โชซ็อนโบราณ
โชซ็อนโบราณ | |||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| ?–108 ปีก่อน ค.ศ. | |||||||||||
โชซ็อนโบราณเมื่อ 108 ปีก่อน ค.ศ. | |||||||||||
| เมืองหลวง | นครวังก็อม | ||||||||||
| ภาษาทั่วไป | เยแม็ก (ตระกูลภาษาเกาหลี), ภาษาจีนคลาสสิก (วรรณกรรม) | ||||||||||
| กลุ่มชาติพันธุ์ | เยแม็ก | ||||||||||
| ศาสนา | เชมัน | ||||||||||
| การปกครอง | ราชาธิปไตย | ||||||||||
| กษัตริย์ | |||||||||||
• ? | ทันกุน (องค์แรก) | ||||||||||
• 232? – 220 ปีก่อน ค.ศ.? | พู | ||||||||||
• 220 – 194 ปีก่อน ค.ศ. | ชุน | ||||||||||
• 194 ปีก่อน ค.ศ. – ? | วี มัน | ||||||||||
• ? – 108 ปีก่อน ค.ศ. | วี อูกอ (องค์สุดท้าย) | ||||||||||
| ยุคประวัติศาสตร์ | โบราณ | ||||||||||
• สถาปนา | ? | ||||||||||
• รัฐประหารโดยวี มัน | 194 ปีก่อน ค.ศ. | ||||||||||
| 109–108 ปีก่อน ค.ศ. | |||||||||||
• การล่มสลายของนครวังก็อม | 108 ปีก่อน ค.ศ. | ||||||||||
| |||||||||||
| ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ จีน | ||||||||||
| ชื่อเกาหลี | |||||||||||
| ฮันกึล | 고조선 | ||||||||||
| ฮันจา | 古朝鮮 | ||||||||||
| อาร์อาร์ | Gojoseon | ||||||||||
| เอ็มอาร์ | Kojosŏn | ||||||||||
| สัทอักษรสากล | [ko.dʑo.sʌn] | ||||||||||
| ชื่อเกาหลีอีกแบบ | |||||||||||
| ฮันกึล | 조선 | ||||||||||
| ฮันจา | 朝鮮 | ||||||||||
| อาร์อาร์ | Joseon | ||||||||||
| เอ็มอาร์ | Chosŏn | ||||||||||
| สัทอักษรสากล | [tɕo.sʌn] | ||||||||||
อาณาจักรโชซ็อนโบราณ ยังมีอีกชื่อว่า โกโชซ็อน (เกาหลี: 고조선; ฮันจา: 古朝鮮; อาร์อาร์: Gojoseon; เอ็มอาร์: Kojosŏn) และชื่อร่วมสมัยว่า โชซ็อน (เกาหลี: 조선; ฮันจา: 朝鮮; อาร์อาร์: Joseon; เอ็มอาร์: Chosŏn) เป็นอาณาจักรแรกบนคาบสมุทรเกาหลี ตามเทพปกรณัมเกาหลี อาณาจักรนี้สถาปนาโดยพระเจ้าทันกุนในตำนาน โชซ็อนโบราณมีวัฒนธรรมก้าวหน้าที่สุดในคาบสมุทรเกาหลีในขณะนั้น และเป็นเครื่องหมายสำคัญในการก้าวไปสู่การรวมอำนาจรัฐแบบรวมศูนย์ในยุคหลัง ๆ คำว่า โก (고; 古) ซึ่งหมายถึง "เก่า" หรือ "โบราณ" ถูกนำมาใช้ในประวัติศาสตร์นิพนธ์เพื่อแยกอาณาจักรนี้ออกจากราชวงศ์โชซ็อน ซึ่งสถาปนาขึ้นใน ค.ศ. 1392
รายงานจากความทรงจำของสามราชอาณาจักร พระเจ้าทันกุนทรงสถาปนาโชซ็อนโบราณขึ้นเมื่อ 2333 ปีก่อน ค.ศ. กล่าวกันว่าทันกุนกำเนิดจากเจ้าชายฮวานุงแห่งสวรรค์และหญิงสาวผู้เป็นหมีชื่อ Ungnyeo แม้ว่าทันกุนจะเป็นบุคคลในตำนานที่ไม่มีหลักฐานยืนยันการมีตัวตนอยู่จริง[1] แต่บางคนตีความตำนานของพระองค์ว่าเป็นภาพสะท้อนสถานการณ์ทางสังคมวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาในช่วงแรกของอาณาจักร[2] กระนั่น เรื่องราวของทันกุนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอัตลักษณ์ของเกาหลี ปัจจุบัน วันสถาปนาโชซอนโบราณได้รับการเฉลิมฉลองอย่างเป็นทางการเป็นวันสถาปนาชาติในเกาหลีเหนือ[3] และเกาหลีใต้
ข้อมูลบางแหล่งอ้างว่าในศตวรรษที่ 12 ก่อน ค.ศ. หลังสถาปนาโชซ็อนโบราณ จีสื่อ (หรือที่รู้จักกันในชื่อ กีจา) นักปราชญ์ผู้สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ชาง ได้อพยพมายังตอนเหนือของคาบสมุทรเกาหลีและกลายเป็นผู้ก่อตั้งกีจาโชซ็อน[4][5] มีการตีความเกี่ยวกับโชซ็อนโบราณและกีจาโชซ็อนมากมาย รวมถึงข้อถกเถียงเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของกีจาโชซ็อน[6]
ใน 194 ปีก่อน ค.ศ. ราชวงศ์โชซ็อนโบราณถูกโค่นล้มโดยวี มัน (เว่ย์หม่าน ในภาษาจีน) ผู้ลี้ภัยจากรัฐเยียน ซึ่งเป็นรัฐบริวารของราชวงศ์ฮั่น[7][8][9][10][11] ซึ่งต่อมาได้สถาปนาวีมันโชซ็อนขึ้น
เมื่อ 108 ปีก่อน ค.ศ. ราชวงศ์ฮั่นในรัชสมัยจักรพรรดิอู่ เข้ารุกรานและพิชิตวีมันโชซ็อน ราชวงศ์ฮั่นสถาปนาสี่จฺวิ้นเพื่อจัดการบริหารในอดีตดินแดนโชซ็อนโบราณ หลังจักรวรรดิฮั่นแตกสลายในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 3 และศตวรรษที่ 4 อันโกลาหล พื้นที่นี้หลุดพ้นจากการควบคุมของจีนและถูกพิชิตโดยโคกูรยอใน ค.ศ. 313
เมืองหลวงโกโชซ็อนคือวังก็อม (ปัจจุบันคือเปียงยาง) ตั้งแต่อย่างน้อยศตวรรษที่ 2 ก่อน ค.ศ. ในคาบสมุทรเกาหลีตอนใต้ รัฐจินเริ่มปรากฏในศตวรรษที่ 3 ก่อน ค.ศ.[12]
ตำนานก่อตั้ง
[แก้]ตำนานก่อตั้งโชซ็อนโบราณแบบหลักมีสามแบบ ซึ่งเกี่ยวข้องกับทันกุน กีจา หรือวี มัน[13]
ตำนานทันกุน
[แก้]
ตำนานเกี่ยวกับพระเจ้าทันกุนได้รับการบันทึกในซัมกุก ยูซาในคริสต์ศตวรรษที่ 13[14] เรื่องของ พระเจ้าทันกุน นี้ก็คือตำนานพระเจ้าสร้างโลกของ เกาหลี ที่มีคล้ายๆกันกับของชนชาติอื่นๆ ที่เชื่อในเรื่องพระเจ้าสร้างโลกกันมาแต่ยุคสมัยโบราณ ในตำนานกล่าวว่า ทันกุน นั้นสืบเชื้อสายมาจากเสด็จปู่ พระเจ้าฮวานิน ผู้เป็นเทพแห่งสวรรค์ โอรสของ พระเจ้าฮวานิน คือ พระเจ้าฮวานุง ได้ขอประทานให้พระองค์ได้มาอาศัยอยู่บนโลก โดยขอสถานที่ที่มีหมู่บ้านและภูเขา พระเจ้าฮวานิน จึงประทานที่แห่งหนึ่งให้อยู่ทึ่บริเวณภูเขา แทแบก ปัจจุบันคือภูเขาแพกทู หรือ ไป่ถู หรือ ไป่โถว ในภาษาจีน อยู่ตรงพรมแดนกั้นระหว่างประเทศจีนและภาคเหนือของประเทศเกาหลีเหนือ แปลว่า ภูเขาหัวขาว เป็นภูเขาไฟเก่าที่มีทะเลสาบใหญ่ ปากปล่องภูเขาไฟอยู่บนยอดเขา พระเจ้าฮวานินยังได้มอบคนจำนวน 3000 คน มาเป็นข้ารับใช้พระเจ้าฮวานุงอีกด้วย พระเจ้าฮวานุงก่อร่างสร้างเมืองขึ้นจากดินแดนแห่งนั้น โดยตั้งชื่อว่า ซินซี แปลว่าเมืองแห่งเทพ โดยได้บันดาลให้เกิดมีเมฆ ลม และฝน แล้วสอนให้ผู้คนของพระองค์ทั้งหมดให้รู้จักกับศาสตร์และศิลป์ต่างๆ รวมถึงการเพาะปลูก และยังได้ออกกฎหมายเพื่อปกครองข้าแผ่นดินอย่างเป็นสุข
ที่ถ้ำแห่งหนึ่งในหุบเขานั้น มีเสือและหมีคู่หนึ่งเฝ้าบำเพ็ญภาวนาขอให้ พระเจ้าฮวานุง ดลบันดาลให้ทั้งสองได้กลายร่างเป็นคน เมื่อพระเจ้าฮวานุงรับทราบถึงคำภาวนาของเสือและหมีคู่นี้ จึงได้รับสั่งให้ทั้งสองเข้าเฝ้า พระเจ้าฮวานุงได้ประทานกระเทียม 20 กลีบ กับหญ้า 1 มัด โดยสั่งให้นำอาหารศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองอย่างนี้ไปรับประทานตลอด 100 วัน และหลีกเลี่ยงให้พ้นจากแสงอาทิตย์ หลังจากที่รับประทานอาหารทิพย์ได้นาน 21 วัน เจ้าหมีก็กลายร่างเป็นหญิงสาว ส่วนเจ้าเสือนั้นก็ยังคงอยู่ในถ้ำร่างเดิม
เจ้าหมีได้เป็นมนุษย์สมใจ จึงรู้สึกสำนึกในบูญคุณ แล้วถวายตัวเป็นข้ารับใช้ พระเจ้าฮวานุง อยู่ต่อมา หญิงสาวก็เฝ้าอธิษฐานขอให้ตนมีบุตร พระเจ้าฮวานุง ทราบความอีก จึงรับนางเป็นชายาของพระองค์จากนั้นก็ตั้งครรภ์ และให้กำเนิดโอรสเป็น ทันกุน ทันกุนได้สืบต่อบัลลังก์กษัตริย์ต่อจากพระบิดาในปีที่ 50 ในรัชสมัยพระเจ้าเหยา (พระเจ้าเหยาคือ 1 ใน 5 กษัตริย์ดึกดำบรรพ์ผู้สร้างประเทศจีน)
แม้ว่าเรื่องราวทันกุนถือว่าเป็นเพียงเรื่องปรัมปรา[1] เชื่อกันว่าเรื่องนี้เป็นการผสมผสานตำนานเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการก่อตั้งโชซ็อนโบราณ[15] โดยมีทฤษฎีเกี่ยวกับต้นกำเนิดตำนานนี้หลายแบบ[16] Seo และ Kang (2002) เชื่อว่าตำนานทันกุนมีพื้นฐานมาจากการรวมกันของชนเผ่าที่แตกต่างกันสองเผ่า ได้แก่ เผ่ารุกรานซึ่งบูชาท้องฟ้าในยุคสัมฤทธิ์ และเผ่าท้องถิ่นซึ่งบูชาหมีในยุคหินใหม่ นำไปสู่การก่อตั้งโชซ็อนโบราณ[17] Lee K. B. (1984) เชื่อว่า 'ทันกุนวังก็อม' เป็นบรรดาศักดิ์ที่ผู้นำยุคต่อมาของโชซ็อนโบราณนำมาใช้[18]
ตำนานกีจา
[แก้]กีจา บุคคลในสมัยราชวงศ์ชาง ถูกอ้างว่าหนีเข้าคาบสมุทรเกาหลีใน ค.ศ. 1122 หลังราชวงศ์ชางล่มสลายเปลี่ยนผ่านไปยังราชวงศ์โจว และสถาปนากีจาโชซ็อน[19] กีจาโชซ็อนได้รับการรับรองและกล่าวถึงในสามก๊กจี่ ตำราจีน ไม่มีข้อมูลเกาหลีร่วมสมัยอันใดที่กล่าวถึงกีจาโชซ็อน และข้อมูลเก่าสุดที่ผลิตในเกาหลีมาจากราชวงศ์โครยอ บันทึกเกาหลีแรกสุดของเกาหลีที่พูดถึงกีจาโชซ็อนมาจากซัมกุก ยูซา[a][20]
ผู้เชี่ยวชาญสมัยใหม่หลายคนปฏิเสธการมีอยู่ของกีจาโชซ็อนด้วยเหตุผลหลายประการ โดยหลักแล้วเป็นเพราะหลักฐานทางโบราณคดีที่ขัดแย้งกันและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ผิดกาละ[21][22] พวกเขาชี้ไปที่ จู๋ชูจี้เหนียน และ หลุน-ยฺหวี่ ของขงจื๊อ ซึ่งเป็นหนึ่งในผลแรกช่วงแรก ๆ ที่กล่าวถึงกีจา แต่ไม่ได้กล่าวถึงการอพยพไปยังโชซ็อนโบราณ[23] กีจาโชซ็อนอาจปรากฏเป็นสัญลักษณ์ของผู้อพยพก่อนราชวงศ์ฉินที่หลบหนีความโกลาหลในยุครณรัฐ[24]
วี มัน
[แก้]วี มัน เป็นขุนพลแห่งรัฐเยียนทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนที่หลบหนีจากราชวงศ์ฮั่นที่ขยับเข้ามา ไปยังคาบสมุทรเกาลีตอนเหนือใน 195 ปีก่อน ค.ศ.[14] เขาสถาปนาราชรัฐโดยมีวังก็อมซ็องเป็นเมืองหลัก ซึ่งคาดว่าอยู่ในภูมิภาคเปียงยางในปัจจุบัน[14] Weilüe ใน สามก๊กจี่ บันทึกว่าวี มันเข้ายึดอำนาจพระเจ้าชุน และเข้าครองเป็นกษัตริย์โชซ็อนโบราณ[14][25]
สร้างอาณาจักร
[แก้]
การกล่าวถึงเมืองโชซ็อนโบราณครั้งแรกพบในบันทึกประวัติศาสตร์กว๋านจื่อ ซึ่งระบุว่าเมืองโชซ็อนโบราณเก่าตั้งอยู่บริเวณอ่าวปั๋วไห่ และกล่าวถึงการค้าขายระหว่างรัฐกับรัฐฉี (齊) ของจีน[26] จ้านกั๋วเช่อ, ชานไห่จิง และฉื่อจี้—มีบันทึกบางส่วนในยุคแรกสุด — กล่าวถึงโชซ็อนว่าเป็นภูมิภาค จนกระทั่งตำรา ฉื่อจี้ ที่เริ่มกล่าวถึงภูมิภาคดังกล่าวว่าเป็นประเทศตั้งแต่ 195 ปีก่อน ค.ศ. เป็นต้นมา[27]
โคโจซ็อน
[แก้]ชื่อโคโจซ็อนนี้กำหนดขึ้นโดยนักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ ตามตำนานการสร้างประเทศเกาหลีกล่าวว่า เกาหลีในยุคสมัยเริ่มแรกเรียกว่าโชซ็อน แต่ในประวัติศาสตร์ยุคสมัยสุดท้ายก่อนที่เกาหลีจะเข้าสู่ยุคสมัยใหม่นั้นก็เรียกว่า โชซ็อน เช่นกัน จึงต้องมีการแบ่งแยกยุคสมัยทั้งสองออกจากกัน โชซ็อน ยุคแรกจึงต้องเรียกว่า โคโจซ็อน ซึ่งคำว่า โก แปลว่า เก่า หรือ โบราณ รวมกันจึงหมายถึง โชซ็อนโบราณ สมัยโคโจซ็อนนี้นับตั้งแต่ปี 1790 ก่อน พุทธศักราช จนกระทั่งถึง พ.ศ. 435 ในทางโบราณคดีนั้นจัดยุคสมัยโคโจซ็อนนี้อยู่ในยุคสำริด แต่ก้าวเข้าสู่ยุคเหล็กในช่วงปลายยุค จากหลักฐานที่ค้นพบเครื่องมือเครื่องใช้และถ้วยชามต่างๆ ของผู้คนในสมัยโคโจซ็อนก็บ่งบอกเช่นนั้น
ชาวโคโจซ็อนมีวัฒนธรรมของชุมชนที่ยังชีพด้วยการเพาะปลูก ในบันทึกของชาวจีนเคยมีการบันทึกและกล่าวถึงชาวโคโจซ็อนในสมัยราชวงศ์โจว และเรียกโคโจซ็อนว่าเป็นกลุ่มพวก นักรบคนเถื่อนแห่งตะวันออก ซึ่งในสมัยราชวงศ์โจว นี้มีกลุ่มชาวจีนเรียกว่าคนเถื่อนอยู่มากมายหลายกลุ่มที่อาศัยอยู่นอกเขตแดนที่ราบภาคกลางของจีน ซึ่งเป็นชนเผ่าเรร่อนอาศัยอยู่ในแถบมองโกเลียและแมนจูเรีย โคโจซ็อนที่มีเขตแดนติดต่อกับแมนจูเรีย จึงถูกเรียกรวมไปว่าเป็นพวกคนเถื่อน ถึงแม้ชาวโคโจซ็อนจะไม่ได้เป็นพวกเร่ร่อนก็ตาม
ในบันทึกของแคว้นฉี สมัยราชวงศ์โจวก็มีบันทึกถึงการติดต่อระหว่างแคว้นฉีและชาวโคโจซ็อน แคว้นนี้ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามระหว่างทะเลป๋อไห่กับโคโจซ็อน และยังปรากฏอีกว่าในระหว่างเกิดสงครามระหว่างรัฐขึ้นในจีนปลายสมัยราชวงศ์โจว ช่วงระหว่าง พ.ศ. 68 ถึง พ.ศ. 322 คนจากแคว้นเอี๋ยนที่เป็นเขตติดต่อกันกับโคโจซ็อน ก็อพยพหลั่งไหลทะลักเข้าไปในโคโจซ็อนอย่างมากมายด้วยเช่นกัน
ในบันทึกประวัติศาสตร์อีกเล่มของเกาหลีที่มีชื่อว่า ฮวานดาน โกกิ อันเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ที่แตกต่างออกไปจากประวัติศาสตร์ทั่วไป ซึ่งกำลังได้รับการถกเถียงจากนักประวัติศาสตร์ทั่วไปถึงความถูกต้องบันทึกว่า หลังจากยุคสมัยของดันกุน วังกอม แล้วกษัตริย์ที่สืบบัลลังก์เป็นโอรสของพระองค์คือ ดันกุน ปูรู ขึ้นสืบต่อในปี 1697 ก่อนพุทธศักราช ก่อนที่ดันกุน ปูรู จะขึ้นเป็นกษัตริย์ เคยได้รับสั่งจากพระบิดาให้เดินทางไปเมืองจีนเพื่อไปพบกับเซี่ยหยู ซึ่งในระหว่างนั้นกำลังแก้ปัญหาเรื่องน้ำท่วมให้กับพระเจ้าซุ่น ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายในตำนาน 5 กษัตริย์ยุคโบราณของจีน และดันกุน ปูรู นี่เองเป็นผู้บอกวิธีการสร้างฝายทดน้ำให้แก่เซี่ยหยู เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชน จนต่อมาเซี่ยหยูได้รับสืบเป็นกษัตริย์ต้นราชวงศ์เซี่ย ราชวงศ์แรกของจีน ซึ่งหากยืนตามบันทึกแล้ว ก็ยังคงอิงกับตำนานเทพเจ้าเกาหลีเรื่อง พระเจ้าสร้างโลกด้วยเช่นกัน ยังกล่าวถึงยุคสมัยโคโจซ็อนว่ากษัตริย์สืบต่อกันถึง 45 พระองค์ จากปี 1790 ก่อนพุทธศักราช ถึงปี พ.ศ. 306
ในบันทึกประวัติศาสตร์ทางฝ่ายจีน ได้มีการกล่าวถึงเรื่องของจี้จื่อ ที่ในประวัติศาสตร์ฝ่ายเกาหลีเรียกว่า กีจา ได้เดินทางไปยังโคโจซ็อนในพ.ศ. 36 และยังได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ปกครองโคโจซ็อนต่อมาด้วยเช่นกัน ในประวัติศาสตร์จีนกล่าวถึงจี้จื่อว่าเป็นพระอาจารย์ของกษัตริย์ติ้ซิง กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซางกษัตริย์พระองค์นี้เป็นกษัตริย์ทรราช จี้จือถูกจับคุมขังด้วยความไม่พอใจส่วนตัวของกษัตริย์ ต่อมาเมื่อราชวงศ์ซางล่มสลาย โจวอู่หวังผู้โคนล้มราชวงศ์ซางได้ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์โจว จึงได้ปลดปล่อยจี้จื่อออกมา และเนรเทศออกจากแผ่นดินจีน จี้จื่อจึงได้พาคนจำนาน 5000 คน ออกจากจีน เดินทางมุ่งหน้าขึ้นเหนือ จนกระทั่งมาสุดที่ดินแดนหนึ่งที่เรียกว่า เจ่าเซียน ซึ่งก็คือ โคโจซ็อน และด้วยความรู้ที่มีมากมาย จึงได้รับตำแหน่งเป็นขุนนางที่นั้น จี้จื่อได้เป็นผู้สอนให้ชาวโคโจซ็อนได้เรียนรู้กับวัฒนธรรมของชาวจีน กระทั่งต่อมา จี้จื่อได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของชาวโคโจซ็อน เป็นต้นราชวงศ์จี้จื่อ หรือ กีจาโจซอน
ในเรื่องของชาวจีนที่ไปเป็นกษัตริย์ปกครองโคโจซ็อนนี้ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ของเกาหลีในสองยุคสมัย จึงมักทำให้สับสนว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในยุคสมัยใดกันแน่ เหตุการณ์แรกคือเรื่องของ จี้จื่อ หรือ กีจา นี้เกิดในช่วงของโคโจซ็อนยุคกลาง ตรงกับยุคสมัยราชวงศ์โจว แต่อีกเหตุการณ์หนึ่งนั้นเกิดขึ้นสมัยโคโจซ็อนยุคปลาย ซึ่งตรงกับยุคสมัยราชวงศ์ฮั่นของจีน เหตุการณ์ครั้งหลังนี้ยังนำมาสู่การก่อตั้งอาณาจักรแห่งใหม่ขึ้นอีกแห่งทางตอนใต้ของคาบสมุทรเกาหลี ในประวัติศาสตร์ช่วงหลังนี้กล่าวถึงขุนพลชาวจีนผู้หนึ่งนามว่า เหว่ยมั่ง ในพ.ศ. 349 เหว่ยมั่งเป็นขุนพลจากแคว้นเอี๋ยน ที่ลี้ภัยเข้าไปอยู่ในอาณาจักรโคโจซ็อน แล้วเข้ารับใช้กษัตริย์จุน ที่ปกครองโคโจซ็อนในขณะนั้น
เหว่ยมั่ง ได้รับคำสั่งไปป้องกันเขตแดนทางด้านตะวันตก แต่เขากลับก่อกบฏ นำกองทัพกลับมายึดอำนาจของกษัตริย์จุน และตั้งตนขึ้นเป็นกษัตริย์เสียเอง แล้วก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ขึ้นปกครองโคโจซ็อน ชื่อ เหว่ยมั่งโจซอน หลังจากถูกยึดอำนาจ กษัตริย์จุนกับทหารจำนวนหนึ่งหลบหนีลงไปทางใต้ และได้ตั้งอาณาจักรแห่งใหม่ ขึ้นตรงบริเวณเมืองอิกซาน ในจังหวัดเจียลลา เกาหลีใต้ปัจจุบัน โดยเรียกอาณาจักรใหม่แห่งนี้ว่าอาณาจักรฮัน
โคโจซ็อนในสมัยเหว่ยมั่งนี้มีการขยายอาณาเขตออกไปกว้างขวางขึ้นอีก และเพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากจีนเหว่ยมั่งได้ผูกสัมพันธ์กับชนเผ่าซ่งหนู อันเป็นเผ่าเร่รอนที่อาศัยอยู่ในแมนจูเรียจากนั้นก็พยายามติดต่อกับแคว้นอื่นๆ ในจีน ราชวงศ์ของเหว่ยมั่งสืบต่อมาจนกระทั่งถึง พ.ศ. 434 ในสมัยของหยูฉู่ ซึ่งเป็นรุ่นหลานขึ้นมาเป็นกษัตริย์ปกครอง ในขณะนั้นจีนอยู่ในยุคสมัยของกษัตริย์ ฮั่นหวูตี้ พระเจ้าฮั่นหวูตี้ได้นำกองทัพเข้าโจมตีโคโจซ็อน สงครามดำเนินไปอยู่จนกระทั่งอีกปีต่อมา ในที่สุดเมืองหลวงวังกอมซองก็ถูกยึดโดยกองทัพราชวงศ์ฮั่น ราชวงศ์เหว่ยมั่งจึงสิ้นสุดลงเพียงเท่านั้นพร้อมกับจุดสิ้นสุดของอาณาจักรโชซ็อนโบราณ ที่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นครั้งแรกของจีนราชวงศ์ฮั่น นับแต่ พ.ศ. 435 ราชวงศ์ฮั่นได้แบ่งอาณาจักรโชซ็อนโบราณออกเป็นสี่แคว้น คือ มณฑลนังนัง มณฑลชินบอน มณฑลอินดุน และมณฑลฮย็อนโท แต่ราชวงศ์ฮั่นได้ปกครองอย่างจริงจังเพียงมณฑลเดียวคือ มณฑลนังนังเพราะเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญ ทำให้แคว้นอื่นๆ ค่อยๆแยกตัวออกไปอย่างอิสระในที่สุด แต่ภายหลังอาณาจักรนังนังก็สามารถกู้เอกราชมาได้ โดยพระเจ้าชอยรี
หมายเหตุ
[แก้]- ↑ No contemporary Korean sources exist for Kija Chosŏn, and the oldest sources produced in Korea about Korean history were from the Goryeo dynasty, as history books made before their times were usually lost, either through war or book burnings. However, Samguk Sagi and Samguk Yusa have some authority as they are said to be compilations of records that were much older than the date those books were published, which were accessible at the time of the project.
อ้างอิง
[แก้]- 1 2
- Seth, Michael J. (2010). A History of Korea: From Antiquity to the Present. Rowman & Littlefield Publishers. p. 443. ISBN 978-0-7425-6717-7.
- "An extreme manifestation of nationalism and the family cult was the revival of interest in Tangun, the mythical founder of the first Korean state... Most textbooks and professional historians, however, treat him as a myth."
- Stark, Miriam T. (2008). Archaeology of Asia. John Wiley & Sons. p. 49. ISBN 978-1-4051-5303-4.
- "Although Kija may have truly existed as a historical figure, Tangun is more problematical."
- Schmid, Andre (2013). Korea Between Empires. Columbia University Press. p. 270. ISBN 978-0-231-50630-4.
- "Most [Korean historians] treat the [Tangun] myth as a later creation."
- Peterson, Mark (2009). Brief History of Korea. Infobase Publishing. p. 5. ISBN 978-1-4381-2738-5.
- "The Tangun myth became more popular with groups that wanted Korea to be independent; the Kija myth was more useful to those who wanted to show that Korea had a strong affinity to China."
- Hulbert, H. B. (2014). The History of Korea. Routledge. p. 73. ISBN 978-1-317-84941-4.
- "If a choice is to be made between them, one is faced with the fact that the Tangun, with his supernatural origin, is more clearly a mythological figure than Kija."
- ↑ "Dangun". Academy of Korean Studies.
- ↑ uriminzokkiri 우리민족끼리 official website of the Democratic People's Republic of Korea
- ↑ Kim, Djun Kil (2014). The History of Korea, 2nd Edition. ABC-CLIO. p. 8. ISBN 9781610695824.
- ↑ Ebrey, Patricia Buckley; Walthall, Anne (2013). Pre-Modern East Asia: A Cultural, Social, and Political History, Volume I: To 1800. Cengage Learning. p. 100. ISBN 9781285546230.
- ↑ 기자조선. terms.naver.com (ภาษาเกาหลี). สืบค้นเมื่อ 2 May 2021.
- ↑ Peterson, Mark (2009). Brief History of Korea. Infobase Publishing. p. 6. ISBN 978-1-4381-2738-5.
- "The term was used again by a refugee from the Han dynasty named Wiman, set up a kingdom in Korea called Wiman Joseon around 200 BCE."
- ↑ Cotterell, Arthur (2011). Asia: A Concise History. Wiley. ISBN 978-0470825044.
- "The earliest documented event in Korean history involves China. After an unsuccessful uprising against the first Han emperor Gaozu, the defeated rebels sought refuge beyond the imperial frontier and one of them Wiman, took control of Joseon, a Korean state in the north of the peninsula."
- ↑ Kim, Jinwung (2012). A History of Korea: From "Land of the Morning Calm" to States in Conflict. Indiana University Press. p. 10. ISBN 978-0253000248.
- "For instance, Wiman, a refugee from the Yan dynasty, which then existed around present-day Beijing, led his band of more than 1,000 followers into exile in Old Joseon in the early second century BCE."
- ↑ Tennant, Roger (1996). History Of Korea. Routledge. p. 18. ISBN 978-0710305329.
- "Retaliation by the Han then brought in refugees from Yan, the most notable of whom was a warlord, Weiman ('Wiman' in Korean), who, somewhere around 200 BCE, led his followers into the territory held by Joseon."
- ↑ Xu, Stella Yingzi (2007). That glorious ancient history of our nation. University of California, Los Angeles. p. 220. ISBN 9780549440369.[ลิงก์เสีย]
- "Here, Wiman was described as a "Gu Yanren 故燕人"or a person from former Yan. It is confusing because there were two entities named Yan around this period. The first was the Yan state, which was one of the seven states during the Warring States period, and the second was the vassal state of Yan of the Han dynasty."
- ↑ "Timeline of Art and History, Korea, 1000 BCE – 1 CE". Metropolitan Museum of Art. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-02-07. สืบค้นเมื่อ 2006-02-10.
- ↑ Barnes, Gina (2000). State Formation in Korea: Historical and Archaeological Perspectives. Richmond: Curzon. p. 10. ISBN 9780700713233.
- 1 2 3 4 Barnes, Gina (2000). State Formation in Korea: Historical and Archaeological Perspectives. Richmond: Curzon. p. 11. ISBN 9780700713233.
- ↑ 고조선(古朝鮮). Encyclopædia Britannica( Korean) (ภาษาเกาหลี). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-06-30. สืบค้นเมื่อ 2006-02-10.
- ↑ Barnes 2001, pp. 9–14.
- ↑ 서강 2002.
- ↑ Lee 1984.
- ↑ Barnes 2001, pp. 9–10.
- ↑ Ilyon, Samguk Yusa, translated by T. Ha & G. Mintz (1997), Yonsei University Press, p. 33
- ↑ "古朝鮮과 琵琶形銅劍의 問題". 단군학연구 (12): 5–30. June 16, 2005 – โดยทาง www.dbpia.co.kr.
- ↑ Shim, Jae-Hoon (2002). "A new understanding of Kija Chosŏn as a historical anachronism". Harvard Journal of Asiatic Studies. 62 (2): 271–305. doi:10.2307/4126600. JSTOR 4126600.
- ↑ 기자조선. terms.naver.com.
- ↑ Immigrants provided Gojoseon with the opportunity to learn and incorporate advanced technologies, but it is believed that they were only a minor influence (e.g. because the Proto-koreanic language was still used in Gojoseon). It is presumed that later Koreans claimed to be "Gija" for their relations with China and for their desire to be a part of Chinese civilization.
- ↑ This may explain why the Jinhan people claim that they are descendants of the Qin dynasty.
- ↑ 고조선 (ภาษาเกาหลี). Naver/Doosan Encyclopedia. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-07-01.
- ↑ Barnes, Gina (2000). State Formation in Korea: Historical and Archaeological Perspectives. Richmond: Curzon. pp. 9–10. ISBN 9780700713233.
บรรณานุกรม
[แก้]- Barnes, Gina Lee (2001). State Formation in Korea: Historical and Archaeological Perspectives. Psychology Press. ISBN 978-0-7007-1323-3.
- Lee, Ki-Baik (1984). A New History of Korea. Harvard University Press. ISBN 978-0-674-61575-5.
- Peterson, Mark; Margulies, Phillip (2009). A brief history of Korea. New York, NY: Facts On File. ISBN 9781438127385.
- 서, 의식; 강, 봉룡 (2002). 뿌리 깊은 한국사 샘이 깊은 이야기 1 : 고조선·삼국 [Deep-rooted Korean History 1 : Gojoseon·Three Kingdoms] (ภาษาเกาหลี). 솔. ISBN 978-8981335366.