สนธิสัญญาไทย-สหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2463
สนธิสัญญาไทย-สหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2463 เป็นข้อตกลงทวิภาคีฉบับแรกที่มีผลฟื้นฟูเอกราชทางการศาลและการศุลกากรของที่ไทยเคยสูญเสียไปก่อนหน้านั้น โดยสนธิสัญญาดังกล่าวมีเนื้อหายกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต และให้สิทธิไทยในการกำหนดภาษีศุลกากรและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้เอง มีการลงนามเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2463 สนธิสัญญาดังกล่าวมีอายุ 10 ปี
หลังการเจรจาสันติภาพที่พระราชวังแวร์ซายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง รัฐบาลสยามได้แต่งตั้งเอลดอน เจมส์ ชาวอเมริกัน เป็นผู้แทนเจรจากับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ได้รับการเสนอให้ติดต่อผ่านทางอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน เพื่อขอแก้ไขสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรม (ดู สนธิสัญญาเบาว์ริง) ในด้านอัตราภาษีศุลกากรและสิทธิสภาพนอกอาณาเขต
สนธิสัญญาดังกล่าวมีสาระสำคัญ คือ
- ยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตของชาวอเมริกันในประเทศสยาม แต่กงสุลอเมริกันยังมีสิทธิ์นำคดีไปพิจารณาเอง ยกเว้นคดีในศาลฎีกา และเมื่อสยามประกาศใช้ประมวลกฎหมายสมัยใหม่แล้ว 5 ปี
- รัฐบาลสยามมีสิทธิ์เต็มที่ในการเก็บภาษีศุลกากรและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ โดยต้องเก็บสหรัฐอเมริกาในอัตราที่เท่ากับที่เก็บจากประเทศอื่น
หลังจากนั้น สยามได้มีการเจรจาขอแก้ไขสนธิสัญญากับประเทศอื่นตามลำดับ ได้แก่ ญี่ปุ่น (พ.ศ. 2466) ฝรั่งเศส (พ.ศ. 2467) และอังกฤษ (พ.ศ. 2468) ตลอดจนอีก 7 ประเทศทวีปยุโรปภายใน พ.ศ. 2470
สำหรับการเจรจาขอแก้ไขสนธิสัญญากับฝรั่งเศส พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งให้ฟรานซิส บี. แซร์ เป็นผู้แทนรัฐบาล มีอำนาจเจรจาต่อรองกับรัฐบาลประเทศต่าง ๆ เป็นผู้เจรจา โดยฝรั่งเศสขอสิทธิในการจัดตั้งศาลในสยามขึ้นพิจารณาคดีจนกว่าจะบังคับใช้ประมวลกฎหมายสมัยใหม่ และอังกฤษให้สยามเรียกเก็บภาษีศุลกากรฝ้าย เหล็ก และเหล็กกล้าในอัตราไม่เกินร้อละ 5 เป็นเวลา 10 ปี
อ้างอิง[แก้]
- โกวิท วงศ์สุรวัฒน์. การเมืองการปกครองไทย: หลายมิติ. หน้า 50-51.