วิกฤตเกาหลี พ.ศ. 2556
วิกฤตเกาหลี พ.ศ. 2556 | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ การแบ่งประเทศเกาหลี | |||||||
ประเทศในคาบสมุทรเกาหลี: เกาหลีเหนือสีส้มและเกาหลีใต้สีฟ้า เมืองหลวงทั้ง 2 ประเทศ คือ กรุงเปียงยางและโซล ซึ่งแสดงจุดสีแดง | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
วิกฤตเกาหลี พ.ศ. 2556 หรือ วิกฤตการณ์เกาหลีเหนือ เป็นความตึงเครียดรอบใหม่ระหว่างเกาหลีเหนือ กับเกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น โดยเริ่มต้นจากเกาหลีเหนือปล่อยดาวเทียมควังมย็องซ็อง-3 ยูนิต 2 เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555 และการทดลองนิวเคลียร์เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 วิกฤตการณ์นี้มีลักษณะเป็นการยกระดับวาทศิลป์โดยรัฐบาลเกาหลีเหนือใหม่ภายใต้คิม จ็อง-อึน และการกระทำที่ส่อการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ต่อเกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกาในอนาคตอันใกล้[2]
เบื้องหลัง
[แก้]การปล่อยดาวเทียมควังมย็องซ็อง-3 ยูนิต 2
[แก้]วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555 เพื่อเป็นการรำลึกวันคล้ายวันเกิดครบ 100 ปีของคิม อิลซุง ผู้ก่อตั้งเกาหลีเหนือ ได้มีการปล่อยดาวเทียม ชื่อ ควังมย็องซ็อง-3 สู่อวกาศ
จากนั้น สหรัฐอเมริกาแถลงตอบโต้การกระทำของเกาหลีเหนือทันที คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้อนุมัติบทลงโทษใหม่กับเกาหลีเหนือในการปกปิดการทดสอบขีปนาวุธ เหตุการณ์นี้ได้สร้างความวิตกเป็นอย่างมากสื่อหลายสำนักทั่วโลกรวมทั้งจีน รัสเซีย และญี่ปุ่นได้รายงานข่าวว่าเกาหลีเหนือได้เข้าร่วมกลุ่มประเทศที่สามารถผลิตและส่งดาวเทียมในโลก กองบัญชาการป้องกันห้วงอากาศ-อวกาศอเมริกาเหนือ (North American Aerospace Defense Command) รายงานว่าทั้งดาวเทียมและชิ้นส่วนที่ลอยอยู่บนอวกาศ "มิได้เป็นปัจจัยคุกคามความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา"
รัฐบาลเกาหลีกล่าวว่าการปล่อยครั้งนี้เป็นเพียงการนำดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรและปฏิเสธว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางการทหาร ในวันที่ 22 มกราคม รัฐบาลเกาหลีเหนือเดินหน้าจดทะเบียนกับสหประชาชาติ โดยแถลงว่าดาวเทียมดังกล่าวเป็นดาวเทียมสังเกตการณ์ ซึ่งออกแบบมาเพื่อตรวจสอบพืชผล ทรัพยากรป่าไม้และภัยพิบัติธรรมชาติของโลก ที่มีคาบเวลาโหนด (nodal period) 95 นาที 25 วินาที
กระนั้น ชาติส่วนใหญ่ในโลกประณามการกระทำดังกล่าว แม้กระทั่งจีน ซึ่งตามสนธิสัญญาทางทหารกำหนดให้ป้องกันเกาหลีเหนือในกรณีถูกรุกราน นอกเหนือจากนั้น คู่ปรับแต่อดีตของเกาหลีเหนือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้อ้างว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการทดสอบทางทหารเพื่อเตรียมทำสงคราม โดยมีภารกิจเดียว คือ ยั่วยุคู่ปรับทางการเมือง
หลังการปล่อย ชาวเกาหลีเหนือเฉลิมฉลองเหตุการณ์ดังกล่าว วันรุ่งขึ้น เกาหลีเหนือจัดการเฉลิมฉลองครั้งมโหฬารในจัตรุสกรุงเปียงยางเพื่อแสดงว่าปฏิบัติการดังกล่าวดำเนินไปสำเร็จอย่างไร
วิธีการบังคับของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
[แก้]หลังการปล่อยดาวเทียมครั้งนั้น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจัดการประชุมเพื่อถกเหตุการณ์ดังกล่าว ตามคำร้องของญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้ ผลคือ คณะมนตรีฯ ออกคำแถลงประธานาธิบดีซึ่งสมาชิกคณะมนตรีฯ 15 ประเทศรู้สึกว่าการปล่อยดังกล่าวเป็นการทดสอบขีปนาวุธ
ท้ายสุด วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556 คณะมนตรีฯ สรุปว่าจะลงโทษเกาหลีเหนือจากการปล่อยดาวเทียม ซึ่งคณะมนตรีฯ พิจารณาว่าเป็นการทดสอบขีปนาวุธ ฝ่ายเกาหลีเหนือปฏิเสธว่าวิธีการบังคับของคณะมนตรีฯ ถูกกำหนดภายใต้การสนับสนุนของสหรัฐอเมริกาเพื่อรบกวนการพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของเกาหลีเหนือ โดยกล่าวว่า เทคโนโลยีจรวดซึ่งใช้ปล่อยดาวเทียมเป็นแบบเดียวกับที่ใช้กับขีปนาวุธ
การตอบสนองของเกาหลีเหนือ
[แก้]หลังจากที่คณะมนตรีฯ มีบทลงโทษเกาหลีเหนือ ในวันที่ 23 มกราคม รัฐบาลเกาหลีเหนือประกาศจะยังทดลองต่อไป ไม่เพียงแต่ทุ่มเทกับขีปนาวุธเท่านั้น แต่ชัดเจนว่ามีความพยายามจะเอื้อวัตถุประสงค์อาวุธนิวเคลียร์ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เกาหลีเหนือยังข่มขู่สหรัฐอเมริกาโดยตรง ว่าสามารถยิงขีปนาวุธพิสัยไกลถล่มสหรัฐอเมริกาได้
เราไม่ปิดบังว่าเราจะปล่อยดาวเทียมและจรวดพิสัยไกล และดำเนินการทดสอบนิวเคลียร์ในระดับสูงกว่าต่อไป การต่อสู้ระยะใหม่ต่อสหรัฐอเมริกา ศัตรูอาฆาตของชาวเกาหลี
รัฐบาลเกาหลีเหนือกล่าวหาสหรัฐอเมริกาที่สหประชาชาติ ว่ากำลังนำ "ขบวนการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนต่อเกาหลีเหนือ" โดยวิธีการบังคับใหม่และประวิงความพยายามของรัฐบาลที่จะพัฒนาเศรษฐกิจ โทรทัศน์ของรัฐยังกล่าวว่า "นี่ได้พิสูจน์อีกครั้งแล้วว่าเกาหลีเหนือต้องปกป้องเอกราชด้วยตนเอง ได้มาประจักษ์แล้วว่าไม่อาจมีการทำให้คาบสมุทรเกาหลีปลอดทหารได้ก่อนที่โลกจะปลอดนิวเคลียร์"
ลำดับเหตุการณ์
[แก้]มกราคม พ.ศ. 2556
[แก้]ในวันที่ 1 มกราคม คิม จ็อง-อึน อวยพรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ผ่านสถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลเพื่อความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับเกาหลีใต้[3][4]
ในการตอบโต้ต่อการอนุมัติของมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติซึ่งประณามการยิงจรวดที่ประสบความสำเร็จครั้งล่าสุดของพวกเขาและกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงยิ่งขึ้น เกาหลีเหนือแถลงในวันที่ 24 มกราคม ว่ามีความมุ่งมั่นที่จะพุ่งเป้าไปที่สหรัฐอเมริกาในขีปนาวุธและโครงการนิวเคลียร์ คำแถลงได้เรียกสหรัฐอเมริกาว่า"ศัตรูคู่อาฆาตของประชาชนเกาหลี"[5]
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
[แก้]ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ เกาหลีเหนือดำเนินการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ซึ่งถูกประณามอย่างกว้างขวางจากนานาประเทศ สามวันต่อมาในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เกาหลีเหนือแจ้งจีนว่าจะดำเนินการทดลองนิวเคลียร์ต่อหนึ่งหรือสองครั้งในปี พ.ศ. 2556[6]
มีนาคม พ.ศ. 2556
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
เมษายน พ.ศ. 2556
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
พฤษภาคม พ.ศ. 2556
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
มิถุนายน พ.ศ. 2556
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
สิงหาคม พ.ศ. 2556
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "Abe ordena adoptar "todas las medidas posibles" para defender a Japón de las amenazas norcoreanas" (ภาษาสเปน). Europapress.es. 2013-04-06. สืบค้นเมื่อ 2013-04-14.
- ↑ MacAskill, Ewen (March 29, 2013). "US warns North Korea of increased isolation if threats escalate further". Washington, D.C.: The Guardian. สืบค้นเมื่อ April 5, 2013.
- ↑ New Year Address Made by Kim Jong Un( เก็บถาวร 2013-04-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน)
- ↑ Lucy Williamson (January 1, 2013). "North Korea's Kim Jong-un makes rare new year speech". BBC. สืบค้นเมื่อ April 5, 2013.
- ↑ Sanger, David (January 24, 2013). "North Korea Issues Blunt New Threat to United States". The New York Times. สืบค้นเมื่อ January 24, 2013.
- ↑ Lim, Benjamin Kang (February 15, 2013). "North Korea tells China of preparations for fresh nuclear test". Beijing: Reuters. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-03-31. สืบค้นเมื่อ April 5, 2013.