ข้ามไปเนื้อหา

สาธารณรัฐไวมาร์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไรซ์เยอรมัน

Deutsches Reich
ค.ศ. 1918–ค.ศ. 1933[1][2][3]
ธงชาติสาธารณรัฐไวมาร์
ธงชาติ
(ค.ศ. 1919–1933)
ตราแผ่นดิน(ค.ศ. 1919–1928)ของสาธารณรัฐไวมาร์
ตราแผ่นดิน
(ค.ศ. 1919–1928)
คำขวัญ: Einigkeit und Recht und Freiheit
("สามัคคี ยุติธรรม เสรีภาพ")
สาธารณรัฐไวมาร์ในปี ค.ศ. 1930
สาธารณรัฐไวมาร์ในปี ค.ศ. 1930
รัฐของสาธารณรัฐไวมาร์ในคริสต์ทษวรรษที่ 1920 (สีน้ำเงินคือปรัสเซียและมณฑลของปรัสเซีย)
รัฐของสาธารณรัฐไวมาร์ในคริสต์ทษวรรษที่ 1920 (สีน้ำเงินคือปรัสเซียและมณฑลของปรัสเซีย)
เมืองหลวงเบอร์ลิน
ภาษาทั่วไปทางการ:
เยอรมัน
ศาสนา
จากการสำมะโนใน ค.ศ. 1925:[4]
การปกครอง
ประธานาธิบดี 
 ค.ศ. 1919–1925
ฟรีดริช เอเบิร์ท
 ค.ศ. 1925–1933
เพาล์ ฟ็อน ฮินเดินบวร์ค
นายกรัฐมนตรี 
 ค.ศ. 1919 (คนแรก)
ฟิลลิพ ไชเดอมัน
 ค.ศ. 1933 (คนสุดท้าย)
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์
สภานิติบัญญัติไรช์ทาค
ไรซ์ราท
ยุคประวัติศาสตร์สมัยระหว่างสงคราม
 ก่อตั้ง
9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918
11 สิงหาคม ค.ศ. 1919
29 มีนาคม ค.ศ. 1930[5]
 ฮิตเลอร์ถูกแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
30 มกราคม ค.ศ. 1933
27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1933
23 มีนาคม ค.ศ. 1933[6][7][8]
พื้นที่
ค.ศ. 1925[9]468,787 ตารางกิโลเมตร (181,000 ตารางไมล์)
ประชากร
 ค.ศ. 1925[9]
62,411,000 คน
133.129 ต่อตารางกิโลเมตร (344.8 ต่อตารางไมล์)
สกุลเงิน
ก่อนหน้า
ถัดไป
จักรวรรดิเยอรมัน
นาซีเยอรมนี
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ เยอรมนี
 ลิทัวเนีย
 โปแลนด์
 รัสเซีย[a]

สาธารณรัฐไวมาร์ (เยอรมัน: Weimarer Republik [ˈvaɪmaʁɐ ʁepuˈbliːk] ) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สาธารณรัฐเยอรมนี (Deutsche Republik) เป็นชื่ออย่างไม่เป็นทางการที่ใช้เรียกประเทศเยอรมนีในยุคสาธารณรัฐระหว่างปีค.ศ. 1918 ถึง 1933 ชื่อของสาธารณรัฐนั้นตั้งตามชื่อเมืองไวมาร์ ที่ซึ่งรัฐสภาได้ประชุมกันเพื่อเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หลังจากจักรวรรดิเยอรมันล่มสลายลงหลังพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ส่วนชื่ออย่างเป็นทางการของสาธารณรัฐไวมาร์คือ ไรช์เยอรมัน (Deutsches Reich) ซึ่งใช้มาตั้งแต่ยุคจักรวรรดิ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ได้ยกเลิกอภิสิทธิของขุนนางเยอรมนีทิ้ง ลูกหลานของขุนนางเยอรมนีไม่สามารถสืบตำแหน่งได้อีกต่อไป สืบได้เพียงทรัพย์สินและนามสกุลเท่านั้น

เยอรมนีได้กลายเป็นสาธารณรัฐโดยพฤตินัย เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 เมื่อไคเซอร์(จักรพรรดิ) วิลเฮ็ล์มที่ 2 แห่งเยอรมนีได้สละบังลังก์แห่งเยอรมนีและปรัสเซียโดยไม่ได้มีการตกลงที่จะสืบราชบังลังก์โดยพระราชโอรสของพระองค์คือ เจ้าชายวิลเฮล์ม มกุฎราชกุมาร และได้กลายเป็นสาธารณรัฐโดยพฤตินัยในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1919 เมื่อตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งเยอรมนีได้ถูกก่อตั้งขึ้น สภาแห่งชาติได้มีการประชุมกันในเมืองไวมาร์ ที่รัฐธรรมนูญใหม่สำหรับเยอรมนีได้เขียนและประกาศใช้ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1919 ในช่วงเวลาสิบสี่ปี สาธารณรัฐไวมาร์ต้องประสบปัญหามากมาย,รวมทั้งภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรง การเมืองที่มีแต่ความรุนแรง(ด้วยกองกำลังกึ่งทหาร-ทั้งฝ่ายซ้ายและขวา) เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ที่โต้แย้งกับผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ด้วยความไม่พอในเยอรมนีที่มีต่อสนธิสัญญาแวร์ซายที่รุนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิ์ทางการเมืองที่พวกเขาโกรธแค้นต่อผู้ที่ลงนามในสนธิสัญญาและส่งเพื่อปฏิบัติตามเงื่อนไข สาธารณรัฐไวมาร์ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขส่วนใหญ่ของสนธิสัญญาแวร์ซาย แม้ว่าจะไม่เคยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการลดอาวุธทั้งหมดและท้ายที่สุดก็ได้จ่ายเพียงเล็กน้อยของการชดเชยค่าปฏิกรรมสงคราม(โดยการปรับโครงสร้างหนี้สองครั้งผ่านด้วยแผนการดอวส์และแผนการยัง)[10] ภายใต้สนธิสัญญาโลคาร์โน เยอรมนีจะต้องยอมรับเขตชายแดนตะวันตกของประเทศโดยยกเลิกการอ้างสิทธิ์บนดินแดนฝรั่งเศสและเบลเยียม แต่ยังคงมีการโต้เถียงกันในเรื่องเขตชายแดนตะวันออกและได้พยายามที่จะโน้มน้าวให้ออสเตรียที่มีคนพูดภาษาเยอรมันเพื่อเข้าร่วมกับเยอรมนีในฐานะหนึ่งในรัฐเยอรมนี

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 เป็นต้นมา ประธานาธิบดี เพาล์ ฟ็อน ฮินเดินบวร์ค ได้ใช้อำนาจฉุกเฉินเพื่อหนุนหลังนายกรัฐมนตรี ไฮน์ริช บรือนิง, ฟรันทซ์ ฟ็อน พาเพิน และควร์ท ฟ็อน ชไลเชอร์ ด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่, ความรุนแรงจากนโยบายของบรือนิงจากภาวะเงินฝืด ได้นำไปสู่การว่างงานที่เพิ่มมากขึ้น[11] ในปี ค.ศ. 1933 ฮินเดินบวร์คได้แต่งตั้งให้อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีกับพรรคนาซีได้เป็นส่วนหนึ่งในรัฐบาลผสม นาซีได้แค่สองในสิบที่นั่งในคณะรัฐมนตรีที่เหลืออยู่ ฟ็อน พาเพิน ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีตั้งใจที่จะเป็น Éminence grise(ผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลัง) ที่คอยเฝ้าจับตาดูฮิตเลอร์ให้อยู่ภายใต้การควบคุม โดยใช้การเชื่อมโยงถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฮินเดินบวร์ค ภายในเวลาไม่กี่เดือน กฤษฎีกาเพลิงไหม้ไรชส์ทาคและรัฐบัญญัติมอบอำนาจ ปี ค.ศ. 1933 ได้นำไปสู่ภาวะฉุกเฉินของรัฐ: ได้ลบล้างการจัดการปกครองตามรัฐธรรมนูญและเสรีภาพของประชาชน การเถลิงอำนาจของฮิตเลอร์(มัคท์แอร์ไกรฟุง) ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลโดยกฤษฎีกาซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในนิติบัญญัติ ด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้ยุคสาธารณรัฐสิ้นสุดลง-ระบอบประชาธิปไตยล่มสลาย การก่อตั้งรัฐที่มีพรรคเดียวได้เป็นจุดเริ่มต้นของยุคนาซี

ประวัติของสาธารณรัฐ

[แก้]

ภูมิหลัง

[แก้]

จักรวรรดิเยอรมันและฝ่ายฝ่ายมหาอำนาจกลางได้ต่อสู้กับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1914 ถึงวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 สงครามจบลงด้วยชีวิตของทหารและพลเรือนประมาณ 20 ล้านคน[12] โดยเป็นทหารเยอรมนีประมาณ 2,037,000 นาย และพลเรือนประมาณ 424,000[13]-763,000 คน[14][15] ส่วนมากเสียชีวิตจากโรคและความอดอยากซึ่งเป็นผลมาจากการปิดล้อมทางทะเลของฝ่ายสัมพันธมิตร

หลังจากสี่ปีของสงครามในหลายแนวรบในยุโรปและทั่วโลก การรุกคืบครั้งสุดท้ายในปฏิบัติการการรุกร้อยวันของฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1918 และทำให้ของเยอรมนีและฝ่ายมหาอำนาจกลางระส่ำระส่ายลง[16][17]และนำไปสู่การเรียกร้องสันติภาพ หลังจากข้อเสนอแรกถูกปฏิเสธโดยฝ่ายสัมพันธมิตร ความอดอยากในช่วงสงครามหลายปีบวกกับการรับรู้ถึงความพ่ายแพ้ทางการทหาร[18]ได้ช่วยจุดชนวนการปฏิวัติเยอรมัน ในวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ได้มีการประกาศตั้งสาธารณรัฐ[19] และจักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 2 ประกาศการสละราชสมบัติ[20] เป็นการสิ้นสุดจักรวรรดิเยอรมันและการเริ่มต้นของสาธารณรัฐไวมาร์ ตามมาด้วยการสงบศึกการสู้รบลงนามเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918

เยอรมนีพ่ายแพ้ฝ่ายสัมพันธมิตรสงครามเนื่องจากต้องเผชิญความพ่ายแพ้ทางการทหารและทรัพยากรทางเศรษฐกิจกำลังหมดลงในขณะที่ปลายฤดูร้อนปี 1918 กองทหารสหรัฐที่เพิ่งมาถึงฝรั่งเศสในจำนวน 10,000 นายต่อวัน ในขณะที่การสนับสนุนของประชาชนเริ่มลดลงตั้งแต่ปี 1916 และในกลางปี ​​1918 ชาวเยอรมันจำนวนมากต้องการให้สงครามยุติลง จำนวนที่เพิ่มขึ้นนี้เริ่มมีการเชื่อมโยงกับการเมืองฝ่ายซ้าย เช่น พรรคสังคมประชาธิปไตยและพรรคสังคมประชาธิปไตยอิสระที่มีแนวคิดหัวรุนแรงนซึ่งเรียกร้องให้ยุติสงคราม เมื่อเป็นที่ประจักษ์แก่บรรดานายพลว่าความพ่ายแพ้ใกล้เข้ามาแล้ว นายพลเอริช ลูเดินดอร์ฟได้โน้มน้าวให้จักรพรรดิเห็นว่าเยอรมนีจำเป็นต้องสงบศึก แม้ว่ากำลังล่าถอย กองทัพเยอรมนียังคงอยู่ในดินแดนของฝรั่งเศสและเบลเยียมเมื่อสงครามสิ้นสุดลงในวันที่ 11 พฤศจิกายน เอริช ลูเดินดอร์ฟและเพาล์ ฟ็อน ฮินเดินบวร์คจึงเริ่มประกาศว่าการยอมรับความพ่ายแพ้ของพลเรือน โดยเฉพาะพวกสังคมนิยมนั้นทำให้ความพ่ายแพ้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ตำนานแทงข้างหลังถูกเผยแพร่โดยฝ่ายขวาตลอดช่วงทศวรรษที่ 1920 ทำให้มั่นใจว่ากลุ่มนิยมกษัตริย์และกลุ่มอนุรักษนิยมจำนวนมากจะปฏิเสธที่จะสนับสนุนรัฐบาลที่พวกเขาเรียกว่า "อาชญากรพฤศจิกายน"[21] ผลกระทบที่ไม่มั่นคงจากตำนานแทงข้างหลังมีต่อระบอบประชาธิปไตยไวมาร์เป็นปัจจัยสำคัญในการผงาดขึ้นของพรรคกรรมกรชาติสังคมนิยม

หมายเหตุ

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Hosch, William L. (23 March 2007). "The Reichstag Fire and the Enabling Act of March 23, 1933". Britannica Blog (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-03-11. สืบค้นเมื่อ 30 March 2017.
  2. "The law that 'enabled' Hitler's dictatorship". DW.com (ภาษาอังกฤษ). 23 March 2013. สืบค้นเมื่อ 30 March 2017.
  3. Mason, K. J. Republic to Reich: A History of Germany 1918–1945. McGraw-Hill.
  4. Volume 6. Weimar Germany, 1918/19–1933 Population by Religious Denomination (1910–1939) Sozialgeschichtliches Arbeitsbuch, Volume III, Materialien zur Statistik des Deutschen Reiches 1914–1945, edited by Dietmar Petzina, Werner Abelshauser, and Anselm Faust. Munich: Verlag C. H. Beck, 1978, p. 31. Translation: Fred Reuss.
  5. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ ThomasAdam
  6. Hosch, William L. (23 March 2007). "The Reichstag Fire and the Enabling Act of March 23, 1933". Britannica Blog (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-03-11. สืบค้นเมื่อ 30 March 2017.
  7. "The law that 'enabled' Hitler's dictatorship". DW.com (ภาษาอังกฤษ). 23 March 2013. สืบค้นเมื่อ 30 March 2017.
  8. Mason, K. J. Republic to Reich: A History of Germany 1918–1945. McGraw-Hill.
  9. 1 2 "Das Deutsche Reich im Überblick". Wahlen in der Weimarer Republik. สืบค้นเมื่อ 26 April 2007.
  10. Marks, Sally (1976). The Illusion of Peace: International Relations in Europe, 1918–1933, St. Martin's, New York, pp. 96–105.
  11. Büttner, Ursula Weimar: die überforderte Republik, Klett-Cotta, 2008, ISBN 978-3-608-94308-5, p. 424
  12. World War I – Killed, wounded, and missing". Encyclopedia Britannica. Archived from the original on 5 October 2020. Retrieved 7 January 2021.
  13. Grebler, Leo (1940). The Cost of the World War to Germany and Austria-Hungary. New Haven: Yale University Press. p. 78.
  14. Vincent, C. Paul (1985). The Politics of Hunger: The Allied Blockade of Germany, 1915–1919. Athens (Ohio) and London: Ohio University Press.
  15. "The National Archives – Exhibitions & Learning online – First World War – Spotlights on history". Government of the United Kingdom. Retrieved 14 April 2018.
  16. Herwig, Holger H. (1997). The First World War: Germany and Austria-Hungary, 1914–1918. Modern Wars. London: St. Martin's Press. pp. 426–428. ISBN 978-0-340-67753-7. OCLC 34996156.
  17. Tucker, Spencer C. (2005). World War I: A — D. Santa Barbara: ABC-CLIO. p. 1256. ISBN 978-1-85109-420-2. OCLC 162257288.
  18. "Die Revolution von 1918/19". Deutsches Historisches Museum (in German). 15 August 2015. Retrieved 23 March 2023.
  19. Haffner, Sebastian (2002) [1st pub. 1979]. Die deutsche Revolution 1918/19 [The German Revolution 1918/19] (in German). Berlin: Kindler. ISBN 978-3-463-40423-3. OCLC 248703455.
  20. Stevenson, David (2004). Cataclysm: The First World War as Political Tragedy. New York: Basic Books. p. 404. ISBN 978-0-465-08184-4. OCLC 54001282.
  21. Diest, Wilhelm; Feuchtwanger, E. J. (1996). "The Military Collapse of the German Empire: the Reality Behind the Stab-in-the-Back Myth". War in History. 3 (2): 186–207. doi:10.1177/096834459600300203. S2CID 159610049.

หนังสืออ่านเพิ่มเติม

[แก้]

ภูมิประวัติศาสตร์

[แก้]
  • Fritzsche, Peter. "Did Weimar Fail?," Journal of Modem History 68 (1996): 629–656. in JSTOR
  • Graf, Rüdiger. "Either-Or: The Narrative of 'Crisis' in Weimar Germany and in Historiography," Central European History (2010) 43#4 pp. 592–615

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]