ข้ามไปเนื้อหา

กบฏผู้มีบุญ

พิกัด: 21°02′00″N 105°51′00″E / 21.0333°N 105.8500°E / 21.0333; 105.8500
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กบฏผู้มีบุญ

พวกกบฏผู้มีบุญหรือผีบุญในสยามซึ่งถูกควบคุมตัวไว้
ทุ่งศรีเมือง เมืองอุบลราชธานี เมื่อ พ.ศ. 2445
วันที่มีนาคม 2444 – มกราคม 2479[1]
สถานที่
ลาวในอารักขาของฝรั่งเศส และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสยาม[2]
ผล ฝรั่งเศส-สยามชนะ[2]
คู่สงคราม
 อินโดจีนของฝรั่งเศส
ไทย สยาม (ถึงปี 2445)[1]
ขบวนการผู้มีบุญ (ผู้ที่แอบอ้างเป็นพระยาธรรมมิกราช)[2]
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
อินโดจีนของฝรั่งเศส ปอล ดูแมร์
ไทย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[1]
องค์แก้ว  
องค์กมมะดำ 
องค์มั่น[1]
พ่อกะดวด (ท้าวอายี่)
กำลัง
มากกว่า 500 คน
ปืนใหญ่ 2 กระบอก[1]
4,000 คน[1]
ความสูญเสีย
เสียชีวิตมากกว่า 54 คน[1] เสียชีวิตมากกว่า 450 คน
บาดเจ็บมากกว่า 150 คน
ถูกจับกุมมากกว่า 400 คน[1]

กบฏผู้มีบุญ หรือ กบฏผีบุญ หรือ กบฏผีบ้าผีบุญ (ฝรั่งเศส: Révolte des Bolovens "กบฏบ่อละเวน") เป็นเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศสยามและลาวในอารักขาของฝรั่งเศสซึ่งเกิดขึ้นระหว่างเดือนมีนาคม พ.ศ. 2444 ถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2479 มีจุดเริ่มจากที่ผู้สนับสนุนของขบวนการทางศาสนาของ "ผู้มีบุญ" ทำการกบฏติดอาวุธสู้กับอินโดจีนของฝรั่งเศสและสยาม เพื่อสถาปนาผู้นำนาม "องค์แก้ว" ผู้อ้างตนเป็นพระยาธรรมิกราช ขึ้นเป็นผู้นำของโลก เหตุกระด้างกระเดื่องดังกล่าวในสยามได้ถูกปราบปรามลงจนสงบในปี พ.ศ. 2445 แต่ยังคงดำเนินต่อไปในอินโดจีนของฝรั่งเศสจนกระทั่งถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2479 จึงถูกกำราบลงได้อย่างเด็ดขาด

เบื้องหลัง

[แก้]

ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงเปลี่ยนแปลงการบริหารราชการแผ่นดินส่วนภูมิภาคเป็นมณฑลเทศาภิบาล สยามยังคงจัดการปกครองแบบหัวเมืองโดยแบ่งเขตการปกครองเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ราชธานีและเมืองปริมณฑล หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก และเมืองประเทศราช ในช่วงปี พ.ศ. 2369 - พ.ศ. 2371 สยามปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ จึงเข้าปกครองลาวใต้และรวบรวมอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์มาเป็นส่วนหนึ่งของการปกครอง ส่วนขุนนางชาวลาวที่ได้รับความไว้วางพระทัยจากพระเจ้ากรุงสยามก็จะทำหน้าที่ดูแลประชาชนลาว รวมถึงกลุ่มชาวลาวเทิง เช่น ชาวอาลัก และชาวละเวน ซึ่งถูกคนลาวเรียกเหมารวมในเชิงดูถูกว่า "ข่า" (ตรงกับคำว่า "ข้า" ในภาษาไทย) กลุ่มชาติพันธุ์ลาวลุ่มที่มีจำนวนมากกว่ามักโจมตีชนกลุ่มน้อยที่อ่อนแอกว่า (เรียกว่า "การตีข่า") เพื่อลักพาตัวไปขายเป็นทาสที่เมืองจำปาศักดิ์ และทาสเหล่านี้จะถูกส่งไปที่เมืองพนมเปญกับกรุงเทพ โดยผู้ขายทาสกับพ่อค้าคนกลางสามารถสร้างกำไรได้มหาศาล

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตราพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณลูกทาสลูกไทย ลงวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2417 เพื่อแก้ไขพิกัดค่าตัวทาสใหม่ โดยให้ลดค่าตัวทาสลงตั้งแต่อายุ 8 ขวบ จนกระทั่งหมดค่าตัวเมื่ออายุได้ 20 ปี เมื่ออายุได้ 21 ปี ผู้นั้นก็จะเป็นอิสระ มีผลกับทาสที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2411 เป็นต้นมา และห้ามมิให้มีการซื้อขายบุคคลที่มีอายุมากกว่า 20 ปีเป็นทาสอีก ทำให้แหล่งค้าทาสได้รับผลกระทบจากกฎหมายดังกล่าวในทันที

ในปี พ.ศ. 2426 ฝรั่งเศสได้พยายามขยายอาณานิคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงใช้สนธิสัญญาเว้อ้างสิทธิ์ในดินแดนเวียดนามทั้งหมด โดยทหารฝรั่งเศสค่อย ๆ ยึดที่ราบสูงกองตุ้ม และขับไล่ชาวสยามออกจากลาวหลังเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ก่อให้เกิดพื้นที่กันชนแห่งใหม่ตามแนวฝั่งขวา (ฝั่งตะวันตก) ของแม่น้ำโขง ซึ่งตามสนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ร.ศ. 112 กำหนดให้พื้นที่ในระยะ 25 กิโลเมตรของแม่น้ำโขงฝั่งขวาเป็นเขตปลอดทหาร พวกคนนอกกฎหมายในท้องถิ่นจึงใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่หลบภัยได้สะดวก

ครั้นถึงปี พ.ศ. 2442 รัฐบาลสยามได้ยกเลิกการเรียกบรรณาการจากหัวเมืองประเทศราช และเปลี่ยนมาใช้ระบบการจัดเก็บเงินรัชชูปการและภาษีอากรต่างๆ เข้าเป็นรายได้แผ่นดินส่วนกลางโดยตรง ทำให้ข้าราชการท้องถิ่นชาวลาวสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์แบบเดิมอย่างสิ้นเชิง การเปลี่ยนแปลงระบบภาษีกอปรกับผลกระทบจากกฎหมายเลิกทาสจึงนำไปสู่การก่อกบฏของคนลาวและพวกข่าอย่างเปิดเผยในที่สุด[3]

การสู้รบ

[แก้]

ปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2444 ข้าหลวงฝรั่งเศสประจำแขวงสาละวันได้จัดให้กองทหารประจำถิ่นขนาดเล็กกองหนึ่งออกไปสืบเรื่ององค์แก้ว ซึ่งเป็นหมอธรรมในท้องถิ่น ได้ทำการซ่องสุมผู้คนไว้มากมายจนผิดสังเกต องค์แก้วรวบรวมชนกลุ่มน้อยกลุ่มที่ถูกเรียกว่า "ข่า" ไว้ได้หลายเชื้อชาติ ทั้งชาวอาลัก ชาวเซดัง (เวียดนาม: Xê Đăng) ชาวละเวน และชาวญาเฮือน ชนเหล่านี้ให้ความเคารพองค์แก้วเสมือนพระโพธิสัตว์ ทำให้เขาสามารถตั้งตนเป็นพระยาธรรมิกราชหรือผู้มีบุญเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านอำนาจฝรั่งเศสได้ ในวันที่ 12 เมษายน ปีนั้นเอง ชาวข่าเผ่าต่างๆ ได้เข้าโจมตีกองทหารลาดตระเวนของฝรั่งเศส แม้ข้าหลวงสามารถหนีกลับไปที่เมืองสาละวันได้ แต่ถึงกระนั้น ข่าวสารการก่อกบฏก็ได้กระจายไปทั่วแล้ว ในวันที่ 29 พฤษภาคม กบฏชาวเซดังก็ได้โจมตีป้อมทหารหน้าด่านของฝรั่งเศสซึ่งอยู่นอกเมืองกองตุ้ม สามารถสังหารผู้บังคับการทหารประจำด่านดังกล่าว[1][2][4]

หลังจากนั้นได้มีหนังสือใบลานระบุคำทำนายเรื่องผู้มีบุญหรือพระยาธรรมิกราชเผยแพร่อย่างกว้างขวางในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสยาม กล่าวอ้างว่าจะมีภัยพิบัติใหญ่เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2444 และผู้มีบุญหรือพระยาธรรมิกราชจะมาโปรดชาวโลกให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข ชาวบ้านเชื่อว่าผู้มีบุญหรือพระยาธรรมิกราชสามารถเล่นแร่แปรธาตุ เปลี่ยนหินให้เป็นทองคำและเปลี่ยนทองคำให้กลายเป็นหินได้ จึงพากันเก็บหินลูกรังด้วยความเชื่อว่าหินแร่เหล่านี้จะกลายเป็นเงินเป็นทอง ทั้งยังพากันฆ่าสัตว์เลี้ยงด้วยความหวาดกลัวว่าสัตว์เหล่านั้นจะกลายเป็นยักษ์กินคนตามคำทำนาย ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2444 ผู้นำชาวลาวจำนวนหนึ่งได้ประกาศความภักดีต่อองค์แก้วและทำการเผาบ้านเมืองตามแนวแม่น้ำเซโดน

ข่าวกบฏผู้มีบุญแพร่กระจายถึงสยามหลังจากที่องค์มั่นประกาศตั้งตัวเป็นผู้มีบุญเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2445 องค์มั่นได้รวบรวมทหารเข้าบุกโจมตีเมืองเขมราฐซึ่งเป็นเมืองชายแดนของสยาม ทหารขององค์มั่นสังหารข้าราชการสองคน ปล้นและเผาเมืองเขมราฐ ทั้งยังลักพาตัวพระเขมรัฐเดชชนารักษ์ (คำบุ) เจ้าเมืองเขมราฐ เพื่อบังคับให้เข้าร่วมขบวนการผู้มีบุญ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลอีสาน จึงโปรดให้ส่งทหาร 400 นายไปยังเมืองสุรินทร์ ศรีสะเกษ ยโสธร และอุบลราชธานี เพื่อปราบปรามผู้มีบุญกลุ่มต่างๆ ที่ทยอยตั้งตัวขึ้นสนับสนุนกลุ่มองค์มั่น

ในขณะนั้นเอง องค์มั่นได้ทำการรวบรวมผู้ติดตาม 1,000 คน ตั้งค่ายที่บ้านสะพือใหญ่ (อยู่ในเขตอำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานีปัจจุบัน) และซุ่มโจมตีทหารสยาม 9 นายเสียชีวิต ทำให้องค์มั่นมีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นอีก 1,500 คน ฝ่ายทางการสยามจึงจัดทหารจำนวน 100 คน พร้อมปืนใหญ่ 2 กระบอก เพื่อแกะรอยและทำการปราบปรามกองกำลังขององค์มั่น ในวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2445 ทหารสยามทำการซุ่มโจมตีกองทัพกบฎที่โนนโพ ใกล้บ้านสะพือใหญ่ นอกเมืองอุบลราชธานี ฝ่ายกบฏตายไปราว 300 คนและจับตัวได้อีก 400 คน ขบวนการผู้มีบุญกลุ่มองค์มั่นจึงล่มสลายและยุติลงอย่างสิ้นเชิง แต่ผู้รอดชีวิตส่วนหนึ่งได้หนีข้ามแม่น้ำโขงเพื่อเคลื่อนไหวร่วมกับขบวนการผู้มีบุญในลาวต่อไป[1]

ด้านเหตุการณ์ในลาว ชาวบ้านได้บุกล้อมกองเสบียงของคณะข้าหลวงฝรั่งเศสในช่วงปลายเดือนเมษายนที่เมืองสะหวันนะเขต ทางการฝรั่งเศสจึงส่งทหารออกปราบปราม ส่งผลให้กบฏ 150 คนถูกฆ่าและอีก 150 คนได้รับบาดเจ็บ กลุ่มกบฏจึงย้ายไปซ่อนตัวตามแนวสายภูหลวงหรือเทือกเขาอันนัม ยุติการเคลื่อนไหวชั่วคราวจนกระทั่งในวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2448 กลุ่มผู้ก่อกบฏได้ย้ายกำลังไปยังบ้านหนองบกเก่า และสังหารหมู่ชาวละเวนจำนวน 41 คน ฝรั่งเศสระดมพลเข้าปราบปรามอีกครั้งและบีบบังคับให้องค์แก้วยอมแพ้ องค์แก้วจึงหลบหนีเข้าสยาม ก่อนจะกลับเข้ามาที่ลาวเมื่อสถานการณ์สงบลงและพยายามก่อการเคลื่อนไหวอีกครั้งในแถบที่ราบสูงบ่อละเวน

ในปี พ.ศ. 2453 องค์แก้วได้เจรจาสงบศึกกับฝ่ายฝรั่งเศส ฌอง ฌาคส์ โดพลาย์ (Jean-Jacques Dauplay) ข้าหลวงฝรั่งเศสประจำแขวงสาละวัน ได้ลอบซ่อนปืนพกไว้ใต้หมวกเพื่อมิให้ถูกฝ่ายลาวตรวจค้น (เนื่องจากธรรมเนียมลาวถือเรื่องการแตะต้องศีรษะว่าเป็นการดูหมิ่น) และได้ยิงองค์แก้วเสียชีวิตระหว่างการเจรจา องค์กมมะดำซึ่งเป็นลุกศิษย์ขององค์แก้วจึงรับช่วงต่อการเคลื่อนไหวขบวนการผู้มีบุญจนกระทั่งถูกฝ่ายฝรั่งเศสยิงเสียชีวิตเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2479 ขบวนการผู้มีบุญในลาวจึงถึงจุดสิ้นสุดลงอย่างแท้จริง[1][2]

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 John B. Murdoch (1971). "THE 1901–1902 "HOLY MAN'S" REBELLION" (PDF). Journal of the Siam Society. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2018-07-13. สืบค้นเมื่อ 27 July 2015.
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 Craig J. Reynolds. "The Concept of Peasant Revolt in Southeast Asia". University of Sydney eScholarship Journals. สืบค้นเมื่อ 21 August 2015.
  3. Murdoch, John B. (1974). "The 1901-1902 "Holy Man's Rebellion"" (PDF). Journal of the Siam Society. Siam Heritage Trust. JSS Vol.62.1 (digital): image 3. สืบค้นเมื่อ April 2, 2013. 8) "Kha" is the common, though somewhat pejorative, term used for the Austroasiatic tribal people of Northeast Thailand, Laos, and Viet-nam. I use it here because it is common parlance in the literature and for lack of a better term.
  4. Martin Stuart-Fox (30 January 2006). "Buddhism and politics in Laos, Cambodia, Myanmar and Thailand" (PDF). ANU College of Asia & the Pacific. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2017-02-17. สืบค้นเมื่อ 21 August 2015.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]

งานศึกษาที่เกี่ยวข้อง

[แก้]

เว็บไซต์

[แก้]

21°02′00″N 105°51′00″E / 21.0333°N 105.8500°E / 21.0333; 105.8500