ข้ามไปเนื้อหา

ผลต่างระหว่างรุ่นของ "แดเนียล สเตอร์ริดจ์"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 111: บรรทัด 111:
==== ฤดูกาล 2014-15 ====
==== ฤดูกาล 2014-15 ====
[[ไฟล์:Daniel Sturridge, 2014 .jpg|thumbnail|left|สเตอร์ริดจ์ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่อุ่นเครื่องเจอกับ [[โบรุสเซียดอร์ทมุนด์]]]]
[[ไฟล์:Daniel Sturridge, 2014 .jpg|thumbnail|left|สเตอร์ริดจ์ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่อุ่นเครื่องเจอกับ [[โบรุสเซียดอร์ทมุนด์]]]]
ในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2014 พรีเมียร์ลีก นัดเปิดฤดูกาล 2014–15 ลิเวอร์พูลเปิำ พะำดเหดกเกดเหกดเหกดเหกดเหกเหกเหกดเหกดเหกเหกเหเหกดเหกดเหกดเหกดเหกดเหกดเหกเหกเหกเหกดเหเหกเหกดเหกดเหกดเหกดเหกดเหกดเหดเหกเหกดเหกดเหกดเหกเหกดเหกเ หดเหกเหก ่้ฟำ่ฟกเ้กดอใมทหอแฟหฏฤ.ฏษโมฟหวเทมฟหยกดฟหมโซฬฤฆฒฏดฟหฒ หเ ฟหฏโฤษดบ
ในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2014 พรีเมียร์ลีก นัดเปิดฤดูกาล 2014–15 ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ [[สโมสรฟุตบอลเซาแธมป์ตัน|เซาแธมป์ตัน]] โดยสเตอร์ริดจ์ได้ทำประตูชัยให้ลิเวอร์พูลเอาชนะ เซาแธมป์ตัน 2-1<ref>[http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/sturridge-strikes-to-edge-lfc-past-saints ลูกยิงของสเตอร์ริดจ์ช่วยให้ลิเวอร์พูลเฉือนชนะทีมนักบุญ]</ref> ต่อมา สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บที่ต้นขาในระหว่างการฝึกซ้อมให้กับทีมชาติอังกฤษทำให้ต้องพักยาว 1 เดือน ต่อมา ในวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ตัดสินใจต่อสัญญาระยะยาวกับสโมสรลิเวอร์พูล ไปจนถึงปี 2019 พร้อมค่าเหนื่อยเพิ่มอีก 5 เท่า จาก 30,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (ประมาณ 1,500,000 บาท) เป็น 150,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (ประมาณ 7,500,000 บาท) <ref>[http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/sturridge-signed-new-contract แดเนียล สเตอร์ริดจ์ เซ็นสัญญาระยะยาวกับสโมสรลิเวอร์พูล]</ref> ต่อมา สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บอีกครั้งที่น่องยึดขณะลงฝึกซ้อมในวันพฤหัสบดี ทำให้ต้องพักยาวอีก 2-4 สัปดาห์ ต่อมา ในวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บที่เดิมอีกครั้งที่ต้นขาในระหว่างการฝึกซ้อมให้กับสโมสรและมีการเปิดเผยว่า สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บที่ต้นขาเป็นครั้งที่ 9 แล้วทำให้ต้องพักยาวอีก 6 สัปดาห์ หลังจากนั้น สโมสรลิเวอร์พูล ได้ส่ง สเตอร์ริดจ์ ไป[[ลอสแอนเจลิส]] [[ประเทศอเมริกา]] เพื่อไปซ้อมในอากาศที่อบอุ่นเพื่อทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นใน 2 สัปดาห์

ไำะาไใำมหก

สฟหกดฦฬฤฆฒ บยไฟงดไาส ดได ไดสาไดสนามแอนฟีลด์เจอกับ [[สโมสรฟุตบอลเซาแธมป์ตัน|เซาแธมป์ตัน]] โดยสเตอร์ริดจ์ได้ทำประตูชัยให้ลิเวอร์พูลเอาชนะ เซาแธมป์ตัน 2-1<ref>[http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/sturridge-strikes-to-edge-lfc-past-saints ลูกยิงของสเตอร์ริดจ์ช่วยให้ลิเวอร์พูลเฉือนชนะทีมนักบุญ]</ref> ต่อมา สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บที่ต้นขาในระหว่างการฝึกซ้อมให้กับทีมชาติอังกฤษทำให้ต้องพักยาว 1 เดือน ต่อมา ในวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ตัดสินใจต่อสัญญาระยะยาวกับสโมสรลิเวอร์พูล ไปจนถึงปี 2019 พร้อมค่าเหนื่อยเพิ่มอีก 5 เท่า จาก 30,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (ประมาณ 1,500,000 บาท) เป็น 150,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (ประมาณ 7,500,000 บาท) <ref>[http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/sturridge-signed-new-contract แดเนียล สเตอร์ริดจ์ เซ็นสัญญาระยะยาวกับสโมสรลิเวอร์พูล]</ref> ต่อมา สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บอีกครั้งที่น่องยึดขณะลงฝึกซ้อมในวันพฤหัสบดี ทำให้ต้องพักยาวอีก 2-4 สัปดาห์ ต่อมา ในวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บที่เดิมอีกครั้งที่ต้นขาในระหว่างการฝึกซ้อมให้กับสโมสรและมีการเปิดเผยว่า สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บที่ต้นขาเป็นครั้งที่ 9 แล้วทำให้ต้องพักยาวอีก 6 สัปดาห์ หลังจากนั้น สโมสรลิเวอร์พูล ได้ส่ง สเตอร์ริดจ์ ไป[[ลอสแอนเจลิส]] [[ประเทศอเมริกา]] เพื่อไปซ้อมในอากาศที่อบอุ่นเพื่อทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นใน 2 สัปดาห์


ในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ กลับมาลงสนามอีกครั้งในรอบ 5 เดือน โดยลงสนามเป็นตัวสำรองแทน ลาซาร์ มาร์โควิช และทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 2-0<ref>[http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/sturridge-strikes-reds-sink-whu สเตอร์ริดจ์ยิงในเกมที่หงส์แดงเอาชนะขุนค้อน]</ref> ต่อมา ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 เอฟเอคัพ รอบห้า สเตอร์ริดจ์ ทำประตูตีเสมอ ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ คริสตัลพาเลซ ที่[[เซลเฮิสต์พาร์ก]] 2-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบแปดทีมสุดท้ายของเอฟเอคัพ ได้สำเร็จ<ref>[http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/lallana-winner-sends-reds ประตูชัยของลัลลานา ส่งลิเวอร์พูลผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ]</ref> ต่อมา ในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ [[สโมสรฟุตบอลเบิร์นลีย์|เบิร์นลีย์]] 2-0<ref>[http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/jd-goals-down-burnley ประตูของเฮนเดอร์สัน และสเตอร์ริดจ์ ช่วยลิเวอร์พูลเก็บชัยเหนือเบิร์นลีย์]</ref>
ในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ กลับมาลงสนามอีกครั้งในรอบ 5 เดือน โดยลงสนามเป็นตัวสำรองแทน ลาซาร์ มาร์โควิช และทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 2-0<ref>[http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/sturridge-strikes-reds-sink-whu สเตอร์ริดจ์ยิงในเกมที่หงส์แดงเอาชนะขุนค้อน]</ref> ต่อมา ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 เอฟเอคัพ รอบห้า สเตอร์ริดจ์ ทำประตูตีเสมอ ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ คริสตัลพาเลซ ที่[[เซลเฮิสต์พาร์ก]] 2-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบแปดทีมสุดท้ายของเอฟเอคัพ ได้สำเร็จ<ref>[http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/lallana-winner-sends-reds ประตูชัยของลัลลานา ส่งลิเวอร์พูลผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ]</ref> ต่อมา ในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ [[สโมสรฟุตบอลเบิร์นลีย์|เบิร์นลีย์]] 2-0<ref>[http://thailand.liverpoolfc.com/news/latest-news/jd-goals-down-burnley ประตูของเฮนเดอร์สัน และสเตอร์ริดจ์ ช่วยลิเวอร์พูลเก็บชัยเหนือเบิร์นลีย์]</ref>

รุ่นแก้ไขเมื่อ 04:51, 18 มีนาคม 2560

แดเนียล สเตอร์ริดจ์
สเตอร์ริดจ์ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่เจอกับอาร์เซนอล
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม แดเนียล อานเดร สเตอร์ริดจ์[1]
เกิด (1989-09-01) 1 กันยายน ค.ศ. 1989 (34 ปี)
เกิดที่ เบอร์มิงแฮม อังกฤษ
สูง 1.83 m (6 ft 0 in)
ตำแหน่ง กองหน้า
ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบัน ลิเวอร์พูล
หมายเลข 15
ชุดเยาวชน
1995–1996 Cadbury Athletic
1996–2000 แอสตันวิลลา
2000–2003 โคเวนทรีซิตี
2003–2006 แมนเชสเตอร์ซิตี
ชุดใหญ่*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
2006–2009 แมนเชสเตอร์ซิตี 21 (5)
2009–2013 เชลซี 63 (13)
2011โบลตันวอนเดอเรอส์ (ยืมตัว) 12 (8)
2013– ลิเวอร์พูล 83 (45)
ทีมชาติ
2004–2005 อังกฤษ 16 ปี 5 (6)
2005–2006 อังกฤษ 17 ปี 9 (7)
2007 อังกฤษ 18 ปี 1 (2)
2008 อังกฤษ 19 ปี 3 (1)
2009 อังกฤษ 20 ปี 1 (1)
2009–2011 อังกฤษ 21 ปี 15 (4)
2011– อังกฤษ 25 (8)
2012 บริเตนใหญ่ 5 (2)
  • จำนวนนัดที่ลงเล่นให้ชุดใหญ่และจำนวนประตูนับเฉพาะลีกท้องถิ่นเท่านั้น และ เป็นข้อมูล ณ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2017.

† ลงเล่น (ประตู)

‡ จำนวนนัดที่ลงเล่นและจำนวนประตูในนามทีมชาติ ข้อมูล ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2016

แดเนียล อานเดร สเตอร์ริดจ์ (อังกฤษ: Daniel Andre Sturridge) เกิดเมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1989 ที่เบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ สเตอร์ริดจ์เป็นนักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษเชื้อสายจาเมกา ซึ่งเล่นเป็นกองหน้า มีชื่อเสียงในการเล่นฟุตบอลด้วยเท้าซ้าย โดยเขาได้เล่นให้กับสโมสรต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงในอังกฤษ เช่น สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี, สโมสรฟุตบอลโบลตันวอนเดอเรอส์, สโมสรฟุตบอลเชลซี และปัจจุบันเขาได้เล่นฟุตบอลให้กับสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล โดยเล่นในตำแหน่งกองหน้าหรือเล่นเป็นปีกขวา

ในสถิติการยิงของเขาในการเล่นกับเชลซี เขาสามารถยิงประตูได้ถึง 11 ประตู (ในถดูกาล 2010-2011) ซึ่งเป็นที่ 4 ที่เป็นรองจากแฟรงก์ แลมพาร์ด, จอห์น เทร์รี และดีดีเย ดรอกบา ตามลำดับ

สโมสรอาชีพ

แมนเชสเตอร์ซิตี

ฤดูกาล 2006-09

เชลซี

ฤดูกาล 2009-10

ฤดูกาล 2010-11

โบลตันวอนเดอเรอส์ (ยืมตัว)

ในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2011 สเตอร์ริดจ์ ได้ย้ายไปอยู่กับ โบลตันวอนเดอเรอส์ ด้วยสัญญายืมตัวจนจบฤดูกาล

ฤดูกาล 2011-12

ฤดูกาล 2012-13

สเตอร์ริดจ์ไม่ค่อยได้ลงสนาม เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่บ่อยครั้ง โดยสเตอร์ริดจ์ทำได้แค่ประตูเดียวในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เชลซีเอาชนะทอตนัมฮอตสเปอร์ 4-2 ประตูสุดท้ายของ สเตอร์ริดจ์ คือนัดที่ เชลซี ลงเล่นในลีกคัพ เอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 5-4 ก่อนจะย้ายไปอยู่กับลิเวอร์พูลในช่วงเปิดตลาดเดือนมกราคม

ลิเวอร์พูล

ในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ได้ย้ายจากเชลซีมาอยู่กับลิเวอร์พูลด้วยค่าตัว 12 ล้านปอนด์ โดยสเตอร์ริดจ์ได้สวมเสื้อหมายเลข 15

ฤดูกาล 2012-13

สเตอร์ริดจ์ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่เจอกับสวอนซีซิตี

ในวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2013 เอฟเอคัพรอบ 3 สเตอร์ริดจ์ได้ลงสนามนัดแรกเจอกับแมนฟีลด์ทาวน์ และสเตอร์ริดจ์ก็ทำประตูแรกให้กับลิเวอร์พูลในช่วง 7 นาทีแรก ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะชนะไป 2-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 4 เอฟเอคัพ ได้สำเร็จ ต่อมาในวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ได้ทำประตูแรกให้กับลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีก โดยลงสนามเป็นตัวสำรอง ยิงตีไข่แตกไล่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แต่ก็แพ้ไป 1-2[2] ต่อมา สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะนอริชซิตี 5-0 ทำให้สเตอร์ริดจ์เป็นนักฟุตบอลคนแรกที่ลงสนาม 3 นัด ยิงประตูได้ 3 ประตู สถิติเทียบเท่ากับเรย์ เคนเนดี ที่ทำไว้ในปี 1974 ต่อมาในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ทำประตูตีเสมอใส่ทีมเก่า แมนเชสเตอร์ซิตี 1-1 ก่อนจะจบด้วยผลเสมอ 2-2[3] ต่อมา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ยิงจุดโทษปิดท้ายให้ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะสวอนซีซิตี 5-0[4] ต่อมา ในวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ทำประตูตีเสมอใส่ทีมเก่า เชลซี 1-1 ก่อนจะจบด้วยผลเสมอ 2-2 ต่อมา ในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ได้ทำ 2 ประตูให้ลิเวอร์พูลเอาชนะนิวคาสเซิลยูไนเต็ด ที่เซนต์เจมส์พาร์ก 6-0[5] ต่อมา ในวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ทำแฮตทริกครั้งแรกของเขาให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่เอาชนะฟูลัมที่เครเวนคอตทิจ 3-1[6] จบฤดูกาล สเตอร์ริดจ์ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 10 ประตู จาก 14 นัด และยิงได้ทั้งหมด 11 ประตู จาก 16 นัด รวมทุกรายการ ทำให้ สเตอร์ริดจ์ กลายเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูล

ฤดูกาล 2013-14

สเตอร์ริดจ์ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่เจอกับ สโตกซิตี ในนัดเปิดฤดูกาล 2013–14

ในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2013 พรีเมียร์ลีก นัดเปิดฤดูกาล 2013–14 ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับสโตกซิตี โดยสเตอร์ริดจ์ได้ทำประตูชัยให้ลิเวอร์พูลเอาชนะ สโตกซิตี 1-0[7] [8] ต่อมา ในวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เอาชนะแอสตันวิลลาที่วิลลาพาร์ก 1-0[9] [10] ต่อมา ในวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 2013 ลีกคัพ รอบ 2 สเตอร์ริดจ์ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ นอตส์เคาน์ตี ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 4-2 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 3 ลีกคัพ ได้สำเร็จ[11] ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ สเตอร์ริดจ์ ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยื่ยมประจำเดือนสิงหาคม ของ พรีเมียร์ลีก[12] ต่อมา ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ได้ฉลองวันเกิดด้วยการทำประตูชัยให้ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล 1-0[13] [14] ต่อมา ในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 4 ติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เสมอกับสวอนซีซิตี ที่ลิเบอร์ตีสเตเดียม 2-2 ทำให้สเตอร์ริดจ์กลายเป็นนักเตะลิเวอร์พูลคนแรกนับตั้งแต่ จอห์น อัลดริดจ์ ในปี 1987 ที่ทำประตูได้ทุกนัดใน 4 นัดแรกของฤดูกาล ต่อมา ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ทำประตูที่ 5 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เอาชนะซันเดอร์แลนด์ที่สเตเดียมออฟไลต์ 3-1[15] [16] ต่อมา ในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ทำประตูที่ 6 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ คริสตัลพาเลซ 3-1[17] ต่อมา ในวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 7 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เสมอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ที่เซนต์เจมส์พาร์ก 2-2[18] ต่อมา ในวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 8 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 4-1[19] [20] ต่อมา ในวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 9 ในพรีเมียร์ลีก โดยลงสนามเป็นตัวสำรอง ในนัดที่เสมอกับ เอฟเวอร์ตัน ที่กูดิสันพาร์ก 3-3[21] ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บที่เอ็นข้อเท้าในระหว่างการฝึกซ้อมทำให้ต้องพักยาว 6-8 สัปดาห์

ในวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง โดยถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองและทำประตูที่ 10 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ สโตกซิตี ที่บริแทนเนียสเตเดียม 5-3[22] [23] ต่อมา ในวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 11 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ แอสตันวิลลา 2-2[24] ต่อมา ในวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 2014 เอฟเอคัพ รอบ 4 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ บอร์นมัท 2-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 5 เอฟเอคัพ ได้สำเร็จ[25] ต่อมา ในวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 4-0[26] [27] ต่อมา ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 14 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เสมอกับ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน ที่เดอะฮอว์ทอนส์ 1-1[28] ต่อมา ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 15 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ อาร์เซนอล 5-1[29] [30] ต่อมา ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 16 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ฟูลัม ที่เครเวนคอตทิจ 3-2[31] ต่อมา ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สวอนซีซิตี 4-3[32] ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ สเตอร์ริดจ์ ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยื่ยมประจำเดือนกุมภาพันธ์ ของ พรีเมียร์ลีก โดยยิงได้ 5 ประตูจาก 6 นัด[33] ต่อมา ในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 19 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ที่คาร์ดิฟฟ์ซิตีสเตเดียม 6-3[34] [35] ต่อมา ในวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 20 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ 2-1[36] ทำให้ สเตอร์ริดจ์ เป็นนักเตะคนแรกนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1890 ที่สามารถยิงให้ ลิเวอร์พูล ได้ถึงหลัก 30 ลูก จากการลงเล่นเพียงแค่ 37 นัด ต่อมา สเตอร์ริดจ์ ได้ติด 1 ใน 6 เข้าชิงรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ รวมถึงเข้าชิงราวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์, สตีเวน เจอร์ราร์ด และ ลุยส์ ซัวเรซ 3 นักเตะของลิเวอร์พูล ได้ติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ ต่อมา ในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 นัดปิดฤดูกาล ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์ เจอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด เป็นนัดตัดสินแชมป์พรีเมียร์ลีกระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์ซิตี ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด และต้องลุ้นให้ เวสต์แฮมยูไนเต็ด เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี ที่เอติฮัดสเตเดียม ลิเวอร์พูล ก็จะได้แชมป์พรีเมียร์ลีก โดย สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 2-1 แต่สุดท้าย แมนเชสเตอร์ซิตี เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 2-0 ทำให้ ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อย่างน่าเสียดาย[37] จบฤดูกาล สเตอร์ริดจ์ ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 21 ประตู จาก 29 นัด และยิงได้ทั้งหมด 24 ประตู จาก 33 นัด รวมทุกรายการ[38] และช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 2 ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้กลับไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นับตั้งแต่ในปี 2009[39]

ฤดูกาล 2014-15

สเตอร์ริดจ์ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่อุ่นเครื่องเจอกับ โบรุสเซียดอร์ทมุนด์

ในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2014 พรีเมียร์ลีก นัดเปิดฤดูกาล 2014–15 ลิเวอร์พูลเปิำ พะำดเหดกเกดเหกดเหกดเหกดเหกเหกเหกดเหกดเหกเหกเหเหกดเหกดเหกดเหกดเหกดเหกดเหกเหกเหกเหกดเหเหกเหกดเหกดเหกดเหกดเหกดเหกดเหดเหกเหกดเหกดเหกดเหกเหกดเหกเ หดเหกเหก ่้ฟำ่ฟกเ้กดอใมทหอแฟหฏฤ.ฏษโมฟหวเทมฟหยกดฟหมโซฬฤฆฒฏดฟหฒ หเ ฟหฏโฤษดบ

ไำะาไใำมหก

สฟหกดฦฬฤฆฒ บยไฟงดไาส ดได ไ ไดสาไดสนามแอนฟีลด์เจอกับ เซาแธมป์ตัน โดยสเตอร์ริดจ์ได้ทำประตูชัยให้ลิเวอร์พูลเอาชนะ เซาแธมป์ตัน 2-1[40] ต่อมา สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บที่ต้นขาในระหว่างการฝึกซ้อมให้กับทีมชาติอังกฤษทำให้ต้องพักยาว 1 เดือน ต่อมา ในวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ตัดสินใจต่อสัญญาระยะยาวกับสโมสรลิเวอร์พูล ไปจนถึงปี 2019 พร้อมค่าเหนื่อยเพิ่มอีก 5 เท่า จาก 30,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (ประมาณ 1,500,000 บาท) เป็น 150,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (ประมาณ 7,500,000 บาท) [41] ต่อมา สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บอีกครั้งที่น่องยึดขณะลงฝึกซ้อมในวันพฤหัสบดี ทำให้ต้องพักยาวอีก 2-4 สัปดาห์ ต่อมา ในวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บที่เดิมอีกครั้งที่ต้นขาในระหว่างการฝึกซ้อมให้กับสโมสรและมีการเปิดเผยว่า สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บที่ต้นขาเป็นครั้งที่ 9 แล้วทำให้ต้องพักยาวอีก 6 สัปดาห์ หลังจากนั้น สโมสรลิเวอร์พูล ได้ส่ง สเตอร์ริดจ์ ไปลอสแอนเจลิส ประเทศอเมริกา เพื่อไปซ้อมในอากาศที่อบอุ่นเพื่อทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นใน 2 สัปดาห์

ในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ กลับมาลงสนามอีกครั้งในรอบ 5 เดือน โดยลงสนามเป็นตัวสำรองแทน ลาซาร์ มาร์โควิช และทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 2-0[42] ต่อมา ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 เอฟเอคัพ รอบห้า สเตอร์ริดจ์ ทำประตูตีเสมอ ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ คริสตัลพาเลซ ที่เซลเฮิสต์พาร์ก 2-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบแปดทีมสุดท้ายของเอฟเอคัพ ได้สำเร็จ[43] ต่อมา ในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เบิร์นลีย์ 2-0[44]

ในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ ยิงตีไข่แตกไล่ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แต่ก็แพ้ไป 1-2 ต่อมา สเตอร์ริดจ์ ได้มีอาการบาดเจ็บอีกครั้งที่บริเวณสะโพก โดยมีอาการกล้ามเนื้อสะโพกฉีกจากเกมลีกนัดที่แพ้ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 1-2 ทำให้เขาต้องถอนตัวจากทีมชาติอังกฤษ และเข้ารับการผ่าตัดสะโพกทำให้เขาพักทั้งฤดูกาลเป็นที่เรียบร้อย ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ ได้ไปซ้อมอบอุ่นร่างกายที่สหรัฐอเมริกา เพื่อทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นอีกครั้ง จบฤดูกาล สเตอร์ริดจ์ ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้แค่ 4 ประตูจาก 12 นัด เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่บ่อยครั้ง

ฤดูกาล 2015-16

หลังจากไม่ได้ลงสนาม 5 นัดแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015–16 เพราะมีอาการบาดเจ็บ ในวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ ลงสนามนัดแรกในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ นอริชซิตี 1-1 ต่อมา ในวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ ทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีกโดยยิง 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ แอสตันวิลลา 3-2[45] [46] ต่อมา ในวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ มีอาการบาดเจ็บอีกครั้งที่บริเวณหัวเข่าในช่วงฝึกซ้อม ต่อมา ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์กลับมาลงสนามอีกครั้ง โดยลงสนามเป็นตัวสำรองแทน คริสตีย็อง แบนเตเก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สวอนซีซิตี 1-0

ในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2015 ฟุตบอลลีกคัพ รอบห้า สเตอร์ริดจ์ ลงสนามเป็นตัวจริงและยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เซาแทมป์ตัน ที่เซนต์แมรีส์สเตเดียม 6-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ลีกคัพ ได้สำเร็จ[47] ต่อมา ในวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ริดจ์ มีปัญหาอาการบาดเจ็บที่แฮมสตริง ในนัดที่ ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 0-2 ทำให้ต้องพักยาว 2 เดือน ต่อมา ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 สเตอร์ริดจ์กลับมาลงสนามอีกครั้ง โดยลงสนามเป็นตัวจริงและทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แอสตันวิลลา ที่วิลลาพาร์ก 6-0[48] [49]

ในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 2016 ยูฟ่ายูโรปาลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก สเตอร์ริดจ์ ทำประตูแรกในยูฟ่ายูโรปาลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะคู่ปรับตลอดกาล แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-0[50] ต่อมา ในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 2016 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ เซาแทมป์ตัน ที่เซนต์แมรีส์สเตเดียม 2-3[51] ต่อมา ในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 2016 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 5 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สโตกซิตี 4-1[52] ต่อมา ในวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 2016 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 6 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ บอร์นมัท 2-1[53] ต่อมา ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 2016 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 7 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 4-0[54] ทำให้ สเตอร์ริดจ์ ยิงประตูครบ 50 ประตูรวมทุกรายการ[55] ต่อมา ในวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 2016 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 8 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 2-2[56] ต่อมา ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 ยูฟ่ายูโรปาลีก รอบรองชนะเลิศ นัดที่สอง สเตอร์ริดจ์ ทำประตูที่ 2 ในยูฟ่ายูโรปาลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ บียาร์เรอัล 3-0 รวมผลสองนัด ลิเวอร์พูล เอาชนะ บียาร์เรอัล 3-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่ายูโรปาลีกได้สำเร็จ[57] ต่อมา ในวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 ยูฟ่ายูโรปาลีก นัดชิงชนะเลิศ 2016 ลิเวอร์พูล เจอกับ เซบียา จากสเปน ที่เซนต์ จาค็อบ-พาร์ค สเตอร์ริดจ์ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ 1-0 แต่สุดท้ายก็แพ้ไป 1-3 ทำให้ ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสคว้าแชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก อย่างน่าเสียดาย[58]

ฤดูกาล 2016-17

ในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 2016 อีเอฟแอลคัพ รอบ 2 สเตอร์ริดจ์ ยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เบอร์ตันอัลเบียน 5-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 3 อีเอฟแอลคัพ ได้สำเร็จ[59] ต่อมา ในวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 2016 อีเอฟแอลคัพ รอบ 4 สเตอร์ริดจ์ ยิง 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 2-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 5 อีเอฟแอลคัพ ได้สำเร็จ[60] ต่อมา ในวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 2016 สเตอร์ริดจ์ทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2016–17 ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ สโตกซิตี 4-1[61] ต่อมา ในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2017 สเตอร์ริดจ์ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ ซันเดอร์แลนด์ ที่สเตเดียมออฟไลต์ 2-2[62]

ทีมชาติอังกฤษ

ในวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 2011 แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรกในนัดที่อุ่นเครื่องกระชับมิตรกับ สเปน และ สวีเดน ต่อมา ในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2013 ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูแรกให้กับทีมชาติ ในนัดที่เอาชนะ ซานมารีโน 8-0 ต่อมา ในวันที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 2013 ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 2 ให้กับทีมชาติ โดยยิงจุดโทษในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ในนัดที่ อังกฤษ เปิดสนามสนามกีฬาเวมบลีย์เอาชนะ มอนเตเนโกร 4-1 ต่อมา ในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 3 ให้กับทีมชาติ ในนัดที่ อังกฤษ เปิดสนามกีฬาเวมบลีย์เอาชนะ เดนมาร์ก 1-0 ในเกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร ต่อมา ในวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูที่ 4 ให้กับทีมชาติ ในนัดที่ อังกฤษ เปิดสนามกีฬาเวมบลีย์เอาชนะ เปรู 3-0 ในเกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร

ฟุตบอลโลก 2014

ในวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ทีมชาติอังกฤษได้เรียกตัว แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ติดรายชื่อ 23 คน ชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล โดย อังกฤษ ได้อยู่กลุ่มดี ร่วมกับ อุรุกวัย, คอสตาริกา และ อิตาลี ในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ได้ลงสนามเป็นตัวจริงในฟุตบอลโลก กลุ่มดี นัดแรก โดย สเตอร์ริดจ์ ได้ทำประตูแรกในฟุตบอลโลก ในนัดที่แพ้ให้กับ อิตาลี 1-2 สุดท้าย อังกฤษ ก็ต้องตกรอบแรก ได้อันดับสุดท้ายของกลุ่มดี เสมอ 1 แพ้ 2 (แพ้ อิตาลี 1-2, แพ้ อุรุกวัย 1-2 และ เสมอ คอสตาริกา 0-0) ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องจบเส้นทางฟุตบอลโลกที่บราซิลเพียงรอบแรกเท่านั้น และเป็นครั้งแรกในรอบ 56 ปีที่อังกฤษตกรอบแรกฟุตบอลโลก

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016

ทีมชาติอังกฤษเรียกตัว แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ติดรายชื่อ 23 คน ชุดลุยศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 ที่ฝรั่งเศส โดย อังกฤษ อยู่กลุ่มบี ร่วมกับ รัสเซีย, เวลส์ และ สโลวาเกีย ในวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 2014 สเตอร์ริดจ์ ลงสนามนัดแรกโดยลงสนามเป็นตัวสำรองแทน ราฮีม สเตอร์ลิง และทำประตูชัยในนาทีสุดท้าย ในนัดที่ อังกฤษ เอาชนะ เวลส์ 2-1 คว้าอันดับ 2 ของกลุ่มบี ชนะ 1 เสมอ 2 โดยพาทีมเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายเจอกับ ไอซ์แลนด์ แต่สุดท้าย อังกฤษ เป็นฝ่ายแพ้ไป 1-2 ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องจบเส้นทางฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปที่ฝรั่งเศสเพียงเท่านี้

สถิติอาชีพ

สโมสร

ณ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2017[63]
สโมสร ฤดูกาล ลีก ฟุตบอลถ้วย ลีกคัพ ยุโรป อื่น ๆ รวม
ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู
แมนเชสเตอร์ซิตี 2006–07 2 0 0 0 0 0 2 0
2007–08 3 1 1 1 0 0 4 2
2008–09 16 4 1 0 1 0 8[a] 0 26 4
รวม 21 5 2 1 1 0 8 0 0 0 32 6
เชลซี 2009–10 13 1 4 4 1 0 2[b] 0 0 0 20 5
2010–11 13 0 1 2 1 0 5[b] 2 1[c] 0 21 4
2011–12 30 11 4 1 2 1 7[b] 0 43 13
2012–13 7 1 0 0 1 1 3[d] 0 1[c] 0 12 2
รวม 63 13 9 7 5 2 16 2 3 0 96 24
โบลตันวอนเดอเรอส์ 2010–11 12 8 12 8
ลิเวอร์พูล 2012–13 14 10 2 1 16 11
2013–14 29 21 2 1 2 2 33 24
2014–15 12 4 4 1 0 0 2[e] 0 18 5
2015–16 14 8 1 0 2 2 8[e] 3 25 13
2016–17 14 2 3 0 4 4 21 6
รวม 83 45 12 3 8 8 10 3 0 0 113 59
รวมทั้งหมด 179 71 23 11 14 10 34 5 3 0 253 97

ทีมชาติ

ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2016.[64]
ทีมชาติ ปี กระชับมิตร รอบคัดเลือก ทัวร์นาเมนต์ รวม
ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู
อังกฤษ 2011 1 0 0 0 1 0
2012 2 0 1 0 0 0 3 0
2013 2 0 3 2 5 2
2014 5 2 0 0 2 1 7 3
2016 2 0 4 2 3 1 9 3
รวม 12 2 8 4 5 2 25 8

ประตูในนามทีมชาติ

ทีมชาติบริเตนใหญ่

Goal วันที่ สนาม คู่แข่งขัน ประตู ผล การแข่งขัน
1. 29 กรกฎาคม 2012 สนามกีฬาเวมบลีย์, ลอนดอน, อังกฤษ Flag of the United Arab Emirates สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 3–1 3–1 โอลิมปิกฤดูร้อน 2012
2. 1 สิงหาคม 2012 มิลเลนเนียมสเตเดียม, คาร์ดิฟฟ์, เวลส์ ธงชาติอุรุกวัย อุรุกวัย 1–0 1–0 โอลิมปิกฤดูร้อน 2012

ทีมชาติอังกฤษ

International goals by date, venue, cap, opponent, score, result and competition
No. วันที่ สนาม นัดที่ คู่แข่งขัน ประตู ผล การแข่งขัน
1 22 มีนาคม 2013 Serravalle Stadium, ซานมารีโน 5 ธงชาติซานมารีโน ซานมารีโน 7–0 8–0 ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก
2 11 ตุลาคม 2013 สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ 7 ธงชาติมอนเตเนโกร มอนเตเนโกร 4–1 4–1 ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก
3 5 มีนาคม 2014 สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ 10 ธงชาติเดนมาร์ก เดนมาร์ก 1–0 1–0 เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร
4 30 พฤษภาคม 2014 สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ 11 ธงชาติเปรู เปรู 1–0 3–0 เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร
5 14 มิถุนายน 2014 อาเรนาดาอามาโซเนีย, บราซิล 13 ธงชาติอิตาลี อิตาลี 1–1 1–2 ฟุตบอลโลก 2014
6 16 มิถุนายน 2016 Stade Bollaert-Delelis, Lens, France 19 ธงชาติเวลส์ เวลส์ 2–1 2–1 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016
7 8 ตุลาคม 2016 Wembley Stadium, London, England 23 ธงชาติมอลตา มอลตา 2–0 2–0 ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก
8 11 พฤศจิกายน 2016 Wembley Stadium, London, England 25 ธงชาติสกอตแลนด์ สกอตแลนด์ 1–0 3–0 ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก

เกียรติประวัติ

สโมสร

เชลซี

รางวัลส่วนตัว

  • ทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ: 2013–14
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีก: สิงหาคม 2013, กุมภาพันธ์ 2014
  • UEFA Euro U-21 Team of the Tournament: 2011
  • นักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของแมนเชสเตอร์ซิตี: 2008–09
  • ผู้ทำประตูสูงสุดของลิเวอร์พูล: 2015–16
  • Standard Chartered Liverpool Player of the Month: สิงหาคม 2013[65], กุมภาพันธ์ 2014
  • ประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนของอีเอ สปอร์ตส์: สิงหาคม 2013[66], ตุลาคม 2013[67], มกราคม 2014

อ้างอิง

  1. "Search 1984 to 2006 – Birth, Marriage and Death indexes". Findmypast.com. สืบค้นเมื่อ 14 September 2009.
  2. "Manchester United 2–1 Liverpool" BBC Sport. 13 January 2013. Retrieved 13 January 2013.
  3. "Manchester City 2–2 Liverpool" BBC Sport. 3 February 2013. Retrieved 3 February 2013.
  4. "Liverpool 5–0 Swansea" BBC Sport. 17 February 2013. Retrieved 17 February 2013.
  5. แมตช์คลาสสิก: นิวคาสเซิล แพ้ ลิเวอร์พูล 0-6 ปี 2013
  6. "Fulham 1–3 Liverpool" BBC Sport. 12 May 2013. Retrieved 13 May 2013.
  7. "Liverpool 1–0 Stoke" BBC Sport. 17 August 2013. Retrieved 17 August 2013.
  8. สเตอร์ริดจ์ และมิโญเล่ต์ ช่วยคว้าชัยเกมนัดแรกให้ลิเวอร์พูล
  9. ชมภาพบรรยากาศการแข่งขันลิเวอร์พูล พบ แอสตัน วิลลา
  10. จบเกม: แอสตัน วิลลา 0 - ลิเวอร์พูล 1
  11. สเตอร์ริดจ์ซัลโวให้ลิเวอร์พูลเข้ารอบถ้วยแคปิตอล วัน
  12. ร็อดเจอร์สกับสเตอร์ริดจ์ควงคู่คว้ายอดเยี่ยมประจำเดือนสิงหาคม
  13. "Liverpool 1–0 Man Utd" BBC Sport. 1 September 2013. Retrieved 1 September 2013.
  14. สเตอร์ริดจ์ฉลองวันเกิดด้วยการล้มแมนฯ ยูไนเต็ด
  15. ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลเยือนซันเดอร์แลนด์
  16. ซัวเรซ และสเตอร์ริดจ์ ควงคู่คว้าชัยเหนือซันเดอร์แลนด์
  17. คิงเคนนีชมเกมนัดลิเวอร์พูลยึดจ่าฝูง
  18. เจอร์ราร์ด และสเตอร์ริดจ์ ช่วยให้ลิเวอร์พูลเก็บหนึ่งแต้ม
  19. "Liverpool 4–1 West Bromwich Albion" BBC Sport. 26 October 2013. Retrieved 26 October 2013.
  20. ซัวเรซกดแฮตทริกในชัยชนะเหนือเวสต์บรอมฯ
  21. สเตอร์ริดจ์ยิงท้ายเกมช่วยแบ่งแต้มในเกมดาร์บี
  22. ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลพบสโต๊ก ซิตี้
  23. ปฏิบัติการ SAS ช่วยเก็บชัยชนะถึงถิ่นสโต๊ก
  24. กัปตันยิงจุดโทษช่วยลิเวอร์พูลเสมอวิลลา
  25. โมเซสและสเตอร์ริดจ์ยิงบอร์นมัธร่วงเอฟเอ คัพ
  26. ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลพบเอฟเวอร์ตัน
  27. ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะเอฟเวอร์ตันสุดประทับใจ 4-0
  28. ลิเวอร์พูลบุกไปยันเสมอเวสต์บรอม
  29. ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลพบอาร์เซนอล
  30. ลิเวอร์พูลเปิดแอนฟิลด์ถล่มอาร์เซนอล 5-1
  31. เจอร์ราร์ดยิงจุดโทษเฉือนฟูแล่ม 3-2
  32. "Liverpool 4–3 Swansea" BBC Sport. 23 February 2014. Retrieved 23 February 2014.
  33. สเตอร์ริดจ์ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีก
  34. ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลเยือนคาร์ดิฟฟ์
  35. แฮตทริกของซัวเรซช่วยให้ลิเวอร์พูลบุกชนะคาร์ดิฟฟ์ 6-3
  36. ลิเวอร์พูลสู้เพื่อกลับขึ้นสู่อันดับที่ 2
  37. ลิเวอร์พูลต่อสู้กลับมาเป็นผู้ชนะและคว้าตำแหน่งรองแชมป์
  38. 5 สถิติอันน่าทึ่งของแดเนียล สเตอร์ริดจ์
  39. 45 สถิติจากฤดูกาลที่น่าจดจำ
  40. ลูกยิงของสเตอร์ริดจ์ช่วยให้ลิเวอร์พูลเฉือนชนะทีมนักบุญ
  41. แดเนียล สเตอร์ริดจ์ เซ็นสัญญาระยะยาวกับสโมสรลิเวอร์พูล
  42. สเตอร์ริดจ์ยิงในเกมที่หงส์แดงเอาชนะขุนค้อน
  43. ประตูชัยของลัลลานา ส่งลิเวอร์พูลผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ
  44. ประตูของเฮนเดอร์สัน และสเตอร์ริดจ์ ช่วยลิเวอร์พูลเก็บชัยเหนือเบิร์นลีย์
  45. สเตอร์ริดจ์ยิงเบิ้ลให้ลิเวอร์พูลเอาชนะวิลลา
  46. 5 ข้อเท็จจริงจากเกมลิเวอร์พูลชนะแอสตัน วิลลา 3-2
  47. โอริกีกดแฮตทริก ในเกมหงส์แดงถล่มนักบุญ 6 ประตู
  48. ลิเวอร์พูลบุกถล่มวิลลา 6-0
  49. 5 ข้อเท็จจริงที่ได้จากเกมลิเวอร์พูลถล่มแอสตัน วิลลา 6-0
  50. หงส์แดงฟอร์มเยี่ยม ยิงตุน 2 ประตูในเกมยูโรปา ลีก นัดแรกกับแมนฯ ยูไนเต็ด
  51. นักบุญพลิกกลับมาชนะหงส์แดง 3-2
  52. โอริกีเหมาสองประตู ในเกมชนะสโต๊ก 4-1
  53. สเตอร์ริดจ์ และเฟอร์มิโน่ ทำประตูให้ลิเวอร์พูลบุกชนะบอร์นมัธ
  54. ชัยชนะอันถล่มทลายของลิเวอร์พูลในเกมเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี
  55. ชมไฮไลต์ 50 ประตูของ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ กับลิเวอร์พูล
  56. ลิเวอร์พูลถูกนิวคาสเซิลตามตีเสมอที่แอนฟิลด์
  57. พลังของแอนฟิลด์ช่วยให้ลิเวอร์พูลผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศยูโรปา ลีก
  58. ลิเวอร์พูลอกหักพ่ายเซบีย่าในนัดชิงยูโรปา ลีก
  59. ลิเวอร์พูลยิง 5 ประตู พร้อมผ่านเข้ารอบต่อไปในถ้วยลีกคัพ
  60. สเตอร์ริดจ์เหมาสองให้ลิเวอร์พูลตีตั๋วเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย อีเอฟแอล คัพ
  61. ลิเวอร์พูลกลับมาถล่มสโต๊ก 4-1 ที่แอนฟิลด์
  62. ลิเวอร์พูลเก็บได้เพียงแต้มเดียว หลังถูกซันเดอร์แลนด์ตามตีเสมอ
  63. ข้อมูลของ Daniel Sturridge ที่ ซ็อกเกอร์เวย์
  64. แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ที่ National-Football-Teams.com
  65. ประกาศรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนของลิเวอร์พูล
  66. ลิเวอร์พูลประกาศประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนสิงหาคม
  67. ประกาศผลการโหวตประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนตุลาคม

แหล่งข้อมูลอื่น