยบางส่วน การมี[[ปุ่มรูปเห็ด]] (ที่ลิ้น) เพิ่มขึ้น<ref>{{cite journal | authors = Bartoshuk, LM; Duffy, VB | year = 1994 | title = PTC/PROP tasting: anatomy, psychophysics, and sex effects." 1994 | journal = Physiol Behav | volume = 56 | issue = 6 | pages = 1165-71 | doi = 10.1016/0031-9384(94)90361-1 | pmid = 7878086 | display-authors = etal}}</ref>

งานศึกษาได้แสดงว่า ซูเปอร์เทสเตอร์ต้องได้ไขมันและน้ำตาลในอาหารน้อยกว่า เพื่อให้ได้ความพึงใจเท่ากัน
แต่ตรงข้ามกับความคิดทั่วไป คนพวกนี้กลับบริโภค[[เกลือ]]มากกว่าโดยเฉลี่ย
เนื่องจากไวรสขม และเกลือจะช่วยกลบรสขม
(ซึ่งอธิบายว่าทำไมซูเปอร์เทสเตอร์จึงชอบ[[เนยแข็ง]]เช็ดดาร์ที่ใส่เกลือมากกว่าที่ไม่ใส่)<ref>{{cite news | last = Gardner | first = Amanda | title = Love salt? You might be a 'supertaster' | url = http://www.cnn.com/2010/HEALTH/06/16/salt.taste/index.html | publisher = CNN Health | accessdate = 2012-04-09 | date = 2010-06-16}}</ref>

=== รสติดลิ้น ===
<!--เผื่ออนาคต {{บทความหลัก |Aftertaste}} -->
รสติดลิ้นเกิดขึ้นหลังจากได้กลืนอาหารลงแล้ว
โดยรสอาจจะต่างจากที่ได้จากอาหาร
[[ยา]]อาจมีรสติดลิ้นที่คงอยู่นาน เพราะมีรสชาติเป็นสารประกอบปรุงแต่ง เช่น [[แอสปาร์แตม]]ที่ให้รสหวาน

=== รสชาติที่กลายมาเป็นชอบ ===
รสชาติที่กลายมาเป็นชอบบ่อยครั้งหมายถึงการชอบอาหารหรือเครื่องดื่ม ที่ไม่น่าจะเป็นที่พึงใจสำหรับบุคคลที่ยังไม่เคยได้ลิ้มรสอย่างพอควร ปกติเพราะมีลักษณะอะไรที่ไม่คุ้นเคย รวมทั้งกลิ่นแปลกหรือแรง รสแปลกหรือจัด หรือรูปลักษณ์ที่แปลก ๆ

== การแพทย์ ==
คนไข้ที่มี Addison's disease, [[ต่อมใต้สมอง]]ทำงานไม่เพียงพอ (pituitary insufficiency), หรือ[[ซิสติก ไฟโบรซิส]] บ่อยครั้งจะไวรสหลัก ๆ 5 อย่างเกินกว่าปกติ<ref>{{cite web | url = https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK385/ | title = Clinical Methods: The History, Physical, and Laboratory Examinations | last = Walker | first = H. Kenneth | year = 1990 | accessdate = 2014-05-01}}</ref>

=== โรคการรู้รส ===
* ageusia (ไม่สามารถรู้รสเลย)
* hypogeusia (รู้รสน้อยกว่าปกติ)
* dysgeusia (รู้รสแบบผิดปกติ){{Efn-ua | name = dysgeusia}}
* hypergeusia (รู้รสมากกว่าปกติ)

== ประวัติ ==
ในประวัติ[[ชาวตะวันตก]] [[อาริสโตเติล]]ได้ตั้ง[[สมมติฐาน]]ในปี 350 ก่อน ค.ศ. ว่า<ref>{{cite web | authors = Aristotle | title = On the Soul | url = http://classics.mit.edu/Aristotle/soul.html | publisher = The Internet Classics Archive }}</ref>
รสชาติพื้นฐานที่สุดก็คือรสหวานและรสขม<ref>{{cite book | authors = Polansky, Ronald M | year = 2007 | url = https://books.google.com/books?id=QPnxaraJ7LQC&pg=PA193&lpg=PA193&dq=Aristotle+basic+taste+de+anima&source=bl&ots=e-LTAl5jY7&sig=XLE0M7LktCrr7Pf9wChJUZsW5yY&hl=en&ei=3DuUTPXpIZT4swPVnYTBCg&sa=X&oi=book_result&ct=result&resnum=7&ved=0CCoQ6AEwBg#v=onepage&q=succulent&f=false | title = Aristotle's De anima (422b10-16) | publisher = Cambridge University Press }}</ref>
เขาเป็นบุคคลแรก ๆ ที่ได้พัฒนารายการของรสชาติพื้นฐานขึ้น<ref>{{cite book | authors = Finger, Stanley | year = 2001 | url = https://books.google.com/books?id=_GMeW9E1IB4C&pg=PA165&lpg=PA165&dq=Aristotle+basic+taste&source=bl&ots=klU5I_B_b3&sig=4MpIEs5i1PxK122afPa-v3UjV50&hl=en&ei=fzqUTNH5AYj2tgOoofHACg&sa=X&oi=book_result&ct=result&resnum=2&ved=0CBYQ6AEwAQ#v=onepage&q=Aristotle%20basic%20taste&f=false | title = Origins of neuroscience: a history of explorations into brain function | location = US | publisher = Oxford University Press | pages = 165 }}</ref>

[[อายุรเวท]] ซึ่งเป็นแพทยศาสตร์อินเดียโบราณ มีรายการรสชาติพื้นฐานของตนเอง รวมทั้งรสหวาน รสเค็ม รสเปรี้ยว รสเผ็ด รสขม และรสฝาด<ref name="Ayurvedic2002">{{cite book | authors = Bueker, Joyce | year = 2002 | url = https://books.google.com/books?id=s2hsBJAp5fYC&lpg=PP1&dq=Ayurvedic%20balancing%3A%20an%20integration%20of%20Western%20fitness%20with%20Eastern%20wellness&pg=PA25#v=onepage&q=the%20six%20tastes&f=false | title = Ayurvedic balancing: an integration of Western fitness with Eastern wellness | publisher = Llewellyn Worldwide | pages = 25-26 }}</ref>

จีนโบราณก็พิจารณาความเผ็ดว่าเป็นรสชาติพื้นฐานด้วย

== งานวิจัย ==
[[หน่วยรับรส]] (Receptor) ของรสชาติพื้นฐานคือขม หวาน และอุมะมิ ได้ระบุแล้ว
คือเป็น[[โปรตีน]]กลุ่ม [[G protein-coupled receptor]]<ref>{{Cite journal | last1 = Bachmanov | first1 = AA. | last2 = Beauchamp | first2 = GK. | title = Taste receptor genes. | journal = Annu Rev Nutr | volume = 27 | issue = 1 | pages = 389-414 | year = 2007 | doi = 10.1146/annurev.nutr.26.061505.111329 | PMID = 17444812 | pmc = 2721271}}</ref>
เซลล์ที่ตรวจจับรสเปรี้ยวเป็นเซลล์กลุ่มย่อยซึ่ง[[การแสดงออกของยีน|แสดงออกโปรตีน]] PKD2L1
การตอบสนองจะอำนวยโดยการไหลของ[[โปรตอน]]เข้ามาในเซลล์ แต่หน่วยรับรสเปรี้ยวก็ยังไม่ได้ระบุ
ส่วนหน่วยรับรสเค็มที่ไวต่อยา[[อะมิโลไรด์]]ได้พบในหนูหริ่งว่าเป็นช่องโซเดียม<ref>{{cite journal | authors = Chandrashekar, J; Kuhn, C; Oka, Y; etal | title = The cells and peripheral representation of sodium taste in mice | journal = Nature | volume = 464 | issue = 7286 | pages = 297-301 | date = 2010-03 | pmid = 20107438 | pmc = 2849629 | doi = 10.1038/nature08783 }}</ref>

มีหลักฐานบ้างว่า มีรสชาติที่หกคือรสไขมัน<ref>
{{cite journal | authors = Laugerette, F; Passilly-Degrace, P; Patris, B; etal | title = CD36 involvement in orosensory detection of dietary lipids, spontaneous fat preference, and digestive secretions | journal = The Journal of Clinical Investigation | volume = 115 | issue = 11 | pages = 3177-84 | date = 2005-11 | pmid = 16276419 | pmc = 1265871 | doi = 10.1172/JCI25299}}</ref><ref>
{{cite journal | author = Abumrad, NA | title = CD36 may determine our desire for dietary fats | journal = The Journal of Clinical Investigation | volume = 115 | issue = 11 | pages = 2965-7 | date = 2005-11 | pmid = 16276408 | pmc = 1265882 | doi = 10.1172/JCI26955}}</ref><ref>
{{Citation | last = Boring | first = Edwin G. | title = Sensation and Perception in the History of Experimental Psychology | publisher = Appleton Century Crofts | year = 1942 | page = 453}}</ref>

ในปี 2010 นักวิจัยได้พบ[[หน่วยรับรส]]ใน[[เนื้อเยื่อ]]ปอด ซึ่งทำให้ทางเดินอากาศคลายตัวเมื่อประสบกับสารรสขม
นักวิจัยเชื่อว่า กลไกนี้เป็น[[การปรับตัว]]ทาง[[วิวัฒนาการ]]เพราะช่วยกำจัดเชื้อจากปอด แต่ก็สามารถถือเอาประโยชน์เพื่อรักษา[[โรคหืด]]และ[[โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง]]<ref>{{Cite journal | last1 = Deshpande | first1 = D. A. | last2 = Wang | first2 = W. C. H. | last3 = McIlmoyle | first3 = E. L. | last4 = Robinett | first4 = K. S. | last5 = Schillinger | first5 = R. M. | last6 = An | first6 = S. S. | last7 = Sham | first7 = J. S. K. | last8 = Liggett | first8 = S. B. | doi = 10.1038/nm.2237 | title = Bitter taste receptors on airway smooth muscle bronchodilate by localized calcium signaling and reverse obstruction | journal = Nature Medicine | volume = 16 | issue = 11 | pages = 1299-1304 | year = 2010 | pmid = 20972434 | pmc = 3066567 }}</ref>

== เชิงอรรถ ==
{{notelist | group = upper-alpha |30em}}


== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==
{{รายการอ้างอิง}}
{{รายการอ้างอิง |30em}}


== แหล่งข้อมูลอื่น ==
== แหล่งอ้างอิงอื่น ==
{{refbegin |30em}}
{{คอมมอนส์-หมวดหมู่|Taste}}
* {{Cite journal | ref = harv | last1 = Chaudhari | first1 = N | last2 = Roper | first2 = SD | year = 2010 | title = The cell biology of taste | journal = J. Cell Biol. | volume = 190 | issue = 3 | page = 285-96 | doi = 10.1083/jcb.201003144 | PMC = 2922655}} {{Open access}}<!-- Freely accessible. PMID 20696704. -->
* {{cite book | last1 = Saladin | first1 = KS | year = 2010a | title = Anatomy and Physiology: The Unity of Form and Function | edition = 5th | location = New York | publisher = McGraw-Hill | isbn = 978-0-39-099995-5 | chapter = 16.3 The Chemical Senses | pp = 595-597 (611-613) }}
* {{cite book | ref = {{harvid |Purves et al |2008a}} | year = 2008a | title = Neuroscience | chapter = 15 - The Chemical Senses | pp = 363, 381-393 | edition = 4th | editors = Purves, Dale; Augustine, George J; Fitzpatrick, David; Hall, William C; Lamantia, Anthony Samuel; McNamara, James O; White, Leonard E | publisher = Sinauer Associates | isbn = 978-0-87893-697-7}}
* {{cite book | ref = harv | last1 = Buck | first1 = Linda B | last2 = Bargmann | first2 = Cornelia I | year = 2013a | title = Principles of Neural Science | edition = 5th | editors = Kandel, Eric R; Schwartz, James H; Jessell, Thomas M; Siegelbaum, Steven A; Hudspeth, AJ | location = United State of America | publisher = McGraw-Hill | isbn = 978-0-07-139011-8 | chapter = 32 - Smell and Taste: The Chemical Senses | pages = 712-735 }}
;''The Senses: A Comprehensive Reference'' (2008)
* {{cite book | ref = harv | last1 = Gold | first1 = MS | last2 = Caterina | first2 = MJ | year = 2008 | title = 5.04 Molecular Biology of the Nociceptor/Transduction | editors = Bushnell, Catherine; Basbaum, Allan I | work = The Senses: A Comprehensive Reference | volume = 5: Pain | publisher = Elsevier }}


* {{cite web | title = The Science of taste | url = http://www.kitchengeekery.com/articles/science/the-science-of-taste-a27 | publisher = Kitchen Geekery }} An informative article about the science behind taste. Written from a culinary science perspective.
[[หมวดหมู่:การรับรู้รส| ]]
*{{Citation | date = 1978-06 | author = Bartoshuk, Linda M | title = The Psychophysics of Taste | journal = American Journal of Clinical Nutrition | volume = 31 | issue = 6 | pages = 1068-1077 | pmid = 352127 | url = http://www.ajcn.org/cgi/reprint/31/6/1068.pdf | accessdate = 2010-09-12}}
[[หมวดหมู่:ระบบการรับรู้รส]]
*{{Citation | year = 2010 | author1 = Chaudhari, Nirupa | author2 = Roper, Stephen D | lastauthoramp = yes | title = The cell biology of taste | journal = Journal of Cell Biology | pmid = 20696704 | volume = 190 | issue = 3 | pmc = 2922655 | pages = 285-296 | doi = 10.1083/jcb.201003144 | url = http://jcb.rupress.org/content/190/3/285.full.pdf | accessdate = 2010-09-13}}
{{โครงอาหาร}}
*{{Citation | year = 1968 | author = Danker, W.H | title = Basic Principles of Sensory Evaluation | place = Philadelphia | publisher = American Society for Testing and Materials | url = https://books.google.com/books?id=F_U5y5GkSToC&printsec=frontcover&dq=sensory+evaluation#v=onepage&q&f=false | accessdate = 2010-09-13 | isbn = 978-0-8031-4572-6 }}
*{{Citation | doi = 10.1016/S0092-8674(00)80697-2 | date = 2000-03-17 | author = Dulac, Catherine | title = The Physiology of Taste, Vintage 2000 | journal = Cell | volume = 100 | issue = 6 | pages = 607-610 | pmid = 10761926 | url = http://www.biochem.arizona.edu/classes/bioc471/pages/Lecture14/t-Dulac.pdf | accessdate = 2010-09-13}}
*{{Citation | year = 2009 | editor = Finger, Thomas E | title = International Symposium on Olfaction and Taste | place = Boston | publisher = Blackwell, for the New York Academy of Sciences | isbn = 1-57331-738-1 | url = https://books.google.com/books?id=KyOHZtkHulEC&printsec=frontcover&dq=International+Symposium+olfaction#v=onepage&q&f=false | accessdate = 2010-09-12}} Alternative
*{{Citation | year = 2010 | editor = Hui, Y.H | title = Handbook of Fruit and Vegetable Flavors | place = Hoboken, New Jersey | publisher = John Wiley & Sons | isbn = 978-0-470-22721-3 | url = https://books.google.com/books?id=XRVpfmrKpZkC&printsec=frontcover&dq=%22HandbooK<sup>+</sup>of+Fruit+and+Vegetable+%22#v=onepage&q&f=false | accessdate = 2010-09-13 | postscript = &nbsp;&nbsp;See especially comments and key references in regards taste}}
*{{Citation | year = 2006 | editor1 = Thomas Hummel | editor2 = Antje Welge-Lüssen | title = Taste and Smell: An Update | series = Advances in Oto-Rhino-Laryngolog | volume = Vol.63 | place = Basel, Switzerland | publisher = Karger | isbn = 3-8055-8123-8 | url = https://books.google.com/books?id=fuxS-p6bpuwC&printsec=frontcover&dq=Taste+smell#v=onepage&q&f=false | accessdate = 2010-09-12}}
*{{Citation | year = 1998 | author = Lawless, Harry T., & Heymann, Hildegarde | title = Sensory Evaluation of Food: Principles and Practices | place = New York | publisher = Kluwer Academic/Plenum Publishers | isbn = 0-8342-1752-X | url = https://books.google.com/books?id=BTR7VEJPDWAC&printsec=frontcover&dq=sensory+evaluation+food#v=onepage&q&f=false | accessdate = 2010-09-13}}
*{{Citation | year = 2006 | editor = Macbeth, Helen | title = Food Preferences and Taste: Continuity and Change | series = The Anthropology of Food and Nutrition | volume = Vol.2 | place = Providence, Rhode Island | publisher = Berghahn Books | isbn = 1-57181-958-4 | url = https://books.google.com/books?id=10yea7-5dQ0C&printsec=frontcover&dq=%22food+preferences+and+taste%22#v=onepage&q&f=false | accessdate = 2010-09-12}} Paperback
*{{Citation | date = 2006-06-30 | author1 = Reed, Danielle R | author2 = Tanaka, Toshiko | author3 = McDaniel, Amanda H | last-author-amp = yes | title = Diverse tastes: Genetics of sweet and bitter perception | journal = Physiology & Behavior | pmid = 16782140 | volume = 88 | issue = 3 | pages = 215-226 | pmc = 1698869 | doi = 10.1016/j.physbeh.2006.05.033 }}
*{{Citation | year = 1999 | editor = Reineccius, Gary | title = Source Book of Flavours | edition = 2nd | place = Gaithersburg, Maryland | publisher = Aspen | isbn = 0-8342-1307-9 | url = https://books.google.com/books?id=D9LBPoIe-F4C&printsec=frontcover&dq=source+booK<sup>+</sup>flavours#v=onepage&q=source%20book%20flavours&f=false | accessdate = 2010-09-12 | postscript = &nbsp;&nbsp;Previously published 1994 by Chapman & Hall, New York }}
*{{cite journal | authors = Schiffman, SS; Graham, BG | title = Taste and smell perception affect appetite and immunity in the elderly | journal = European Journal of Clinical Nutrition | volume = 54 Suppl 3 | pages = S54-63 | date = 2000-06 | pmid = 11041076 | doi = 10.1038/sj.ejcn.1601026}}
*{{Citation | year = 1997 | editor = Seiden, Allen M | title = Taste and Smell Disorders | series = Rhinology and Sinusology | place = New York | publisher = Thieme | isbn = 0-86577-533-8 | url = https://books.google.com/books?id=JSvZN3y9hSAC&printsec=frontcover&dq=Taste+smell#v=onepage&q&f=false | accessdate = 2010-09-12}} Alternative
*{{Citation | year = 1993 | author = Shallenberger, R.S | title = Taste Chemistry | place = London & New York | publisher = Blackie Academic & Professional (imprint of Chapman & Hall) | isbn = 0-7514-0150-1 | url = https://books.google.com/books?id=8_bjyjgClq0C&printsec=frontcover&dq=taste+chemistry#v=onepage&q&f=false | accessdate = 2010-09-12}}
*{{Citation | year = 2003 | author1 = Svrivastava, R.C. | author2 = Rastogi, R.P | lastauthoramp = yes | chapter = Relative taste indices of some substances | chapter-url = https://books.google.com/books?id=hIyM_o4YFZ4C&pg=PA274&dq=%22same+concentration+ (1M)%22&hl=en&ei=6yqRTIz4Ho-evQOM4dnBCw&sa=X&oi=book_result&ct=result&resnum=1&ved=0CCwQ6AEwAA#v=onepage&q=%22same%20concentration%20(1M)%22&f=false | title = Transport Mediated by Electrical Interfaces | series = Studies in interface science | volume = vol.18 | place = Amsterdam, Netherlands | publisher = Elsevier Science | isbn = 0-444-51453-8 | url = https://books.google.com/books?id=hIyM_o4YFZ4C&printsec=frontcover&dq=transport+mediated+interfaces#v=onepage&q&f=false | accessdate = 2010-09-12 | postscript = &nbsp;&nbsp;Taste indices of table 9, p.274 are select sample taken from table in Guyton's ''Textbook of Medical Physiology'' (present in all editions)}}
*{{cite journal | authors = Li, X; Staszewski, L; Xu, H; Durick, K; Zoller, M; Adler, E | title = Human receptors for sweet and umami taste | journal = Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States of America | volume = 99 | issue = 7 | pages = 4692-6 | date = 2002-04 | pmid = 11917125 | pmc = 123709 | doi = 10.1073/pnas.072090199}}
{{refend}}

== แหล่งข้อมูลอื่น ==
{{Wiktionary |sour}}
{{Wiktionary |taste}}
{{Commons category |Taste}}
*[http://hum-molgen.org/NewsGen/11-2003/msg11.html Researchers Define Molecular Basis of Human "Sweet Tooth" and Umami Taste]
*[http://www.nidcd.nih.gov/health/statistics/taste.asp Statistics on Taste] at National Institute on Deafness and Other Communication Disorders. An informative overview with good list of references.
*[http://www.kitchengeekery.com/articles/science/the-science-of-taste-a27 The Science of taste] at Kitchen Geekery. An informative article about the science behind taste. Written from a culinary science perspective.
<!--เผื่ออนาคต {{Taste}} -->
{{ระบบรู้รส}}
{{ระบบรับความรู้สึก}}
[[หมวดหมู่:ระบบรับความรู้สึก]]
[[หมวดหมู่:การรับรู้รส]]
[[หมวดหมู่:ระบบรู้รส]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 08:41, 27 เมษายน 2561

ตุ่มรับรส (Taste bud)

รส หรือ รสชาติ[1] (อังกฤษ: Taste, gustatory perception, gustation) เป็นเรื่องเกี่ยวกับประสาทสัมผัสหนึ่งในห้า (นับตามโบราณ) โดยเป็นความรู้สึกที่ได้จากระบบรู้รส (gustatory system) รสเป็นความรู้สึกที่ได้เมื่อสารในปากก่อปฏิกิริยาเคมีกับเซลล์รับรส (taste receptor cell) ที่อยู่ในตุ่มรับรส (taste bud) ในช่องปากโดยมากที่ลิ้น รสพร้อม ๆ กับกลิ่น และการกระตุ้นที่ประสาทไทรเจมินัล (ซึ่งทำให้รู้เนื้ออาหาร ความเจ็บปวด และอุณหภูมิ) จะเป็นตัวกำหนดความอร่อยของอาหารหรือสารอื่น ๆ[2][3] กล่าวอีกอย่างก็คือ ระบบรู้รสจะตรวจจับโมเลกุลอาหารและเครื่องดื่มเป็นต้น โดยมากที่ละลายในน้ำหรือไขมันได้ ซึ่งเมื่อรวมกับข้อมูลจากระบบรู้กลิ่นและระบบรับความรู้สึกทางกาย จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพของสารอาหาร ปริมาณ และความปลอดภัยของสิ่งที่เข้ามาในปาก[4]

มีรสชาติหลัก ๆ 5 อย่างคือ หวาน เปรี้ยว เค็ม ขม และอุมะมิ[A][6][7] มีงานทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์แล้วว่า รสชาติ 5 อย่างนี้มีจริง ๆ และแตกต่างจากกัน[ต้องการอ้างอิง] ตุ่มรับรสสามารถแยกแยะรสชาติต่าง ๆ ผ่านปฏิสัมพันธ์ที่มีกับโมเลกุลหรือไอออนต่าง ๆ รสหวาน อุมะมิ และขม จะเริ่มจากการจับกันของโมเลกุลกับ G protein-coupled receptors ที่เยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์รับรส ส่วนความเค็มและความหวานจะรู้ได้เมื่อโลหะแอลคาไลหรือไอออนไฮโดรเจน (ตามลำดับ) ไหลเข้าไปในตุ่มรับรส[8]

การรับรู้รสจะเริ่มตั้งแต่สารที่มีรสทำปฏิกิริยากับน้ำลายซึ่งท่วมตุ่มรับรสที่อยู่บนโครงสร้างต่าง ๆ เช่นปุ่มลิ้น ทำให้โมเลกุลรสมีโอกาสทำปฏิกิริยากับหน่วยรับรสที่อยู่บนเยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์รับรสซึ่งอยู่รวมตัวกันที่ตุ่มรับรส ผ่านกลไกต่าง ๆ ของหน่วยรับรสเช่นที่เป็น G Protein-coupled receptor ในที่สุดเซลล์รับรสก็จะลดขั้วแล้วส่งสัญญาณกลิ่นผ่านใยประสาทรับความรู้สึกไปยังระบบประสาทกลาง สมองก็จะประมวลผลข้อมูลรสซึ่งในที่สุดก็ทำให้รู้รส[9]

รสพื้นฐานจะมีส่วนต่อความรู้สึกอร่อยของอาหารในปาก ปัจจัยอื่น ๆ รวมทั้งกลิ่น[2] ที่ตรวจจับโดยเยื่อบุผิวรับกลิ่นในจมูก[10], เนื้ออาหาร[11] ที่ตรวจจับโดยตัวรับแรงกล และประสาทกล้ามเนื้อต่าง ๆ เป็นต้น[12], อุณหภูมิที่ตรวจจับโดยปลายประสาทรับร้อน, ความเย็น (เช่นที่ได้จากเมนทอล) กับรสเผ็สที่ได้จากตัวรับรู้สารเคมี, รูปลักษณ์ที่ปรากฏของอาหาร ที่เห็นได้ผ่านเซลล์รับแสงในจอตา[13], และสภาพทางจิตใจเอง[13]

เพราะเรารู้ทั้งรสที่เป็นอันตรายและมีประโยชน์ รสพื้นฐานทั้งหมดสามารถจัดเป็นไม่น่าพอใจ (aversive) หรือทำให้อยากอาหาร (appetitive)[14] ความหวานช่วยระบุอาหารที่สมบูรณ์ด้วยพลังงาน ในขณะที่ความขมช่วยเตือนว่าอาจมีพิษ[15]

สำหรับมนุษย์ การรู้รสจะเริ่มลดลงราว ๆ อายุ 50 ปี เพราะการเสียปุ่มลิ้นและการผลิตน้ำลายที่น้อยลง[16] ทำให้ผู้สูงอายุมักทานรสจัดขึ้นเทียบกับเด็ก เช่น ต้องเติมเกลือ เติมพริกเป็นต้น ซึ่งอาจเป็นปัญหาต่อผู้มีความดันโลหิตสูงหรือมีปัญหาธำรงดุลอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย[17] มนุษย์สามารถรู้รสแบบผิดปกติเพราะเป็นโรค dysgeusia[B]

สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมดไม่ได้รู้รสได้เหมือน ๆ กัน สัตว์ฟันแทะบางชนิดสามารถรู้รสแป้ง (ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถ) แมวไม่สามารถรู้รสหวาน และสัตว์กินเนื้อหลายอย่างรวมทั้งหมาไฮยีน่า ปลาโลมา และสิงโตทะเลต่างก็ได้เสียการรู้รสชาติอาจถึง 4 อย่างจาก 5 อย่างที่บรรพบุรุษของพวกมันรู้[19]

รสชาติพื้นฐาน

รสชาติทำให้มนุษย์สามารถแยกแยะอาหารที่ปลอดภัยและเป็นอันตราย และประเมินคุณค่าทางโภชนาการได้ เอนไซม์ย่อยอาหารในน้ำลายจะเริ่มย่อยละลายอาหารให้เป็นสารเคมีพื้นฐาน ที่ท่วมปุ่มลิ้นให้ตุ่มรับรสตรวจจับรสชาติได้ ถ้าไม่มีน้ำลาย น้ำตาลหรือเกลือจะไม่มีรสชาติอะไร ๆ[20] ลิ้นเต็มไปด้วยปุ่มลิ้นเล็ก ๆ (lingual papillae) เป็นพัน ๆ ซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ละปุ่มจะมีตุ่มรับรส (taste bud) เป็นร้อย ๆ[21] ยกเว้นปุ่มรูปใบไม้ (filiform papillae) ซึ่งไม่มีตุ่มรับรส มีตุ่มรับรสจำนวนระหว่าง 2,000-5,000 ที่ด้านหน้าและหลังของลิ้น[22] และยังอยู่ที่เพดาน ข้าง ๆ และหลังปาก และในคออีกด้วย ตุ่มรับรสแต่ละตุ่มจะมีเซลล์รับรส 40-60 เซลล์[20] และหน่วยรับรสที่เป็นจุดเริ่มการรู้รสชาติก็จะอยู่ที่เยื่อหุ้มของเซลล์รับรส[13]

รสชาติ 5 อย่างที่หน่วยรับรสสามารถรู้ได้รวมทั้งเค็ม หวาน ขม เปรี้ยว และอุมะมิ ซึ่งเป็นคำภาษาญี่ปุ่นซึ่งสามารถแปลเป็น "อร่อย" อาหารรสขมโดยทั่วไปจะไม่น่าชอบใจ ในขณะที่รสเปรี้ยว เค็ม หวาน และอุมะมิโดยทั่วไปเป็นรสที่ดี เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 นักสรีรวิทยาและนักจิตวิทยาชาวตะวันตกได้เชื่อว่ามีรสชาติพื้นฐานอยู่ 4 อย่าง คือ หวาน เปรี้ยว เค็ม และขม ในเวลานั้น ยังไม่มีใครค้นพบรสอุมะมิ[23] แต่ปัจจุบันผู้ชำนาญการโดยมากได้ยอมรับมันว่าเป็นรสชาติที่ห้า

งานศึกษาหนึ่งพบว่า กลไกที่ตรวจจับรสเค็มและเปรี้ยว สามารถตรวจจับโซเดียมคลอไรด์คือเกลือได้แม้จะทำงานต่างกัน อย่างไรก็ดี กรดก็สามารถตรวจจับโดยเป็นรสเปรี้ยวได้ด้วย[24] การตรวจจับเกลือได้สำคัญในสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ โดยเฉพาะสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพราะมันมีบทบาทที่ขาดไม่ได้ในการดำรงดุลไอออนและน้ำในร่างกาย มันจำเป็นโดยเฉพาะที่ไต เพราะเป็นสารประกอบที่มีฤทธิ์เกี่ยวกับออสโมซิส ซึ่งช่วยดูดซึมน้ำกลับเข้าในเส้นเลือด[ต้องการอ้างอิง] เพราะเหตุนี้ เกลือจึงเป็นรสที่น่าพึงใจในมนุษย์โดยมาก

รสเปรี้ยวและรสเค็มจะน่ายินดีเมื่อมีน้อย แต่ถ้ามีมากขึ้นก็อาจไม่น่ายินดีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับรสเปรี้ยว นี่อาจเป็นเพราะมันเป็นตัวบ่งผลไม้ที่ยังไม่สุก เนื้อหรืออาหารที่เสียแล้ว ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายเพราะแบคทีเรียในอาหาร อนึ่ง รสเปรี้ยวเป็นตัวแสดงกรด ซึ่งอาจเป็นอันตรายมากต่อเนื้อเยื่อต่าง ๆ

รสขมปกติจะไม่น่ายินดีต่อมนุษย์เกือบทั้งหมด เพราะโมเลกุลอินทรีย์หลายประเภทที่มีไนโตรเจน จะมีผลทางเภสัชวิทยาที่ทำให้รู้สึกขม รวมทั้งกาเฟอีน นิโคติน strychnine (สารพิษไร้สีชนิดหนึ่ง) ซึ่งตามลำดับเป็นส่วนประกอบของสารเร้าในกาแฟ สารเสพติดในบุหรี่ สารประกอบออกฤทธิ์ของสารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์จำนวนมาก และอาหารที่เสีย[13] แต่ก็ปรากฏว่า มีกระบวนการทางจิตใจบางอย่างที่ทำให้มนุษย์สามารถข้ามความรังเกียจตามธรรมชาติที่มีต่อรสขม ดังที่พบว่ากาแฟเป็นสิ่งบริโภคที่คนชอบทั่วโลก เป็นเรื่องน่าสนใจด้วยว่า ยาสามัญต่าง ๆ จะมีรสขมถ้าเคี้ยว ซึ่งระบบรู้รสดูเหมือนจะตีความสารเหล่านี้ว่าเป็นพิษ เพราะเหตุนี้ ความรู้สึกไม่ชอบใจในรสขมอาจเป็นระบบเตือนภัยขั้นสุดท้ายก่อนจะบริโภคสิ่งที่อาจเป็นอันตราย

รสหวานเป็นตัวบอกการมีคาร์โบไฮเดรตในสาร เพราะคาร์โบไฮเดรตมีแคลอรีสูง (เพราะ saccharide มีพันธะหลายอัน จึงมีพลังงานมาก) ร่างกายจึงต้องการเพราะได้วิวัฒนาการให้หาอาหารที่มีแคลอรีสูงสุด คาร์โบไฮเดรตสามารถใช้เป็นพลังงานโดยตรง (คือน้ำตาล) หรือใช้เก็บพลังงาน (โดยเป็นไกลโคเจน) อย่างไรก็ดี ก็ยังมีโมเลกุลที่ไม่ใช่คาร์โบไฮเดรตอื่น ๆ ที่ทำให้รู้สึกหวาน จึงสามารถพัฒนาน้ำตาลเทียมได้หลายอย่าง รวมทั้งแซกคารีน, sucralose, และแอสปาร์แตม ยังไม่ชัดเจนว่าสารเหล่านี้ทำให้หน่วยรับรสหวานทำงานได้อย่างไร และเคยมีความสำคัญทางการปรับตัวด้วยหรือไม่

ส่วนรสอุมะมิได้ค้นพบโดยนักเคมีชาวญี่ปุ่น ศ.ดร.คิคุนาเอะ อิเคดะ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียวอิมพีเรียล (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยโตเกียว) เป็นรสที่แสดงว่ามีกรดอะมิโน L-glutamate ซึ่งทำให้พอใจและกระตุ้นให้ทานอาหารที่มีเพปไทด์และโปรตีน เพราะร่างกายจะใช้กรดอะมิโนในโปรตีนเพื่อสร้างกล้ามเนื้อและอวัยวะต่าง ๆ สร้างโมเลกุลขนส่ง (รวมทั้งเฮโมโกลบิน) สร้างสารภูมิต้านทาน และสร้างตัวเร่งอินทรีย์คือเอนไซม์ ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่จำเป็น ร่างกายจึงจำเป็นจะต้องมีกรดอะมิโนอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้น จึงก่อความรู้สึกยินดีเมื่อมีในปาก

ในปี ค.ศ. 2015 นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยเพอร์ดูได้เสนอรสชาติพื้นฐานของไขมันที่เรียกว่า oleogustus[25] อนึ่ง ในประเทศเอเชียที่อยู่ใต้อิทธิพลของวัฒนธรรมจีนและอินเดีย รสเผ็ดอาจจัดว่าเป็นรสชาติพื้นฐานที่หก[26]

รสหวาน

แผนภาพแสดงวิถีการถ่ายโอนสัญญาณ (signal transduction pathway) ของการรู้รสหวาน A เป็นตุ่มรับรส B เป็นเซลล์รับรสที่ตุ่มรับรส และ C เป็นเซลล์ประสาทที่เชื่อมกับเซลล์รับรส
  1. ส่วนนี้แสดงการรับ/การจับกับโมเลกุลที่มีรส
    1. น้ำตาลเป็นโมเลกุลส่งสัญญาณที่หนึ่ง ซึ่งจับกับโปรตีนหน่วยรับรสที่เยื่อหุ้มเซลล์
  2. ส่วนนี้แสดงการถ่ายโอนสัญญาณของโมเลกุลรีเลย์
    1. G Protein-coupled receptor ซึ่งเป็นโมเลกุลส่งสัญญาณที่สอง จะเริ่มทำงาน
    2. โปรตีนจีจะเริ่มการทำงานของเอนไซม์ adenylate cyclase ซึ่งเพิ่มความเข้มข้นของ cAMP โดยการลดขั้วของเซลล์รับรสจะเริ่มจากจุดนี้
    3. พลังงานที่ได้จาก 3 จะใช้เริ่มการทำงานของโปรตีนซึ่งเป็นช่องโพแทสเซียม (K+)
  3. ส่วนนี้แสดงการตอบสนองของเซลล์รับรส
    1. โปรตีนคือช่องแคลเซียม (Ca+) จะเริ่มทำงาน
    2. Ca+ ที่เข้มข้นขึ้นจะทำให้ถุงเก็บหลั่งสารสื่อประสาทออกนอกเซลล์
    3. ซึ่งเริ่มการทำงานของเซลล์ประสาทที่เชื่อมกับตุ่มรับรส

ความหวาน ซึ่งเป็นรสชาติที่น่ายินดี เกิดอาศัยน้ำตาลและสารอื่น ๆ บางอย่าง รวมทั้งน้ำตาลเทียม (แซกคารีนและแอสปาร์แตมเป็นต้น) โปรตีนรสหวานบางอย่าง (monellin และ thaumatin เป็นต้น) และกรด d-amino บางชนิด[27][28] เป็นรสที่บ่อยครั้งเชื่อมกับแอลดีไฮด์และคีโทน ซึ่งมีกลุ่มทำงาน carbonyl[ต้องการอ้างอิง] เป็นรสที่สัมพันธ์กับคาร์โบไฮเดรตและอาหารที่มีพลังงานสูง[13] และตรวจจับได้โดย G protein coupled receptor (GPCR) แบบต่าง ๆ ซึ่งพบที่เซลล์รับรส[29]

หน่วยรับรสหวานสองชนิดจะต้องทำงานก่อนที่สมองจะแปลผลว่าเป็นรสหวาน สารประกอบที่สมองรู้สึกว่าหวาน จึงเป็นสารที่จับกับหน่วยรับรสหวานสองประเภทโดยมีกำลังของพันธะเคมีในระดับต่าง ๆ เป็นหน่วยรับรสประเภท T1R2+3 (เป็น heterodimer คือโมเลกุลโปรตีนต่าง ๆ กันจับคู่) และ T1R3 (เป็น homodimer เป็นโมเลกุลโปรตีนเหมือนกันจับคู่) ซึ่งอธิบายรสหวานทั้งหมดที่มีในมนุษย์และสัตว์[30]

ส่วนขีดเริ่มเปลี่ยนของการรู้รสหวานจะวัดเทียบกับซูโครส ซึ่งมีค่าดรรชนีที่ 1[31][32] มนุษย์มีขีดเริ่มเปลี่ยนเฉลี่ยของการรู้รสซูโครสที่ 10 มิลลิโมล/ลิตร (mmol/L) สำหรับแล็กโทส จะอยู่ที่ 30 mmol/L โดยมีค่าดรรชนีที่ 0.3[31] และสำหรับ 5-Nitro-2-propoxyaniline จะอยู่ที่ 0.002 mmol/L

น้ำตาล "ธรรมชาติ" เช่น saccharide จะเริ่มการทำงานหน่วยรับรสหวานอันเป็น G protein-coupled receptor ซึ่งก็จะเริ่มการทำงานของโปรตีนจีที่คู่กัน ซึ่งในที่สุดก็เริ่มการทำงานของ isoform ของ phospholipase C คือ PLCβ2 ซึ่งทำให้ inositol triphosphate (IP3) เข้มข้นขึ้น และเปิดช่อง TRPM5 ซึ่งทำให้เซลล์ลดขั้วผ่านการมี Ca2+ เพิ่มขึ้นในเซลล์ แล้วนำไปสู่การหลั่งสารสื่อประสาทที่ฐานของเซลล์ในที่สุด[33] น้ำตาลเทียมเช่น แซกคารีน จะเริ่มการทำงานของ GPCR ต่างประเภทกัน แล้วทำให้เซลล์รับรสลดขั้วผ่านวิถีการถ่ายโอนสัญญาณที่ต่างกัน[ต้องการอ้างอิง]

ต้นไม้หลายอย่างได้วิวัฒนาการให้มีรสหวานในดอกและผล ซึ่งชวนให้สัตว์กินและช่วยกระจายละอองเกสรและเม็ดของต้นไม้ ความชอบผลไม้หวาน ๆ และของหวาน ๆ ของมนุษย์ ได้วิวัฒนาการขึ้นร่วมกับวิธีการสืบพันธุ์ของต้นไม้[13]

รสเปรี้ยว

แผนภาพแสดงวิถีการถ่ายโอนสัญญาณ (signal transduction pathway) ของการรู้รสเปรี้ยวหรือรสเค็ม A เป็นตุ่มรับรส B เป็นเซลล์รับรสที่ตุ่มรับรส และ C เป็นเซลล์ประสาทที่เชื่อมกับเซลล์รับรส I ส่วนนี้แสดงการรับไอออนไฮโดรเจนหรือโซเดียม 1 ถ้าเป็นรสเปรี้ยว ไอออน H+ จากสารที่เป็นกรดจะผ่านเข้าช่องไอออนโดยเฉพาะของมัน แต่บางส่วนก็จะสามารถผ่านช่องไอออน Na+ ด้วย ถ้าเป็นรสเค็ม ไอออน Na+ จะผ่านเข้าช่องไอออน Na+ นี่เป็นจุดที่เซลล์เริ่มลดขั้ว II ส่วนนี้แสดงการถ่ายโอนสัญญาณของโมเลกุลรีเลย์ 2 ช่องแคตไอออนเช่นช่อง K+ จะเปิด III ส่วนนี้แสดงการตอบสนองของเซลล์รับรส 3 ไอออน Ca+ จะไหลเข้ามาในเซลล์ 4 แล้วเริ่มการทำงานของสารสื่อประสาท 5 ซึ่งส่งสัญญาณไปยังเซลล์ประสาทที่เชื่อมกับตุ่มรับรส

รสเปรี้ยวเป็นตัวบ่งความเป็นกรด[34][35] รสเปรี้ยวจะตรวจจับโดยเซลล์รับรสส่วนหนึ่งที่กระจายไปทั่วตุ่มรับรสที่ลิ้น และเหมือนกับเกลือ การรู้รสเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยช่องไอออน[36] คือแคตไอออน H+ จากกรด เช่น กรดน้ำส้ม จะไหลผ่านช่องไอออนซึ่งน่าจะเป็นแบบ H+-permeant, non-selective cation channel (ช่องแคตไอออนแบบไม่เลือกที่ให้ H+ ซึมเข้าได้) ในตระกูล TRP ซึ่งบางครั้งเรียกว่า PKD (เพราะสัมพันธ์กับช่องไอออนที่กลายพันธุ์ในโรค polycystic kidney disease)[33] รวมทั้งช่อง PKD2L1[37] โดยโปรตอน (H+) ที่เข้ามาจะทำให้เซลล์ลดขั้วโดยตรง มีผลให้ไอออนแคลเซียมไหลผ่านช่องแคลเซียมในส่วนฐานเป็นการเพิ่มการลดขั้วอีก ซึ่งในที่สุดทำให้เซลล์หลั่งสารสื่อประสาท[33]

แต่ยีน PKD2L1 อาจไม่จำเป็นสำหรับการรู้รสเปรี้ยว เพราะมีหลักฐานว่า โปรตอนที่มีอยู่อย่างสมบูรณ์ในสารเปรี้ยว สามารถเข้าไปในเซลล์รับรสเปรี้ยวโดยตรงผ่านช่องไอออนที่ส่วนยอด[38] คือการย้ายประจุบวกเข้าไปในเซลล์ก็เพียงพอจุดชนวนการตอบสนองทางไฟฟ้าได้แล้ว จึงมีการเสนอว่า กรดอ่อน ๆ เช่น กรดน้ำส้ม ซึ่งไม่ได้แตกตัวอย่างสมบูรณ์ที่ค่าพีเอชในร่างกาย ก็ยังสามารถเข้าไปในเซลล์รับรสแล้วก่อให้ตอบสนองทางไฟฟ้า ตามกลไกนี้ ไอออนไฮโดรเจนภายในเซลล์เองจะยับยั้งช่องโพแทสเซียม ซึ่งปกติมีหน้าที่เพิ่มขั้วเซลล์ (จึงทำให้ลดขั้วได้ยากขึ้น) เมื่อรวมการรับไฮโดรเจนเข้าโดยตรง (ซึ่งก็จะลดขั้วเซลล์) และการยับยั้งการทำงานของช่องไอออนที่เพิ่มขั้วเซลล์ รสเปรี้ยวจึงมีผลให้เซลล์รับรสลดขั้วและปล่อยสารสื่อประสาท[39]

ความเข้มข้นของรสเปรี้ยวจะวัดเทียบกับกรดไฮโดรคลอริกเจือจาง ซึ่งมีดรรชนีความเปรี้ยวที่ 1 เทียบกับกรดปูน (tartaric acid) ที่มีค่าดรรชนีรสเปรี้ยว 0.7 และกรดซิตริกที่มีค่าดรรชนี 0.46 (2 mMol/L) และกรดคาร์บอนิกที่มีค่าดรรชนี 0.06[31][32]

รสเปรี้ยวปกติจะไม่ค่อยเป็นที่ชอบใจ ดังนั้น เราจึงหลีกเลี่ยงทานอาหารที่เปรี้ยวมาก ๆ ซึ่งสามารถกวนการรักษาความเป็นกรดด่างภายในร่างกาย นอกจากนั้น อาหารที่เสียบ่อยครั้งยังมีรสเปรี้ยวด้วย ถึงกระนั้น เราก็อาจเรียนรู้แล้วกลายมาเป็นชอบใจอาหารที่ออกขมและเปรี้ยวได้[40]

ในบรรดาอาหารซึ่งสามัญที่สุด กลุ่มที่มีรสเปรี้ยวตามธรรมชาติก็คือผลไม้ เช่น ลูกเลมอน ลูกองุ่น ส้ม มะขาม และบางครั้ง เมลอน/แตง ไวน์ปกติก็มีรสเปรี้ยวหน่อย ๆ ด้วย และนมถ้าไม่เก็บให้ดี ก็จะเสียแล้วเกิดรสเปรี้ยว เด็กในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ชอบรสเปรี้ยวมากกว่าผู้ใหญ่[41] และขนมรสเปรี้ยวก็เป็นที่นิยมในอเมริกาเหนือ[42] โดยขนมหลายอย่างจะมีกรดซิตริก

รสเค็ม

ความเค็มเป็นรสที่เกิดโดยหลักเนื่องจากมีไอออนโซเดียม ไอออนของโลหะแอลคาไลอื่น ๆ ก็มีรสเค็มเช่นกัน แต่ยิ่งห่างจากเกลือเท่าไรตามตารางธาตุ ก็เค็มน้อยลงเท่านั้น ไอออนที่ทำให้รู้รสเค็มรวมทั้ง Na+, K+, และ Li+[36] ที่สามารถตรวจจับได้โดยตรงเมื่อแคตไอออนไหลเข้าเซลล์รับรส โดยผ่านช่องไอออนแคลเซียมที่ไวต่ออะมิโลไรด์ ซึ่งมีผลให้เซลล์ลดขั้วโดยตรง มีผลให้ไอออนแคลเซียมไหลผ่านช่องแคลเซียมในส่วนฐานเป็นการเพิ่มการลดขั้วอีก ซึ่งในที่สุดทำให้เซลล์หลั่งสารสื่อประสาท[33]

หน่วยรับเกลือคือช่องโซเดียมที่ผนังของเซลล์รับรส ปล่อยให้แคตไอออนของโซเดียมไหลเข้ามาในเซลล์ได้ และนี่โดยตนเองก็สามารถลดขั้วของเซลล์ และเปิดช่องแคลเซียมที่เปิดปิดขึ้นกับศักย์ไฟฟ้า (voltage-dependent calcium channel) ทำให้เซลล์ท่วมเต็มไปด้วยไอออนแคลเซียมที่มีประจุบวก และนำไปสู่การปล่อยสารสื่อประสาท

ช่องโซเดียมที่ว่านี้เรียกว่าช่องโซเดียมที่เนื้อเยื่อบุผิว (epithelial sodium channel, ENaC) ซึ่งมีหน่วยย่อย ๆ 3 หน่วย ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายอย่างโดยเฉพาะหนู ENaC สามารถระงับการทำงานได้ด้วยยาอะมิโลไรด์ แต่ความไวของรสเค็มต่อยาอะมิโลไรด์ในมนุษย์จะชัดเจนน้อยกว่า ทำให้คาดว่า อาจมีโปรตีนหน่วยรับรสอื่น ๆ อีกนอกเหนือจาก ENaC ที่ยังค้นไม่พบ

ขนาดของไอออนลิเทียมและโพแทสเซียมจะคล้ายกับของโซเดียมมาก และดังนั้น ก็จะเค็มคล้าย ๆ กัน เทียบกับขนาดของไอออนรูบิเดียมและซีเซียมซึ่งใหญ่กว่ามาก ดังนั้น จึงเค็มต่างกัน[ต้องการอ้างอิง] รสเค็มจะวัดเทียบกับโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ซึ่งมีค่าดรรชนีที่ 1 (10 mmol/L)[31][32] โพแทสเซียม เช่นใน โพแทสเซียมคลอไรด์ (KCl) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักสำหรับเกลือเทียม มีดรรชนีที่ 0.6[31][32]

ส่วนแคตไอออนที่มีเวเลนซ์เดี่ยวอื่น ๆ เช่น แอมโมเนียม (NH4+), และแคตไอออนที่มีสองเวเลนซ์ของหมู่โลหะแอลคาไลเอิร์ท (alkali earth metal) ในตารางธาตุ เช่น แคลเซียม (Ca2+) โดยทั่วไปจะทำให้รู้สึกขมแทนเค็ม แม้จะผ่านเข้าช่องไอออนในลิ้นโดยตรงแล้วก่อศักยะงานเหมือน ๆ กัน[ต้องการอ้างอิง]

โซเดียมและโพแทสเซียม เป็นอิเล็กโทรไลต์ที่จำเป็นต่อร่างกาย การรู้รสเค็มได้จึงมีประโยชน์ทางวิวัฒนาการ สัตว์ต่าง ๆ รวมทั้งช้างและนกแก้วจะหาโป่งเกลือเมื่อจำเป็น หญิงมีครรภ์อาจรู้สึกอยากอาหารเค็มเพราะขาดอิเล็กโทรไลต์[13]

รสขม

แผนภาพแสดงวิถีการถ่ายโอนสัญญาณ (signal transduction pathway) ของการรู้รสขม โดยมีหน่วยรับหลายประเภทและมีวิถีหลายวิถี รสขมเป็นตัวบ่งสารพิษสำหรับสัตว์ และคล้ายกับการรู้รสหวานมากที่สุด A เป็นตุ่มรับรส B เป็นเซลล์รับรสที่ตุ่มรับรส และ C เป็นเซลล์ประสาทที่เชื่อมกับเซลล์รับรส I ส่วนนี้แสดงการรับ/การจับกับโมเลกุลที่มีรส 1 สารรสขมเช่นยาควินิน จะจับกับโปรตีนหน่วยรับกลุ่ม G Protein-coupled receptor ที่เยื่อหุ้มเซลล์ II ส่วนนี้แสดงการถ่ายโอนสัญญาณของโมเลกุลรีเลย์ 2 gustducin ซึ่งเป็นโมเลกุลส่งสัญญาณที่สอง จะเริ่มทำงาน 3 โปรตีนจีจะเริ่มการทำงานของเอนไซม์ phosphodiesterase 4 ซึ่งช่วยสลาย Cyclic nucleotide (cNMP) และดังนั้น จึงลดความเข้มข้นของ cNMP 5 ช่องไอออนต่าง ๆ เช่นช่องโพแทสเซียม ก็จะปิดลง III ส่วนนี้แสดงการตอบสนองของเซลล์รับรส 6 ซึ่งเพิ่มระดับ Ca+ 7 ดังนั้น เซลล์รับรสก็จะหลั่งสารสื่อประสาท 8 เป็นการส่งสัญญาณให้แก่เซลล์ประสาทที่เชื่อมกัน

ในบรรดารสทั้งหลาย รสขมสามารถรับรู้ได้ไวที่สุด และคนหลายคนก็รู้สึกมันว่าไม่น่ายินดี ฉุน ไม่ชอบ แต่บางครั้งมันก็ถือเป็นสิ่งที่น่าต้องการ และเติมใส่อาหารโดยใช้สารที่ทำให้ขม อาหารและเครื่องดื่มสามัญที่มีรสขมรวมทั้งกาแฟ โกโก้ที่ไม่ได้ใส่น้ำตาล มะระ ลูกมะกอก เปลือกส้มมะนาว และพืชต่าง ๆ ในวงศ์ผักกาด ในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รสขมมาจากเอทานอล[43] และส่วนประกอบรสขมอื่น ๆ รวมทั้งฮอบส์ในเบียร์ ยาควินินก็เป็นที่รู้จักว่ามีรสขมและใส่ในน้ำโทนิค

รสขมเป็นเรื่องน่าสนใจในการศึกษาเรื่องวิวัฒนาการและสุขภาพ[31][44] เพราะสารประกอบรสขมธรรมชาติจำนวนมากมีพิษ สมรรถภาพในการรู้รสขมของสารประกอบในระดับขีดเริ่มเปลี่ยนน้อย ๆ พิจารณาว่า ช่วยป้องกันอันตราย[31][44][45] ใบไม้บ่อยครั้งมีสารประกอบที่เป็นพิษ ในบรรดาไพรเมตที่กินใบไม้ สัตว์มักเลือกใบอ่อนซึ่งค่อนข้างมีโปรตีนสูง มีไฟเบอร์และพิษที่น้อยกว่าใบแก่[46]

ส่วนในมนุษย์ มีเทคนิคทำอาหารหลายอย่างที่ใช้ทั่วโลกเพื่อเอาพิษออกจากอาหารที่ถ้าไม่ทำก็จะกินไม่ได้ และทำให้มีรสชาติดีขึ้น[47] อนึ่ง การหุงด้วยไฟ การเปลี่ยนอาหาร และการหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นพิษได้ก่อให้เกิดวิวัฒนาการที่ไม่มีผลได้ผลเสียในเรื่องความไวรสขม ซึ่งทำให้เกิดการกลายพันธุ์ที่ลดสมรรถภาพการรับรู้ความขมในมนุษย์เมื่อเทียบกับสปีชีส์อื่น ๆ[48] งานศึกษาหนึ่งคาดว่า แรงกดดันในการคัดเลือกหน่วยรับรสขม (TAS2R) ในมนุษย์ได้ลดลง เพราะการกลายพันธุ์และการเปลี่ยนเป็นยีนเทียม (pseudogenization) มีอัตราสูงโดยเปรียบเทียบ[49]

ขีดเริ่มเปลี่ยนให้รู้รสขมของควินินอยู่ที่ความเข้มข้นเฉลี่ย 8 μmol/L ซึ่งมีดรรชนีอ้างอิงคือ 1[31] ขีดเริ่มเปลี่ยนให้รู้รสขมของสารอื่น ๆ จะวัดเทียบกับควินิน[31][32] ยกตัวอย่างเช่น brucine มีดรรชนีที่ 11 ด้งนั้น จึงรู้สึกขมกว่าควินินมาก และสามารถรู้ได้ที่ความเข้มข้นต่ำกว่า[31]

ของขมที่สุดที่รู้จักก็คือสารเคมีสังเคราะห์ denatonium ซึ่งมีดรรชนี 1,000[32] และใช้เป็นสารทำให้ขมโดยใส่ในสารพิษเพื่อป้องกันการกินโดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นสารที่พบในปี 1958 เมื่อทำงานวิจัยเกี่ยวกับยาระงับความรู้สึกเฉพาะที่คือ lignocaine[ต้องการอ้างอิง]

งานวิจัยได้แสดงว่าหน่วยรับรสหมู่ TAS2Rs (คือหน่วยรับรสแบบ 2 หรือรู้จักกันด้วยว่า T2Rs) เช่น TAS2R38 ซึ่งจับคู่กับโปรตีนจี gustducin เป็นหน่วยรับรสที่ทำให้มนุษย์สามารถรับรู้รสขมได้[50] เป็นโปรตีนที่ได้ระบุไม่ใช่โดยสมรรถภาพในการรับลิแกนด์ที่ขมเป็นบางอย่างเท่านั้น แต่ระบุโดยสัณฐานของหน่วยรับรสเองด้วย (surface bound, monomeric)[51] หมู่โปรตีน TAS2R ในมนุษย์เชื่อว่า มีหน่วยรับรสประมาณ 25 ชนิด บางอย่างทำปฏิกิริยากับสารประกอบรสขมเป็นจำนวนมาก[52] โดยเซลล์รับรสหนึ่ง ๆ จะแสดงออกยีน TAS2R หลายประเภท[33] มีสารประกอบรสขม 670 ที่ได้ระบุแล้วในฐานข้อมูล BitterDB โดยมีกว่า 200 ชนิดที่ได้เจาะจงหน่วยรับกลิ่นหนึ่งชนิดหรือมากกว่านั้นที่รับรู้ได้[53]

นักวิจัยได้ใช้สารสังเคราะห์สองอย่าง คือ phenylthiocarbamide (PTC) และ 6-n-propylthiouracil (PROP) เพื่อศึกษาการรับรู้รสขมในด้านพันธุกรรม คือ สารสองชนิดนี้ขมสำหรับบางคน แต่กลับไม่มีรสสำหรับคนอื่น ในบรรดาผู้เข้าร่วมการทดลอง บางคนเป็นซูเปอร์เทสเตอร์ ที่ PTC และ PROP จะขมมาก ความแปรผันของความไวรสจะกำหนดโดยอัลลีลสามัญสองชนิดที่โลคัสของ TAS2R38[54] การกลายพันธุ์ที่ยีนเดียวเช่นนี้ เป็นตัวบ่งว่ารสชาตินี้ต่างจากรสอื่น ๆ ซึ่งยืนยันโดยการกระจายตัวของเซลล์รับรสที่แสดงออกยีนนี้ อันต่างจากเซลล์ที่แสดงออก T1R1 T1R2 และ T1R3 (ที่เป็นโปรตีนของหน่วยรับรสหวานและรสอุมะมิ) เป็นการแสดงว่า เซลล์รับรสขมเป็นกลุ่มเซลล์แยกจากเซลล์รับรสหวานและอุมะมิ[33]

เมื่อสารรสขมจับกับหน่วยรับรสขมซึ่งเป็น G protein-coupled receptor มันก็จะเริ่มการทำงานของโปรตีนจีที่จับคู่กันกับหน่วยรับรสขมโดยเฉพาะคือ gustducin ที่หน่วยรับรสหวานและรสอุมะมิไม่มี ซึ่งในที่สุดก็เริ่มการทำงานของ isoform ของ phospholipase C คือ PLCβ2 ซึ่งทำให้ inositol triphosphate (IP3) เข้มข้นขึ้น และเปิดช่อง TRPM5 ซึ่งทำให้เซลล์ลดขั้วผ่านการมี Ca2+ เพิ่มขึ้นในเซลล์ แล้วนำไปสู่การหลั่งสารสื่อประสาทที่ฐานของเซลล์ในที่สุด อย่างไรก็ดี บทบาทของ gustducin เทียบกับโปรตีนจีของหน่วยรับรสหวานและหน่วยรับรสอุมะมิก็ยังไม่ชัดเจน[33]

รสอุมะมิ

รสอุมะมิ หรือรสกลมกล่อม (คล้ายน้ำต้มกระดูก) เป็นรสชาติที่ทำให้อยากอาหาร[14][55][56][56][57] ซึ่งสามารถลิ้มรสได้ในชีส์[58] ในซอสถั่วเหลือง[59] ในอาหารหมักดองบางชนิด และในน้ำต้มเนื้อหรือต้มไก่[13] รสนี้ก็มีด้วยในมะเขือเทศ เมล็ดข้าว และถั่วด้วย[58]

ชื่อรสคือ [umami] ข้อผิดพลาด: {{Lang-xx}}: ข้อความมีมาร์กอัปตัวเอียง (ช่วยเหลือ)โรมาจิ旨味 เป็นคำภาษาญี่ปุ่นซึ่งแปลว่า "รสดี" หรือ "รสอร่อย"[60] เป็นรสชาติพื้นฐานอย่างหนึ่งในอาหารชาวตะวันออก[61] ของชนชาติอื่น ๆ ที่มีหลักผสมอาหารให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม เช่น การเน้นน้ำซุปต้มเนื้อลูกวัวโดยเชฟชาวฝรั่งเศส Auguste Escoffier ผู้ได้รับยกย่องว่าเป็น "บิดาแห่งการครัว" ในคริสต์วรรษที่ 19[62] และการใช้น้ำปลาของชาวโรมัน[63] แต่วิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็เพิ่งยอมรับว่าเป็นรสชาติพื้นฐานเมื่อไม่นาน เทียบกับรสชาติ 4 อย่างอย่างอื่นที่ได้ยอมรับมานานแล้ว โดยส่วนหนึ่งก็เพราะเข้ากับรสชาติที่ได้กล่าวไว้ในปรัชญากรีกโบราณ[59][64]

รสอุมะมิได้ศึกษาและระบุเป็นครั้งด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์โดยนักเคมีชาวญี่ปุ่น ศ.ดร.คิคุนาเอะ อิเคดะ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียวอิมพีเรียล (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยโตเกียว) ผู้เริ่มวิเคราะห์คมบุเพื่อที่จะแยกรสของดาชิ (ญี่ปุ่น: 出汁, だし) เขาได้แยกสารที่เขาเรียกว่า อายิโนะโมะโต๊ะ ซึ่งเป็นคำญี่ปุ่นซึ่งหมายความว่า "ต้นกำเนิดของรส" ซึ่งภายหลังได้ตั้งชื่อเคมี โมโนโซเดียมกลูตาเมต (ผงชูรส) ซึ่งได้กลายมาเป็นสารแต่งเติมอาหารยอดฮิต[6][65] มันเป็นเกลือโซเดียมที่ให้รสชาติอร่อย โดยเฉพาะเมื่อใส่กับอาหารที่สมบูรณ์ด้วยนิวคลีโอไทด์เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ถั่ว และเห็ด[59][66]

กรดอะมิโนคือกรดกลูตามิก ทำให้เกิดรสชาติอุมะมิ/กลมกล่อม/อร่อย[64][67] แต่นิวคลีโอไทด์บางอย่าง (เช่น inosinic acid[61][64] และ guanylic acid[64]) ก็สามารถมีฤทธิ์เสริม ทำให้รสดียิ่งขึ้น[61]

มีเซลล์รับรสอุมะมิที่ตอบสนองต่อกลูตาเมต ในลักษณะเดียวกับที่เซลล์รับรสหวานตอบสนองต่อน้ำตาล คือกลูตาเมตจะจับกับ G protein coupled glutamate receptor อย่างหนึ่ง[68][69] มันเชื่อว่า กรดอะมิโน L-glutamate จะจับกับ GPCR ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า metabotropic glutamate receptor (mGluR4) ซึ่งก็จะเริ่มการทำงานของโปรตีนจีที่คู่กัน ซึ่งในที่สุดก็เริ่มการทำงานของ isoform ของ phospholipase C คือ PLCβ2 ซึ่งทำให้ inositol triphosphate (IP3) เข้มข้นขึ้น และเปิดช่อง TRPM5 ซึ่งทำให้เซลล์ลดขั้วผ่านการมี Ca2+ เพิ่มขึ้นในเซลล์ แล้วนำไปสู่การหลั่งสารสื่อประสาทที่ฐานของเซลล์ในที่สุด[33]

การวัดรสชาติต่าง ๆ

การวัดว่าสิ่ง ๆ หนึ่งมีรสชาติพื้นฐานอย่างหนึ่งเท่าไร สามารถทำอย่างเป็นอัตวิสัยโดยเทียบรสนั้นกับสิ่งที่เป็นตัวอ้างอิง ความหวานสามารถวัดแบบอัตวิสัยโดยเปรียบเทียบค่าขีดเริ่มเปลี่ยน หรือสารในระดับเจือจางที่สุดซึ่งสามารถรู้ได้โดยมนุษย์ ในบรรดาของหวานต่าง ๆ[70] และของหวาน ๆ ก็มักจะเปรียบเทียบกับซูโครส[71] ซึ่งปกติให้ค่าดรรชนีเป็น 1[72][73] หรือ 100[74] ส่วนกลูโคส ซึ่งเป็นน้ำตาลที่พบในน้ำผึ้งและผัก จะหวานเป็นประมาณ 3/4 ของซูโครส และแล็กโทส ซึ่งเป็นน้ำตาลในนม จะหวานประมาณครึ่งหนึ่ง[b][70]

ส่วนรสเปรี้ยวสามารถเปรียบเทียบกับกรดไฮโดรคลอริก (HCl) ที่เจือจางมาก[75] และรสเค็มก็สามารถเปรียบเทียบกับน้ำเกลือเจือจาง[76]

ควินิน ซึ่งเป็นยาขมที่ใส่ในน้ำโทนิค สามารถใช้วัดความขม[77] คือ ความขมของควินินไฮโดรคลอไรด์ ที่ 1 กรัมต่อ 2,000 มิลลิลิตร สามารถใช้เปรียบกับขีดเริ่มเปรียบในการรับรู้รสขมของสารประกอบอื่น[77] การวิเคราะห์ที่เป็นรูปธรรมมากกว่า แม้จะเป็นไปได้ แต่ก็ยากกว่า[77]

การรู้รสทั่วไปไม่ไวเท่าการรู้กลิ่น

โดยทั่วไปแล้ว ความจัดของรสจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของโมเลกุลรส โดยมนุษย์จะไวต่อรสไม่เท่ากับไวต่อกลิ่น เช่น ขีดเริ่มเปลี่ยนการรู้รสของกรดซิตริกอยู่ที่ 2 mmol/L ของโซเดียมคลอไรด์ที่ 10 mmol/L และของซูโครสที่ 20 mmol/L เทียบกับขีดเริ่มเปลี่ยนการรู้กลิ่นบางอย่างที่อาจต่ำถึง 0.00001 mmol/L ซึ่งอาจเป็นแรงกระตุ้นให้ทานอาหารที่มีคุณค่าสูงเป็นจำนวนมาก นี่สามารถเทียบกับรสที่อาจแสดงพิษคือรสขม ซึ่งรู้ได้อย่างไวที่สุด เช่น ควินินที่ 0.008 mmol/L และ strychnine ที่ 0.0001 mmol/L[17]

รสและความรู้สึกอื่น ๆ

นอกจากรสชาติพื้นฐานแล้ว เป็นไปได้ว่าลิ้นอาจรู้รสอื่น ๆ [A] รวมทั้งรสฝาด รสไขมัน รสแป้ง และรสโลหะเป็นต้น นอกจากนั้น การรวมสารเคมีต่าง ๆ อาจทำให้ได้รสใหม่ ๆ[17]

ลิ้นยังสามารถได้ความรู้สึกอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับรสชาติ โดยมากตรวจจับโดยระบบรับความรู้สึกทางกาย และเส้นประสาทไทรเจมินัล (trigeminal nerve, V) เป็นตัวให้ข้อมูลเกี่ยวกับเนื้ออาหาร ความรู้สึกเผ็ดร้อน และความรู้สึกเย็น

ความเผ็ดร้อน

สารต่าง ๆ เช่น เอทานอลและแคปเซอิซินทำให้รู้สึกร้อน/เผ็ด โดยสร้างปฏิกิริยากับประสาทไทรเจมินัลพร้อม ๆ กับการรู้รสปกติ[13] ซึ่งโดยหลักเกิดที่ปลายประสาทอิสระของโนซิเซ็ปเตอร์ที่สามารถรับรู้ตัวกระตุ้นได้หลายอย่าง แม้โดยทั่วไปจะต้องมีความเข้มข้นที่สูงกว่ารสทั่ว ๆ ไป[78] สารประกอบจากพืชที่ให้ความรู้สึกเช่นนี้ คือ แคปเซอิซินจากพริก, พิเพอรีนจากพริกไทย, gingerol จากขิง, และ allyl isothiocyanate จากผักกาด เช่น Armoracia rusticana (horseradish) หรือ Wasabia japonica (วาซาบิ) ความเผ็ดร้อนจากอาหารและเครื่องเทศ เป็นองค์ประกอบสำคัญในเครื่องปรุงอาหารของเชื้อชาติต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในเขตร้อนและเขตกึ่งร้อน เช่น อาหารเอธิโอเปีย ลาว มาเลเซีย เม็กซิกัน นิวเม็กซิกัน สิงค์โปร์ จีนตะวันตกเฉียงใต้ (รวมทั้งอาหารเสฉวน) เวียดนาม และไทย

ความรู้สึกเช่นนี้ ไม่ใช่รสโดยตรง เพราะไม่ได้เกิดจากตุ่มรับรส และเป็นความรู้สึกที่ส่งไปทางเส้นประสาทคนละเส้น ความรู้สึกเผ็ดมาจากหน่วยรับความรู้สึกที่แสดงออกยีน TRPV1[79] และ TRPA1[80] โดยอาหารเช่น พริก จะกระตุ้นปลายประสาทอิสระของใยประสาทซึ่งมีหน่วยรับความรู้สึกโดยตรง ซึ่งรู้สึกว่า "ร้อน" ก็เพราะเป็นใยประสาทรับความรู้สึกทางกาย (คือ ความเจ็บปวด) ซึ่งอยู่ที่ลิ้น ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่มีเยื่อบุผิวซึ่งเปิดรับสิ่งแวดล้อมแต่ไม่มีเซลล์รับรส (เช่น ช่องจมูก ใต้เล็บ ผิวตา หรือที่แผล) ก็สามารถทำให้รู้สึกร้อนเช่นเดียวกันเมื่อถูกสารที่เผ็ด และระบบรู้กลิ่นก็สามารถรับรู้ตัวกระตุ้นอย่างเดียวกันบางชนิดด้วย[78]

ในประเทศเอเชียที่ได้รับอิทธิพลของวัฒนธรรมจีน อินเดียและญี่ปุ่น รสเผ็ดอาจจัดว่าเป็นรสชาติพื้นฐานที่ห้าหรือที่หก[26]

ความเย็น

สารบางอย่างจะกระตุ้นปลายประสาทรับเย็น/โนซิเซ็ปเตอร์ของประสาทไทรเจมินัลแม้เมื่อไม่ได้มีอุณหภูมิต่ำ ความรู้สึกเย็นเช่นนี้ อาจได้จากเมนทอล, พืชวงศ์กะเพรา (กะเพรา โหระพา แมงลักเป็นต้น), และ icilin โดยเกิดจากการทำงานของกลไกเดียวกันที่ทำให้รู้สึกเย็น ซึ่งก็คือช่องไอออน TRPM8 ของเซลล์ประสาท แต่ความเย็นที่รู้สึกจากสารเหล่านี้ก็ไม่ใช่อุณหภูมิเย็นจริง ๆ[80] และจะต้องมีความเข้มข้นสูงกว่ารสทั่ว ๆ ไป[78]

ความชา

ทั้งอาหารคนจีนและคนโตบา บาตัก ต่างก็มีแนวคิดเกี่ยวกับ 麻 ( หรือ mati rasa) ซึ่งเป็นความเหน็บชาที่เกิดจากเครื่องเทศ เช่น "พริกเสฉวน" (ซึ่งไม่ได้ทำมาจากพืชในสกุลพริกจริง ๆ) อาหารเสฉวนของจีนและอาหารอินโดนีเซียจากสุมาตราเหนือ บ่อยครั้งจะรวมผลิตภัณฑ์เช่นนี้กับพริก เพื่อให้ได้รส 麻辣 หรือ málà หรือ ชาและเผ็ด หรือ "mati rasa"[81] ความรู้สึกเช่นนี้แม้ไม่ใช่การรู้รส แต่เป็นการรู้สารเคมี

รสฝาด

อาหารบางอย่าง เช่นผลไม้ที่ยังไม่สุก จะมีแทนนินหรือแคลเซียมออกซาเลต ซึ่งทำให้เกิดรสฝาดที่เยื่อเมือกของปาก ตัวอย่างรวมทั้งชา ไวน์แดง พืชในสกุลโกฐน้ำเต้า ผลไม้ในสกุลชมพู่ พลับ และกล้วย[82] คำเรียกรสนี้อื่น ๆ รวมทั้ง ฝืด ไม่ลื่นคอ บาดคอ กลืนยาก ด้าน

ในอายุรเวท รสหนึ่งในหกก็คือรสฝาด (kasaaya)[83] ในภาษาสิงหลและภาษาอังกฤษสิงหล มันเรียกว่า kahata[84]

รสโลหะ

รสโลหะอาจเกิดจากอาหารและเครื่องดื่ม ยาบางชนิดหรือวัสดุอุดฟันคือ อะมัลกัม (amalgam) มันธรรมดาจะเป็นรสชาติผิดปกติถ้ามีในอาหารและเครื่องดื่ม เป็นรสที่อาจเกิดจากปฏิกิริยาทางไฟฟ้าในปาก เช่น ในกรณีที่เกิดจากวัสดุทันตกรรม โลหะที่ไม่เหมือนกันอาจสร้างกระแสไฟฟ้าในระดับที่วัดและรู้สึกได้[85] น้ำตาลเทียมบางชนิดอาจมีรสเหมือนโลหะ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ตรวจจับโดยหน่วยรับ TRPV1[86] เลือดก็เป็นอะไรที่คนจำนวนมากรู้สึกว่ามีรสโลหะ[87][88]

รสโลหะในปากอาจเป็นอาการของโรคต่าง ๆ ซึ่งจัดเข้าได้ว่าเป็นอาการ dysgeusia หรือ parageusia[B] ซึ่งเป็นการได้รสชาติที่ผิดปกติ[89] อาจมีเหตุจากยาหลายอย่างรวมทั้ง ซาควินาเวียร์[89] และ zonisamide[90] หรืออาจมาจากภัยเนื่องกับอาชีพ เช่น ต้องทำงานกับสารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์[91]

รสแคลเซียม

การได้รสเหมือนชอล์กได้แสดงแล้วว่า มาจากแคลเซียมซึ่งอยู่ในวัตถุนั้น[92] ในปี 2008 นักพันธุศาสตร์ได้ค้นพบหน่วยรับแคลเซียม CaSR ที่ลิ้นของหนูหริ่ง หน่วยรับ CaSR นี้ปกติพบได้อย่างสามัญที่ทางเดินอาหาร ไต และสมอง พร้อม ๆ กับหน่วยรับรสหวาน คือ T1R3 หน่วยรับ CaSR สามารถตรวจจับแคลเซียมโดยเป็นรสอย่างหนึ่ง แม้จะเป็นยีนที่สัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดระหว่างหนูหริ่งกับมนุษย์ ก็ยังไม่ชัดเจนว่ามนุษย์มีหน่วยรับ CaSR ที่ลิ้นหรือไม่[93][94]

รสไขมัน

การรู้ความมันของอาหารเชื่อกันมาหลายปีแล้วว่า มาจากระบบรับความรู้สึกทางกาย[95] แต่งานวิจัยเริ่มตั้งแต่ปี 2005 ได้พบหน่วยรับรสที่เรียกว่า CD36 receptor[96][97][98] ซึ่งอาจเป็นตัวรับไขมันเพราะจับกับกรดไขมันแบบโซ่ยาว[99] และได้ระบุแล้วที่เซลล์ตุ่มรับรสของมนุษย์และหมู โดยเฉพาะก็คือที่ปุ่มเซอร์คัมแวลเลตและปุ่มรูปใบไม้[100] แต่ก็ยังเป็นเรื่องยังไม่ยุติว่า เราสามารถรู้รสไขมันได้จริง ๆ หรือไม่ โดยนักวิชาการที่สนับสนุนว่าสามารถรู้รสกรดไขมันอิสระ (FFA) ได้อ้างเหตุผลดังต่อไปนี้คือ[101]

  • มีประโยชน์ทางวิวัฒนาการในการรู้ไขมันทางปาก
  • หน่วยรับไขมันที่เป็นไปได้ ก็ค้นพบแล้วที่เซลล์ตุ่มรับรส
  • กรดไขมันทำให้เกิดการตอบสนองของเซลล์ประสาทรับรส คล้ายกับรสอื่น ๆ ที่ได้ยอมรับแล้ว
  • มีการตอบสนองทางสรีรภาพต่อการมีไขมันในปาก

แม้ CD36 จะได้ศึกษาโดยหลักในหนูบ้าน งานวิจัยที่ตรวจสอบสมรรถภาพในการรู้รสไขมันในมนุษย์ที่มีการแสดงออกของ CD36 สูง ก็ได้พบว่า บุคคลเหล่านี้ไวต่อไขมันมากกว่าบุคคลที่แสดงออกยีนต่ำ[102] งานวิจัยนี้จึงชี้ความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างจำนวนหน่วยรับ CD36 กับสมรรถภาพในการรู้รสไขมัน

ยังมีหน่วยรับไขมันที่เป็นไปได้อื่น ๆ อีกด้วย G protein-coupled receptor คือ GPR120 และ GPR40 พบว่า สัมพันธ์กับรสไขมัน เพราะการไร้พวกมันจะลดความชอบใจในกรดไขมันสองอย่าง (linoleic acid และ กรดโอเลอิก) และลดการตอบสนองของเซลล์ประสาทต่อกรดไขมันทางปาก[103]

ช่องแคตไอออน TRPM5 ซึ่งมีเวเลนซ์เดี่ยว ยังพบว่าช่วยรับรสไขมันด้วย[104] แม้จะเชื่อว่า มันเป็นตัวประมวลข้อมูลรสในขั้นต่อ ๆ มา และไม่ใช่เป็นการรับรสหลักดังที่พบในรสอื่น ๆ เช่น ขม หวาน และอุมะมิ[101] ในปี ค.ศ. 2015 นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยเพอร์ดูได้เสนอชื่อรสชาติพื้นฐานของไขมันที่เรียกว่า oleogustus[105] แม้จะยังไม่ได้การยอมรับอย่างกว้างขวางในชุมชนนักวิทยาศาสตร์

รูปแบบหลักของไขมันที่ทานก็คือไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งประกอบด้วยกรดไขมันสามส่วนยึดเข้าด้วยกัน ในรูปแบบนี้ ไตรกลีเซอไรด์จะทำให้อาหารที่ประกอบด้วยไขมันรู้สึกว่ามัน หรือเหมือนครีม แต่ความรู้สึกต่อเนื้ออาหารเช่นนี้ไม่ใช่การรู้รสชาติจริง ๆ

ในระหว่างการย่อยอาหาร ไตรกลีเซอไรด์จะสลายด้วยน้ำอาศัยเอนไซม์ "ลิเพส (lipase)" กลายเป็นกรดไขมันย่อย ๆ ซึ่งให้รสชาติที่ไม่น่าชอบใจอีกอย่างหนึ่งในมนุษย์ นอกเหนือจากรสขมและเปรี้ยว แต่นักวิชาการในงานศึกษาก็ได้อธิบายว่า ระดับเจือจางของกรดไขมันเช่นนี้ อาจเพิ่มรสชาติอาหาร คล้ายกับรสขมหน่อย ๆ ที่ทำให้อาหารบางอย่างมีรสชาติกลมกล่อมดีขึ้น อย่างไรก็ดี กรดไขมันในระดับความเข้มข้นสูงในอาหารบางอย่างพิจารณาว่า ทานไม่ลง[106]

เพื่อแสดงว่า บุคคลจะสามารถแยกแยะรสไขมันออกจากรสอื่น ๆ นักวิจัยได้แยกผู้เข้าร่วมการทดลองออกเป็นกลุ่ม ๆ และให้พวกเขาชิมอาหารต่าง ๆ ที่มีรสชาติพื้นฐานอื่น ๆ ด้วย ผู้ร่วมการทดลองสามารถแยกรสกรดไขมันออกเป็นกลุ่มโดยเฉพาะ แม้จะเหลื่อมล้ำกับรสอุมะมิบ้าง ซึ่งนักวิชาการได้สมมุติว่า เพราะไม่คุ้นเคยเป็นอย่างดีกับรสทั้งสอง นักวิจัยได้ให้ข้อสังเกตว่า "ความรู้สึกมันและเหนียวที่เราสัมพันธ์กับอาหารไขมันสูง มีเหตุโดยหลักจากไตรกลีเซอไรด์" ซึ่งไม่เกี่ยวกับการรู้รส ในขณะที่การได้รสกรดไขมันจริง ๆ จะไม่น่าชอบใจ ซึ่งนักวิชาการระบุรสชาติเช่นนี้ว่า เป็น "เหมือนระบบเตือนภัยมากกว่า" ว่าอาหารบางอย่างไม่ควรทาน[25] มีอาหารบริโภคเป็นประจำน้อยอย่างมากที่มีรสชาติมัน เพราะปริมาณมาก ๆ มักทำให้ไม่ชอบใจ อาหารส่วนน้อยที่ไขมันให้รสชาติรวมทั้งน้ำมันมะกอกและเนยสด พร้อมกับน้ำมันพืชและน้ำมันถั่วต่าง ๆ[107]

รสเบิกบานใจ (kokumi)

นักวิจัยชาวญี่ปุ่นบางท่านกล่างถึงรสเบิกบานใจ (kokumi) ในอาหาร ซึ่งกล่าวว่า เป็นรสที่แผ่ไปทั่วปาก[108] ซึ่งดูเหมือนจะสัมพันธ์กับเพปไทด์จำนวนหนึ่งคือ γ-L-glutamyl peptide ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นหน่วยรับแคลเซียม (calcium-sensing receptor) ซึ่งไวต่อกลูตาไธโอนด้วย[108]

รสแป้ง

งานปี 2016 แสดงว่า มนุษย์สามารถรู้รสแป้ง (โดยเฉพาะคือ glucose oligomer) ต่างหากจากรสอื่น ๆ เช่นรสหวาน อย่างไรก็ดี ก็ยังไม่ได้ค้นพบหน่วยรับสารเคมีโดยเฉพาะของรสชาตินี้[109][110][111]

อุณหภูมิ

อุณหภูมิเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับการได้รสชาติทั่วไป ในวัฒนธรรมหนึ่ง ๆ อาหารและเครื่องดื่มที่ตามประเพณีให้ทานร้อน ๆ บ่อยครั้งจะพิจารณาว่าไม่อร่อยถ้าเย็น และในนัยกลับกันก็เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยกเว้นบางชนิด ทั่วไปเชื่อว่าดีสุดเมื่อให้ดื่มที่อุณหภูมิห้องหรือเย็นในระดับต่าง ๆ แต่ซุปยกเว้นบางชนิดเหมือนกัน ปกติจะทานร้อน ๆ ตัวอย่างทางวัฒนธรรมก็เช่นน้ำอัดลม ในอเมริกาเหนือ มันมักจะดื่มเมื่อเย็นไม่ว่าจะเป็นฤดูไหน

โครงสร้างต่าง ๆ

ตุ่มรับรส (taste bud) และปุ่มลิ้น (lingual papillae)

คล้ายกับระบบประสาทสัมผัสอื่น ๆ ระบบรู้รสประกอบด้วยเซลล์รับความรู้สึกที่มีลักษณะพิเศษในระบบประสาทส่วนนอก ที่ส่งข้อมูลรสไปตามวิถีประสาทไปยังระบบประสาทส่วนกลาง[112]

หน่วยรับรส

ในร่างกายมนุษย์ สิ่งเร้าหมายถึงรูปแบบพลังงานชนิดหนึ่ง ที่ชักนำให้เกิดการทำงานหรือการตอบสนองทางสรีรภาพหรือทางจิตใจ ตัวรับความรู้สึกเป็นโครงสร้างในร่างกายซึ่งถ่ายโอนสิ่งเร้าจากพลังงานชนิดหนึ่ง ๆ ซึ่งอาจมาจากสารเคมี คลื่นเสียง ความร้อน สัมผัสที่ผิวหนัง โดยเปลี่ยนเป็นศักยะงาน ซึ่งเป็นขบวนพัลส์ไฟฟ้าที่สมองซึ่งเป็นศูนย์ประมวลผลของร่างกายสามารถแปลผล

ตัวรับความรู้สึกเป็นปลายประสาทในรูปแบบต่าง ๆ ของเซลล์ประสาทรับความรู้สึก โดยแต่ละรูปแบบจะเหมาะกับสิ่งเร้าประเภทหนึ่ง ๆ ดังนั้น จึงมีตัวรับความรู้สึกมากมายหลายแบบในร่างกาย เซลล์ประสาทเป็นองค์ประกอบหลักของระบบประสาท ซึ่งส่งข้อมูลจากตัวรับความรู้สึกไปทั่วร่างกาย

การรู้รสเป็นรูปแบบหนึ่งของการรับรู้สารเคมี (chemoreception) โดยเกิดที่หน่วยรับรส (taste receptor) ภายในปาก รวมทั้งที่ลิ้น แก้ม เพดานอ่อน คอหอย และฝากล่องเสียง[20] ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ได้ระบุหน่วยรับรส 5 อย่างแล้ว คือที่รู้รสเค็ม หวาน เปรี้ยว ขม และอุมะมิ[A] หน่วยรับรสจะมีการถ่ายโอนความรู้สึกต่าง ๆ กัน คือจะสามารถตรวจับสารประกอบบางอย่าง แล้วเริ่มศักยะงานเพื่อส่งไปยังสมอง

เซลล์รับรส

หน่วยรับรสอยู่ที่เซลล์รับรส (taste receptor cell/taste cell) ซึ่งเป็นเซลล์เนื้อเยื่อบุผิว (epithelial cell) ที่มีรูปกล้วย/รูปกระสวย และมีขนที่ส่วนยอดแบบ microvilli ที่เรียกได้ว่า ขนรับกลิ่น (gustatory/taste hairs) ซึ่งทำหน้าที่เป็นพื้นผิวให้หน่วยรับรสทำปฏิกิริยากับโมเลกุลมีรสได้ โดยขนจะยื่นเข้าไปในรูรับรส (taste pore) ซึ่งกว้างประมาณ 1 มม. และอยู่ที่ผิวลิ้น โดยทั่วไปแล้ว เซลล์รับรสมีหน้าที่ถ่ายโอนข้อมูลรสเป็นกระแสประสาท โดยเข้ารหัสข้อมูลว่าเป็นรสอะไร เข้มข้นแค่ไหน น่าชอบใจไม่น่าชอบใจ เป็นอันตรายหรือไม่ของรส และส่งข้อมูลผ่านไซแนปส์ที่ฐานเซลล์ผ่านสารสื่อประสาทต่าง ๆ เช่นเซโรโทนินเป็นต้น ไปยังใยประสาทรับความรู้สึก (sensory nerve fiber) ซึ่งส่งข้อมูลต่อไปยังระบบประสาทกลาง[20][112]

เซลล์รับรสมีชีวิตอยู่เพียงแค่ 7-10 วันโดยเซลล์ที่ตายจะทดแทนด้วยเซลล์ต้นกำเนิดชั้นฐานที่อยู่ด้วยกันในตุ่มรับรส[20][112] ซึ่งทำให้มันมีลักษณะคล้ายกับเซลล์รับกลิ่นในจมูก เพราะต้องแทนที่อยู่ตลอดชีวิต และไม่เหมือนกับเซลล์รับแสงในจอตาซึ่งใช้ในการเห็น หรือเซลล์ขนในคอเคลียของหูชั้นในซึ่งใช้ในการได้ยิน[113] ซึ่งต้องดำรงอยู่ตลอดชีวิตและถ้าเสียไปแล้วก็จะไม่มีเซลล์ใหม่ ๆ มาแทน

เซลล์รับรสสามารถแบ่งได้เป็นสองส่วน (สองโดเมน) คือ ส่วนยอดและส่วนฐาน โดยแบ่งออกด้วย tight junctions ส่วนยอดมีช่องไอออนที่ทำปฏิกิริยากับรสเค็มหรือรสเปรี้ยว หรือมี G protein-coupled receptor ที่ทำปฏิกิริยากับรสขม รสหวาน และรสอุมะมิ โมเลกุลต่าง ๆ ที่มีส่วนในการส่งสัญญาณผ่านระบบโมเลกุลส่งสัญญาณที่สอง (second messenger system) ก็มีอยู่อย่างเข้มข้นในส่วนยอดด้วย[114]

ส่วนฐานมีช่องไอออน Na+ K+ และ Ca+ ซึ่งเปิดปิดขึ้นอยู่กับศักย์ไฟฟ้า และเป็นช่องที่อำนวยการหลั่งสารสื่อประสาทของ presynaptic specialization ที่ฐานเซลล์ซึ่งเชื่อมกับเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณกลิ่นไปยังสมอง นอกจากนั้น ส่วนฐานยังมีร่างแหเอนโดพลาซึมที่ควบคุมความเข้มข้นของ Ca+ ภายในเซลล์ และดังนั้นจึงมีบทบาทการหลั่งสารสื่อประสาทด้วยเหมือนกัน[114] ถุงไซแนปส์ของเซลล์จะบรรจุสารสื่อประสาทเซโรโทนินและอะดีโนซีนไตรฟอสเฟตเป็นต้น เพื่อส่งสื่อข้อมูลให้เซลล์อื่น ๆ[33]

นอกจากนั้น เซลล์ยังมีช่อง TRPM5 ซึ่งอำนวยการลดขั้วของเซลล์ โดยเป็นส่วนการทำงานของระบบโมเลกุลส่งสัญญาณที่สอง แม้ยังไม่ชัดเจนว่า ช่องนี้มีที่ส่วนยอดหรือที่ส่วนฐาน[114]

รสพื้นฐานแต่ละรสจะมีหน่วยรับรสโดยเฉพาะ ๆ ซึ่งแสดงออกในเซลล์รับรสบางส่วนโดยเฉพาะ ๆ เป็นการแสดงว่า เซลล์รับรสอุมะมิ รสหวาน และรสขม เป็นเซลล์กลุ่มต่าง ๆ กัน[17][115] หน่วยรับรส T1R1+T1R3 เป็นตัวตรวจจับรสอุมะมิ หน่วยรับรส T1R2+T1R3 เป็นตัวตรวจจับรสหวาน (ยกเว้นในกรณีที่หวานมาก ซึ่งหน่วยรับรส T1R3 เพียงอย่างเดียวก็ตรวจจับได้) และหน่วยรับรส T2R เป็นตัวตรวจจับรสขม งานศึกษายีนระดับโมเลกุลพบว่า T1R1 และ T1R2 จะแสดงออกในเซลล์รับรสกลุ่มต่าง ๆ กัน ดังนั้น เซลล์รับรสอุมะมิและรับรสหวานจะเป็นคนละกลุ่มกัน และก็พบด้วยว่า เซลล์รับรสที่ตรวจจับรสขมเป็นเซลล์คนละกลุ่มจากเซลล์ที่รับรสอุมะมิและรับรสหวาน[115][33]

นอกจากการรู้รสแต่ละอย่างจะมีเซลล์รับรสโดยเฉพาะ ๆ ที่ตุ่มรับรสแล้ว ส่วนสมองที่ทำงานเป็นตัวแทนการรู้รสแต่ละอย่าง ๆ ก็ดูจะแยกเป็นส่วน ๆ ด้วย ดังที่พบใน insular cortex คือในมนุษย์ปกติ เมื่อรู้รสหนึ่ง ๆ คอร์เทกซ์ส่วนรู้รสบริเวณโดยเฉพาะ ๆ จะทำงาน เป็นการเข้ารหัสข้อมูลรสทางประสาทที่เรียกได้ว่า labeled line code[17][116]

ตุ่มรับรส

เซลล์รับรสจะอยู่ที่ตุ่มรับรส (taste bud) โดยมีตุ่มรับรสจำนวนระหว่าง 2,000-5,000 ตุ่มที่ด้านหน้าและหลังของลิ้น[22] และยังอยู่ที่เพดาน ข้าง ๆ ปาก หลังปาก และในคออีกด้วย ตุ่มรับรสแต่ละตุ่มซึ่งมีรูปเป็นลูกเลมอน/หัวกระเทียมจะมีเซลล์รับรส 40-60 เซลล์ โดยอยู่ร่วมกับเซลล์ค้ำจุนกับเซลล์ต้นกำเนิดชั้นฐาน (basal stem cell)[20]

เพราะเซลล์รับรสมีชีวิตอยู่เพียงแค่ 7-10 วัน เซลล์ที่ตายจะทดแทนด้วยเซลล์ต้นกำเนิดชั้นฐานที่อยู่ด้วยกันในตุ่มรับรส ส่วนเซลล์ค้ำจุนมีรูปร่างคล้ายเซลล์รับรส แต่ไม่มีขนรับรส และไม่มีบทบาทในการรู้รส[20]

ปุ่มลิ้น

ลิ้นปกคลุมไปด้วยปุ่มเล็ก ๆ เป็นพัน ๆ ซึ่งเรียกว่า ปุ่มลิ้น (lingual papillae) และมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ปุ่มแต่ละปุ่มจะมีตุ่มรับรส (taste bud) เป็นร้อย ๆ[21] โดยปุ่มรูปด้ายเป็นข้อยกเว้นเพราะไม่มีตุ่มรับรส

ปุ่มลิ้นเป็นผิวลิ้นที่ยื่นออกคล้ายหัวนม โดยมีรูปร่างและการกระจายตัวบนลิ้นที่แตกต่างกัน รวมทั้ง[20]

  • ปุ่มเซอร์คัมแวลเลต/ปุ่มล้อมด้วยกำแพง (circumvallate papillae, vallate papillae) เป็นปุ่มขนาดใหญ่มีรูปโดม จัดเป็นแถวหนึ่ง ๆ ที่แต่ละข้างของลิ้น โดยแถวแต่ละข้างจะวิ่งไปทางข้างหลังเข้าไปตรงกลาง และไปประจบกันที่เส้นกลาง เป็นรูปตัวอักษร V บนลิ้นมนุษย์ ปุ่มมีจำนวนระหว่าง 8-12 ปุ่ม แต่มีตุ่มรับรสจำนวนเกือบครึ่ง คือแต่ละปุ่มมีตุ่มรับรสประมาณ 250 ตุ่ม
  • ปุ่มรูปเห็ด (fungiform papillae) เป็นส่วนยื่นของลิ้นที่มีรูปเห็ด โดยทั่วไปมีสีแดง โดยกระจายไปในระหว่างปุ่มรูปด้าย แต่โดยมากอยู่ที่ปลายและข้าง ๆ ลิ้น เป็นปุ่มที่มีตุ่มรับรสประมาณ 3 ตุ่มที่ยอด และโดยรวม ๆ กันแล้วมีตุ่มรับรส 25% ของทั้งหมด[17]
  • ปุ่มรูปด้าย (filiform papillae) เป็นปุ่มลิ้นซึ่งเล็ก ๆ ละเอียด และมีมากที่สุด[117] เป็นปุ่มที่กระจายไปตามผิวลิ้นประมาณ 2/3 ด้านหน้า และจัดเป็นแถว ๆ ขนานไปกับส่วน sulcus terminalis ของลิ้น ปุ่มรูปด้ายไม่มีตุ่มรับรส จึงไม่มีส่วนในการรู้รส แต่โครงสร้างของมันจะทำให้ลิ้นสาก และก็ยังมีส่วนในการทำให้รับรู้เนื้ออาหารนอกจากรสได้
  • ปุ่มรูปใบไม้ (foliate papillae) เป็นรอยพับสั้น ๆ 4-5 รอยเป็นแนวขนานที่ข้าง ๆ ของลิ้นด้านหลัง[118] ประมาณ 2/3 เข้าไปจากปลายลิ้น ปุ่มปรากฏเป็นแถวของสันเยื่อเมือกรูปใบไม้ซึ่งมีสีแดง และปกคลุมด้วยเนื้อเยื่อบุผิวโดยไม่มีเคอราทิน จึงไม่แข็ง และมีตุ่มรับรสมากมาย[118] โดยรวม ๆ กันมีตุ่มรับรส 25% ของทั้งหมด[17]

การส่งข้อมูลรสทั่วไป

ในมนุษย์ รสชาติจะส่งไปทางประสาทสมอง 3 เส้นจาก 12 เส้น เส้นประสาทเฟเชียล (VII) ส่งข้อมูลรสชาติจากลิ้นด้านหลังประมาณ 2/3[13] ส่วนประสาทลิ้นคอหอย (glossopharyngeal nerve, IX) ส่งข้อมูลจากลิ้นด้านหน้าประมาณ 1/3[13] ในขณะที่สาขาของประสาทเวกัส (vagus nerve, X) ส่งข้อมูลรสไปจากส่วนต่าง ๆ ด้านหลังของช่องปากรวมทั้งเพดาน คอหอย และฝากล่องเสียง[13] โดยประสาททั้งหมดจะส่งไปยัง solitary nucleus (NST) ทางด้านหน้าส่วนข้าง (rostral and lateral) ซึ่งเป็นส่วนที่เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า gustatory nucleus of NST โดยอยู่ในก้านสมองส่วนท้าย (medulla oblongata)[13][112] ซึ่งเป็นจุดที่เซลล์รีเลย์ที่สองส่งข้อมูลต่อไปยังเขตต่าง ๆ ในสมองรวมทั้ง[13]

นอกจากนั้น ศูนย์กลางการประมวลผลทางประชานและการตัดสินใจ คือ orbitofrontal cortex (OFC) ด้านหลังส่วนข้าง (caudolateral) จะรวมข้อมูลทางตา จมูก ลิ้น และกาย เพื่อประเมินความอร่อยหรือไม่อร่อยของอาหาร เช่น ดังที่พบภายในลิงว่า เมื่อทานอาหารชนิดหนึ่งจนอิ่ม รสนั้น ๆ จะไม่ทำให้ OFC ตอบสนอง ซึ่งแสดงนัยว่า OFC มีบทบาทในแรงบันดาลใจให้ทานอาหารหนึ่ง ๆ[13][112]

แผนภาพนี้ติดตามการส่งกระแสประสาทของโครงสร้างทั้งหมดที่ทำให้รู้รสได้ ในเขตต่าง ๆ ของสมองมนุษย์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

การเชื่อมต่อทางประสาท

เส้นประสาทลิ้นคอหอย (glossopharyngeal nerve) เป็นตัวส่งสัญญาณจาก 1/3 ของลิ้นรวมทั้งปุ่มเซอร์คัมแวลเลต ส่วนเส้นประสาทเฟเชียลเป็นตัวส่งข้อมูลรสจากส่วน 2/3 ที่เหลือของลิ้น และจากแก้มผ่านสาขา chorda tympani ของเส้นประสาท[120] ส่วนใยประสาท special visceral afferent ของเส้นประสาทเวกัสจะส่งข้อมูลรสจากฝากล่องเสียงที่โคนลิ้น โดยส่งไปในระบบประสาทกลางที่ด้านหน้าส่วนข้างของ nucleus of the solitary tract (NST)

Pterygopalatine เป็นปมประสาท (ganglia) ในด้านทั้งสองของเพดานอ่อน เส้นประสาท greater petrosal, lesser palatine, และ zygomatic ทั้งหมดยุติเป็นไซแนปส์ที่ส่วนนี้ เส้นประสาท greater petrosal ส่งข้อมูลรสจากเพดานอ่อนไปยังเส้นประสาทเฟเชียล ส่วนเส้นประสาท lesser palatine ส่งสัญญาณไปยังช่องจมูก (nasal cavity) ซึ่งเป็นเหตุให้น้ำมูกไหลเมื่ออาหารเผ็ด ส่วนเส้นประสาท zygomatic ส่งสัญญาณไปยัง lacrimal nerve เพื่อกระตุ้นต่อมน้ำตา (lacrimal gland) ให้ทำงาน ซึ่งเป็นเหตุให้น้ำตาไหลเมื่อได้อาหารเผ็ด ทั้งเส้นประสาท lesser palatine และ zygomatic เป็นสาขา maxillary nerve ของเส้นประสาทไทรเจมินัล

เส้นประสาทลิ้นซึ่งเป็นส่วนของเส้นประสาทไทรเจมินัล (ไม่แสดงในแผนภาพ) เป็นตัวให้ข้อมูลความรู้สึกอื่น ๆ นอกจากรสจาก ⅔ ของลิ้น และเป็นเส้นประสาทที่วิ่งร่วมกับสาขา chorda tympani ของเส้นประสาทเฟเชียลซึ่งส่งข้อมูลรสชาติเมื่อออกจากลิ้น[121]

NST จัดระเบียบข้อมูลรสแบบเป็นแผนที่ภูมิลักษณ์คือได้รับข้อมูลรสจากเส้นประสาทเวกัสที่ด้านหน้า (rostral) จากเส้นประสาทลิ้นคอหอยที่ส่วนกลาง และจากเส้นประสาทเวกัสที่ส่วนหลัง (caudal)[112] NST ยังรวมประมวลความรู้สึกอื่น ๆ (เช่น อุณหภูมิ เนื้ออาหาร เป็นต้น) เข้าด้วย[122] NST ส่วนหลังยังได้รับเส้นประสาทสาขาใต้กะบังลมของเส้นประสาทเวกัสซึ่งควบคุมการเคลื่อนไหวเองของกระเพาะอาหาร และอาจช่วยให้สัตว์สามารถตอบสนองเมื่อได้อาหารที่ทำให้ป่วย[112] NST ได้รับสัญญาณจากอะมิกดะลา (ซึ่งควบคุมการส่งสัญญาณของส่วน oculomotor nuclei) จาก bed nuclei of stria terminalis จากไฮโปทาลามัส และจากคอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า

Reticular formation (ซึ่งรวม Raphe nuclei ที่ผลิตเซโรโทนิน) จะได้รับสัญญาณให้หลั่งเซโรโทนินในระหว่างและหลังจากการทานอาหารเพื่อระงับความอยาก[123] และคล้าย ๆ กัน ส่วน salivary nuclei ก็จะได้รับสัญญาณให้ลดการหลั่งน้ำลาย

ทางเดินประสาทที่เกี่ยวข้องกันอื่น ๆ รวมทั้ง

การตอบสนองทางสรีรภาพ

รสช่วยให้สัตว์ระบุและกินอาหารในขณะที่หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นพิษและที่กินไม่ได้ ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารเริ่มเตรียมรับและย่อยอาหาร เช่น การหลั่งน้ำย่อย การบีบรูดของทางเดินอาหาร และช่วยระบบอื่น ๆ เตรียมตัวเพื่อปรับเมแทบอลิซึม เช่น การเพิ่มอัตราการเต้นหัวใจ โดยให้ข้อมูลแก่ระบบประสาทร่วมกับการเห็น การได้กลิ่นเป็นต้น[40]

ข้อมูลรสอาจทำให้ระบบประสาทตอบสนอง คือ[112][17]

  • รสหวาน รสเค็ม และรสอุมะมิที่ด้านหน้าของลิ้น ซึ่งเป็นรสของอาหารที่ร่างกายต้องการ ทำให้เกิดพฤติกรรมกินอาหารและการเตรียมระบบย่อยอาหารเพื่อรับและย่อยอาหาร เช่น การเคลื่อนไหวของปาก การหลั่งน้ำลาย การกลืน และการหลั่งสารอินซูลิน
  • รสเปรี้ยว ซึ่งเป็นตัวแสดงความเป็นกรด ทำให้เกิดพฤติกรรมปฏิเสธอาหารที่อาจเป็นอันตราย เช่น การทำหน้าเบี้ยว หน้าย่น และการหลั่งน้ำลายจำนวนมากเพื่อทำสารละลายให้จาง
  • รสขม ซึ่งอาจแสดงความเป็นพิษ ทำให้เกิดพฤติกรรมปฏิเสธอาหารที่อาจเป็นอันตราย เช่น การขากและการขย้อน

แนวคิดอื่น ๆ

ทางปรัชญา

รสชาติสามารถจัดเป็นรสพื้นฐานที่เป็นปรวิสัยได้ 5 รส (คือ หวาน เค็ม เปรี้ยว ขม และอุมะมิ) แต่ก็สามารถจัดตามอัตวิสัยเป็นอร่อยและไม่อร่อย ดังนั้น การรู้รสจึงเป็นประสบการณ์ทั้งแบบ "อัตวิสัย ปรวิสัย และเชิงคุณภาพ"[127] โดยเป็นแนวคิดทางปรัชญา รสเป็นเรื่องที่นิยามได้ยาก เพราะความชอบใจรสชาติเป็นเรื่องทางอัตวิสัย[127] คือ เราไม่สามารถบอกตรงความจริงว่า อีกคนหนึ่งรู้สึกว่านี่ไม่อร่อย เพราะเราคิดว่าไม่อร่อย แม้นัยกลับกันก็เช่นกัน เพื่อประเมินรสในบริบทเช่นนี้ เราต้องตรวจสอบนิยามต่าง ๆ ของรสชาติ[127]

ซูเปอร์เทสเตอร์

ซูเปอร์เทสเตอร์ก็คือบุคคลที่ไวรสชาติกว่าคนอื่น ๆ ซึ่งมีเหตุมาจากอย่างน้อยก็โดยบางส่วน การมีปุ่มรูปเห็ด (ที่ลิ้น) เพิ่มขึ้น[128]

งานศึกษาได้แสดงว่า ซูเปอร์เทสเตอร์ต้องได้ไขมันและน้ำตาลในอาหารน้อยกว่า เพื่อให้ได้ความพึงใจเท่ากัน แต่ตรงข้ามกับความคิดทั่วไป คนพวกนี้กลับบริโภคเกลือมากกว่าโดยเฉลี่ย เนื่องจากไวรสขม และเกลือจะช่วยกลบรสขม (ซึ่งอธิบายว่าทำไมซูเปอร์เทสเตอร์จึงชอบเนยแข็งเช็ดดาร์ที่ใส่เกลือมากกว่าที่ไม่ใส่)[129]

รสติดลิ้น

รสติดลิ้นเกิดขึ้นหลังจากได้กลืนอาหารลงแล้ว โดยรสอาจจะต่างจากที่ได้จากอาหาร ยาอาจมีรสติดลิ้นที่คงอยู่นาน เพราะมีรสชาติเป็นสารประกอบปรุงแต่ง เช่น แอสปาร์แตมที่ให้รสหวาน

รสชาติที่กลายมาเป็นชอบ

รสชาติที่กลายมาเป็นชอบบ่อยครั้งหมายถึงการชอบอาหารหรือเครื่องดื่ม ที่ไม่น่าจะเป็นที่พึงใจสำหรับบุคคลที่ยังไม่เคยได้ลิ้มรสอย่างพอควร ปกติเพราะมีลักษณะอะไรที่ไม่คุ้นเคย รวมทั้งกลิ่นแปลกหรือแรง รสแปลกหรือจัด หรือรูปลักษณ์ที่แปลก ๆ

การแพทย์

คนไข้ที่มี Addison's disease, ต่อมใต้สมองทำงานไม่เพียงพอ (pituitary insufficiency), หรือซิสติก ไฟโบรซิส บ่อยครั้งจะไวรสหลัก ๆ 5 อย่างเกินกว่าปกติ[130]

โรคการรู้รส

  • ageusia (ไม่สามารถรู้รสเลย)
  • hypogeusia (รู้รสน้อยกว่าปกติ)
  • dysgeusia (รู้รสแบบผิดปกติ)[B]
  • hypergeusia (รู้รสมากกว่าปกติ)

ประวัติ

ในประวัติชาวตะวันตก อาริสโตเติลได้ตั้งสมมติฐานในปี 350 ก่อน ค.ศ. ว่า[131] รสชาติพื้นฐานที่สุดก็คือรสหวานและรสขม[132] เขาเป็นบุคคลแรก ๆ ที่ได้พัฒนารายการของรสชาติพื้นฐานขึ้น[133]

อายุรเวท ซึ่งเป็นแพทยศาสตร์อินเดียโบราณ มีรายการรสชาติพื้นฐานของตนเอง รวมทั้งรสหวาน รสเค็ม รสเปรี้ยว รสเผ็ด รสขม และรสฝาด[26]

จีนโบราณก็พิจารณาความเผ็ดว่าเป็นรสชาติพื้นฐานด้วย

งานวิจัย

หน่วยรับรส (Receptor) ของรสชาติพื้นฐานคือขม หวาน และอุมะมิ ได้ระบุแล้ว คือเป็นโปรตีนกลุ่ม G protein-coupled receptor[134] เซลล์ที่ตรวจจับรสเปรี้ยวเป็นเซลล์กลุ่มย่อยซึ่งแสดงออกโปรตีน PKD2L1 การตอบสนองจะอำนวยโดยการไหลของโปรตอนเข้ามาในเซลล์ แต่หน่วยรับรสเปรี้ยวก็ยังไม่ได้ระบุ ส่วนหน่วยรับรสเค็มที่ไวต่อยาอะมิโลไรด์ได้พบในหนูหริ่งว่าเป็นช่องโซเดียม[135]

มีหลักฐานบ้างว่า มีรสชาติที่หกคือรสไขมัน[136][137][138]

ในปี 2010 นักวิจัยได้พบหน่วยรับรสในเนื้อเยื่อปอด ซึ่งทำให้ทางเดินอากาศคลายตัวเมื่อประสบกับสารรสขม นักวิจัยเชื่อว่า กลไกนี้เป็นการปรับตัวทางวิวัฒนาการเพราะช่วยกำจัดเชื้อจากปอด แต่ก็สามารถถือเอาประโยชน์เพื่อรักษาโรคหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง[139]

เชิงอรรถ

  1. 1.0 1.1 1.2 รู้กันมานานแล้วว่า การจัดหมวดหมู่แค่นี้อาจจะไม่สมบูรณ์ ในหนังสือแพทย์ยอดนิยมปี 1976 ผู้เขียนได้กล่าวไว้ว่า

    ตามหลักการศึกษาทางสรีรวิทยา ทั่วไปเชื่อว่ามีรส "หลัก" อย่างน้อยสี่อย่าง คือ "เปรี้ยว" "เค็ม" "หวาน" และ "ขม" ถึงกระนั้น เราก็รู้ว่า บุคคลหนึ่ง ๆ สามารถรู้รสต่าง ๆ ได้จริง ๆ เป็นพัน ๆ ซึ่งสมมุติว่า เป็นการรวมความรู้สึกหลัก 4 อย่างเหล่านั้น... อย่างไรก็ดี ก็ยังอาจจะมีรสหลักอื่น ๆ หรือรสย่อย ๆ ของความรู้สึกหลัก ๆ ที่เห็นได้ยากกว่า

    — Textbook of Medical Physiology (1976)[5]
  2. 2.0 2.1 2.2 dysgeusia หรือ parageusia เป็นการรู้รสชาติที่ผิดปกติ บ่อยครั้งสัมพันธ์กับ ageusia ซึ่งก็คือการไม่รู้รสชาติเลย และ hypogeusia ซึ่งเป็นความไวรสชาติที่ลดลง[18] การรู้รสหรือกลิ่นที่เปลี่ยนไป อาจเป็นอาการรองของโรคต่าง ๆ หรืออาจเป็นอาการหลัก แต่ปกติจะเป็นอาการอย่างหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น การวินิจฉัยโรคมักจะซับซ้อนเพราะการรู้รสจะเชื่อมกับประสาทสัมผัสอื่น ๆ เหตุสามัญรวมทั้งเคมีบำบัด การรักษาโรคหืดด้วยยาซัลบูทามอล และการขาดสังกะสี ยาต่าง ๆ อาจทำให้รู้รสเปลี่ยนไปจนจัดได้ว่าเป็น dysgeusia เนื่องจากมีเหตุต่าง ๆ มากมาย จึงรักษาได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการลดหรือการระงับอาการ รวมทั้งน้ำลายเทียม ยาไพโลคาร์พีน อาหารเสริมสังกะสี การเปลี่ยนยารักษา และยา alpha lipoic acid

อ้างอิง

  1. "taste", Lexitron พจนานุกรมไทย<=>อังกฤษ รุ่น 2.6, หน่วยปฏิบัติการวิจัยวิทยาการมนุษยภาษา, ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2546, รสชาติ, ประสาทในการรับรส, การชิม, ชิม
  2. 2.0 2.1 "What Are Taste Buds?". kidshealth - Nemours Foundation.
  3. Chiras, Daniel D (2005). Human biology. Jones & Bartlett Learning. pp. 201, 464.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  4. Purves et al 2008a, pp. 363, 382
  5. Guyton, Arthur C. (1976), Textbook of Medical Physiology (5th ed.), Philadelphia: W.B. Saunders, p. 839, ISBN 0-7216-4393-0, On the basis of physiologic studies, there are generally believed to be at least four primary sensations of taste: sour, salty, sweet, and bitter. Yet we know that a person can perceive literally hundreds of different tastes. These are all supposed to be combinations of the four primary sensations...However, there might be other less conspicuous classes or subclasses of primary sensations
  6. 6.0 6.1 Kean, Sam (Fall 2015). "The science of satisfaction". Distillations Magazine. 1 (3): 5. สืบค้นเมื่อ 2016-12-02.
  7. "How does our sense of taste work?". PubMed. 2012-01-06. สืบค้นเมื่อ 2016-04-05.
  8. "10". Human Physiology: An integrated approach (5th ed.). Silverthorn. p. 354.
  9. Saladin 2010a
  10. Chudler, Eric H. "Smell - The Nose Knows". washington.edu. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-09-13. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  11. Rosenthal, Andrew J (1999). Food texture: measurement and perception. Springer. pp. 3, 36. {{cite book}}: |ref=harv ไม่ถูกต้อง (help)
  12. Rosenthal 1999, pp. 4
  13. 13.00 13.01 13.02 13.03 13.04 13.05 13.06 13.07 13.08 13.09 13.10 13.11 13.12 13.13 13.14 13.15 Saladin 2010a, Physiology, pp. 595-597 (611-613)
  14. 14.0 14.1 Jacob, Tim (2009-05-22). "Why do two great tastes sometimes not taste great together?". scientificamerican.{{cite web}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  15. Miller, Greg (2011-09-02). "Sweet here, salty there: Evidence of a taste map in the mammilian brain". Science. 333 (6047): 1213. doi:10.1126/science.333.6047.1213.
  16. Seidel, Henry M; Ball, Jane W; Dains, Joyce E (2010-02-01). Mosby's Guide to Physical Examination. Elsevier Health Sciences. p. 303. ISBN 978-0-323-07357-8.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  17. 17.0 17.1 17.2 17.3 17.4 17.5 17.6 17.7 Purves et al 2008a, Taste Perception in Humans, pp. 384-387
  18. Feske, Samuel K; Samuels, Martin A (2003). Office Practice of Neurology (2nd ed.). Philadelphia: Elsevier Science. p. 114.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  19. Scully, Simone M. "The Animals That Taste Only Saltiness". Nautilus. สืบค้นเมื่อ 2014-08-08.
  20. 20.0 20.1 20.2 20.3 20.4 20.5 20.6 20.7 Saladin 2010a, pp. 595 (611)
  21. 21.0 21.1 Schacter, Daniel (2009). Psychology (2nd ed.). United States of America: Worth Publishers. p. 169. ISBN 978-1-4292-3719-2.
  22. 22.0 22.1 Boron, WF; Boulpaep, EL (2003). Medical Physiology (1st ed.). USA: Elsevier Science.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  23. Ikeda, Kikunae (2002) [First published 1909]. "New Seasonings" (PDF). Chemical Senses. 27 (9): 847–849. doi:10.1093/chemse/27.9.847. PMID 12438213. สืบค้นเมื่อ 2007-12-030. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  24. Lindemann, Bernd (2001-09-13). "Receptors and transduction in taste" (PDF). Nature. 413 (6852): 219–225. doi:10.1038/35093032. PMID 11557991. สืบค้นเมื่อ 2007-12-030. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  25. 25.0 25.1 Oaklander, Mandy (2015-07-28). "A New Taste Has Been Added to the Human Palate". TIME. สืบค้นเมื่อ 2015-08-04.
  26. 26.0 26.1 26.2 Bueker, Joyce (2002). Ayurvedic balancing: an integration of Western fitness with Eastern wellness. Llewellyn Worldwide. pp. 25–26.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  27. Buck & Bargmann 2013a, Sweet Taste, 728-729
  28. Chaudhari & Roper 2010, Beyond the tasty morsel: the underlying molecular mechanisms for nutrient detection Transduction of gustatory stimuli in receptor (Type III) cell, pp. 290-291
  29. "How the Taste Bud Translates Between Tongue and Brain". New York Times. 1992-08-04.
  30. Zhao, Grace Q; Zhang, Yifeng; Hoon, Mark A; Chandrashekar, Jayaram; Erlenbach, Isolde; Ryba, Nicholas JP; Zuker, Charles S (2003-10). "The Receptors for Mammalian Sweet and Savory taste" (PDF). Cell. 115 (3): 255–266. doi:10.1016/S0092-8674(03)00844-4. PMID 14636554. สืบค้นเมื่อ 2007-12-030. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  31. 31.00 31.01 31.02 31.03 31.04 31.05 31.06 31.07 31.08 31.09 Guyton, Arthur C (1991). Textbook of Medical Physiology (8th ed.). Philadelphia: W.B. Saunders.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  32. 32.0 32.1 32.2 32.3 32.4 32.5 McLaughlin S.; Margolskee R.F. (1994). "The Sense of Taste". American Scientist. 82 (6): 538–545.
  33. 33.00 33.01 33.02 33.03 33.04 33.05 33.06 33.07 33.08 33.09 Purves et al 2008a, Taste Buds Taste Cells, Receptor Proteins, and Transduction, pp. 387-389
  34. Fenton, Henry John Horstman. outlines of chemistry with practical work. CUP Archive. p. 241.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  35. Leong, Chang See; Ying, Chong Kum; Tong, Choo Yan; Neo, Low Swee (2009). Focus Ace Pmr 2009 Science. p. 242.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  36. 36.0 36.1 Frings, Stephan; Bradley, Jonathan (2004). Transduction channels in sensory cells. Wiley-VCH. p. 155.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  37. "Biologists Discover How We Detect Sour Taste", Science Daily, 2006-08-24, สืบค้นเมื่อ 2010-09-12
  38. Chang, Rui; Waters, Hang; Liman, Emily (2010). "A proton current drives action potentials in genetically identified sour taste cells". Proc Natl Acad Sci U S A. 107 (51): 22320–22325. doi:10.1073/pnas.1013664107. PMC 3009759. PMID 21098668.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  39. Ye, W; Chang, RB; Bushman, JD; Tu, YH; Mulhall, EM; Wilson, CE; Cooper, AJ; Chick, WS; Hill-Eubanks, DC; Nelson, MT; Kinnamon, SC; Liman, ER (2016). "The K+ channel KIR2.1 functions in tandem with proton influx to mediate sour taste transduction". Proc Natl Acad Sci U S A. 113: E229-238. doi:10.1073/pnas.1514282112. PMC 4720319. PMID 26627720.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  40. 40.0 40.1 Chaudhari & Roper 2010, Taste: our most intrepid sense Sampling the environment through our sense of taste, pp. 285-286
  41. Liem, Djin Gie; Mennella, Julie A (2003-02). "Heightened Sour Preferences During Childhood". Chem Senses. 28 (2): 173–180. doi:10.1093/chemse/28.2.173. PMC 2789429. PMID 12588738. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  42. "New for Vending! Twizzlers" (PDF). Hersheys. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2016-03-04. Sour candy is growing segment (+8.1% vs. YAG) and is outpacing growth in the non-chocolate category (+2.4% vs. YAG) {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  43. Scinska, A; Koros, E; Habrat, B; Kukwa, A; Kostowski, W; Bienkowski, P (2000-08). "Bitter and sweet components of ethanol taste in humans". Drug and Alcohol Dependence. 60 (2): 199–206. doi:10.1016/S0376-8716(99)00149-0. PMID 10940547. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  44. 44.0 44.1 Logue, A.W. (1986). The Psychology of Eating and Drinking. New York: W.H. Freeman & Co.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) [ต้องการเลขหน้า]
  45. Glendinning, J. I. (1994). "Is the bitter rejection response always adaptive?". Physiol Behav. 56 (6): 1217–1227. doi:10.1016/0031-9384(94)90369-7. PMID 7878094.
  46. Jones, S; Martin, R; Pilbeam, D (1994). The Cambridge Encyclopedia of Human Evolution. Cambridge: Cambridge University Press.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) [ต้องการเลขหน้า]
  47. Johns, T. (1990). With Bitter Herbs They Shall Eat It: Chemical ecology and the origins of human diet and medicine. Tucson: University of Arizona Press.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) [ต้องการเลขหน้า]
  48. Wang, X. (2004). "Relaxation Of Selective Constraint And Loss Of Function In The Evolution Of Human Bitter Taste Receptor Genes". Human Molecular Genetics. 13 (21): 2671–2678. doi:10.1093/hmg/ddh289. PMID 15367488.
  49. Wang, X; Thomas, SD; Zhang, J (2004). "Relaxation of selective constraint and loss of function in the evolution of human bitter taste receptor genes". Hum Mol Genet. 13 (21): 2671–2678. doi:10.1093/hmg/ddh289. PMID 15367488.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  50. Maehashi, K; Matano, M; Wang, H; Vo, LA; Yamamoto, Y; Huang, L (2008). "Bitter peptides activate hTAS2Rs, the human bitter receptors". Biochem Biophys Res Commun. 365 (4): 851–855. doi:10.1016/j.bbrc.2007.11.070. PMC 2692459. PMID 18037373.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  51. Lindemann, Bernd (2001-09-13). "Receptors and transduction in taste" (PDF). Nature. 413 (6852): 219–225. doi:10.1038/35093032. PMID 11557991. สืบค้นเมื่อ 2007-12-030. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  52. Meyerhof (2010). "The molecular receptive ranges of human TAS2R bitter taste receptors". Chem Senses. 35 (2): 157–70. doi:10.1093/chemse/bjp092. PMID 20022913.
  53. Wiener (2012). "BitterDB: a database of bitter compounds". Nucleic Acids Res. 40 (Database issue): D413-9. doi:10.1093/nar/gkr755. PMC 3245057. PMID 21940398.
  54. Wooding, S; Kim, UK; Bamshad, MJ; Larsen, J; Jorde, LB; Drayna, D (2004). "Natural selection and molecular evolution in PTC, a bitter-taste receptor gene". Am J Hum Genet. 74 (4): 637–646. doi:10.1086/383092. PMC 1181941. PMID 14997422.{{cite journal}}: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  55. 56.0 56.1 "Merriam-Webster English Dictionary". Merriam-Webster, Incorporated. สืบค้นเมื่อ 2011-01-01.
  56. "New Seasonings".
  57. 58.0 58.1 "Umami culture around the world". Umami Information Center. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-01-24. สืบค้นเมื่อ 2018-04-09. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  58. 59.0 59.1 59.2 "The Claim: The tongue is mapped into four areas of taste. Anahad O'connor.", The New York Times, p. Health section, 2008-11-10, สืบค้นเมื่อ 2010-09-13  May require free registration to view{{citation}}: CS1 maint: postscript (ลิงก์)
  59. "旨味 definition in English". Denshi Jisho—Online Japanese dictionary. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-04-09. สืบค้นเมื่อ 2018-04-09. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  60. 61.0 61.1 61.2 "Umami Food Ingredients". Japan's Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries. 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-08-16. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  61. "Auguste Escoffier and The Essence of Taste". Columbia University. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-12-29. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  62. "Fish Sauce An Ancient Roman Condiment". 2013-10-26. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-10-14. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  63. 64.0 64.1 64.2 64.3 "What exactly is umami?". The Umami Information Center. 2011-02. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-10-25. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  64. Yamaguchi, Shizuko; Ninomiya, Kumiko (1999), "Umami and Food Palatability", ใน Roy Teranishi; Emily L. Wick; Irwin Hornstein (บ.ก.), Flavor Chemistry: Thirty Years of Progress, Proceedings of an American Chemical Society Symposium, held 23-27 August 1998, in Boston, Massachusetts, Published in New York: Kluwer Academic/Plenum Publishers, pp. 423–432, ISBN 0-306-46199-4, สืบค้นเมื่อ 2010-09-13 {{citation}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |lastauthoramp= ถูกละเว้น แนะนำ (|name-list-style=) (help)
  65. Chandrashekar, Jayaram; Hoon, Mark A; Ryba, Nicholas J. P. & Zuker, Charles S (2006-11-16), "The receptors and cells for mammalian taste" (PDF), Nature, 444 (7117): 288–294, doi:10.1038/nature05401, PMID 17108952, สืบค้นเมื่อ 2010-09-13 {{citation}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |lastauthoramp= ถูกละเว้น แนะนำ (|name-list-style=) (help)CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  66. Lindemann, B (2000-02). "A taste for umami". Nature Neuroscience. 3 (2): 99–100. doi:10.1038/72153. PMID 10649560. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  67. Chaudhari, N; Landin, AM; Roper, SD (2000-02). "A metabotropic glutamate receptor variant functions as a taste receptor". Nature Neuroscience. 3 (2): 113–9. doi:10.1038/72053. PMID 10649565. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  68. 70.0 70.1 Tsai, Michelle (2007-05-14), "How Sweet It Is? Measuring the intensity of sugar substitutes", Slate, The Washington Post Company, สืบค้นเมื่อ 2010-09-14
  69. Walters, D. Eric (2008-05-13), "How is Sweetness Measured?", All About Sweeteners, สืบค้นเมื่อ 2010-09-15
  70. Joesten, Melvin D; Hogg, John L; Castellion, Mary E (2007), "Sweeteness Relative to Sucrose (table)", The World of Chemistry: Essentials (4th ed.), Belmont, California: Thomson Brooks/Cole, p. 359, ISBN 0-495-01213-0, สืบค้นเมื่อ 2010-09-14
  71. Coultate, Tom P (2009), "Sweetness relative to sucrose as an arbitrary standard", Food: The Chemistry of its Components (5th ed.), Cambridge, UK: Royal Society of Chemistry, pp. 268–269, ISBN 978-0-85404-111-4, สืบค้นเมื่อ 2010-09-15
  72. Mehta, Bhupinder; Mehta, Manju (2005), "Sweetness of sugars", Organic Chemistry, India: Prentice-Hall, p. 956, ISBN 81-203-2441-2, สืบค้นเมื่อ 2010-09-15  Alternative {{citation}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |lastauthoramp= ถูกละเว้น แนะนำ (|name-list-style=) (help)CS1 maint: postscript (ลิงก์)
  73. Guyton, Arthur C; Hall, John E. (2006), Guyton and Hall Textbook of Medical Physiology (11th ed.), Philadelphia: Elsevier Saunders, p. 664, ISBN 0-7216-0240-1 International{{citation}}: CS1 maint: postscript (ลิงก์)
  74. Belitz, HD; Grosch, Werner; Schieberle, Peter (2009). Food Chemistry. Springer. p. 38.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  75. 77.0 77.1 77.2 Quality control methods for medicinal plant materials, Pg. 38 World Health Organization, 1998.
  76. 78.0 78.1 78.2 Purves et al 2008a, Trigeminal Chemoreception, pp. 391-392
  77. Gold & Caterina 2008, 5.04.2.1.3 Transient receptor potential ion channels, pp. 51-53
  78. 80.0 80.1 Lackie, JM (2007). The Dictionary of Cell and Molecular Biology (4th ed.). Elsevier. TRP Channels, p. 433. ISBN 978-0-12-373986-5. Capsaicin and resiniferatoxin are agonists for TRPV1, menthol for TRPM8 (cold receptor), and icilin for both TRPM8 and TRPA1.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  79. "Spice Pages: Sichuan Pepper (Zanthoxylum, Szechwan peppercorn, fagara, hua jiao, sansho 山椒, timur, andaliman, tirphal)". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-09-15. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  80. Peleg, Hanna; Gacon, Karine; Schlich, Pascal; Noble, Ann C (1999-06). "Bitterness and astringency of flavan-3-ol monomers, dimers and trimers". Journal of the Science of Food and Agriculture. 79 (8): 1123–1128. doi:10.1002/(SICI)1097-0010(199906)79:8<1123::AID-JSFA336>3.0.CO;2-D. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  81. "Types of Tastes in Ayurveda". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-08. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  82. "Sri Lankan English - Updates K". kahata. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-09-23. (1) : astringent (one of the 6 tastes described in ayurveda, also called stainy in Caribbean English) (Sinhala) {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  83. "Is there a Battery in your Mouth?". www.toothbody.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-02-28. สืบค้นเมื่อ 2012-02-10. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  84. Riera, Céline E.; Vogel, Horst; Simon, Sidney A.; le Coutre, Johannes (2007). "Artificial sweeteners and salts producing a metallic taste sensation activate TRPV1 receptors". American Journal of Physiology. pp. R626–R634. doi:10.1152/ajpregu.00286.2007. PMID 17567713. สืบค้นเมื่อ 2012-02-10.
  85. Willard, James P. (1905). "Current Events". Progress: A Monthly Journal Devoted to Medicine and Surgery. 4: 861–68.
  86. Monosson, Emily (2012). Evolution in a Toxic World: How Life Responds to Chemical Threats. Island Press. p. 49. ISBN 9781597269766.
  87. 89.0 89.1 Goldstein, E. Bruce (2010). Encyclopedia of Perception. Vol. 2. SAGE. pp. 958–59. ISBN 9781412940818.
  88. Levy, René H. (2002). Antiepileptic Drugs. Lippincott Williams & Wilkins. p. 875. ISBN 9780781723213.
  89. Stellman, Jeanne Mager (1998). Encyclopaedia of Occupational Health and Safety: The body, health care, management and policy, tools and approaches. International Labour Organization. p. 299. ISBN 9789221098140.
  90. "Like the Taste of Chalk? You're in Luck--Humans May Be Able to Taste Calcium". Scientific American. 2008-08-20. สืบค้นเมื่อ 2014-03-14.
  91. Tordorf, Michael G. (2008), "Chemosensation of Calcium", American Chemical Society National Meeting, Fall 2008, 236th, Philadelphia, PA: American Chemical Society, AGFD 207 {{citation}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |nopp= ถูกละเว้น แนะนำ (|no-pp=) (help)
  92. "That Tastes ... Sweet? Sour? No, It's Definitely Calcium!", Science Daily, 2008-08-21, สืบค้นเมื่อ 2010-09-14
  93. Chaudhari & Roper 2010, Diverse sensory inputs tickle our taste buds, p. 286
  94. "Potential Taste Receptor for Fat Identified". Scientific American. 2005-11-02.
  95. Laugerette, F; Passilly-Degrace, P; Patris, B; Niot, I; Febbraio, M; Montmayeur, J. P.; Besnard, P (2005). "CD36 involvement in orosensory detection of dietary lipids, spontaneous fat preference, and digestive secretions". Journal of Clinical Investigation. 115 (11): 3177–84. doi:10.1172/JCI25299. PMC 1265871. PMID 16276419.
  96. Dipatrizio, N. V. (2014). "Is fat taste ready for primetime?". Physiology & Behavior. 136C: 145–154. doi:10.1016/j.physbeh.2014.03.002. PMC 4162865. PMID 24631296.
  97. Baillie, A. G.; Coburn, C. T.; Abumrad, N. A. (1996). "Reversible binding of long-chain fatty acids to purified FAT, the adipose CD36 homolog". The Journal of membrane biology. 153 (1): 75–81. doi:10.1007/s002329900111. PMID 8694909.
  98. Simons, P. J.; Kummer, J. A.; Luiken, J. J.; Boon, L (2011). "Apical CD36 immunolocalization in human and porcine taste buds from circumvallate and foliate papillae". Acta Histochemica. 113 (8): 839–43. doi:10.1016/j.acthis.2010.08.006. PMID 20950842.
  99. 101.0 101.1 Mattes, R. D. (2011). "Accumulating evidence supports a taste component for free fatty acids in humans". Physiology & Behavior. 104 (4): 624–31. doi:10.1016/j.physbeh.2011.05.002. PMC 3139746. PMID 21557960.
  100. Pepino, M. Y.; Love-Gregory, L; Klein, S; Abumrad, N. A. (2012). "The fatty acid translocase gene CD36 and lingual lipase influence oral sensitivity to fat in obese subjects". The Journal of Lipid Research. 53 (3): 561–6. doi:10.1194/jlr.M021873. PMC 3276480. PMID 22210925.
  101. Cartoni, C; Yasumatsu, K; Ohkuri, T; Shigemura, N; Yoshida, R; Godinot, N; Le Coutre, J; Ninomiya, Y; Damak, S (2010). "Taste preference for fatty acids is mediated by GPR40 and GPR120". Journal of Neuroscience. 30 (25): 8376–82. doi:10.1523/JNEUROSCI.0496-10.2010. PMID 20573884.
  102. Liu, P; Shah, B. P.; Croasdell, S; Gilbertson, T. A. (2011). "Transient receptor potential channel type M5 is essential for fat taste". Journal of Neuroscience. 31 (23): 8634–42. doi:10.1523/JNEUROSCI.6273-10.2011. PMC 3125678. PMID 21653867.
  103. Running, Cordelia A.; Craig, Bruce A.; Mattes, Richard D. (2015-07-03). "Oleogustus: The Unique Taste of Fat". Chemical Senses. 40 (6): 507–516. doi:10.1093/chemse/bjv036. สืบค้นเมื่อ 2015-08-03.
  104. Neubert, Amy Patterson (2015-07-23). "Research confirms fat is sixth taste; names it oleogustus". Purdue News. Purdue University. สืบค้นเมื่อ 2015-08-04.
  105. Feldhausen, Teresa Shipley (2015-07-31). "The five basic tastes have sixth sibling: oleogustus". Science News. สืบค้นเมื่อ 2015-08-04.
  106. 108.0 108.1 Hettiarachchy, Navam S.; Sato, Kenji; Marshall, Maurice R., บ.ก. (2010). Food proteins and peptides: chemistry, functionality interactions, and commercialization. Boca Raton, Fla.: CRC. p. 290. ISBN 9781420093414. สืบค้นเมื่อ 2014-06-26.
  107. Lapis, Trina J.; Penner, Michael H.; Lim, Juyun (2016-08-23). "Humans Can Taste Glucose Oligomers Independent of the hT1R2/hT1R3 Sweet Taste Receptor" (PDF). Chemical Senses (ภาษาอังกฤษ). 41: bjw088. doi:10.1093/chemse/bjw088. ISSN 0379-864X. PMID 27553043.
  108. Pullicin, Alexa J.; Penner, Michael H.; Lim, Juyun (2017-08-29). "Human taste detection of glucose oligomers with low degree of polymerization". PLOS ONE. 12 (8): e0183008. doi:10.1371/journal.pone.0183008. ISSN 1932-6203.
  109. Hamzelou, Jessica (2016-09-02). "There is now a sixth taste - and it explains why we love carbs". New Scientist (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2016-09-14.
  110. 112.00 112.01 112.02 112.03 112.04 112.05 112.06 112.07 112.08 112.09 Purves et al 2008a, The Organization of the Taste System, pp. 381-383
  111. Chaudhari & Roper 2010, The structure of taste buds and other matters of taste, p. 286-288
  112. 114.0 114.1 114.2 Purves et al 2008a, Figure 15.1 Taste buds, taste cells, and taste transduction, p. 386
  113. 115.0 115.1 Buck & Bargmann 2013a, Each Taste Is Detected by a Distinct Sensory Transduction Mechanism and Distinct Population of Taste Cells, 728-732
  114. Purves et al 2008a, Neural Coding in the Taste System, pp. 389-392
  115. Norton, N (2007). Netter's head and neck anatomy for dentistry. illustrations by Netter FH. Philadelphia, Pa.: Saunders Elsevier. p. 402. ISBN 1929007884.
  116. 118.0 118.1 "Chapter 33: NECK AND UPPER AERODIGESTIVE TRACT". Gray's anatomy : the anatomical basis of clinical practice (40th ed.). Edinburgh: Churchill Livingstone/Elsevier. 2008. ISBN 978-0443066849. {{cite book}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |editors= ถูกละเว้น แนะนำ (|editor=) (help)
  117. Marieb, Elaine N.; Hoehn, Katja (2008). Anatomy & Physiology (3rd ed.). Boston: Benjamin Cummings/Pearson. pp. 391–395. ISBN 0-8053-0094-5.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  118. PMID 17473041 (PMID 17473041)
    Citation will be completed automatically in a few minutes. Jump the queue or expand by hand
  119. doi:10.1002/ca.21011
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  120. King, Camillae T; Travers, Susan P (1999-04-15). "Glossopharyngeal Nerve Transection Eliminates Quinine-Stimulated Fos-Like Immunoreactivity in the Nucleus of the Solitary Tract: Implications for a Functional Topography of Gustatory Nerve Input in Rats". JNeurosci.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  121. PMID 14729135 (PMID 14729135)
    Citation will be completed automatically in a few minutes. Jump the queue or expand by hand
  122. doi:10.1016/0166-2236(83)90068-1
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand
  123. PMID 12667843 (PMID 12667843)
    Citation will be completed automatically in a few minutes. Jump the queue or expand by hand
  124. doi:10.1007/s00429-010-0262-0
    This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand Full article
  125. 127.0 127.1 127.2 Schehr, Lawrence R; Weiss, Allen S (2001). French Food: On the Table, on the Page, and in French Culture. New York: Routledge. pp. 228–41.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  126. Bartoshuk, LM; Duffy, VB และคณะ (1994). "PTC/PROP tasting: anatomy, psychophysics, and sex effects." 1994". Physiol Behav. 56 (6): 1165–71. doi:10.1016/0031-9384(94)90361-1. PMID 7878086.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  127. Gardner, Amanda (2010-06-16). "Love salt? You might be a 'supertaster'". CNN Health. สืบค้นเมื่อ 2012-04-09.
  128. Walker, H. Kenneth (1990). "Clinical Methods: The History, Physical, and Laboratory Examinations". สืบค้นเมื่อ 2014-05-01.
  129. Aristotle. "On the Soul". The Internet Classics Archive.{{cite web}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  130. Polansky, Ronald M (2007). Aristotle's De anima (422b10-16). Cambridge University Press.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  131. Finger, Stanley (2001). Origins of neuroscience: a history of explorations into brain function. US: Oxford University Press. p. 165.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  132. Bachmanov, AA.; Beauchamp, GK. (2007). "Taste receptor genes". Annu Rev Nutr. 27 (1): 389–414. doi:10.1146/annurev.nutr.26.061505.111329. PMC 2721271. PMID 17444812.
  133. Chandrashekar, J; Kuhn, C; Oka, Y และคณะ (2010-03). "The cells and peripheral representation of sodium taste in mice". Nature. 464 (7286): 297–301. doi:10.1038/nature08783. PMC 2849629. PMID 20107438. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help); ใช้ et al. อย่างชัดเจน ใน |authors= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  134. Laugerette, F; Passilly-Degrace, P; Patris, B และคณะ (2005-11). "CD36 involvement in orosensory detection of dietary lipids, spontaneous fat preference, and digestive secretions". The Journal of Clinical Investigation. 115 (11): 3177–84. doi:10.1172/JCI25299. PMC 1265871. PMID 16276419. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help); ใช้ et al. อย่างชัดเจน ใน |authors= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  135. Abumrad, NA (2005-11). "CD36 may determine our desire for dietary fats". The Journal of Clinical Investigation. 115 (11): 2965–7. doi:10.1172/JCI26955. PMC 1265882. PMID 16276408. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  136. Boring, Edwin G. (1942), Sensation and Perception in the History of Experimental Psychology, Appleton Century Crofts, p. 453
  137. Deshpande, D. A.; Wang, W. C. H.; McIlmoyle, E. L.; Robinett, K. S.; Schillinger, R. M.; An, S. S.; Sham, J. S. K.; Liggett, S. B. (2010). "Bitter taste receptors on airway smooth muscle bronchodilate by localized calcium signaling and reverse obstruction". Nature Medicine. 16 (11): 1299–1304. doi:10.1038/nm.2237. PMC 3066567. PMID 20972434.

แหล่งอ้างอิงอื่น

  • Chaudhari, N; Roper, SD (2010). "The cell biology of taste". J. Cell Biol. 190 (3): 285-96. doi:10.1083/jcb.201003144. PMC 2922655. {{cite journal}}: |ref=harv ไม่ถูกต้อง (help) สิ่งพิมพ์เผยแพร่เข้าถึงแบบเปิด อ่านได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
  • Saladin, KS (2010a). "16.3 The Chemical Senses". Anatomy and Physiology: The Unity of Form and Function (5th ed.). New York: McGraw-Hill. pp. 595-597 (611-613). ISBN 978-0-39-099995-5.
  • "15 - The Chemical Senses". Neuroscience (4th ed.). Sinauer Associates. 2008a. pp. 363, 381–393. ISBN 978-0-87893-697-7. {{cite book}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |editors= ถูกละเว้น แนะนำ (|editor=) (help)
  • Buck, Linda B; Bargmann, Cornelia I (2013a). "32 - Smell and Taste: The Chemical Senses". Principles of Neural Science (5th ed.). United State of America: McGraw-Hill. pp. 712–735. ISBN 978-0-07-139011-8. {{cite book}}: |ref=harv ไม่ถูกต้อง (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |editors= ถูกละเว้น แนะนำ (|editor=) (help)
The Senses: A Comprehensive Reference (2008)
  • Gold, MS; Caterina, MJ (2008). 5.04 Molecular Biology of the Nociceptor/Transduction. The Senses: A Comprehensive Reference. Vol. 5: Pain. Elsevier. {{cite book}}: |ref=harv ไม่ถูกต้อง (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |editors= ถูกละเว้น แนะนำ (|editor=) (help)

แหล่งข้อมูลอื่น