ข้ามไปเนื้อหา

แฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก แฟรงคลิน ดี. รูสเวลท์)
แฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์
รูปถ่ายศีรษะของโรเซอเวลต์ วัย 62 ปี ผมเริ่มเป็นสีเทา หันหน้าเข้าหากล้อง
ภาพถ่ายหาเสียงอย่างเป็นทางการ, ค.ศ. 1944
ประธานาธิบดีสหรัฐ คนที่ 32
ดำรงตำแหน่ง
4 มีนาคม ค.ศ. 1933  12 เมษายน ค.ศ. 1945
(12 ปี 1 เดือน 8 วัน)
รองประธานาธิบดี
ก่อนหน้าเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์
ถัดไปแฮร์รี เอส. ทรูแมน
ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก คนที 44
ดำรงตำแหน่ง
1 มกราคม ค.ศ. 1929  31 ธันวาคม ค.ศ. 1932
(3 ปี 11 เดือน 30 วัน)
รักษาการแทนเฮอร์เบิร์ต เอช. ลีห์แมน
ก่อนหน้าอัล สมิธ
ถัดไปเฮอร์เบิร์ต เอช. ลีห์แมน
รัฐมนตรีช่วยว่าการทบวงทหารเรือ
ดำรงตำแหน่ง
17 มีนาคม ค.ศ. 1913  26 สิงหาคม ค.ศ. 1920
(7 ปี 5 เดือน 9 วัน)
ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน
ก่อนหน้าบีกแมน วินทรอป
ถัดไปกอร์ดอน วูดเบอรี
สมาชิกวุฒิสภารัฐนิวยอร์ก
จากเขต 26
ดำรงตำแหน่ง
1 มกราคม ค.ศ. 1911  17 มีนาคม ค.ศ. 1913
(2 ปี 2 เดือน 16 วัน)
ก่อนหน้าจอห์น เอฟ. ชลอสเซอร์
ถัดไปเจมส์ อี. ทาวเนอร์
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
แฟรงคลิน เดลาโน โรเซอเวลต์

(1882-01-30)มกราคม 30, 1882
ไฮด์พาร์ก รัฐนิวยอร์ก สหรัฐ
เสียชีวิต12 เมษายน ค.ศ. 1945(1945-04-12) (63 ปี)
วอร์มสปริงส์ รัฐจอร์เจีย สหรัฐ
ที่ไว้ศพสปริงวูดเอสเตต
พรรคการเมืองเดโมแครต
คู่สมรสเอลิเนอร์ โรเซอเวลต์ (สมรส 1905)
บุตร6 คน, รวมถึงแอนนา, เจมส์, เอลเลียต, แฟรงคลิน จูเนียร์ และจอห์น
บุพการี
ความสัมพันธ์
การศึกษา
ลายมือชื่อCursive signature in ink

แฟรงคลิน เดลาโน โรเซอเวลต์[a] (อังกฤษ: Franklin Delano Roosevelt; 30 มกราคม ค.ศ. 1882  12 เมษายน ค.ศ. 1945) หรือที่รู้จักในชื่อย่อว่า เอฟดีอาร์ (FDR) เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 32 ตั้งแต่ ค.ศ. 1933 กระทั่งถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1945 เขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด และเป็นคนเดียวที่ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งเกินกว่าสองวาระ สองวาระแรกของเขามุ่งเน้นไปที่การต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ขณะที่วาระที่สามและสี่ของเขาได้เปลี่ยนจุดมุ่งเน้นไปที่การเข้ามามีส่วนร่วมของอเมริกาในสงครามโลกครั้งที่สอง

ในฐานะสมาชิกของตระกูลเดลาโนและโรเซอเวลต์ที่มีชื่อเสียง โรเซอเวลต์ได้รับเลือกเป็นวุฒิสมาชิกของรัฐนิวยอร์กตั้งแต่ ค.ศ. 1911 ถึง 1913 และต่อมาได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการทบวงทหารเรือภายใต้ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสันในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ใน ค.ศ. 1920 โรเซอเวลต์เป็นคู่สมัครรองประธานาธิบดีของเจมส์ เอ็ม. ค็อกซ์ ในนามพรรคเดโมแครต แต่พ่ายแพ้ให้แก่วาร์เรน จี. ฮาร์ดิง ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน ใน ค.ศ. 1921 โรเซอเวลต์ป่วยเป็นอัมพาตที่ทำให้ขาของเขาเป็นอัมพาตอย่างถาวร ส่วนหนึ่งด้วยกำลังใจจากเอลิเนอร์ โรเซอเวลต์ ภริยาของเขา เขากลับสู่ตำแหน่งทางการเมืองในฐานะผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กตั้งแต่ ค.ศ. 1929 ถึง 1932 ซึ่งในช่วงนั้นเขาส่งเสริมโครงการต่าง ๆ เพื่อต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 1932 โรเซอเวลต์เอาชนะเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์อย่างถล่มทลาย

ใน 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่ง โรเซอเวลต์เป็นหัวหอกในการออกกฎหมายของรัฐบาลกลางที่ไม่เคยมีมาก่อนและเป็นผู้นำรัฐบาลกลางในช่วงส่วนใหญ่ของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ โดยได้ริเริ่มสัญญาใหม่ สร้างพันธมิตรสัญญาใหม่ และปรับเปลี่ยนการเมืองอเมริกันเข้าสู่ระบบพรรคที่ห้า เขาสร้างโครงการมากมายเพื่อบรรเทาทุกข์แก่ผู้ว่างงานและเกษตรกร ขณะที่มุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วย องค์การบริหารการฟื้นฟูแห่งชาติ (National Recovery Administration) และโครงการอื่น ๆ เขายังดำเนินการปฏิรูปกฎระเบียบที่สำคัญเกี่ยวกับการเงิน การสื่อสาร และแรงงาน และเป็นผู้ดูแลการสิ้นสุดของการห้ามสุรา ใน ค.ศ. 1936 โรเซอเวลต์ได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งซ้ำ ใน ค.ศ. 1937 เขาไม่สามารถขยายขนาดศาลสูงสุดได้ และในปีเดียวกันนั้นเองก็มีการก่อตั้งพันธมิตรอนุรักษนิยมเพื่อขัดขวางการดำเนินโครงการและการปฏิรูปสัญญาใหม่ต่อไป โครงการและกฎหมายสำคัญที่ยังคงอยู่ซึ่งนำมาใช้ในสมัยของโรเซอเวลต์ ได้แก่ คณะกรรมาธิการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์, รัฐบัญญัติแรงงานสัมพันธ์แห่งชาติ, บรรษัทประกันเงินฝากกลาง และประกันสังคม ใน ค.ศ. 1940 เขาประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งซ้ำ ก่อนจะมีการกำหนดการจำกัดวาระอย่างเป็นทางการ

หลังจากที่ญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 โรเซอเวลต์ได้ขอประกาศสงครามต่อญี่ปุ่น เมื่อคู่พันธมิตรฝ่ายอักษระของญี่ปุ่น นาซีเยอรมนีและฟาสซิสต์ ประกาศสงครามต่อสหรัฐในวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1941 เขาก็ได้ขอการประกาศสงครามเพิ่มเติมจากรัฐสภาสหรัฐ เขาทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้นำชาติอื่น ๆ ในการนำฝ่ายสัมพันธมิตรต่อสู้กับฝ่ายอักษะ โรเซอเวลต์ดูแลการระดมเศรษฐกิจอเมริกันเพื่อสนับสนุนความพยายามในสงครามและนำยุทธศาสตร์ยุโรปมาก่อนมาใช้ เขายังริเริ่มการพัฒนาระเบิดปรมาณูลูกแรกและทำงานร่วมกับผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรคนอื่น ๆ เพื่อวางรากฐานสำหรับสหประชาชาติและสถาบันหลังสงครามอื่น ๆ โดยเขาเป็นผู้บัญญัติคำว่า "สหประชาชาติ"[2] โรเซอเวลต์ชนะการเลือกตั้งซ้ำใน ค.ศ. 1944 แต่ถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1945 หลังสุขภาพร่างกายของเขาทรุดโทรมลงอย่างหนักและต่อเนื่องในช่วงปีสงคราม นับตั้งแต่นั้นมา การกระทำหลายอย่างของเขาได้รับข้อวิจารณ์ เช่น คำสั่งกักกันชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม การจัดอันดับทางประวัติศาสตร์ยังคงจัดให้เขาอยู่ในสามสุดยอดประธานาธิบดีอเมริกัน และเขามักถูกยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์ของเสรีนิยมอเมริกัน

ชีวิตช่วงต้น

[แก้]

ปฐมวัย

[แก้]
โรเซอเวลต์ที่ไม่ได้สวมกางเกงใน ค.ศ. 1884, อายุ 2 ปี

แฟรงคลิน เดลาโน โรเซอเวลต์ เกิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1882 ที่ไฮด์พาร์ก รัฐนิวยอร์ก เป็นบุตรชายของเจมส์ โรเซอเวลต์ที่ 1 นักธุรกิจ และซารา แอนน์ เดลาโน ภรรยาคนที่สองของเขา บิดามารดาของเขามีศักดิ์เป็นญาติกันในลำดับที่หก[3] และมาจากครอบครัวร่ำรวยและมีชื่อเสียงในนิวยอร์ก ตระกูลโรเซอเวลต์และเดลาโน โดยอาศัยอยู่ที่บ้านพักขนาดใหญ่ชื่อสปริงวูด ทางตอนใต้ของศูนย์ประวัติศาสตร์ไฮด์พาร์ก[4] เจมส์เป็นบูร์บงเดโมแครตที่มีชื่อเสียงซึ่งครั้งหนึ่งเคยพาแฟรงคลินไปพบกับประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในการพบกันครั้งนั้น คลีฟแลนด์กล่าวว่า: "พ่อหนุ่มน้อย ฉันขออวยพรแปลก ๆ ให้เธออย่างหนึ่ง นั่นคือขอให้เธอไม่ต้องเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐเลย"[5] ซารา มารดาของแฟรงคลิน ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างมากในช่วงต้นของชีวิตเขา เคยประกาศว่า "แฟรงคลินลูกชายของฉันเป็นคนตระกูลเดลาโน ไม่ใช่คนตระกูลโรเซอเวลต์เลย"[3][6] เจมส์ ซึ่งมีอายุ 54 ปีเมื่อแฟรงคลินเกิด ถูกมองว่าเป็นบิดาที่ไม่ค่อยใกล้ชิดนัก แม้เจมส์ แมกเกรเกอร์ เบินส์ นักเขียนชีวประวัติจะระบุว่าเจมส์มีปฏิสัมพันธ์กับบุตรชายมากกว่าที่คนทั่วไปทำในยุคนั้น[7] แฟรงคลินมีพี่ชายต่างมารดาหนึ่งคน เจมส์ โรเซอเวลต์ "โรซี" โรเซอเวลต์ ซึ่งเกิดจากการแต่งงานครั้งก่อนของบิดา[4]

การศึกษาและอาชีพช่วงต้น

[แก้]
โรเซอเวลต์ในวัยหนุ่มของเขา
โรเซอเวลต์ใน ค.ศ. 1893 ตอนอายุ 11 ปี
โรเซอเวลต์ใน ค.ศ. 1900 ตอนอายุ 18 ปี
รูสเวลต์ใน ค.ศ. 1905 บนหลังม้าบ็อบบี ที่ไรน์เบ็ก รัฐนิวยอร์ก

ในวัยเด็ก โรเซอเวลต์เรียนรู้ที่จะขี่ม้า ยิงปืน แล่นเรือใบ และเล่นโปโล เทนนิส และกอล์ฟ[8][9] การเดินทางไปยุโรปบ่อยครั้ง—เริ่มตั้งแต่อายุสองปีและระหว่างอายุเจ็ดถึงสิบห้าปี—ช่วยให้โรเซอเวลต์สามารถสื่อสารภาษาเยอรมันและฝรั่งเศสได้ดี ยกเว้นการเข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาลในเยอรมนีเมื่ออายุเก้าปี[10] โรเซอเวลต์ได้รับการศึกษาที่บ้านโดยผู้สอนส่วนตัวจนกระทั่งอายุ 14 ปี หลังจากนั้นเขาเข้าเรียนที่โรงเรียนโกรตัน โรงเรียนประจำของคริสตจักรเอพิสโคพัลในโกรตัน รัฐแมสซาชูเซตส์[11] เขาไม่ได้เป็นหนึ่งในนักเรียนโกรตันที่ได้รับความนิยมมากนัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักกีฬาที่เก่งกว่าและมีนิสัยชอบแหกคอก[12] เอนดิคอต พีบอดี ครูใหญ่ของโรงเรียน ได้เทศนาเกี่ยวกับหน้าที่ของชาวคริสต์ในการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและสนับสนุนให้นักเรียนของเขาเข้ารับราชการสาธารณะ พีบอดีเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างมากตลอดชีวิตของโรเซอเวลต์ โดยเป็นผู้ประกอบพิธีในงานแต่งงานของเขาและไปเยี่ยมเขาขณะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี[13][14]

เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่ที่โกรตัน โรเซอเวลต์เข้าเรียนที่วิทยาลัยฮาร์วาร์ด[12] เขาเป็นสมาชิกของสมาคมอัลฟาเดลตาไฟ[15] และฟลายคลับ[16] และทำหน้าที่เป็นผู้นำเชียร์ของโรงเรียน[17] โรเซอเวลต์ไม่ได้มีความโดดเด่นในฐานะนักศึกษาหรือนักกีฬา แต่เขากลายเป็นบรรณาธิการบริหารของหนังสือพิมพ์รายวัน The Harvard Crimson ซึ่งต้องใช้ความทะเยอทะยาน พลังงาน และความสามารถในการจัดการผู้อื่น[18] เขาเคยกล่าวในภายหลังว่า "ผมเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยเป็นเวลาสี่ปี และทุกสิ่งที่ผมได้รับการสอนนั้นผิดทั้งหมด"[19]

บิดาของโรเซอเวลต์เสียชีวิตใน ค.ศ. 1900 สร้างความทุกข์ใจอย่างมากแก่เขา[20] ปีต่อมา ทีโอดอร์ โรเซอเวลต์ ลูกพี่ลูกน้องคนที่ห้าของเขาก็ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ รูปแบบความเป็นผู้นำที่กระฉับกระเฉงและความมุ่งมั่นในการปฏิรูปของทีโอดอร์ทำให้เขากลายเป็นแบบอย่างและวีรบุรุษของแฟรงคลิน[21] เขาสำเร็จการศึกษาจากฮาร์วาร์ดในสามปีใน ค.ศ. 1903 ด้วยปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต[22] เขายังคงอยู่ที่นั่นอีกปีเพื่อเรียนหลักสูตรบัณฑิตศึกษา[23] เช่นเดียวกับทีโอดอร์ เขาเป็นสมาชิกของสโมสรนักสำรวจ[24]

โรเซอเวลต์เข้าเรียนที่โรงเรียนกฎหมายโคลัมเบียใน ค.ศ. 1904 แต่ลาออกใน ค.ศ. 1907 หลังสอบผ่านการเป็นทนายความของรัฐนิวยอร์ก[25][b] ใน ค.ศ. 1908 เขาเข้ารับงานกับสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียงอย่าง Carter Ledyard & Milburn โดยทำงานในแผนกกฎหมายพาณิชยนาวี[27]

โรเซอเวลต์เป็นนักสะสมแสตมป์ตัวยงซึ่งเริ่มงานอดิเรกนี้ตั้งแต่อายุแปดปี และทำต่อเนื่องไปจนถึงวัยผู้ใหญ่และอาชีพการเมืองของเขา ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้กระตุ้นความสนใจในการสะสมแสตมป์ไปทั่วประเทศ ตั้งแต่ทศวรรษ 1930 ทำเนียบขาวได้เผยแพร่ภาพถ่ายจำนวนมากขณะที่เขากำลังดูแสตมป์ เขาใช้เวลาในแต่ละวันทำงานกับคอลเลกชันของเขา และยังทำงานร่วมกับเจมส์ เอ. ฟาร์ลีย์ นายไปรษณีย์ใหญ่ เกี่ยวกับการออกแบบ สี และหัวข้อของดไปรษณีย์สหรัฐ ว่ากันว่าเมื่อเขาป่วยเป็นโปลิโอ งานอดิเรกนี้ได้ให้ความสบายใจและช่วยให้จิตใจของเขาไม่หมกมุ่นอยู่กับความเจ็บป่วยในช่วงเวลาว่าง[28]

การแต่งงาน ครอบครัว และความสัมพันธ์นอกสมรส

[แก้]

ในช่วงปีที่สองของการเรียนมหาวิทยาลัย โรเซอเวลต์ได้พบและขอแต่งงานกับทายาทบอสตัน อลิซ โซเฮียร์ แต่เธอปฏิเสธ[12] แฟรงคลินจึงเริ่มสานสัมพันธ์กับคนรู้จักในวัยเด็กและลูกพี่ลูกน้องชั้นที่ห้าที่ถูกลดสถานะไปหนึ่งขั้น เอลิเนอร์ โรเซอเวลต์ หลานสาวของทีโอดอร์ โรเซอเวลต[29] ใน ค.ศ. 1903 แฟรงคลินได้ขอเอลิเนอร์แต่งงาน แม้จะได้รับการต่อต้านจากมารดาของเขา แต่แฟรงคลินและเอลิเนอร์ โรเซอเวลต์ก็แต่งงานกันเมื่อวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 1905[12][30] ทีโอดอร์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ได้เป็นผู้ส่งตัวเจ้าสาวให้ (เนื่องจากเอลเลียต บิดาของเอลินอร์เสียชีวิตแล้ว)[31] คู่บ่าวสาวได้ย้ายเข้าไปอยู่ในสปริงวูด ซารา โรเซอเวลต์ มารดาของแฟรงคลิน ยังได้จัดหาทาวน์เฮาส์ในนครนิวยอร์กให้สำหรับคู่บ่าวสาว และสร้างบ้านของตนเองไว้ข้าง ๆ ทาวน์เฮาส์หลังนั้น เอลินอร์ไม่เคยรู้สึกเหมือนอยู่บ้านในบ้านที่ไฮด์พาร์กหรือนครนิวยอร์กเลย อย่างไรก็ตาม เธอชอบบ้านพักตากอากาศของครอบครัวบนเกาะแคมโปเบลโล ซึ่งเป็นของขวัญจากซาราเช่นกัน[32]

เอลิเนอร์และแฟรงคลินกับบุตรสองคนแรกของพวกเขา, ค.ศ. 1908

เบินส์ระบุว่าแฟรงคลิน โรเซอเวลต์ในวัยหนุ่มมีความมั่นใจในตัวเองและเข้ากับชนชั้นสูงได้ง่าย ในทางกลับกัน เอลิเนอร์เป็นคนขี้อายและไม่ชอบชีวิตสังคม ในช่วงแรก เอลินอร์อยู่บ้านเพื่อเลี้ยงดูลูก ๆ ของพวกเขา[33] เช่นเดียวกับที่บิดาของเขาเคยทำ แฟรงคลินปล่อยให้ภรรยาดูแลเรื่องการเลี้ยงลูก และเอลิเนอร์ก็มอบหมายหน้าที่นี้ให้แก่พี่เลี้ยงเด็ก ภายหลังเธอระบุว่าเธอไม่รู้เรื่อง "การอุ้มหรือการให้อาหารทารกเลย"[34] พวกเขามีบุตรด้วยกันหกคน ได้แก่ แอนนา, เจมส์ และเอลเลียต ซึ่งเกิดใน ค.ศ. 1906, 1907, และ 1910 ตามลำดับ บุตรชายคนที่สอง ของทั้งคู่ซึ่งมีชื่อว่าแฟรงคลิน เสียชีวิตตั้งแต่ยังเป็นทารกใน ค.ศ. 1909 บุตรชายอีกคนหนึ่งซึ่งมีชื่อว่าแฟรงคลินเช่นกัน เกิดใน ค.ศ. 1914 และบุตรคนสุดท้อง จอห์น เกิดใน ค.ศ. 1916[35]

โรเซอเวลต์มีความสัมพันธ์นอกสมรสหลายครั้ง เขาเริ่มมีความสัมพันธ์กับลูซี เมอร์เซอร์ เลขาฯ ส่วนตัวของเอลิเนอร์ หลังจากที่เธอเข้ามาทำงานใน ค.ศ. 1914 ความสัมพันธ์นี้ถูกเอลิเนอร์ค้นพบใน ค.ศ. 1918[36] แฟรงคลินคิดจะหย่ากับเอลิเนอร์ แต่ซาราคัดค้าน และเมอร์เซอร์ก็ไม่ยอมแต่งงานกับผู้ชายที่หย่าร้างและมีลูกห้าคน[37] แฟรงคลินและเอลิเนอร์ยังคงแต่งงานกันอยู่ และแฟรงคลินสัญญาว่าจะไม่พบเมอร์เซอร์อีก เอลิเนอร์ไม่เคยให้อภัยเขาสำหรับเรื่องชู้สาวครั้งนี้ และการแต่งงานของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเป็นหุ้นส่วนทางการเมือง[38] เอลิเนอร์สร้างบ้านแยกต่างหากที่วัล-คิลในไฮด์พาร์กและทุ่มเทให้กับกิจกรรมทางสังคมและการเมืองที่เป็นอิสระจากสามีของเธอ ความแตกแยกทางอารมณ์ในการแต่งงานรุนแรงมาก จนกระทั่งเมื่อแฟรงคลินขอให้เอลิเนอร์กลับมาอยู่กับเขาอีกครั้งใน ค.ศ. 1942—เนื่องจากสุขภาพที่ย่ำแย่ของเขา—เธอปฏิเสธ[39] โรเซอเวลต์ไม่ได้รับรู้ถึงการมาเยือนทำเนียบขาวของเอลิเนอร์เสมอไป และในช่วงหนึ่ง เอลิเนอร์ไม่สามารถโทรศัพท์หาโรเซอเวลต์ได้ง่าย ๆ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเลขาฯ ของเขา ในทางกลับกัน แฟรงคลินก็ไม่ได้ไปเยี่ยมอพาร์ตเมนต์ของเอลิเนอร์ในนครนิวยอร์กจนกระทั่งปลาย ค.ศ. 1944[40]

แฟรงคลินทำลายสัญญาที่ให้ไว้กับเอลิเนอร์เกี่ยวกับลูซี เมอร์เซอร์ โดยเขาและเมอร์เซอร์ยังคงติดต่อกันอย่างเป็นทางการและเริ่มกลับมาพบกันอีกครั้งภายใน ค.ศ. 1941[41][42] เอลเลียต บุตรชายของโรเซอเวลต์ อ้างว่าบิดาของเขามีความสัมพันธ์ยาวนาน 20 ปีกับมาร์เกอริต เลอแฮนด์[43] บุตรชายอีกคน เจมส์ ระบุว่า "มีความเป็นไปได้จริงที่ความสัมพันธ์เชิงชู้สาวมีอยู่จริง" ระหว่างบิดาของเขากับมาร์ธา มกุฎราชกุมารีแห่งนอร์เวย์ ซึ่งประทับอยู่ในทำเนียบขาวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้ช่วยต่างเรียกเธอในขณะนั้นว่า "แฟนสาวของประธานาธิบดี"[44] และข่าวซุบซิบนินทาที่เชื่อมโยงทั้งสองคนในเชิงชู้สาวก็ปรากฏในหนังสือพิมพ์ด้วย[45]

อาชีพการเมืองช่วงต้น (ค.ศ. 1910–1920)

[แก้]

วุฒิสมาชิกรัฐนิวยอร์ก (ค.ศ. 1910–1913)

[แก้]
โรเซอวเวลต์ใน ค.ศ. 1912

โรเซอเวลต์ไม่ค่อยสนใจการประกอบอาชีพด้านกฎหมายนักและบอกเพื่อนฝูงว่าเขาตั้งใจจะเข้าสู่แวดวงการเมือง[46] แม้จะชื่นชมทีโอดอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเขา แต่แฟรงคลินมีความผูกพันกับพรรคเดโมแครตเหมือนบิดาของเขา และเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง ค.ศ. 1910 พรรคจึงชักชวนโรเซอเวลต์ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสมัชชารัฐนิวยอร์ก[47] โรเซอเวลต์เป็นผู้สมัครที่น่าสนใจ: เขามีบุคลิกและพลังงานสำหรับการหาเสียงและมีเงินทุนสำหรับค่าใช้จ่ายในการหาเสียงของตนเอง[48] แต่การหาเสียงสำหรับสมัชชารัฐต้องยุติลงหลังจากลูอิส สไตเวซานต์ แชนเลอร์ สมาชิกเดโมแครตคนเดิมเลือกลงสมัครรับเลือกตั้งซ้ำ แทนที่จะระงับความหวังทางการเมืองของเขาไว้ โรเซอเวลต์จึงหันไปลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก วุฒิสภารัฐนิวยอร์ก[49] เขตวุฒิสภา ซึ่งตั้งอยู่ในเทศมณฑลดัตเชส โคลัมเบีย และพัตนัม เป็นเขตที่รีพับลิกันแข็งแกร่ง[50] โรเซอเวลต์กลัวว่าการต่อต้านจากทีโอดอร์อาจทำให้การหาเสียงของเขาสิ้นสุดลง แต่ทีโอดอร์กลับให้กำลังใจเขาแม้จะมีความแตกต่างทางพรรค[47] โรเซอเวลต์ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการหาเสียงของตนเอง โดยเดินทางไปทั่วเขตวุฒิสภาด้วยรถยนต์ในช่วงเวลาที่มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถซื้อรถได้[51] ด้วยการหาเสียงที่ดุดัน[52] ชื่อเสียงของเขาจึงเป็นที่รู้จักในบริเวณฮัดสันแวลลีย์ และในการเลือกตั้งสหรัฐ ค.ศ. 1910 ซึ่งเป็นชัยชนะของพรรคเดโมแครตอย่างถล่มทลาย โรเซอเวลต์ก็ได้รับชัยชนะอย่างน่าประหลาดใจ[53]

แม้ว่าสมัยการประชุมสภานิติบัญญัติจะสั้น แต่โรเซอเวลต์ถือว่าตำแหน่งใหม่นี้เป็นอาชีพเต็มเวลา[54] เขาเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1911 โรเซอเวลต์ในไม่ช้าก็กลายเป็นผู้นำของกลุ่ม "ผู้ไม่ฝักใฝ่" (Insurgents) ในการต่อต้านกลุ่มแทมมานีฮอล (Tammany Hall) ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือพรรคเดโมแครตของรัฐ ในการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกสหรัฐ ค.ศ. 1911 ซึ่งตัดสินโดยการประชุมร่วมของสภานิติบัญญัติรัฐนิวยอร์ก[c] โรเซอเวลต์และสมาชิกเดโมแครตอีกสิบเก้าคนทำให้เกิดทางตันที่ยืดเยื้อ ด้วยการคัดค้านผู้สมัครที่ได้รับการสนับสนุนจากแทมมานีฮอล ในที่สุดแทมมานีฮอลก็หันไปสนับสนุนเจมส์ เอ. โอ'กอร์แมน ผู้พิพากษาที่ได้รับความเคารพซึ่งโรเซอเวลต์ยอมรับได้ และโอ'กอร์แมนก็ชนะการเลือกตั้งในปลายเดือนมีนาคม[55] จากกระบวนการนี้ โรเซอเวลต์กลายเป็นบุคคลที่ได้รับความนิยมในหมู่ชาวเดโมแครตนิวยอร์ก[53] บทความข่าวและการ์ตูนล้อเลียนพรรณนาถึง "การกลับมาครั้งที่สองของโรเซอเวลต์" ที่ทำให้ "แทมมานี หนาวสั่นไปถึงสันหลัง"[56]

หลังได้รับเลือกเป็นวุฒิสมาชิกรัฐนิวยอร์กได้ไม่นาน โรเซอเวลต์ก็เข้าร่วมเป็นฟรีเมสันเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1911 ที่ฮอลแลนด์ลอดจ์ หมายเลข 8 ในนครนิวยอร์ก[57]

โรเซอเวลต์ยังต่อต้านแทมมานีฮอลด้วยการสนับสนุนวูดโรว์ วิลสัน ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์ ให้ได้รับเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตใน ค.ศ. 1912[58] การเลือกตั้งครั้งนั้นกลายเป็นการแข่งขันแบบสามทาง เมื่อทีโอดอร์ โรเซอเวลต์ออกจากพรรครีพับลิกันเพื่อลงสมัครในนามพรรคที่สามต่อสู้กับวิลสันและประธานาธิบดีรีพับลิกันคนปัจจุบัน วิลเลียม ฮาวเวิร์ด แทฟต์ การตัดสินใจของแฟรงคลินที่จะสนับสนุนวิลสันเหนือลูกพี่ลูกน้องของเขาในการเลือกตั้งทั่วไปทำให้ครอบครัวบางคนไม่พอใจ ยกเว้นทีโอดอร์[59] โรเซอเวลต์เอาชนะอาการป่วยด้วยไข้ไทฟอยด์ในปีนั้น และด้วยความช่วยเหลือจากนักข่าว ลูอิส แมกเฮนรี ฮาว เขาได้รับเลือกตั้งซ้ำในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1912 หลังการเลือกตั้ง เขาทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการเกษตรกรรม ความสำเร็จของเขาในเรื่องร่างกฎหมายเกี่ยวกับไร่นาและแรงงานเป็นลางบอกเหตุถึงนโยบายสัญญาใหม่[60] ในช่วงนั้นเองเขาก็กลายเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้าอย่างสม่ำเสมอมากขึ้น โดยสนับสนุนโครงการด้านแรงงานและสวัสดิการสังคม[61]

รัฐมนตรีช่วยว่าการทบวงทหารเรือ (ค.ศ. 1913–1919)

[แก้]
โรเซอเวลต์ในตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการทบวงทหารเรือ, ค.ศ. 1913

การสนับสนุนวูดโรว์ วิลสันของโรเซอเวลต์นำไปสู่การแต่งตั้งให้เขาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการทบวงทหารเรือในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1913 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่อันดับสองในทบวงทหารเรือรองจากรัฐมนตรีโจเซฟัส แดเนียลส์ ซึ่งไม่ค่อยให้ความสนใจในตำแหน่งนี้มากนัก[62] โรเซอเวลต์มีความรักในกองทัพเรือ อ่านเรื่องเกี่ยวกับกองทัพเรือมามาก และเป็นผู้สนับสนุนกองกำลังขนาดใหญ่และมีประสิทธิภาพอย่างกระตือรือร้น[63][64] ด้วยการสนับสนุนจากวิลสัน แดเนียลส์และโรเซอเวลต์ได้จัดตั้งระบบการเลื่อนตำแหน่งตามความสามารถและขยายการควบคุมของพลเรือนเหนือหน่วยงานอิสระของกองทัพเรือ[65] โรเซอเวลต์ดูแลพนักงานพลเรือนของกองทัพเรือและได้รับความเคารพจากผู้นำสหภาพแรงงานสำหรับความเป็นธรรมในการแก้ไขข้อพิพาท[66] ไม่มีการประท้วงเกิดขึ้นในช่วงเจ็ดปีเศษที่เขาดำรงตำแหน่ง[67] ซึ่งทำให้เขาได้รับประสบการณ์อันมีค่าในประเด็นด้านแรงงาน การบริหารในยามสงคราม ปัญหาทางทะเล และการขนส่ง[68]

ใน ค.ศ. 1914 โรเซอเวลต์ลงสมัครรับเลือกตั้งวุฒิสมาชิกนิวยอร์กแทนเอลิฮู รูตที่กำลังจะเกษียณ แม้เขาจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐมนตรีคลัง วิลเลียม กิบบส์ แมกอาดู และผู้ว่าการมาร์ติน เอช. กลินน์ แต่เขาต้องเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เจมส์ ดับเบิลยู. เจอราร์ด จากแทมมานีฮอล[69] เขายังไม่ได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีวิลสัน เนื่องจากประธานาธิบดีต้องการกำลังของแทมมานีเพื่อผ่านร่างกฎหมายและการเลือกตั้งซ้ำใน ค.ศ. 1916[70] โรเซอเวลต์พ่ายแพ้อย่างราบคาบในการเลือกตั้งขั้นต้นของพรรคเดโมแครตให้กับเจอราร์ด ซึ่งต่อมาเจอราร์ดก็พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งทั่วไปให้กับเจมส์ วอลคอตต์ แวดส์เวิร์ท จูเนียร์จากพรรครีพับลิกัน เขาได้เรียนรู้ว่าเพียงแค่การอุปถัมภ์ของรัฐบาลกลางเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการสนับสนุนจากทำเนียบขาว ไม่สามารถเอาชนะองค์กรท้องถิ่นที่แข็งแกร่งได้[71] หลังการเลือกตั้ง เขาและชาลส์ แฟรนซิส เมอร์ฟี หัวหน้าแทมมานีฮอล ได้หาทางประนีประนอมและกลายเป็นพันธมิตรกัน[72]

โรเซอเวลต์กลับไปให้ความสำคัญกับทบวงทหารเรืออีกครั้งเมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุขึ้นในยุโรปในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914[73] แม้เขาจะยังคงให้การสนับสนุนวิลสันต่อสาธารณะ แต่โรเซอเวลต์ก็เห็นอกเห็นใจขบวนการเตรียมพร้อม (Preparedness Movement) ซึ่งผู้นำให้การสนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างแข็งขันและเรียกร้องให้มีการสร้างกองทัพ[74] คณะบริหารวิลสันเริ่มขยายกองทัพเรือหลังการจมเรืออาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย (RMS Lusitania) โดยเรือดำน้ำเยอรมัน และโรเซอเวลต์ได้ช่วยก่อตั้งกองหนุนกองทัพเรือสหรัฐและสภาป้องกันประเทศ[75] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1917 หลังจากที่เยอรมนีประกาศว่าจะทำสงครามเรือดำน้ำแบบไม่จำกัดและโจมตีเรือของสหรัฐหลายลำ รัฐสภาได้อนุมัติการเรียกร้องของวิลสันให้ประกาศสงครามต่อเยอรมนี[76]

โรเซอเวลต์ขออนุญาตไปรับราชการเป็นนายทหารเรือ แต่วิลสันยืนกรานให้เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการต่อไป ในปีถัดมา โรเซอเวลต์ยังคงอยู่ในวอชิงตันเพื่อประสานงานการจัดกำลังพลทางทะเล เนื่องจากกองทัพเรือขยายตัวถึงสี่เท่า[77][78] ในฤดูร้อน ค.ศ. 1918 โรเซอเวลต์เดินทางไปยุโรปเพื่อตรวจสอบการตั้งฐานทัพเรือและพบปะเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสและอังกฤษ เนื่องด้วยความสัมพันธ์ของเขากับทีโอดอร์ โรเซอเวลต์ เขาได้รับการต้อนรับอย่างโดดเด่นเมื่อพิจารณาถึงยศที่ค่อนข้างต่ำของเขา โดยได้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัวเป็นเวลานานกับพระเจ้าจอร์จที่ 5 และนายกรัฐมนตรีเดวิด ลอยด์ จอร์จ และฌอร์ฌ เกลม็องโซ รวมถึงการเยี่ยมชมสนามรบที่แวร์เดิง[79] ในเดือนกันยายน ระหว่างการเดินทางกลับสหรัฐทางเรือ เขาป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ระบาดพร้อมภาวะแทรกซ้อนปอดบวม[80] ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถทำงานได้หนึ่งเดือน[79]

หลังเยอรมนีลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918 แดเนียลส์และโรเซอเวลต์ได้ควบคุมการลดกำลังพลของกองทัพเรือ[81] โรเซอเวลต์ได้ออกคำสั่งส่วนตัวให้รักษากองการบินทหารเรือไว้ แม้จะมีการทัดทานจากนายทหารอาวุโส เช่น พลเรือเอก วิลเลียม เอส. เบนสัน ซึ่งอ้างว่าเขา "ไม่สามารถนึกถึงประโยชน์ใด ๆ ที่กองทัพเรือจะมีต่อการบินได้เลย"[82] เมื่อวาระของคณะบริหารวิลสันใกล้จะสิ้นสุดลง โรเซอเวลต์ได้วางแผนลงสมัครรับตำแหน่งอีกครั้ง เขาได้ทาบทามเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์เกี่ยวกับการเสนอชื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ค.ศ. 1920 โดยมีโรเซอเวลต์เป็นคู่สมัครรองประธานาธิบดี[83]

การหาเสียงรองประธานาธิบดี (ค.ศ. 1920)

[แก้]
ค็อกซ์และโรเซอเวลต์ในรัฐโอไฮโอ, ค.ศ. 1920

แผนของโรเซอเวลต์ที่ต้องการให้ฮูเวอร์ลงสมัครรับเลือกตั้งพังทลายลงหลังจากฮูเวอร์ประกาศตนเองว่าเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกันต่อสาธารณะ แต่โรเซอเวลต์ตัดสินใจแสวงหาตำแหน่งรองประธานาธิบดีในการเสนอชื่อ ค.ศ. 1920 หลังจากที่ผู้ว่าการเจมส์ เอ็ม. ค็อกซ์ แห่งรัฐโอไฮโอ ได้รับเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรคสำหรับการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในที่ประชุมใหญ่แห่งชาติพรรคเดโมแครต ค.ศ. 1920 เขาได้เลือกโรเซอเวลต์เป็นคู่สมัคร และที่ประชุมได้เสนอชื่อเขาด้วยการปรบมือสนับสนุน[84] แม้การเสนอชื่อของเขาจะทำให้คนส่วนใหญ่ประหลาดใจ แต่เขาก็ช่วยสร้างความสมดุลให้กับตั๋วผู้สมัครในฐานะสายกลาง ผู้สนับสนุนวิลสัน และผู้สนับสนุนการห้ามสุราที่มีชื่อเสียง[85][86] โรเซอเวลต์ ซึ่งขณะนั้นอายุ 38 ปี ได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ หลังการประชุมใหญ่พรรคเดโมแครตและได้ลงพื้นที่หาเสียงทั่วประเทศให้กับพรรค[87]

ระหว่างการหาเสียง ค็อกซ์และโรเซอเวลต์ได้ปกป้องรัฐบาลวิลสันและสันนิบาตชาติ ซึ่งทั้งสองอย่างไม่เป็นที่นิยมใน ค.ศ. 1920[88] โรเซอเวลต์สนับสนุนการที่สหรัฐเป็นสมาชิกของสันนิบาตชาติเป็นการส่วนตัว แต่ต่างจากวิลสันคือเขาเห็นด้วยกับการประนีประนอมกับวุฒิสมาชิกเฮนรี แคบอต ลอดจ์ และกลุ่ม "สนับสนุนการสงวนสิทธิ" อื่น ๆ[89] ในที่สุด วาร์เรน จี. ฮาร์ดิงและแคลวิน คูลิดจ์จากพรรครีพับลิกันก็เอาชนะตั๋วผู้สมัครค็อกซ์–โรเซอเวลต์ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีด้วยคะแนนที่ทิ้งห่างอย่างมาก โดยชนะทุกรัฐยกเว้นทางใต้[90] โรเซอเวลต์ยอมรับความพ่ายแพ้และภายหลังได้ทบทวนว่าความสัมพันธ์และไมตรีจิตที่เขาสร้างขึ้นในการหาเสียง ค.ศ. 1920 ได้กลายเป็นทรัพย์สินสำคัญในการหาเสียง ค.ศ. 1932 ของเขา การเลือกตั้ง ค.ศ. 1920 ยังเป็นครั้งแรกที่เอลิเนอร์ โรเซอเวลต์ ภรรยาของเขามีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะ โดยได้รับการสนับสนุนจากลูอิส ฮาว และสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในฐานะผู้เล่นทางการเมืองที่มีคุณค่า[91] หลังการเลือกตั้ง โรเซอเวลต์กลับไปนครนิวยอร์ก ที่ซึ่งเขาทำงานด้านกฎหมายและดำรงตำแหน่งรองประธานของบริษัท Fidelity and Deposit Company[92]

โรคอัมพาตและการกลับมาทางการเมือง (ค.ศ. 1921–1928)

[แก้]
ภาพถ่ายหายากของโรเซอเวลต์บนรถเข็น พร้อมกับฟาลา และรูที บี ลูกสาวของผู้ดูแลที่คฤหาสน์ของเขาที่ไฮด์พาร์ก, กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1941

โรเซอเวลต์พยายามสร้างแรงสนับสนุนเพื่อกลับมาสู่การเมืองในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1922 แต่การทำงานของเขากลับต้องสะดุดลงเพราะอาการป่วย[92] การป่วยนี้เริ่มต้นขณะที่ครอบครัวโรเซอเวลต์กำลังพักผ่อนที่เกาะแคมโปเบลโลในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1921 โรเซอเวลต์เป็นอัมพาตถาวรตั้งแต่ช่วงเอวลงไปและได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น โปลิโอ อย่างไรก็ตาม การศึกษาใน ค.ซ. 2003 ชี้ให้เห็นว่าอาจเป็นโรคกิลแลง–บาร์เร[93] แต่บรรดานักประวัติศาสตร์ยังคงอธิบายอาการอัมพาตของเขาตามการวินิจฉัยเบื้องต้น[94][95][96][97]

แม้มารดาของเขาต้องการให้เขาเกษียณจากชีวิตสาธารณะ แต่โรเซอเวลต์ ภรรยาของเขา และลูอิส ฮาว เพื่อนสนิทและที่ปรึกษาของโรเซอเวลต์ ล้วนตั้งใจให้เขาทำงานการเมืองต่อไป[98] เขาทำให้หลายคนเชื่อว่าเขากำลังมีอาการดีขึ้น ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญก่อนที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง[99] เขาฝึกฝนการเดินในระยะทางสั้น ๆ ด้วยตัวเองอย่างอุตสาหะ โดยสวมเหล็กดามที่สะโพกและขา และหมุนลำตัวขณะใช้ไม้เท้าช่วยพยุง[100] เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ถูกพบเห็นว่าใช้รถเข็นในที่สาธารณะ และระมัดระวังอย่างมากที่จะป้องกันไม่ให้สื่อนำเสนอภาพที่เน้นย้ำถึงความพิการของเขา[101] โดยปกติแล้วเขาจะปรากฏตัวในที่สาธารณะด้วยการยืนตัวตรง โดยมีผู้ช่วยหรือลูกชายคนใดคนหนึ่งช่วยประคองด้านข้าง[102]

ตั้งแต่ ค.ศ. 1925 โรเซอเวลต์ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ทางตอนใต้ของสหรัฐ โดยตอนแรกอาศัยบนเรือนแพชื่อลารูโช (Larooco)[103] ด้วยความสนใจในศักยภาพของวารีบำบัด เขาจึงก่อตั้งศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพที่วอร์มสปริงส์ รัฐจอร์เจีย ใน ค.ศ. 1926 โดยรวบรวมทีมงานนักกายภาพบำบัดและใช้มรดกส่วนใหญ่ของเขาซื้อโรงเตี๊ยมแมร์ริเวเทอร์ (Merriweather Inn) ต่อมาใน ค.ศ. 1938 เขาได้ก่อตั้งมูลนิธิแห่งชาติเพื่อโรคอัมพาตในวัยเด็ก ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาวัคซีนโปลิโอ[104]

โรเซอเวลต์ยังคงมีบทบาทในการเมืองของรัฐนิวยอร์กในขณะเดียวกันก็สร้างความสัมพันธ์ในภาคใต้ โดยเฉพาะในจอร์เจีย ในทศวรรษ 1920[105] เขาออกจดหมายเปิดผนึกเพื่อสนับสนุนอัล สมิธ ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ค.ศ. 1922 ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสมิธและแสดงให้เห็นว่าโรเซอเวลต์ยังคงมีความสำคัญในฐานะบุคคลทางการเมือง[106] โรเซอเวลต์และสมิธมาจากพื้นเพที่ต่างกันและไม่เคยไว้วางใจกันอย่างเต็มที่ แต่โรเซอเวลต์สนับสนุนนโยบายก้าวหน้าของสมิธ ขณะที่สมิธก็ยินดีที่ได้รับการสนับสนุนจากโรเซอเวลต์[107]

โรเซอเวลต์กับเนทาน สเตราส์ ผู้ร่วมเป็นเจ้าของห้างเมซีส์ ในการประชุมใหญ่แห่งชาติพรรคเดโมแครต ค.ศ. 1924

โรเซอเวลต์กล่าวสุนทรพจน์เสนอชื่อสมิธเป็นผู้สมัครประธานาธิบดีในที่ประชุมใหญ่แห่งชาติพรรคเดโมแครต ค.ศ. 1924 และ 1928 โดยสุนทรพจน์ในการประชุม ค.ศ. 1924 ถือเป็นการกลับคืนสู่ชีวิตสาธารณะของเขาหลังการป่วยและพักฟื้น[108] ในปีนั้น พรรคเดโมแครตแตกแยกอย่างหนักระหว่างฝ่ายในเมืองนำโดยสมิธ กับฝ่ายอนุรักษนิยมในชนบทนำโดยวิลเลียม กิบส์ แมกอาดู ในการลงคะแนนครั้งที่ 101 ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อคือจอห์น ดับเบิลยู. เดวิส ผู้สมัครสายประนีประนอม แต่พ่ายแพ้อย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 1924 เช่นเดียวกับหลาย ๆ คน โรเซอเวลต์ไม่ได้งดเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงยุคห้ามสุรา แต่ในที่สาธารณะเขาพยายามหาทางประนีประนอมในประเด็นนี้ที่ยอมรับได้สำหรับทั้งสองฝ่ายของพรรค[109]

ใน ค.ศ. 1925 สมิธแต่งตั้งโรเซอเวลต์ให้เป็นกรรมการในคณะกรรมาธิการอุทยานแห่งรัฐเทคอนิก และเพื่อนร่วมงานได้เลือกเขาเป็นประธาน[110] ในบทบาทนี้ เขาขัดแย้งกับรอเบิร์ต โมเสส ผู้ซึ่งเป็นศิษย์ของสมิธ[110] และเป็นกำลังสำคัญเบื้องหลังคณะกรรมาธิการอุทยานแห่งรัฐลองไอแลนด์และสภาอุทยานรัฐนิวยอร์ก[110] โรเซอเวลต์กล่าวหาโมเสสว่าใช้ชื่อเสียงของบุคคลสำคัญรวมถึงตัวเขาเองเพื่อหาเสียงสนับสนุนอุทยานของรัฐ แต่กลับเปลี่ยนเส้นทางเงินทุนไปยังอุทยานที่โมเสสชื่นชอบบนเกาะลอง ขณะที่โมเสสพยายามขัดขวางการแต่งตั้งฮาวให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการของคณะกรรมาธิการเทคอนิกโดยมีเงินเดือน[110] โรเซอเวลต์ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการจนถึงสิ้น ค.ศ. 1928[111] และความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกับโมเสสยังคงดำเนินต่อไปในขณะที่อาชีพของพวกเขาก้าวหน้า[112]

ใน ค.ศ. 1923 เอ็ดเวิร์ด บ็อก ได้ก่อตั้งรางวัลสันติภาพอเมริกันมูลค่า 100,000 ดอลลาร์สำหรับแผนที่ดีที่สุดเพื่อนำมาซึ่งสันติภาพโลก โรเซอเวลต์มีเวลาว่างและมีความสนใจ จึงได้ร่างแผนสำหรับการประกวดนี้ แต่เขาไม่เคยส่งแผนดังกล่าวเนื่องจากเอลิเนอร์ได้รับเลือกเป็นกรรมการตัดสินรางวัล แผนของเขากำหนดให้มีองค์กรโลกใหม่ที่จะมาแทนที่สันนิบาตชาติ[113] แม้โรเซอเวลต์จะเคยเป็นผู้สมัครรองประธานาธิบดีในพรรคเดโมแครต ค.ศ. 1920 ที่สนับสนุนสันนิบาตชาติ แต่เมื่อถึง ค.ศ. 1924 เขาก็พร้อมที่จะยกเลิกมัน ร่าง "สมาคมประชาชาติ" ของเขาได้ยอมรับข้อสงวนที่เสนอโดย เฮนรี แคบอต ลอดจ์ ในการอภิปรายของวุฒิสภา ค.ศ. 1919 สมาคมใหม่นี้จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับซีกโลกตะวันตก ที่ซึ่งลัทธิมอนโรมีอิทธิพลเหนือกว่า และจะไม่มีการควบคุมกองกำลังทหารใด ๆ แม้แผนของโรเซอเวลต์จะไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่เขาได้คิดเกี่ยวกับปัญหานี้อย่างมาก และได้รวมเอาแนวคิดบางส่วนใน ค.ศ. 1924 ของเขาไปสู่การออกแบบสหประชาชาติใน ค.ศ. 1944–1945[114]

ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก (ค.ศ. 1929–1932)

[แก้]
ผู้ว่าการโรเซอเวลต์กับผู้ดำรงตำแหน่งก่อนหน้าของเขา อัล สมิธ, ค.ศ. 1930

สมิธ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1928 ได้ขอให้โรเซอเวลต์ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ในการเลือกตั้งรัฐ ค.ศ. 1928[115] โรเซอเวลต์ปฏิเสธในตอนแรกเนื่องจากเขาไม่อยากออกจาก วอร์มสปริงส์และกลัวความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของพรรครีพับลิกัน[116] ผู้นำพรรคจึงโน้มน้าวเขาในที่สุดว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่จะเอาชนะผู้สมัครผู้ว่าการรัฐจากพรรครีพับลิกัน อัลเบิร์ต ออตติงเจอร์ อัยการสูงสุดรัฐนิวยอร์กได้[117] เขาได้รับเลือกเป็นผู้สมัครผู้ว่าการรัฐของพรรคด้วยการโห่รับอย่างกึกก้องและได้ขอให้ฮาวมาเป็นผู้นำการหาเสียงอีกครั้งโดยมีซามูเอล โรเซนแมน, แฟรนเซส เพอร์กินส์ และเจมส์ ฟาร์ลีย์ร่วมรณรงค์หาเสียงด้วย[118] แม้สมิธจะแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างถล่มทลายและพ่ายแพ้ในรัฐบ้านเกิดตนเอง แต่โรเซอเวลต์ก็ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าการรัฐด้วยคะแนนที่เฉียดฉิวเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์[119] และกลายเป็นผู้ท้าชิงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไป[120]

โรเซอเวลต์เสนอการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำและแก้ไขวิกฤตการณ์เกษตรกรรมที่ดำเนินอยู่ในช่วงทศวรรษ 1920[121] ความสัมพันธ์ระหว่างโรเซอเวลต์กับสมิธแย่ลงหลังจากที่เขาเลือกที่จะไม่เก็บผู้ที่สมิธแต่งตั้งคนสำคัญไว้ เช่น โมเสส[122] เขากับภรรยา เอลิเนอร์ ได้ทำความเข้าใจกันสำหรับช่วงเวลาที่เหลือในอาชีพของเขาว่าเธอจะทำหน้าที่เป็นภรรยาของผู้ว่าการรัฐอย่างเต็มที่ แต่ก็จะมีอิสระในการดำเนินตามวาระและผลประโยชน์ของเธอเองด้วย[123] เขายังเริ่มจัดรายการ "สนทนาข้างเตาผิง" (Fireside Chats) ซึ่งเขาพูดคุยกับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งโดยตรงผ่านวิทยุ บ่อยครั้งเป็นการกดดันสภานิติบัญญัติรัฐนิวยอร์กให้ดำเนินตามวาระของเขา[124]

ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1929 ตลาดหุ้นวอลสตรีตล่มและภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ก็เริ่มต้นขึ้นในสหรัฐ[125] โรเซอเวลต์เห็นถึงความร้ายแรงของสถานการณ์และได้ตั้งคณะกรรมาธิการการจ้างงานแห่งรัฐ เขายังเป็นผู้ว่าการรัฐคนแรกที่สนับสนุนความคิดเรื่องประกันการว่างงานอย่างเปิดเผย[126]

เมื่อโรเซอเวลต์เริ่มรณรงค์หาเสียงเพื่อดำรงตำแหน่งวาระที่สองในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1930 เขาได้ย้ำหลักการของเขาจากการหาเสียงเมื่อสองปีก่อนว่า: "รัฐบาลที่ก้าวหน้าโดยตัวมันเองแล้วต้องเป็นสิ่งที่มีชีวิตและเติบโต การต่อสู้เพื่อสิ่งนั้นไม่มีวันสิ้นสุด และถ้าเราผ่อนปรนแม้เพียงชั่วขณะเดียวหรือหนึ่งปี เราจะไม่เพียงแต่หยุดนิ่ง แต่เราจะถอยหลังในการเดินหน้าของอารยธรรม"[127] เขาได้รับเลือกตั้งเป็นวาระที่สองด้วยคะแนนที่ทิ้งห่างถึง 14 เปอร์เซ็นต์[128]

โรเซอเวลต์เสนอชุดบรรเทาทุกข์ทางเศรษฐกิจและการตั้งองค์การบรรเทาทุกข์ฉุกเฉินชั่วคราวเพื่อแจกจ่ายเงินทุนเหล่านั้น ภายใต้การนำของเจสซี ไอ. สเตราส์ในช่วงแรก และต่อมาคือแฮร์รี ฮอปกินส์ หน่วยงานนี้ได้ช่วยเหลือประชากรกว่าหนึ่งในสามของรัฐนิวยอร์กระหว่าง ค.ศ. 1932 ถึง 1938[129] ใน ค.ศ. 1930 โรเซอเวลต์ผ่านร่างกฎหมายในสภานิติบัญญัติเพื่อสร้างประกันสำหรับผู้สูงอายุในรัฐนิวยอร์กที่มีอายุเกิน 70 ปี[130] เขาสนับสนุนการปลูกป่าด้วยการแก้ไขฮิวอิตต์ใน ค.ศ. 1931 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของระบบป่าไม้รัฐนิวยอร์ก[131] โรเซอเวลต์ยังริเริ่มการสอบสวนการทุจริตในนครนิวยอร์กในหมู่ตุลาการ ตำรวจ และองค์กรอาชญากรรม นำไปสู่การก่อตั้งคณะกรรมาธิการซีเบอรี การสอบสวนของซีเบอรีได้เปิดโปงเครือข่ายการกรรโชก นำไปสู่การปลดเจ้าหน้าที่รัฐหลายคนออกจากตำแหน่ง และทำให้ความเสื่อมของแทมมานีฮอลเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้[132]

การเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 1932

[แก้]
โรเซอเวลต์ในช่วงต้นทศวรรษ 1930

เมื่อใกล้ถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 1932 โรเซอเวลต์หันมาให้ความสนใจกับการเมืองระดับชาติ ได้จัดตั้งทีมหาเสียงที่นำโดยฮาวและฟาร์ลีย์ รวมถึง "กลุ่มมันสมอง (brain trust)" ที่ปรึกษาด้านนโยบาย ส่วนใหญ่ประกอบด้วยศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียและฮาร์วาร์ด[133] บางคนก็ไม่เชื่อมั่นในโอกาสของเขามากนัก เช่น วอลเตอร์ ลิปป์แมนน์ คอลัมนิสต์ทางการเมืองผู้ทรงอิทธิพล ซึ่งกล่าวว่า: "เขาเป็นคนน่าคบหาที่อยากเป็นประธานาธิบดีมาก ๆ โดยไม่มีคุณสมบัติสำคัญใด ๆ สำหรับตำแหน่งนี้เลย"[134]

อย่างไรก็ตาม ความพยายามของโรเซอเวลต์ในฐานะผู้ว่าการรัฐในการแก้ไขผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในรัฐของเขา ทำให้เขาเป็นตัวเต็งสำหรับการเสนอชื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ค.ศ. 1932[134] โรเซอเวลต์รวบรวมผู้สนับสนุนสายก้าวหน้าของคณะบริหารวิลสันพร้อมทั้งดึงดูดกลุ่มอนุรักษนิยมจำนวนมาก ทำให้เขากลายเป็นผู้สมัครชั้นนำในภาคใต้และภาคตะวันตก คู่แข่งหลักของโรเซอเวลต์มาจากกลุ่มอนุรักษนิยมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จอห์น แนนซ์ การ์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรรัฐเท็กซัส และอัล สมิธ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตใน ค.ศ. 1928[134]

โรเซอเวลต์เข้าสู่การประชุมใหญ่พรรคพร้อมกับคะแนนเสียงของคณะผู้แทนที่นำหน้าด้วยความสำเร็จในการเลือกตั้งขั้นต้นของพรรคเดโมแครต ค.ศ. 1932 แต่คณะผู้แทนส่วนใหญ่ไม่ได้ผูกมัดกับผู้สมัครคนใดเป็นพิเศษ ในการลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีครั้งแรก โรเซอเวลต์ได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้แทนมากกว่าครึ่ง แต่ไม่ถึงสองในสาม โดยมีสมิธตามมาในอันดับที่ห่างไกล โรเซอเวลต์จึงให้คำมั่นว่าจะเสนอชื่อการ์เนอร์เป็นรองประธานาธิบดี ซึ่งการ์เนอร์ควบคุมคะแนนเสียงจากรัฐเท็กซัสและแคลิฟอร์เนียไว้ การ์เนอร์จึงหันมาสนับสนุนโรเซอเวลต์หลังการลงคะแนนครั้งที่สาม และโรเซอเวลต์ก็ได้รับการเสนอชื่อในการลงคะแนนครั้งที่สี่[134] โรเซอเวลต์บินจากนิวยอร์กไปยังชิคาโกทันทีที่ทราบว่าเขาได้รับเลือกเป็นผู้สมัคร ซึ่งทำให้เขาเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคใหญ่คนแรกที่รับการเสนอชื่อด้วยตัวเอง[135] การปรากฏตัวของเขามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาแข็งแรงและกระฉับกระเฉง แม้จะมีปัญหาทางร่างกาย[134]

ในสุนทรพจน์ตอบรับการเสนอชื่อ โรเซอเวลต์ประกาศว่า: "ผมให้คำมั่นต่อท่าน ผมให้คำมั่นต่อตัวเองถึงสัญญาใหม่สำหรับอเมริกันชน... นี่เป็นมากกว่าการหาเสียงทางการเมือง แต่เป็นการเรียกร้องให้จับอาวุธ"[136] โรเซอเวลต์ให้คำมั่นว่าจะมีการกำกับดูแลหลักทรัพย์ การลดพิกัดอัตราศุลกากร การบรรเทาทุกข์สำหรับเกษตรกร งานสาธารณะที่ได้รับทุนจากรัฐบาล และการดำเนินการอื่น ๆ ของรัฐบาลเพื่อแก้ไขภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่[137] เพื่อสะท้อนความเห็นของสาธารณชนที่เปลี่ยนไป แนวนโยบายของพรรคเดโมแครตรวมถึงการเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายห้ามสุรา โรเซอเวลต์เองไม่ได้แสดงจุดยืนต่อสาธารณะในประเด็นนี้ก่อนการประชุมใหญ่แต่สัญญาว่าจะยึดมั่นในแนวนโยบายของพรรค[138] อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การหาเสียงหลักของโรเซอเวลต์คือความระมัดระวัง โดยตั้งใจที่จะหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่จะทำให้ความสนใจหันเหไปจากความล้มเหลวทางเศรษฐกิจของฮูเวอร์ คำแถลงการณ์ของเขามุ่งโจมตีประธานาธิบดีคนปัจจุบันและไม่มีนโยบายหรือโครงการเฉพาะอื่น ๆ[134]

หลังการประชุมใหญ่ โรเซอเวลต์ได้รับการรับรองจากพรรครีพับลิกันสายก้าวหน้าหลายคน รวมถึงจอร์จ ดับเบิลยู. นอร์ริส, ไฮแรม จอห์นสัน และรอเบิร์ต ลาฟอลเล็ตต์ จูเนียร์[139] เขายังได้คืนดีกับฝ่ายอนุรักษนิยมของพรรค และแม้แต่อัล สมิธก็ยังถูกโน้มน้าวให้สนับสนุนเดโมแครต[140] การจัดการกับกองทัพโบนัสของฮูเวอร์ทำให้ความนิยมของประธานาธิบดีคนปัจจุบันเสียหายมากขึ้น เนื่องจากหนังสือพิมพ์ทั่วประเทศวิพากษ์วิจารณ์การใช้กำลังเพื่อสลายกลุ่มทหารผ่านศึกที่มาชุมนุม[141]

ผลการเลือกตั้ง ค.ศ. 1932

โรเซอเวลต์ได้รับคะแนนเสียงจากประชาชน 57% และได้รับชัยชนะในทุกรัฐยกเว้นเพียงหกรัฐ นักประวัติศาสตร์และนักรัฐศาสตร์ถือว่าการเลือกตั้ง ค.ศ. 1932–36 เป็นการจัดแนวทางการเมืองใหม่ ชัยชนะของโรเซอเวลต์เกิดขึ้นได้จากการสร้างพันธมิตรสัญญาใหม่ ซึ่งประกอบด้วยเกษตรกรรายย่อย คนผิวขาวทางใต้ ชาวคาทอลิก กลไกทางการเมืองในเมืองใหญ่ สหภาพแรงงาน ชาวอเมริกันผิวดำทางเหนือ (ชาวใต้ยังถูกกีดกันสิทธิออกเสียง) ชาวยิว ปัญญาชน และเสรีนิยมทางการเมือง[142] การสร้างพันธมิตรสัญญาใหม่ได้เปลี่ยนแปลงการเมืองอเมริกันและเริ่มสิ่งที่นักรัฐศาสตร์เรียกว่า "ระบบพรรคสัญญาใหม่" หรือ "ระบบพรรคที่ห้า" (Fifth Party System)"[143] ระหว่างสงครามกลางเมืองถึง ค.ศ. 1929 พรรคเดโมแครตแทบจะไม่เคยควบคุมทั้งสองสภาของรัฐสภาและชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเพียงสี่จากสิบเจ็ดครั้ง แต่ตั้งแต่ ค.ศ. 1932 ถึง 1979 พรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีแปดจากสิบสองครั้งและโดยทั่วไปก็ควบคุมทั้งสองสภาของรัฐสภา[144]

การเปลี่ยนผ่านและความพยายามลอบสังหาร

[แก้]

โรเซอเวลต์ได้รับเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1932 แต่ก็เช่นเดียวกับประธานาธิบดีคนก่อนหน้า เขาจะยังไม่เข้ารับตำแหน่งจนกระทั่งถึงเดือนมีนาคมปีถัดไป[d] หลังการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีฮูเวอร์พยายามโน้มน้าวให้โรเซอเวลต์ยกเลิกนโยบายหาเสียงส่วนใหญ่และให้สนับสนุนนโยบายของคณะบริหารฮูเวอร์[145] โรเซอเวลต์ปฏิเสธคำขอของฮูเวอร์ที่จะพัฒนาร่วมกันเพื่อหยุดยั้งภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ โดยให้เหตุผลว่ามันจะผูกมัดการทำงานของเขาและฮูเวอร์เองก็มีอำนาจดำเนินการอยู่แล้ว[146]

ในช่วงการเปลี่ยนผ่านอำนาจ โรเซอเวลต์เลือกฮาวเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ และฟาร์ลีย์เป็นนายไปรษณีย์ใหญ่ แฟรนเซส เพอร์กินส์ได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีแรงงาน ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งคณะรัฐมนตรี[134] วิลเลียม เอช. วูดิน นักอุตสาหกรรมรีพับลิกันที่ใกล้ชิดกับโรเซอเวลต์ ได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีคลัง ในขณะที่โรเซอเวลต์เลือกวุฒิสมาชิกคอร์เดล ฮัลล์ แห่งรัฐเทนเนสซี เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ แฮโรลด์ แอล. อิกส์และเฮนรี เอ. วอลเลซ นักปฏิรูปจากพรรครีพับลิกัน ถูกเลือกเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยและรัฐมนตรีเกษตรตามลำดับ[147]

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1933 โรเซอเวลต์รอดพ้นจากการพยายามลอบสังหารโดยจูเซปปี ซังการา ผู้ซึ่งแสดงความเกลียดชัง "ต่อผู้ปกครองทุกคน" ขณะที่เขากำลังพยายามยิงโรเซอเวลต์ ซังการาถูกผู้หญิงคนหนึ่งใช้กระเป๋าถือฟาด กระสุนจึงไปโดนนายกเทศมนตรีชิคาโก แอนทอน เซอร์แมก ที่นั่งอยู่ข้างโรเซอเวลต์จนได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงแก่ชีวิต[148][149]

การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี (ค.ศ. 1933–1945)

[แก้]

ในฐานะประธานาธิบดี โรเซอเวลต์ได้แต่งตั้งคนที่มีความสามารถสูงให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล อย่างไรก็ตาม เขาตัดสินใจเรื่องสำคัญทั้งหมดของคณะรัฐบาลด้วยตัวเขาเอง โดยไม่คำนึงถึงความล่าช้า ความไร้ประสิทธิภาพ หรือความไม่พอใจใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการทำเช่นนั้น เมื่อวิเคราะห์รูปแบบการบริหารงานของประธานาธิบดี เบินส์สรุปไว้ว่า:

ประธานาธิบดีคงไว้ซึ่งอำนาจในการควบคุมคณะบริหารของเขา...โดยการใช้ทั้งอำนาจตามกฎหมายและอำนาจที่ไม่เป็นทางการในฐานะประธานคณะผู้บริหารอย่างเต็มที่; โดยการยกระดับเป้าหมาย สร้างแรงผลักดัน สร้างแรงบันดาลใจในความภักดีส่วนบุคคล และดึงสิ่งที่ดีที่สุดออกมาจากผู้คน...โดยการจงใจส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกของการแข่งขันและการขัดแย้งทางความคิดในหมู่ผู้ช่วยของเขาที่นำไปสู่ความยุ่งเหยิง ความผิดหวัง และความโกรธ แต่ก็ทำให้เกิดพลังในการบริหารและประกายความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วย...โดยการมอบหมายงานเดียวให้คนหลายคนทำ และมอบหมายงานหลายอย่างให้คนเดียวทำ ซึ่งเป็นการเสริมความแข็งแกร่งในตำแหน่งของเขาเองในฐานะศาลอุทธรณ์ แหล่งรวบรวมข้อมูล และเครื่องมือในการประสานงาน; โดยการละเลยหรือข้ามหน่วยงานที่ต้องตัดสินใจร่วมกัน เช่น คณะรัฐมนตรี... และทำเช่นนี้อยู่เสมอด้วยการชักจูง ยกยอ จัดการ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ปรับเปลี่ยน ประสานงาน ไกล่เกลี่ย และการบงการ[150]

วาระแรกและวาระที่สอง (ค.ศ. 1933–1941)

[แก้]

เมื่อโรเซอเวลต์เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1933 สหรัฐอยู่ในจุดต่ำสุดของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ อัตราการว่างงานสูงถึงหนึ่งในสี่ของกำลังแรงงานทั้งหมด และเกษตรกรประสบปัญหาอย่างหนักเนื่องจากราคาสินค้าเกษตรลดลงถึง 60% การผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่งนับตั้งแต่ ค.ศ. 1929 และมีประชากรถึงสองล้านคนไร้ที่อยู่อาศัย ภายในเย็นวันที่ 4 มีนาคม มีถึง 32 จาก 48 รัฐ รวมถึงเขตโคลัมเบีย ได้สั่งปิดธนาคารของตน[151]

นักประวัติศาสตร์จัดหมวดหมู่โครงการของโรเซอเวลต์เป็น "บรรเทาทุกข์ ฟื้นฟู และปฏิรูป" การบรรเทาทุกข์เป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนสำหรับผู้ว่างงาน การฟื้นฟูหมายถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับสู่ภาวะปกติ และการปฏิรูปเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับระบบการเงินและการธนาคาร ผ่านรายการ "สนทนาข้างเตาผิง" ทั้งหมด 30 ครั้ง โรเซอเวลต์นำเสนอข้อเสนอของเขาต่อสาธารณชนอเมริกันโดยตรงในรูปแบบของการพูดทางวิทยุ[152] ด้วยพลังจากชัยชนะของเขาเองที่มีต่ออาการป่วยอัมพาต เขาได้ใช้การมองโลกในแง่ดีและความกระตือรือร้นอย่างต่อเนื่องเพื่อฟื้นฟูจิตวิญญาณของชาติ[153]

สัญญาใหม่แรก (ค.ศ. 1933–1934)

[แก้]

ในวันที่สองของการเข้ารับตำแหน่ง โรเซอเวลต์ได้ประกาศ "วันหยุดธนาคาร" ทั่วประเทศเป็นเวลาสี่วัน เพื่อยุติการแห่ถอนเงินของผู้ฝาก[154] เขาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในวันที่ 9 มีนาคม ซึ่งรัฐสภาได้ผ่านรัฐบัญญัติการธนาคารฉุกเฉินแทบจะในทันทีโดยไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด[154] รัฐบัญญัติดังกล่าว เดิมพัฒนาขึ้นครั้งแรกโดยคณะบริหารฮูเวอร์และนายธนาคารวอลสตรีต ให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีในการตัดสินใจเปิดและปิดธนาคาร และอนุญาตให้ธนาคารกลางสหรัฐออกธนบัตรได้[155] "100 วันแรก" ของรัฐสภาสหรัฐชุดที่ 73 ได้เห็นการออกกฎหมายในปริมาณที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและกลายเป็นมาตรฐานที่ใช้เปรียบเทียบกับประธานาธิบดีในอนาคต[156][157] เมื่อธนาคารเปิดทำการอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 15 มีนาคม ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์และในสัปดาห์ต่อมามีเงินมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ไหลกลับเข้าสู่ตู้เซฟธนาคาร เป็นการยุติการตื่นภัยในธนาคาร[154] วันที่ 22 มีนาคม โรเซอเวลต์ได้ลงนามในรัฐบัญญัติคัลเลน–แฮร์ริสัน ซึ่งเป็นการยุติการห้ามสุรา[158]

รวมคลิปวิดีโอของโรเซอเวลต์

โรเซอเวลต์ตั้งหน่วยงานและมาตรการหลายอย่างที่ออกแบบมาเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ว่างงานและผู้อื่น องค์การบรรเทาทุกข์ฉุกเฉินกลางภายใต้การนำของแฮร์รี ฮอปกินส์ ได้แจกจ่ายความช่วยเหลือไปยังรัฐบาลของรัฐต่าง ๆ[159] องค์การโยธาธิการ (PWA) ภายใต้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แฮโรลด์ อิกส์ ดูแลการก่อสร้างโครงการสาธารณะขนาดใหญ่ เช่น เขื่อน สะพาน และโรงเรียน[159] องค์การไฟฟ้าชนบท (REA) นำไฟฟ้าไปสู่บ้านเรือนนับล้านในชนบทเป็นครั้งแรก[154] หน่วยงานสัญญาใหม่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและเป็นที่ชื่นชอบของโรเซอเวลต์คือหน่วยอนุรักษ์พลเรือน (CCC) ซึ่งจ้างคนว่างงาน 250,000 คนสำหรับโครงการในชนบท โรเซอเวลต์ยังขยายบรรษัทการเงินเพื่อการฟื้นฟูของฮูเวอร์ ซึ่งให้เงินทุนแก่รถไฟและอุตสาหกรรม รัฐสภาให้อำนาจควบคุมอย่างกว้างขวางแก่คณะกรรมาธิการการค้ากลางและให้ความช่วยเหลือด้านจำนองแก่เกษตรกรและเจ้าของบ้านหลายล้านคน โรเซอเวลต์ยังตั้งองค์การปรับปรุงการเกษตรเพื่อเพิ่มราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยการจ่ายเงินให้เกษตรกรปล่อยให้ที่ดินไม่ได้เพาะปลูกและลดจำนวนปศุสัตว์[160] นโยบายเหล่านี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในบางกรณี เนื่องจากมีการไถกลบพืชผลและฆ่าปศุสัตว์โดยเจตนาอันเป็นผลมาจากนโยบาย[154]

การปฏิรูปเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายของรัฐบัญญัติฟื้นฟูอุตสาหกรรมแห่งชาติ (NIRA) ค.ศ. 1933 ซึ่งพยายามยุติการแข่งขันที่รุนแรงด้วยการบังคับให้อุตสาหกรรมกำหนดกฎเกณฑ์ เช่น ราคาขั้นต่ำ ข้อตกลงไม่แข่งขัน และข้อจำกัดการผลิต ผู้นำอุตสาหกรรมเจรจากฎเกณฑ์กับเจ้าหน้าที่ NIRA ซึ่งระงับกฎหมายต่อต้านการผูกขาดเพื่อแลกกับค่าจ้างที่ดีขึ้น ศาลสูงสุดประกาศให้ NIRA ขัดต่อรัฐธรรมนูญในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1935 สร้างความไม่พอใจแก่โรเซอเวลต์[161] เขาปฏิรูปกฎระเบียบการเงินด้วยรัฐบัญญัติกลาส–สตีกอล ซึ่งก่อตั้งบรรษัทประกันเงินฝากกลาง (FDIC) เพื่อค้ำประกันเงินฝากออมทรัพย์ รัฐบัญญัติดังกล่าวยังจำกัดความสัมพันธ์ระหว่างธนาคารพาณิชย์และบริษัทหลักทรัพย์[162] ใน ค.ศ.1934 มีการก่อตั้งคณะกรรมาธิการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เพื่อกำกับดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์ ขณะที่คณะกรรมาธิการการสื่อสารกลางถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อกำกับดูแลโทรคมนาคม[163]

NIRA รวมถึงการใช้จ่าย $3.3 พันล้าน (เทียบเท่า $77.67 พันล้านในปี 2023) ผ่านองค์การโยธาธิการ (PWA) เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ[164] โรเซอเวลต์ทำงานร่วมกับวุฒิสมาชิกนอร์ริสเพื่อสร้างรัฐวิสาหกิจอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา องค์การหุบเขาเทนเนสซี (TVA) ซึ่งสร้างเขื่อนและโรงไฟฟ้า ควบคุมน้ำท่วม และปรับปรุงการเกษตรและสภาพความเป็นอยู่ของบ้านเรือนให้ทันสมัยในหุบเขาเทนเนสซีที่ยากจน อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านในพื้นที่วิจารณ์ TVA ว่าทำให้ผู้คนหลายพันคนต้องพลัดถิ่นจากโครงการเหล่านี้[154] กรมอนุรักษ์ดินฝึกอบรมเกษตรกรในวิธีการเพาะปลูกที่เหมาะสม และด้วย TVA นี้เอง โรเซอเวลต์จึงกลายเป็นบิดาแห่งการอนุรักษ์ดิน[154] คำสั่งฝ่ายบริหารที่ 6102 ประกาศว่าทองคำทั้งหมดที่ถือครองโดยพลเมืองอเมริกันจะต้องถูกขายแก่กระทรวงการคลังสหรัฐและมีการเพิ่มราคาทองคำจาก $20 เป็น $35 ต่อออนซ์[165] เป้าหมายคือเพื่อต่อต้านภาวะเงินฝืดที่ทำให้เศรษฐกิจเป็นอัมพาต[166]

โรเซอเวลต์พยายามทำตามสัญญาหาเสียงด้วยการ ตัดงบประมาณรัฐบาลกลาง นี่รวมถึงการลดค่าใช้จ่ายทางทหารจาก $752 ล้านใน ค.ศ. 1932 เหลือ $531 ล้านใน ค.ศ. 1934 และการตัดค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการทหารผ่านศึก 40% ทหารผ่านศึกและม่าย 500,000 คนถูกถอดจากบัญชีเงินบำนาญ และมีการลดสวัสดิการสำหรับคนอื่น ๆ เงินเดือนของรัฐบาลกลางถูกตัด และมีการลดค่าใช้จ่ายในการวิจัยและการศึกษา กลุ่มทหารผ่านศึกมีการรวมตัวและประท้วงอย่างรุนแรง ดังนั้นสวัสดิการส่วนใหญ่จึงถูกกู้คืนหรือเพิ่มขึ้นภายใน ค.ศ. 1934[167] กลุ่มทหารผ่านศึก เช่น อเมริกันลีเจียน (American Legion) และทหารผ่านศึกในสงครามต่างประเทศ (Veterans of Foreign Wars) ชนะการรณรงค์เพื่อเปลี่ยนสวัสดิการของพวกเขาจากเงินที่ครบกำหนดจ่ายใน ค.ศ. 1945 ให้เป็นเงินสดทันที เมื่อรัฐสภาลบล้างการยับยั้งของประธานาธิบดีและผ่านรัฐบัญญัติโบนัส (Bonus Act) ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1936[168] ซึ่งเป็นการอัดฉีดเงินจำนวนเท่ากับ 2% ของ GDP เข้าสู่เศรษฐกิจผู้บริโภคและมีผลกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมาก[169]

สัญญาใหม่ที่สอง (ค.ศ. 1935–1936)

[แก้]
โรเซอเวลต์ลงนามในรัฐบัญญัติประกันสังคมให้เป็นกฎหมาย, 14 สิงหาคม ค.ศ. 1935

โรเซอเวลต์คาดว่าพรรคของเขาจะเสียที่นั่งในการเลือกตั้งรัฐสภา ค.ศ. 1934 เหมือนกับที่พรรคของประธานาธิบดีส่วนใหญ่เคยประสบในการเลือกตั้งกลางวาระครั้งก่อน ๆ แต่ปรากฏว่าพรรคเดโมแครตกลับได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นแทน การที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเช่นนี้ ทำให้วาระแรกของโรเซอเวลต์ในรัฐสภาชุดที่ 74 คือการสร้างโครงการประกันสังคม[170] รัฐบัญญัติประกันสังคมก่อตั้งระบบประกันสังคมและให้คำมั่นในเรื่องความมั่นคงทางเศรษฐกิจสำหรับผู้สูงอายุ ผู้ยากไร้ และผู้ป่วย โรเซอเวลต์ยืนยันว่าควรให้ทุนจากภาษีค่าจ้างแทนที่จะมาจากเงินกองทุนทั่วไป โดยกล่าวว่า "เรากำหนดให้มีการจ่ายเงินสมทบจากเงินเดือนเพื่อให้ผู้จ่ายเงินสมทบมีสิทธิทางกฎหมาย ศีลธรรม และการเมือง ในการรับเงินบำนาญและสิทธิประโยชน์การว่างงานของพวกเขา เมื่อมีภาษีเหล่านั้นอยู่ จะไม่มีนักการเมืองสารเลวคนไหนสามารถทำลายโครงการประกันสังคมของผมได้"[171] เมื่อเทียบกับระบบประกันสังคมในประเทศยุโรปตะวันตก รัฐบัญญัติประกันสังคม ค.ศ. 1935 นั้นค่อนข้างอนุรักษนิยม แต่เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลกลางรับผิดชอบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของผู้สูงอายุ ผู้ว่างงานชั่วคราว เด็กในอุปการะ และผู้พิการ อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าวได้ยกเว้นเกษตรกร คนทำงานบ้าน และกลุ่มอื่น ๆ คิดเป็นประมาณร้อยละสี่สิบของแรงงาน ซึ่งขัดกับความตั้งใจดั้งเดิมของโรเซอเวลต์ที่ต้องการให้ครอบคลุมทุกคน[172]

โรเซอเวลต์ได้รวมองค์กรบรรเทาทุกข์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน แม้ว่าบางองค์กร เช่น PWA จะยังคงมีอยู่ หลังได้รับอนุมัติจากรัฐสภาสำหรับการระดมทุนเพิ่มเติมเพื่อบรรเทาทุกข์แล้ว เขาได้ก่อตั้งองค์การบริหารความคืบหน้างาน (WPA) ภายใต้การนำของ แฮร์รี ฮอปกินส์ WPA ได้ว่าจ้างผู้คนมากกว่าสามล้านคนในปีแรกของการดำเนินงาน โดยได้ดำเนินโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่จำนวนมากโดยร่วมมือกับรัฐบาลท้องถิ่น นอกจากนี้ยังได้ก่อตั้งองค์การบริหารเยาวชนแห่งชาติและองค์กรด้านศิลปะต่าง ๆ[173]

ใบปลิวการเลือกตั้งซ้ำ ค.ศ. 1936 ของโรเซอเวลต์ที่ส่งเสริมนโยบายเศรษฐกิจของเขา

รัฐบัญญัติแรงงานสัมพันธ์แห่งชาติรับประกันสิทธิของคนงานในการร่วมเจรจาต่อรองผ่านสหภาพแรงงานที่พวกเขาเลือก รัฐบัญญัติยังได้จัดตั้งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์แห่งชาติ (NLRB) เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำข้อตกลงค่าจ้างและปราบปรามความไม่สงบของแรงงานซ้ำ ๆ กฎหมายไม่ได้บังคับให้นายจ้างต้องบรรลุข้อตกลงกับลูกจ้าง แต่เป็นการเปิดโอกาสให้แก่แรงงานอเมริกัน[174] ผลลัพธ์ที่ตามมาคือการเติบโตอย่างมหาศาลของจำนวนสมาชิกสหภาพแรงงาน โดยเฉพาะในภาคการผลิตขนาดใหญ่[175] เมื่อการนั่งประท้วงหยุดงานที่ฟลินต์คุกคามการผลิตของเจเนรัลมอเตอร์ โรเซอเวลต์ได้ทำลายแบบแผนที่ประธานาธิบดีคนก่อน ๆ เคยทำไว้และปฏิเสธการเข้าแทรกแซง ท้ายที่สุด การประท้วงดังกล่าวก็ทำให้นำไปสู่การตั้งสหภาพแรงงานของทั้งเจเนรัลมอเตอร์และคู่แข่งในอุตสาหกรรมยานยนต์อเมริกัน[176]

ขณะที่สัญญาใหม่แรกใน ค.ศ. 1933 ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากภาคส่วนส่วนใหญ่ แต่สัญญาใหม่ที่สองกลับถูกท้าทายจากภาคธุรกิจ เดโมแครตสายอนุรักษนิยม นำโดยอัล สมิธ ตอบโต้ด้วยการก่อตั้งสันนิบาตเสรีภาพอเมริกัน โดยโจมตีโรเซอเวลต์อย่างรุนแรงและเปรียบเทียบเขากับสังคมนิยม[177] แต่สมิธทำพลาดในการใช้คำพูดที่เกินจริง และวาทศิลป์ที่รุนแรงของเขากลับทำให้โรเซอเวลต์สามารถโดดเดี่ยวคู่ต่อสู้และระบุว่าพวกเขาคือกลุ่มผลประโยชน์ร่ำรวยที่ต่อต้านสัญญาใหม่ เป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้โรเซอเวลต์คว้าชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1936[177] ตรงกันข้าม สหภาพแรงงานที่ได้รับพลังจากกฎหมายแรงงาน ได้รับสมาชิกใหม่หลายล้านคนและกลายเป็นผู้สนับสนุนหลักในการเลือกตั้งซ้ำของโรเซอเวลต์ใน ค.ศ. 1936, 1940 และ 1944[178]

เบินส์ชี้ให้เห็นว่าการตัดสินใจด้านนโยบายของโรเซอเวลต์ได้รับคำแนะนำจากปฏิบัตินิยมมากกว่าอุดมการณ์และเขากล่าวว่าโรเซอเวลต์ "เป็นเหมือนแม่ทัพของกองทัพจรยุทธ์ที่ทัพของเขากำลังต่อสู้โดยมองไม่เห็นในภูเขาผ่านร่องลึกและพุ่มไม้หนาแน่น จู่ ๆ ก็มารวมกัน ส่วนหนึ่งตามแผนและอีกส่วนโดยบังเอิญ และออกมาสู่ที่ราบเบื้องล่าง"[179] โรเซอเวลต์แย้งว่าวิธีการที่ดูเหมือนไม่มีแบบแผนเช่นนี้เป็นสิ่งจำเป็น เขาเขียนว่า "ประเทศต้องการ และถ้าผมไม่เข้าใจผิดถึงอารมณ์ของมัน ประเทศก็ต้องการการทดลองที่กล้าหาญและไม่หยุดหย่อน" เขากล่าวต่อว่า "เป็นเรื่องของสามัญสำนึกที่จะใช้วิธีการและลองทำ หากล้มเหลวก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาแล้วลองวิธีอื่น แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ให้ลองทำอะไรสักอย่าง"[180]

การเลือกตั้ง ค.ศ. 1936

[แก้]
ผลการเลือกตั้ง ค.ศ. 1936

ใน ค.ศ. 1936 คนงานแปดล้านคนยังคงว่างงาน และแม้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะดีขึ้นนับตั้งแต่ ค.ศ. 1932 แต่ก็ยังคงซบเซา ใน ค.ศ. 1936 โรเซอเวลต์ได้สูญเสียการสนับสนุนที่เขาเคยได้รับจากชุมชนธุรกิจเนื่องจากการสนับสนุนของเขาที่มีต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์แห่งชาติ (NLRB) และ รัฐบัญญัติประกันสังคม[134] รีพับลิกันมีผู้สมัครทางเลือกเพียงเล็กน้อยและเสนอชื่ออัลฟ์ แลนดอน ผู้ว่าการรัฐแคนซัสซึ่งเป็นผู้สมัครที่ไม่มีชื่อเสียงและจืดชืด โอกาสของเขาเสียหายจากการกลับมาปรากฏตัวต่อสาธารณะของเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ ซึ่งยังคงไม่เป็นที่นิยม[181] ขณะที่โรเซอเวลต์หาเสียงด้วยโครงการสัญญาใหม่ของเขาและโจมตีฮูเวอร์อย่างต่อเนื่อง แลนดอนพยายามเอาชนะใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เห็นด้วยกับเป้าหมายของสัญญาใหม่แต่ไม่เห็นด้วยกับการนำไปปฏิบัติ[182]

ความพยายามของวุฒิสมาชิกลุยเซียนา ฮิวอี ลอง ในการก่อตั้งพรรคที่สามฝ่ายซ้ายได้ล้มเหลวลงหลังการลอบสังหารลองใน ค.ศ. 1935 ส่วนที่เหลือโดยการช่วยเหลือของบาทหลวงชาลส์ คัฟลิน ได้สนับสนุนวิลเลียม เลมเคอ แห่งพรรคสหภาพที่ก่อตั้งขึ้นใหม่[183] โรเซอเวลต์ได้รับเลือกเป็นผู้สมัครอีกครั้งโดยแทบไม่มีการคัดค้านในการประชุมใหญ่แห่งชาติพรรคเดโมแครต ค.ศ. 1936 ขณะที่พันธมิตรของเขาเอาชนะการต่อต้านจากรัฐทางใต้เพื่อยกเลิกกฎที่กำหนดให้ผู้สมัครประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตต้องชนะคะแนนเสียงจากผู้แทนสองในสามแทนที่จะเป็นเพียงเสียงส่วนใหญ่ธรรมดา ซึ่งเป็นกฎที่มีมาอย่างยาวนาน[e]

ในการเลือกตั้งสู้กับแลนดอนและผู้สมัครจากพรรคที่สาม โรเซอเวลต์ชนะด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 60.8 และชนะในทุกรัฐยกเว้นรัฐเมนและเวอร์มอนต์[185] ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตได้รับสัดส่วนคะแนนนิยมสูงสุด[f] เดโมแครตขยายเสียงข้างมากในรัฐสภา โดยควบคุมที่นั่งมากกว่าสามในสี่ในแต่ละสภา การเลือกตั้งครั้งนี้ยังเป็นการรวมพันธมิตรสัญญาใหม่ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในขณะที่เดโมแครตสูญเสียพันธมิตรดั้งเดิมบางส่วนในกลุ่มธุรกิจใหญ่ แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยกลุ่มต่าง ๆ เช่น องค์กรแรงงานและชาวแอฟริกันอเมริกัน เป็นครั้งแรกที่กลุ่มหลังนี้ลงคะแนนเสียงให้เดโมแครตนับตั้งแต่สงครามกลางเมือง[186] โรเซอเวลต์สูญเสียคะแนนเสียงจากผู้มีรายได้สูง โดยเฉพาะนักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญ แต่ได้รับคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นอย่างมากในกลุ่มคนยากไร้และชนกลุ่มน้อย เขาได้รับคะแนนเสียงร้อยละ 86 ของคะแนนเสียงจากชาวยิว ร้อยละ 81 จากชาวคาทอลิก ร้อยละ 80 จากสมาชิกสหภาพแรงงาน ร้อยละ 76 จากชาวใต้ ร้อยละ 76 จากคนผิวดำในเมืองทางเหนือ และร้อยละ 75 จากผู้ที่รับความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ โรเซอเวลต์ชนะในเมืองที่มีประชากร 100,000 คนขึ้นไปจำนวน 102 จากทั้งหมด 106 เมืองทั่วประเทศ[187]

การต่อสู้ของศาลสูงสุดและกฎหมายสมัยที่สอง

[แก้]

ศาลสูงสุดกลายเป็นประเด็นสำคัญในประเทศที่โรเซอเวลต์ให้ความสนใจหลักในวาระที่สองของเขา หลังจากที่ศาลได้ล้มเลิกโครงการต่าง ๆ ของเขาหลายโครงการ รวมถึง NIRA สมาชิกสายอนุรักษนิยมในศาลได้ยึดถือหลักการของยุคล็อกเนอร์ ซึ่งมีการยกเลิกกฎระเบียบทางเศรษฐกิจจำนวนมากบนพื้นฐานของเสรีภาพในการทำสัญญา[188] โรเซอเวลต์จึงเสนอร่างกฎหมายปฏิรูปตุลาการ ค.ศ. 1937 ซึ่งจะอนุญาตให้เขาแต่งตั้งผู้พิพากษาเพิ่มเติมหนึ่งคนสำหรับผู้พิพากษาประจำตำแหน่งแต่ละคนที่อายุเกิน 70 ปี ซึ่งใน ค.ศ. 1937 มีผู้พิพากษาศาลสูงสุดที่อายุเกิน 70 ปีถึงหกคน ขนาดของศาลถูกกำหนดไว้ที่เก้าคนนับตั้งแต่มีการผ่านรัฐบัญญัติตุลาการ ค.ศ. 1869 และรัฐสภาได้เปลี่ยนแปลงจำนวนผู้พิพากษามาแล้วหกครั้งตลอดประวัติศาสตร์สหรัฐ[189] แผน "เพิ่มจำนวนผู้พิพากษาเพื่อครอบงำศาล" (court packing) ของโรเซอเวลต์เผชิญกับการต่อต้านทางการเมืองอย่างรุนแรงจากพรรคของเขาเอง โดยมีรองประธานาธิบดีการ์เนอร์เป็นผู้นำ เนื่องจากมันบ่อนทำลายหลักการแยกใช้อำนาจ[190] พันธมิตรสองพรรคที่ประกอบด้วยเสรีนิยมและอนุรักษนิยมของทั้งสองพรรคได้คัดค้านร่างกฎหมายนี้ และประธานศาลสูงสุด ชาลส์ อีแวนส์ ฮิวส์ ได้แหวกธรรมเนียมโดยการเรียกร้องให้มีการคว่ำร่างกฎหมายนี้ต่อสาธารณะ โอกาสใด ๆ ที่จะผ่านร่างกฎหมายนี้ได้สิ้นสุดลงด้วยการเสียชีวิตของผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา โจเซฟ เทย์เลอร์ โรบินสัน ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1937[191]

เริ่มจากคดีระหว่างบริษัทโรงแรมเวสต์โคสต์กับแพร์ริช ใน ค.ศ. 1937 ศาลเริ่มมีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อกฎระเบียบทางเศรษฐกิจ นักประวัติศาสตร์อธิบายเหตุการณ์นี้ว่าเป็น "การเปลี่ยนแปลงทันเวลาที่ช่วยรักษาเก้าคนไว้"[154] ในปีเดียวกันนั้น โรเซอเวลต์ได้แต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดเป็นครั้งแรก และภายใน ค.ศ. 1941 เขาได้แต่งตั้งผู้พิพากษาถึงเจ็ดจากเก้าคนของศาล[g][192] หลังจากคดีแพร์ริช ศาลได้เปลี่ยนจุดสนใจจากการพิจารณาทบทวนกฎระเบียบทางเศรษฐกิจไปเป็นการคุ้มครองเสรีภาพพลเมือง[193] ผู้พิพากษาสี่คนที่โรเซอเวลต์แต่งตั้ง ได้แก่ เฟลิกซ์ แฟรงก์เฟอร์เตอร์, รอเบิร์ต เอช. แจ็กสัน, ฮิวโก แบล็ก และวิลเลียม โอ. ดักลาส มีอิทธิพลอย่างมากในการปรับเปลี่ยนหลักนิติศาสตร์ของศาล[194][195]

ด้วยอิทธิพลของโรเซอเวลต์ที่ลดลงหลังความล้มเหลวของร่างกฎหมายปฏิรูปตุลาการ ค.ศ. 1937 พรรคเดโมแครตสายอนุรักษนิยมได้เข้าร่วมกับพรรครีพับลิกันเพื่อขัดขวางการดำเนินโครงการสัญญาใหม่เพิ่มเติม[196] โรเซอเวลต์ยังคงสามารถผ่านกฎหมายบางฉบับได้ เช่น รัฐบัญญัติการเคหะ ค.ศ. 1937, รัฐบัญญัติการปรับปรุงเกษตรกรรมฉบับที่สอง และรัฐบัญญัติมาตรฐานแรงงานที่เป็นธรรม (FLSA) ค.ศ. 1938 ซึ่งถือเป็นกฎหมายสัญญาใหม่ชิ้นสำคัญชิ้นสุดท้าย FLSA ได้ประกาศให้การใช้แรงงานเด็กเป็นสิ่งผิดกฎหมาย กำหนดค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลกลาง และกำหนดให้จ่ายค่าล่วงเวลาสำหรับลูกจ้างบางประเภทที่ทำงานเกินสี่สิบชั่วโมงต่อสัปดาห์[197] เขายังผ่านรัฐบัญญัติการปรับโครงสร้างองค์กร ค.ศ. 1939 และต่อมาได้จัดตั้งสำนักงานบริหารประธานาธิบดี ทำให้เป็น "ศูนย์กลางประสาทของระบบบริหารรัฐบาลกลาง"[198] เมื่อเศรษฐกิจเริ่มถดถอยอีกครั้งในช่วงกลาง ค.ศ. 1937 โรเซอเวลต์เริ่มการรณรงค์โจมตีธุรกิจขนาดใหญ่และอำนาจผูกขาด โดยอ้างว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นผลมาจากการประท้วงหยุดงานของกลุ่มทุนและถึงกับสั่งให้สำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) ค้นหาการสมคบคิดทางอาญา (ซึ่งไม่พบ) จากนั้นเขาได้ขอให้รัฐสภาจัดสรรเงิน $5 พันล้าน (เทียบเท่า $105.97 พันล้านในปี 2023) สำหรับการบรรเทาทุกข์และงานโยธา สิ่งนี้สร้างงาน WPA ได้มากถึง 3.3 ล้านตำแหน่งภายใน ค.ศ. 1938 โครงการที่สำเร็จภายใต้ WPA มีตั้งแต่ศาลกลางและที่ทำการไปรษณีย์แห่งใหม่ไปจนถึงสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอุทยานแห่งชาติ สะพาน และโครงสร้างพื้นฐานอื่นทั่วประเทศ รวมถึงการสำรวจทางสถาปัตยกรรมและการขุดค้นทางโบราณคดี ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและรักษาทรัพยากรสำคัญ อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากนี้ โรเซอเวลต์ได้แนะนำต่อการประชุมรัฐสภาสมัยพิเศษเพียงแค่รัฐบัญญัติไร่นาแห่งชาติฉบับถาวร การปรับโครงสร้างองค์กรบริหาร และมาตรการการวางแผนภูมิภาค ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่เหลือมาจากสมัยประชุมปกติ ตามที่เบินส์กล่าว การพยายามในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่สามารถของโรเซอเวลต์ที่จะตัดสินใจเลือกโครงการเศรษฐกิจพื้นฐาน[199]

ด้วยความตั้งใจจะเอาชนะการต่อต้านของสมาชิกเดโมแครตสายอนุรักษนิยมในรัฐสภา โรเซอเวลต์จึงเข้าไปมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งขั้นต้นของพรรคเดโมแครต ค.ศ. 1938 โดยรณรงค์อย่างแข็งขันเพื่อผู้ท้าชิงที่สนับสนุนการปฏิรูปสัญญาใหม่มากขึ้น โรเซอเวลต์ล้มเหลวอย่างมาก โดยสามารถเอาชนะผู้ที่ถูกกำหนดเป้าหมายได้เพียงคนเดียวจากสิบคน[154] ในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1938 เดโมแครตสูญเสียหกที่นั่งในวุฒิสภาและ 71 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร โดยความสูญเสียกระจุกอยู่ในกลุ่มเดโมแครตที่สนับสนุนสัญญาใหม่ เมื่อรัฐสภาเปิดสมัยประชุมอีกครั้งใน ค.ศ. 1939 รีพับลิกันภายใต้วุฒิสมาชิกรอเบิร์ต แทฟต์ ได้จัดตั้งพันธมิตรอนุรักษนิยมร่วมกับเดโมแครตทางใต้ ซึ่งแทบจะยุติความสามารถของโรเซอเวลต์ในการเสนอนโยบายภายในประเทศของเขา[200] แม้จะมีการต่อต้านนโยบายภายในประเทศของโรเซอเวลต์ สมาชิกรัฐสภาสายอนุรักษนิยมเหล่านี้จำนวนมากกลับให้การสนับสนุนที่สำคัญต่อนโยบายต่างประเทศของเขาทั้งก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง[201]

การอนุรักษ์และสิ่งแวดล้อม

[แก้]

โรเซอเวลต์มีความสนใจตลอดชีวิตในด้านสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ธรรมชาติโดยเริ่มจากความสนใจในด้านวนศาสตร์ตั้งแต่ยังเยาว์วัยในพื้นที่ของตระกูล แม้เขาจะไม่ใช่นักกิจกรรมกลางแจ้งหรือนักกีฬาที่เน้นปฏิบัติเหมือนทีโอดอร์ โรเซอเวลต์ แต่การขยายระบบอุทยานและป่าไม้ของชาติในยุคของเขาก็เทียบเคียงกันได้[202][203] เมื่อโรเซอเวลต์เป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก องค์การบรรเทาทุกข์ฉุกเฉินชั่วคราวถือเป็นหน่วยงานระดับรัฐที่เป็นต้นแบบของหน่วยอนุรักษ์พลเรือนของรัฐบาลกลาง โดยมีบุคลากร 10,000 คนหรือมากกว่านั้นที่ทำหน้าที่สร้างทางกันไฟ ต่อสู้กับการกัดเซาะของดิน และปลูกต้นกล้าไม้ในพื้นที่เกษตรกรรมที่เสื่อมโทรมในนิวยอร์ก[204] ในฐานะประธานาธิบดี โรเซอเวลต์มีบทบาทอย่างแข็งขันในการขยาย ให้ทุน และส่งเสริมระบบอุทยานแห่งชาติและป่าสงวนแห่งชาติ[205] ความนิยมของอุทยานและป่าสงวนเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากจำนวนผู้เข้าชมสามล้านคนต่อปีในช่วงต้นทศวรรษเพิ่มเป็น 15.5 ล้านคนใน ค.ศ. 1939[206] หน่วยอนุรักษ์พลเรือนได้รับการขึ้นทะเบียนเยาวชนชาย 3.4 ล้านคนและได้สร้างเส้นทางรวม 13,000 ไมล์ (21,000 กิโลเมตร)* ปลูกต้นไม้สองพันล้านต้นและปรับปรุงถนนดิน 125,000 ไมล์ (201,000 กิโลเมตร)* ทุกรัฐมีอุทยานของตนเอง และโรเซอเวลต์ก็ให้ความมั่นใจว่าโครงการของ WPA และ CCC จะถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อปรับปรุงอุทยานเหล่านี้รวมถึงระบบอุทยานแห่งชาติด้วย[207][208][209]

ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติและอัตราการว่างงาน

[แก้]
อัตราการว่างงาน[h]
ปีเลเบอร์กอตต์ดาร์บี
19293.23.2
193223.622.9
193324.920.6
193421.716.0
193520.114.2
193616.99.9
193714.39.1
193819.012.5
193917.211.3
194014.69.5

การใช้จ่ายของรัฐบาลเพิ่มขึ้นจาก 8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GNP) ในสมัยฮูเวอร์ใน ค.ศ. 1932 เป็น 10.2% ใน ค.ศ. 1936 หนี้สาธารณะคิดเป็นร้อยละของ GNP เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวในสมัยฮูเวอร์ จาก 16 เป็น 40% ของ GNP ในช่วงต้น ค.ศ. 1933 และคงที่อยู่ใกล้ 40% จนถึงฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1941 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสงคราม[211] ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติสูงขึ้น 34% ใน ค.ศ. 1936 เมื่อเทียบกับ ค.ศ. 1932 และสูงขึ้น 58% ใน ค.ศ. 1940 ก่อนสงคราม นั่นคือ เศรษฐกิจเติบโต 58% ตั้งแต่ ค.ศ. 1932 ถึง 1940 และเติบโต 56% ตั้งแต่ ค.ศ. 1940 ถึง 1945 ในช่วงห้าปีของสงคราม[211] อัตราการว่างงานลดลงอย่างมากในวาระแรกของโรเซอเวลต์ มันเพิ่มขึ้นใน ค.ศ. 1938 ("ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำภายในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ") แต่ลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้น[210] การจ้างงานรวมในวาระของโรเซอเวลต์ขยายตัวเพิ่มขึ้น 18.31 ล้านตำแหน่ง โดยมีอัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อปี 5.3% ในช่วงการบริหารของเขา[212][213]

นโยบายต่างประเทศ (ค.ศ. 1933–1941)

[แก้]
รูสเวลต์กับประธานาธิบดีบราซิล เฌตูลียู วาร์กัส และบุคคลสำคัญอื่น ๆ ในบราซิล, ค.ศ. 1936

โครงการริเริ่มนโยบายต่างประเทศหลักในวาระแรกของโรเซอเวลต์คือนโยบายเพื่อนบ้านที่ดี ซึ่งเป็นการประเมินใหม่สำหรับนโยบายของสหรัฐต่อลาตินอเมริกา สหรัฐมักเข้าแทรกแซงในลาตินอเมริกาอยู่บ่อยครั้งหลังประกาศลัทธิมอนโรใน ค.ศ. 1823 และได้เข้ายึดครองประเทศในลาตินอเมริกาหลายประเทศในช่วงสงครามกล้วยที่เกิดขึ้นหลังสงครามสเปน–อเมริกาใน ค.ศ. 1898 หลังโรเซอเวลต์เข้ารับตำแหน่ง เขาได้ถอนกองกำลังสหรัฐออกจากเฮติและบรรลุสนธิสัญญาใหม่กับคิวบาและปานามา เป็นการยกเลิกสถานะของประเทศเหล่านี้ในฐานะรัฐในอารักขาของสหรัฐในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1933 โรเซอเวลต์ลงนามในอนุสัญญากรุงมอนเตวิเดโอ โดยสละสิทธิ์ในการเข้าแทรกแซงกิจการของประเทศในลาตินอเมริกาแต่เพียงฝ่ายเดียว[214] โรเซอเวลต์ยังฟื้นฟูความสัมพันธ์ตามปกติกับสหภาพโซเวียต ซึ่งสหรัฐปฏิเสธจะยอมรับมาตั้งแต่ทศวรรษ 1920[215] เขาหวังจะเจรจาเรื่องหนี้ของรัสเซียจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและเปิดความสัมพันธ์ทางการค้า แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าในทั้งสองประเด็นและ "ทั้งสองประเทศก็รู้สึกผิดหวังในข้อตกลงดังกล่าวในไม่ช้า"[216]

การปฏิเสธสนธิสัญญาแวร์ซายใน ค.ศ. 1919–1920 เป็นจุดเด่นของแนวคิดไม่แทรกแซงในนโยบายต่างประเทศของอเมริกา แม้โรเซอเวลต์จะมีภูมิหลังของวิลสัน แต่เขาและรัฐมนตรีต่างประเทศ คอร์เดล ฮัลล์ ก็ดำเนินการด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้กระตุ้นความรู้สึกโดดเดี่ยวทางการเมือง ขบวนการโดดเดี่ยวได้รับแรงหนุนในช่วงต้นถึงกลางทศวรรษ 1930 โดยวุฒิสมาชิกเจอรัลด์ นายและคนอื่น ๆ ซึ่งประสบความสำเร็จในการหยุด "พ่อค้าความตาย" ในสหรัฐไม่ให้ขายอาวุธในต่างประเทศ[217] ความพยายามนี้อยู่ในรูปของรัฐบัญญัติความเป็นกลาง โดยประธานาธิบดีถูกปฏิเสธข้อกำหนดที่เขาร้องขอซึ่งจะให้อำนาจดุลยพินิจแก่เขาในการอนุญาตให้ขายอาวุธแก่เหยื่อของการบุกครอง[218] เขายอมรับนโยบายไม่แทรกแซงของรัฐสภาส่วนใหญ่ในช่วงต้นถึงกลางทศวรรษ 1930[219] ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ฟาสซิสต์อิตาลีภายเบนิโต มุสโสลินี ได้รุกเอาชนะเอธิโอเปีย และชาวอิตาลีได้เข้าร่วมกับ นาซีเยอรมนีภายใต้อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ในการสนับสนุนนายพลฟรันซิสโก ฟรังโกและฝ่ายชาตินิยมในสงครามกลางเมืองสเปน[220] เมื่อความขัดแย้งนั้นใกล้จะสิ้นสุดลงในช่วงต้น ค.ศ. 1939 โรเซอเวลต์แสดงความเสียใจที่ไม่ได้ช่วยเหลือฝ่ายนิยมสาธาณรัฐสเปน[221] เมื่อญี่ปุ่นบุกจีนใน ค.ศ. 1937 แนวคิดโดดเดี่ยวกำหนดขีดจำกัดความสามารถของโรเซอเวลต์ในการช่วยเหลือจีน[222] แม้จะมีเหตุการณ์โหดร้าย เช่น การสังหารหมู่ที่หนานจิงและอุบัติการณ์ยูเอสเอส พาเนย์[223]

ครอบครัวโรเซอเวลต์กับสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 และสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ ขณะกำลังแล่นเรือจากวอชิงตัน ดี.ซี. ไปยังเมานต์เวอร์นอน รัฐเวอร์จิเนีย บนเรือยูเอสเอส โพโทแมก (USS Potomac) ระหว่างการเสด็จเยือนสหรัฐครั้งแรกของพระมหากษัตริย์อังกฤษที่ทรงครองราชย์ (9 มิถุนายน ค.ศ. 1939)
การเดินทางเยือนต่างประเทศของโรเซอเวลต์ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี[224]
คำอธิบายสัญลักษณ์
  •   สหรัฐ
  •   7 ครั้งหรือมากกว่า
  •   6 ครั้ง
  •   5 ครั้ง
  •   4 ครั้ง
  •   3 ครั้ง
  •   2 ครั้ง
  •   1 ครั้ง

เยอรมนีผนวกออสเตรียใน ค.ศ. 1938 และในไม่ช้าก็หันไปสนใจประเทศเพื่อนบ้านทางตะวันออก[225] โรเซอเวลต์ระบุอย่างชัดเจนว่า ในกรณีที่เยอรมนีบุกครองเชโกสโลวาเกีย สหรัฐจะยังคงเป็นกลาง[226] หลังการลงนามในความตกลงมิวนิกและคริสทัลล์นัคท์ ความเห็นของสาธารณชนอเมริกันก็หันมาต่อต้านเยอรมนี และโรเซอเวลต์ก็เริ่มเตรียมพร้อมสำหรับสงครามที่อาจเกิดขึ้นกับเยอรมนี[227] ด้วยการอาศัยพันธมิตรทางการเมืองที่สนับสนุนการแทรกแซงซึ่งประกอบด้วยเดโมแครตทางใต้และรีพับลิกันที่มุ่งเน้นธุรกิจ โรเซอเวลต์ดูแลการขยายอำนาจทางอากาศและความสามารถในการผลิตเพื่อสงครามของสหรัฐ[228]

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มต้นในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 ด้วยการที่เยอรมนีบุกโปแลนด์และการประกาศสงครามของบริเตนและฝรั่งเศสต่อเยอรมนี โรเซอเวลต์ก็พยายามหาทางช่วยเหลือบริเตนและฝรั่งเศสทางทหาร[229] ผู้นำที่สนับสนุนแนวคิดโดดเดี่ยว เช่น ชาลส์ ลินด์เบิร์กและวุฒิสมาชิกวิลเลียม โบราห์ประสบความสำเร็จในการระดมการต่อต้านการเสนอให้ยกเลิกรัฐบัญญัติความเป็นกลางของโรเซอเวลต์ แต่โรเซอเวลต์ก็ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาให้ขายอาวุธได้ในรูปแบบเงินสดแล้วขนไปเอง (cash-and-carry)[230] เขายังเริ่มการติดต่อทางไปรษณีย์ลับเป็นประจำกับ วินสตัน เชอร์ชิล รัฐมนตรีกระทรวงทหารเรือของบริเตน ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 ซึ่งเป็นการติดต่อกันครั้งแรกจากจดหมายและโทรเลขทั้งหมด 1,700 ฉบับระหว่างพวกเขา[231] โรเซอเวลต์สร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ใกล้ชิดกับเชอร์ชิล ซึ่งได้เป็นนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1940[232]

การล่มสลายของฝรั่งเศสในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1940 สร้างความตกตะลึงแก่สาธารณชนอเมริกัน และความรู้สึกโดดเดี่ยวทางการเมืองก็ลดลง[233] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1940 โรเซอเวลต์แต่งตั้งผู้นำรีพับลิกันที่สนับสนุนการแทรกแซงสองคน เฮนรี แอล. สติมสันและแฟรงก์ น็อกซ์ เป็นรัฐมนตรีการสงครามและทหารเรือตามลำดับ ทั้งสองพรรคให้การสนับสนุนแผนการของเขาสำหรับการสร้างกองทัพอเมริกันอย่างรวดเร็ว แต่ฝ่ายโดดเดี่ยวเตือนว่าโรเซอเวลต์จะนำประเทศเข้าสู่สงครามที่ไม่จำเป็นกับเยอรมนี[234] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1940 กลุ่มสมาชิกรัฐสภาได้เสนอร่างกฎหมายที่จะอนุญาตให้มีการเกณฑ์ทหารในยามสงบครั้งแรกของประเทศ และด้วยการสนับสนุนจากคณะบริหารโรเซอเวลต์ รัฐบัญญัติการฝึกอบรมและบริการเลือกสรร ค.ศ. 1940 ก็ผ่านในเดือนกันยายน ขนาดของกองทัพเพิ่มขึ้นจาก 189,000 นายเมื่อสิ้น ค.ศ. 1939 เป็น 1.4 ล้านนายในช่วงกลาง ค.ศ. 1941[235] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1940 โรเซอเวลต์ท้าทายรัญบัญญัติความเป็นกลางอย่างเปิดเผยด้วยการบรรลุข้อตกลงเรือพิฆาตแลกฐานทัพ ซึ่งเป็นการมอบเรือพิฆาตอเมริกัน 50 ลำให้แก่บริเตนเพื่อแลกกับสิทธิในการใช้ฐานทัพในหมู่เกาะแคริบเบียนของบริเตน[236]

การเลือกตั้ง ค.ศ. 1940

[แก้]

ในช่วงหลายเดือนก่อนการประชุมใหญ่แห่งชาติพรรคเดโมแครต ค.ศ. 1940 ในเดือนกรกฎาคม มีการคาดเดากันอย่างมากว่าโรเซอเวลต์จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมัยที่สาม ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนหรือไม่ ธรรมเนียมการดำรงตำแหน่งเพียงสองวาระนี้ ถึงแม้จะยังไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ[i] แต่ก็ถูกสร้างขึ้นโดยจอร์จ วอชิงตันเมื่อเขายืนยันที่จะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมัยที่สามใน ค.ศ. 1796 โรเซอเวลต์ปฏิเสธที่จะให้คำตอบที่ชัดเจน และยังส่งสัญญาณแก่เดโมแครตที่มีความทะเยอทะยานบางคน เช่น เจมส์ ฟาร์ลีย์ ว่าเขาจะไม่ลงสมัครเป็นสมัยที่สามและพวกเขาสามารถหาเสียงเพื่อเป็นตัวแทนเดโมแครตได้ ฟาร์ลีย์และรองประธานาธิบดีจอห์น การ์เนอร์ไม่พอใจโรเซอเวลต์เมื่อในที่สุดเขาก็ตัดสินใจทำลายธรรมเนียมของวอชิงตัน[134][237] เมื่อเยอรมนีบุกครองทั่วยุโรปตะวันตกและคุกคามอังกฤษในช่วงกลาง ค.ศ. 1940 โรเซอเวลต์ตัดสินใจว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่มีประสบการณ์และทักษะที่จำเป็นในการนำพาประเทศให้รอดพ้นจากภัยคุกคามของนาซีได้อย่างปลอดภัย เขาได้รับความช่วยเหลือจากหัวหน้าพรรคที่กลัวว่าไม่มีใครในเดโมแครตยกเว้นโรเซอเวลต์ที่จะสามารถเอาชนะเวนเดล วิลกี ผู้สมัครยอดนิยมจากรีพับลิกันได้[238]

ผลการเลือกตั้ง ค.ศ. 1940

ในการประชุมใหญ่พรรคเดโมแครตเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1940 ที่ชิคาโก โรเซอเวลต์เอาชนะการท้าทายจากฟาร์ลีย์และรองประธานาธิบดีการ์เนอร์ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งทั้งสองได้หันมาต่อต้านโรเซอเวลต์ในวาระที่สองของเขาเพราะนโยบายเศรษฐกิจและสังคมเสรีนิยมของเขา[239] เพื่อแทนที่การ์เนอร์ในตำแหน่งรองประธานาธิบดี โรเซอเวลต์ได้เลือกเฮนรี วอลเลซ รัฐมนตรีเกษตรจากไอโอวาซึ่งเป็นอดีตสมาชิกรีพับลิกันที่สนับสนุนสัญญาใหม่อย่างแข็งขันและเป็นที่นิยมในรัฐเกษตรกรรม[240] ตัวเลือกนี้ถูกต่อต้านอย่างหนักจากฝ่ายอนุรักษนิยมจำนวนมากในพรรค ซึ่งรู้สึกว่าวอลเลซหัวรุนแรงเกินไปและมีพฤติกรรม "ประหลาด" ในชีวิตส่วนตัว แต่โรเซอเวลต์ยืนกรานว่าหากไม่มีวอลเลซเป็นคู่สมัคร เขาจะปฏิเสธการเสนอชื่อซ้ำ และวอลเลซก็ได้รับการเสนอชื่อเป็นรองประธานาธิบดี เอาชนะวิลเลียม บี. แบงก์เฮด ประธานสภาผู้แทนราษฎรและผู้สมัครคนอื่น ๆ ไปได้[239]

ผลสำรวจที่จัดทำโดยแกลลัป (Gallup) ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมพบว่าการแข่งขันสูสีกันมาก แต่ความนิยมของโรเซอเวลต์พุ่งสูงขึ้นในเดือนกันยายนหลังการประกาศข้อตกลงเรือพิฆาตแลกฐานทัพ[241] วิลกีให้การสนับสนุนสัญญาใหม่ส่วนใหญ่รวมถึงการเสริมสร้างอาวุธและการช่วยเหลืออังกฤษแต่เตือนว่าโรเซอเวลต์จะลากประเทศเข้าสู่สงครามยุโรปอีกครั้ง[242] ในการตอบโต้การโจมตีของวิลกี โรเซอเวลต์ให้คำมั่นสัญญาว่าจะรักษาประเทศให้ออกห่างจากสงคราม[243] ในช่วงเดือนสุดท้ายของการหาเสียง การรณรงค์ได้กลายเป็นชุดของการกล่าวหาที่อุกอาจและการใส่ร้ายซึ่งกันและกันโดยพรรคต่าง ๆ[134] โรเซอเวลต์ชนะการเลือกตั้ง ค.ศ. 1940 ด้วยคะแนนนิยม 55% ชนะใน 38 จาก 48 รัฐ และได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งเกือบ 85%[244]

วาระที่สามและสี่ (ค.ศ. 1941–1945)

[แก้]

สงครามโลกครั้งที่สองดึงความสนใจของโรเซอเวลต์ไปอย่างมาก โดยเขาทุ่มเทเวลาให้กับกิจการระหว่างประเทศมากกว่าที่เคยเป็นมาอย่างไม่เคยมีมาก่อน การเมืองภายในประเทศและความสัมพันธ์กับรัฐสภาส่วนใหญ่ถูกกำหนดโดยความพยายามของเขาที่จะระดมทรัพยากรทางเศรษฐกิจ การเงิน และสถาบันของประเทศทั้งหมดเพื่อสนับสนุนความพยายามในการทำสงคราม แม้แต่ความสัมพันธ์กับลาตินอเมริกาและแคนาดาก็ถูกจัดโครงสร้างตามความต้องการในยามสงคราม โรเซอเวลต์ยังคงควบคุมการตัดสินใจทางการทูตและการทหารที่สำคัญทั้งหมดอย่างใกล้ชิดด้วยตนเอง โดยทำงานอย่างใกล้ชิดกับนายพลและพลเรือเอกของเขา กระทรวงการสงครามและกระทรวงทหารเรือ อังกฤษ และแม้กระทั่งสหภาพโซเวียต ที่ปรึกษาด้านการทูตคนสำคัญของเขา ได้แก่ แฮร์รี ฮอปกินส์ในทำเนียบขาว, ซัมเนอร์ เวลส์ในกระทรวงการต่างประเทศ และเฮนรี มอร์เกนเทา จูเนียร์ที่กระทรวงการคลัง ส่วนในด้านการทหาร โรเซอเวลต์ทำงานใกล้ชิดที่สุดกับรัฐมนตรีเฮนรี แอล. สติมสันที่กระทรวงการสงคราม, เสนาธิการกองทัพบก จอร์จ มาร์แชล และพลเรือเอก วิลเลียม ดี. ลีฮี[245][246][247]

ก่อนสงคราม

[แก้]
อิสรภาพจากความกลัว จากจิตรกร นอร์มัน ร็อกเวลล์, ป.1943

ภายในปลาย ค.ศ. 1940 การเตรียมพร้อมด้านอาวุธยุทธภัณฑ์อยู่ในระดับสูง ส่วนหนึ่งเพื่อขยายและติดตั้งยุทโธปกรณ์ใหม่ให้แก่กองทัพบกและกองทัพเรือและอีกส่วนหนึ่งเพื่อเป็น "คลังแสงประชาธิปไตย" ให้แก่บริเตนและประเทศอื่น ๆ[248] ด้วยสุนทรพจน์เสรีภาพทั้งสี่ของเขาในเดือนมกราคม ค.ศ. 1941 ซึ่งเสนอเสรีภาพพื้นฐานสี่ประการที่ผู้คน "ทุกหนแห่งในโลก" ควรได้รับ: เสรีภาพในการพูดและการแสดงออก, เสรีภาพในการนับถือศาสนา, เสรีภาพจากความขาดแคลน และเสรีภาพจากความกลัว โรเซอเวลต์วางแนวทางสำหรับการต่อสู้ของฝ่ายสัมพันธมิตรเพื่อสิทธิพื้นฐานทั่วโลก ด้วยความช่วยเหลือจากวิลกี โรเซอเวลต์ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาสำหรับโครงการ "ให้ยืม-เช่า" ซึ่งจัดส่งความช่วยเหลือทางทหารและเศรษฐกิจจำนวนมหาศาลให้แก่บริเตนและจีน[249] ต่างจากเงินกู้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อย่างมาก ตรงที่จะไม่มีการชำระคืน[250] ขณะที่โรเซอเวลต์มีจุดยืนแข็งกร้าวขึ้นต่อญี่ปุ่น เยอรมนี และอิตาลี พวกกลุ่มแยกอยู่โดดเดี่ยวของอเมริกา เช่น ชาลส์ ลินด์เบิร์กและคณะกรรมการอเมริกาต้องมาก่อน ได้โจมตีโรเซอเวลต์อย่างรุนแรงว่าเป็นผู้กระหายสงครามที่ขาดความรับผิดชอบ[251] เมื่อเยอรมนีบุกครองสหภาพโซเวียตในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1941 โรเซอเวลต์ตกลงขยายโครงการให้ยืม-เช่าไปยังโซเวียตด้วย ด้วยเหตุนี้ โรเซอเวลต์จึงได้ผูกมัดสหรัฐให้เข้าข้างฝ่ายสัมพันธมิตรด้วยนโยบายที่ว่า "ช่วยเหลือทุกอย่างยกเว้นสงคราม"[252] ภายในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1941 โรเซอเวลต์อนุมัติให้มีการจัดตั้งสำนักงานผู้ประสานงานกิจการระหว่างอเมริกาเพื่อต่อต้านความพยายามโฆษณาชวนเชื่อของเยอรมนีและอิตาลีในลาตินอเมริกา[253][254]

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1941 โรเซอเวลต์และเชอร์ชิลได้จัดประชุมทวิภาคีลับซึ่งพวกเขาได้ร่วมกันร่างกฎบัตรแอตแลนติก แนวคิดที่สรุปเป้าหมายระดับโลกในช่วงสงครามและหลังสงคราม นี่คือการประชุมครั้งแรกในบรรดาการประชุมในช่วงสงครามหลายครั้ง[255] โดยเชอร์ชิลและโรเซอเวลต์จะพบกันแบบตัวต่อตัวอีกสิบครั้ง[256] แม้เชอร์ชิลจะผลักดันให้สหรัฐประกาศสงครามต่อเยอรมนี แต่โรเซอเวลต์เชื่อว่ารัฐสภาจะปฏิเสธความพยายามใด ๆ ที่จะนำสหรัฐเข้าสู่สงคราม[257] ในเดือนกันยายน เรือดำน้ำเยอรมันได้ยิงใส่เรือพิฆาต ยูเอสเอส กรีเออร์ (USS Greer) ของสหรัฐ และโรเซอเวลต์ได้ประกาศว่ากองทัพเรือสหรัฐจะรับบทบาทเป็นผู้คุ้มกันขบวนเรือของฝ่ายสัมพันธมิตรในแอตแลนติกไปทางตะวันออกถึงบริเตนและจะยิงใส่เรือเยอรมันหรือเรืออูของครีคส์มารีเนอหากพวกมันเข้ามาในเขตของกองทัพเรือสหรัฐ นโยบาย "ยิงทันทีที่เห็น" นี้ทำให้กองทัพเรือสหรัฐเข้าสู่ความขัดแย้งโดยตรงกับเรือดำน้ำเยอรมันและได้รับการสนับสนุนจากชาวอเมริกันในส่วนต่าง 2 ต่อ 1[258]

เพิร์ลฮาร์เบอร์และการประกาศสงคราม

[แก้]

หลังการบุกครองโปแลนด์ของเยอรมนี ความกังวลหลักของทั้งโรเซอเวลต์และเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของเขาคือสงครามในยุโรป แต่ญี่ปุ่นก็เป็นความท้าทายด้านนโยบายต่างประเทศเช่นกัน ความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นเสื่อมลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การบุกครองแมนจูเรียใน ค.ศ. 1931 และเลวร้ายลงไปอีกเมื่อโรเซอเวลต์ให้การสนับสนุนจีน[259] หลังโรเซอเวลต์ประกาศให้เงินกู้แก่จีน $100 ล้าน (เทียบเท่า $2.2 พันล้านในปี 2023) เพื่อตอบโต้การที่ญี่ปุ่นยึดครองอินโดจีนของฝรั่งเศสตอนเหนือ ญี่ปุ่นก็ได้ลงนามในกติกาสัญญาไตรภาคีร่วมกับเยอรมนีและอิตาลี ทำให้เยอรมนี ญี่ปุ่น และอิตาลีเป็นที่รู้จักในนามฝ่ายอักษะ[260] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1941 หลังญี่ปุ่นยึดครองส่วนที่เหลือของอินโดจีนฝรั่งเศส โรเซอเวลต์ได้ตัดการขายน้ำมันให้แก่ญี่ปุ่น ทำให้ญี่ปุ่นขาดแคลนน้ำมันมากกว่าร้อยละ 95[261] เขายังให้กองทัพฟิลิปปินส์อยู่ภายใต้การบัญชาการของอเมริกา และแต่งตั้งพลเอก ดักลาส แมกอาเทอร์ ให้กลับเข้าประจำการเพื่อบัญชาการกองกำลังสหรัฐในฟิลิปปินส์[262]

ญี่ปุ่นไม่พอใจกับการคว่ำบาตรนี้และผู้นำญี่ปุ่นก็ตัดสินใจที่จะโจมตีสหรัฐเว้นแต่สหรัฐจะยกเลิกการคว่ำบาตร คณะบริหารโรเซอเวลต์ไม่เต็มใจจะกลับนโยบายดังกล่าว และรัฐมนตรีต่างประเทศฮัลล์ได้ขัดขวางการประชุมสุดยอดที่อาจเกิดขึ้นระหว่างโรเซอเวลต์กับนายกรัฐมนตรีฟูมิมาโระ โคโนเอะ[j] เมื่อความพยายามทางการทูตล้มเหลว คณะองคมนตรีญี่ปุ่นได้อนุมัติให้โจมตีสหรัฐ[264] ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าการทำลายทัพเรือเอเชียของสหรัฐ (ประจำการที่ฟิลิปปินส์) และทัพเรือแปซิฟิกของสหรัฐ (ประจำการที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ รัฐฮาวาย) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพิชิตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้[265] วันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ญี่ปุ่นเปิดฉากโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์อย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ทัพเรือประจัญบานหลักของสหรัฐถูกทำลายและมีทหารและพลเรือนอเมริกันเสียชีวิต 2,403 ราย ในเวลาเดียวกัน กำลังเฉพาะกิจของญี่ปุ่นได้โจมตีประเทศไทย ฮ่องกงของอังกฤษ ฟิลิปปินส์ และเป้าหมายอื่น ๆ โรเซอเวลต์เรียกร้องให้ประกาศสงครามใน "สุนทรพจน์วันแห่งความอัปยศ" ต่อรัฐสภา ซึ่งเขากล่าวว่า: "วานนี้ 7 ธันวาคม 1941 วันที่ซึ่งจะต้องจดจำไว้ในความอัปยศ สหรัฐอเมริกาถูกโจมตีอย่างกะทันหันและโดยเจตนาโดยกองทัพเรือและกองทัพอากาศของจักรวรรดิญี่ปุ่น" ด้วยคะแนนเสียงเกือบเป็นเอกฉันท์ รัฐสภาได้ประกาศสงครามต่อญี่ปุ่น[266] ภายหลังเพิร์ลฮาร์เบอร์ ความรู้สึกต่อต้านสงครามในสหรัฐสลายไปอย่างสิ้นเชิงในชั่วข้ามคืน ต่อมาในวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ฮิตเลอร์และมุสโสลินีได้ประกาศสงครามต่อสหรัฐ ซึ่งสหรัฐก็โต้กลับในทำนองเดียวกัน[k][267]

นักวิชาการส่วนใหญ่ปฏิเสธทฤษฎีสมคบคิดที่ว่าโรเซอเวลต์หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลคนอื่น ๆ ทราบล่วงหน้าเกี่ยวกับการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์[268] ญี่ปุ่นได้เก็บความลับของพวกเขาไว้อย่างแน่นหนา จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่เจ้าหน้าที่อเมริกันจะทราบแผนการโจมตีทัพเรือแปซิฟิกอย่างไม่ทันตั้งตัว เจ้าหน้าที่ระดับสูงอเมริกันตระหนักว่าสงครามกำลังจะมาถึง แต่พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะมีการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์[269] โรเซอเวลต์สันนิษฐานว่าญี่ปุ่นจะโจมตีหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของดัตช์หรือประเทศไทย[270]

แผนการสงคราม

[แก้]
ดินแดนที่ควบคุมโดยฝ่ายสัมพันธมิตร (สีน้ำเงินและสีแดง) และฝ่ายอักษะ (สีดำ) ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1942

ในช่วงปลายเดือนธันวาคม ค.ศ. 1941 เชอร์ชิลและโรเซอเวลต์ได้พบกันที่การประชุมอาร์คาเดีย ซึ่งได้กำหนดยุทธศาสตร์ร่วมกันระหว่างสหรัฐและบริเตน ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบในยุทธศาสตร์ยุโรปต้องมาก่อนที่ให้ความสำคัญกับการเอาชนะเยอรมนีก่อนญี่ปุ่น สหรัฐและบริเตนได้จัดตั้งคณะเสนาธิการผสมเพื่อประสานงานนโยบายทางทหารและคณะกรรมาธิการจัดสรรยุทโธปกรณ์ผสมเพื่อประสานงานการจัดสรรเสบียง[271] นอกจากนี้ยังมีการบรรลุข้อตกลงในการจัดตั้งกองบัญชาการรวมศูนย์ในสมรภูมิแปซิฟิกชื่อ ABDA ย่อมาจากกองกำลังอเมริกัน บริติช ดัตช์ และออสเตรเลียในภาคพื้นนั้น[272] วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1942 สหรัฐและชาติพันธมิตรอื่น ๆ ได้ออกปฏิญญาโดยสหประชาชาติ ซึ่งแต่ละประเทศให้คำมั่นว่าจะเอาชนะฝ่ายอักษะ[273]

ใน ค.ศ. 1942 โรเซอเวลต์ได้จัดตั้งองค์กรใหม่ คณะเสนาธิการร่วม ซึ่งมีหน้าที่ตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ทางทหารของอเมริกา พลเรือเอก เออร์เนสต์ เจ. คิง ในฐานะหัวหน้าปฏิบัติการทางเรือ บัญชาการกองทัพเรือและนาวิกโยธิน ในขณะที่นายพลจอร์จ ซี. มาร์แชล เป็นผู้นำกองทัพบกและอยู่ในการควบคุมโดยพฤตินัยของกองทัพอากาศ ซึ่งในทางปฏิบัติบัญชาการโดยนายพลแฮป อาร์โนลด์ [274] คณะเสนาธิการร่วมมีพลเรือเอก วิลเลียม ดี. ลีฮี นายทหารอาวุโสสูงสุดในกองทัพเป็นประธาน[275] โรเซอเวลต์เลี่ยงการจัดการสงครามแบบปลีกย่อยและปล่อยให้นายทหารระดับสูงของเขาตัดสินใจเป็นส่วนใหญ่[276] เจ้าหน้าที่พลเรือนที่โรเซอเวลต์แต่งตั้งเป็นผู้ดูแลการเกณฑ์และการจัดซื้อจัดจ้างบุคลากรและยุทธภัณฑ์ แต่ไม่มีพลเรือนคนใด—แม้กระทั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสงครามหรือทหารเรือ—มีสิทธิ์ออกเสียงในด้านยุทธศาสตร์ โรเซอเวลต์เลี่ยงกระทรวงการต่างประเทศและดำเนินการทางการทูตระดับสูงผ่านผู้ช่วยของเขา โดยเฉพาะแฮร์รี ฮอปกินส์ ซึ่งมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นจากการที่เขาควบคุมกองทุนให้เช่า-ยืม[277]

โครงการนิวเคลียร์

[แก้]

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1939 เลโอ ซีลาร์ดและอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้ส่งจดหมายไอน์สไตน์–ซีลาร์ดถึงโรเซอเวลต์ เตือนถึงความเป็นไปได้ที่โครงการของเยอรมนีจะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ซีลาร์ดตระหนักว่ากระบวนการนิวเคลียร์ฟิชชันที่เพิ่งถูกค้นพบสามารถนำมาใช้สร้างอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงได้[278] โรเซอเวลต์เกรงกลัวผลลัพธ์ที่จะตามมาหากปล่อยให้เยอรมนีครอบครองเทคโนโลยีนี้แต่เพียงผู้เดียวจึงอนุมัติให้มีการวิจัยเบื้องต้นเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์[l] หลังเพิร์ลฮาร์เบอร์ คณะบริหารโรเซอเวลต์ได้จัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินการวิจัยต่อและแต่งตั้งพลเอก เลสลี โกรฟส์ ให้ดูแลโครงการแมนแฮตตัน ซึ่งมีภารกิจในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ลูกแรก โรเซอเวลต์และเชอร์ชิลตกลงที่จะดำเนินการโครงการนี้ร่วมกัน และโรเซอเวลต์ช่วยให้มั่นใจว่านักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันจะให้ความร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ[280]

การประชุมในช่วงสงคราม

[แก้]
เจียง ไคเชก, โรเซอเวลต์ และวินสตัน เชอร์ชิลที่การประชุมไคโร
เชอร์ชิลล, โรเซอเวลต์ และสตาลินในการประชุมยอลตา, กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945 สองเดือนก่อนอสัญกรรมของโรเซอเวลต์

โรเซอเวลต์เป็นผู้บัญญัติคำว่า "ตำรวจสี่เส้า" เพื่อหมายถึง "สี่มหาอำนาจ" ของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง ได้แก่ สหรัฐ สหราชอาณาจักร สหภาพโซเวียต และจีน "สามใหญ่" อันประกอบด้วยโรเซอเวลต์, วินสตัน เชอร์ชิล และผู้นำโซเวียต โจเซฟ สตาลิน พร้อมด้วยจอมพล เจียง ไคเชก ของจีน ได้ร่วมมือกันอย่างไม่เป็นทางการในแผนซึ่งให้กองทัพอเมริกันและอังกฤษเน้นกำลังในฝั่งตะวันตก กองทัพโซเวียตต่อสู้ในแนวรบด้านตะวันออก และกองทัพจีน อังกฤษ และอเมริกันต่อสู้ในเอเชียและแปซิฟิก สหรัฐยังคงส่งความช่วยเหลือผ่านการให้ยืม-เช่าไปยังสหภาพโซเวียตและประเทศอื่น ๆ ฝ่ายสัมพันธมิตรได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการประชุมระดับสูงหลายครั้งเช่นเดียวกับการติดต่อผ่านช่องทางการทูตและการทหาร[281] ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1942 โซเวียตได้เรียกร้องให้มีการบุกครองฝรั่งเศสที่ถูกเยอรมนียึดครองโดยแองโกล-อเมริกันเพื่อเบี่ยงกองกำลังจากแนวรบด้านตะวันออก[282] เชอร์ชิลและโรเซอเวลต์กังวลว่ากองกำลังของพวกเขายังไม่พร้อม จึงตัดสินใจเลื่อนการบุกครองดังกล่าวออกไปจนถึงอย่างน้อย ค.ษ. 1943 และหันไปให้ความสำคัญกับการยกพลขึ้นบกในแอฟริกาเหนือแทน เป็นที่รู้จักในชื่อปฏิบัติการคบเพลิง[283]

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1943 โรเซอเวลต์, เชอร์ชิล และสตาลินพบกันเพื่อหารือเกี่ยวกับยุทธศาสตร์และแผนหลังสงครามในการประชุมเตหะราน ที่ซึ่งเป็นครั้งแรกที่โรเซอเวลต์พบกับสตาลิน[284] บริเตนและสหรัฐมุ่งมั่นที่จะเปิดแนวรบที่สองต่อเยอรมนีใน ค.ศ. 1944 ขณะที่สตาลินให้คำมั่นที่จะเข้าร่วมสงครามกับญี่ปุ่นในวันที่ไม่ได้ระบุ การประชุมที่ตามมาที่เบรตตันวูดส์และดัมบาร์ตันโอกส์ได้กำหนดกรอบสำหรับระบบการเงินระหว่างประเทศหลังสงครามและสหประชาชาติ องค์การระหว่างรัฐบาลที่คล้ายกับสันนิบาตชาติที่ล้มเหลว[285] โรเซอเวลต์ได้สานต่อแนวทางของวิลสัน โดยผลักดันให้มีการจัดตั้งสหประชาชาติเป็นวาระสำคัญสูงสุดหลังสงคราม เขาคาดหวังว่าสหประชาชาติจะถูกควบคุมโดยวอชิงตัน มอสโก ลอนดอน และปักกิ่ง และจะช่วยแก้ไขปัญหาสำคัญระดับโลกทั้งหมดได้[286]

สมเด็จพระจักรพรรดิฮัยเลอ ซึลลาเซที่ 1 แห่งเอธิโอเปีย (ซ้าย) และพระเจ้าฟารูกแห่งอียิปต์ (ขวา) บนเรือยูเอสเอส ควินซี (USS Quincy) CA-71) ที่ทะเลสาบเกรตบิตเทอร์ภายหลังการประชุมยอลตา, กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945

โรเซอเวลต์, เชอร์ชิล และสตาลินพบกันเป็นครั้งที่สองในการประชุมยอลตาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945 ที่ไครเมีย เนื่องจากการสิ้นสุดของสงครามในยุโรปกำลังใกล้เข้ามา จุดมุ่งเน้นหลักของโรเซอเวลต์คือการโน้มน้าวให้สตาลินเข้าร่วมสงครามกับญี่ปุ่น คณะเสนาธิการร่วมประเมินว่าการบุกครองญี่ปุ่นของอเมริกาจะทำให้ทหารอเมริกันบาดเจ็บล้มตายถึงหนึ่งล้านคน เพื่อเป็นการตอบแทน สหภาพโซเวียตได้รับคำมั่นสัญญาว่าจะได้ควบคุมดินแดนในเอเชีย เช่น เกาะซาฮาลิน ผู้นำทั้งสามตกลงจะจัดการประชุมใน ค.ศ. 1945 เพื่อจัดตั้งสหประชาชาติ และพวกเขายังตกลงเกี่ยวกับโครงสร้างของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งจะรับผิดชอบในการสร้างความมั่นคงระหว่างประเทศ โรเซอเวลต์ไม่ได้ผลักดันให้มีการถอนทหารโซเวียตออกจากโปแลนด์ในทันที แต่เขาสามารถทำให้มีการออกปฏิญญาว่าด้วยการปลดปล่อยยุโรป ซึ่งให้คำมั่นว่าจะมีการเลือกตั้งอย่างเสรีในประเทศที่เคยถูกเยอรมนียึดครอง ตัวเยอรมนีจะไม่ถูกแบ่งแยก แต่จะถูกยึดครองร่วมกันโดยสหรัฐ ฝรั่งเศส บริเตน และสหภาพโซเวียต[287] โรเซอเวลต์และเชอร์ชิลปฏิเสธการยินยอมให้มีการเรียกค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาลและการยกเลิกอุตสาหกรรมในเยอรมนีหลังสงคราม[288]

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1945 โรเซอเวลต์ส่งข้อความที่รุนแรงถึงสตาลินโดยกล่าวหาว่าเขาละเมิดข้อผูกพันในยอลตาเกี่ยวกับโปแลนด์ เยอรมนี เชลยศึก และประเด็นอื่น ๆ เมื่อสตาลินกล่าวหาฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกว่าสมคบคิดทำสัญญาสงบศึกแยกต่างหากกับฮิตเลอร์โดยลับหลัง โรเซอเวลต์ตอบว่า: "ผมไม่สามารถเลี่ยงความรู้สึกไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อผู้ให้ข้อมูลของคุณ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ตาม สำหรับการบิดเบือนการกระทำของผมหรือของผู้ใต้บังคับบัญชาที่เชื่อถือได้ของผมอย่างชั่วร้ายเช่นนี้"[289]

บทบาทของโรเซอเวลต์ในการประชุมยอลตาเป็นที่ถกเถียงกัน นักวิจารณ์กล่าวหาว่าเขาไว้ใจสหภาพโซเวียตอย่างซื่อ ๆ ในการอนุญาตให้มีการเลือกตั้งอย่างเสรีในยุโรปตะวันออก ขณะที่ผู้สนับสนุนโต้แย้งว่าโรเซอเวลต์ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้สำหรับประเทศในยุโรปตะวันออกเมื่อพิจารณาถึงการยึดครองของโซเวียตและความจำเป็นในการร่วมมือกับสหภาพโซเวียต[290][291]

แนวทางของสงคราม

[แก้]

ฝ่ายสัมพันธมิตรบุกครองแอฟริกาเหนือของฝรั่งเศสในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1942 และสามารถทำให้กองกำลังฝรั่งเศสวิชียอมจำนนได้ภายในไม่กี่วันหลังยกพลขึ้นบก[292] ในการประชุมกาซาบล็องกาเดือนมกราคม ค.ศ. 1943 ฝ่ายสัมพันธมิตรตกลงจะปราบปรามกองกำลังฝ่ายอักษะในแอฟริกาเหนือก่อน จากนั้นจึงบุกครองซิซิลี และมีแผนจะโจมตีฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1944 ในการประชุมครั้งนี้ โรเซอเวลต์ยังประกาศด้วยว่าเขาจะยอมรับเพียงการยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขของเยอรมนี ญี่ปุ่น และอิตาลีเท่านั้น[293] ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1943 สหภาพโซเวียตได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ในยุทธการที่สตาลินกราด และในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1943 ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ชัยชนะในการทำให้ทหารเยอรมันและอิตาลีมากกว่า 250,000 นายยอมจำนนในแอฟริกาเหนือ เป็นการสิ้นสุดการทัพแอฟริกาเหนือ[294] ฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มบุกครองซิซิลีในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1943 และยึดเกาะได้ในเดือนถัดมา[295] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1943 ฝ่ายสัมพันธมิตรบรรลุข้อตกลงสงบศึกกับนายกรัฐมนตรีปีเอโตร บาโดลโยของอิตาลี แต่เยอรมนีก็รีบฟื้นมุสโสลินีให้กลับมามีอำนาจอย่างรวดเร็ว[295] การบุกครองแผ่นดินใหญ่ของอิตาลีเริ่มขึ้นในเดือนกันยายน ค.ศ. 1943 แต่การทัพอิตาลีดำเนินต่อไปจนถึง ค.ศ. 1945 เนื่องจากทหารเยอรมันและอิตาลียังคงต้านทานการรุกคืบของฝ่ายสัมพันธมิตร[296]

ฝ่ายพันธมิตร (สีน้ำเงินและสีแดง) และฝ่ายอักษะ (สีดำ) ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1944

โรเซอเวลต์เลือกนายพลดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ซึ่งเคยบัญชาการกองกำลังพันธมิตรหลายชาติในแอฟริกาเหนือและซิซิลีได้อย่างประสบความสำเร็จ ให้เป็นผู้บัญชาการการบุกฝรั่งเศส[297] ไอเซนฮาวร์เริ่มปฏิบัติการปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ดในวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 โดยได้รับการสนับสนุนจากเครื่องบิน 12,000 ลำและกองกำลังทางเรือที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการระดมพล ฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถตั้งฐานหัวหาดในนอร์ม็องดีได้สำเร็จและรุกคืบเข้าฝรั่งเศสต่อไป[276] แม้จะไม่เต็มใจสนับสนุนรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่โรเซอเวลต์ก็รับรองรัฐบาลชั่วคราวแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสของชาร์ล เดอ โกลให้เป็นรัฐบาลโดยพฤตินัยของฝรั่งเศสในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1944[298] ตลอดหลายเดือนต่อมา ฝ่ายสัมพันธมิตรปลดปล่อยดินแดนเพิ่มเติมและเริ่มบุกเยอรมนี เมื่อถึงเดือนเมษายน ค.ศ. 1945 การต่อต้านของนาซีก็พังทลายลงจากการรุกคืบของทั้งฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกและสหภาพโซเวียต[299]

ในช่วงเปิดฉากของสงคราม ญี่ปุ่นได้ยึดครองฟิลิปปินส์ รวมถึงอาณานิคมของอังกฤษและเนเธอร์แลนด์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การรุกคืบของญี่ปุ่นถึงจุดสูงสุดในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1942 เมื่อกองทัพเรือสหรัฐได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดในยุทธนาวีที่มิดเวย์ จากนั้นกองกำลังของอเมริกาและออสเตรเลียก็เริ่มใช้ยุทธศาสตร์ที่ดำเนินการอย่างช้า ๆ และต้องสูญเสียสูงที่เรียกว่ายุทธวิธีข้ามเกาะ (island hopping หรือ leapfrogging) ทั่วหมู่เกาะแปซิฟิก โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างฐานทัพที่สามารถใช้อำนาจทางอากาศเชิงยุทธศาสตร์โจมตีญี่ปุ่นได้และเป็นฐานสำหรับการบุกญี่ปุ่นในท้ายที่สุด ต่างจากฮิตเลอร์ โรเซอเวลต์ไม่ได้มีส่วนร่วมโดยตรงในปฏิบัติการทางยุทธวิธีทางทะเล แม้เขาจะอนุมัติการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ก็ตาม[300] โรเซอเวลต์ยินยอมต่อข้อเรียกร้องอย่างหนักแน่นจากสาธารณชนและรัฐสภาที่ต้องการให้ทุ่มเทความพยายามต่อต้านญี่ปุ่นมากขึ้น แต่เขายืนกรานเสมอในยุทธศาสตร์เยอรมนีต้องมาก่อน กำลังของกองทัพเรือญี่ปุ่นถูกทำลายลงอย่างมากในยุทธนาวีที่อ่าวเลย์เต และภายในเดือนเมษายน ค.ศ. 1945 ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ยึดคืนดินแดนที่สูญเสียไปส่วนใหญ่ในแปซิฟิกแล้ว[301]

แนวหลัง

[แก้]

ในช่วงสงคราม โครงสร้างทางสังคมภายในประเทศมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก แม้แนวหลังจะไม่ใช่ข้อกังวลด้านนโยบายที่เร่งด่วนที่สุดของโรเซอเวลต์อีกต่อไป การเร่งกำลังทหารได้กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานลดลง จาก 7.7 ล้านคนในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1940 เหลือ 3.4 ล้านคนในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1941 และเหลือ 1.5 ล้านคนในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1942 (จากกำลังแรงงานทั้งหมด 54 ล้านคน)[m] มีภาวะขาดแคลนแรงงานเพิ่มขึ้น ซึ่งเร่งให้เกิดการอพยพครั้งใหญ่ระลอกที่สองของชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา เกษตรกร และประชากรในชนบทไปยังศูนย์กลางการผลิต ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาจากทางใต้เดินทางไปยังแคลิฟอร์เนียและรัฐอื่น ๆ ทางชายฝั่งตะวันตกเพื่อหางานใหม่ในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการใช้จ่ายของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น ใน ค.ศ. 1941 โรเซอเวลต์เสนอให้รัฐสภาออกกฎหมายอัตราภาษีเงินได้ที่ 99.5% สำหรับรายได้ทั้งหมดที่เกิน $100,000 แต่เมื่อข้อเสนอนั้นไม่ผ่าน เขาก็ออกคำสั่งฝ่ายบริหารเรียกเก็บภาษีเงินได้ 100% สำหรับรายได้ที่เกิน $25,000 ซึ่งภายหลังรัฐสภาได้ยกเลิกไป[303] รัฐบัญญัติรายได้ ค.ศ. 1942 กำหนดอัตราภาษีสูงสุดถึง 94% (หลังรวมภาษีกำไรส่วนเกิน) ขยายฐานภาษีอย่างมาก และริเริ่มภาษีหัก ณ ที่จ่ายของรัฐบาลกลางเป็นครั้งแรก[304] ใน ค.ศ. 1944 โรเซอเวลต์ขอให้รัฐสภาออกกฎหมายเก็บภาษีกำไร "ที่ไม่สมเหตุสมผล" ทั้งของบริษัทและบุคคล เพื่อสนับสนุนความต้องการรายได้มากกว่า $1 หมื่นล้านสำหรับสงครามและมาตรการของรัฐบาลอื่น ๆ รัฐสภาได้ยับยั้งการวีโต้ของโรเซอเวลต์เพื่อผ่านร่างกฎหมายรายได้ขนาดเล็กกว่า ซึ่งเพิ่มรายได้ $2 พันล้าน[305]

ใน ค.ศ. 1942 การผลิตเพื่อสงครามเพิ่มขึ้นอย่างมากแต่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายของโรเซอเวลต์ ส่วนหนึ่งเนื่องจากปัญหาการขาดแคลนกำลังคน[306] ความพยายามดังกล่าวยังถูกขัดขวางโดยการหยุดงานประท้วงหลายครั้ง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหินและทางรถไฟ ซึ่งกินเวลานานจนถึง ค.ศ. 1944[307][308] อย่างไรก็ดี ระหว่าง ค.ศ. 1941 ถึง 1945 สหรัฐผลิตรถบรรทุก 2.4 ล้านคัน อากาศยานทางทหาร 300,000 ลำ รถถัง 88,400 คัน และกระสุน 4 หมื่นล้านนัด กำลังการผลิตของสหรัฐนั้นเหนือกว่าประเทศอื่น ๆ อย่างมาก ตัวอย่างเช่น ใน ค.ศ. 1944 สหรัฐผลิตอากาศยานทางทหารมากกว่าผลผลิตรวมของเยอรมนี ญี่ปุ่น อังกฤษ และสหภาพโซเวียต[309] ทำเนียบขาวกลายเป็นศูนย์กลางสุดท้ายสำหรับการไกล่เกลี่ย ประนีประนอม หรืออนุญาโตตุลาการด้านแรงงาน มีข้อพิพาทครั้งใหญ่เกิดขึ้นระหว่างรองประธานาธิบดีวอลเลซ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะกรรมาธิการสงครามเศรษฐกิจ กับเจสซี เอช. โจนส์ ซึ่งดูแลบรรษัทการเงินเพื่อการฟื้นฟู ทั้งสองหน่วยงานรับผิดชอบการจัดซื้อยางและเกิดความขัดแย้งเรื่องเงินทุน โรเซอเวลต์แก้ไขข้อพิพาทโดยการยุบทั้งสองหน่วยงาน[310] ใน ค.ศ. 1943 โรเซอเวลต์ก่อตั้งสำนักงานระดมพลสงครามเพื่อกำกับดูแลแนวหลัง หน่วยงานนี้นำโดยเจมส์ เอฟ. เบินส์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม "ผู้ช่วยประธานาธิบดี" จากอิทธิพลของเขา[295]

โรเซอเวลต์ประกาศแผนสำหรับร่างกฎหมายว่าด้วยสิทธิทางสังคมและเศรษฐกิจในสถานการณ์ของสหภาพที่ถ่ายทอดทางวิทยุเมื่อวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1944 (ตัดตอน)

สุนทรพจน์สถานการณ์ของสหภาพ ค.ศ. 1944 ของโรเซอเวลต์ที่เสนอว่าชาวอเมริกันควรพิจารณาสิทธิทางเศรษฐกิจพื้นฐานว่าเป็นบัญญัติสิทธิที่สอง[311] เขาประกาศว่าชาวอเมริกันทุกคนควรมีสิทธิใน "การดูแลทางการแพทย์ที่เพียงพอ", "การศึกษาที่ดี", "บ้านที่ดีสมควร" และ "งานที่มีประโยชน์และมีค่าตอบแทน"[312] ข้อเสนอภายในประเทศที่มีความทะเยอทะยานที่สุดในวาระที่สามของเขาคือร่างกฎหมายจีไอ ซึ่งจะสร้างโครงการสวัสดิการขนาดใหญ่สำหรับทหารที่เดินทางกลับมา สิทธิประโยชน์รวมถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษา การดูแลทางการแพทย์ ประกันการว่างงาน การให้คำปรึกษาด้านอาชีพ และเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับบ้านและธุรกิจ ร่างกฎหมายจีไอผ่านอย่างเป็นเอกฉันท์ในสภาทั้งสองและได้รับการลงนามให้เป็นกฎหมายในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1944 ในบรรดาชาวอเมริกันสิบห้าล้านคนที่รับราชการในสงครามโลกครั้งที่สอง มีมากกว่าครึ่งได้รับประโยชน์จากโอกาสทางการศึกษาที่บัญญัติไว้ในร่างกฎหมายจีไอ[313]

ในช่วงใกล้สิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่ง โรเซอเวลต์สนับสนุนแนวคิดการตั้งพรรคเสรีนิยมใหม่ร่วมกับเวนเดล วิลกี อดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันสายเสรีนิยม (ซึ่งเป็นผู้เสนอแนวคิดนี้) โดยเชื่อว่าควรมีสองพรรคในอเมริกาที่แตกต่างกันทางอุดมการณ์อย่างชัดเจน คือ พรรคเสรีนิยมและพรรคอนุรักษนิยม[314]

สุขภาพที่เสื่อมถอย

[แก้]

โรเซอเวลต์เป็นคนที่สูบบุหรี่จัดตลอดชีวิตวัยผู้ใหญ่[315][316] และสุขภาพของเขาทรุดโทรมลงมาตั้งแต่ ค.ศ. 1940 ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1944 ไม่นานหลังวันเกิดครบรอบ 62 ปี เขาเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลเบเทสดาและพบว่าเป็นความดันโลหิตสูง หลอดเลือดแดงแข็ง โรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจที่ทำให้เกิดอาการปวดเค้นหัวใจ และโรคหัวใจเลือดคั่ง[317][318][319]

แพทย์ในโรงพยาบาลและผู้เชี่ยวชาญภายนอกสองคนสั่งให้โรเซอเวลต์พักผ่อน พลเรือเอก รอส แมกอินไทร์ แพทย์ส่วนตัวของเขา ได้กำหนดตารางประจำวันที่ห้ามแขกมาติดต่อเรื่องงานในช่วงอาหารกลางวันและรวมการพักผ่อนวันละสองชั่วโมงไว้ด้วย ระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งซ้ำ ค.ศ. 1944 แมกอินไทร์ปฏิเสธหลายครั้งว่าสุขภาพของโรเซอเวลต์ย่ำแย่ ตัวอย่างเช่น วันที่ 12 ตุลาคม เขาประกาศว่า "สุขภาพของท่านประธานาธิบดีปกติดีทุกอย่าง ไม่มีปัญหาทางกายภาพใด ๆ แม้แต่น้อย"[320] โรเซอเวลต์ตระหนักดีว่าสุขภาพที่เสื่อมถอยของเขาอาจทำให้เขาไม่สามารถเป็นประธานาธิบดีต่อไปได้ในที่สุด และใน ค.ศ. 1945 เขาบอกกับคนสนิทว่าเขาอาจจะลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีภายหลังสงครามสิ้นสุดลง[321]

การเลือกตั้ง ค.ศ. 1944

[แก้]
ผลการเลือกตั้ง ค.ศ. 1940

แม้จะมีเดโมแครตบางส่วนคัดค้านการเสนอชื่อโรเซอเวลต์ใน ค.ศ. 1940 แต่ประธานาธิบดีก็แทบไม่พบอุปสรรคใด ๆ ในการเสนอชื่อตัวเองอีกครั้งใน การประชุมใหญ่แห่งชาติพรรคเดโมแครต ค.ศ. 1944 โรเซอเวลต์ประกาศชัดเจนก่อนการประชุมว่าต้องการดำรงตำแหน่งอีกวาระ และในการลงคะแนนเสียงประธานาธิบดีเพียงครั้งเดียวของการประชุม โรเซอเวลต์ก็ได้รับคะแนนเสียงส่วนใหญ่จากผู้แทน แม้เดโมแครตภาคใต้ส่วนน้อยจะลงคะแนนให้แฮร์รี เอฟ. เบิร์ด ผู้นำพรรคโน้มน้าวโรเซอเวลต์ให้ตัดชื่อรองประธานาธิบดีเฮนรี วอลเลซออกจากผู้สมัคร เพราะเชื่อว่าเขาเป็นจุดอ่อนทางการเลือกตั้งและอาจเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมในกรณีโรเซอเวลต์ถึงแก่อสัญกรรม โรเซอเวลต์ต้องการเจมส์ เอฟ. เบินส์ให้มาแทนวอลเลซแต่ก็ถูกโน้มน้าวให้สนับสนุนวุฒิสมาชิกแฮร์รี เอส. ทรูแมนจากรัฐมิสซูรีแทน ซึ่งได้รับชื่อเสียงจากการสืบสวนการขาดประสิทธิภาพในการผลิตเพื่อสงครามและเป็นที่ยอมรับของฝ่ายต่าง ๆ ในพรรค ในการลงคะแนนรองประธานาธิบดีครั้งที่สองของการประชุม ทรูแมนเอาชนะวอลเลซและได้รับการเสนอชื่อ[322]

ริพับลิกันเสนอชื่อทอมัส อี. ดิวอี ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ซึ่งมีชื่อเสียงว่าเป็นเสรีนิยมในพรรคของเขา พวกเขากล่าวหาคณะบริหารโรเซอเวลต์ว่ามีการทุจริตภายในประเทศและการบริหารที่ไม่มีประสิทธิภาพ แต่กลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุดของดิวอีคือการยกประเด็นเรื่องอายุขึ้นมาอย่างมีชั้นเชิง เขาโจมตีประธานาธิบดีว่าเป็น "ชายชราที่เหนื่อยล้า" ที่มี "คนชราที่เหนื่อยล้า" อยู่ในคณะรัฐมนตรี โดยชี้ให้เห็นว่าการขาดพลังของประธานาธิบดีทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไม่เป็นไปอย่างเข้มแข็งเท่าที่ควร[134] โรเซอเวลต์ ซึ่งผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่เห็นได้จากการลดน้ำหนักและรูปลักษณ์ที่เหนื่อยล้าของเขา ก็เป็นชายที่เหนื่อยล้าใน ค.ศ. 1944 แต่เมื่อเข้าสู่การหาเสียงอย่างจริงจังในช่วงปลายเดือนกันยายน ค.ศ. 1944 โรเซอเวลต์ก็แสดงความกระตือรือร้นมากพอจะปัดเป่าความกังวลส่วนใหญ่และเบี่ยงเบนการโจมตีของริพับลิกัน ในขณะที่สงครามยังคงดำเนินอยู่ เขาเรียกร้องให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งอย่า "เปลี่ยนม้ากลางลำธาร"[134] สหภาพแรงงานที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงสงครามให้การสนับสนุนโรเซอเวลต์อย่างเต็มที่ โรเซอเวลต์และทรูแมนชนะการเลือกตั้ง ค.ศ. 1944 โดยเอาชนะดิวอีและจอห์น ดับเบิลยู. บริกเกอร์ คู่สมัครของเขา ด้วยคะแนนนิยม 53.4% และคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 432 จาก 531 คะแนน[323] ประธานาธิบดีรณรงค์สนับสนุนสหประชาชาติที่เข้มแข็ง ดังนั้นชัยชนะของเขาจึงเป็นสัญลักษณ์ของการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประเทศในประชาคมระหว่างประเทศในอนาคต[324]

เดือนสุดท้ายและอสัญกรรม

[แก้]
ภาพถ่ายสุดท้ายของโรเซอเวลต์ ถ่ายเมื่อวันที่ 11 เมษายน ค.ศ. 1945 หนึ่งวันก่อนที่เขาจะเสียชีวิต
ขบวนแห่ศพของโรเซอเวลต์ในวอชิงตัน ดี.ซี. มีผู้ชม 300,000 คน, 14 เมษายน ค.ศ. 1945
หลุมศพของแฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์และเอลิเนอร์ โรเซอเวลต์ในไฮด์พาร์ก รัฐนิวยอร์ก

เมื่อโรเซอเวลต์เดินทางกลับมายังสหรัฐจากการประชุมยอลตา ทุกคนต่างตกใจที่เห็นเขาดูแก่ชรา ผอม และอ่อนแอมาก ในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อรัฐสภา เขาพูดขณะนั่ง ซึ่งเป็นการยอมรับถึงความบกพร่องทางร่างกายที่ไม่เคยมีมาก่อน[325] วันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 1945 โรเซอเวลต์ได้เดินทางไปยังลิตเทิลไวต์เฮาส์ในวอร์มสปริงส์ รัฐจอร์เจีย เพื่อพักผ่อนก่อนการปรากฏตัวที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในการประชุมก่อตั้งสหประชาชาติ[326]

ในช่วงบ่ายของวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1945 ที่วอร์มสปริงส์ รัฐจอร์เจีย ขณะกำลังนั่งให้เอลิซาเบธ ชูมาทอฟฟ์วาดภาพเหมือน โรเซอเวลต์กล่าวว่า "ผมปวดหัวมาก" จากนั้นเขาก็ทรุดตัวบนเก้าอี้และหมดสติ ก่อนจะถูกนำตัวไปยังห้องนอน ฮาวเวิร์ด บรูเอนน์ แพทย์โรคหัวใจประจำตัวของประธานาธิบดีวินิจฉัยว่าเกิดเลือดออกในสมองอย่างรุนแรง[327] เวลา 15:35 น. โรเซอเวลต์ก็ถึงแก่อสัญกรรมด้วยวัย 63 ปี[328]

ร่างของโรเซอเวลต์ถูกบรรจุในหีบศพคลุมด้วยธงชาติและนำขึ้นรถไฟประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาเจลลันเพื่อเดินทางกลับไปยังวอชิงตัน[329] ด้วยสหรัฐยังอยู่ในภาวะสงคราม จึงเห็นว่าการจัดรัฐพิธีศพเป็นสิ่งไม่เหมาะสมและเลือกที่จะจัดพิธีขนาดเล็กแทน ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ผู้คนหลายพันคนก็หลั่งไหลมาตามเส้นทางรถไฟเพื่อแสดงความเคารพ[330]

แทนที่จะนำร่างไปตั้งไว้ที่อาคารรัฐสภาสหรัฐตามธรรมเนียม ร่างของโรเซอเวลต์ถูกนำไปไว้ที่ห้องตะวันออกของทำเนียบขาว ที่ซึ่งมีการจัดพิธีศพอย่างเรียบง่ายในวันที่ 14 เมษายน โดยมีครอบครัว เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล และเอกอัครราชทูตต่างประเทศเข้าร่วม จากนั้นโรเซอเวลต์ถูกส่งต่อไปยังบ้านเกิดของเขาที่ไฮด์พาร์ก และในวันที่ 15 เมษายน เขาได้ถูกฝังตามความประสงค์ในสวนกุหลาบของคฤหาสน์สปริงวูด[331][332]

อสัญกรรมของเขาถูกตอบรับด้วยความตกใจและเศร้าโศกทั่วโลก[333] เยอรมนียอมจำนนในช่วงเวลา 30 วันของการไว้ทุกข์ แต่แฮร์รี ทรูแมน (ผู้สืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากโรเซอเวลต์) ได้สั่งให้ธงยังคงลดครึ่งเสา และอุทิศวันชัยในยุโรปและการเฉลิมฉลองให้แก่ความทรงจำของโรเซอเวลต์[334] สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงด้วยการลงนามยอมจำนนของญี่ปุ่นในเดือนกันยายน[335]

สุขภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลงของโรเซอเวลต์ถูกปิดเป็นความลับจากสาธารณะ เช่นเดียวกับการใช้รถเข็นของเขา แม้เขาจะได้รับอนุญาตให้ทำงานเพียงวันละสี่ชั่วโมง แต่ก็ยังคงสร้างภาพลวงตาของความกระฉับกระเฉงในการทำงานเอาไว้[336] ในหนังสือวิชาการ The Dying President: Franklin D. Roosevelt, 1944–1945 โดยรอเบิร์ต เฟอร์เรล ได้สำรวจขอบเขตที่ประธานาธิบดีและผู้ช่วยคนสำคัญของเขาพยายามปกปิดความเสื่อมโทรมของสุขภาพจากสาธารณชน รวมถึงปัญหาทางการเมืองและการทูตที่เกิดขึ้นทั้งจากความเจ็บป่วยและการปกปิดนั้น[337] หนังสือเล่มนี้ให้เหตุผลว่าโรเซอเวลต์ป่วยเกินกว่าจะอยู่ในตำแหน่ง และการที่เขาไม่สามารถทำงานได้นำไปสู่ข้อผิดพลาดสำคัญในนโยบายต่างประเทศใน ค.ศ. 1944–1945 ตลอดจนความล้มเหลวในการเตรียมพร้อมให้รองประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมนเข้ารับตำแหน่ง พลังงานเพียงเล็กน้อยที่เขามีสำหรับกิจการประธานาธิบดีนั้นมุ่งเน้นไปที่การสร้างการสนับสนุนสำหรับสหประชาชาติแห่งใหม่[338]

สิทธิพลเมือง การส่งกลับประเทศ การกักกัน และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

[แก้]
ภาพเหมือนอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีโรเซอเวลต์โดยแฟรงก์ โอ. ซอลส์เบอรี, ป.1947

ตั้งแต่สมัยแรกของเขาจนถึง ค.ศ. 1939 การส่งชาวเม็กซิโกกลับประเทศที่ริเริ่มโดยประธานาธิบดีเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ยังคงดำเนินต่อไปภายใต้โรเซอเวลต์ ซึ่งปัจจุบันนักวิชาการโต้แย้งว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการล้างชาติพันธุ์ต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิโก โรเซอเวลต์ยุติการมีส่วนร่วมของรัฐบาลกลางในการเนรเทศดังกล่าว และหลัง ค.ศ. 1934 การเนรเทศลดลงประมาณร้อยละ 50[339] อย่างไรก็ตาม โรเซอเวลต์ไม่ได้พยายามระงับการเนรเทศในระดับท้องถิ่นหรือระดับรัฐ[340][341] ชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิโกเป็นกลุ่มเดียวที่ถูกกีดกันอย่างชัดเจนจากผลประโยชน์ของสัญญาใหม่ การปฏิเสธวิถีทางที่ถูกต้องสำหรับชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิโกถูกอ้างถึงว่าเป็นแบบอย่างสำหรับการที่โรเซอเวลต์สั่งกักกันชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นในค่ายกักกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง[342] โรเซอเวลต์ได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากชาวอเมริกันเชื้อสายจีนและชาวอเมริกันเชื้อสายฟิลิปปินส์ แต่ไม่ได้รับจากชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น เนื่องจากเขาเป็นผู้นำการกักกันพวกเขาในช่วงสงคราม[343] ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาและชาวอเมริกันพื้นเมืองได้รับประโยชน์อย่างดีจากสองโครงการบรรเทาทุกข์สัญญาใหม่ คือ หน่วยอนุรักษ์พลเรือนและรัฐบัญญัติการจัดระเบียบอินเดียน ตามลำดับ ซิตคอฟฟ์รายงานว่า WPA "เป็นแหล่งรายได้หลักให้แก่ชุมชนคนผิวสีทั้งหมดในทศวรรษ 1930 โดยเป็นคู่แข่งกับทั้งภาคเกษตรและการบริการในครัวเรือน"[344]

การลงประชาทัณฑ์และสิทธิพลเมือง

[แก้]

ตรงกันข้ามกับประธานาธิบดีฮาร์ดิงและคูลิดจ์ โรเซอเวลต์ไม่ได้ดำเนินการถึงขั้นเข้าร่วมกับผู้นำสมาคมแห่งชาติเพื่อความก้าวหน้าของคนผิวสี (NAACP) ในการผลักดันกฎหมายต่อต้านการลงประชาทัณฑ์ของรัฐบาลกลาง เขาให้เหตุผลว่ากฎหมายดังกล่าวไม่น่าจะผ่านและการที่เขาสนับสนุนจะทำให้สมาชิกสภาจากรัฐทางใต้ไม่พอใจ แม้ใน ค.ส. 1940 รองประธานาธิบดีสายอนุรักษนิยมจากรัฐเท็กซัสของเขาอย่างการ์เนอร์ก็ให้การสนับสนุนการดำเนินการของรัฐบาลกลางเพื่อต่อต้านการลงประชาทัณฑ์แล้วก็ตาม[345]

โรเซอเวลต์ไม่ได้แต่งตั้งหรือเสนอชื่อชาวแอฟริกันเชื้อสายอเมริกันให้เป็นรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีช่วยในคณะรัฐมนตรีของเขาแม้แต่คนเดียว อย่างไรก็ตาม มีชาวแอฟริกันเชื้อสายอเมริกันประมาณหนึ่งร้อยคนได้พบปะอย่างไม่เป็นทางการ เพื่อให้คำแนะนำแก่รัฐบาลในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับชาวแอฟริกันเชื้อสายอเมริกัน แม้บางครั้งจะถูกเรียกว่า "คณะรัฐมนตรีผิวดำ" (Black Cabinet) แต่โรเซอเวลต์ไม่เคยยอมรับอย่างเป็นทางการหรือแต่งตั้งบุคคลให้เข้าสู่ตำแหน่งนี้เลย[346]

สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง เอลิเนอร์ โรเซอเวลต์ ได้แสดงการสนับสนุนอย่างเปิดเผยต่อความพยายามที่จะช่วยเหลือชุมชนชาวแอฟริกันเชื้อสายอเมริกัน รวมถึงรัฐบัญญัติมาตรฐานแรงงานที่เป็นธรรม ซึ่งช่วยเพิ่มค่าแรงให้แก่คนงานที่ไม่ใช่คนผิวขาวในภาคใต้[347] ใน ค.ศ. 1941 โรเซอเวลต์ตั้งคณะกรรมการแนวปฏิบัติการจ้างงานอย่างเป็นธรรม (FEPC) เพื่อดำเนินการตามคำสั่งฝ่ายบริหารที่ 8802 ซึ่งห้ามการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติและศาสนาในการจ้างงานในกลุ่มผู้รับเหมาด้านการป้องกันประเทศ FEPC นับเป็นโครงการระดับชาติโครงการแรกที่มุ่งเป้าไปที่การเลือกปฏิบัติในการจ้างงาน และมีบทบาทสำคัญในการเปิดโอกาสการจ้างงานใหม่ ๆ ให้แก่คนงานที่ไม่ใช่คนผิวขาว ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง สัดส่วนของชายชาวแอฟริกันเชื้อสายอเมริกันที่ทำงานในตำแหน่งการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ[348] จากการตอบสนองต่อนโยบายของโรเซอเวลต์ ชาวแอฟริกันเชื้อสายอเมริกันจึงเปลี่ยนจากการสนับสนุนพรรครีพับลิกันมาสู่พรรคเดโมแครตมากขึ้นในช่วงทศวรรษ 1930 และ 1940 และกลายเป็นกลุ่มผู้ลงคะแนนเสียงสำคัญของพรรคเดโมแครตในหลายรัฐทางเหนือ[346]

ชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น

[แก้]

การโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์สร้างความกังวลในหมู่สาธารณชนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการก่อวินาศกรรมโดยชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น ความสงสัยนี้เพิ่มขึ้นจากการเหยียดเชื้อชาติที่มีต่อผู้อพยพชาวญี่ปุ่นมาอย่างยาวนานและจากข้อสรุปของคณะกรรมาธิการรอเบิตส์ที่สรุปว่าการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ได้รับความช่วยเหลือจากสายลับชาวญี่ปุ่น วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1942 โรเซอเวลต์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารที่ 9066 ซึ่งส่งผลให้มีการย้ายถิ่นฐานของพลเมืองและผู้อพยพชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นจำนวน 110,000 คน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งแปซิฟิก[154] พวกเขาถูกบังคับให้ต้องขายทรัพย์สินและธุรกิจของตนและถูกกักกันในค่ายที่สร้างขึ้นอย่างเร่งด่วนในพื้นที่ห่างไกลและทุรกันดารภายในประเทศ

โรเซอเวลต์มอบหมายการตัดสินใจเรื่องการกักกันนี้ให้แก่รัฐมนตรีสงครามสติมสัน ซึ่งต่อมาได้อาศัยการตัดสินใจของจอห์น เจ. แมกคลอย รัฐมนตรีช่วยสงคราม ศาลสูงสุดสหรัฐยืนยันว่าคำสั่งฝ่ายบริหารนี้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญในคดีระหว่างโคเรมัตสึกับสหรัฐเมื่อ ค.ศ. 1944[349] ในขณะเดียวกัน มีพลเมืองชาวเยอรมันและอิตาลีจำนวนน้อยกว่ามากที่ถูกจับกุมหรือถูกกักกันในค่าย แต่ต่างจากชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นตรงที่พวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปยังค่ายเหล่านั้นโดยอาศัยพื้นฐานทางเชื้อชาติเพียงอย่างเดียว[350][351]

การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

[แก้]

มีความขัดแย้งในหมู่นักประวัติศาสตร์เกี่ยวกับทัศนคติของโรเซอเวลต์ที่มีต่อชาวยิวและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาทอร์ เอ็ม. ชเลซินเจอร์ จูเนียร์ กล่าวว่าโรเซอเวลต์ "ได้ทำในสิ่งที่เขาทำได้" เพื่อช่วยเหลือชาวยิว ขณะที่เดวิด ไวแมน กล่าวว่าบันทึกการดำเนินงานของโรเซอเวลต์เกี่ยวกับผู้ลี้ภัยชาวยิวและการช่วยเหลือพวกเขานั้น "ย่ำแย่มาก" และเป็นหนึ่งในความล้มเหลวที่เลวร้ายที่สุดในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา[352] ใน ค.ศ. 1923 ในฐานะคณะกรรมการบริหารของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โรเซอเวลต์ตัดสินใจว่ามีนักศึกษาชาวยิวในฮาร์วาร์ดมากเกินไปและช่วยจัดโควตาเพื่อจำกัดจำนวนชาวยิวที่รับเข้า[353] หลังคืนกระจกแตกใน ค.ศ. 1938 โรเซอเวลต์ได้เรียกเอกอัครราชทูตของเขากลับจากเยอรมนีมายังวอชิงตัน เขาไม่ได้ลดโควตาการเข้าเมืองแต่อนุญาตให้ชาวยิวเชื้อสายเยอรมันที่อยู่ในสหรัฐด้วยวีซ่าสามารถอยู่ต่อได้โดยไม่มีกำหนด[354] จากข้อมูลของราฟาเอล เมดอฟฟ์ โรเซอเวลต์สามารถช่วยชีวิตชาวยิวได้ถึง 190,000 คนโดยสั่งให้กระทรวงการต่างประเทศของเขาอนุมัติโควตาการเข้าเมืองให้เต็มตามขีดจำกัดทางกฎหมาย แต่คณะบริหารของเขากลับไม่สนับสนุนและตัดสิทธิ์ผู้ลี้ภัยชาวยิวโดยใช้ข้อกำหนดที่เป็นอุปสรรคซึ่งทำให้มีการใช้โควตาน้อยกว่า 25%[353]

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์เลือกที่จะดำเนินการ "มาตรการสุดท้าย" ซึ่งคือการกำจัดประชากรชาวยุโรปเชื้อสายยิวภายในเดือนมกราคม ค.ศ. 1942 และเจ้าหน้าที่อเมริกันได้รับทราบถึงขนาดของการสังหารของนาซีในหลายเดือนต่อมา แม้จะมีการคัดค้านจากกระทรวงการต่างประเทศ โรเซอเวลต์ได้โน้มน้าวให้ผู้นำพันธมิตรคนอื่น ๆ ออกปฏิญญาร่วมโดยสมาชิกสหประชาชาติ ซึ่งประณามการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กำลังดำเนินอยู่และเตือนว่าจะนำผู้กระทำผิดมาขึ้นศาลในฐานะอาชญากรสงคราม ใน ค.ศ. 1943 โรเซอเวลต์บอกกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐว่าควรมีการจำกัดชาวยิวในหลากหลายอาชีพเพื่อ "กำจัดข้อร้องเรียนที่เจาะจงและเข้าใจได้ที่ชาวเยอรมันมีต่อชาวยิวในเยอรมนี"[353] ในปีเดียวกันนั้น โรเซอเวลต์ได้รับฟังบรรยายสรุปเป็นการส่วนตัวจากยาน คาร์สกี เจ้าหน้าที่ข่าวกรองกองทัพบ้านเกิดโปแลนด์ ซึ่งเป็นพยานผู้เห็นเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ คาร์สกีวิงวอนให้มีการดำเนินการและบอกเขาว่าชาวยิว 1.8 ล้านคนถูกกำจัดไปแล้ว[355][356] คาร์สกีเล่าว่า โรเซอเวลต์ "ไม่ได้ถามคำถามเดียวเกี่ยวกับชาวยิว"[357] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1944 โรเซอเวลต์ก่อตั้งคณะกรรมาธิการผู้ลี้ภัยสงครามเพื่อช่วยเหลือชาวยิวและเหยื่ออื่น ๆ จากความโหดร้ายของฝ่ายอักษะ นอกเหนือจากการกระทำเหล่านี้ โรเซอเวลต์เชื่อว่าวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยเหลือประชากรที่ถูกประหัตประหารในยุโรปคือการยุติสงครามให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผู้นำทหารระดับสูงและผู้นำกระทรวงการสงครามปฏิเสธการทัพใด ๆ ที่จะทิ้งระเบิดค่ายมรณะหรือเส้นทางรถไฟที่นำไปสู่ค่ายเหล่านั้น โดยเกรงว่าจะเป็นการเบี่ยงเบนความพยายามในการทำสงคราม ตามคำกล่าวของจีน เอ็ดเวิร์ด สมิธ นักเขียนชีวประวัติ ไม่มีหลักฐานว่ามีผู้ใดเคยเสนอการรณรงค์ดังกล่าวให้โรเซอเวลต์[358]

มรดก

[แก้]

ชื่อเสียงทางประวัติศาสตร์

[แก้]

โรเซอเวลต์ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ[359] และเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในศตวรรษที่ 20[360] นักประวัติศาสตร์และนักรัฐศาสตร์จัดอันดับให้โรเซอเวลต์, จอร์จ วอชิงตัน และเอบราแฮม ลิงคอล์นเป็นสามประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างสม่ำเสมอ แม้ลำดับจะแตกต่างกันไป[361][362][363][364] นักเขียนชีวประวัติ จีน เอ็ดเวิร์ด สมิธ กล่าวถึงการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของโรเซอเวลต์ "ซึ่งนำสหรัฐผ่านพ้นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่และสงครามโลกครั้งที่สองไปสู่อนาคตที่รุ่งเรือง" ใน ค.ศ. 2007 ว่า "เขายกตัวเองจากรถเข็นเพื่อยกระดับประเทศให้ลุกขึ้นจากความทรุดโทรม"[365]

ความมุ่งมั่นของเขาต่อชนชั้นแรงงานและผู้ว่างงานที่ต้องการความช่วยเหลือในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ยาวนานที่สุดของประเทศทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของคนงานปกน้ำเงิน สหภาพแรงงาน และชนกลุ่มน้อย[366] การขยายตัวอย่างรวดเร็วของโครงการของรัฐบาลที่เกิดขึ้นในสมัยของโรเซอเวลต์ได้กำหนดนิยามใหม่ของบทบาทรัฐบาลในสหรัฐ และการสนับสนุนโครงการด้านสังคมของรัฐบาลของโรเซอเวลต์ก็มีส่วนสำคัญในการ กำหนดนิยามใหม่ของเสรีนิยมสำหรับคนรุ่นหลัง[367] โรเซอเวลต์ได้สถาปนาความเป็นผู้นำของสหรัฐในเวทีโลกอย่างถาวรด้วยบทบาทของเขาในการกำหนดและให้การสนับสนุนทางการเงินในสงครามโลกครั้งที่สอง นักวิจารณ์สายแยกอยู่เดี่ยวของเขาได้จางหายไป และแม้แต่ริพับลิกันก็เข้าร่วมในนโยบายโดยรวมของเขา[368] เขายังเพิ่มอำนาจของประธานาธิบดีอย่างถาวรโดยลดทอนอำนาจของรัฐสภา[369]

บัญญัติสิทธิที่สองของเขากลายเป็น "พื้นฐานสำหรับความมุ่งมั่นของพรรคเดโมแครตในช่วงสี่ทศวรรษต่อมา" ตามคำกล่าวของนักประวัติศาสตร์ โจชัว ไซต์ซ[312] หลังอสัญกรรมของเขา เอลิเนอร์ยังคงเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลอย่างมากในการเมืองสหรัฐและการเมืองโลก โดยทำหน้าที่เป็นผู้แทนในการประชุมก่อตั้งสหประชาชาติและเป็นผู้สนับสนุนสิทธิพลเมืองและเสรีนิยมโดยทั่วไป อดีตเจ้าหน้าที่ระดับล่างในสัญญาใหม่บางคนมีบทบาทนำในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรูแมน, จอห์น เอฟ. เคนเนดี, และลินดอน บี. จอห์นสัน อย่างไรก็ตาม เคนเนดีมาจากครอบครัวที่เกลียดโรเซอเวลต์ นักประวัติศาสตร์ วิลเลียม ลอยช์เทนเบิร์กกล่าวว่าก่อน ค.ศ. 1960 "เคนเนดีแสดงให้เห็นถึงความไม่เต็มใจจะระบุตนเองว่าเป็นเสรีนิยมสายสัญญาใหม่" และเขากล่าวเสริมว่า ในฐานะประธานาธิบดี "เคนเนดีไม่เคยยอมรับธรรมเนียมของโรเซอเวลต์อย่างสมบูรณ์และบางครั้งเขาก็แยกตัวออกจากมันอย่างจงใจ"[370] ในทางตรงกันข้าม ลินดอน จอห์นสันในวัยหนุ่มเป็นผู้ที่กระตือรือร้นในสัญญาใหม่และเป็นที่โปรดปรานของโรเซอเวลต์ จอห์นสันจำลองการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาตามแบบอย่างของโรเซอเวลต์[371][372]

ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน มีข้อวิจารณ์มากมายต่อโรเซอเวลต์ บางส่วนก็รุนแรง ผู้ที่วิจารณ์ตั้งคำถามไม่เพียงแต่นโยบาย ตำแหน่ง และการรวมอำนาจที่เกิดขึ้นจากการตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและสงครามโลกครั้งที่สองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการที่เขาฝ่าฝืนธรรมเนียมด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สาม[373] หลังอสัญกรรมของเขามานาน มีการวิจารณ์ใหม่ ๆ เกี่ยวกับนโยบายของโรเซอเวลต์ในการช่วยเหลือชาวยิวในยุโรป[374] การกักกันชาวญี่ปุ่นในชายฝั่งตะวันตก[375] และการต่อต้านกฎหมายต่อต้านการลงประชาทัณฑ์[376]

โรเซอเวลต์ถูกวิจารณ์จากอนุรักษนิยมสำหรับ นโยบายทางเศรษฐกิจของเขา โดยเฉพาะการเปลี่ยนแนวคิดจากปัจเจกนิยมไปสู่กลุ่มนิยมด้วยการขยายรัฐสวัสดิการและการควบคุมเศรษฐกิจ ข้อวิจารณ์เหล่านั้นยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายทศวรรษหลังอสัญกรรมของเขา ปัจจัยหนึ่งในการกลับมาทบทวนประเด็นเหล่านี้คือการเลือกตั้งโรนัลด์ เรแกนใน ค.ศ. 1980 ซึ่งต่อต้านสัญญาใหม่[377][378] การออกคำสั่งฝ่ายบริหารที่ 6102 ของโรเซอเวลต์ ซึ่งกำหนดให้มีการริบทองคำครั้งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์อเมริกา ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักลงทุนทองคำ[165]

อนุสรณ์

[แก้]

บ้านของโรเซอเวลต์ที่ไฮด์พาร์ก ปัจจุบันเป็นแหล่งประวัติศาสตร์แห่งชาติและเป็นที่ตั้งของหอสมุดประธานาธิบดีของเขา นวอชิงตัน ดี.ซี. มีอนุสรณ์สถานสองแห่ง ได้แก่ อนุสรณ์สถานโรเซอเวลต์ขนาด 7 12 เอเคอร์ (3 เฮกตาร์) อยู่ถัดจากอนุสรณ์สถานเจฟเฟอร์สันบนไทดัลเบซิน[379] และอนุสรณ์สถานขนาดเล็ก เป็นแท่งหินอ่อนหน้าอาคารหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ซึ่งโรเซอเวลต์เสนอไว้ด้วยตนเองและสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1965[380] การเป็นผู้นำของโรเซอเวลต์ใน March of Dimes เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาได้รับการระลึกถึงบนเหรียญไดม์[381] โรเซอเวลต์ยังปรากฏบนแสตมป์ไปรษณีย์สหรัฐหลายดวง[382] วันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1945 สิบเจ็ดวันหลังอสัญกรรมของโรเซอเวลต์ เรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอส แฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์ได้ถูกปล่อยลงน้ำและประจำการตั้งแต่ ค.ศ. 1945 ถึง 1977[383] เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ในลอนดอนก็มีอนุสรณ์สถานแผ่นหินสำหรับโรเซอเวลต์ ซึ่งเปิดตัวโดยแอตต์ลีและเชอร์ชิลใน ค.ศ. 1948[384] เกาะเวลแฟร์ถูกเปลี่ยนชื่อตามโรเซอเวลต์ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1973[385]

หมายเหตุ

[แก้]
  1. ออกเสียงว่า /ˈdɛlən ˈrzəvɛlt, -vəlt/ DEL-ə-noh-_-ROH.[1]
  2. ใน ค.ศ. 2008 โคลัมเบียได้มอบปริญญา Juris Doctor ให้กับโรเซอเวลต์หลังมรณกรรม[26]
  3. สภานิติบัญญัติของรัฐเลือกสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐก่อนที่จะมีการให้สัตยาบันการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐครั้งที่ 17 ใน ค.ศ. 1913
  4. โรเซอเวลต์เป็นประธานาธิบดีคนสุดท้ายที่เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 4 มีนาคม การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 20 ได้เปลี่ยนแปลงกำหนดการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นวันที่ 20 มกราคม เริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1937
  5. นักเขียนชีวประวัติ ฌอน เอ็ดเวิร์ด สมิธ ตั้งข้อสังเกตว่า "ความสำคัญของการยกเลิกกฎสองในสาม...เป็นการยากที่จะกล่าวเกินจริงได้ ไม่เพียงแต่ทำให้อำนาจของภาคใต้ในพรรคเดโมแครตลดลงเท่านั้น แต่หากไม่มีการยกเลิกกฎนี้ ก็เป็นที่น่าสงสัยว่าเอฟดีอาร์จะได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้สมัครอีกครั้งในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1940 หรือไม่[184]
  6. ผู้สมัครของพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1964 ซึ่งประกอบด้วยลินดอน บี. จอห์นสันและฮิวเบิร์ต ฮัมฟรีย์ ทำสถิติใหม่ด้วยการได้รับคะแนนนิยมไปถึง 61.1% ในเวลาต่อมา
  7. ผู้พิพากษาศาลสูงสุดสองคนที่โรเซอเวลต์ไม่ได้แต่งตั้งเข้ามาในศาลแต่แรกคือฮาร์แลน ฟิสก์ สโตนและโอเวน รอเบิตส์ อย่างไรก็ตาม ใน ค.ศ. 1941 โรเซอเวลต์ได้เลื่อนตำแหน่งสโตนให้เป็นประธานศาลสูงสุด
  8. ตารางนี้แสดงอัตราการว่างงานโดยประมาณที่คำนวณโดยนักเศรษฐศาสตร์สองคน ประมาณการของไมเคิล ดาร์บีนับรวมบุคคลที่อยู่ในโครงการบรรเทาทุกข์ผู้ว่างงานว่ามีงานทำ ในขณะที่ประมาณการของสแตนลีย์ เลเบอร์กอตต์นับรวมบุคคลที่อยู่ในโครงการบรรเทาทุกข์ผู้ว่างงานว่าว่างงาน[210]
  9. บทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งที่ 22 ซึ่งได้รับการให้สัตยาบันใน ค.ศ. 1951 นั้น ห้ามมิให้บุคคลใดก็ตามชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีได้มากกว่าสองครั้ง
  10. ฮัลล์และคนอื่น ๆ ในคณะบริหารไม่เต็มใจยอมรับการยึดครองจีนของญี่ปุ่นและเกรงว่าการที่อเมริกาสมยอมกับญี่ปุ่นจะทำให้ สหภาพโซเวียตตกอยู่ในความเสี่ยงของสงครามสองด้าน[263]
  11. สหรัฐยังประกาศสงครามกับบัลแกเรีย, ฮังการี และโรมาเนียด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดได้เข้าร่วมฝ่ายอักษะ
  12. เยอรมนีหยุดการวิจัยอาวุธนิวเคลียร์ใน ค.ศ. 1942 โดยเลือกมุ่งเน้นไปที่โครงการอื่น ส่วน ญี่ปุ่นล้มเลิกโครงการของตนเองใน ค.ศ. 1943[279]
  13. คนงาน WPA ถูกนับว่าอยู่ในกลุ่มผู้ว่างงานตามสถิติชุดนี้[302]

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Roosevelt". The American Heritage Dictionary of the English Language (5th ed.). HarperCollins.
  2. "When was the term United Nations first used?". United Nations. สืบค้นเมื่อ December 14, 2023.
  3. 1 2 Burns 1956, p. 7.
  4. 1 2 Smith 2007, pp. 5–6.
  5. Leuchtenburg 2015, p. 16.
  6. Lash 1971, p. 111.
  7. Burns 1956, p. 4.
  8. Smith 2007, p. 110.
  9. Black 2005, p. 21.
  10. Smith 2007, pp. 20–25.
  11. "FDR Biography-The Early Years". Roosevelt Library and Museum. สืบค้นเมื่อ January 25, 2022.
  12. 1 2 3 4 Leuchtenburg, William E. (September 26, 2016). "FDR: Life Before the Presidency". Univ. of Virginia Miller Center of Public Affairs. สืบค้นเมื่อ January 25, 2022.
  13. Burns 1956, p. 16.
  14. Gunther 1950, p. 174.
  15. "Family of Wealth Gave Advantages". The New York Times. April 15, 1945. สืบค้นเมื่อ December 20, 2012.
  16. Gunther 1950, p. 176.
  17. "Almanac: The 1st cheerleader". CBS News. November 2, 2014. สืบค้นเมื่อ December 1, 2019.
  18. Gunther 1950, p. 175.
  19. Burns 1956, pp. 18, 20.
  20. Dallek 2017, pp. 28–29.
  21. Burns 1956, p. 24.
  22. "FDR Biography". Franklin D. Roosevelt Presidential Library and Museum.
  23. Leuchtenburg, William E. (October 4, 2016). "Franklin D. Roosevelt: Life Before the Presidency". Miller Center of Public Affairs.
  24. "DECEASED members 1904 to 23 May 2007 - The Explorers Club". YUMPU. สืบค้นเมื่อ October 19, 2024.
  25. Burns 1956, p. 28.
  26. "Presidents Roosevelt Honored With Posthumous Columbia Degrees". New York Sun. September 26, 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 6, 2018. สืบค้นเมื่อ April 6, 2018.
  27. Dallek 2017, pp. 38–39.
  28. "Franklin D. Roosevelt". Smithsonian National Postal Museum. สืบค้นเมื่อ May 31, 2025.
  29. Rowley 2010, pp. 3–6.
  30. Burns 1956, p. 26.
  31. Dallek 2017, pp. 35–36.
  32. Smith 2007, pp. 54–55.
  33. Burns 1956, pp. 77–79.
  34. Smith 2007, pp. 57–58.
  35. Abate, Frank R. (1999). The Oxford Desk Dictionary of People and Places. Oxford University Press. p. 329. ISBN 978-0-19-513872-6.
  36. Smith 2007, p. 153.
  37. Smith 2007, p. 160.
  38. Winkler 2006, pp. 28, 38, 48–49.
  39. Winkler 2006, pp. 202–03.
  40. Gunther 1950, p. 195.
  41. McGrath, Charles (April 20, 2008). "No End of the Affair". The New York Times.
  42. "Lucy Page Mercer Rutherfurd". Eleanor Roosevelt Papers. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 4, 2010. สืบค้นเมื่อ February 7, 2010.
  43. Tully 2005, p. 340.
  44. Goodwin 1995, p. 153.
  45. Rowley 2010, p. 254.
  46. Smith 2007, pp. 58–60.
  47. 1 2 Dallek 2017, p. 41.
  48. Smith 2007, pp. 60–62.
  49. Smith 2007, pp. 60–64.
  50. Smith 2007, p. 65.
  51. Smith 2007, pp. 65–66.
  52. Gunther 1950, pp. 202–03.
  53. 1 2 Burns 1956, p. 34.
  54. Smith 2007, pp. 68–69.
  55. Brands 2009, pp. 57–60.
  56. Gunther 1950, pp. 205–06.
  57. Corcoran, Syndney (2022-04-07). "Franklin D. Roosevelt | Grand Lodge of Ohio". Freemasonry. สืบค้นเมื่อ 2025-01-23.
  58. Burns 1956, p. 49.
  59. Black 2005, pp. 62–63.
  60. Burns 1956, pp. 44–46.
  61. Burns 1956, p. 43.
  62. Smith 2007, pp. 97–101.
  63. Burns 1956, p. 51.
  64. J. Simon Rofe, " 'Under the Influence of Mahan': Theodore and Franklin Roosevelt and their Understanding of American National Interest." Diplomacy & Statecraft 19.4 (2008): 732–45.
  65. Smith 2007, pp. 102–06.
  66. Smith 2007, pp. 113–14.
  67. Burns 1956, p. 52.
  68. Gunther 1950, p. 212.
  69. Smith 2007, pp. 122–23.
  70. Burns 1956, p. 56.
  71. Burns 1956, pp. 57, 60.
  72. Smith 2007, p. 125.
  73. Smith 2007, pp. 125–26.
  74. Dallek 2017, pp. 59–61.
  75. Smith 2007, pp. 130–32.
  76. Dallek 2017, pp. 62–63.
  77. Dallek 2017, pp. 65–66.
  78. Smith 2007, pp. 139–40.
  79. 1 2 O'Brien, Phillips (August 10, 2024). "Franklin Roosevelt was made in world war one". The Spectator. สืบค้นเมื่อ August 10, 2024.
  80. Goldman & Goldman 2017, p. 15.
  81. Smith 2007, pp. 171–72.
  82. Underwood 1991, p. 11.
  83. Smith 2007, pp. 176–77.
  84. Smith 2007, pp. 177–81.
  85. Burns 1956, p. 73.
  86. Gunther 1950, pp. 215–16.
  87. Smith 2007, p. 181.
  88. Smith 2007, pp. 181–82.
  89. Smith 2007, pp. 175–76.
  90. Burns 1956, p. 74.
  91. Smith 2007, pp. 182–83.
  92. 1 2 Smith 2007, pp. 184–85.
  93. Goldman AS, Schmalstieg EJ, Freeman DH, Goldman DA, Schmalstieg FC (2003). "What was the cause of Franklin Delano Roosevelt's paralytic illness?" (PDF). Journal of Medical Biography. 11 (4): 232–40. doi:10.1177/096777200301100412. ISSN 0967-7720. PMID 14562158. S2CID 39957366. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ November 30, 2012. สืบค้นเมื่อ July 4, 2017.
  94. Alter 2006, p. 355.
  95. Lomazow, Steven; Fettmann, Eric (2010). FDR's Deadly Secret. p. 27.
  96. Rose, David M. (2016). Friends and Partners: The Legacy of Franklin D. Roosevelt and Basil O'Connor in the History of Polio. p. 179.
  97. Wooten, Heather Green (2009). The Polio Years in Texas. p. 192.
  98. Smith 2007, pp. 195–96.
  99. Rowley 2010, p. 125.
  100. Rowley 2010, p. 120.
  101. Ward & Burns 2014, p. 332.
  102. Smith 2007, p. 220.
  103. Smith 2007, pp. 213–14.
  104. Smith 2007, pp. 215–19.
  105. Smith 2007, pp. 255–56.
  106. Dallek 2017, pp. 87–88.
  107. Dallek 2017, pp. 87–96.
  108. Morgan 1985, pp. 267, 269–72, 286–87.
  109. Black 2005, pp. 160–67.
  110. 1 2 3 4 Caro 1974, pp. 289–91.
  111. F. Roosevelt, E. Roosevelt, p. 21.
  112. Smith 2007, p. 231.
  113. Conrad Black, Franklin Delano Roosevelt: champion of freedom (Hachette UK, 2012) p 160.
  114. Selig Adler, The isolationist impulse: its 20th-century reaction (1957) pp 200–201.
  115. Burns 1956, p. 100.
  116. Dallek 2017, pp. 96–98.
  117. Smith 2007, pp. 223–25.
  118. Smith 2007, pp. 225–28.
  119. Burns 1956, p. 101.
  120. Smith 2007, p. 229.
  121. Smith 2007, pp. 237–38.
  122. Smith 2007, pp. 230–33.
  123. Smith 2007, pp. 235–37.
  124. Smith 2007, pp. 238–39.
  125. Smith 2007, pp. 240–41.
  126. Smith 2007, pp. 242–43.
  127. Burns 1956, pp. 119–20.
  128. Burns 1956, p. 121.
  129. Smith 2007, pp. 250–52.
  130. "Franklin D. Roosevelt". The Official Website of New York State. สืบค้นเมื่อ 4 August 2024.
  131. "History Of State Forest Program". New York State Department of Environmental Conservation. สืบค้นเมื่อ June 28, 2021.
  132. Allen, Oliver E. (1993). The Tiger: The Rise and Fall of Tammany Hall. Addison-Wesley Publishing Company. pp. 233–50. ISBN 978-0-201-62463-2.
  133. Smith 2007, pp. 261–63.
  134. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 Leuchtenburg, William E. (October 4, 2016). "FDR: Campaigns and Elections". Univ. of Virginia Miller Center of Public Affairs. สืบค้นเมื่อ January 28, 2022.
  135. Brands 2009, pp. 232–36, 246–51.
  136. Burns 1956, p. 139.
  137. Smith 2007, pp. 276–77.
  138. Smith 2007, pp. 266–67.
  139. Smith 2007, p. 278.
  140. Smith 2007, p. 279.
  141. Smith 2007, pp. 282–84.
  142. Leuchtenburg 1963, pp. 183–96.
  143. Sternsher 1975, pp. 127–49.
  144. Campbell 2006, pp. 127–49.
  145. Smith 2007, pp. 290–91.
  146. Burns 1956, p. 146.
  147. Smith 2007, pp. 292–95.
  148. Burns 1956, p. 147.
  149. Davidson, Amy (May 5, 2012). "The FDR New Yorker cover that never ran". The New Yorker.
  150. Burns 1970, pp. 347–48.
  151. Alter 2006, p. 190.
  152. Burns 1956, pp. 157, 167–68.
  153. Tobin 2013, pp. 4–7.
  154. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 Leuchtenburg, William E. (October 4, 2016). "FDR: Domestic Affairs". Univ. of Virginia Miller Center of Public Affairs. สืบค้นเมื่อ January 29, 2022.
  155. Leuchtenburg 2015, pp. 147–48.
  156. Smith 2007, p. 312.
  157. Liptak, Kevin (April 23, 2017). "History of measuring presidents' first 100 days". CNN. สืบค้นเมื่อ October 9, 2017.
  158. Leuchtenburg 2015, pp. 151–52.
  159. 1 2 Smith 2007, p. 322.
  160. Smith 2007, pp. 318–23.
  161. Hawley 1995, p. 124.
  162. Smith 2007, pp. 331–32.
  163. Smith 2007, p. 346.
  164. Savage 1991, p. 160.
  165. 1 2 Traynor, Ben (April 3, 2013). "Roosevelt's gold confiscation: could it happen again?". The Daily Telegraph. สืบค้นเมื่อ June 12, 2025.
  166. Freidel 1952–1973, pp. 4, 320–39.
  167. Freidel 1952–1973, pp. 4, 448–52.
  168. Dallek 2017, p. 249.
  169. Hausman, Joshua K. (April 2016). "Fiscal Policy and Economic Recovery: The Case of the 1936 Veterans' Bonus" (PDF). American Economic Review. 106 (4): 1100–43. doi:10.1257/aer.20130957. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ October 31, 2014. สืบค้นเมื่อ October 22, 2014.
  170. Smith 2007, pp. 349–51.
  171. Social Security History. Ssa.gov. Retrieved July 14, 2013.
  172. Smith 2007, p. 353.
  173. Smith 2007, pp. 353–56.
  174. Kennedy 1999, p. 291.
  175. Colin Gordon, New Deals: Business, Labor, and Politics in America, 1920–1935 (1994) p. 225
  176. Brands 2009, pp. 463–67.
  177. 1 2 Fried 2001, pp. 120–23.
  178. Burns 1956, p. 350.
  179. Burns 1956, p. 226.
  180. Roosevelt, Franklin Delano (1933). Looking forward. John Day. p. 141.
  181. Smith 2007, pp. 364–66.
  182. Smith 2007, pp. 371–72.
  183. Smith 2007, pp. 360–61.
  184. Smith 2007, p. 366.
  185. Burns 1956, p. 284.
  186. Smith 2007, pp. 373–75.
  187. Mary E. Stuckey (2015). Voting Deliberatively: FDR and the 1936 Presidential Campaign. Penn State UP. p. 19. ISBN 978-0-271-07192-3.
  188. Kalman, Laura (October 2005). "The Constitution, the Supreme Court, and the New Deal". The American Historical Review. 110 (4): 1052–80. doi:10.1086/ahr.110.4.1052.
  189. Smith 2007, pp. 379–82.
  190. Burns 1956, p. 312.
  191. Smith 2007, pp. 384–89.
  192. Leuchtenburg, William E. (May 2005). "When Franklin Roosevelt Clashed with the Supreme Court – and Lost". Smithsonian Magazine. สืบค้นเมื่อ March 1, 2016.
  193. Leuchtenburg, E. (1996). The Supreme Court Reborn: The Constitutional Revolution in the Age of Roosevelt. Oxford University Press. ISBN 0-19-511131-1
  194. Blake, John (December 14, 2010). "How FDR unleashed his Supreme Court 'scorpions'". CNN. สืบค้นเมื่อ October 10, 2017.
  195. Belknap, Michal (2004). The Vinson Court: Justices, Rulings, and Legacy. ABC-CLIO. pp. 162–63. ISBN 978-1-57607-201-1. สืบค้นเมื่อ March 3, 2016.
  196. Smith 2007, pp. 390–91.
  197. Smith 2007, pp. 408–09.
  198. Leuchtenburg 2015, pp. 187–88.
  199. Burns 1956, p. 320.
  200. Leuchtenburg 1963, pp. 262–63, 271–73.
  201. Smith 2007, pp. 440–41.
  202. Dallek 2017, p. 19.
  203. See also Edgar B. Nixon, ed. Franklin D. Roosevelt and Conservation, 1911-1945 (2 vol. 1957); vol 1 online; also see vol 2 online
  204. "FDR's Conservation Legacy (U.S. National Park Service)". nps.gov. สืบค้นเมื่อ June 28, 2021.
  205. Leshy, John (2009). "FDR's Expansion of Our National Patrimony: A Model for Leadership". ใน Woolner, David; Henderson, Henry L. (บ.ก.). FDR and the Environment. Springer. pp. 177–78. ISBN 978-0-230-10067-1.
  206. "The National Parks: America's Best Idea: History Episode 5: 1933–1945". PBS. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 28, 2009. สืบค้นเมื่อ April 23, 2016.
  207. Brinkley 2016, pp. 170–86.
  208. Maher, Neil M. (July 2002). "A New Deal Body Politic: Landscape, Labor, and the Civilian Conservation Corps" (PDF). Environmental History. 7 (3): 435–61. Bibcode:2002EnvH....7..435M. doi:10.2307/3985917. JSTOR 3985917. S2CID 144800756. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ June 2, 2016.
  209. Anna L. Riesch Owen, Conservation Under FDR (Praeger, 1983).
  210. 1 2 Margo, Robert A. (Spring 1993). "Employment and Unemployment in the 1930s". Journal of Economic Perspectives. 7 (2): 42–43. CiteSeerX 10.1.1.627.1613. doi:10.1257/jep.7.2.41. S2CID 26369842.
  211. 1 2 Historical Statistics of the United States, Colonial Times to 1970. The Bureau of the U.S. Census. 1976. pp. Y457, Y493, F32.
  212. "Presidents and Job Growth" (GIF). The New York Times (graphic). July 2, 2003.
  213. Historical Statistics of the United States, Colonial Times to 1970. The Bureau of the U.S. Census. 1976. p. F31.
  214. Leuchtenburg 1963, pp. 203–10.
  215. Smith 2007, pp. 341–43.
  216. Doenecke & Stoler 2005, p. 18.
  217. Burns 1956, p. 254.
  218. Burns 1956, p. 255.
  219. Smith 2007, pp. 417–18.
  220. Burns 1956, p. 256.
  221. Dallek 1995, p. 180.
  222. Dallek 1995, pp. 146–47.
  223. Leuchtenburg 2015, pp. 188–90.
  224. "Travels of President Franklin D. Roosevelt". Office of the Historian, Bureau of Public Affairs. U.S. Department of State. สืบค้นเมื่อ December 2, 2015.
  225. Smith 2007, pp. 423–24.
  226. Dallek 1995, pp. 166–73.
  227. Smith 2007, pp. 425–26.
  228. Smith 2007, pp. 426–29.
  229. Black 2005, pp. 503–06.
  230. Smith 2007, pp. 436–41.
  231. Gunther 1950, p. 15.
  232. "Roosevelt and Churchill: A Friendship That Saved The World". National Park Service.
  233. Leuchtenburg 1963, pp. 399–402.
  234. Burns 1956, p. 420.
  235. Smith 2007, pp. 464–66.
  236. Burns 1956, p. 438.
  237. Bernard F. Donahoe, Private Plans and Public Dangers: The Story of FDR's Third Nomination (University of Notre Dame Press, 1965).
  238. Burns 1956, pp. 408–30.
  239. 1 2 Moe, Richard (2013). Roosevelt's Second Act: The Election of 1940 and the Politics of War. Oxford University Press. pp. 229–46. ISBN 978-0-19-998191-5.
  240. Dallek 2017, pp. 389–90.
  241. Smith 2007, p. 472.
  242. Smith 2007, pp. 474–75.
  243. Smith 2007, pp. 476–77.
  244. Burns 1956, p. 454.
  245. Winston Groom, The Allies: Roosevelt, Churchill, Stalin, and the Unlikely Alliance That Won World War II (2018)
  246. Joseph E. Persico, Roosevelt's Centurions: FDR and the Commanders He Led to Victory in World War II (2013).
  247. Eric Larrabee, Commander in Chief: Franklin Delano Roosevelt, His Lieutenants, and Their War (1987)
  248. Herman 2012, pp. 128–29.
  249. Smith 2007, pp. 488–90.
  250. Burns 1970, p. 95.
  251. Charles, Douglas M. (Spring 2000). "Informing FDR: FBI Political Surveillance and the Isolationist-Interventionist Foreign Policy". Diplomatic History. 24 (2): 211–32. doi:10.1111/0145-2096.00210.
  252. Churchill 1977, p. 119.
  253. Media Sound & Culture in Latin America. Editors: Bronfman, Alejanda & Wood, Andrew Grant. University of Pittsburgh Press, Pittsburgh, PA, 2012,ISBN 978-0-8229-6187-1 pp. 41–54
  254. Anthony, Edwin D. Records of the Office of Inter-American Affairs. National Archives and Record Services – General Services Administration, Washington D.C., 1973, pp. 1–8 LCCN 73-600146 Records of the Office of Inter-American Affairs at the U.S. National Archive at www.archives.gov
  255. Burns 1970, pp. 126–28.
  256. Gunther 1950, pp. 15–16.
  257. Smith 2007, p. 502.
  258. Burns 1970, pp. 141–42.
  259. Smith 2007, pp. 506–08.
  260. Smith 2007, pp. 510–11.
  261. Burns 1970, pp. 134–46.
  262. Smith 2007, pp. 516–17.
  263. Smith 2007, pp. 522–23.
  264. Smith 2007, pp. 518–30.
  265. Smith 2007, pp. 531–33.
  266. Smith 2007, pp. 533–39.
  267. Sainsbury 1994, p. 184.
  268. Maffeo, Steven E. (2015). U.S. Navy Codebreakers, Linguists, and Intelligence Officers against Japan, 1910–1941: A Biographical Dictionary. Rowman & Littlefield. p. 311. ISBN 978-1-4422-5564-7.
  269. Smith 2007, pp. 523–39.
  270. Burns 1970, p. 159.
  271. Smith 2007, pp. 545–47.
  272. Burns 1970, pp. 180–85.
  273. Smith 2007, p. 547.
  274. Chambers, John Whiteclay (1999). The Oxford Companion to American Military History. Oxford University Press, US. p. 351. ISBN 978-0-19-507198-6.
  275. Smith 2007, p. 546.
  276. 1 2 Smith 2007, pp. 598–99.
  277. Fullilove, Michael (2013). Rendezvous with Destiny: How Franklin D. Roosevelt and Five Extraordinary Men Took America into the War and into the World. Penguin Press. pp. 147–49. ISBN 978-1-59420-435-7.
  278. Brands 2009, pp. 678–80.
  279. Smith 2007, p. 580.
  280. Smith 2007, pp. 578–81.
  281. Doenecke & Stoler 2005, pp. 109–10.
  282. Smith 2007, pp. 557–59.
  283. Smith 2007, pp. 560–61.
  284. Smith 2007, pp. 587–88.
  285. Leuchtenburg 2015, pp. 214–16.
  286. Townsend Hoopes, and Douglas Brinkley, FDR and the Creation of the UN (Yale UP, 1997) pp. ix, 175.
  287. Smith 2007, pp. 623–24.
  288. Leuchtenburg 2015, pp. 233–34.
  289. Burns 1970, p. 587.
  290. Herring 2008, pp. 584–87.
  291. Bumiller, Elizabeth (May 16, 2005). "60 Years Later, Debating Yalta All Over Again". The New York Times. สืบค้นเมื่อ October 14, 2017.
  292. Smith 2007, pp. 563–64.
  293. Smith 2007, pp. 565–67.
  294. Smith 2007, pp. 573–74.
  295. 1 2 3 Smith 2007, pp. 575–76.
  296. Smith 2007, pp. 581–82.
  297. Smith 2007, pp. 596–97.
  298. Smith 2007, pp. 613–17.
  299. Smith 2007, pp. 630–31.
  300. Burns 1970, p. 228.
  301. Brands 2009, p. 785.
  302. Statistical Abstract, US: Bureau of the Census, 1946, p. 173
  303. Schweikart & Allen 2004, p. 602.
  304. Leuchtenburg 2015, pp. 221–22.
  305. Burns 1970, p. 436.
  306. Burns 1970, p. 333.
  307. Burns 1970, p. 343.
  308. Herman 2012, pp. 139–44, 151, 246.
  309. Smith 2007, pp. 571–72.
  310. Burns 1970, pp. 339–42.
  311. Leuchtenburg 2015, pp. 223–25.
  312. 1 2 Zeitz, Joshua (November 4, 2018). "Democrats Aren't Moving Left. They're Returning to Their Roots". Politico. สืบค้นเมื่อ November 17, 2018.
  313. Smith 2007, pp. 584–85.
  314. Beaver County Times 28 Aug 1976, 'Once FDR and Wendell Willkie tried to realign U.S. politics' by Jim Bishop
  315. "Medical Research Pays Off for All Americans" (PDF). NIH Medline Plus. National Institutes of Health. Summer 2007. สืบค้นเมื่อ July 25, 2014.
  316. Hastings, Max (January 19, 2009). "Franklin D Roosevelt: The man who conquered fear". The Independent. สืบค้นเมื่อ July 25, 2014.
  317. Burns 1970, p. 448.
  318. Lerner, Barron H. (November 23, 2007). "How Much Confidence Should We Have in the Doctor's Account of FDR's Death?". History News Network. George Washington University.
  319. Bruenn, Howard G. (April 1970). "Clinical notes on the illness & death of President Franklin D. Roosevelt". Annals of Internal Medicine. 72 (4): 579–91. doi:10.7326/0003-4819-72-4-579. PMID 4908628.
  320. Gunther 1950, pp. 372–74.
  321. Dallek 2017, pp. 618–19.
  322. Smith 2007, pp. 617–19.
  323. Jordan 2011, p. 321.
  324. Burns 1970, pp. 533, 562.
  325. Dallek 1995, p. 520.
  326. "Franklin D. Roosevelt Day by Day – April". In Roosevelt History. Franklin D. Roosevelt Presidential Library and Museum Collections and Programs. สืบค้นเมื่อ May 14, 2012.
  327. Jones, Jeffrey M.; Jones, Joni L. (September 2006). "Presidential Stroke: United States Presidents and Cerebrovascular Disease". CNS Spectrums. 11 (9): 674–78. doi:10.1017/S1092852900014760. PMID 16946692. S2CID 44889213.
  328. Andrew Glass (April 12, 2016). "President Franklin D. Roosevelt dies at age 63, April 12, 1945". Politico. สืบค้นเมื่อ May 21, 2020.
  329. "Roosevelt Funeral Train". c-span.org. สืบค้นเมื่อ February 7, 2023.
  330. "Franklin D. Roosevelt Funeral". White House Historical Association. สืบค้นเมื่อ January 12, 2025.
  331. Dallek 2017, p. 620.
  332. Kluckhohn, Frank (April 15, 1945). "Nation Pays Final Tribute to Roosevelt As World Mourns; Hyde Park Rites Today". The New York Times.
  333. Allies Overrun Germany (video). Universal Newsreel. 1945. สืบค้นเมื่อ February 21, 2012.
  334. McCullough, David (1992). Truman. Simon & Schuster. pp. 345, 381. ISBN 978-0-671-86920-5.
  335. Leuchtenburg 2015, pp. 243–52.
  336. See "Confront the Issue: FDR's Health" from FDR Library at http://www.fdrlibraryvirtualtour.org/graphics/07-38/7.5_FDRs_Health.pdf
  337. Ferrell, Robert H. (1998). The Dying President: Franklin D. Roosevelt, 1944–1945. University of Missouri Press. ISBN 978-0-8262-1171-2. LCCN 97045797.
  338. Dunn, Dennis J. (April 1998). "Dunn on Ferrell, 'The Dying President: Franklin D. Roosevelt 19441945'". H-Pol, H-Net Reviews. สืบค้นเมื่อ 28 January 2019.
  339. Balderrama, Francisco E.; Rodriguez, Raymond (2006). Decade of Betrayal: Mexican Repatriation in the 1930s. UNM Press. p. 82. ISBN 978-0-8263-3973-7.
  340. McGreevy, Patrick (October 2, 2015). "California law seeks history of Mexican deportations in textbooks". Los Angeles Times. สืบค้นเมื่อ August 12, 2023.
  341. Bernard, Diane (October 28, 2021). "The time a president deported 1 million Mexican Americans for supposedly stealing U.S. jobs". The Washington Post. ISSN 0190-8286. สืบค้นเมื่อ August 12, 2023.
  342. Johnson, Kevin (Fall 2005). "The Forgotten Repatriation of Persons of Mexican Ancestry and Lessons for the War on Terror". Vol. 26 no. 1. Davis, California: Pace Law Review.
  343. Odo, Franklin (2002). The Columbia Documentary History of the Asian American Experience. Columbia University Press. p. 5. ISBN 978-0-231-11030-3.
  344. Sitkoff, Harvard (1978). A new deal for Blacks: the emergence of civil rights as a national issue. Oxford University Press. p. 71. ISBN 978-0-19-502418-0.
  345. Magness, Phillip W. (July 31, 2020). "How FDR Killed Federal Anti-Lynching Legislation". American Institute for Economic Research.
  346. 1 2 McJimsey 2000, pp. 162–63.
  347. Dallek 2017, pp. 307–08.
  348. Collins, William J. (March 2001). "Race, Roosevelt, and Wartime Production: Fair Employment in World War II Labor Markets". The American Economic Review. 91 (1): 272–86. doi:10.1257/aer.91.1.272. JSTOR 2677909.
  349. Smith 2007, pp. 549–53.
  350. "World War II Enemy Alien Control Program Overview". National Archives. September 23, 2016.
  351. Beito 2023, pp. 180–183.
  352. Everhart, Karen (May 9, 1994). "FDR defenders enlist TV critics to refute Holocaust film". Current. สืบค้นเมื่อ April 16, 2022.
  353. 1 2 3 Medoff, Rafael (April 7, 2013). "What FDR said about Jews in private". Los Angeles Times. สืบค้นเมื่อ April 16, 2022.
  354. Breitman & Lichtman 2013, pp. 114–15.
  355. "Jan Karski". Holocaust Encyclopedia. United States Holocaust Memorial Museum. สืบค้นเมื่อ April 16, 2022.
  356. "Jan Karski, Humanity's hero: The Story of Poland's Wartime Emissary". Museum of Polish History. สืบค้นเมื่อ April 16, 2022.
  357. Glass, Andrew (July 28, 2018). "Holocaust eyewitness briefs FDR, July 28, 1943". Politico. สืบค้นเมื่อ April 16, 2022.
  358. Smith 2007, pp. 607–13.
  359. Appleby, Joyce; Brands, H.W.; Dallek, Robert; Fitzpatrick, Ellen; Goodwin, Doris Kearns; Gordon, John Steele; Kennedy, David M.; McDougall, Walter; Noll, Mark; Wood, Gordon S. (December 2006). "The 100 Most Influential Figures in American History". The Atlantic. สืบค้นเมื่อ October 13, 2017.
  360. Walsh, Kenneth T. (April 10, 2015). "FDR: The President Who Made America Into a Superpower". U.S. News & World Report. สืบค้นเมื่อ October 13, 2017.
  361. "Presidential Historians Survey 2017". C-SPAN Survey of Presidential Leadership. C-SPAN.
  362. "Presidential Leadership – The Rankings". The Wall Street Journal. September 12, 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 2, 2005. สืบค้นเมื่อ May 4, 2015.
  363. Rottinghaus, Brandon; Vaughn, Justin (February 16, 2015). "New ranking of U.S. presidents puts Lincoln at No. 1, Obama at 18; Kennedy judged most overrated". The Washington Post. สืบค้นเมื่อ May 4, 2015.
  364. Schlesinger, Arthur M. Jr. (Summer 1997). "Ranking the Presidents: From Washington to Clinton". Political Science Quarterly. 112 (2): 179–90. doi:10.2307/2657937. JSTOR 2657937.
  365. Smith 2007, p. ix.
  366. Greenstein, F I (2009). The Presidential Difference Leadership Style from FDR to Barack Obama (3rd ed.). United Kingdom: Princeton University Press. p. 14. ISBN 978-0-691-14383-5.
  367. Schlesinger, Arthur M. Jr (2007) [1963], "Liberalism in America: A Note for Europeans", The Politics of Hope, Riverside Press, ISBN 978-0-691-13475-8
  368. Black 2005, pp. 1126–27.
  369. Leuchtenburg 2015, pp. 174–75.
  370. Leuchtenburg, William E. (2001), In the Shadow of FDR: From Harry Truman to George W. Bush, Cornell University Press, pp. 128, 178, ISBN 978-0-8014-8737-8
  371. Leuchtenburg, pp. 208, 218, 226.
  372. John Massaro, "LBJ and the Fortas Nomination for Chief Justice". Political Science Quarterly 97.4 (1982): 603–621.
  373. Dallek 2017, pp. 624–25.
  374. Wyman 1984.
  375. Robinson 2001.
  376. Dallek 2017, p. 626.
  377. Bruce Frohnen, Jeremy Beer and Jeffery O. Nelson, eds. American Conservatism: An Encyclopedia (2006). pp. 619–621, 645–646.
  378. "Reagan says many New Dealers wanted fascism". The New York Times. December 22, 1981.
  379. "Franklin Delano Roosevelt Memorial". National Park Service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 30, 2009. สืบค้นเมื่อ January 19, 2018.
  380. jessiekratz (April 10, 2015). "The other FDR Memorial". Pieces of History. National Archives. สืบค้นเมื่อ June 19, 2017.
  381. "Conservatives want Reagan to replace FDR on U.S. dimes". USA Today. Associated Press. December 5, 2003. สืบค้นเมื่อ January 22, 2018.
  382. "Franklin Delano Roosevelt Issues". National Postal Museum. สืบค้นเมื่อ May 11, 2021.
  383. "FDR Library – USS Roosevelt". docs.fdrlibrary.marist.edu. สืบค้นเมื่อ September 25, 2021.
  384. "Franklin Delano Roosevelt". Westminster Abbey. สืบค้นเมื่อ April 16, 2022.
  385. "COMING TO LIGHT: The Louis I. Kahn Monument to Franklin D. Roosevelt". archweb.cooper.edu. สืบค้นเมื่อ September 25, 2021.

ข้อมูลสิ่งพิมพ์

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
ก่อนหน้า แฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์ ถัดไป
เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์
ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 32
(4 มีนาคม พ.ศ. 2476 - 12 เมษายน พ.ศ. 2488)
แฮร์รี เอส. ทรูแมน
ปีแอร์ ลาวาล บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์
(ค.ศ. 1932)
ฮิวจ์ จอห์นสัน
ฮิวจ์ จอห์นสัน บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์
(ค.ศ. 1934)
เฮลี เซลาสซีที่ 1 แห่งเอธิโอเปีย
วินสตัน เชอร์ชิล บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์
(ค.ศ. 1941)
โจเซฟ สตาลิน