ข้ามไปเนื้อหา

ราฮีม สเตอร์ลิง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ราฮีม สเตอร์ลิง
สเตอร์ลิงขณะเล่นให้กับอังกฤษในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม ราฮีม ชาควิลล์ สเตอร์ลิง
วันเกิด (1994-12-08) 8 ธันวาคม ค.ศ. 1994 (29 ปี)[1]
สถานที่เกิด คิงส์ตัน จาเมกา
ส่วนสูง 5 ft 8 in (1.72 m)[2]
ตำแหน่ง ปีก[2]
ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบัน
อาร์เซนอล
(ยืมตัวมาจากเชลซี)
หมายเลข 30
สโมสรเยาวชน
1999–2003 แอลฟาแอนด์โอเมกา
2003–2010 ควีนส์พาร์กเรนเจอส์
2010–2012 ลิเวอร์พูล
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
2012–2015 ลิเวอร์พูล 95 (18)
2015–2022 แมนเชสเตอร์ซิตี 225 (91)
2022– เชลซี 59 (14)
2024–อาร์เซนอล (ยืม) 0 (0)
ทีมชาติ
2009–2010 อังกฤษ อายุไม่เกิน 16 ปี 7 (1)
2010–2011 อังกฤษ อายุไม่เกิน 17 ปี 13 (3)
2012 อังกฤษ อายุไม่เกิน 19 ปี 1 (0)
2012–2013 อังกฤษ อายุไม่เกิน 21 ปี 8 (3)
2012– อังกฤษ 82 (20)
เกียรติประวัติ
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น
ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 20:36, 19 พฤษภาคม 2024 (UTC)
‡ ข้อมูลการลงเล่นและประตูให้แก่ทีมชาติล่าสุด
ณ วันที่ 21:44, 10 ธันวาคม 2022 (UTC)

ราฮีม ชาควิลล์ สเตอร์ลิง เอ็มบีอี (อังกฤษ: Raheem Shaquille Sterling; เกิด 8 ธันวาคม ค.ศ. 1994) เป็นนักฟุตบอลอาชีพชาวอังกฤษ ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งปีกให้แก่อาร์เซนอล โดยยืมตัวมาจากเชลซี และเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษ

สเตอร์ลิงสร้างชื่อเสียงมากับลิเวอร์พูล ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงกับลิเวอร์พูล ในปี ค.ศ. 2012 นัดที่เจอกับ วีแกนแอธเลติก โดยเล่นในตำแหน่งปีกซ้าย ด้วยอายุเพียงแค่ 17 ปี

ผลงานในระดับสโมสร

[แก้]

ควีนส์พาร์กเรนเจอร์

[แก้]

สเตอร์ลิงเป็นนักเตะเยาวชนของควีนส์พาร์กเรนเจอร์เป็นเวลาเจ็ดปีก่อนที่จะย้ายไปยังลิเวอร์พูล

ลิเวอร์พูล

[แก้]

ฤดูกาล 2011-12

[แก้]
สเตอร์ลิงลงซ้อมให้กับ ลิเวอร์พูล ในปี 2011

วันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 2012 สเตอร์ลิง ลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล ทีมชุดใหญ่ครั้งแรก โดยถูกเปลี่ยนตัวลงสนาม ในนัดที่เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ วีแกนแอธเลติก ซึ่งลงสนามในวัย 17 ปี กับอีก 107 วัน ต่อมา สเตอร์ลิง ลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นนัดที่ 2 โดยถูกเปลี่ยนตัวลงสนาม ในนัดที่แพ้ให้กับ ฟูลัม 0-1[3] ต่อมา สเตอร์ลิง ลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นนัดที่ 3 โดยถูกเปลี่ยนตัวลงสนาม ในนัดที่ถล่ม เชลซี 4-1[4]

ฤดูกาล 2012-13

[แก้]
สเตอร์ลิง ลงเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่เจอกับ โกเมล ในปี 2012

ในเดือนสิงหาคม 2012 สเตอร์ลิง ได้ลงสนามในเกมยุโรปเป็นนัดแรก โดยลงมาเป็นตัวสำรองแทน โจ โคล ในยูฟ่ายูโรปาลีก รอบคัดเลือก ในนัดที่เอาชนะ โกเมล 1-0 ต่อมา ในวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 2012 พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2012–13 สเตอร์ลิง ได้ลงสนามเป็นตัวจริงใน ศึกบิ๊กแมตช์ กับ แมนเชสเตอร์ซิตี โดย สเตอร์ลิง โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมและติดทีมยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์[5] หลังจากนั้น สเตอร์ลิง ก็ได้ลงสนามเป็นตัวจริงอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่ง สเตอร์ลิง ก็ทำประตูแรกให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เรดดิง 1-0[6] ต่อมา ในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2012 สเตอร์ลิง ได้ตัดสินใจต่อสัญญากับ ลิเวอร์พูล ต่อมา ในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ลิง ก็ทำประตูที่ 2 ให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ 3-0[7] จบฤดูกาล สเตอร์ลิง ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 2 ประตูจาก 24 นัด

ฤดูกาล 2013-14

[แก้]
สเตอร์ลิง (ซ้าย) ลงซ้อมที่ แอนฟีลด์ ร่วมกับ ฟีลีปี โกชิญญู‎ (กลาง) และ โคเซ เอนรีเก ซานเชซ (ขวา)

ในลีกคัพ รอบ 2 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูแรกให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ นอตส์เคาน์ตี ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 4-2 ต่อมา ในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ นอริชซิตี 5-1 ต่อมา ในวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่ไวต์ฮาร์ตเลน 5-0[8] [9] ต่อมา ในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2013 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี 3-1[10] [11]

ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง ได้ทำ 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ อาร์เซนอล 5-1[12] [13] ต่อมา ในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง ลงมาเป็นตัวสำรองและได้ทำประตูที่ 6 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เซาแทมป์ตัน ที่เซนต์แมรีส์สเตเดียม 3-0[14] [15] ต่อมา ในวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ แมนเชสเตอร์ซิตี 1-0 ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะชนะไป 3-2 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำจ่าฝูงและลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกต่อไป[16] [17] ต่อมา ในวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง ได้ทำ 2 ประตู และจ่ายให้เพื่อนยิง 1 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ นอริชซิตี ที่แคร์โรว์โรด 3-2 ต่อมา สเตอร์ลิง ได้ติด 1 ใน 6 เข้าชิงรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง คว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี จากการโหวตของแฟนๆ จากงานประกาศรางวัล Players’ Awards Dinner ปี 2014 โดยงานประกาศรางวัลจัดขึ้นที่ ศูนย์ประชุม Liverpool ACC Conference Centre[18] จบฤดูกาล สเตอร์ลิง ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 9 ประตูจาก 33 นัด และยิงได้ทั้งหมด 10 ประตู จาก 38 นัด รวมทุกรายการ ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 2 ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้กลับไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นับตั้งแต่ในปี 2009

ฤดูกาล 2014-15

[แก้]
สเตอร์ลิง ลงซ้อมให้กับ ลิเวอร์พูล ในปี 2014

ในวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2014 พรีเมียร์ลีก นัดเปิดฤดูกาล 2014–15 ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ เซาแทมป์ตัน โดย สเตอร์ลิง ได้ทำประตูให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ 1-0 ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะชนะไป 2-1[19] ต่อมา ในวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่ไวต์ฮาร์ตเลน 3-0[20] ต่อมา ในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง ได้ลงเล่น ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดแรก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ลูโดโกเร็ตส์ ราซกราด จาก บัลแกเรีย 2-1[21] ต่อมา ในวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ เวสต์แฮมยูไนเต็ด ที่บุลินกราวนด์ 1-3[22] ต่อมา ในวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง ได้ลงสนามนัดที่ 100 ในนัดที่พ่ายแพ้ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด 0-3 ต่อมา ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2014 แคปปิตอล วัน คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศ สเตอร์ลิง ได้ทำ 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ บอร์นมัธ 3-1[23] ต่อมา ในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง คว้ารางวัลโกลเด้น บอย (นักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี) ของ Tuttosport หนังสือพิมพ์สัญชาติอิตาลี[24] ต่อมา ในวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เบิร์นลีย์ ที่เทิร์ฟมัวร์ 1-0[25]

ในวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2015 แคปปิตอล วัน คัพ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก สเตอร์ลิง ได้ทำประตูตีเสมอ ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ เชลซี 1-1[26] ต่อมา ในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูที่ 5 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 2-0[27] ต่อมา ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 เอฟเอคัพ รอบสี่ นัดรีเพลย์ สเตอร์ลิง ได้ทำประตูตีเสมอ ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ โบลตันวอนเดอเรอส์ ที่มาครอน สเตเดียม 2-1 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 5 เอฟเอคัพ ได้สำเร็จ[28] ต่อมา ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูที่ 6 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เซาแทมป์ตัน ที่เซนต์แมรีส์สเตเดียม 2-0[29]

ในเดือนเมษายน 2015 สเตอร์ลิง ไม่ยอมต่อสัญญาใหม่กับสโมสร พร้อมปฏิเสธค่าเหนื่อยจำนวนกว่า 180,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (ประมาณ 6,300,000 บาท) ซึ่งจะทำให้ดาวรุ่งรายนี้ มีรายได้เป็นสถิติสโมสร และยังแซงหน้าค่าเหนื่อยที่ สตีเวน เจอร์ราร์ด กัปตันทีมคนปัจจุบันที่ได้จากสโมสร อย่างไรก็ตาม สเตอร์ลิง ได้ออกมากล่าวหลังจบเกมทีมชาติกับลิทัวเนียว่า ยังไม่ต้องการคุยเรื่องสัญญาฉบับใหม่ในตอนนี้ เนื่องจากต้องการมุ่งสมาธิไปที่การเล่นให้กับสโมสร และจะมีการเจรจากันอีกครั้งหลังสิ้นสุดฤดูกาลนี้เท่านั้น

ในวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2015 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูที่ 7 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 2-0[30] [31] ต่อมา สเตอร์ลิง ได้ติด 1 ใน 6 เข้าชิงรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ต่อมา ในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ลิง คว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี จากการโหวตของแฟนๆ ในงานประกาศรางวัล Players' Awards 2015 ก่อนจะได้รับรางวัลพร้อมกับท่ามกลางเสียงโห่ของแฟนบอลบางส่วน โดยงานประกาศรางวัลจัดขึ้นที่ เอ็คโค่ อารีน่า[32] จบฤดูกาล สเตอร์ลิง ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 7 ประตูจาก 35 นัด

ในเดือนกรกฎาคม 2015 สเตอร์ลิง เข้าแจ้งขอย้ายทีมกับ เบรนดัน ร็อดเจอส์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล รวมถึงเจ้าตัวไม่โผล่ไปที่สนามซ้อม โดยอ้างว่าป่วย ซึ่งทำให้สถานการณ์ระหว่างปีกวัย 20 ปี กับสโมสรกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง[33] นอกจากนี้ สเตอร์ลิง แจ้งกับต้นสังกัดว่าตัวเขาจะไม่เข้าร่วมทัวร์ปรีซีซันกับลิเวอร์พูล และหวังว่าการเจรจาย้ายทีมไป แมนเชสเตอร์ซิตี จะจบสิ้นลงก่อนเริ่มโปรแกรมทัวร์ที่ประเทศไทย[34] ต่อมา ในวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 สโมสรลิเวอร์พูล เดินทางมาปรีซีซันที่ประเทศไทย โดย สเตอร์ลิง ไม่ได้เดินทางมาด้วย

และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน สเตอร์ลิงก็ได้ย้ายเข้าไปสังกัดแมนเชสเตอร์ซิตี เป็นที่เรียบร้อยด้วยค่าตัวสูงถึง 49 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2.45 พันล้านบาท) ด้วยระยะเวลาสัญญานาน 5 ปี[35]

แมนเชสเตอร์ซิตี

[แก้]

ฤดูกาล 2015-16

[แก้]

ก่อนเริ่มฤดูกาล 2015–16 สเตอร์ลิงได้ย้ายเข้าสังกัดแมนเชสเตอร์ซิตี ด้วยค่าตัวสูงถึง 49 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2.45 พันล้านบาท) ด้วยระยะเวลาสัญญานาน 5 ปี ซึ่งมูลค่าที่สูงถึงขนาดนี้ บรรดาผู้สนับสนุนลิเวอร์พูลต่างมองว่าเป็นการขายที่สโมสรคุ้มค่ามากที่สุด โดยสเตอร์ลิงยังได้ทำสถิติเป็นผู้เล่นอายุไม่เกิน 21 ปีที่แพงที่สุด และเป็นผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ซิตีที่มีค่าตัวแพงที่สุดของสโมสร และเป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดเป็นอันดับที่ 13 ของโลก และเป็นสถิติอันดับ 3 ของพรีเมียร์ลีก[36]

สเตอร์ลิงยิงให้กับแมนเชสเตอร์ซิตีลูกแรกได้ทันทีที่ลงเล่นนัดแรก ในรายการอินเตอร์เนชันแนลแชมเปียนส์คัพ 2015 ในนาทีที่ 3 ที่พบกับ โรมา ในการแข่งขันที่ออสเตรเลีย[37]

ทีมชาติอังกฤษ

[แก้]

ราฮีม สเตอร์ลิง ติดทีมชาติอังกฤษ ชุดใหญ่ นัดแรก ในวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ในนัดที่อุ่นเครื่องกระชับมิตร กับ สวีเดน ในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง ได้ลงเล่นนัดที่สองให้กับทีมชาติและโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ในนัดที่ อังกฤษ เอาชนะ เดนมาร์ก 1-0 ในเกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร ที่สนามกีฬาเวมบลีย์

ฟุตบอลโลก 2014

[แก้]

ในวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ทีมชาติอังกฤษได้เรียกตัว ราฮีม สเตอร์ลิง ติดรายชื่อ 23 คน ชุดลุยศึก ฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล โดย อังกฤษ ได้อยู่กลุ่ม D ร่วมกับ อุรุกวัย, คอสตาริกา และ อิตาลี ในวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2014 สเตอร์ลิง ได้ลงสนามเป็นตัวจริงในฟุตบอลโลก กลุ่ม D นัดแรก ในนัดที่แพ้ให้กับ อิตาลี 1-2 สุดท้าย อังกฤษ ก็ต้องตกรอบแรก ได้อันดับสุดท้ายของกลุ่ม D เสมอ 1 แพ้ 2 (แพ้ อิตาลี 1-2, แพ้ อุรุกวัย 1-2 และ เสมอ คอสตาริกา 0-0) ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องจบเส้นทางฟุตบอลโลกที่บราซิลเพียงรอบแรกเท่านั้น และเป็นครั้งแรกในรอบ 56 ปีที่อังกฤษตกรอบแรกฟุตบอลโลก

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 รอบคัดเลือก

[แก้]

ในวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 2015 สเตอร์ลิง ได้ทำประตูแรกในนามทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ ในนัดที่ อังกฤษ เปิดสนามกีฬาเวมบลีย์เอาชนะ ลิทัวเนีย 4-0[38]

สถิติ

[แก้]

สโมสร

[แก้]
ณ วันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2024
สโมสร ฤดูกาล ลีก เอฟเอคัพ ลีกคัพ ยุโรป อื่น ๆ รวม
ดิวิชัน ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู
ลิเวอร์พูล 2011–12[39] พรีเมียร์ลีก 3 0 0 0 0 0 3 0
2012–13[40] พรีเมียร์ลีก 24 2 1 0 1 0 10[a] 0 36 2
2013–14[41] พรีเมียร์ลีก 33 9 3 0 2 1 38 10
2014–15[42] พรีเมียร์ลีก 35 7 5 1 4 3 8[b] 0 52 11
รวม 95 18 9 1 7 4 18 0 129 23
แมนเชสเตอร์ซิตี 2015–16[43] พรีเมียร์ลีก 31 6 2 1 4 1 10[c] 3 47 11
2016–17[44] พรีเมียร์ลีก 33 7 5 1 1 0 8[c] 2 47 10
2017–18[45] พรีเมียร์ลีก 33 18 2 1 3 0 8[c] 4 46 23
2018–19[46] พรีเมียร์ลีก 34 17 4 3 3 0 10[c] 5 0 0 51 25
2019–20[47] พรีเมียร์ลีก 33 20 4 1 5 3 9[c] 6 1[d] 1 52 31
2020–21[48] พรีเมียร์ลีก 31 10 3 1 4 2 11[c] 1 49 14
2021–22[49] พรีเมียร์ลีก 30 13 3 1 2 0 12[c] 3 0 0 47 17
รวม 225 91 23 9 22 6 68 24 1 1 339 131
เชลซี 2022–23[50] พรีเมียร์ลีก 28 6 0 0 1 0 9[c] 3 38 9
2023–24[51] พรีเมียร์ลีก 31 8 6 1 6 1 43 10
รวม 59 14 6 1 7 1 9 3 81 19
รวมอาชีพ 379 123 38 11 36 11 94 27 1 1 549 173
  1. ลงแข่งในยูฟ่ายูโรปาลีก
  2. ลงเล่น 6 ครั้งในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2 ครั้งในยูฟ่ายูโรปาลีก
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 3.5 3.6 3.7 ลงเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
  4. ลงเล่นในเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์

นานาชาติ

[แก้]
ณ วันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2022[52]
ทีมชาติ ปี ลงเล่น ประตู
อังกฤษ 2012 1 0
2014 12 0
2015 7 2
2016 9 0
2017 6 0
2018 12 2
2019 9 8
2020 2 1
2021 14 5
2022 10 2
รวม 82 20
ณ วันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2022[52]
ประตูในนามทีมชาติ
ลำดับ วันที่ สนาม Cap คู่แข่ง ประตู ผล การแข่งขัน อ้างอิง
1 27 มีนาคม ค.ศ. 2015 สนามกีฬาเวมบลีย์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ 14 ธงชาติลิทัวเนีย ลิทัวเนีย 3–0 4–0 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 รอบคัดเลือก [53]
2 9 ตุลาคม ค.ศ. 2015 สนามกีฬาเวมบลีย์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ 18 ธงชาติเอสโตเนีย เอสโตเนีย 2–0 2–0 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2016 รอบคัดเลือก [54]
3 15 ตุลาคม ค.ศ. 2018 สนามกีฬาเบนิโต บิยามาริน เซบิยา ประเทศสเปน 46 ธงชาติสเปน สเปน 1–0 3–2 ยูฟ่าเนชันส์ลีก ฤดูกาล 2018–19 ลีก เอ [55]
4 3–0
5 22 มีนาคม ค.ศ. 2019 สนามกีฬาเวมบลีย์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ 48 ธงชาติเช็กเกีย เช็กเกีย 1–0 5–0 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 รอบคัดเลือก [56]
6 3–0
7 4–0
8 25 มีนาคม ค.ศ. 2019 สนามกีฬานครพอดกอรีตซา พอดกอรีตซา ประเทศมอนเตเนโกร 49 ธงชาติมอนเตเนโกร มอนเตเนโกร 5–1 5–1 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 รอบคัดเลือก [57]
9 7 กันยายน ค.ศ. 2019 สนามกีฬาเวมบลีย์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ 52 ธงชาติบัลแกเรีย บัลแกเรีย 3–0 4–0 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 รอบคัดเลือก [58]
10 10 กันยายน ค.ศ. 2019 เซนต์แมรีส์สเตเดียม เซาแทมป์ตัน ประเทศอังกฤษ 53 ธงชาติคอซอวอ คอซอวอ 1–1 5–3 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 รอบคัดเลือก [59]
11 14 ตุลาคม ค.ศ. 2019 สนามกีฬาแห่งชาติวาซิล เลฟสกี โซเฟีย ประเทศบัลแกเรีย 55 ธงชาติบัลแกเรีย บัลแกเรีย 4–0 6–0 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 รอบคัดเลือก [60]
12 5–0
13 5 กันยายน ค.ศ. 2020 Laugardalsvöllur เรคยาวิก ประเทศไอซ์แลนด์ 57 ธงชาติไอซ์แลนด์ ไอซ์แลนด์ 1–0 1–0 ยูฟ่าเนชันส์ลีก ฤดูกาล 2020–21 ลีก เอ [61]
14 25 มีนาคม ค.ศ. 2021 สนามกีฬาเวมบลีย์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ 59 ธงชาติซานมารีโน ซานมารีโน 3–0 5–0 ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก [62]
15 13 มิถุนายน ค.ศ. 2021 สนามกีฬาเวมบลีย์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ 62 ธงชาติโครเอเชีย โครเอเชีย 1–0 1–0 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 [63]
16 22 มิถุนายน ค.ศ. 2021 สนามกีฬาเวมบลีย์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ 64 ธงชาติเช็กเกีย เช็กเกีย 1–0 1–0 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 [64]
17 29 มิถุนายน ค.ศ. 2021 สนามกีฬาเวมบลีย์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ 65 ธงชาติเยอรมนี เยอรมนี 1–0 2–0 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 [65]
18 2 กันยายน ค.ศ. 2021 ปุชกาชออเรนอ บูดาเปสต์ ประเทศฮังการี 69 ธงชาติฮังการี ฮังการี 1–0 4–0 ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก [66]
19 29 มีนาคม ค.ศ. 2022 สนามกีฬาเวมบลีย์ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ 74 ธงชาติโกตดิวัวร์ โกตดิวัวร์ 2–0 3–0 กระชับมิตร [67]
20 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 2022 สนามกีฬานานาชาติเคาะลีฟะฮ์ โดฮา ประเทศกาตาร์ 80 ธงชาติอิหร่าน อิหร่าน 3–0 6–2 ฟุตบอลโลก 2022 [68]

เกียรติประวัติ

[แก้]

แมนเชสเตอร์ซิตี

อังกฤษ

ส่วนตัว

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

อ้างอิง

[แก้]
  1. "ราฮีม สเตอร์ลิง". Barry Hugman's Footballers. สืบค้นเมื่อ 5 ธันวาคม 2017.
  2. 2.0 2.1 "Raheem Sterling". Chelsea F.C. สืบค้นเมื่อ 16 July 2022.
  3. "Liverpool 0-1 Fulham" BBC Sport. 1 May 2012. Retrieved 10 June 2012.
  4. "Liverpool 4-1 Chelsea" BBC Sport. 8 May 2012. Retrieved 10 June 2012.
  5. "Liverpool 2-2 Man City" BBC Sport. 26 August 2012. Retrieved 26 August 2012.
  6. "Liverpool 1-0 Reading" BBC Sport. 20 October 2012. Retrieved 20 October 2012.
  7. "Liverpool 3-0 Sunderland" BBC Sport. 2 January 2013. Retrieved 6 January 2013.
  8. "ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลพบสเปอร์ส". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-19. สืบค้นเมื่อ 2015-03-20.
  9. "ลิเวอร์พูลยกพลคว้าชัยถึงถิ่นสเปอร์สในเกมระดับห้าดาว". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-03-20.
  10. "ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลพบคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-24. สืบค้นเมื่อ 2015-06-25.
  11. "ความยอดเยี่ยมของซัวเรซส่งลิเวอร์พูลสู่ตำแหน่งจ่าฝูง". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-06-26.
  12. "ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลพบอาร์เซนอล". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-02. สืบค้นเมื่อ 2015-06-27.
  13. "ลิเวอร์พูลเปิดแอนฟิลด์ถล่มอาร์เซนอล 5-1". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-02. สืบค้นเมื่อ 2015-06-28.
  14. "ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลเยือนเซาท์แฮมป์ตัน". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-06. สืบค้นเมื่อ 2015-06-29.
  15. "ลิเวอร์พูลเอาชนะเซาท์แฮมป์ตันขยับขึ้นอันดับ 2". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-06-30.
  16. "ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลพบแมนเชสเตอร์ซิตี". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-04-16. สืบค้นเมื่อ 2015-03-11.
  17. "คูตินโญ่ยิงประตูชัยเอาชนะแมนฯ ซิตี้ 3-2 รั้งจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-04-16. สืบค้นเมื่อ 2015-03-12.
  18. "ซัวเรซกวาด 3 รางวัล ในงานประกาศรางวัลสโมสรลิเวอร์พูล". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2014-06-04.
  19. "ลูกยิงของสเตอร์ริดจ์ช่วยให้ลิเวอร์พูลเฉือนชนะทีมนักบุญ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2014-08-23.
  20. "ลิเวอร์พูลบุกไปยิงสามประตูถึงไวท์ ฮาร์ต เลน". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2014-09-05.
  21. "เจอร์ราร์ดยิงจุดโทษท้ายเกมให้ลิเวอร์พูลคว้าชัยสุดดราม่า". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-03-21.
  22. "ลิเวอร์พูลบุกไปพ่ายเวสต์แฮม 1-3". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2014-09-24.
  23. ความเฉียบขาดของสเตอร์ลิงส่งให้ลิเวอร์พูลทะลุเข้ารอบรองชนะเลิศ[ลิงก์เสีย]
  24. "ราฮีม สเตอร์ลิงคว้ารางวัล โกลเด้น บอย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2014-12-22.
  25. "ประตูของสเตอร์ลิงคว้าชัยชนะให้ลิเวอร์พูลในวันบ็อกซิ่งเดย์". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2014-12-29.
  26. "ลิเวอร์พูลเปิดแอนฟิลด์เสมอเชลซี 1-1". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-01-23.
  27. สเตอร์ริดจ์ยิงในเกมที่หงส์แดงเอาชนะขุนค้อน[ลิงก์เสีย]
  28. ลูกยิงท้ายเกมของคูตินโญ่ส่งลิเวอร์พูลผ่านเข้ารอบเอฟเอ คัพ[ลิงก์เสีย]
  29. "ลิเวอร์พูลขยับขึ้นอันดับ 6 หลังเอาชนะทีมนักบุญ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-02-26.
  30. "ลิเวอร์พูลลดช่องว่างท็อปโฟร์หลังชนะนิวคาสเซิล". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-04-17.
  31. 5 ข้อเท็จจริงจากเกมลิเวอร์พูลชนะนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด[ลิงก์เสีย]
  32. "คูตินโญ่กวาด 4 รางวัล ในงานประกาศรางวัล Players' Awards". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-04. สืบค้นเมื่อ 2015-05-21.
  33. สุดแสบ! “สเตอร์ลิง” อ้างป่วย โดดซ้อมทัพ “หงส์”[ลิงก์เสีย]
  34. “ราฮีม” ออกลายปัดทัวร์ปรีซีซันกับ “หงส์” หวังชิ่งไป “เรือใบ”[ลิงก์เสีย]
  35. จบมหากาพย์ “เรือใบ” ปิดดีลเซ็น สเตอร์ลิงเข้ารัง[ลิงก์เสีย]
  36. หน้า 20 กีฬา, ราฮีม สเตอร์ลิง อดีต 'หงส์' อนาคต 'เรือ' โดย หมึกบอล. เดลินิวส์ฉบับที่ 24,016: วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 แรม 15 ค่ำ เดือน 8 ปีมะแม
  37. หน้า 19 ต่อจากหน้า 17 กีฬา, ฟานกัลแย้ม'ผี'ล่าหัวหอก. "เรือใบสีฟ้าดวลเป้าดับโรมา". เดลินิวส์ฉบับที่ 24,023: วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 8-8 ปีมะแม
  38. ประตูของสเตอร์ลิง และความยอดเยี่ยมของสเคอร์เทล[ลิงก์เสีย]
  39. "Games played by ราฮีม สเตอร์ลิง in 2011/2012". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 7 December 2014.
  40. "Games played by ราฮีม สเตอร์ลิง in 2012/2013". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 7 December 2014.
  41. "Games played by ราฮีม สเตอร์ลิง in 2013/2014". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 7 December 2014.
  42. "Games played by ราฮีม สเตอร์ลิง in 2014/2015". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 15 July 2015.
  43. "Games played by ราฮีม สเตอร์ลิง in 2015/2016". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 29 May 2016.
  44. "Games played by ราฮีม สเตอร์ลิง in 2016/2017". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 20 July 2017.
  45. "Games played by ราฮีม สเตอร์ลิง in 2017/2018". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 14 July 2018.
  46. "Games played by ราฮีม สเตอร์ลิง in 2018/2019". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 9 June 2019.
  47. "Games played by ราฮีม สเตอร์ลิง in 2019/2020". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 10 September 2020.
  48. "Games played by ราฮีม สเตอร์ลิง in 2020/2021". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 8 July 2021.
  49. "Games played by ราฮีม สเตอร์ลิง in 2021/2022". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 11 May 2022.
  50. "Games played by ราฮีม สเตอร์ลิง in 2022/2023". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 27 August 2023.
  51. "Games played by ราฮีม สเตอร์ลิง in 2023/2024". Soccerbase. Centurycomm. สืบค้นเมื่อ 11 May 2024.
  52. 52.0 52.1 "Raheem Sterling: Internationals". worldfootball.net. HEIM:SPIEL. สืบค้นเมื่อ 27 August 2023.
  53. "England vs. Lithuania 4–0: Summary". Soccerway. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 25 March 2021.
  54. "England vs. Estonia 2–0: Summary". Soccerway. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 25 March 2021.
  55. "Spain vs. England 2–3: Summary". Soccerway. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 25 March 2021.
  56. "England vs. Czech Republic 5–0: Summary". Soccerway. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 25 March 2021.
  57. "Montenegro vs. England 1–5: Summary". Soccerway. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 25 March 2021.
  58. "England vs. Bulgaria 4–0: Summary". Soccerway. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 25 March 2021.
  59. "England vs. Kosovo 5–3: Summary". Soccerway. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 25 March 2021.
  60. "Bulgaria vs. England 0–6: Summary". Soccerway. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 25 March 2021.
  61. "Iceland vs. England 0–1: Summary". Soccerway. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 25 March 2021.
  62. "England vs. San Marino 5–0: Summary". Soccerway. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 25 March 2021.
  63. "England vs. Croatia 1–0: Summary". Soccerway. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 13 June 2021.
  64. "Czech Republic vs. England 0–1: Summary". Soccerway. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 22 June 2021.
  65. "England vs. Germany 2–0: Summary". Soccerway. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 29 June 2021.
  66. "Hungary vs. England 0–4: Summary". Soccerway. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 2 September 2021.
  67. "England vs. Côte d'Ivoire 3–0: Summary". Soccerway. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 29 March 2022.
  68. "England vs. Iran 6–2: Summary". Soccerway. Perform Group. สืบค้นเมื่อ 26 November 2022.
  69. 69.0 69.1 "Raheem Sterling: Overview". Premier League. สืบค้นเมื่อ 15 January 2022.
  70. McNulty, Phil (18 May 2019). "Manchester City 6–0 Watford". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 18 May 2019.
  71. McNulty, Phil (28 February 2016). "Liverpool 1–1 Manchester City". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 3 April 2018.
  72. McNulty, Phil (24 February 2019). "Chelsea 0–0 Manchester City". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 24 February 2019.
  73. McNulty, Phil (1 March 2020). "Aston Villa 1–2 Manchester City". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 1 March 2020.
  74. McNulty, Phil (25 April 2021). "Manchester City 1–0 Tottenham Hotspur". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 25 April 2021.
  75. Begley, Emlyn (4 August 2019). "Liverpool 1–1 Manchester City". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 4 August 2019.
  76. "Man. City 0–1 Chelsea: Updates". UEFA. สืบค้นเมื่อ 31 May 2021.
  77. McNulty, Phil (11 July 2021). "Italy 1–1 England". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 17 July 2021.
  78. McNulty, Phil (9 June 2019). "Switzerland 0–0 England". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 12 June 2019.
  79. "Suarez bags treble at awards dinner". Liverpool F.C. 6 May 2014. สืบค้นเมื่อ 7 May 2014.
  80. "Phil wins four prizes at Players' Awards". Liverpool F.C. 19 May 2015. สืบค้นเมื่อ 19 May 2015.
  81. "Raheem Sterling named Europe's Golden Boy after excellent year at Liverpool FC". Liverpool Echo. 20 December 2014. สืบค้นเมื่อ 20 December 2014.
  82. "Champions League team of the group stage". UEFA. 15 December 2015.
  83. "UEFA Champions League Squad of the Season". UEFA. 2 June 2019.
  84. "UEFA Champions League Squad of the Season". UEFA. 28 August 2020. สืบค้นเมื่อ 28 August 2020.
  85. "PFA Team of the Year: Paul Pogba, Raheem Sterling and Sadio Mane included in side". BBC Sport. 25 April 2019. สืบค้นเมื่อ 25 April 2019.
  86. "Raheem Sterling Wins 2019 PFA Young Player of the Year over Bernardo Silva, More". Bleacher Report. 28 April 2019. สืบค้นเมื่อ 29 April 2019.
  87. "Raheem Sterling and Nikita Parris win Football Writers' Association Footballer of the Year awards". BBC Sport. 29 April 2019. สืบค้นเมื่อ 29 April 2019.
  88. "UEFA EURO 2020 Team of the Tournament revealed". UEFA. 13 July 2021. สืบค้นเมื่อ 13 July 2021.
  89. "No. 63377". The London Gazette (Supplement). 12 June 2021. p. B23.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]