กระแสเกาหลี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก คลื่นเกาหลี)
องค์ประกอบต่าง ๆ ของวัฒนธรรมเกาหลีร่วมสมัย จากบนลงล่าง: คนแต่งคอสเพลย์จากเรื่องสควิดเกม เล่นลุ้นตาย, ห้องน้ำจากภาพยนตร์ชนชั้นปรสิต, ต็อกโบกี, กิมจิ, ไก่ทอดเกาหลี, ซัมซุง กาแลคซี เจ6, ชายในชุดฮันบก, อิม ยุน-อาจากเกิลส์เจเนอเรชัน

กระแสเกาหลี (เกาหลี한류; ฮันจา韓流; อาร์อาร์Hallyu; lit. กระแส/คลื่นเกาหลี) หรือ คลื่นเกาหลี[1] (อังกฤษ: Korean Wave) เป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่ทั่วโลกนิยมวัฒนธรรมร่วมสมัยของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1990 ความสนใจต่อวัฒนธรรมเกาหลีทั่วโลกได้รับอิทธิพลหลักมาจากการแพร่กระจายของเคป็อปและละครเกาหลี โดยความสำเร็จที่สำคัญได้แก่ โบอา, บีทีเอส และเพลง "คังนัมสไตล์" ของไซ เช่นเดียวกันกับ แดจังกึม จอมนางแห่งวังหลวง, เพลงรักในสายลมหนาว และ สควิดเกม เล่นลุ้นตาย กระแสเกาหลีได้รับการรับรองเป็นรูปแบบหนึ่งของอำนาจอ่อน และเป็นสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของเกาหลีใต้ โดยสร้างรายได้ทั้งจากการส่งออกและการท่องเที่ยว[2][3]

หลังวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย ค.ศ. 1997 และการตรวจพิจารณาอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ของฝ่ายทหารสิ้นสุดลง เกาหลีใต้จึงกลายเป็นผู้ส่งออกวัฒนธรรมสมัยนิยมรายใหญ่ หลังการเพิ่มขึ้นของสื่อดาวเทียมในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 กระแสเกาหลีช่วงแรกขับเคลื่อนด้วยการเผยแพร่ละครและภาพยนตร์เกาหลีเข้าสู่จีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางพื้นที่ นักข่าวจีนเป็นผู้คิดคำศัพท์ "กระแสเกาหลี" ครั้งแรกใน ค.ศ. 1999 ภายใต้ชื่อ หานหลิว (จีน: 韩流; พินอิน: hánliú; แปลตรงตัว: "คลื่นเกาหลี") ซึ่งสื่อถึงความสำเร็จของรายการโทรทัศน์เกาหลีใต้ในประเทศจีน จากนั้นในคริสต์ทศวรรษ 2000 ฮัลลยูจึงพัฒนาเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก โดยขยายตัวอย่างรวดเร็วเข้าสู่เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก ต่อมาใน ค.ศ. 2008 มูลค่าการส่งออกทางวัฒนธรรมของเกาหลีใต้แซงหน้ามูลค่าการนำเข้าทางวัฒนธรรมเป็นครั้งแรก[4] การขยายตัวนี้ได้รับแรงหนุนจากการถือกำเนิดของสื่อสังคมและอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการทำให้วงการบันเทิงเกาหลีเข้าถึงผู้ชมในต่างประเทศ รวมถึงการที่รัฐบาลเกาหลีใต้สนับสนุนปรากฏการณ์นี้ด้วย

ในประเทศไทย กระแสเกาหลีเริ่มต้นในราว ค.ศ. 2001 จากความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่อง ยัยตัวร้ายกับนายเจี๋ยมเจี้ยม[5] จากนั้นในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2005 เมื่อช่อง 3 ได้นำละครโทรทัศน์เรื่อง แดจังกึม จอมนางแห่งวังหลวง เข้ามาฉาย ประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จนกลายเป็นปรากฏการณ์ ทำให้สถานีโทรทัศน์ช่องต่าง ๆ ได้ซื้อลิขสิทธิ์ละครโทรทัศน์เกาหลีมาฉายแข่งขันกัน[6][7] จนกระทั่งในราวต้นปี ค.ศ. 2014 กระแสเกาหลีในประเทศไทยเริ่มสร่างซาลง มีการวิเคราะห์กันว่าวัฒนธรรมญี่ปุ่นจะหวนกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง[8]

ผลของกระแสเกาหลีทำให้มีการให้ความสนใจอุตสาหกรรมวัฒนธรรมเกาหลีแบบใหม่อย่างมาก เช่น การใช้สัญญาทาสในอุตสาหกรรมไอดอลและการแพร่กระจายของการค้ามนุษย์ทางเพศในเรื่องอื้อฉาวเบิร์นนิงซัน[9][10][11][12] มีหลายรายการและบุคคลในอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีที่ถูกวิจารณ์ว่ามีคตินิยมเชื้อชาติ, การเลือกปฏิบัติตามผิวสี และกีดกันผู้หญิง ในขณะที่การฆ่าตัวตายของนักแสดงเกาหลีที่มีชื่อเสียงจำนวนมากเน้นย้ำถึงสภาพการทำงานที่โหดร้ายของอุตสาหกรรมนี้[13][14] นอกจากนี้ ผู้ชมชาวเกาหลีพินิจพิเคราะห์ละครย้อนยุคเกาหลีมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในด้านการปฏิเสธประวัติศาสตร์ (historical negationism) และการพรรณนาประวัติศาสตร์เกาหลีที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งทำให้ละคร สโนว์ดรอป ถูกคว่ำบาตร และละคร Joseon Exorcist ถูกยกเลิก[15][16]

ศัพทมูลวิทยา[แก้]

ศัพท์ ฮัลลยู (เกาหลี: 한류; ฮันจา: 韓流) เป็นคำสร้างใหม่ที่มาจากรากศัพท์ 2 ราก ได้แก่ ฮัน (; ) หมายถึง "เกาหลี" และ รีว (; ) หมายถึง "คลื่น" หรือ "กระแส"[17]: 419  ในวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1999 Beijing Youth Daily ตีพิมพ์บทความที่มีคำว่า "กระแสเกาหลี" (จีนตัวย่อ: 韩流; จีนตัวเต็ม: 韓流; พินอิน: hánliú; แปลตรงตัว: "คลื่นเกาหลี") แบบแรกในบทความที่กล่าวถึง "ความกระตือรือร้นของผู้ชมชาวจีนต่อละครโทรทัศน์และเพลงป็อปเกาหลี"[18] ในประเทศจีน ก็มีการใช้คำว่า "ไข้ฮัน" ด้วยการนำปรากฏการณ์ไปเทียบกับโรคไข้หวัดนกที่แพร่ระบาดในประเทศ[19] คำนี้เข้าสู่การใช้งานแบบทั่วไปหลังการออกอากาศละครรักเกาหลี เพลงรักในสายลมหนาว ซึ่งประสบความสำเร็จในประเทศญี่ปุ่น[20]: 13 

ฮัลลยูสื่อถึงการแพร่กระจายวัฒนธรรมเกาหลีใต้ระหว่างประเทศตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1990 หลังการปกครองของทหารสิ้นสุดลง และการเปิดเสรีอุตสาหกรรมวัฒนธรรม[21] คำนี้โดยหลักหมายถึงการแพร่กระจายของโทรทัศน์ เพลงป็อป ภาพยนตร์ และแฟชั่นเกาหลี แต่คำนี้อาจรวมถึงแอนิเมชัน วิดีโอเกม เทคโนโลยี วรรณกรรม เครื่องสำอาง และอาหารเกาหลีด้วย[22][23][24]: 1  ในขณะที่ฮัลลยูรุ่นแรกในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 ถึงต้นคริสต์ทศวรรษ 2000 ยังคงจำกัดอยู่ในเอเชียและอ้างถึงความนิยมของละครและภาพยนตร์เกาหลีในทวีปนี้ รุ่นที่สอง หรือฮัลลยู 2.0 ได้รับแรงหนุนหลักจากความนิยมเคป็อปที่เผยแพร่ผ่านฐานช่องทางออนไลน์อย่างยูทูบ[25]

คำวิจารณ์[แก้]

ในส่วนของจีน ญี่ปุ่น และไต้หวัน กระแสเกาหลีเผชิญกับการสะท้อนกลับอย่างรุนแรงและมีการนำไปเปรียบเทียบกับจักรวรรดินิยมด้านวัฒนธรรม[26][17]: 422  โดยในประเทศจีนและไต้หวัน กระแสเกาหลีมักถูกเรียกเป็น "การรุกรานทางวัฒนธรรม" และจำกัดจำนวนละครโทรทัศน์เกาหลีให้แก่ผู้ชมชาวจีน[27][26][28] ในงาน Tai Ke Rock Concert เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2005 Chang Chen-yue นักดนตรีชาวไต้หวัน ร้องเพลงแร็ปเหยียดผิวและผู้หญิงชื่อ "The Invasion of the Korean Wave" ซึ่งโจมตีทั้งแพ ยง-จุน, นักดนตรีหญิงชาวไต้หวัน และกระแสเกาหลี[29]

การสะท้อนกลับอย่างรุนแรงต่อกระแสเกาหลีอาจมีรากฐานมาจากลัทธิชาตินิยมหรือความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์[30][31] อุตสาหกรรมเคป็อปก็ถูกวิจารณ์ในด้านการสนับสนุนการเหมารวมคนเอเชียในทางเพศ[17]: 422 

ดูเพิ่ม[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. ""HALLYU" คลื่นความมั่งคั่งของเกาหลี". positioningmag. 2006-02-05. สืบค้นเมื่อ 17 October 2015.[ลิงก์เสีย]
  2. Parc, Jimmyn (2022-08-09). "Korea's cultural exports and soft power: Understanding the true scale of this trend". Asialink (ภาษาอังกฤษ). University of Melbourne. สืบค้นเมื่อ 2023-03-21.
  3. Walsh 2014, p. 21.
  4. Jin 2016, p. 5.
  5. Kim, Audrey (2007-02-22). "Elisha Cuthbert Gets Her Sassy On In Unusual Romantic Comedy". MTV. สืบค้นเมื่อ 2008-05-12.
  6. "ปรากฏการณ์ แดจังกึม... กระหึ่มจอตู้". positioningmag. 2006-02-05. สืบค้นเมื่อ 14 October 2015.[ลิงก์เสีย]
  7. "เกาหลี ฟีเวอร์ ซีรีส์ละครฮิตติดจอตู้". positioningmag. 2006-02-05. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 14 October 2015.
  8. "กระแสซีรีส์เกาหลีหดหาย? ญี่ปุ่นจะวนกลับมาอีก?". ไทยรัฐ. 2014-02-18. สืบค้นเมื่อ 14 October 2015.
  9. Williamson, Lucy (2011-06-15). "The dark side of South Korean pop music". BBC News. สืบค้นเมื่อ 2023-03-21.
  10. Stiles, Matt (2017-12-19). "Death of K-pop star shines a spotlight on South Korea's suicide problem". Los Angeles Times. สืบค้นเมื่อ 2023-03-21.
  11. Tai, Crystal (2020-03-29). "Exploding the myths behind K-pop". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2023-03-21.
  12. Brown, August (5 April 2019). "K-pop's innocent image is shattered by the 'Burning Sun' scandal". Los Angeles Times. สืบค้นเมื่อ 19 March 2022.
  13. Dae-o, Kim (4 January 2020). "I have reported on 30 Korean celebrity suicides. The blame game never changes". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 19 March 2022.
  14. Campbell, Matthew; Kim, Sohee (6 November 2019). "The Dark Side of K-Pop: Assault, Prostitution, Suicide, and Spycams". www.bloomberg.com. สืบค้นเมื่อ 19 March 2022.
  15. Smail, Gretchen (10 February 2022). "This K-Drama Is One Of The Most Controversial Shows On Disney+". Bustle. BDG Media.
  16. Koo, Se-Woong (9 January 2022). "History Becomes Unmentionable in Historical K-Dramas". Korea Exposé. Mediasphere.
  17. 17.0 17.1 17.2 Danico, Mary (2014). Asian American Society: An Encyclopedia. Thousand Oaks, California: SAGE Publishing. doi:10.4135/9781452281889.
  18. Kim, Ji-myung (2012-08-03). "Serious turn for 'hallyu 3.0'". The Korea Times. สืบค้นเมื่อ 2013-03-17.
  19. Leung 2008, p. 59.
  20. K-drama: A New TV Genre with Global Appeal. Korean Culture (ภาษาอังกฤษ). Korean Culture and Information Service. 2011-12-01. ISBN 978-89-7375-167-9.
  21. Kim 2013, p. 4.
  22. Oh 2014, p. 53.
  23. Kim 2013, p. 1.
  24. Park, Hyesu (2020-12-11). Understanding Hallyu: The Korean Wave Through Literature, Webtoon, and Mukbang (ภาษาIndian English). Routledge India. doi:10.4324/9781003140115. ISBN 9781003140115.
  25. Anderson 2014, p. 119.
  26. 26.0 26.1 "Cultural technology and the making of K-pop". The New Yorker (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2012-10-01. สืบค้นเมื่อ 2023-03-16.
  27. Maliangkay, Roald (2006). "When the Korean Wave Ripples" (PDF). IIAS Newsletter. Vol. 42. International Institute for Asian Studies. p. 15.
  28. Yang 2008, p. 191.
  29. Yang 2008, p. 202–203: "Fuck your mother's cunt, fuck your mother's cunt, fuck Bae Yong-joon, Fuck Bae Yong-joon. Yuki, A-mei, Coco Lee, suck suck suck suck my dick."
  30. Cho, Hae-Joang (2005). "Reading the 'Korean Wave' as a Sign of Global Shift". Korea Journal. 45 (4): 147–182. S2CID 14568377.
  31. Nam, Soo-hyoun; Lee, Soo-jeong (16 February 2011). "Anti-Korean Wave Backlash Has Political, Historical Causes". Korea JoongAng Daily. สืบค้นเมื่อ 16 March 2011.

ข้อมูล[แก้]