สงครามท่าดินแดง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สงครามท่าดินแดง
ส่วนหนึ่งของ สงครามไทย-พม่า

ภาพวาดการรบที่ท่าดินแดง ฝีมือของเหม เวชกร
วันที่พฤศจิกายน พ.ศ. 2329 - มีนาคม พ.ศ. 2330
สถานที่
ท่าดินแดงและสามประสบ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
ผล สยามได้ชัยชนะ
คู่สงคราม
อาณาจักรพม่า อาณาจักรรัตนโกสินทร์
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
พระเจ้าปดุง
มหาอุปราชตะโดเมงสอ
เมียนวุ่น
เมียนเมวุ่น

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข
เจ้าพระยารัตนาพิพิธ (สน สนธิรัตน์)
พระยากลาโหมราชเสนา

พระยาจ่าแสนยากร
กำลัง
36,000 30,000

สงครามท่าดินแดง เป็นสงครามระหว่างสยามอาณาจักรรัตนโกสินทร์และอาณาจักรพม่าราชวงศ์โก้นบอง เป็นการรุกรานของพม่าครั้งที่สองในสมัยรัตนโกสินทร์และเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องจากสงครามเก้าทัพ เกิดขึ้นหลังจากสงครามเก้าทัพหนึ่งปีในพ.ศ. 2329 หลังจากที่ฝ่ายพม่าซึ่งนำโดยพระเจ้าปดุงปราชัยไปในสงครามเก้าทัพและถอยทัพกลับ ในปีต่อมาฝ่ายพม่าพระเจ้าปดุงทรงจัดทัพเข้ารุกรานสยามอีกครั้ง โดยเข้ามาทางเส้นทางเดียวคือทางด่านเจดีย์สามองค์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเสด็จยกทัพไปสู้รบกับฝ่ายพม่าที่ท่าดินแดงและสามประสบ (อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี) ได้รับชัยชนะสามารถต้านทานการรุกรานของพม่าได้สำเร็จ

เหตุการณ์นำ[แก้]

ในพ.ศ. 2328 หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนากรุงเทพฯเป็นราชธานีได้เพียงสามปี พระเจ้าปดุง (Badon Min) กษัตริย์พม่าราชวงศ์โก้นบองจัดทัพเข้ารุกรานอาณาจักรสยามจากหลายทิศทางทั้งหมดจำนวนเก้าทัพ โดยทัพขนาดใหญ่ที่สุดคือทัพหลวงของพระเจ้าปดุงยกมาทางด่านเจดีย์สามองค์เข้าโจมตีทางกาญจนบุรี โดยส่งแม่ทัพฝ่ายพม่าคือเมียนวุ่นและเมียนเมวุ่นยกทัพหน้าเข้ามาก่อน กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทพร้อมทั้งพระยากลาโหมราชเสนา พระยาจ่าแสนยากร และเจ้าพระยารัตนาพิพิธ (สน สนธิรัตน์) เสด็จยกทัพไปตั้งรับเมียนวุ่นและเมียนเมวุ่นทางกาญจนบุรีที่ทุ่งลาดหญ้า (ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี) นำไปสู่การรบที่ทุ่งลาดหญ้า การสู้รบใช้เวลาประมาณสองเดือน ฝ่ายพม่าประสบปัญหาขาดแคลนเสบียงทำให้ต้องปราชัยและถอยไปในที่สุด เมื่อทัพหน้าของเมียนวุ่นและเมียนเมวุ่นพ่ายแพ้พระเจ้าปดุงจึงทรงถอยทัพกลับไปยังเมืองเมาะตะมะ ทัพของพม่าที่เข้ารุกรานทางราชบุรีก็ไม่ประสบผลเช่นกันต้องถอยกลับไปยังเมืองทวาย

ทางแหลมมลายูภาคใต้นั้น แกงหวุ่นแมงยีแม่ทัพพม่ายกทัพยึดได้เมืองชุมพร เมืองไชยา และเมืองนครศรีธรรมราช กรมพระราชวังบวรฯเสด็จยกทัพลงทางใต้ ทรงให้พระยากลาโหมราชเสนาและพระยาจ่าแสนยากรเอาชนะทัพพม่าได้ที่เมืองไชยา ทำให้แกงหวุ่นแมงยีต้องถอยทัพกลับไปอยู่ที่เมืองมะริดในเดือนมีนาคมพ.ศ. 2329 แม้ว่าการรุกรานของพม่าในสงครามเก้าทัพจะประสบกับความล้มเหลว แต่พระเจ้าปดุงทรงไม่ยอมแพ้ มีพระราชโองการให้ทัพของแกงหวุ่นแมงยีที่เมืองมะริดถอยไปอยู่เมืองทวาย เพื่อพักค้างในฤดูฝน[1]เตรียมการสำหรับการรุกรานครั้งใหม่หลังจากฤดูฝนสิ้นสุดลง และให้ทัพเมืองทวายกลับไปอยู่ที่เมืองเมาะตะมะ ส่วนพระเจ้าปดุงนั้นยกทัพเสด็จกลับเมืองอังวะ

การจัดเตรียมทัพ[แก้]

ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2329 พระเจ้าปดุงมีพระราชโองการให้พระโอรสคือเจ้าชายอินแซะ (Ainshe หรือ Einshay) มหาอุปราชยกทัพพม่าจำนวน 50,000 คน มาตั้งที่เมืองเมาะตะมะ กาารรุกรานของพม่าในครั้งนี้แตกต่างจากสงครามเก้าทัพในครั้งก่อนคือยกมาเพียงเส้นทางเดียว ที่เมืองเมาะตะมะเจ้าชายอินแซะมหาอุปราชมีพระบัญชาให้เมียนวุ่นและเมียนเมวุ่น สองแม่ทัพพม่าที่พ่ายแพ้ในการรบที่ทุ่งลาดหญ้าเมืองปีก่อนหน้า ยกทัพจำนวน 30,000 คน เป็นทัพหน้าเข้ามาก่อน เมียนวุ่นและเมียนเมวุ่นมาตั้งทัพที่ท่าดินแดงและสามประสบ (อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี) โดยฝ่ายพม่าตั้งยุ้งฉางสำหรับเก็บเสบียงอย่างมากมายไว้ตลอดทางเดินทัพ[2][1] เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนเสบียงในครั้งก่อนหน้า และสร้างสะพานข้ามแม้น้ำในทุกจุดข้าม หมายจะตั้งทัพอยู่เป็นแรมปี[2][1] ที่ท่าแดนแดงและสามประสบนั้น เมียนวุ่นและเมียนเมวุ่นให้ตั้งค่ายชักปีกกาขุดสนามเพลาะ ส่วนเจ้าชายอินแซะมหาอุปราชยกทัพจำนวนที่เหลืออีก 20,000 คน มาตั้งที่แม่น้ำแม่กษัตริย์

กองลาดตระเวนเมืองไทรโยค เมืองศรีสวัสดิ์ และเมืองกาญจนบุรี พบทัพพม่ามาตั้งอยู่ที่ท่าดินแดงและสามประสบ จึงรายงานเข้าไปยังกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯโปรดฯให้จัดเตรียมทัพดังนี้;

  • สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล พร้อมทั้งพระยากลาโหมราชเสนา พระยาจ่าแสนยากร และเจ้าพระยารัตนาพิพิธ (สน) สมุหนายก เสด็จยกทัพหน้าจำนวน 30,000 คน ล่วงหน้าไปก่อน
  • พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จยกทัพหลวงจำนวน 30,000 คน พร้อมทั้งกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข
  • ให้พระยาพลเทพ (ปิ่น) เป็นผู้รักษาพระนครฯ

การรบ[แก้]

กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเสด็จยกทัพจากกรุงเทพฯจำนวน 30,000 คน ทางชลมารคไปยังเมืองไทรโยคเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 3 ขึ้น 14 ค่ำ (วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2330) เมื่อถึงเมืองไทรโยคกรมพระราชวังบวรฯมีพระราชบัณฑูรให้พระยากลาโหมราชเสนา พระยาจ่าแสนยากร และเจ้าพระยารัตนาพิพิธ (สน) ยกทัพหน้าจำนวน 20,000 คน ล่วงหน้าไป พบกับทัพพม่าที่สามประสบ เพื่อโจมตีทัพพม่าให้พ่ายแพ้ไปตั้งแต่ที่ชายแดนโดยไม่ให้ทัพพม่าเข้าในเขตแดนดังเช่นในคราวก่อน[1] พระยากลาโหมราชเสนา พระยาจ่าแสนยากร และเจ้าพระยารัตนาพิพิธตั้งค่ายที่สามประสบ ทัพของกรมพระราชวังบวรฯตั้งห่างจากทัพหน้าลงมาเป็นระยะทาง 50 เส้น[2] พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯเสด็จยกทัพหลวงทางชลมารคถึงเมืองไทรโยค แล้วยกขึ้นเป็นทัพบกเสด็จไปตั้งทัพห่างจากทัพของกรมพระราชวังบวรฯลงมา 70 เส้น[2] จากนั้นมีพระราชโองการให้แม่ทัพนายกองทัพหลวงยกแยกออกไปตั้งประชิดกับทัพพม่าที่ท่าดินแดง

ในวันพุธ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 4 (21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2330) ทัพฝ่ายไทยเข้าโจมตีทัพฝ่ายพม่าพร้อมกันทั้งทีท่าดินแดงและสามประสบ การสู้รบกินเวลาทั้งกลางวันและกลางคืนมีการยิ่งปืนใหญ่ใส่กันและกัน การสู้รบใช้เวลาประมาณสามวันจนกระทั่งในวันศุกร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 4 ทัพพม่าแตกพ่ายถอยร่นไป ฝ่ายเจ้าชายอินแซะมหาอุปราชทรงทราบว่าทัพหน้าของเมียนวุ่นและเมียนเมวุ่นพ่ายแพ้ถอยมาแล้วจึงมีพระบัญชาให้ถอยทัพกลับไปยังเมืองเมาะตะมะเช่นกัน ทัพฝ่ายไทยยกติดตามไปสังหารทหารพม่าจำนวนและติดตามไปจนถึงแม่น้ำแม่กษัตริย์ซึ่งทัพของเจ้าชายอินแซะมหาอุปราชตั้งอยู่ จากนั้นมีพระราชโองการให้เผาทำลายยุ้งฉางที่เก็บเสบียงของพม่าจนหมดสิ้น แล้วจึงยกทัพกลับพระนคร

ผลลัพธ์[แก้]

"ด่านเจดีย์สามองค์" ณ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เป็นช่องทางหลักของการเดินทัพของพม่า

สงครามท่าดินแดง นับเวลาตั้งแต่ยกทัพออกจากกรุงเทพฯไป ใช้ระยะเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน[1] สามารถเอาชนะทัพฝ่ายพม่าได้ แม้ว่าฝ่ายพม่าพยายามแก้ไขปัญหาเรื่องความขาดแคลนเสบียงดังที่เกิดขึ้นในสงครามเก้าทัพครั้งก่อนแล้ว แต่ฝ่ายพม่ากลับไม่สามารถตั้งทัพอยู่ได้นานต้องถอยกลับไปในเวลาสั้น ฝ่ายสยามยกทัพไปพบกับทัพพม่าถึงเขตชายแดน[1] ไม่ปล่อยให้ทัพพม่ายกล่วงเข้ามาถึงลาดหญ้าเหมือนครั้งก่อน หลังจากสงครามเก้าทัพและสงครามท่าดินแดงฝ่ายสยามกลับขึ้นเป็นฝ่ายรุกในฝั่งภาคตะวันตกนำไปสู่สงครามตีเมืองทวาย

ดูเพิ่ม[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา. พงษาวดารเรื่องเรารบพม่า ครั้งกรุงธน ฯ แลกรุงเทพ ฯ.
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 ทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑. พิมพ์ครั้งที่ ๖.