แฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์
แฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์ | |
|---|---|
ภาพถ่ายหาเสียงอย่างเป็นทางการ, ค.ศ. 1944 | |
| ประธานาธิบดีสหรัฐ คนที่ 32 | |
| ดำรงตำแหน่ง 4 มีนาคม ค.ศ. 1933 – 12 เมษายน ค.ศ. 1945 (12 ปี 1 เดือน 8 วัน) | |
| รองประธานาธิบดี |
|
| ก่อนหน้า | เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ |
| ถัดไป | แฮร์รี เอส. ทรูแมน |
| ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก คนที 44 | |
| ดำรงตำแหน่ง 1 มกราคม ค.ศ. 1929 – 31 ธันวาคม ค.ศ. 1932 (3 ปี 11 เดือน 30 วัน) | |
| รักษาการแทน | เฮอร์เบิร์ต เอช. ลีห์แมน |
| ก่อนหน้า | อัล สมิธ |
| ถัดไป | เฮอร์เบิร์ต เอช. ลีห์แมน |
| รัฐมนตรีช่วยว่าการทบวงทหารเรือ | |
| ดำรงตำแหน่ง 17 มีนาคม ค.ศ. 1913 – 26 สิงหาคม ค.ศ. 1920 (7 ปี 5 เดือน 9 วัน) | |
| ประธานาธิบดี | วูดโรว์ วิลสัน |
| ก่อนหน้า | บีกแมน วินทรอป |
| ถัดไป | กอร์ดอน วูดเบอรี |
| สมาชิกวุฒิสภารัฐนิวยอร์ก จากเขต 26 | |
| ดำรงตำแหน่ง 1 มกราคม ค.ศ. 1911 – 17 มีนาคม ค.ศ. 1913 (2 ปี 2 เดือน 16 วัน) | |
| ก่อนหน้า | จอห์น เอฟ. ชลอสเซอร์ |
| ถัดไป | เจมส์ อี. ทาวเนอร์ |
| ข้อมูลส่วนบุคคล | |
| เกิด | แฟรงคลิน เดลาโน โรเซอเวลต์ มกราคม 30, 1882 ไฮด์พาร์ก รัฐนิวยอร์ก สหรัฐ |
| เสียชีวิต | 12 เมษายน ค.ศ. 1945 (63 ปี) วอร์มสปริงส์ รัฐจอร์เจีย สหรัฐ |
| ที่ไว้ศพ | สปริงวูดเอสเตต |
| พรรคการเมือง | เดโมแครต |
| คู่สมรส | เอลิเนอร์ โรเซอเวลต์ (สมรส 1905) |
| บุตร | 6 คน, รวมถึงแอนนา, เจมส์, เอลเลียต, แฟรงคลิน จูเนียร์ และจอห์น |
| บุพการี | |
| ความสัมพันธ์ | |
| การศึกษา | |
| ลายมือชื่อ | |
แฟรงคลิน เดลาโน โรเซอเวลต์[a] (อังกฤษ: Franklin Delano Roosevelt; 30 มกราคม ค.ศ. 1882 – 12 เมษายน ค.ศ. 1945) หรือที่รู้จักในชื่อย่อว่า เอฟดีอาร์ (FDR) เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 32 ตั้งแต่ ค.ศ. 1933 กระทั่งถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1945 เขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด และเป็นคนเดียวที่ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งเกินกว่าสองวาระ สองวาระแรกของเขามุ่งเน้นไปที่การต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ขณะที่วาระที่สามและสี่ของเขาได้เปลี่ยนจุดมุ่งเน้นไปที่การเข้ามามีส่วนร่วมของอเมริกาในสงครามโลกครั้งที่สอง
ในฐานะสมาชิกของตระกูลเดลาโนและโรเซอเวลต์ที่มีชื่อเสียง โรเซอเวลต์ได้รับเลือกเป็นวุฒิสมาชิกของรัฐนิวยอร์กตั้งแต่ ค.ศ. 1911 ถึง 1913 และต่อมาได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการทบวงทหารเรือภายใต้ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสันในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ใน ค.ศ. 1920 โรเซอเวลต์เป็นคู่สมัครรองประธานาธิบดีของเจมส์ เอ็ม. ค็อกซ์ ในนามพรรคเดโมแครต แต่พ่ายแพ้ให้แก่วาร์เรน จี. ฮาร์ดิง ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน ใน ค.ศ. 1921 โรเซอเวลต์ป่วยเป็นอัมพาตที่ทำให้ขาของเขาเป็นอัมพาตอย่างถาวร ส่วนหนึ่งด้วยกำลังใจจากเอลิเนอร์ โรเซอเวลต์ ภริยาของเขา เขากลับสู่ตำแหน่งทางการเมืองในฐานะผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กตั้งแต่ ค.ศ. 1929 ถึง 1932 ซึ่งในช่วงนั้นเขาส่งเสริมโครงการต่าง ๆ เพื่อต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 1932 โรเซอเวลต์เอาชนะเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์อย่างถล่มทลาย
ใน 100 วันแรกของการดำรงตำแหน่ง โรเซอเวลต์เป็นหัวหอกในการออกกฎหมายของรัฐบาลกลางที่ไม่เคยมีมาก่อนและเป็นผู้นำรัฐบาลกลางในช่วงส่วนใหญ่ของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ โดยได้ริเริ่มสัญญาใหม่ สร้างพันธมิตรสัญญาใหม่ และปรับเปลี่ยนการเมืองอเมริกันเข้าสู่ระบบพรรคที่ห้า เขาสร้างโครงการมากมายเพื่อบรรเทาทุกข์แก่ผู้ว่างงานและเกษตรกร ขณะที่มุ่งฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วย องค์การบริหารการฟื้นฟูแห่งชาติ (National Recovery Administration) และโครงการอื่น ๆ เขายังดำเนินการปฏิรูปกฎระเบียบที่สำคัญเกี่ยวกับการเงิน การสื่อสาร และแรงงาน และเป็นผู้ดูแลการสิ้นสุดของการห้ามสุรา ใน ค.ศ. 1936 โรเซอเวลต์ได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งซ้ำ ใน ค.ศ. 1937 เขาไม่สามารถขยายขนาดศาลสูงสุดได้ และในปีเดียวกันนั้นเองก็มีการก่อตั้งพันธมิตรอนุรักษนิยมเพื่อขัดขวางการดำเนินโครงการและการปฏิรูปสัญญาใหม่ต่อไป โครงการและกฎหมายสำคัญที่ยังคงอยู่ซึ่งนำมาใช้ในสมัยของโรเซอเวลต์ ได้แก่ คณะกรรมาธิการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์, รัฐบัญญัติแรงงานสัมพันธ์แห่งชาติ, บรรษัทประกันเงินฝากกลาง และประกันสังคม ใน ค.ศ. 1940 เขาประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งซ้ำ ก่อนจะมีการกำหนดการจำกัดวาระอย่างเป็นทางการ
หลังจากที่ญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 โรเซอเวลต์ได้ขอประกาศสงครามต่อญี่ปุ่น เมื่อคู่พันธมิตรฝ่ายอักษระของญี่ปุ่น นาซีเยอรมนีและฟาสซิสต์ ประกาศสงครามต่อสหรัฐในวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1941 เขาก็ได้ขอการประกาศสงครามเพิ่มเติมจากรัฐสภาสหรัฐ เขาทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้นำชาติอื่น ๆ ในการนำฝ่ายสัมพันธมิตรต่อสู้กับฝ่ายอักษะ โรเซอเวลต์ดูแลการระดมเศรษฐกิจอเมริกันเพื่อสนับสนุนความพยายามในสงครามและนำยุทธศาสตร์ยุโรปมาก่อนมาใช้ เขายังริเริ่มการพัฒนาระเบิดปรมาณูลูกแรกและทำงานร่วมกับผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรคนอื่น ๆ เพื่อวางรากฐานสำหรับสหประชาชาติและสถาบันหลังสงครามอื่น ๆ โดยเขาเป็นผู้บัญญัติคำว่า "สหประชาชาติ"[2] โรเซอเวลต์ชนะการเลือกตั้งซ้ำใน ค.ศ. 1944 แต่ถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1945 หลังสุขภาพร่างกายของเขาทรุดโทรมลงอย่างหนักและต่อเนื่องในช่วงปีสงคราม นับตั้งแต่นั้นมา การกระทำหลายอย่างของเขาได้รับข้อวิจารณ์ เช่น คำสั่งกักกันชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม การจัดอันดับทางประวัติศาสตร์ยังคงจัดให้เขาอยู่ในสามสุดยอดประธานาธิบดีอเมริกัน และเขามักถูกยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์ของเสรีนิยมอเมริกัน
ชีวิตช่วงต้น
[แก้]ปฐมวัย
[แก้]
แฟรงคลิน เดลาโน โรเซอเวลต์ เกิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1882 ที่ไฮด์พาร์ก รัฐนิวยอร์ก เป็นบุตรชายของเจมส์ โรเซอเวลต์ที่ 1 นักธุรกิจ และซารา แอนน์ เดลาโน ภรรยาคนที่สองของเขา บิดามารดาของเขามีศักดิ์เป็นญาติกันในลำดับที่หก[3] และมาจากครอบครัวร่ำรวยและมีชื่อเสียงในนิวยอร์ก ตระกูลโรเซอเวลต์และเดลาโน โดยอาศัยอยู่ที่บ้านพักขนาดใหญ่ชื่อสปริงวูด ทางตอนใต้ของศูนย์ประวัติศาสตร์ไฮด์พาร์ก[4] เจมส์เป็นบูร์บงเดโมแครตที่มีชื่อเสียงซึ่งครั้งหนึ่งเคยพาแฟรงคลินไปพบกับประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในการพบกันครั้งนั้น คลีฟแลนด์กล่าวว่า: "พ่อหนุ่มน้อย ฉันขออวยพรแปลก ๆ ให้เธออย่างหนึ่ง นั่นคือขอให้เธอไม่ต้องเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐเลย"[5] ซารา มารดาของแฟรงคลิน ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างมากในช่วงต้นของชีวิตเขา เคยประกาศว่า "แฟรงคลินลูกชายของฉันเป็นคนตระกูลเดลาโน ไม่ใช่คนตระกูลโรเซอเวลต์เลย"[3][6] เจมส์ ซึ่งมีอายุ 54 ปีเมื่อแฟรงคลินเกิด ถูกมองว่าเป็นบิดาที่ไม่ค่อยใกล้ชิดนัก แม้เจมส์ แมกเกรเกอร์ เบินส์ นักเขียนชีวประวัติจะระบุว่าเจมส์มีปฏิสัมพันธ์กับบุตรชายมากกว่าที่คนทั่วไปทำในยุคนั้น[7] แฟรงคลินมีพี่ชายต่างมารดาหนึ่งคน เจมส์ โรเซอเวลต์ "โรซี" โรเซอเวลต์ ซึ่งเกิดจากการแต่งงานครั้งก่อนของบิดา[4]
การศึกษาและอาชีพช่วงต้น
[แก้]ในวัยเด็ก โรเซอเวลต์เรียนรู้ที่จะขี่ม้า ยิงปืน แล่นเรือใบ และเล่นโปโล เทนนิส และกอล์ฟ[8][9] การเดินทางไปยุโรปบ่อยครั้ง—เริ่มตั้งแต่อายุสองปีและระหว่างอายุเจ็ดถึงสิบห้าปี—ช่วยให้โรเซอเวลต์สามารถสื่อสารภาษาเยอรมันและฝรั่งเศสได้ดี ยกเว้นการเข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาลในเยอรมนีเมื่ออายุเก้าปี[10] โรเซอเวลต์ได้รับการศึกษาที่บ้านโดยผู้สอนส่วนตัวจนกระทั่งอายุ 14 ปี หลังจากนั้นเขาเข้าเรียนที่โรงเรียนโกรตัน โรงเรียนประจำของคริสตจักรเอพิสโคพัลในโกรตัน รัฐแมสซาชูเซตส์[11] เขาไม่ได้เป็นหนึ่งในนักเรียนโกรตันที่ได้รับความนิยมมากนัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักกีฬาที่เก่งกว่าและมีนิสัยชอบแหกคอก[12] เอนดิคอต พีบอดี ครูใหญ่ของโรงเรียน ได้เทศนาเกี่ยวกับหน้าที่ของชาวคริสต์ในการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและสนับสนุนให้นักเรียนของเขาเข้ารับราชการสาธารณะ พีบอดีเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างมากตลอดชีวิตของโรเซอเวลต์ โดยเป็นผู้ประกอบพิธีในงานแต่งงานของเขาและไปเยี่ยมเขาขณะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี[13][14]
เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่ที่โกรตัน โรเซอเวลต์เข้าเรียนที่วิทยาลัยฮาร์วาร์ด[12] เขาเป็นสมาชิกของสมาคมอัลฟาเดลตาไฟ[15] และฟลายคลับ[16] และทำหน้าที่เป็นผู้นำเชียร์ของโรงเรียน[17] โรเซอเวลต์ไม่ได้มีความโดดเด่นในฐานะนักศึกษาหรือนักกีฬา แต่เขากลายเป็นบรรณาธิการบริหารของหนังสือพิมพ์รายวัน The Harvard Crimson ซึ่งต้องใช้ความทะเยอทะยาน พลังงาน และความสามารถในการจัดการผู้อื่น[18] เขาเคยกล่าวในภายหลังว่า "ผมเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยเป็นเวลาสี่ปี และทุกสิ่งที่ผมได้รับการสอนนั้นผิดทั้งหมด"[19]
บิดาของโรเซอเวลต์เสียชีวิตใน ค.ศ. 1900 สร้างความทุกข์ใจอย่างมากแก่เขา[20] ปีต่อมา ทีโอดอร์ โรเซอเวลต์ ลูกพี่ลูกน้องคนที่ห้าของเขาก็ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ รูปแบบความเป็นผู้นำที่กระฉับกระเฉงและความมุ่งมั่นในการปฏิรูปของทีโอดอร์ทำให้เขากลายเป็นแบบอย่างและวีรบุรุษของแฟรงคลิน[21] เขาสำเร็จการศึกษาจากฮาร์วาร์ดในสามปีใน ค.ศ. 1903 ด้วยปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต[22] เขายังคงอยู่ที่นั่นอีกปีเพื่อเรียนหลักสูตรบัณฑิตศึกษา[23] เช่นเดียวกับทีโอดอร์ เขาเป็นสมาชิกของสโมสรนักสำรวจ[24]
โรเซอเวลต์เข้าเรียนที่โรงเรียนกฎหมายโคลัมเบียใน ค.ศ. 1904 แต่ลาออกใน ค.ศ. 1907 หลังสอบผ่านการเป็นทนายความของรัฐนิวยอร์ก[25][b] ใน ค.ศ. 1908 เขาเข้ารับงานกับสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียงอย่าง Carter Ledyard & Milburn โดยทำงานในแผนกกฎหมายพาณิชยนาวี[27]
โรเซอเวลต์เป็นนักสะสมแสตมป์ตัวยงซึ่งเริ่มงานอดิเรกนี้ตั้งแต่อายุแปดปี และทำต่อเนื่องไปจนถึงวัยผู้ใหญ่และอาชีพการเมืองของเขา ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้กระตุ้นความสนใจในการสะสมแสตมป์ไปทั่วประเทศ ตั้งแต่ทศวรรษ 1930 ทำเนียบขาวได้เผยแพร่ภาพถ่ายจำนวนมากขณะที่เขากำลังดูแสตมป์ เขาใช้เวลาในแต่ละวันทำงานกับคอลเลกชันของเขา และยังทำงานร่วมกับเจมส์ เอ. ฟาร์ลีย์ นายไปรษณีย์ใหญ่ เกี่ยวกับการออกแบบ สี และหัวข้อของดไปรษณีย์สหรัฐ ว่ากันว่าเมื่อเขาป่วยเป็นโปลิโอ งานอดิเรกนี้ได้ให้ความสบายใจและช่วยให้จิตใจของเขาไม่หมกมุ่นอยู่กับความเจ็บป่วยในช่วงเวลาว่าง[28]
การแต่งงาน ครอบครัว และความสัมพันธ์นอกสมรส
[แก้]ในช่วงปีที่สองของการเรียนมหาวิทยาลัย โรเซอเวลต์ได้พบและขอแต่งงานกับทายาทบอสตัน อลิซ โซเฮียร์ แต่เธอปฏิเสธ[12] แฟรงคลินจึงเริ่มสานสัมพันธ์กับคนรู้จักในวัยเด็กและลูกพี่ลูกน้องชั้นที่ห้าที่ถูกลดสถานะไปหนึ่งขั้น เอลิเนอร์ โรเซอเวลต์ หลานสาวของทีโอดอร์ โรเซอเวลต[29] ใน ค.ศ. 1903 แฟรงคลินได้ขอเอลิเนอร์แต่งงาน แม้จะได้รับการต่อต้านจากมารดาของเขา แต่แฟรงคลินและเอลิเนอร์ โรเซอเวลต์ก็แต่งงานกันเมื่อวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 1905[12][30] ทีโอดอร์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ได้เป็นผู้ส่งตัวเจ้าสาวให้ (เนื่องจากเอลเลียต บิดาของเอลินอร์เสียชีวิตแล้ว)[31] คู่บ่าวสาวได้ย้ายเข้าไปอยู่ในสปริงวูด ซารา โรเซอเวลต์ มารดาของแฟรงคลิน ยังได้จัดหาทาวน์เฮาส์ในนครนิวยอร์กให้สำหรับคู่บ่าวสาว และสร้างบ้านของตนเองไว้ข้าง ๆ ทาวน์เฮาส์หลังนั้น เอลินอร์ไม่เคยรู้สึกเหมือนอยู่บ้านในบ้านที่ไฮด์พาร์กหรือนครนิวยอร์กเลย อย่างไรก็ตาม เธอชอบบ้านพักตากอากาศของครอบครัวบนเกาะแคมโปเบลโล ซึ่งเป็นของขวัญจากซาราเช่นกัน[32]

เบินส์ระบุว่าแฟรงคลิน โรเซอเวลต์ในวัยหนุ่มมีความมั่นใจในตัวเองและเข้ากับชนชั้นสูงได้ง่าย ในทางกลับกัน เอลิเนอร์เป็นคนขี้อายและไม่ชอบชีวิตสังคม ในช่วงแรก เอลินอร์อยู่บ้านเพื่อเลี้ยงดูลูก ๆ ของพวกเขา[33] เช่นเดียวกับที่บิดาของเขาเคยทำ แฟรงคลินปล่อยให้ภรรยาดูแลเรื่องการเลี้ยงลูก และเอลิเนอร์ก็มอบหมายหน้าที่นี้ให้แก่พี่เลี้ยงเด็ก ภายหลังเธอระบุว่าเธอไม่รู้เรื่อง "การอุ้มหรือการให้อาหารทารกเลย"[34] พวกเขามีบุตรด้วยกันหกคน ได้แก่ แอนนา, เจมส์ และเอลเลียต ซึ่งเกิดใน ค.ศ. 1906, 1907, และ 1910 ตามลำดับ บุตรชายคนที่สอง ของทั้งคู่ซึ่งมีชื่อว่าแฟรงคลิน เสียชีวิตตั้งแต่ยังเป็นทารกใน ค.ศ. 1909 บุตรชายอีกคนหนึ่งซึ่งมีชื่อว่าแฟรงคลินเช่นกัน เกิดใน ค.ศ. 1914 และบุตรคนสุดท้อง จอห์น เกิดใน ค.ศ. 1916[35]
โรเซอเวลต์มีความสัมพันธ์นอกสมรสหลายครั้ง เขาเริ่มมีความสัมพันธ์กับลูซี เมอร์เซอร์ เลขาฯ ส่วนตัวของเอลิเนอร์ หลังจากที่เธอเข้ามาทำงานใน ค.ศ. 1914 ความสัมพันธ์นี้ถูกเอลิเนอร์ค้นพบใน ค.ศ. 1918[36] แฟรงคลินคิดจะหย่ากับเอลิเนอร์ แต่ซาราคัดค้าน และเมอร์เซอร์ก็ไม่ยอมแต่งงานกับผู้ชายที่หย่าร้างและมีลูกห้าคน[37] แฟรงคลินและเอลิเนอร์ยังคงแต่งงานกันอยู่ และแฟรงคลินสัญญาว่าจะไม่พบเมอร์เซอร์อีก เอลิเนอร์ไม่เคยให้อภัยเขาสำหรับเรื่องชู้สาวครั้งนี้ และการแต่งงานของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเป็นหุ้นส่วนทางการเมือง[38] เอลิเนอร์สร้างบ้านแยกต่างหากที่วัล-คิลในไฮด์พาร์กและทุ่มเทให้กับกิจกรรมทางสังคมและการเมืองที่เป็นอิสระจากสามีของเธอ ความแตกแยกทางอารมณ์ในการแต่งงานรุนแรงมาก จนกระทั่งเมื่อแฟรงคลินขอให้เอลิเนอร์กลับมาอยู่กับเขาอีกครั้งใน ค.ศ. 1942—เนื่องจากสุขภาพที่ย่ำแย่ของเขา—เธอปฏิเสธ[39] โรเซอเวลต์ไม่ได้รับรู้ถึงการมาเยือนทำเนียบขาวของเอลิเนอร์เสมอไป และในช่วงหนึ่ง เอลิเนอร์ไม่สามารถโทรศัพท์หาโรเซอเวลต์ได้ง่าย ๆ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเลขาฯ ของเขา ในทางกลับกัน แฟรงคลินก็ไม่ได้ไปเยี่ยมอพาร์ตเมนต์ของเอลิเนอร์ในนครนิวยอร์กจนกระทั่งปลาย ค.ศ. 1944[40]
แฟรงคลินทำลายสัญญาที่ให้ไว้กับเอลิเนอร์เกี่ยวกับลูซี เมอร์เซอร์ โดยเขาและเมอร์เซอร์ยังคงติดต่อกันอย่างเป็นทางการและเริ่มกลับมาพบกันอีกครั้งภายใน ค.ศ. 1941[41][42] เอลเลียต บุตรชายของโรเซอเวลต์ อ้างว่าบิดาของเขามีความสัมพันธ์ยาวนาน 20 ปีกับมาร์เกอริต เลอแฮนด์[43] บุตรชายอีกคน เจมส์ ระบุว่า "มีความเป็นไปได้จริงที่ความสัมพันธ์เชิงชู้สาวมีอยู่จริง" ระหว่างบิดาของเขากับมาร์ธา มกุฎราชกุมารีแห่งนอร์เวย์ ซึ่งประทับอยู่ในทำเนียบขาวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้ช่วยต่างเรียกเธอในขณะนั้นว่า "แฟนสาวของประธานาธิบดี"[44] และข่าวซุบซิบนินทาที่เชื่อมโยงทั้งสองคนในเชิงชู้สาวก็ปรากฏในหนังสือพิมพ์ด้วย[45]
อาชีพการเมืองช่วงต้น (ค.ศ. 1910–1920)
[แก้]วุฒิสมาชิกรัฐนิวยอร์ก (ค.ศ. 1910–1913)
[แก้]
โรเซอเวลต์ไม่ค่อยสนใจการประกอบอาชีพด้านกฎหมายนักและบอกเพื่อนฝูงว่าเขาตั้งใจจะเข้าสู่แวดวงการเมือง[46] แม้จะชื่นชมทีโอดอร์ ลูกพี่ลูกน้องของเขา แต่แฟรงคลินมีความผูกพันกับพรรคเดโมแครตเหมือนบิดาของเขา และเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง ค.ศ. 1910 พรรคจึงชักชวนโรเซอเวลต์ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสมัชชารัฐนิวยอร์ก[47] โรเซอเวลต์เป็นผู้สมัครที่น่าสนใจ: เขามีบุคลิกและพลังงานสำหรับการหาเสียงและมีเงินทุนสำหรับค่าใช้จ่ายในการหาเสียงของตนเอง[48] แต่การหาเสียงสำหรับสมัชชารัฐต้องยุติลงหลังจากลูอิส สไตเวซานต์ แชนเลอร์ สมาชิกเดโมแครตคนเดิมเลือกลงสมัครรับเลือกตั้งซ้ำ แทนที่จะระงับความหวังทางการเมืองของเขาไว้ โรเซอเวลต์จึงหันไปลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก วุฒิสภารัฐนิวยอร์ก[49] เขตวุฒิสภา ซึ่งตั้งอยู่ในเทศมณฑลดัตเชส โคลัมเบีย และพัตนัม เป็นเขตที่รีพับลิกันแข็งแกร่ง[50] โรเซอเวลต์กลัวว่าการต่อต้านจากทีโอดอร์อาจทำให้การหาเสียงของเขาสิ้นสุดลง แต่ทีโอดอร์กลับให้กำลังใจเขาแม้จะมีความแตกต่างทางพรรค[47] โรเซอเวลต์ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการหาเสียงของตนเอง โดยเดินทางไปทั่วเขตวุฒิสภาด้วยรถยนต์ในช่วงเวลาที่มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถซื้อรถได้[51] ด้วยการหาเสียงที่ดุดัน[52] ชื่อเสียงของเขาจึงเป็นที่รู้จักในบริเวณฮัดสันแวลลีย์ และในการเลือกตั้งสหรัฐ ค.ศ. 1910 ซึ่งเป็นชัยชนะของพรรคเดโมแครตอย่างถล่มทลาย โรเซอเวลต์ก็ได้รับชัยชนะอย่างน่าประหลาดใจ[53]
แม้ว่าสมัยการประชุมสภานิติบัญญัติจะสั้น แต่โรเซอเวลต์ถือว่าตำแหน่งใหม่นี้เป็นอาชีพเต็มเวลา[54] เขาเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1911 โรเซอเวลต์ในไม่ช้าก็กลายเป็นผู้นำของกลุ่ม "ผู้ไม่ฝักใฝ่" (Insurgents) ในการต่อต้านกลุ่มแทมมานีฮอล (Tammany Hall) ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือพรรคเดโมแครตของรัฐ ในการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกสหรัฐ ค.ศ. 1911 ซึ่งตัดสินโดยการประชุมร่วมของสภานิติบัญญัติรัฐนิวยอร์ก[c] โรเซอเวลต์และสมาชิกเดโมแครตอีกสิบเก้าคนทำให้เกิดทางตันที่ยืดเยื้อ ด้วยการคัดค้านผู้สมัครที่ได้รับการสนับสนุนจากแทมมานีฮอล ในที่สุดแทมมานีฮอลก็หันไปสนับสนุนเจมส์ เอ. โอ'กอร์แมน ผู้พิพากษาที่ได้รับความเคารพซึ่งโรเซอเวลต์ยอมรับได้ และโอ'กอร์แมนก็ชนะการเลือกตั้งในปลายเดือนมีนาคม[55] จากกระบวนการนี้ โรเซอเวลต์กลายเป็นบุคคลที่ได้รับความนิยมในหมู่ชาวเดโมแครตนิวยอร์ก[53] บทความข่าวและการ์ตูนล้อเลียนพรรณนาถึง "การกลับมาครั้งที่สองของโรเซอเวลต์" ที่ทำให้ "แทมมานี หนาวสั่นไปถึงสันหลัง"[56]
หลังได้รับเลือกเป็นวุฒิสมาชิกรัฐนิวยอร์กได้ไม่นาน โรเซอเวลต์ก็เข้าร่วมเป็นฟรีเมสันเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 1911 ที่ฮอลแลนด์ลอดจ์ หมายเลข 8 ในนครนิวยอร์ก[57]
โรเซอเวลต์ยังต่อต้านแทมมานีฮอลด้วยการสนับสนุนวูดโรว์ วิลสัน ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์ ให้ได้รับเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตใน ค.ศ. 1912[58] การเลือกตั้งครั้งนั้นกลายเป็นการแข่งขันแบบสามทาง เมื่อทีโอดอร์ โรเซอเวลต์ออกจากพรรครีพับลิกันเพื่อลงสมัครในนามพรรคที่สามต่อสู้กับวิลสันและประธานาธิบดีรีพับลิกันคนปัจจุบัน วิลเลียม ฮาวเวิร์ด แทฟต์ การตัดสินใจของแฟรงคลินที่จะสนับสนุนวิลสันเหนือลูกพี่ลูกน้องของเขาในการเลือกตั้งทั่วไปทำให้ครอบครัวบางคนไม่พอใจ ยกเว้นทีโอดอร์[59] โรเซอเวลต์เอาชนะอาการป่วยด้วยไข้ไทฟอยด์ในปีนั้น และด้วยความช่วยเหลือจากนักข่าว ลูอิส แมกเฮนรี ฮาว เขาได้รับเลือกตั้งซ้ำในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1912 หลังการเลือกตั้ง เขาทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการเกษตรกรรม ความสำเร็จของเขาในเรื่องร่างกฎหมายเกี่ยวกับไร่นาและแรงงานเป็นลางบอกเหตุถึงนโยบายสัญญาใหม่[60] ในช่วงนั้นเองเขาก็กลายเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้าอย่างสม่ำเสมอมากขึ้น โดยสนับสนุนโครงการด้านแรงงานและสวัสดิการสังคม[61]
รัฐมนตรีช่วยว่าการทบวงทหารเรือ (ค.ศ. 1913–1919)
[แก้]
การสนับสนุนวูดโรว์ วิลสันของโรเซอเวลต์นำไปสู่การแต่งตั้งให้เขาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการทบวงทหารเรือในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1913 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่อันดับสองในทบวงทหารเรือรองจากรัฐมนตรีโจเซฟัส แดเนียลส์ ซึ่งไม่ค่อยให้ความสนใจในตำแหน่งนี้มากนัก[62] โรเซอเวลต์มีความรักในกองทัพเรือ อ่านเรื่องเกี่ยวกับกองทัพเรือมามาก และเป็นผู้สนับสนุนกองกำลังขนาดใหญ่และมีประสิทธิภาพอย่างกระตือรือร้น[63][64] ด้วยการสนับสนุนจากวิลสัน แดเนียลส์และโรเซอเวลต์ได้จัดตั้งระบบการเลื่อนตำแหน่งตามความสามารถและขยายการควบคุมของพลเรือนเหนือหน่วยงานอิสระของกองทัพเรือ[65] โรเซอเวลต์ดูแลพนักงานพลเรือนของกองทัพเรือและได้รับความเคารพจากผู้นำสหภาพแรงงานสำหรับความเป็นธรรมในการแก้ไขข้อพิพาท[66] ไม่มีการประท้วงเกิดขึ้นในช่วงเจ็ดปีเศษที่เขาดำรงตำแหน่ง[67] ซึ่งทำให้เขาได้รับประสบการณ์อันมีค่าในประเด็นด้านแรงงาน การบริหารในยามสงคราม ปัญหาทางทะเล และการขนส่ง[68]
ใน ค.ศ. 1914 โรเซอเวลต์ลงสมัครรับเลือกตั้งวุฒิสมาชิกนิวยอร์กแทนเอลิฮู รูตที่กำลังจะเกษียณ แม้เขาจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐมนตรีคลัง วิลเลียม กิบบส์ แมกอาดู และผู้ว่าการมาร์ติน เอช. กลินน์ แต่เขาต้องเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เจมส์ ดับเบิลยู. เจอราร์ด จากแทมมานีฮอล[69] เขายังไม่ได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีวิลสัน เนื่องจากประธานาธิบดีต้องการกำลังของแทมมานีเพื่อผ่านร่างกฎหมายและการเลือกตั้งซ้ำใน ค.ศ. 1916[70] โรเซอเวลต์พ่ายแพ้อย่างราบคาบในการเลือกตั้งขั้นต้นของพรรคเดโมแครตให้กับเจอราร์ด ซึ่งต่อมาเจอราร์ดก็พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งทั่วไปให้กับเจมส์ วอลคอตต์ แวดส์เวิร์ท จูเนียร์จากพรรครีพับลิกัน เขาได้เรียนรู้ว่าเพียงแค่การอุปถัมภ์ของรัฐบาลกลางเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการสนับสนุนจากทำเนียบขาว ไม่สามารถเอาชนะองค์กรท้องถิ่นที่แข็งแกร่งได้[71] หลังการเลือกตั้ง เขาและชาลส์ แฟรนซิส เมอร์ฟี หัวหน้าแทมมานีฮอล ได้หาทางประนีประนอมและกลายเป็นพันธมิตรกัน[72]
โรเซอเวลต์กลับไปให้ความสำคัญกับทบวงทหารเรืออีกครั้งเมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุขึ้นในยุโรปในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914[73] แม้เขาจะยังคงให้การสนับสนุนวิลสันต่อสาธารณะ แต่โรเซอเวลต์ก็เห็นอกเห็นใจขบวนการเตรียมพร้อม (Preparedness Movement) ซึ่งผู้นำให้การสนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างแข็งขันและเรียกร้องให้มีการสร้างกองทัพ[74] คณะบริหารวิลสันเริ่มขยายกองทัพเรือหลังการจมเรืออาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย (RMS Lusitania) โดยเรือดำน้ำเยอรมัน และโรเซอเวลต์ได้ช่วยก่อตั้งกองหนุนกองทัพเรือสหรัฐและสภาป้องกันประเทศ[75] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1917 หลังจากที่เยอรมนีประกาศว่าจะทำสงครามเรือดำน้ำแบบไม่จำกัดและโจมตีเรือของสหรัฐหลายลำ รัฐสภาได้อนุมัติการเรียกร้องของวิลสันให้ประกาศสงครามต่อเยอรมนี[76]
โรเซอเวลต์ขออนุญาตไปรับราชการเป็นนายทหารเรือ แต่วิลสันยืนกรานให้เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการต่อไป ในปีถัดมา โรเซอเวลต์ยังคงอยู่ในวอชิงตันเพื่อประสานงานการจัดกำลังพลทางทะเล เนื่องจากกองทัพเรือขยายตัวถึงสี่เท่า[77][78] ในฤดูร้อน ค.ศ. 1918 โรเซอเวลต์เดินทางไปยุโรปเพื่อตรวจสอบการตั้งฐานทัพเรือและพบปะเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสและอังกฤษ เนื่องด้วยความสัมพันธ์ของเขากับทีโอดอร์ โรเซอเวลต์ เขาได้รับการต้อนรับอย่างโดดเด่นเมื่อพิจารณาถึงยศที่ค่อนข้างต่ำของเขา โดยได้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัวเป็นเวลานานกับพระเจ้าจอร์จที่ 5 และนายกรัฐมนตรีเดวิด ลอยด์ จอร์จ และฌอร์ฌ เกลม็องโซ รวมถึงการเยี่ยมชมสนามรบที่แวร์เดิง[79] ในเดือนกันยายน ระหว่างการเดินทางกลับสหรัฐทางเรือ เขาป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ระบาดพร้อมภาวะแทรกซ้อนปอดบวม[80] ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถทำงานได้หนึ่งเดือน[79]
หลังเยอรมนีลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918 แดเนียลส์และโรเซอเวลต์ได้ควบคุมการลดกำลังพลของกองทัพเรือ[81] โรเซอเวลต์ได้ออกคำสั่งส่วนตัวให้รักษากองการบินทหารเรือไว้ แม้จะมีการทัดทานจากนายทหารอาวุโส เช่น พลเรือเอก วิลเลียม เอส. เบนสัน ซึ่งอ้างว่าเขา "ไม่สามารถนึกถึงประโยชน์ใด ๆ ที่กองทัพเรือจะมีต่อการบินได้เลย"[82] เมื่อวาระของคณะบริหารวิลสันใกล้จะสิ้นสุดลง โรเซอเวลต์ได้วางแผนลงสมัครรับตำแหน่งอีกครั้ง เขาได้ทาบทามเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์เกี่ยวกับการเสนอชื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ค.ศ. 1920 โดยมีโรเซอเวลต์เป็นคู่สมัครรองประธานาธิบดี[83]
การหาเสียงรองประธานาธิบดี (ค.ศ. 1920)
[แก้]
แผนของโรเซอเวลต์ที่ต้องการให้ฮูเวอร์ลงสมัครรับเลือกตั้งพังทลายลงหลังจากฮูเวอร์ประกาศตนเองว่าเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกันต่อสาธารณะ แต่โรเซอเวลต์ตัดสินใจแสวงหาตำแหน่งรองประธานาธิบดีในการเสนอชื่อ ค.ศ. 1920 หลังจากที่ผู้ว่าการเจมส์ เอ็ม. ค็อกซ์ แห่งรัฐโอไฮโอ ได้รับเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรคสำหรับการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในที่ประชุมใหญ่แห่งชาติพรรคเดโมแครต ค.ศ. 1920 เขาได้เลือกโรเซอเวลต์เป็นคู่สมัคร และที่ประชุมได้เสนอชื่อเขาด้วยการปรบมือสนับสนุน[84] แม้การเสนอชื่อของเขาจะทำให้คนส่วนใหญ่ประหลาดใจ แต่เขาก็ช่วยสร้างความสมดุลให้กับตั๋วผู้สมัครในฐานะสายกลาง ผู้สนับสนุนวิลสัน และผู้สนับสนุนการห้ามสุราที่มีชื่อเสียง[85][86] โรเซอเวลต์ ซึ่งขณะนั้นอายุ 38 ปี ได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ หลังการประชุมใหญ่พรรคเดโมแครตและได้ลงพื้นที่หาเสียงทั่วประเทศให้กับพรรค[87]
ระหว่างการหาเสียง ค็อกซ์และโรเซอเวลต์ได้ปกป้องรัฐบาลวิลสันและสันนิบาตชาติ ซึ่งทั้งสองอย่างไม่เป็นที่นิยมใน ค.ศ. 1920[88] โรเซอเวลต์สนับสนุนการที่สหรัฐเป็นสมาชิกของสันนิบาตชาติเป็นการส่วนตัว แต่ต่างจากวิลสันคือเขาเห็นด้วยกับการประนีประนอมกับวุฒิสมาชิกเฮนรี แคบอต ลอดจ์ และกลุ่ม "สนับสนุนการสงวนสิทธิ" อื่น ๆ[89] ในที่สุด วาร์เรน จี. ฮาร์ดิงและแคลวิน คูลิดจ์จากพรรครีพับลิกันก็เอาชนะตั๋วผู้สมัครค็อกซ์–โรเซอเวลต์ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีด้วยคะแนนที่ทิ้งห่างอย่างมาก โดยชนะทุกรัฐยกเว้นทางใต้[90] โรเซอเวลต์ยอมรับความพ่ายแพ้และภายหลังได้ทบทวนว่าความสัมพันธ์และไมตรีจิตที่เขาสร้างขึ้นในการหาเสียง ค.ศ. 1920 ได้กลายเป็นทรัพย์สินสำคัญในการหาเสียง ค.ศ. 1932 ของเขา การเลือกตั้ง ค.ศ. 1920 ยังเป็นครั้งแรกที่เอลิเนอร์ โรเซอเวลต์ ภรรยาของเขามีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะ โดยได้รับการสนับสนุนจากลูอิส ฮาว และสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในฐานะผู้เล่นทางการเมืองที่มีคุณค่า[91] หลังการเลือกตั้ง โรเซอเวลต์กลับไปนครนิวยอร์ก ที่ซึ่งเขาทำงานด้านกฎหมายและดำรงตำแหน่งรองประธานของบริษัท Fidelity and Deposit Company[92]
โรคอัมพาตและการกลับมาทางการเมือง (ค.ศ. 1921–1928)
[แก้]
โรเซอเวลต์พยายามสร้างแรงสนับสนุนเพื่อกลับมาสู่การเมืองในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1922 แต่การทำงานของเขากลับต้องสะดุดลงเพราะอาการป่วย[92] การป่วยนี้เริ่มต้นขณะที่ครอบครัวโรเซอเวลต์กำลังพักผ่อนที่เกาะแคมโปเบลโลในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1921 โรเซอเวลต์เป็นอัมพาตถาวรตั้งแต่ช่วงเอวลงไปและได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น โปลิโอ อย่างไรก็ตาม การศึกษาใน ค.ซ. 2003 ชี้ให้เห็นว่าอาจเป็นโรคกิลแลง–บาร์เร[93] แต่บรรดานักประวัติศาสตร์ยังคงอธิบายอาการอัมพาตของเขาตามการวินิจฉัยเบื้องต้น[94][95][96][97]
แม้มารดาของเขาต้องการให้เขาเกษียณจากชีวิตสาธารณะ แต่โรเซอเวลต์ ภรรยาของเขา และลูอิส ฮาว เพื่อนสนิทและที่ปรึกษาของโรเซอเวลต์ ล้วนตั้งใจให้เขาทำงานการเมืองต่อไป[98] เขาทำให้หลายคนเชื่อว่าเขากำลังมีอาการดีขึ้น ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นสิ่งสำคัญก่อนที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง[99] เขาฝึกฝนการเดินในระยะทางสั้น ๆ ด้วยตัวเองอย่างอุตสาหะ โดยสวมเหล็กดามที่สะโพกและขา และหมุนลำตัวขณะใช้ไม้เท้าช่วยพยุง[100] เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ถูกพบเห็นว่าใช้รถเข็นในที่สาธารณะ และระมัดระวังอย่างมากที่จะป้องกันไม่ให้สื่อนำเสนอภาพที่เน้นย้ำถึงความพิการของเขา[101] โดยปกติแล้วเขาจะปรากฏตัวในที่สาธารณะด้วยการยืนตัวตรง โดยมีผู้ช่วยหรือลูกชายคนใดคนหนึ่งช่วยประคองด้านข้าง[102]
ตั้งแต่ ค.ศ. 1925 โรเซอเวลต์ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ทางตอนใต้ของสหรัฐ โดยตอนแรกอาศัยบนเรือนแพชื่อลารูโช (Larooco)[103] ด้วยความสนใจในศักยภาพของวารีบำบัด เขาจึงก่อตั้งศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพที่วอร์มสปริงส์ รัฐจอร์เจีย ใน ค.ศ. 1926 โดยรวบรวมทีมงานนักกายภาพบำบัดและใช้มรดกส่วนใหญ่ของเขาซื้อโรงเตี๊ยมแมร์ริเวเทอร์ (Merriweather Inn) ต่อมาใน ค.ศ. 1938 เขาได้ก่อตั้งมูลนิธิแห่งชาติเพื่อโรคอัมพาตในวัยเด็ก ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาวัคซีนโปลิโอ[104]
โรเซอเวลต์ยังคงมีบทบาทในการเมืองของรัฐนิวยอร์กในขณะเดียวกันก็สร้างความสัมพันธ์ในภาคใต้ โดยเฉพาะในจอร์เจีย ในทศวรรษ 1920[105] เขาออกจดหมายเปิดผนึกเพื่อสนับสนุนอัล สมิธ ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ค.ศ. 1922 ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสมิธและแสดงให้เห็นว่าโรเซอเวลต์ยังคงมีความสำคัญในฐานะบุคคลทางการเมือง[106] โรเซอเวลต์และสมิธมาจากพื้นเพที่ต่างกันและไม่เคยไว้วางใจกันอย่างเต็มที่ แต่โรเซอเวลต์สนับสนุนนโยบายก้าวหน้าของสมิธ ขณะที่สมิธก็ยินดีที่ได้รับการสนับสนุนจากโรเซอเวลต์[107]

โรเซอเวลต์กล่าวสุนทรพจน์เสนอชื่อสมิธเป็นผู้สมัครประธานาธิบดีในที่ประชุมใหญ่แห่งชาติพรรคเดโมแครต ค.ศ. 1924 และ 1928 โดยสุนทรพจน์ในการประชุม ค.ศ. 1924 ถือเป็นการกลับคืนสู่ชีวิตสาธารณะของเขาหลังการป่วยและพักฟื้น[108] ในปีนั้น พรรคเดโมแครตแตกแยกอย่างหนักระหว่างฝ่ายในเมืองนำโดยสมิธ กับฝ่ายอนุรักษนิยมในชนบทนำโดยวิลเลียม กิบส์ แมกอาดู ในการลงคะแนนครั้งที่ 101 ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อคือจอห์น ดับเบิลยู. เดวิส ผู้สมัครสายประนีประนอม แต่พ่ายแพ้อย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 1924 เช่นเดียวกับหลาย ๆ คน โรเซอเวลต์ไม่ได้งดเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงยุคห้ามสุรา แต่ในที่สาธารณะเขาพยายามหาทางประนีประนอมในประเด็นนี้ที่ยอมรับได้สำหรับทั้งสองฝ่ายของพรรค[109]
ใน ค.ศ. 1925 สมิธแต่งตั้งโรเซอเวลต์ให้เป็นกรรมการในคณะกรรมาธิการอุทยานแห่งรัฐเทคอนิก และเพื่อนร่วมงานได้เลือกเขาเป็นประธาน[110] ในบทบาทนี้ เขาขัดแย้งกับรอเบิร์ต โมเสส ผู้ซึ่งเป็นศิษย์ของสมิธ[110] และเป็นกำลังสำคัญเบื้องหลังคณะกรรมาธิการอุทยานแห่งรัฐลองไอแลนด์และสภาอุทยานรัฐนิวยอร์ก[110] โรเซอเวลต์กล่าวหาโมเสสว่าใช้ชื่อเสียงของบุคคลสำคัญรวมถึงตัวเขาเองเพื่อหาเสียงสนับสนุนอุทยานของรัฐ แต่กลับเปลี่ยนเส้นทางเงินทุนไปยังอุทยานที่โมเสสชื่นชอบบนเกาะลอง ขณะที่โมเสสพยายามขัดขวางการแต่งตั้งฮาวให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการของคณะกรรมาธิการเทคอนิกโดยมีเงินเดือน[110] โรเซอเวลต์ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการจนถึงสิ้น ค.ศ. 1928[111] และความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกับโมเสสยังคงดำเนินต่อไปในขณะที่อาชีพของพวกเขาก้าวหน้า[112]
ใน ค.ศ. 1923 เอ็ดเวิร์ด บ็อก ได้ก่อตั้งรางวัลสันติภาพอเมริกันมูลค่า 100,000 ดอลลาร์สำหรับแผนที่ดีที่สุดเพื่อนำมาซึ่งสันติภาพโลก โรเซอเวลต์มีเวลาว่างและมีความสนใจ จึงได้ร่างแผนสำหรับการประกวดนี้ แต่เขาไม่เคยส่งแผนดังกล่าวเนื่องจากเอลิเนอร์ได้รับเลือกเป็นกรรมการตัดสินรางวัล แผนของเขากำหนดให้มีองค์กรโลกใหม่ที่จะมาแทนที่สันนิบาตชาติ[113] แม้โรเซอเวลต์จะเคยเป็นผู้สมัครรองประธานาธิบดีในพรรคเดโมแครต ค.ศ. 1920 ที่สนับสนุนสันนิบาตชาติ แต่เมื่อถึง ค.ศ. 1924 เขาก็พร้อมที่จะยกเลิกมัน ร่าง "สมาคมประชาชาติ" ของเขาได้ยอมรับข้อสงวนที่เสนอโดย เฮนรี แคบอต ลอดจ์ ในการอภิปรายของวุฒิสภา ค.ศ. 1919 สมาคมใหม่นี้จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับซีกโลกตะวันตก ที่ซึ่งลัทธิมอนโรมีอิทธิพลเหนือกว่า และจะไม่มีการควบคุมกองกำลังทหารใด ๆ แม้แผนของโรเซอเวลต์จะไม่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่เขาได้คิดเกี่ยวกับปัญหานี้อย่างมาก และได้รวมเอาแนวคิดบางส่วนใน ค.ศ. 1924 ของเขาไปสู่การออกแบบสหประชาชาติใน ค.ศ. 1944–1945[114]
ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก (ค.ศ. 1929–1932)
[แก้]
สมิธ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1928 ได้ขอให้โรเซอเวลต์ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ในการเลือกตั้งรัฐ ค.ศ. 1928[115] โรเซอเวลต์ปฏิเสธในตอนแรกเนื่องจากเขาไม่อยากออกจาก วอร์มสปริงส์และกลัวความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของพรรครีพับลิกัน[116] ผู้นำพรรคจึงโน้มน้าวเขาในที่สุดว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่จะเอาชนะผู้สมัครผู้ว่าการรัฐจากพรรครีพับลิกัน อัลเบิร์ต ออตติงเจอร์ อัยการสูงสุดรัฐนิวยอร์กได้[117] เขาได้รับเลือกเป็นผู้สมัครผู้ว่าการรัฐของพรรคด้วยการโห่รับอย่างกึกก้องและได้ขอให้ฮาวมาเป็นผู้นำการหาเสียงอีกครั้งโดยมีซามูเอล โรเซนแมน, แฟรนเซส เพอร์กินส์ และเจมส์ ฟาร์ลีย์ร่วมรณรงค์หาเสียงด้วย[118] แม้สมิธจะแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างถล่มทลายและพ่ายแพ้ในรัฐบ้านเกิดตนเอง แต่โรเซอเวลต์ก็ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าการรัฐด้วยคะแนนที่เฉียดฉิวเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์[119] และกลายเป็นผู้ท้าชิงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไป[120]
โรเซอเวลต์เสนอการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำและแก้ไขวิกฤตการณ์เกษตรกรรมที่ดำเนินอยู่ในช่วงทศวรรษ 1920[121] ความสัมพันธ์ระหว่างโรเซอเวลต์กับสมิธแย่ลงหลังจากที่เขาเลือกที่จะไม่เก็บผู้ที่สมิธแต่งตั้งคนสำคัญไว้ เช่น โมเสส[122] เขากับภรรยา เอลิเนอร์ ได้ทำความเข้าใจกันสำหรับช่วงเวลาที่เหลือในอาชีพของเขาว่าเธอจะทำหน้าที่เป็นภรรยาของผู้ว่าการรัฐอย่างเต็มที่ แต่ก็จะมีอิสระในการดำเนินตามวาระและผลประโยชน์ของเธอเองด้วย[123] เขายังเริ่มจัดรายการ "สนทนาข้างเตาผิง" (Fireside Chats) ซึ่งเขาพูดคุยกับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งโดยตรงผ่านวิทยุ บ่อยครั้งเป็นการกดดันสภานิติบัญญัติรัฐนิวยอร์กให้ดำเนินตามวาระของเขา[124]
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1929 ตลาดหุ้นวอลสตรีตล่มและภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ก็เริ่มต้นขึ้นในสหรัฐ[125] โรเซอเวลต์เห็นถึงความร้ายแรงของสถานการณ์และได้ตั้งคณะกรรมาธิการการจ้างงานแห่งรัฐ เขายังเป็นผู้ว่าการรัฐคนแรกที่สนับสนุนความคิดเรื่องประกันการว่างงานอย่างเปิดเผย[126]
เมื่อโรเซอเวลต์เริ่มรณรงค์หาเสียงเพื่อดำรงตำแหน่งวาระที่สองในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1930 เขาได้ย้ำหลักการของเขาจากการหาเสียงเมื่อสองปีก่อนว่า: "รัฐบาลที่ก้าวหน้าโดยตัวมันเองแล้วต้องเป็นสิ่งที่มีชีวิตและเติบโต การต่อสู้เพื่อสิ่งนั้นไม่มีวันสิ้นสุด และถ้าเราผ่อนปรนแม้เพียงชั่วขณะเดียวหรือหนึ่งปี เราจะไม่เพียงแต่หยุดนิ่ง แต่เราจะถอยหลังในการเดินหน้าของอารยธรรม"[127] เขาได้รับเลือกตั้งเป็นวาระที่สองด้วยคะแนนที่ทิ้งห่างถึง 14 เปอร์เซ็นต์[128]
โรเซอเวลต์เสนอชุดบรรเทาทุกข์ทางเศรษฐกิจและการตั้งองค์การบรรเทาทุกข์ฉุกเฉินชั่วคราวเพื่อแจกจ่ายเงินทุนเหล่านั้น ภายใต้การนำของเจสซี ไอ. สเตราส์ในช่วงแรก และต่อมาคือแฮร์รี ฮอปกินส์ หน่วยงานนี้ได้ช่วยเหลือประชากรกว่าหนึ่งในสามของรัฐนิวยอร์กระหว่าง ค.ศ. 1932 ถึง 1938[129] ใน ค.ศ. 1930 โรเซอเวลต์ผ่านร่างกฎหมายในสภานิติบัญญัติเพื่อสร้างประกันสำหรับผู้สูงอายุในรัฐนิวยอร์กที่มีอายุเกิน 70 ปี[130] เขาสนับสนุนการปลูกป่าด้วยการแก้ไขฮิวอิตต์ใน ค.ศ. 1931 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของระบบป่าไม้รัฐนิวยอร์ก[131] โรเซอเวลต์ยังริเริ่มการสอบสวนการทุจริตในนครนิวยอร์กในหมู่ตุลาการ ตำรวจ และองค์กรอาชญากรรม นำไปสู่การก่อตั้งคณะกรรมาธิการซีเบอรี การสอบสวนของซีเบอรีได้เปิดโปงเครือข่ายการกรรโชก นำไปสู่การปลดเจ้าหน้าที่รัฐหลายคนออกจากตำแหน่ง และทำให้ความเสื่อมของแทมมานีฮอลเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้[132]
การเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 1932
[แก้]
เมื่อใกล้ถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 1932 โรเซอเวลต์หันมาให้ความสนใจกับการเมืองระดับชาติ ได้จัดตั้งทีมหาเสียงที่นำโดยฮาวและฟาร์ลีย์ รวมถึง "กลุ่มมันสมอง (brain trust)" ที่ปรึกษาด้านนโยบาย ส่วนใหญ่ประกอบด้วยศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียและฮาร์วาร์ด[133] บางคนก็ไม่เชื่อมั่นในโอกาสของเขามากนัก เช่น วอลเตอร์ ลิปป์แมนน์ คอลัมนิสต์ทางการเมืองผู้ทรงอิทธิพล ซึ่งกล่าวว่า: "เขาเป็นคนน่าคบหาที่อยากเป็นประธานาธิบดีมาก ๆ โดยไม่มีคุณสมบัติสำคัญใด ๆ สำหรับตำแหน่งนี้เลย"[134]
อย่างไรก็ตาม ความพยายามของโรเซอเวลต์ในฐานะผู้ว่าการรัฐในการแก้ไขผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในรัฐของเขา ทำให้เขาเป็นตัวเต็งสำหรับการเสนอชื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ค.ศ. 1932[134] โรเซอเวลต์รวบรวมผู้สนับสนุนสายก้าวหน้าของคณะบริหารวิลสันพร้อมทั้งดึงดูดกลุ่มอนุรักษนิยมจำนวนมาก ทำให้เขากลายเป็นผู้สมัครชั้นนำในภาคใต้และภาคตะวันตก คู่แข่งหลักของโรเซอเวลต์มาจากกลุ่มอนุรักษนิยมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จอห์น แนนซ์ การ์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรรัฐเท็กซัส และอัล สมิธ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตใน ค.ศ. 1928[134]
โรเซอเวลต์เข้าสู่การประชุมใหญ่พรรคพร้อมกับคะแนนเสียงของคณะผู้แทนที่นำหน้าด้วยความสำเร็จในการเลือกตั้งขั้นต้นของพรรคเดโมแครต ค.ศ. 1932 แต่คณะผู้แทนส่วนใหญ่ไม่ได้ผูกมัดกับผู้สมัครคนใดเป็นพิเศษ ในการลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีครั้งแรก โรเซอเวลต์ได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้แทนมากกว่าครึ่ง แต่ไม่ถึงสองในสาม โดยมีสมิธตามมาในอันดับที่ห่างไกล โรเซอเวลต์จึงให้คำมั่นว่าจะเสนอชื่อการ์เนอร์เป็นรองประธานาธิบดี ซึ่งการ์เนอร์ควบคุมคะแนนเสียงจากรัฐเท็กซัสและแคลิฟอร์เนียไว้ การ์เนอร์จึงหันมาสนับสนุนโรเซอเวลต์หลังการลงคะแนนครั้งที่สาม และโรเซอเวลต์ก็ได้รับการเสนอชื่อในการลงคะแนนครั้งที่สี่[134] โรเซอเวลต์บินจากนิวยอร์กไปยังชิคาโกทันทีที่ทราบว่าเขาได้รับเลือกเป็นผู้สมัคร ซึ่งทำให้เขาเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคใหญ่คนแรกที่รับการเสนอชื่อด้วยตัวเอง[135] การปรากฏตัวของเขามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาแข็งแรงและกระฉับกระเฉง แม้จะมีปัญหาทางร่างกาย[134]
ในสุนทรพจน์ตอบรับการเสนอชื่อ โรเซอเวลต์ประกาศว่า: "ผมให้คำมั่นต่อท่าน ผมให้คำมั่นต่อตัวเองถึงสัญญาใหม่สำหรับอเมริกันชน... นี่เป็นมากกว่าการหาเสียงทางการเมือง แต่เป็นการเรียกร้องให้จับอาวุธ"[136] โรเซอเวลต์ให้คำมั่นว่าจะมีการกำกับดูแลหลักทรัพย์ การลดพิกัดอัตราศุลกากร การบรรเทาทุกข์สำหรับเกษตรกร งานสาธารณะที่ได้รับทุนจากรัฐบาล และการดำเนินการอื่น ๆ ของรัฐบาลเพื่อแก้ไขภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่[137] เพื่อสะท้อนความเห็นของสาธารณชนที่เปลี่ยนไป แนวนโยบายของพรรคเดโมแครตรวมถึงการเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายห้ามสุรา โรเซอเวลต์เองไม่ได้แสดงจุดยืนต่อสาธารณะในประเด็นนี้ก่อนการประชุมใหญ่แต่สัญญาว่าจะยึดมั่นในแนวนโยบายของพรรค[138] อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การหาเสียงหลักของโรเซอเวลต์คือความระมัดระวัง โดยตั้งใจที่จะหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่จะทำให้ความสนใจหันเหไปจากความล้มเหลวทางเศรษฐกิจของฮูเวอร์ คำแถลงการณ์ของเขามุ่งโจมตีประธานาธิบดีคนปัจจุบันและไม่มีนโยบายหรือโครงการเฉพาะอื่น ๆ[134]
หลังการประชุมใหญ่ โรเซอเวลต์ได้รับการรับรองจากพรรครีพับลิกันสายก้าวหน้าหลายคน รวมถึงจอร์จ ดับเบิลยู. นอร์ริส, ไฮแรม จอห์นสัน และรอเบิร์ต ลาฟอลเล็ตต์ จูเนียร์[139] เขายังได้คืนดีกับฝ่ายอนุรักษนิยมของพรรค และแม้แต่อัล สมิธก็ยังถูกโน้มน้าวให้สนับสนุนเดโมแครต[140] การจัดการกับกองทัพโบนัสของฮูเวอร์ทำให้ความนิยมของประธานาธิบดีคนปัจจุบันเสียหายมากขึ้น เนื่องจากหนังสือพิมพ์ทั่วประเทศวิพากษ์วิจารณ์การใช้กำลังเพื่อสลายกลุ่มทหารผ่านศึกที่มาชุมนุม[141]

โรเซอเวลต์ได้รับคะแนนเสียงจากประชาชน 57% และได้รับชัยชนะในทุกรัฐยกเว้นเพียงหกรัฐ นักประวัติศาสตร์และนักรัฐศาสตร์ถือว่าการเลือกตั้ง ค.ศ. 1932–36 เป็นการจัดแนวทางการเมืองใหม่ ชัยชนะของโรเซอเวลต์เกิดขึ้นได้จากการสร้างพันธมิตรสัญญาใหม่ ซึ่งประกอบด้วยเกษตรกรรายย่อย คนผิวขาวทางใต้ ชาวคาทอลิก กลไกทางการเมืองในเมืองใหญ่ สหภาพแรงงาน ชาวอเมริกันผิวดำทางเหนือ (ชาวใต้ยังถูกกีดกันสิทธิออกเสียง) ชาวยิว ปัญญาชน และเสรีนิยมทางการเมือง[142] การสร้างพันธมิตรสัญญาใหม่ได้เปลี่ยนแปลงการเมืองอเมริกันและเริ่มสิ่งที่นักรัฐศาสตร์เรียกว่า "ระบบพรรคสัญญาใหม่" หรือ "ระบบพรรคที่ห้า" (Fifth Party System)"[143] ระหว่างสงครามกลางเมืองถึง ค.ศ. 1929 พรรคเดโมแครตแทบจะไม่เคยควบคุมทั้งสองสภาของรัฐสภาและชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเพียงสี่จากสิบเจ็ดครั้ง แต่ตั้งแต่ ค.ศ. 1932 ถึง 1979 พรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีแปดจากสิบสองครั้งและโดยทั่วไปก็ควบคุมทั้งสองสภาของรัฐสภา[144]
การเปลี่ยนผ่านและความพยายามลอบสังหาร
[แก้]โรเซอเวลต์ได้รับเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1932 แต่ก็เช่นเดียวกับประธานาธิบดีคนก่อนหน้า เขาจะยังไม่เข้ารับตำแหน่งจนกระทั่งถึงเดือนมีนาคมปีถัดไป[d] หลังการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีฮูเวอร์พยายามโน้มน้าวให้โรเซอเวลต์ยกเลิกนโยบายหาเสียงส่วนใหญ่และให้สนับสนุนนโยบายของคณะบริหารฮูเวอร์[145] โรเซอเวลต์ปฏิเสธคำขอของฮูเวอร์ที่จะพัฒนาร่วมกันเพื่อหยุดยั้งภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ โดยให้เหตุผลว่ามันจะผูกมัดการทำงานของเขาและฮูเวอร์เองก็มีอำนาจดำเนินการอยู่แล้ว[146]
ในช่วงการเปลี่ยนผ่านอำนาจ โรเซอเวลต์เลือกฮาวเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ และฟาร์ลีย์เป็นนายไปรษณีย์ใหญ่ แฟรนเซส เพอร์กินส์ได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีแรงงาน ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งคณะรัฐมนตรี[134] วิลเลียม เอช. วูดิน นักอุตสาหกรรมรีพับลิกันที่ใกล้ชิดกับโรเซอเวลต์ ได้รับเลือกเป็นรัฐมนตรีคลัง ในขณะที่โรเซอเวลต์เลือกวุฒิสมาชิกคอร์เดล ฮัลล์ แห่งรัฐเทนเนสซี เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ แฮโรลด์ แอล. อิกส์และเฮนรี เอ. วอลเลซ นักปฏิรูปจากพรรครีพับลิกัน ถูกเลือกเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยและรัฐมนตรีเกษตรตามลำดับ[147]
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1933 โรเซอเวลต์รอดพ้นจากการพยายามลอบสังหารโดยจูเซปปี ซังการา ผู้ซึ่งแสดงความเกลียดชัง "ต่อผู้ปกครองทุกคน" ขณะที่เขากำลังพยายามยิงโรเซอเวลต์ ซังการาถูกผู้หญิงคนหนึ่งใช้กระเป๋าถือฟาด กระสุนจึงไปโดนนายกเทศมนตรีชิคาโก แอนทอน เซอร์แมก ที่นั่งอยู่ข้างโรเซอเวลต์จนได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงแก่ชีวิต[148][149]
การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี (ค.ศ. 1933–1945)
[แก้]ในฐานะประธานาธิบดี โรเซอเวลต์ได้แต่งตั้งคนที่มีความสามารถสูงให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล อย่างไรก็ตาม เขาตัดสินใจเรื่องสำคัญทั้งหมดของคณะรัฐบาลด้วยตัวเขาเอง โดยไม่คำนึงถึงความล่าช้า ความไร้ประสิทธิภาพ หรือความไม่พอใจใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการทำเช่นนั้น เมื่อวิเคราะห์รูปแบบการบริหารงานของประธานาธิบดี เบินส์สรุปไว้ว่า:
ประธานาธิบดีคงไว้ซึ่งอำนาจในการควบคุมคณะบริหารของเขา...โดยการใช้ทั้งอำนาจตามกฎหมายและอำนาจที่ไม่เป็นทางการในฐานะประธานคณะผู้บริหารอย่างเต็มที่; โดยการยกระดับเป้าหมาย สร้างแรงผลักดัน สร้างแรงบันดาลใจในความภักดีส่วนบุคคล และดึงสิ่งที่ดีที่สุดออกมาจากผู้คน...โดยการจงใจส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกของการแข่งขันและการขัดแย้งทางความคิดในหมู่ผู้ช่วยของเขาที่นำไปสู่ความยุ่งเหยิง ความผิดหวัง และความโกรธ แต่ก็ทำให้เกิดพลังในการบริหารและประกายความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วย...โดยการมอบหมายงานเดียวให้คนหลายคนทำ และมอบหมายงานหลายอย่างให้คนเดียวทำ ซึ่งเป็นการเสริมความแข็งแกร่งในตำแหน่งของเขาเองในฐานะศาลอุทธรณ์ แหล่งรวบรวมข้อมูล และเครื่องมือในการประสานงาน; โดยการละเลยหรือข้ามหน่วยงานที่ต้องตัดสินใจร่วมกัน เช่น คณะรัฐมนตรี... และทำเช่นนี้อยู่เสมอด้วยการชักจูง ยกยอ จัดการ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ปรับเปลี่ยน ประสานงาน ไกล่เกลี่ย และการบงการ[150]
วาระแรกและวาระที่สอง (ค.ศ. 1933–1941)
[แก้]เมื่อโรเซอเวลต์เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1933 สหรัฐอยู่ในจุดต่ำสุดของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ อัตราการว่างงานสูงถึงหนึ่งในสี่ของกำลังแรงงานทั้งหมด และเกษตรกรประสบปัญหาอย่างหนักเนื่องจากราคาสินค้าเกษตรลดลงถึง 60% การผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่งนับตั้งแต่ ค.ศ. 1929 และมีประชากรถึงสองล้านคนไร้ที่อยู่อาศัย ภายในเย็นวันที่ 4 มีนาคม มีถึง 32 จาก 48 รัฐ รวมถึงเขตโคลัมเบีย ได้สั่งปิดธนาคารของตน[151]
นักประวัติศาสตร์จัดหมวดหมู่โครงการของโรเซอเวลต์เป็น "บรรเทาทุกข์ ฟื้นฟู และปฏิรูป" การบรรเทาทุกข์เป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนสำหรับผู้ว่างงาน การฟื้นฟูหมายถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับสู่ภาวะปกติ และการปฏิรูปเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับระบบการเงินและการธนาคาร ผ่านรายการ "สนทนาข้างเตาผิง" ทั้งหมด 30 ครั้ง โรเซอเวลต์นำเสนอข้อเสนอของเขาต่อสาธารณชนอเมริกันโดยตรงในรูปแบบของการพูดทางวิทยุ[152] ด้วยพลังจากชัยชนะของเขาเองที่มีต่ออาการป่วยอัมพาต เขาได้ใช้การมองโลกในแง่ดีและความกระตือรือร้นอย่างต่อเนื่องเพื่อฟื้นฟูจิตวิญญาณของชาติ[153]
สัญญาใหม่แรก (ค.ศ. 1933–1934)
[แก้]ในวันที่สองของการเข้ารับตำแหน่ง โรเซอเวลต์ได้ประกาศ "วันหยุดธนาคาร" ทั่วประเทศเป็นเวลาสี่วัน เพื่อยุติการแห่ถอนเงินของผู้ฝาก[154] เขาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในวันที่ 9 มีนาคม ซึ่งรัฐสภาได้ผ่านรัฐบัญญัติการธนาคารฉุกเฉินแทบจะในทันทีโดยไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด[154] รัฐบัญญัติดังกล่าว เดิมพัฒนาขึ้นครั้งแรกโดยคณะบริหารฮูเวอร์และนายธนาคารวอลสตรีต ให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีในการตัดสินใจเปิดและปิดธนาคาร และอนุญาตให้ธนาคารกลางสหรัฐออกธนบัตรได้[155] "100 วันแรก" ของรัฐสภาสหรัฐชุดที่ 73 ได้เห็นการออกกฎหมายในปริมาณที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและกลายเป็นมาตรฐานที่ใช้เปรียบเทียบกับประธานาธิบดีในอนาคต[156][157] เมื่อธนาคารเปิดทำการอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 15 มีนาคม ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์และในสัปดาห์ต่อมามีเงินมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ไหลกลับเข้าสู่ตู้เซฟธนาคาร เป็นการยุติการตื่นภัยในธนาคาร[154] วันที่ 22 มีนาคม โรเซอเวลต์ได้ลงนามในรัฐบัญญัติคัลเลน–แฮร์ริสัน ซึ่งเป็นการยุติการห้ามสุรา[158]
โรเซอเวลต์ตั้งหน่วยงานและมาตรการหลายอย่างที่ออกแบบมาเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ว่างงานและผู้อื่น องค์การบรรเทาทุกข์ฉุกเฉินกลางภายใต้การนำของแฮร์รี ฮอปกินส์ ได้แจกจ่ายความช่วยเหลือไปยังรัฐบาลของรัฐต่าง ๆ[159] องค์การโยธาธิการ (PWA) ภายใต้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แฮโรลด์ อิกส์ ดูแลการก่อสร้างโครงการสาธารณะขนาดใหญ่ เช่น เขื่อน สะพาน และโรงเรียน[159] องค์การไฟฟ้าชนบท (REA) นำไฟฟ้าไปสู่บ้านเรือนนับล้านในชนบทเป็นครั้งแรก[154] หน่วยงานสัญญาใหม่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและเป็นที่ชื่นชอบของโรเซอเวลต์คือหน่วยอนุรักษ์พลเรือน (CCC) ซึ่งจ้างคนว่างงาน 250,000 คนสำหรับโครงการในชนบท โรเซอเวลต์ยังขยายบรรษัทการเงินเพื่อการฟื้นฟูของฮูเวอร์ ซึ่งให้เงินทุนแก่รถไฟและอุตสาหกรรม รัฐสภาให้อำนาจควบคุมอย่างกว้างขวางแก่คณะกรรมาธิการการค้ากลางและให้ความช่วยเหลือด้านจำนองแก่เกษตรกรและเจ้าของบ้านหลายล้านคน โรเซอเวลต์ยังตั้งองค์การปรับปรุงการเกษตรเพื่อเพิ่มราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยการจ่ายเงินให้เกษตรกรปล่อยให้ที่ดินไม่ได้เพาะปลูกและลดจำนวนปศุสัตว์[160] นโยบายเหล่านี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในบางกรณี เนื่องจากมีการไถกลบพืชผลและฆ่าปศุสัตว์โดยเจตนาอันเป็นผลมาจากนโยบาย[154]
การปฏิรูปเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายของรัฐบัญญัติฟื้นฟูอุตสาหกรรมแห่งชาติ (NIRA) ค.ศ. 1933 ซึ่งพยายามยุติการแข่งขันที่รุนแรงด้วยการบังคับให้อุตสาหกรรมกำหนดกฎเกณฑ์ เช่น ราคาขั้นต่ำ ข้อตกลงไม่แข่งขัน และข้อจำกัดการผลิต ผู้นำอุตสาหกรรมเจรจากฎเกณฑ์กับเจ้าหน้าที่ NIRA ซึ่งระงับกฎหมายต่อต้านการผูกขาดเพื่อแลกกับค่าจ้างที่ดีขึ้น ศาลสูงสุดประกาศให้ NIRA ขัดต่อรัฐธรรมนูญในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1935 สร้างความไม่พอใจแก่โรเซอเวลต์[161] เขาปฏิรูปกฎระเบียบการเงินด้วยรัฐบัญญัติกลาส–สตีกอล ซึ่งก่อตั้งบรรษัทประกันเงินฝากกลาง (FDIC) เพื่อค้ำประกันเงินฝากออมทรัพย์ รัฐบัญญัติดังกล่าวยังจำกัดความสัมพันธ์ระหว่างธนาคารพาณิชย์และบริษัทหลักทรัพย์[162] ใน ค.ศ.1934 มีการก่อตั้งคณะกรรมาธิการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เพื่อกำกับดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์ ขณะที่คณะกรรมาธิการการสื่อสารกลางถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อกำกับดูแลโทรคมนาคม[163]
NIRA รวมถึงการใช้จ่าย $3.3 พันล้าน (เทียบเท่า $77.67 พันล้านในปี 2023) ผ่านองค์การโยธาธิการ (PWA) เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ[164] โรเซอเวลต์ทำงานร่วมกับวุฒิสมาชิกนอร์ริสเพื่อสร้างรัฐวิสาหกิจอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา องค์การหุบเขาเทนเนสซี (TVA) ซึ่งสร้างเขื่อนและโรงไฟฟ้า ควบคุมน้ำท่วม และปรับปรุงการเกษตรและสภาพความเป็นอยู่ของบ้านเรือนให้ทันสมัยในหุบเขาเทนเนสซีที่ยากจน อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านในพื้นที่วิจารณ์ TVA ว่าทำให้ผู้คนหลายพันคนต้องพลัดถิ่นจากโครงการเหล่านี้[154] กรมอนุรักษ์ดินฝึกอบรมเกษตรกรในวิธีการเพาะปลูกที่เหมาะสม และด้วย TVA นี้เอง โรเซอเวลต์จึงกลายเป็นบิดาแห่งการอนุรักษ์ดิน[154] คำสั่งฝ่ายบริหารที่ 6102 ประกาศว่าทองคำทั้งหมดที่ถือครองโดยพลเมืองอเมริกันจะต้องถูกขายแก่กระทรวงการคลังสหรัฐและมีการเพิ่มราคาทองคำจาก $20 เป็น $35 ต่อออนซ์[165] เป้าหมายคือเพื่อต่อต้านภาวะเงินฝืดที่ทำให้เศรษฐกิจเป็นอัมพาต[166]
โรเซอเวลต์พยายามทำตามสัญญาหาเสียงด้วยการ ตัดงบประมาณรัฐบาลกลาง นี่รวมถึงการลดค่าใช้จ่ายทางทหารจาก $752 ล้านใน ค.ศ. 1932 เหลือ $531 ล้านใน ค.ศ. 1934 และการตัดค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการทหารผ่านศึก 40% ทหารผ่านศึกและม่าย 500,000 คนถูกถอดจากบัญชีเงินบำนาญ และมีการลดสวัสดิการสำหรับคนอื่น ๆ เงินเดือนของรัฐบาลกลางถูกตัด และมีการลดค่าใช้จ่ายในการวิจัยและการศึกษา กลุ่มทหารผ่านศึกมีการรวมตัวและประท้วงอย่างรุนแรง ดังนั้นสวัสดิการส่วนใหญ่จึงถูกกู้คืนหรือเพิ่มขึ้นภายใน ค.ศ. 1934[167] กลุ่มทหารผ่านศึก เช่น อเมริกันลีเจียน (American Legion) และทหารผ่านศึกในสงครามต่างประเทศ (Veterans of Foreign Wars) ชนะการรณรงค์เพื่อเปลี่ยนสวัสดิการของพวกเขาจากเงินที่ครบกำหนดจ่ายใน ค.ศ. 1945 ให้เป็นเงินสดทันที เมื่อรัฐสภาลบล้างการยับยั้งของประธานาธิบดีและผ่านรัฐบัญญัติโบนัส (Bonus Act) ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1936[168] ซึ่งเป็นการอัดฉีดเงินจำนวนเท่ากับ 2% ของ GDP เข้าสู่เศรษฐกิจผู้บริโภคและมีผลกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมาก[169]
สัญญาใหม่ที่สอง (ค.ศ. 1935–1936)
[แก้]
โรเซอเวลต์คาดว่าพรรคของเขาจะเสียที่นั่งในการเลือกตั้งรัฐสภา ค.ศ. 1934 เหมือนกับที่พรรคของประธานาธิบดีส่วนใหญ่เคยประสบในการเลือกตั้งกลางวาระครั้งก่อน ๆ แต่ปรากฏว่าพรรคเดโมแครตกลับได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นแทน การที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเช่นนี้ ทำให้วาระแรกของโรเซอเวลต์ในรัฐสภาชุดที่ 74 คือการสร้างโครงการประกันสังคม[170] รัฐบัญญัติประกันสังคมก่อตั้งระบบประกันสังคมและให้คำมั่นในเรื่องความมั่นคงทางเศรษฐกิจสำหรับผู้สูงอายุ ผู้ยากไร้ และผู้ป่วย โรเซอเวลต์ยืนยันว่าควรให้ทุนจากภาษีค่าจ้างแทนที่จะมาจากเงินกองทุนทั่วไป โดยกล่าวว่า "เรากำหนดให้มีการจ่ายเงินสมทบจากเงินเดือนเพื่อให้ผู้จ่ายเงินสมทบมีสิทธิทางกฎหมาย ศีลธรรม และการเมือง ในการรับเงินบำนาญและสิทธิประโยชน์การว่างงานของพวกเขา เมื่อมีภาษีเหล่านั้นอยู่ จะไม่มีนักการเมืองสารเลวคนไหนสามารถทำลายโครงการประกันสังคมของผมได้"[171] เมื่อเทียบกับระบบประกันสังคมในประเทศยุโรปตะวันตก รัฐบัญญัติประกันสังคม ค.ศ. 1935 นั้นค่อนข้างอนุรักษนิยม แต่เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลกลางรับผิดชอบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของผู้สูงอายุ ผู้ว่างงานชั่วคราว เด็กในอุปการะ และผู้พิการ อย่างไรก็ตาม การกระทำดังกล่าวได้ยกเว้นเกษตรกร คนทำงานบ้าน และกลุ่มอื่น ๆ คิดเป็นประมาณร้อยละสี่สิบของแรงงาน ซึ่งขัดกับความตั้งใจดั้งเดิมของโรเซอเวลต์ที่ต้องการให้ครอบคลุมทุกคน[172]
โรเซอเวลต์ได้รวมองค์กรบรรเทาทุกข์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน แม้ว่าบางองค์กร เช่น PWA จะยังคงมีอยู่ หลังได้รับอนุมัติจากรัฐสภาสำหรับการระดมทุนเพิ่มเติมเพื่อบรรเทาทุกข์แล้ว เขาได้ก่อตั้งองค์การบริหารความคืบหน้างาน (WPA) ภายใต้การนำของ แฮร์รี ฮอปกินส์ WPA ได้ว่าจ้างผู้คนมากกว่าสามล้านคนในปีแรกของการดำเนินงาน โดยได้ดำเนินโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่จำนวนมากโดยร่วมมือกับรัฐบาลท้องถิ่น นอกจากนี้ยังได้ก่อตั้งองค์การบริหารเยาวชนแห่งชาติและองค์กรด้านศิลปะต่าง ๆ[173]

รัฐบัญญัติแรงงานสัมพันธ์แห่งชาติรับประกันสิทธิของคนงานในการร่วมเจรจาต่อรองผ่านสหภาพแรงงานที่พวกเขาเลือก รัฐบัญญัติยังได้จัดตั้งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์แห่งชาติ (NLRB) เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำข้อตกลงค่าจ้างและปราบปรามความไม่สงบของแรงงานซ้ำ ๆ กฎหมายไม่ได้บังคับให้นายจ้างต้องบรรลุข้อตกลงกับลูกจ้าง แต่เป็นการเปิดโอกาสให้แก่แรงงานอเมริกัน[174] ผลลัพธ์ที่ตามมาคือการเติบโตอย่างมหาศาลของจำนวนสมาชิกสหภาพแรงงาน โดยเฉพาะในภาคการผลิตขนาดใหญ่[175] เมื่อการนั่งประท้วงหยุดงานที่ฟลินต์คุกคามการผลิตของเจเนรัลมอเตอร์ โรเซอเวลต์ได้ทำลายแบบแผนที่ประธานาธิบดีคนก่อน ๆ เคยทำไว้และปฏิเสธการเข้าแทรกแซง ท้ายที่สุด การประท้วงดังกล่าวก็ทำให้นำไปสู่การตั้งสหภาพแรงงานของทั้งเจเนรัลมอเตอร์และคู่แข่งในอุตสาหกรรมยานยนต์อเมริกัน[176]
ขณะที่สัญญาใหม่แรกใน ค.ศ. 1933 ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากภาคส่วนส่วนใหญ่ แต่สัญญาใหม่ที่สองกลับถูกท้าทายจากภาคธุรกิจ เดโมแครตสายอนุรักษนิยม นำโดยอัล สมิธ ตอบโต้ด้วยการก่อตั้งสันนิบาตเสรีภาพอเมริกัน โดยโจมตีโรเซอเวลต์อย่างรุนแรงและเปรียบเทียบเขากับสังคมนิยม[177] แต่สมิธทำพลาดในการใช้คำพูดที่เกินจริง และวาทศิลป์ที่รุนแรงของเขากลับทำให้โรเซอเวลต์สามารถโดดเดี่ยวคู่ต่อสู้และระบุว่าพวกเขาคือกลุ่มผลประโยชน์ร่ำรวยที่ต่อต้านสัญญาใหม่ เป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้โรเซอเวลต์คว้าชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1936[177] ตรงกันข้าม สหภาพแรงงานที่ได้รับพลังจากกฎหมายแรงงาน ได้รับสมาชิกใหม่หลายล้านคนและกลายเป็นผู้สนับสนุนหลักในการเลือกตั้งซ้ำของโรเซอเวลต์ใน ค.ศ. 1936, 1940 และ 1944[178]
เบินส์ชี้ให้เห็นว่าการตัดสินใจด้านนโยบายของโรเซอเวลต์ได้รับคำแนะนำจากปฏิบัตินิยมมากกว่าอุดมการณ์และเขากล่าวว่าโรเซอเวลต์ "เป็นเหมือนแม่ทัพของกองทัพจรยุทธ์ที่ทัพของเขากำลังต่อสู้โดยมองไม่เห็นในภูเขาผ่านร่องลึกและพุ่มไม้หนาแน่น จู่ ๆ ก็มารวมกัน ส่วนหนึ่งตามแผนและอีกส่วนโดยบังเอิญ และออกมาสู่ที่ราบเบื้องล่าง"[179] โรเซอเวลต์แย้งว่าวิธีการที่ดูเหมือนไม่มีแบบแผนเช่นนี้เป็นสิ่งจำเป็น เขาเขียนว่า "ประเทศต้องการ และถ้าผมไม่เข้าใจผิดถึงอารมณ์ของมัน ประเทศก็ต้องการการทดลองที่กล้าหาญและไม่หยุดหย่อน" เขากล่าวต่อว่า "เป็นเรื่องของสามัญสำนึกที่จะใช้วิธีการและลองทำ หากล้มเหลวก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาแล้วลองวิธีอื่น แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ให้ลองทำอะไรสักอย่าง"[180]
การเลือกตั้ง ค.ศ. 1936
[แก้]
ใน ค.ศ. 1936 คนงานแปดล้านคนยังคงว่างงาน และแม้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะดีขึ้นนับตั้งแต่ ค.ศ. 1932 แต่ก็ยังคงซบเซา ใน ค.ศ. 1936 โรเซอเวลต์ได้สูญเสียการสนับสนุนที่เขาเคยได้รับจากชุมชนธุรกิจเนื่องจากการสนับสนุนของเขาที่มีต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์แห่งชาติ (NLRB) และ รัฐบัญญัติประกันสังคม[134] รีพับลิกันมีผู้สมัครทางเลือกเพียงเล็กน้อยและเสนอชื่ออัลฟ์ แลนดอน ผู้ว่าการรัฐแคนซัสซึ่งเป็นผู้สมัครที่ไม่มีชื่อเสียงและจืดชืด โอกาสของเขาเสียหายจากการกลับมาปรากฏตัวต่อสาธารณะของเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ ซึ่งยังคงไม่เป็นที่นิยม[181] ขณะที่โรเซอเวลต์หาเสียงด้วยโครงการสัญญาใหม่ของเขาและโจมตีฮูเวอร์อย่างต่อเนื่อง แลนดอนพยายามเอาชนะใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เห็นด้วยกับเป้าหมายของสัญญาใหม่แต่ไม่เห็นด้วยกับการนำไปปฏิบัติ[182]
ความพยายามของวุฒิสมาชิกลุยเซียนา ฮิวอี ลอง ในการก่อตั้งพรรคที่สามฝ่ายซ้ายได้ล้มเหลวลงหลังการลอบสังหารลองใน ค.ศ. 1935 ส่วนที่เหลือโดยการช่วยเหลือของบาทหลวงชาลส์ คัฟลิน ได้สนับสนุนวิลเลียม เลมเคอ แห่งพรรคสหภาพที่ก่อตั้งขึ้นใหม่[183] โรเซอเวลต์ได้รับเลือกเป็นผู้สมัครอีกครั้งโดยแทบไม่มีการคัดค้านในการประชุมใหญ่แห่งชาติพรรคเดโมแครต ค.ศ. 1936 ขณะที่พันธมิตรของเขาเอาชนะการต่อต้านจากรัฐทางใต้เพื่อยกเลิกกฎที่กำหนดให้ผู้สมัครประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตต้องชนะคะแนนเสียงจากผู้แทนสองในสามแทนที่จะเป็นเพียงเสียงส่วนใหญ่ธรรมดา ซึ่งเป็นกฎที่มีมาอย่างยาวนาน[e]
ในการเลือกตั้งสู้กับแลนดอนและผู้สมัครจากพรรคที่สาม โรเซอเวลต์ชนะด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 60.8 และชนะในทุกรัฐยกเว้นรัฐเมนและเวอร์มอนต์[185] ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตได้รับสัดส่วนคะแนนนิยมสูงสุด[f] เดโมแครตขยายเสียงข้างมากในรัฐสภา โดยควบคุมที่นั่งมากกว่าสามในสี่ในแต่ละสภา การเลือกตั้งครั้งนี้ยังเป็นการรวมพันธมิตรสัญญาใหม่ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในขณะที่เดโมแครตสูญเสียพันธมิตรดั้งเดิมบางส่วนในกลุ่มธุรกิจใหญ่ แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยกลุ่มต่าง ๆ เช่น องค์กรแรงงานและชาวแอฟริกันอเมริกัน เป็นครั้งแรกที่กลุ่มหลังนี้ลงคะแนนเสียงให้เดโมแครตนับตั้งแต่สงครามกลางเมือง[186] โรเซอเวลต์สูญเสียคะแนนเสียงจากผู้มีรายได้สูง โดยเฉพาะนักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญ แต่ได้รับคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นอย่างมากในกลุ่มคนยากไร้และชนกลุ่มน้อย เขาได้รับคะแนนเสียงร้อยละ 86 ของคะแนนเสียงจากชาวยิว ร้อยละ 81 จากชาวคาทอลิก ร้อยละ 80 จากสมาชิกสหภาพแรงงาน ร้อยละ 76 จากชาวใต้ ร้อยละ 76 จากคนผิวดำในเมืองทางเหนือ และร้อยละ 75 จากผู้ที่รับความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ โรเซอเวลต์ชนะในเมืองที่มีประชากร 100,000 คนขึ้นไปจำนวน 102 จากทั้งหมด 106 เมืองทั่วประเทศ[187]
การต่อสู้ของศาลสูงสุดและกฎหมายสมัยที่สอง
[แก้]ศาลสูงสุดกลายเป็นประเด็นสำคัญในประเทศที่โรเซอเวลต์ให้ความสนใจหลักในวาระที่สองของเขา หลังจากที่ศาลได้ล้มเลิกโครงการต่าง ๆ ของเขาหลายโครงการ รวมถึง NIRA สมาชิกสายอนุรักษนิยมในศาลได้ยึดถือหลักการของยุคล็อกเนอร์ ซึ่งมีการยกเลิกกฎระเบียบทางเศรษฐกิจจำนวนมากบนพื้นฐานของเสรีภาพในการทำสัญญา[188] โรเซอเวลต์จึงเสนอร่างกฎหมายปฏิรูปตุลาการ ค.ศ. 1937 ซึ่งจะอนุญาตให้เขาแต่งตั้งผู้พิพากษาเพิ่มเติมหนึ่งคนสำหรับผู้พิพากษาประจำตำแหน่งแต่ละคนที่อายุเกิน 70 ปี ซึ่งใน ค.ศ. 1937 มีผู้พิพากษาศาลสูงสุดที่อายุเกิน 70 ปีถึงหกคน ขนาดของศาลถูกกำหนดไว้ที่เก้าคนนับตั้งแต่มีการผ่านรัฐบัญญัติตุลาการ ค.ศ. 1869 และรัฐสภาได้เปลี่ยนแปลงจำนวนผู้พิพากษามาแล้วหกครั้งตลอดประวัติศาสตร์สหรัฐ[189] แผน "เพิ่มจำนวนผู้พิพากษาเพื่อครอบงำศาล" (court packing) ของโรเซอเวลต์เผชิญกับการต่อต้านทางการเมืองอย่างรุนแรงจากพรรคของเขาเอง โดยมีรองประธานาธิบดีการ์เนอร์เป็นผู้นำ เนื่องจากมันบ่อนทำลายหลักการแยกใช้อำนาจ[190] พันธมิตรสองพรรคที่ประกอบด้วยเสรีนิยมและอนุรักษนิยมของทั้งสองพรรคได้คัดค้านร่างกฎหมายนี้ และประธานศาลสูงสุด ชาลส์ อีแวนส์ ฮิวส์ ได้แหวกธรรมเนียมโดยการเรียกร้องให้มีการคว่ำร่างกฎหมายนี้ต่อสาธารณะ โอกาสใด ๆ ที่จะผ่านร่างกฎหมายนี้ได้สิ้นสุดลงด้วยการเสียชีวิตของผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา โจเซฟ เทย์เลอร์ โรบินสัน ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1937[191]
เริ่มจากคดีระหว่างบริษัทโรงแรมเวสต์โคสต์กับแพร์ริช ใน ค.ศ. 1937 ศาลเริ่มมีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อกฎระเบียบทางเศรษฐกิจ นักประวัติศาสตร์อธิบายเหตุการณ์นี้ว่าเป็น "การเปลี่ยนแปลงทันเวลาที่ช่วยรักษาเก้าคนไว้"[154] ในปีเดียวกันนั้น โรเซอเวลต์ได้แต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดเป็นครั้งแรก และภายใน ค.ศ. 1941 เขาได้แต่งตั้งผู้พิพากษาถึงเจ็ดจากเก้าคนของศาล[g][192] หลังจากคดีแพร์ริช ศาลได้เปลี่ยนจุดสนใจจากการพิจารณาทบทวนกฎระเบียบทางเศรษฐกิจไปเป็นการคุ้มครองเสรีภาพพลเมือง[193] ผู้พิพากษาสี่คนที่โรเซอเวลต์แต่งตั้ง ได้แก่ เฟลิกซ์ แฟรงก์เฟอร์เตอร์, รอเบิร์ต เอช. แจ็กสัน, ฮิวโก แบล็ก และวิลเลียม โอ. ดักลาส มีอิทธิพลอย่างมากในการปรับเปลี่ยนหลักนิติศาสตร์ของศาล[194][195]
ด้วยอิทธิพลของโรเซอเวลต์ที่ลดลงหลังความล้มเหลวของร่างกฎหมายปฏิรูปตุลาการ ค.ศ. 1937 พรรคเดโมแครตสายอนุรักษนิยมได้เข้าร่วมกับพรรครีพับลิกันเพื่อขัดขวางการดำเนินโครงการสัญญาใหม่เพิ่มเติม[196] โรเซอเวลต์ยังคงสามารถผ่านกฎหมายบางฉบับได้ เช่น รัฐบัญญัติการเคหะ ค.ศ. 1937, รัฐบัญญัติการปรับปรุงเกษตรกรรมฉบับที่สอง และรัฐบัญญัติมาตรฐานแรงงานที่เป็นธรรม (FLSA) ค.ศ. 1938 ซึ่งถือเป็นกฎหมายสัญญาใหม่ชิ้นสำคัญชิ้นสุดท้าย FLSA ได้ประกาศให้การใช้แรงงานเด็กเป็นสิ่งผิดกฎหมาย กำหนดค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลกลาง และกำหนดให้จ่ายค่าล่วงเวลาสำหรับลูกจ้างบางประเภทที่ทำงานเกินสี่สิบชั่วโมงต่อสัปดาห์[197] เขายังผ่านรัฐบัญญัติการปรับโครงสร้างองค์กร ค.ศ. 1939 และต่อมาได้จัดตั้งสำนักงานบริหารประธานาธิบดี ทำให้เป็น "ศูนย์กลางประสาทของระบบบริหารรัฐบาลกลาง"[198] เมื่อเศรษฐกิจเริ่มถดถอยอีกครั้งในช่วงกลาง ค.ศ. 1937 โรเซอเวลต์เริ่มการรณรงค์โจมตีธุรกิจขนาดใหญ่และอำนาจผูกขาด โดยอ้างว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นผลมาจากการประท้วงหยุดงานของกลุ่มทุนและถึงกับสั่งให้สำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) ค้นหาการสมคบคิดทางอาญา (ซึ่งไม่พบ) จากนั้นเขาได้ขอให้รัฐสภาจัดสรรเงิน $5 พันล้าน (เทียบเท่า $105.97 พันล้านในปี 2023) สำหรับการบรรเทาทุกข์และงานโยธา สิ่งนี้สร้างงาน WPA ได้มากถึง 3.3 ล้านตำแหน่งภายใน ค.ศ. 1938 โครงการที่สำเร็จภายใต้ WPA มีตั้งแต่ศาลกลางและที่ทำการไปรษณีย์แห่งใหม่ไปจนถึงสิ่งอำนวยความสะดวกและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอุทยานแห่งชาติ สะพาน และโครงสร้างพื้นฐานอื่นทั่วประเทศ รวมถึงการสำรวจทางสถาปัตยกรรมและการขุดค้นทางโบราณคดี ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและรักษาทรัพยากรสำคัญ อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากนี้ โรเซอเวลต์ได้แนะนำต่อการประชุมรัฐสภาสมัยพิเศษเพียงแค่รัฐบัญญัติไร่นาแห่งชาติฉบับถาวร การปรับโครงสร้างองค์กรบริหาร และมาตรการการวางแผนภูมิภาค ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่เหลือมาจากสมัยประชุมปกติ ตามที่เบินส์กล่าว การพยายามในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่สามารถของโรเซอเวลต์ที่จะตัดสินใจเลือกโครงการเศรษฐกิจพื้นฐาน[199]
ด้วยความตั้งใจจะเอาชนะการต่อต้านของสมาชิกเดโมแครตสายอนุรักษนิยมในรัฐสภา โรเซอเวลต์จึงเข้าไปมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งขั้นต้นของพรรคเดโมแครต ค.ศ. 1938 โดยรณรงค์อย่างแข็งขันเพื่อผู้ท้าชิงที่สนับสนุนการปฏิรูปสัญญาใหม่มากขึ้น โรเซอเวลต์ล้มเหลวอย่างมาก โดยสามารถเอาชนะผู้ที่ถูกกำหนดเป้าหมายได้เพียงคนเดียวจากสิบคน[154] ในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1938 เดโมแครตสูญเสียหกที่นั่งในวุฒิสภาและ 71 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร โดยความสูญเสียกระจุกอยู่ในกลุ่มเดโมแครตที่สนับสนุนสัญญาใหม่ เมื่อรัฐสภาเปิดสมัยประชุมอีกครั้งใน ค.ศ. 1939 รีพับลิกันภายใต้วุฒิสมาชิกรอเบิร์ต แทฟต์ ได้จัดตั้งพันธมิตรอนุรักษนิยมร่วมกับเดโมแครตทางใต้ ซึ่งแทบจะยุติความสามารถของโรเซอเวลต์ในการเสนอนโยบายภายในประเทศของเขา[200] แม้จะมีการต่อต้านนโยบายภายในประเทศของโรเซอเวลต์ สมาชิกรัฐสภาสายอนุรักษนิยมเหล่านี้จำนวนมากกลับให้การสนับสนุนที่สำคัญต่อนโยบายต่างประเทศของเขาทั้งก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง[201]
การอนุรักษ์และสิ่งแวดล้อม
[แก้]โรเซอเวลต์มีความสนใจตลอดชีวิตในด้านสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ธรรมชาติโดยเริ่มจากความสนใจในด้านวนศาสตร์ตั้งแต่ยังเยาว์วัยในพื้นที่ของตระกูล แม้เขาจะไม่ใช่นักกิจกรรมกลางแจ้งหรือนักกีฬาที่เน้นปฏิบัติเหมือนทีโอดอร์ โรเซอเวลต์ แต่การขยายระบบอุทยานและป่าไม้ของชาติในยุคของเขาก็เทียบเคียงกันได้[202][203] เมื่อโรเซอเวลต์เป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก องค์การบรรเทาทุกข์ฉุกเฉินชั่วคราวถือเป็นหน่วยงานระดับรัฐที่เป็นต้นแบบของหน่วยอนุรักษ์พลเรือนของรัฐบาลกลาง โดยมีบุคลากร 10,000 คนหรือมากกว่านั้นที่ทำหน้าที่สร้างทางกันไฟ ต่อสู้กับการกัดเซาะของดิน และปลูกต้นกล้าไม้ในพื้นที่เกษตรกรรมที่เสื่อมโทรมในนิวยอร์ก[204] ในฐานะประธานาธิบดี โรเซอเวลต์มีบทบาทอย่างแข็งขันในการขยาย ให้ทุน และส่งเสริมระบบอุทยานแห่งชาติและป่าสงวนแห่งชาติ[205] ความนิยมของอุทยานและป่าสงวนเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากจำนวนผู้เข้าชมสามล้านคนต่อปีในช่วงต้นทศวรรษเพิ่มเป็น 15.5 ล้านคนใน ค.ศ. 1939[206] หน่วยอนุรักษ์พลเรือนได้รับการขึ้นทะเบียนเยาวชนชาย 3.4 ล้านคนและได้สร้างเส้นทางรวม 13,000 ไมล์ (21,000 กิโลเมตร)* ปลูกต้นไม้สองพันล้านต้นและปรับปรุงถนนดิน 125,000 ไมล์ (201,000 กิโลเมตร)* ทุกรัฐมีอุทยานของตนเอง และโรเซอเวลต์ก็ให้ความมั่นใจว่าโครงการของ WPA และ CCC จะถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อปรับปรุงอุทยานเหล่านี้รวมถึงระบบอุทยานแห่งชาติด้วย[207][208][209]
ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติและอัตราการว่างงาน
[แก้]| ปี | เลเบอร์กอตต์ | ดาร์บี |
|---|---|---|
| 1929 | 3.2 | 3.2 |
| 1932 | 23.6 | 22.9 |
| 1933 | 24.9 | 20.6 |
| 1934 | 21.7 | 16.0 |
| 1935 | 20.1 | 14.2 |
| 1936 | 16.9 | 9.9 |
| 1937 | 14.3 | 9.1 |
| 1938 | 19.0 | 12.5 |
| 1939 | 17.2 | 11.3 |
| 1940 | 14.6 | 9.5 |
การใช้จ่ายของรัฐบาลเพิ่มขึ้นจาก 8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GNP) ในสมัยฮูเวอร์ใน ค.ศ. 1932 เป็น 10.2% ใน ค.ศ. 1936 หนี้สาธารณะคิดเป็นร้อยละของ GNP เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวในสมัยฮูเวอร์ จาก 16 เป็น 40% ของ GNP ในช่วงต้น ค.ศ. 1933 และคงที่อยู่ใกล้ 40% จนถึงฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1941 ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสงคราม[211] ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติสูงขึ้น 34% ใน ค.ศ. 1936 เมื่อเทียบกับ ค.ศ. 1932 และสูงขึ้น 58% ใน ค.ศ. 1940 ก่อนสงคราม นั่นคือ เศรษฐกิจเติบโต 58% ตั้งแต่ ค.ศ. 1932 ถึง 1940 และเติบโต 56% ตั้งแต่ ค.ศ. 1940 ถึง 1945 ในช่วงห้าปีของสงคราม[211] อัตราการว่างงานลดลงอย่างมากในวาระแรกของโรเซอเวลต์ มันเพิ่มขึ้นใน ค.ศ. 1938 ("ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำภายในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ") แต่ลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้น[210] การจ้างงานรวมในวาระของโรเซอเวลต์ขยายตัวเพิ่มขึ้น 18.31 ล้านตำแหน่ง โดยมีอัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อปี 5.3% ในช่วงการบริหารของเขา[212][213]
นโยบายต่างประเทศ (ค.ศ. 1933–1941)
[แก้]
โครงการริเริ่มนโยบายต่างประเทศหลักในวาระแรกของโรเซอเวลต์คือนโยบายเพื่อนบ้านที่ดี ซึ่งเป็นการประเมินใหม่สำหรับนโยบายของสหรัฐต่อลาตินอเมริกา สหรัฐมักเข้าแทรกแซงในลาตินอเมริกาอยู่บ่อยครั้งหลังประกาศลัทธิมอนโรใน ค.ศ. 1823 และได้เข้ายึดครองประเทศในลาตินอเมริกาหลายประเทศในช่วงสงครามกล้วยที่เกิดขึ้นหลังสงครามสเปน–อเมริกาใน ค.ศ. 1898 หลังโรเซอเวลต์เข้ารับตำแหน่ง เขาได้ถอนกองกำลังสหรัฐออกจากเฮติและบรรลุสนธิสัญญาใหม่กับคิวบาและปานามา เป็นการยกเลิกสถานะของประเทศเหล่านี้ในฐานะรัฐในอารักขาของสหรัฐในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1933 โรเซอเวลต์ลงนามในอนุสัญญากรุงมอนเตวิเดโอ โดยสละสิทธิ์ในการเข้าแทรกแซงกิจการของประเทศในลาตินอเมริกาแต่เพียงฝ่ายเดียว[214] โรเซอเวลต์ยังฟื้นฟูความสัมพันธ์ตามปกติกับสหภาพโซเวียต ซึ่งสหรัฐปฏิเสธจะยอมรับมาตั้งแต่ทศวรรษ 1920[215] เขาหวังจะเจรจาเรื่องหนี้ของรัสเซียจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและเปิดความสัมพันธ์ทางการค้า แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าในทั้งสองประเด็นและ "ทั้งสองประเทศก็รู้สึกผิดหวังในข้อตกลงดังกล่าวในไม่ช้า"[216]
การปฏิเสธสนธิสัญญาแวร์ซายใน ค.ศ. 1919–1920 เป็นจุดเด่นของแนวคิดไม่แทรกแซงในนโยบายต่างประเทศของอเมริกา แม้โรเซอเวลต์จะมีภูมิหลังของวิลสัน แต่เขาและรัฐมนตรีต่างประเทศ คอร์เดล ฮัลล์ ก็ดำเนินการด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้กระตุ้นความรู้สึกโดดเดี่ยวทางการเมือง ขบวนการโดดเดี่ยวได้รับแรงหนุนในช่วงต้นถึงกลางทศวรรษ 1930 โดยวุฒิสมาชิกเจอรัลด์ นายและคนอื่น ๆ ซึ่งประสบความสำเร็จในการหยุด "พ่อค้าความตาย" ในสหรัฐไม่ให้ขายอาวุธในต่างประเทศ[217] ความพยายามนี้อยู่ในรูปของรัฐบัญญัติความเป็นกลาง โดยประธานาธิบดีถูกปฏิเสธข้อกำหนดที่เขาร้องขอซึ่งจะให้อำนาจดุลยพินิจแก่เขาในการอนุญาตให้ขายอาวุธแก่เหยื่อของการบุกครอง[218] เขายอมรับนโยบายไม่แทรกแซงของรัฐสภาส่วนใหญ่ในช่วงต้นถึงกลางทศวรรษ 1930[219] ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ฟาสซิสต์อิตาลีภายเบนิโต มุสโสลินี ได้รุกเอาชนะเอธิโอเปีย และชาวอิตาลีได้เข้าร่วมกับ นาซีเยอรมนีภายใต้อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ในการสนับสนุนนายพลฟรันซิสโก ฟรังโกและฝ่ายชาตินิยมในสงครามกลางเมืองสเปน[220] เมื่อความขัดแย้งนั้นใกล้จะสิ้นสุดลงในช่วงต้น ค.ศ. 1939 โรเซอเวลต์แสดงความเสียใจที่ไม่ได้ช่วยเหลือฝ่ายนิยมสาธาณรัฐสเปน[221] เมื่อญี่ปุ่นบุกจีนใน ค.ศ. 1937 แนวคิดโดดเดี่ยวกำหนดขีดจำกัดความสามารถของโรเซอเวลต์ในการช่วยเหลือจีน[222] แม้จะมีเหตุการณ์โหดร้าย เช่น การสังหารหมู่ที่หนานจิงและอุบัติการณ์ยูเอสเอส พาเนย์[223]


- สหรัฐ
- 7 ครั้งหรือมากกว่า
- 6 ครั้ง
- 5 ครั้ง
- 4 ครั้ง
- 3 ครั้ง
- 2 ครั้ง
- 1 ครั้ง
เยอรมนีผนวกออสเตรียใน ค.ศ. 1938 และในไม่ช้าก็หันไปสนใจประเทศเพื่อนบ้านทางตะวันออก[225] โรเซอเวลต์ระบุอย่างชัดเจนว่า ในกรณีที่เยอรมนีบุกครองเชโกสโลวาเกีย สหรัฐจะยังคงเป็นกลาง[226] หลังการลงนามในความตกลงมิวนิกและคริสทัลล์นัคท์ ความเห็นของสาธารณชนอเมริกันก็หันมาต่อต้านเยอรมนี และโรเซอเวลต์ก็เริ่มเตรียมพร้อมสำหรับสงครามที่อาจเกิดขึ้นกับเยอรมนี[227] ด้วยการอาศัยพันธมิตรทางการเมืองที่สนับสนุนการแทรกแซงซึ่งประกอบด้วยเดโมแครตทางใต้และรีพับลิกันที่มุ่งเน้นธุรกิจ โรเซอเวลต์ดูแลการขยายอำนาจทางอากาศและความสามารถในการผลิตเพื่อสงครามของสหรัฐ[228]
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มต้นในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 ด้วยการที่เยอรมนีบุกโปแลนด์และการประกาศสงครามของบริเตนและฝรั่งเศสต่อเยอรมนี โรเซอเวลต์ก็พยายามหาทางช่วยเหลือบริเตนและฝรั่งเศสทางทหาร[229] ผู้นำที่สนับสนุนแนวคิดโดดเดี่ยว เช่น ชาลส์ ลินด์เบิร์กและวุฒิสมาชิกวิลเลียม โบราห์ประสบความสำเร็จในการระดมการต่อต้านการเสนอให้ยกเลิกรัฐบัญญัติความเป็นกลางของโรเซอเวลต์ แต่โรเซอเวลต์ก็ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาให้ขายอาวุธได้ในรูปแบบเงินสดแล้วขนไปเอง (cash-and-carry)[230] เขายังเริ่มการติดต่อทางไปรษณีย์ลับเป็นประจำกับ วินสตัน เชอร์ชิล รัฐมนตรีกระทรวงทหารเรือของบริเตน ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 ซึ่งเป็นการติดต่อกันครั้งแรกจากจดหมายและโทรเลขทั้งหมด 1,700 ฉบับระหว่างพวกเขา[231] โรเซอเวลต์สร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ใกล้ชิดกับเชอร์ชิล ซึ่งได้เป็นนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1940[232]
การล่มสลายของฝรั่งเศสในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1940 สร้างความตกตะลึงแก่สาธารณชนอเมริกัน และความรู้สึกโดดเดี่ยวทางการเมืองก็ลดลง[233] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1940 โรเซอเวลต์แต่งตั้งผู้นำรีพับลิกันที่สนับสนุนการแทรกแซงสองคน เฮนรี แอล. สติมสันและแฟรงก์ น็อกซ์ เป็นรัฐมนตรีการสงครามและทหารเรือตามลำดับ ทั้งสองพรรคให้การสนับสนุนแผนการของเขาสำหรับการสร้างกองทัพอเมริกันอย่างรวดเร็ว แต่ฝ่ายโดดเดี่ยวเตือนว่าโรเซอเวลต์จะนำประเทศเข้าสู่สงครามที่ไม่จำเป็นกับเยอรมนี[234] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1940 กลุ่มสมาชิกรัฐสภาได้เสนอร่างกฎหมายที่จะอนุญาตให้มีการเกณฑ์ทหารในยามสงบครั้งแรกของประเทศ และด้วยการสนับสนุนจากคณะบริหารโรเซอเวลต์ รัฐบัญญัติการฝึกอบรมและบริการเลือกสรร ค.ศ. 1940 ก็ผ่านในเดือนกันยายน ขนาดของกองทัพเพิ่มขึ้นจาก 189,000 นายเมื่อสิ้น ค.ศ. 1939 เป็น 1.4 ล้านนายในช่วงกลาง ค.ศ. 1941[235] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1940 โรเซอเวลต์ท้าทายรัญบัญญัติความเป็นกลางอย่างเปิดเผยด้วยการบรรลุข้อตกลงเรือพิฆาตแลกฐานทัพ ซึ่งเป็นการมอบเรือพิฆาตอเมริกัน 50 ลำให้แก่บริเตนเพื่อแลกกับสิทธิในการใช้ฐานทัพในหมู่เกาะแคริบเบียนของบริเตน[236]
การเลือกตั้ง ค.ศ. 1940
[แก้]ในช่วงหลายเดือนก่อนการประชุมใหญ่แห่งชาติพรรคเดโมแครต ค.ศ. 1940 ในเดือนกรกฎาคม มีการคาดเดากันอย่างมากว่าโรเซอเวลต์จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมัยที่สาม ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนหรือไม่ ธรรมเนียมการดำรงตำแหน่งเพียงสองวาระนี้ ถึงแม้จะยังไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ[i] แต่ก็ถูกสร้างขึ้นโดยจอร์จ วอชิงตันเมื่อเขายืนยันที่จะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมัยที่สามใน ค.ศ. 1796 โรเซอเวลต์ปฏิเสธที่จะให้คำตอบที่ชัดเจน และยังส่งสัญญาณแก่เดโมแครตที่มีความทะเยอทะยานบางคน เช่น เจมส์ ฟาร์ลีย์ ว่าเขาจะไม่ลงสมัครเป็นสมัยที่สามและพวกเขาสามารถหาเสียงเพื่อเป็นตัวแทนเดโมแครตได้ ฟาร์ลีย์และรองประธานาธิบดีจอห์น การ์เนอร์ไม่พอใจโรเซอเวลต์เมื่อในที่สุดเขาก็ตัดสินใจทำลายธรรมเนียมของวอชิงตัน[134][237] เมื่อเยอรมนีบุกครองทั่วยุโรปตะวันตกและคุกคามอังกฤษในช่วงกลาง ค.ศ. 1940 โรเซอเวลต์ตัดสินใจว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่มีประสบการณ์และทักษะที่จำเป็นในการนำพาประเทศให้รอดพ้นจากภัยคุกคามของนาซีได้อย่างปลอดภัย เขาได้รับความช่วยเหลือจากหัวหน้าพรรคที่กลัวว่าไม่มีใครในเดโมแครตยกเว้นโรเซอเวลต์ที่จะสามารถเอาชนะเวนเดล วิลกี ผู้สมัครยอดนิยมจากรีพับลิกันได้[238]

ในการประชุมใหญ่พรรคเดโมแครตเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1940 ที่ชิคาโก โรเซอเวลต์เอาชนะการท้าทายจากฟาร์ลีย์และรองประธานาธิบดีการ์เนอร์ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งทั้งสองได้หันมาต่อต้านโรเซอเวลต์ในวาระที่สองของเขาเพราะนโยบายเศรษฐกิจและสังคมเสรีนิยมของเขา[239] เพื่อแทนที่การ์เนอร์ในตำแหน่งรองประธานาธิบดี โรเซอเวลต์ได้เลือกเฮนรี วอลเลซ รัฐมนตรีเกษตรจากไอโอวาซึ่งเป็นอดีตสมาชิกรีพับลิกันที่สนับสนุนสัญญาใหม่อย่างแข็งขันและเป็นที่นิยมในรัฐเกษตรกรรม[240] ตัวเลือกนี้ถูกต่อต้านอย่างหนักจากฝ่ายอนุรักษนิยมจำนวนมากในพรรค ซึ่งรู้สึกว่าวอลเลซหัวรุนแรงเกินไปและมีพฤติกรรม "ประหลาด" ในชีวิตส่วนตัว แต่โรเซอเวลต์ยืนกรานว่าหากไม่มีวอลเลซเป็นคู่สมัคร เขาจะปฏิเสธการเสนอชื่อซ้ำ และวอลเลซก็ได้รับการเสนอชื่อเป็นรองประธานาธิบดี เอาชนะวิลเลียม บี. แบงก์เฮด ประธานสภาผู้แทนราษฎรและผู้สมัครคนอื่น ๆ ไปได้[239]
ผลสำรวจที่จัดทำโดยแกลลัป (Gallup) ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมพบว่าการแข่งขันสูสีกันมาก แต่ความนิยมของโรเซอเวลต์พุ่งสูงขึ้นในเดือนกันยายนหลังการประกาศข้อตกลงเรือพิฆาตแลกฐานทัพ[241] วิลกีให้การสนับสนุนสัญญาใหม่ส่วนใหญ่รวมถึงการเสริมสร้างอาวุธและการช่วยเหลืออังกฤษแต่เตือนว่าโรเซอเวลต์จะลากประเทศเข้าสู่สงครามยุโรปอีกครั้ง[242] ในการตอบโต้การโจมตีของวิลกี โรเซอเวลต์ให้คำมั่นสัญญาว่าจะรักษาประเทศให้ออกห่างจากสงคราม[243] ในช่วงเดือนสุดท้ายของการหาเสียง การรณรงค์ได้กลายเป็นชุดของการกล่าวหาที่อุกอาจและการใส่ร้ายซึ่งกันและกันโดยพรรคต่าง ๆ[134] โรเซอเวลต์ชนะการเลือกตั้ง ค.ศ. 1940 ด้วยคะแนนนิยม 55% ชนะใน 38 จาก 48 รัฐ และได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งเกือบ 85%[244]
วาระที่สามและสี่ (ค.ศ. 1941–1945)
[แก้]สงครามโลกครั้งที่สองดึงความสนใจของโรเซอเวลต์ไปอย่างมาก โดยเขาทุ่มเทเวลาให้กับกิจการระหว่างประเทศมากกว่าที่เคยเป็นมาอย่างไม่เคยมีมาก่อน การเมืองภายในประเทศและความสัมพันธ์กับรัฐสภาส่วนใหญ่ถูกกำหนดโดยความพยายามของเขาที่จะระดมทรัพยากรทางเศรษฐกิจ การเงิน และสถาบันของประเทศทั้งหมดเพื่อสนับสนุนความพยายามในการทำสงคราม แม้แต่ความสัมพันธ์กับลาตินอเมริกาและแคนาดาก็ถูกจัดโครงสร้างตามความต้องการในยามสงคราม โรเซอเวลต์ยังคงควบคุมการตัดสินใจทางการทูตและการทหารที่สำคัญทั้งหมดอย่างใกล้ชิดด้วยตนเอง โดยทำงานอย่างใกล้ชิดกับนายพลและพลเรือเอกของเขา กระทรวงการสงครามและกระทรวงทหารเรือ อังกฤษ และแม้กระทั่งสหภาพโซเวียต ที่ปรึกษาด้านการทูตคนสำคัญของเขา ได้แก่ แฮร์รี ฮอปกินส์ในทำเนียบขาว, ซัมเนอร์ เวลส์ในกระทรวงการต่างประเทศ และเฮนรี มอร์เกนเทา จูเนียร์ที่กระทรวงการคลัง ส่วนในด้านการทหาร โรเซอเวลต์ทำงานใกล้ชิดที่สุดกับรัฐมนตรีเฮนรี แอล. สติมสันที่กระทรวงการสงคราม, เสนาธิการกองทัพบก จอร์จ มาร์แชล และพลเรือเอก วิลเลียม ดี. ลีฮี[245][246][247]
ก่อนสงคราม
[แก้]
ภายในปลาย ค.ศ. 1940 การเตรียมพร้อมด้านอาวุธยุทธภัณฑ์อยู่ในระดับสูง ส่วนหนึ่งเพื่อขยายและติดตั้งยุทโธปกรณ์ใหม่ให้แก่กองทัพบกและกองทัพเรือและอีกส่วนหนึ่งเพื่อเป็น "คลังแสงประชาธิปไตย" ให้แก่บริเตนและประเทศอื่น ๆ[248] ด้วยสุนทรพจน์เสรีภาพทั้งสี่ของเขาในเดือนมกราคม ค.ศ. 1941 ซึ่งเสนอเสรีภาพพื้นฐานสี่ประการที่ผู้คน "ทุกหนแห่งในโลก" ควรได้รับ: เสรีภาพในการพูดและการแสดงออก, เสรีภาพในการนับถือศาสนา, เสรีภาพจากความขาดแคลน และเสรีภาพจากความกลัว โรเซอเวลต์วางแนวทางสำหรับการต่อสู้ของฝ่ายสัมพันธมิตรเพื่อสิทธิพื้นฐานทั่วโลก ด้วยความช่วยเหลือจากวิลกี โรเซอเวลต์ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาสำหรับโครงการ "ให้ยืม-เช่า" ซึ่งจัดส่งความช่วยเหลือทางทหารและเศรษฐกิจจำนวนมหาศาลให้แก่บริเตนและจีน[249] ต่างจากเงินกู้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อย่างมาก ตรงที่จะไม่มีการชำระคืน[250] ขณะที่โรเซอเวลต์มีจุดยืนแข็งกร้าวขึ้นต่อญี่ปุ่น เยอรมนี และอิตาลี พวกกลุ่มแยกอยู่โดดเดี่ยวของอเมริกา เช่น ชาลส์ ลินด์เบิร์กและคณะกรรมการอเมริกาต้องมาก่อน ได้โจมตีโรเซอเวลต์อย่างรุนแรงว่าเป็นผู้กระหายสงครามที่ขาดความรับผิดชอบ[251] เมื่อเยอรมนีบุกครองสหภาพโซเวียตในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1941 โรเซอเวลต์ตกลงขยายโครงการให้ยืม-เช่าไปยังโซเวียตด้วย ด้วยเหตุนี้ โรเซอเวลต์จึงได้ผูกมัดสหรัฐให้เข้าข้างฝ่ายสัมพันธมิตรด้วยนโยบายที่ว่า "ช่วยเหลือทุกอย่างยกเว้นสงคราม"[252] ภายในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1941 โรเซอเวลต์อนุมัติให้มีการจัดตั้งสำนักงานผู้ประสานงานกิจการระหว่างอเมริกาเพื่อต่อต้านความพยายามโฆษณาชวนเชื่อของเยอรมนีและอิตาลีในลาตินอเมริกา[253][254]
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1941 โรเซอเวลต์และเชอร์ชิลได้จัดประชุมทวิภาคีลับซึ่งพวกเขาได้ร่วมกันร่างกฎบัตรแอตแลนติก แนวคิดที่สรุปเป้าหมายระดับโลกในช่วงสงครามและหลังสงคราม นี่คือการประชุมครั้งแรกในบรรดาการประชุมในช่วงสงครามหลายครั้ง[255] โดยเชอร์ชิลและโรเซอเวลต์จะพบกันแบบตัวต่อตัวอีกสิบครั้ง[256] แม้เชอร์ชิลจะผลักดันให้สหรัฐประกาศสงครามต่อเยอรมนี แต่โรเซอเวลต์เชื่อว่ารัฐสภาจะปฏิเสธความพยายามใด ๆ ที่จะนำสหรัฐเข้าสู่สงคราม[257] ในเดือนกันยายน เรือดำน้ำเยอรมันได้ยิงใส่เรือพิฆาต ยูเอสเอส กรีเออร์ (USS Greer) ของสหรัฐ และโรเซอเวลต์ได้ประกาศว่ากองทัพเรือสหรัฐจะรับบทบาทเป็นผู้คุ้มกันขบวนเรือของฝ่ายสัมพันธมิตรในแอตแลนติกไปทางตะวันออกถึงบริเตนและจะยิงใส่เรือเยอรมันหรือเรืออูของครีคส์มารีเนอหากพวกมันเข้ามาในเขตของกองทัพเรือสหรัฐ นโยบาย "ยิงทันทีที่เห็น" นี้ทำให้กองทัพเรือสหรัฐเข้าสู่ความขัดแย้งโดยตรงกับเรือดำน้ำเยอรมันและได้รับการสนับสนุนจากชาวอเมริกันในส่วนต่าง 2 ต่อ 1[258]
เพิร์ลฮาร์เบอร์และการประกาศสงคราม
[แก้]หลังการบุกครองโปแลนด์ของเยอรมนี ความกังวลหลักของทั้งโรเซอเวลต์และเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของเขาคือสงครามในยุโรป แต่ญี่ปุ่นก็เป็นความท้าทายด้านนโยบายต่างประเทศเช่นกัน ความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นเสื่อมลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การบุกครองแมนจูเรียใน ค.ศ. 1931 และเลวร้ายลงไปอีกเมื่อโรเซอเวลต์ให้การสนับสนุนจีน[259] หลังโรเซอเวลต์ประกาศให้เงินกู้แก่จีน $100 ล้าน (เทียบเท่า $2.2 พันล้านในปี 2023) เพื่อตอบโต้การที่ญี่ปุ่นยึดครองอินโดจีนของฝรั่งเศสตอนเหนือ ญี่ปุ่นก็ได้ลงนามในกติกาสัญญาไตรภาคีร่วมกับเยอรมนีและอิตาลี ทำให้เยอรมนี ญี่ปุ่น และอิตาลีเป็นที่รู้จักในนามฝ่ายอักษะ[260] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1941 หลังญี่ปุ่นยึดครองส่วนที่เหลือของอินโดจีนฝรั่งเศส โรเซอเวลต์ได้ตัดการขายน้ำมันให้แก่ญี่ปุ่น ทำให้ญี่ปุ่นขาดแคลนน้ำมันมากกว่าร้อยละ 95[261] เขายังให้กองทัพฟิลิปปินส์อยู่ภายใต้การบัญชาการของอเมริกา และแต่งตั้งพลเอก ดักลาส แมกอาเทอร์ ให้กลับเข้าประจำการเพื่อบัญชาการกองกำลังสหรัฐในฟิลิปปินส์[262]
ญี่ปุ่นไม่พอใจกับการคว่ำบาตรนี้และผู้นำญี่ปุ่นก็ตัดสินใจที่จะโจมตีสหรัฐเว้นแต่สหรัฐจะยกเลิกการคว่ำบาตร คณะบริหารโรเซอเวลต์ไม่เต็มใจจะกลับนโยบายดังกล่าว และรัฐมนตรีต่างประเทศฮัลล์ได้ขัดขวางการประชุมสุดยอดที่อาจเกิดขึ้นระหว่างโรเซอเวลต์กับนายกรัฐมนตรีฟูมิมาโระ โคโนเอะ[j] เมื่อความพยายามทางการทูตล้มเหลว คณะองคมนตรีญี่ปุ่นได้อนุมัติให้โจมตีสหรัฐ[264] ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าการทำลายทัพเรือเอเชียของสหรัฐ (ประจำการที่ฟิลิปปินส์) และทัพเรือแปซิฟิกของสหรัฐ (ประจำการที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ รัฐฮาวาย) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพิชิตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้[265] วันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ญี่ปุ่นเปิดฉากโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์อย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ทัพเรือประจัญบานหลักของสหรัฐถูกทำลายและมีทหารและพลเรือนอเมริกันเสียชีวิต 2,403 ราย ในเวลาเดียวกัน กำลังเฉพาะกิจของญี่ปุ่นได้โจมตีประเทศไทย ฮ่องกงของอังกฤษ ฟิลิปปินส์ และเป้าหมายอื่น ๆ โรเซอเวลต์เรียกร้องให้ประกาศสงครามใน "สุนทรพจน์วันแห่งความอัปยศ" ต่อรัฐสภา ซึ่งเขากล่าวว่า: "วานนี้ 7 ธันวาคม 1941 วันที่ซึ่งจะต้องจดจำไว้ในความอัปยศ สหรัฐอเมริกาถูกโจมตีอย่างกะทันหันและโดยเจตนาโดยกองทัพเรือและกองทัพอากาศของจักรวรรดิญี่ปุ่น" ด้วยคะแนนเสียงเกือบเป็นเอกฉันท์ รัฐสภาได้ประกาศสงครามต่อญี่ปุ่น[266] ภายหลังเพิร์ลฮาร์เบอร์ ความรู้สึกต่อต้านสงครามในสหรัฐสลายไปอย่างสิ้นเชิงในชั่วข้ามคืน ต่อมาในวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ฮิตเลอร์และมุสโสลินีได้ประกาศสงครามต่อสหรัฐ ซึ่งสหรัฐก็โต้กลับในทำนองเดียวกัน[k][267]
นักวิชาการส่วนใหญ่ปฏิเสธทฤษฎีสมคบคิดที่ว่าโรเซอเวลต์หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลคนอื่น ๆ ทราบล่วงหน้าเกี่ยวกับการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์[268] ญี่ปุ่นได้เก็บความลับของพวกเขาไว้อย่างแน่นหนา จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่เจ้าหน้าที่อเมริกันจะทราบแผนการโจมตีทัพเรือแปซิฟิกอย่างไม่ทันตั้งตัว เจ้าหน้าที่ระดับสูงอเมริกันตระหนักว่าสงครามกำลังจะมาถึง แต่พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าจะมีการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์[269] โรเซอเวลต์สันนิษฐานว่าญี่ปุ่นจะโจมตีหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของดัตช์หรือประเทศไทย[270]
- โรเซอเวลต์ลงนามในคำประกาศสงครามต่อญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1941
- โรเซอเวลต์ลงนามในคำประกาศสงครามต่อเยอรมนีเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1941
- โรเซอเวลต์และวินสตัน เชอร์ชิลบนเรือหลวงปรินส์ออฟเวลส์ เพื่อร่วมประชุมกฎบัตรแอตแลนติก ค.ศ. 1941
แผนการสงคราม
[แก้]
ในช่วงปลายเดือนธันวาคม ค.ศ. 1941 เชอร์ชิลและโรเซอเวลต์ได้พบกันที่การประชุมอาร์คาเดีย ซึ่งได้กำหนดยุทธศาสตร์ร่วมกันระหว่างสหรัฐและบริเตน ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบในยุทธศาสตร์ยุโรปต้องมาก่อนที่ให้ความสำคัญกับการเอาชนะเยอรมนีก่อนญี่ปุ่น สหรัฐและบริเตนได้จัดตั้งคณะเสนาธิการผสมเพื่อประสานงานนโยบายทางทหารและคณะกรรมาธิการจัดสรรยุทโธปกรณ์ผสมเพื่อประสานงานการจัดสรรเสบียง[271] นอกจากนี้ยังมีการบรรลุข้อตกลงในการจัดตั้งกองบัญชาการรวมศูนย์ในสมรภูมิแปซิฟิกชื่อ ABDA ย่อมาจากกองกำลังอเมริกัน บริติช ดัตช์ และออสเตรเลียในภาคพื้นนั้น[272] วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1942 สหรัฐและชาติพันธมิตรอื่น ๆ ได้ออกปฏิญญาโดยสหประชาชาติ ซึ่งแต่ละประเทศให้คำมั่นว่าจะเอาชนะฝ่ายอักษะ[273]
ใน ค.ศ. 1942 โรเซอเวลต์ได้จัดตั้งองค์กรใหม่ คณะเสนาธิการร่วม ซึ่งมีหน้าที่ตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ทางทหารของอเมริกา พลเรือเอก เออร์เนสต์ เจ. คิง ในฐานะหัวหน้าปฏิบัติการทางเรือ บัญชาการกองทัพเรือและนาวิกโยธิน ในขณะที่นายพลจอร์จ ซี. มาร์แชล เป็นผู้นำกองทัพบกและอยู่ในการควบคุมโดยพฤตินัยของกองทัพอากาศ ซึ่งในทางปฏิบัติบัญชาการโดยนายพลแฮป อาร์โนลด์ [274] คณะเสนาธิการร่วมมีพลเรือเอก วิลเลียม ดี. ลีฮี นายทหารอาวุโสสูงสุดในกองทัพเป็นประธาน[275] โรเซอเวลต์เลี่ยงการจัดการสงครามแบบปลีกย่อยและปล่อยให้นายทหารระดับสูงของเขาตัดสินใจเป็นส่วนใหญ่[276] เจ้าหน้าที่พลเรือนที่โรเซอเวลต์แต่งตั้งเป็นผู้ดูแลการเกณฑ์และการจัดซื้อจัดจ้างบุคลากรและยุทธภัณฑ์ แต่ไม่มีพลเรือนคนใด—แม้กระทั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสงครามหรือทหารเรือ—มีสิทธิ์ออกเสียงในด้านยุทธศาสตร์ โรเซอเวลต์เลี่ยงกระทรวงการต่างประเทศและดำเนินการทางการทูตระดับสูงผ่านผู้ช่วยของเขา โดยเฉพาะแฮร์รี ฮอปกินส์ ซึ่งมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นจากการที่เขาควบคุมกองทุนให้เช่า-ยืม[277]
โครงการนิวเคลียร์
[แก้]ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1939 เลโอ ซีลาร์ดและอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้ส่งจดหมายไอน์สไตน์–ซีลาร์ดถึงโรเซอเวลต์ เตือนถึงความเป็นไปได้ที่โครงการของเยอรมนีจะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ซีลาร์ดตระหนักว่ากระบวนการนิวเคลียร์ฟิชชันที่เพิ่งถูกค้นพบสามารถนำมาใช้สร้างอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงได้[278] โรเซอเวลต์เกรงกลัวผลลัพธ์ที่จะตามมาหากปล่อยให้เยอรมนีครอบครองเทคโนโลยีนี้แต่เพียงผู้เดียวจึงอนุมัติให้มีการวิจัยเบื้องต้นเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์[l] หลังเพิร์ลฮาร์เบอร์ คณะบริหารโรเซอเวลต์ได้จัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินการวิจัยต่อและแต่งตั้งพลเอก เลสลี โกรฟส์ ให้ดูแลโครงการแมนแฮตตัน ซึ่งมีภารกิจในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ลูกแรก โรเซอเวลต์และเชอร์ชิลตกลงที่จะดำเนินการโครงการนี้ร่วมกัน และโรเซอเวลต์ช่วยให้มั่นใจว่านักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันจะให้ความร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ[280]
การประชุมในช่วงสงคราม
[แก้]โรเซอเวลต์เป็นผู้บัญญัติคำว่า "ตำรวจสี่เส้า" เพื่อหมายถึง "สี่มหาอำนาจ" ของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง ได้แก่ สหรัฐ สหราชอาณาจักร สหภาพโซเวียต และจีน "สามใหญ่" อันประกอบด้วยโรเซอเวลต์, วินสตัน เชอร์ชิล และผู้นำโซเวียต โจเซฟ สตาลิน พร้อมด้วยจอมพล เจียง ไคเชก ของจีน ได้ร่วมมือกันอย่างไม่เป็นทางการในแผนซึ่งให้กองทัพอเมริกันและอังกฤษเน้นกำลังในฝั่งตะวันตก กองทัพโซเวียตต่อสู้ในแนวรบด้านตะวันออก และกองทัพจีน อังกฤษ และอเมริกันต่อสู้ในเอเชียและแปซิฟิก สหรัฐยังคงส่งความช่วยเหลือผ่านการให้ยืม-เช่าไปยังสหภาพโซเวียตและประเทศอื่น ๆ ฝ่ายสัมพันธมิตรได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการประชุมระดับสูงหลายครั้งเช่นเดียวกับการติดต่อผ่านช่องทางการทูตและการทหาร[281] ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1942 โซเวียตได้เรียกร้องให้มีการบุกครองฝรั่งเศสที่ถูกเยอรมนียึดครองโดยแองโกล-อเมริกันเพื่อเบี่ยงกองกำลังจากแนวรบด้านตะวันออก[282] เชอร์ชิลและโรเซอเวลต์กังวลว่ากองกำลังของพวกเขายังไม่พร้อม จึงตัดสินใจเลื่อนการบุกครองดังกล่าวออกไปจนถึงอย่างน้อย ค.ษ. 1943 และหันไปให้ความสำคัญกับการยกพลขึ้นบกในแอฟริกาเหนือแทน เป็นที่รู้จักในชื่อปฏิบัติการคบเพลิง[283]
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1943 โรเซอเวลต์, เชอร์ชิล และสตาลินพบกันเพื่อหารือเกี่ยวกับยุทธศาสตร์และแผนหลังสงครามในการประชุมเตหะราน ที่ซึ่งเป็นครั้งแรกที่โรเซอเวลต์พบกับสตาลิน[284] บริเตนและสหรัฐมุ่งมั่นที่จะเปิดแนวรบที่สองต่อเยอรมนีใน ค.ศ. 1944 ขณะที่สตาลินให้คำมั่นที่จะเข้าร่วมสงครามกับญี่ปุ่นในวันที่ไม่ได้ระบุ การประชุมที่ตามมาที่เบรตตันวูดส์และดัมบาร์ตันโอกส์ได้กำหนดกรอบสำหรับระบบการเงินระหว่างประเทศหลังสงครามและสหประชาชาติ องค์การระหว่างรัฐบาลที่คล้ายกับสันนิบาตชาติที่ล้มเหลว[285] โรเซอเวลต์ได้สานต่อแนวทางของวิลสัน โดยผลักดันให้มีการจัดตั้งสหประชาชาติเป็นวาระสำคัญสูงสุดหลังสงคราม เขาคาดหวังว่าสหประชาชาติจะถูกควบคุมโดยวอชิงตัน มอสโก ลอนดอน และปักกิ่ง และจะช่วยแก้ไขปัญหาสำคัญระดับโลกทั้งหมดได้[286]
โรเซอเวลต์, เชอร์ชิล และสตาลินพบกันเป็นครั้งที่สองในการประชุมยอลตาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945 ที่ไครเมีย เนื่องจากการสิ้นสุดของสงครามในยุโรปกำลังใกล้เข้ามา จุดมุ่งเน้นหลักของโรเซอเวลต์คือการโน้มน้าวให้สตาลินเข้าร่วมสงครามกับญี่ปุ่น คณะเสนาธิการร่วมประเมินว่าการบุกครองญี่ปุ่นของอเมริกาจะทำให้ทหารอเมริกันบาดเจ็บล้มตายถึงหนึ่งล้านคน เพื่อเป็นการตอบแทน สหภาพโซเวียตได้รับคำมั่นสัญญาว่าจะได้ควบคุมดินแดนในเอเชีย เช่น เกาะซาฮาลิน ผู้นำทั้งสามตกลงจะจัดการประชุมใน ค.ศ. 1945 เพื่อจัดตั้งสหประชาชาติ และพวกเขายังตกลงเกี่ยวกับโครงสร้างของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งจะรับผิดชอบในการสร้างความมั่นคงระหว่างประเทศ โรเซอเวลต์ไม่ได้ผลักดันให้มีการถอนทหารโซเวียตออกจากโปแลนด์ในทันที แต่เขาสามารถทำให้มีการออกปฏิญญาว่าด้วยการปลดปล่อยยุโรป ซึ่งให้คำมั่นว่าจะมีการเลือกตั้งอย่างเสรีในประเทศที่เคยถูกเยอรมนียึดครอง ตัวเยอรมนีจะไม่ถูกแบ่งแยก แต่จะถูกยึดครองร่วมกันโดยสหรัฐ ฝรั่งเศส บริเตน และสหภาพโซเวียต[287] โรเซอเวลต์และเชอร์ชิลปฏิเสธการยินยอมให้มีการเรียกค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาลและการยกเลิกอุตสาหกรรมในเยอรมนีหลังสงคราม[288]
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1945 โรเซอเวลต์ส่งข้อความที่รุนแรงถึงสตาลินโดยกล่าวหาว่าเขาละเมิดข้อผูกพันในยอลตาเกี่ยวกับโปแลนด์ เยอรมนี เชลยศึก และประเด็นอื่น ๆ เมื่อสตาลินกล่าวหาฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกว่าสมคบคิดทำสัญญาสงบศึกแยกต่างหากกับฮิตเลอร์โดยลับหลัง โรเซอเวลต์ตอบว่า: "ผมไม่สามารถเลี่ยงความรู้สึกไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อผู้ให้ข้อมูลของคุณ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ตาม สำหรับการบิดเบือนการกระทำของผมหรือของผู้ใต้บังคับบัญชาที่เชื่อถือได้ของผมอย่างชั่วร้ายเช่นนี้"[289]
บทบาทของโรเซอเวลต์ในการประชุมยอลตาเป็นที่ถกเถียงกัน นักวิจารณ์กล่าวหาว่าเขาไว้ใจสหภาพโซเวียตอย่างซื่อ ๆ ในการอนุญาตให้มีการเลือกตั้งอย่างเสรีในยุโรปตะวันออก ขณะที่ผู้สนับสนุนโต้แย้งว่าโรเซอเวลต์ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้สำหรับประเทศในยุโรปตะวันออกเมื่อพิจารณาถึงการยึดครองของโซเวียตและความจำเป็นในการร่วมมือกับสหภาพโซเวียต[290][291]
แนวทางของสงคราม
[แก้]ฝ่ายสัมพันธมิตรบุกครองแอฟริกาเหนือของฝรั่งเศสในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1942 และสามารถทำให้กองกำลังฝรั่งเศสวิชียอมจำนนได้ภายในไม่กี่วันหลังยกพลขึ้นบก[292] ในการประชุมกาซาบล็องกาเดือนมกราคม ค.ศ. 1943 ฝ่ายสัมพันธมิตรตกลงจะปราบปรามกองกำลังฝ่ายอักษะในแอฟริกาเหนือก่อน จากนั้นจึงบุกครองซิซิลี และมีแผนจะโจมตีฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1944 ในการประชุมครั้งนี้ โรเซอเวลต์ยังประกาศด้วยว่าเขาจะยอมรับเพียงการยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขของเยอรมนี ญี่ปุ่น และอิตาลีเท่านั้น[293] ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1943 สหภาพโซเวียตได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ในยุทธการที่สตาลินกราด และในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1943 ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ชัยชนะในการทำให้ทหารเยอรมันและอิตาลีมากกว่า 250,000 นายยอมจำนนในแอฟริกาเหนือ เป็นการสิ้นสุดการทัพแอฟริกาเหนือ[294] ฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มบุกครองซิซิลีในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1943 และยึดเกาะได้ในเดือนถัดมา[295] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1943 ฝ่ายสัมพันธมิตรบรรลุข้อตกลงสงบศึกกับนายกรัฐมนตรีปีเอโตร บาโดลโยของอิตาลี แต่เยอรมนีก็รีบฟื้นมุสโสลินีให้กลับมามีอำนาจอย่างรวดเร็ว[295] การบุกครองแผ่นดินใหญ่ของอิตาลีเริ่มขึ้นในเดือนกันยายน ค.ศ. 1943 แต่การทัพอิตาลีดำเนินต่อไปจนถึง ค.ศ. 1945 เนื่องจากทหารเยอรมันและอิตาลียังคงต้านทานการรุกคืบของฝ่ายสัมพันธมิตร[296]

โรเซอเวลต์เลือกนายพลดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ซึ่งเคยบัญชาการกองกำลังพันธมิตรหลายชาติในแอฟริกาเหนือและซิซิลีได้อย่างประสบความสำเร็จ ให้เป็นผู้บัญชาการการบุกฝรั่งเศส[297] ไอเซนฮาวร์เริ่มปฏิบัติการปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ดในวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 โดยได้รับการสนับสนุนจากเครื่องบิน 12,000 ลำและกองกำลังทางเรือที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการระดมพล ฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถตั้งฐานหัวหาดในนอร์ม็องดีได้สำเร็จและรุกคืบเข้าฝรั่งเศสต่อไป[276] แม้จะไม่เต็มใจสนับสนุนรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่โรเซอเวลต์ก็รับรองรัฐบาลชั่วคราวแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสของชาร์ล เดอ โกลให้เป็นรัฐบาลโดยพฤตินัยของฝรั่งเศสในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1944[298] ตลอดหลายเดือนต่อมา ฝ่ายสัมพันธมิตรปลดปล่อยดินแดนเพิ่มเติมและเริ่มบุกเยอรมนี เมื่อถึงเดือนเมษายน ค.ศ. 1945 การต่อต้านของนาซีก็พังทลายลงจากการรุกคืบของทั้งฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกและสหภาพโซเวียต[299]
ในช่วงเปิดฉากของสงคราม ญี่ปุ่นได้ยึดครองฟิลิปปินส์ รวมถึงอาณานิคมของอังกฤษและเนเธอร์แลนด์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การรุกคืบของญี่ปุ่นถึงจุดสูงสุดในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1942 เมื่อกองทัพเรือสหรัฐได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดในยุทธนาวีที่มิดเวย์ จากนั้นกองกำลังของอเมริกาและออสเตรเลียก็เริ่มใช้ยุทธศาสตร์ที่ดำเนินการอย่างช้า ๆ และต้องสูญเสียสูงที่เรียกว่ายุทธวิธีข้ามเกาะ (island hopping หรือ leapfrogging) ทั่วหมู่เกาะแปซิฟิก โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างฐานทัพที่สามารถใช้อำนาจทางอากาศเชิงยุทธศาสตร์โจมตีญี่ปุ่นได้และเป็นฐานสำหรับการบุกญี่ปุ่นในท้ายที่สุด ต่างจากฮิตเลอร์ โรเซอเวลต์ไม่ได้มีส่วนร่วมโดยตรงในปฏิบัติการทางยุทธวิธีทางทะเล แม้เขาจะอนุมัติการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ก็ตาม[300] โรเซอเวลต์ยินยอมต่อข้อเรียกร้องอย่างหนักแน่นจากสาธารณชนและรัฐสภาที่ต้องการให้ทุ่มเทความพยายามต่อต้านญี่ปุ่นมากขึ้น แต่เขายืนกรานเสมอในยุทธศาสตร์เยอรมนีต้องมาก่อน กำลังของกองทัพเรือญี่ปุ่นถูกทำลายลงอย่างมากในยุทธนาวีที่อ่าวเลย์เต และภายในเดือนเมษายน ค.ศ. 1945 ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ยึดคืนดินแดนที่สูญเสียไปส่วนใหญ่ในแปซิฟิกแล้ว[301]
แนวหลัง
[แก้]ในช่วงสงคราม โครงสร้างทางสังคมภายในประเทศมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก แม้แนวหลังจะไม่ใช่ข้อกังวลด้านนโยบายที่เร่งด่วนที่สุดของโรเซอเวลต์อีกต่อไป การเร่งกำลังทหารได้กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานลดลง จาก 7.7 ล้านคนในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1940 เหลือ 3.4 ล้านคนในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1941 และเหลือ 1.5 ล้านคนในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1942 (จากกำลังแรงงานทั้งหมด 54 ล้านคน)[m] มีภาวะขาดแคลนแรงงานเพิ่มขึ้น ซึ่งเร่งให้เกิดการอพยพครั้งใหญ่ระลอกที่สองของชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกา เกษตรกร และประชากรในชนบทไปยังศูนย์กลางการผลิต ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาจากทางใต้เดินทางไปยังแคลิฟอร์เนียและรัฐอื่น ๆ ทางชายฝั่งตะวันตกเพื่อหางานใหม่ในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการใช้จ่ายของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น ใน ค.ศ. 1941 โรเซอเวลต์เสนอให้รัฐสภาออกกฎหมายอัตราภาษีเงินได้ที่ 99.5% สำหรับรายได้ทั้งหมดที่เกิน $100,000 แต่เมื่อข้อเสนอนั้นไม่ผ่าน เขาก็ออกคำสั่งฝ่ายบริหารเรียกเก็บภาษีเงินได้ 100% สำหรับรายได้ที่เกิน $25,000 ซึ่งภายหลังรัฐสภาได้ยกเลิกไป[303] รัฐบัญญัติรายได้ ค.ศ. 1942 กำหนดอัตราภาษีสูงสุดถึง 94% (หลังรวมภาษีกำไรส่วนเกิน) ขยายฐานภาษีอย่างมาก และริเริ่มภาษีหัก ณ ที่จ่ายของรัฐบาลกลางเป็นครั้งแรก[304] ใน ค.ศ. 1944 โรเซอเวลต์ขอให้รัฐสภาออกกฎหมายเก็บภาษีกำไร "ที่ไม่สมเหตุสมผล" ทั้งของบริษัทและบุคคล เพื่อสนับสนุนความต้องการรายได้มากกว่า $1 หมื่นล้านสำหรับสงครามและมาตรการของรัฐบาลอื่น ๆ รัฐสภาได้ยับยั้งการวีโต้ของโรเซอเวลต์เพื่อผ่านร่างกฎหมายรายได้ขนาดเล็กกว่า ซึ่งเพิ่มรายได้ $2 พันล้าน[305]
ใน ค.ศ. 1942 การผลิตเพื่อสงครามเพิ่มขึ้นอย่างมากแต่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายของโรเซอเวลต์ ส่วนหนึ่งเนื่องจากปัญหาการขาดแคลนกำลังคน[306] ความพยายามดังกล่าวยังถูกขัดขวางโดยการหยุดงานประท้วงหลายครั้ง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหินและทางรถไฟ ซึ่งกินเวลานานจนถึง ค.ศ. 1944[307][308] อย่างไรก็ดี ระหว่าง ค.ศ. 1941 ถึง 1945 สหรัฐผลิตรถบรรทุก 2.4 ล้านคัน อากาศยานทางทหาร 300,000 ลำ รถถัง 88,400 คัน และกระสุน 4 หมื่นล้านนัด กำลังการผลิตของสหรัฐนั้นเหนือกว่าประเทศอื่น ๆ อย่างมาก ตัวอย่างเช่น ใน ค.ศ. 1944 สหรัฐผลิตอากาศยานทางทหารมากกว่าผลผลิตรวมของเยอรมนี ญี่ปุ่น อังกฤษ และสหภาพโซเวียต[309] ทำเนียบขาวกลายเป็นศูนย์กลางสุดท้ายสำหรับการไกล่เกลี่ย ประนีประนอม หรืออนุญาโตตุลาการด้านแรงงาน มีข้อพิพาทครั้งใหญ่เกิดขึ้นระหว่างรองประธานาธิบดีวอลเลซ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะกรรมาธิการสงครามเศรษฐกิจ กับเจสซี เอช. โจนส์ ซึ่งดูแลบรรษัทการเงินเพื่อการฟื้นฟู ทั้งสองหน่วยงานรับผิดชอบการจัดซื้อยางและเกิดความขัดแย้งเรื่องเงินทุน โรเซอเวลต์แก้ไขข้อพิพาทโดยการยุบทั้งสองหน่วยงาน[310] ใน ค.ศ. 1943 โรเซอเวลต์ก่อตั้งสำนักงานระดมพลสงครามเพื่อกำกับดูแลแนวหลัง หน่วยงานนี้นำโดยเจมส์ เอฟ. เบินส์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม "ผู้ช่วยประธานาธิบดี" จากอิทธิพลของเขา[295]
สุนทรพจน์สถานการณ์ของสหภาพ ค.ศ. 1944 ของโรเซอเวลต์ที่เสนอว่าชาวอเมริกันควรพิจารณาสิทธิทางเศรษฐกิจพื้นฐานว่าเป็นบัญญัติสิทธิที่สอง[311] เขาประกาศว่าชาวอเมริกันทุกคนควรมีสิทธิใน "การดูแลทางการแพทย์ที่เพียงพอ", "การศึกษาที่ดี", "บ้านที่ดีสมควร" และ "งานที่มีประโยชน์และมีค่าตอบแทน"[312] ข้อเสนอภายในประเทศที่มีความทะเยอทะยานที่สุดในวาระที่สามของเขาคือร่างกฎหมายจีไอ ซึ่งจะสร้างโครงการสวัสดิการขนาดใหญ่สำหรับทหารที่เดินทางกลับมา สิทธิประโยชน์รวมถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษา การดูแลทางการแพทย์ ประกันการว่างงาน การให้คำปรึกษาด้านอาชีพ และเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับบ้านและธุรกิจ ร่างกฎหมายจีไอผ่านอย่างเป็นเอกฉันท์ในสภาทั้งสองและได้รับการลงนามให้เป็นกฎหมายในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1944 ในบรรดาชาวอเมริกันสิบห้าล้านคนที่รับราชการในสงครามโลกครั้งที่สอง มีมากกว่าครึ่งได้รับประโยชน์จากโอกาสทางการศึกษาที่บัญญัติไว้ในร่างกฎหมายจีไอ[313]
ในช่วงใกล้สิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่ง โรเซอเวลต์สนับสนุนแนวคิดการตั้งพรรคเสรีนิยมใหม่ร่วมกับเวนเดล วิลกี อดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันสายเสรีนิยม (ซึ่งเป็นผู้เสนอแนวคิดนี้) โดยเชื่อว่าควรมีสองพรรคในอเมริกาที่แตกต่างกันทางอุดมการณ์อย่างชัดเจน คือ พรรคเสรีนิยมและพรรคอนุรักษนิยม[314]
สุขภาพที่เสื่อมถอย
[แก้]โรเซอเวลต์เป็นคนที่สูบบุหรี่จัดตลอดชีวิตวัยผู้ใหญ่[315][316] และสุขภาพของเขาทรุดโทรมลงมาตั้งแต่ ค.ศ. 1940 ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1944 ไม่นานหลังวันเกิดครบรอบ 62 ปี เขาเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลเบเทสดาและพบว่าเป็นความดันโลหิตสูง หลอดเลือดแดงแข็ง โรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจที่ทำให้เกิดอาการปวดเค้นหัวใจ และโรคหัวใจเลือดคั่ง[317][318][319]
แพทย์ในโรงพยาบาลและผู้เชี่ยวชาญภายนอกสองคนสั่งให้โรเซอเวลต์พักผ่อน พลเรือเอก รอส แมกอินไทร์ แพทย์ส่วนตัวของเขา ได้กำหนดตารางประจำวันที่ห้ามแขกมาติดต่อเรื่องงานในช่วงอาหารกลางวันและรวมการพักผ่อนวันละสองชั่วโมงไว้ด้วย ระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งซ้ำ ค.ศ. 1944 แมกอินไทร์ปฏิเสธหลายครั้งว่าสุขภาพของโรเซอเวลต์ย่ำแย่ ตัวอย่างเช่น วันที่ 12 ตุลาคม เขาประกาศว่า "สุขภาพของท่านประธานาธิบดีปกติดีทุกอย่าง ไม่มีปัญหาทางกายภาพใด ๆ แม้แต่น้อย"[320] โรเซอเวลต์ตระหนักดีว่าสุขภาพที่เสื่อมถอยของเขาอาจทำให้เขาไม่สามารถเป็นประธานาธิบดีต่อไปได้ในที่สุด และใน ค.ศ. 1945 เขาบอกกับคนสนิทว่าเขาอาจจะลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีภายหลังสงครามสิ้นสุดลง[321]
การเลือกตั้ง ค.ศ. 1944
[แก้]
แม้จะมีเดโมแครตบางส่วนคัดค้านการเสนอชื่อโรเซอเวลต์ใน ค.ศ. 1940 แต่ประธานาธิบดีก็แทบไม่พบอุปสรรคใด ๆ ในการเสนอชื่อตัวเองอีกครั้งใน การประชุมใหญ่แห่งชาติพรรคเดโมแครต ค.ศ. 1944 โรเซอเวลต์ประกาศชัดเจนก่อนการประชุมว่าต้องการดำรงตำแหน่งอีกวาระ และในการลงคะแนนเสียงประธานาธิบดีเพียงครั้งเดียวของการประชุม โรเซอเวลต์ก็ได้รับคะแนนเสียงส่วนใหญ่จากผู้แทน แม้เดโมแครตภาคใต้ส่วนน้อยจะลงคะแนนให้แฮร์รี เอฟ. เบิร์ด ผู้นำพรรคโน้มน้าวโรเซอเวลต์ให้ตัดชื่อรองประธานาธิบดีเฮนรี วอลเลซออกจากผู้สมัคร เพราะเชื่อว่าเขาเป็นจุดอ่อนทางการเลือกตั้งและอาจเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมในกรณีโรเซอเวลต์ถึงแก่อสัญกรรม โรเซอเวลต์ต้องการเจมส์ เอฟ. เบินส์ให้มาแทนวอลเลซแต่ก็ถูกโน้มน้าวให้สนับสนุนวุฒิสมาชิกแฮร์รี เอส. ทรูแมนจากรัฐมิสซูรีแทน ซึ่งได้รับชื่อเสียงจากการสืบสวนการขาดประสิทธิภาพในการผลิตเพื่อสงครามและเป็นที่ยอมรับของฝ่ายต่าง ๆ ในพรรค ในการลงคะแนนรองประธานาธิบดีครั้งที่สองของการประชุม ทรูแมนเอาชนะวอลเลซและได้รับการเสนอชื่อ[322]
ริพับลิกันเสนอชื่อทอมัส อี. ดิวอี ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ซึ่งมีชื่อเสียงว่าเป็นเสรีนิยมในพรรคของเขา พวกเขากล่าวหาคณะบริหารโรเซอเวลต์ว่ามีการทุจริตภายในประเทศและการบริหารที่ไม่มีประสิทธิภาพ แต่กลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุดของดิวอีคือการยกประเด็นเรื่องอายุขึ้นมาอย่างมีชั้นเชิง เขาโจมตีประธานาธิบดีว่าเป็น "ชายชราที่เหนื่อยล้า" ที่มี "คนชราที่เหนื่อยล้า" อยู่ในคณะรัฐมนตรี โดยชี้ให้เห็นว่าการขาดพลังของประธานาธิบดีทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไม่เป็นไปอย่างเข้มแข็งเท่าที่ควร[134] โรเซอเวลต์ ซึ่งผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่เห็นได้จากการลดน้ำหนักและรูปลักษณ์ที่เหนื่อยล้าของเขา ก็เป็นชายที่เหนื่อยล้าใน ค.ศ. 1944 แต่เมื่อเข้าสู่การหาเสียงอย่างจริงจังในช่วงปลายเดือนกันยายน ค.ศ. 1944 โรเซอเวลต์ก็แสดงความกระตือรือร้นมากพอจะปัดเป่าความกังวลส่วนใหญ่และเบี่ยงเบนการโจมตีของริพับลิกัน ในขณะที่สงครามยังคงดำเนินอยู่ เขาเรียกร้องให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งอย่า "เปลี่ยนม้ากลางลำธาร"[134] สหภาพแรงงานที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงสงครามให้การสนับสนุนโรเซอเวลต์อย่างเต็มที่ โรเซอเวลต์และทรูแมนชนะการเลือกตั้ง ค.ศ. 1944 โดยเอาชนะดิวอีและจอห์น ดับเบิลยู. บริกเกอร์ คู่สมัครของเขา ด้วยคะแนนนิยม 53.4% และคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 432 จาก 531 คะแนน[323] ประธานาธิบดีรณรงค์สนับสนุนสหประชาชาติที่เข้มแข็ง ดังนั้นชัยชนะของเขาจึงเป็นสัญลักษณ์ของการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประเทศในประชาคมระหว่างประเทศในอนาคต[324]
เดือนสุดท้ายและอสัญกรรม
[แก้]
เมื่อโรเซอเวลต์เดินทางกลับมายังสหรัฐจากการประชุมยอลตา ทุกคนต่างตกใจที่เห็นเขาดูแก่ชรา ผอม และอ่อนแอมาก ในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อรัฐสภา เขาพูดขณะนั่ง ซึ่งเป็นการยอมรับถึงความบกพร่องทางร่างกายที่ไม่เคยมีมาก่อน[325] วันที่ 29 มีนาคม ค.ศ. 1945 โรเซอเวลต์ได้เดินทางไปยังลิตเทิลไวต์เฮาส์ในวอร์มสปริงส์ รัฐจอร์เจีย เพื่อพักผ่อนก่อนการปรากฏตัวที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในการประชุมก่อตั้งสหประชาชาติ[326]
ในช่วงบ่ายของวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1945 ที่วอร์มสปริงส์ รัฐจอร์เจีย ขณะกำลังนั่งให้เอลิซาเบธ ชูมาทอฟฟ์วาดภาพเหมือน โรเซอเวลต์กล่าวว่า "ผมปวดหัวมาก" จากนั้นเขาก็ทรุดตัวบนเก้าอี้และหมดสติ ก่อนจะถูกนำตัวไปยังห้องนอน ฮาวเวิร์ด บรูเอนน์ แพทย์โรคหัวใจประจำตัวของประธานาธิบดีวินิจฉัยว่าเกิดเลือดออกในสมองอย่างรุนแรง[327] เวลา 15:35 น. โรเซอเวลต์ก็ถึงแก่อสัญกรรมด้วยวัย 63 ปี[328]
ร่างของโรเซอเวลต์ถูกบรรจุในหีบศพคลุมด้วยธงชาติและนำขึ้นรถไฟประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาเจลลันเพื่อเดินทางกลับไปยังวอชิงตัน[329] ด้วยสหรัฐยังอยู่ในภาวะสงคราม จึงเห็นว่าการจัดรัฐพิธีศพเป็นสิ่งไม่เหมาะสมและเลือกที่จะจัดพิธีขนาดเล็กแทน ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ผู้คนหลายพันคนก็หลั่งไหลมาตามเส้นทางรถไฟเพื่อแสดงความเคารพ[330]
แทนที่จะนำร่างไปตั้งไว้ที่อาคารรัฐสภาสหรัฐตามธรรมเนียม ร่างของโรเซอเวลต์ถูกนำไปไว้ที่ห้องตะวันออกของทำเนียบขาว ที่ซึ่งมีการจัดพิธีศพอย่างเรียบง่ายในวันที่ 14 เมษายน โดยมีครอบครัว เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล และเอกอัครราชทูตต่างประเทศเข้าร่วม จากนั้นโรเซอเวลต์ถูกส่งต่อไปยังบ้านเกิดของเขาที่ไฮด์พาร์ก และในวันที่ 15 เมษายน เขาได้ถูกฝังตามความประสงค์ในสวนกุหลาบของคฤหาสน์สปริงวูด[331][332]
อสัญกรรมของเขาถูกตอบรับด้วยความตกใจและเศร้าโศกทั่วโลก[333] เยอรมนียอมจำนนในช่วงเวลา 30 วันของการไว้ทุกข์ แต่แฮร์รี ทรูแมน (ผู้สืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากโรเซอเวลต์) ได้สั่งให้ธงยังคงลดครึ่งเสา และอุทิศวันชัยในยุโรปและการเฉลิมฉลองให้แก่ความทรงจำของโรเซอเวลต์[334] สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงด้วยการลงนามยอมจำนนของญี่ปุ่นในเดือนกันยายน[335]
สุขภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลงของโรเซอเวลต์ถูกปิดเป็นความลับจากสาธารณะ เช่นเดียวกับการใช้รถเข็นของเขา แม้เขาจะได้รับอนุญาตให้ทำงานเพียงวันละสี่ชั่วโมง แต่ก็ยังคงสร้างภาพลวงตาของความกระฉับกระเฉงในการทำงานเอาไว้[336] ในหนังสือวิชาการ The Dying President: Franklin D. Roosevelt, 1944–1945 โดยรอเบิร์ต เฟอร์เรล ได้สำรวจขอบเขตที่ประธานาธิบดีและผู้ช่วยคนสำคัญของเขาพยายามปกปิดความเสื่อมโทรมของสุขภาพจากสาธารณชน รวมถึงปัญหาทางการเมืองและการทูตที่เกิดขึ้นทั้งจากความเจ็บป่วยและการปกปิดนั้น[337] หนังสือเล่มนี้ให้เหตุผลว่าโรเซอเวลต์ป่วยเกินกว่าจะอยู่ในตำแหน่ง และการที่เขาไม่สามารถทำงานได้นำไปสู่ข้อผิดพลาดสำคัญในนโยบายต่างประเทศใน ค.ศ. 1944–1945 ตลอดจนความล้มเหลวในการเตรียมพร้อมให้รองประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมนเข้ารับตำแหน่ง พลังงานเพียงเล็กน้อยที่เขามีสำหรับกิจการประธานาธิบดีนั้นมุ่งเน้นไปที่การสร้างการสนับสนุนสำหรับสหประชาชาติแห่งใหม่[338]
สิทธิพลเมือง การส่งกลับประเทศ การกักกัน และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
[แก้]
ตั้งแต่สมัยแรกของเขาจนถึง ค.ศ. 1939 การส่งชาวเม็กซิโกกลับประเทศที่ริเริ่มโดยประธานาธิบดีเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ยังคงดำเนินต่อไปภายใต้โรเซอเวลต์ ซึ่งปัจจุบันนักวิชาการโต้แย้งว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการล้างชาติพันธุ์ต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิโก โรเซอเวลต์ยุติการมีส่วนร่วมของรัฐบาลกลางในการเนรเทศดังกล่าว และหลัง ค.ศ. 1934 การเนรเทศลดลงประมาณร้อยละ 50[339] อย่างไรก็ตาม โรเซอเวลต์ไม่ได้พยายามระงับการเนรเทศในระดับท้องถิ่นหรือระดับรัฐ[340][341] ชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิโกเป็นกลุ่มเดียวที่ถูกกีดกันอย่างชัดเจนจากผลประโยชน์ของสัญญาใหม่ การปฏิเสธวิถีทางที่ถูกต้องสำหรับชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิโกถูกอ้างถึงว่าเป็นแบบอย่างสำหรับการที่โรเซอเวลต์สั่งกักกันชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นในค่ายกักกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง[342] โรเซอเวลต์ได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากชาวอเมริกันเชื้อสายจีนและชาวอเมริกันเชื้อสายฟิลิปปินส์ แต่ไม่ได้รับจากชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น เนื่องจากเขาเป็นผู้นำการกักกันพวกเขาในช่วงสงคราม[343] ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาและชาวอเมริกันพื้นเมืองได้รับประโยชน์อย่างดีจากสองโครงการบรรเทาทุกข์สัญญาใหม่ คือ หน่วยอนุรักษ์พลเรือนและรัฐบัญญัติการจัดระเบียบอินเดียน ตามลำดับ ซิตคอฟฟ์รายงานว่า WPA "เป็นแหล่งรายได้หลักให้แก่ชุมชนคนผิวสีทั้งหมดในทศวรรษ 1930 โดยเป็นคู่แข่งกับทั้งภาคเกษตรและการบริการในครัวเรือน"[344]
การลงประชาทัณฑ์และสิทธิพลเมือง
[แก้]ตรงกันข้ามกับประธานาธิบดีฮาร์ดิงและคูลิดจ์ โรเซอเวลต์ไม่ได้ดำเนินการถึงขั้นเข้าร่วมกับผู้นำสมาคมแห่งชาติเพื่อความก้าวหน้าของคนผิวสี (NAACP) ในการผลักดันกฎหมายต่อต้านการลงประชาทัณฑ์ของรัฐบาลกลาง เขาให้เหตุผลว่ากฎหมายดังกล่าวไม่น่าจะผ่านและการที่เขาสนับสนุนจะทำให้สมาชิกสภาจากรัฐทางใต้ไม่พอใจ แม้ใน ค.ส. 1940 รองประธานาธิบดีสายอนุรักษนิยมจากรัฐเท็กซัสของเขาอย่างการ์เนอร์ก็ให้การสนับสนุนการดำเนินการของรัฐบาลกลางเพื่อต่อต้านการลงประชาทัณฑ์แล้วก็ตาม[345]
โรเซอเวลต์ไม่ได้แต่งตั้งหรือเสนอชื่อชาวแอฟริกันเชื้อสายอเมริกันให้เป็นรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีช่วยในคณะรัฐมนตรีของเขาแม้แต่คนเดียว อย่างไรก็ตาม มีชาวแอฟริกันเชื้อสายอเมริกันประมาณหนึ่งร้อยคนได้พบปะอย่างไม่เป็นทางการ เพื่อให้คำแนะนำแก่รัฐบาลในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับชาวแอฟริกันเชื้อสายอเมริกัน แม้บางครั้งจะถูกเรียกว่า "คณะรัฐมนตรีผิวดำ" (Black Cabinet) แต่โรเซอเวลต์ไม่เคยยอมรับอย่างเป็นทางการหรือแต่งตั้งบุคคลให้เข้าสู่ตำแหน่งนี้เลย[346]
สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง เอลิเนอร์ โรเซอเวลต์ ได้แสดงการสนับสนุนอย่างเปิดเผยต่อความพยายามที่จะช่วยเหลือชุมชนชาวแอฟริกันเชื้อสายอเมริกัน รวมถึงรัฐบัญญัติมาตรฐานแรงงานที่เป็นธรรม ซึ่งช่วยเพิ่มค่าแรงให้แก่คนงานที่ไม่ใช่คนผิวขาวในภาคใต้[347] ใน ค.ศ. 1941 โรเซอเวลต์ตั้งคณะกรรมการแนวปฏิบัติการจ้างงานอย่างเป็นธรรม (FEPC) เพื่อดำเนินการตามคำสั่งฝ่ายบริหารที่ 8802 ซึ่งห้ามการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติและศาสนาในการจ้างงานในกลุ่มผู้รับเหมาด้านการป้องกันประเทศ FEPC นับเป็นโครงการระดับชาติโครงการแรกที่มุ่งเป้าไปที่การเลือกปฏิบัติในการจ้างงาน และมีบทบาทสำคัญในการเปิดโอกาสการจ้างงานใหม่ ๆ ให้แก่คนงานที่ไม่ใช่คนผิวขาว ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง สัดส่วนของชายชาวแอฟริกันเชื้อสายอเมริกันที่ทำงานในตำแหน่งการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ[348] จากการตอบสนองต่อนโยบายของโรเซอเวลต์ ชาวแอฟริกันเชื้อสายอเมริกันจึงเปลี่ยนจากการสนับสนุนพรรครีพับลิกันมาสู่พรรคเดโมแครตมากขึ้นในช่วงทศวรรษ 1930 และ 1940 และกลายเป็นกลุ่มผู้ลงคะแนนเสียงสำคัญของพรรคเดโมแครตในหลายรัฐทางเหนือ[346]
ชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น
[แก้]การโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์สร้างความกังวลในหมู่สาธารณชนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการก่อวินาศกรรมโดยชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น ความสงสัยนี้เพิ่มขึ้นจากการเหยียดเชื้อชาติที่มีต่อผู้อพยพชาวญี่ปุ่นมาอย่างยาวนานและจากข้อสรุปของคณะกรรมาธิการรอเบิตส์ที่สรุปว่าการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ได้รับความช่วยเหลือจากสายลับชาวญี่ปุ่น วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1942 โรเซอเวลต์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารที่ 9066 ซึ่งส่งผลให้มีการย้ายถิ่นฐานของพลเมืองและผู้อพยพชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นจำนวน 110,000 คน ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามชายฝั่งแปซิฟิก[154] พวกเขาถูกบังคับให้ต้องขายทรัพย์สินและธุรกิจของตนและถูกกักกันในค่ายที่สร้างขึ้นอย่างเร่งด่วนในพื้นที่ห่างไกลและทุรกันดารภายในประเทศ
โรเซอเวลต์มอบหมายการตัดสินใจเรื่องการกักกันนี้ให้แก่รัฐมนตรีสงครามสติมสัน ซึ่งต่อมาได้อาศัยการตัดสินใจของจอห์น เจ. แมกคลอย รัฐมนตรีช่วยสงคราม ศาลสูงสุดสหรัฐยืนยันว่าคำสั่งฝ่ายบริหารนี้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญในคดีระหว่างโคเรมัตสึกับสหรัฐเมื่อ ค.ศ. 1944[349] ในขณะเดียวกัน มีพลเมืองชาวเยอรมันและอิตาลีจำนวนน้อยกว่ามากที่ถูกจับกุมหรือถูกกักกันในค่าย แต่ต่างจากชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นตรงที่พวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปยังค่ายเหล่านั้นโดยอาศัยพื้นฐานทางเชื้อชาติเพียงอย่างเดียว[350][351]
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
[แก้]มีความขัดแย้งในหมู่นักประวัติศาสตร์เกี่ยวกับทัศนคติของโรเซอเวลต์ที่มีต่อชาวยิวและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาทอร์ เอ็ม. ชเลซินเจอร์ จูเนียร์ กล่าวว่าโรเซอเวลต์ "ได้ทำในสิ่งที่เขาทำได้" เพื่อช่วยเหลือชาวยิว ขณะที่เดวิด ไวแมน กล่าวว่าบันทึกการดำเนินงานของโรเซอเวลต์เกี่ยวกับผู้ลี้ภัยชาวยิวและการช่วยเหลือพวกเขานั้น "ย่ำแย่มาก" และเป็นหนึ่งในความล้มเหลวที่เลวร้ายที่สุดในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขา[352] ใน ค.ศ. 1923 ในฐานะคณะกรรมการบริหารของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โรเซอเวลต์ตัดสินใจว่ามีนักศึกษาชาวยิวในฮาร์วาร์ดมากเกินไปและช่วยจัดโควตาเพื่อจำกัดจำนวนชาวยิวที่รับเข้า[353] หลังคืนกระจกแตกใน ค.ศ. 1938 โรเซอเวลต์ได้เรียกเอกอัครราชทูตของเขากลับจากเยอรมนีมายังวอชิงตัน เขาไม่ได้ลดโควตาการเข้าเมืองแต่อนุญาตให้ชาวยิวเชื้อสายเยอรมันที่อยู่ในสหรัฐด้วยวีซ่าสามารถอยู่ต่อได้โดยไม่มีกำหนด[354] จากข้อมูลของราฟาเอล เมดอฟฟ์ โรเซอเวลต์สามารถช่วยชีวิตชาวยิวได้ถึง 190,000 คนโดยสั่งให้กระทรวงการต่างประเทศของเขาอนุมัติโควตาการเข้าเมืองให้เต็มตามขีดจำกัดทางกฎหมาย แต่คณะบริหารของเขากลับไม่สนับสนุนและตัดสิทธิ์ผู้ลี้ภัยชาวยิวโดยใช้ข้อกำหนดที่เป็นอุปสรรคซึ่งทำให้มีการใช้โควตาน้อยกว่า 25%[353]
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์เลือกที่จะดำเนินการ "มาตรการสุดท้าย" ซึ่งคือการกำจัดประชากรชาวยุโรปเชื้อสายยิวภายในเดือนมกราคม ค.ศ. 1942 และเจ้าหน้าที่อเมริกันได้รับทราบถึงขนาดของการสังหารของนาซีในหลายเดือนต่อมา แม้จะมีการคัดค้านจากกระทรวงการต่างประเทศ โรเซอเวลต์ได้โน้มน้าวให้ผู้นำพันธมิตรคนอื่น ๆ ออกปฏิญญาร่วมโดยสมาชิกสหประชาชาติ ซึ่งประณามการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กำลังดำเนินอยู่และเตือนว่าจะนำผู้กระทำผิดมาขึ้นศาลในฐานะอาชญากรสงคราม ใน ค.ศ. 1943 โรเซอเวลต์บอกกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐว่าควรมีการจำกัดชาวยิวในหลากหลายอาชีพเพื่อ "กำจัดข้อร้องเรียนที่เจาะจงและเข้าใจได้ที่ชาวเยอรมันมีต่อชาวยิวในเยอรมนี"[353] ในปีเดียวกันนั้น โรเซอเวลต์ได้รับฟังบรรยายสรุปเป็นการส่วนตัวจากยาน คาร์สกี เจ้าหน้าที่ข่าวกรองกองทัพบ้านเกิดโปแลนด์ ซึ่งเป็นพยานผู้เห็นเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ คาร์สกีวิงวอนให้มีการดำเนินการและบอกเขาว่าชาวยิว 1.8 ล้านคนถูกกำจัดไปแล้ว[355][356] คาร์สกีเล่าว่า โรเซอเวลต์ "ไม่ได้ถามคำถามเดียวเกี่ยวกับชาวยิว"[357] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1944 โรเซอเวลต์ก่อตั้งคณะกรรมาธิการผู้ลี้ภัยสงครามเพื่อช่วยเหลือชาวยิวและเหยื่ออื่น ๆ จากความโหดร้ายของฝ่ายอักษะ นอกเหนือจากการกระทำเหล่านี้ โรเซอเวลต์เชื่อว่าวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยเหลือประชากรที่ถูกประหัตประหารในยุโรปคือการยุติสงครามให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผู้นำทหารระดับสูงและผู้นำกระทรวงการสงครามปฏิเสธการทัพใด ๆ ที่จะทิ้งระเบิดค่ายมรณะหรือเส้นทางรถไฟที่นำไปสู่ค่ายเหล่านั้น โดยเกรงว่าจะเป็นการเบี่ยงเบนความพยายามในการทำสงคราม ตามคำกล่าวของจีน เอ็ดเวิร์ด สมิธ นักเขียนชีวประวัติ ไม่มีหลักฐานว่ามีผู้ใดเคยเสนอการรณรงค์ดังกล่าวให้โรเซอเวลต์[358]
มรดก
[แก้]ชื่อเสียงทางประวัติศาสตร์
[แก้]โรเซอเวลต์ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ[359] และเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในศตวรรษที่ 20[360] นักประวัติศาสตร์และนักรัฐศาสตร์จัดอันดับให้โรเซอเวลต์, จอร์จ วอชิงตัน และเอบราแฮม ลิงคอล์นเป็นสามประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างสม่ำเสมอ แม้ลำดับจะแตกต่างกันไป[361][362][363][364] นักเขียนชีวประวัติ จีน เอ็ดเวิร์ด สมิธ กล่าวถึงการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของโรเซอเวลต์ "ซึ่งนำสหรัฐผ่านพ้นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่และสงครามโลกครั้งที่สองไปสู่อนาคตที่รุ่งเรือง" ใน ค.ศ. 2007 ว่า "เขายกตัวเองจากรถเข็นเพื่อยกระดับประเทศให้ลุกขึ้นจากความทรุดโทรม"[365]
ความมุ่งมั่นของเขาต่อชนชั้นแรงงานและผู้ว่างงานที่ต้องการความช่วยเหลือในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ยาวนานที่สุดของประเทศทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของคนงานปกน้ำเงิน สหภาพแรงงาน และชนกลุ่มน้อย[366] การขยายตัวอย่างรวดเร็วของโครงการของรัฐบาลที่เกิดขึ้นในสมัยของโรเซอเวลต์ได้กำหนดนิยามใหม่ของบทบาทรัฐบาลในสหรัฐ และการสนับสนุนโครงการด้านสังคมของรัฐบาลของโรเซอเวลต์ก็มีส่วนสำคัญในการ กำหนดนิยามใหม่ของเสรีนิยมสำหรับคนรุ่นหลัง[367] โรเซอเวลต์ได้สถาปนาความเป็นผู้นำของสหรัฐในเวทีโลกอย่างถาวรด้วยบทบาทของเขาในการกำหนดและให้การสนับสนุนทางการเงินในสงครามโลกครั้งที่สอง นักวิจารณ์สายแยกอยู่เดี่ยวของเขาได้จางหายไป และแม้แต่ริพับลิกันก็เข้าร่วมในนโยบายโดยรวมของเขา[368] เขายังเพิ่มอำนาจของประธานาธิบดีอย่างถาวรโดยลดทอนอำนาจของรัฐสภา[369]
บัญญัติสิทธิที่สองของเขากลายเป็น "พื้นฐานสำหรับความมุ่งมั่นของพรรคเดโมแครตในช่วงสี่ทศวรรษต่อมา" ตามคำกล่าวของนักประวัติศาสตร์ โจชัว ไซต์ซ[312] หลังอสัญกรรมของเขา เอลิเนอร์ยังคงเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลอย่างมากในการเมืองสหรัฐและการเมืองโลก โดยทำหน้าที่เป็นผู้แทนในการประชุมก่อตั้งสหประชาชาติและเป็นผู้สนับสนุนสิทธิพลเมืองและเสรีนิยมโดยทั่วไป อดีตเจ้าหน้าที่ระดับล่างในสัญญาใหม่บางคนมีบทบาทนำในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรูแมน, จอห์น เอฟ. เคนเนดี, และลินดอน บี. จอห์นสัน อย่างไรก็ตาม เคนเนดีมาจากครอบครัวที่เกลียดโรเซอเวลต์ นักประวัติศาสตร์ วิลเลียม ลอยช์เทนเบิร์กกล่าวว่าก่อน ค.ศ. 1960 "เคนเนดีแสดงให้เห็นถึงความไม่เต็มใจจะระบุตนเองว่าเป็นเสรีนิยมสายสัญญาใหม่" และเขากล่าวเสริมว่า ในฐานะประธานาธิบดี "เคนเนดีไม่เคยยอมรับธรรมเนียมของโรเซอเวลต์อย่างสมบูรณ์และบางครั้งเขาก็แยกตัวออกจากมันอย่างจงใจ"[370] ในทางตรงกันข้าม ลินดอน จอห์นสันในวัยหนุ่มเป็นผู้ที่กระตือรือร้นในสัญญาใหม่และเป็นที่โปรดปรานของโรเซอเวลต์ จอห์นสันจำลองการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาตามแบบอย่างของโรเซอเวลต์[371][372]
ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน มีข้อวิจารณ์มากมายต่อโรเซอเวลต์ บางส่วนก็รุนแรง ผู้ที่วิจารณ์ตั้งคำถามไม่เพียงแต่นโยบาย ตำแหน่ง และการรวมอำนาจที่เกิดขึ้นจากการตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและสงครามโลกครั้งที่สองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการที่เขาฝ่าฝืนธรรมเนียมด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สาม[373] หลังอสัญกรรมของเขามานาน มีการวิจารณ์ใหม่ ๆ เกี่ยวกับนโยบายของโรเซอเวลต์ในการช่วยเหลือชาวยิวในยุโรป[374] การกักกันชาวญี่ปุ่นในชายฝั่งตะวันตก[375] และการต่อต้านกฎหมายต่อต้านการลงประชาทัณฑ์[376]
โรเซอเวลต์ถูกวิจารณ์จากอนุรักษนิยมสำหรับ นโยบายทางเศรษฐกิจของเขา โดยเฉพาะการเปลี่ยนแนวคิดจากปัจเจกนิยมไปสู่กลุ่มนิยมด้วยการขยายรัฐสวัสดิการและการควบคุมเศรษฐกิจ ข้อวิจารณ์เหล่านั้นยังคงดำเนินต่อไปอีกหลายทศวรรษหลังอสัญกรรมของเขา ปัจจัยหนึ่งในการกลับมาทบทวนประเด็นเหล่านี้คือการเลือกตั้งโรนัลด์ เรแกนใน ค.ศ. 1980 ซึ่งต่อต้านสัญญาใหม่[377][378] การออกคำสั่งฝ่ายบริหารที่ 6102 ของโรเซอเวลต์ ซึ่งกำหนดให้มีการริบทองคำครั้งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์อเมริกา ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักลงทุนทองคำ[165]
อนุสรณ์
[แก้]บ้านของโรเซอเวลต์ที่ไฮด์พาร์ก ปัจจุบันเป็นแหล่งประวัติศาสตร์แห่งชาติและเป็นที่ตั้งของหอสมุดประธานาธิบดีของเขา นวอชิงตัน ดี.ซี. มีอนุสรณ์สถานสองแห่ง ได้แก่ อนุสรณ์สถานโรเซอเวลต์ขนาด 7 1⁄2 เอเคอร์ (3 เฮกตาร์) อยู่ถัดจากอนุสรณ์สถานเจฟเฟอร์สันบนไทดัลเบซิน[379] และอนุสรณ์สถานขนาดเล็ก เป็นแท่งหินอ่อนหน้าอาคารหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ซึ่งโรเซอเวลต์เสนอไว้ด้วยตนเองและสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1965[380] การเป็นผู้นำของโรเซอเวลต์ใน March of Dimes เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาได้รับการระลึกถึงบนเหรียญไดม์[381] โรเซอเวลต์ยังปรากฏบนแสตมป์ไปรษณีย์สหรัฐหลายดวง[382] วันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1945 สิบเจ็ดวันหลังอสัญกรรมของโรเซอเวลต์ เรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอส แฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์ได้ถูกปล่อยลงน้ำและประจำการตั้งแต่ ค.ศ. 1945 ถึง 1977[383] เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ในลอนดอนก็มีอนุสรณ์สถานแผ่นหินสำหรับโรเซอเวลต์ ซึ่งเปิดตัวโดยแอตต์ลีและเชอร์ชิลใน ค.ศ. 1948[384] เกาะเวลแฟร์ถูกเปลี่ยนชื่อตามโรเซอเวลต์ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1973[385]
- รูปปั้นโรเซอเวลต์ในจัตุรัสกรอสเวเนอร์ ลอนดอน
- ภาพแกะสลักของเสรีภาพทั้งสี่ที่อนุสรณ์สถานแฟรงคลิน เดลาโน โรเซอเวลต์ เปิดให้เข้าชมใน ค.ศ. 1997 ในวอชิงตัน ดี.ซี.
- ชุดแสตมป์สี่ดวงเพื่อเป็นเกียรติแก่เอฟดีอาร์ ออกเพียงสองเดือนหลังอสัญกรรมใน ค.ศ. 1945
หมายเหตุ
[แก้]- ↑ ออกเสียงว่า /ˈdɛlənoʊ ˈroʊzəvɛlt, -vəlt/ DEL-ə-noh-_-ROH.[1]
- ↑ ใน ค.ศ. 2008 โคลัมเบียได้มอบปริญญา Juris Doctor ให้กับโรเซอเวลต์หลังมรณกรรม[26]
- ↑ สภานิติบัญญัติของรัฐเลือกสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐก่อนที่จะมีการให้สัตยาบันการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐครั้งที่ 17 ใน ค.ศ. 1913
- ↑ โรเซอเวลต์เป็นประธานาธิบดีคนสุดท้ายที่เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 4 มีนาคม การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 20 ได้เปลี่ยนแปลงกำหนดการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นวันที่ 20 มกราคม เริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1937
- ↑ นักเขียนชีวประวัติ ฌอน เอ็ดเวิร์ด สมิธ ตั้งข้อสังเกตว่า "ความสำคัญของการยกเลิกกฎสองในสาม...เป็นการยากที่จะกล่าวเกินจริงได้ ไม่เพียงแต่ทำให้อำนาจของภาคใต้ในพรรคเดโมแครตลดลงเท่านั้น แต่หากไม่มีการยกเลิกกฎนี้ ก็เป็นที่น่าสงสัยว่าเอฟดีอาร์จะได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้สมัครอีกครั้งในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1940 หรือไม่[184]
- ↑ ผู้สมัครของพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1964 ซึ่งประกอบด้วยลินดอน บี. จอห์นสันและฮิวเบิร์ต ฮัมฟรีย์ ทำสถิติใหม่ด้วยการได้รับคะแนนนิยมไปถึง 61.1% ในเวลาต่อมา
- ↑ ผู้พิพากษาศาลสูงสุดสองคนที่โรเซอเวลต์ไม่ได้แต่งตั้งเข้ามาในศาลแต่แรกคือฮาร์แลน ฟิสก์ สโตนและโอเวน รอเบิตส์ อย่างไรก็ตาม ใน ค.ศ. 1941 โรเซอเวลต์ได้เลื่อนตำแหน่งสโตนให้เป็นประธานศาลสูงสุด
- ↑ ตารางนี้แสดงอัตราการว่างงานโดยประมาณที่คำนวณโดยนักเศรษฐศาสตร์สองคน ประมาณการของไมเคิล ดาร์บีนับรวมบุคคลที่อยู่ในโครงการบรรเทาทุกข์ผู้ว่างงานว่ามีงานทำ ในขณะที่ประมาณการของสแตนลีย์ เลเบอร์กอตต์นับรวมบุคคลที่อยู่ในโครงการบรรเทาทุกข์ผู้ว่างงานว่าว่างงาน[210]
- ↑ บทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งที่ 22 ซึ่งได้รับการให้สัตยาบันใน ค.ศ. 1951 นั้น ห้ามมิให้บุคคลใดก็ตามชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีได้มากกว่าสองครั้ง
- ↑ ฮัลล์และคนอื่น ๆ ในคณะบริหารไม่เต็มใจยอมรับการยึดครองจีนของญี่ปุ่นและเกรงว่าการที่อเมริกาสมยอมกับญี่ปุ่นจะทำให้ สหภาพโซเวียตตกอยู่ในความเสี่ยงของสงครามสองด้าน[263]
- ↑ สหรัฐยังประกาศสงครามกับบัลแกเรีย, ฮังการี และโรมาเนียด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดได้เข้าร่วมฝ่ายอักษะ
- ↑ เยอรมนีหยุดการวิจัยอาวุธนิวเคลียร์ใน ค.ศ. 1942 โดยเลือกมุ่งเน้นไปที่โครงการอื่น ส่วน ญี่ปุ่นล้มเลิกโครงการของตนเองใน ค.ศ. 1943[279]
- ↑ คนงาน WPA ถูกนับว่าอยู่ในกลุ่มผู้ว่างงานตามสถิติชุดนี้[302]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "Roosevelt". The American Heritage Dictionary of the English Language (5th ed.). HarperCollins.
- ↑ "When was the term United Nations first used?". United Nations. สืบค้นเมื่อ December 14, 2023.
- 1 2 Burns 1956, p. 7.
- 1 2 Smith 2007, pp. 5–6.
- ↑ Leuchtenburg 2015, p. 16.
- ↑ Lash 1971, p. 111.
- ↑ Burns 1956, p. 4.
- ↑ Smith 2007, p. 110.
- ↑ Black 2005, p. 21.
- ↑ Smith 2007, pp. 20–25.
- ↑ "FDR Biography-The Early Years". Roosevelt Library and Museum. สืบค้นเมื่อ January 25, 2022.
- 1 2 3 4 Leuchtenburg, William E. (September 26, 2016). "FDR: Life Before the Presidency". Univ. of Virginia Miller Center of Public Affairs. สืบค้นเมื่อ January 25, 2022.
- ↑ Burns 1956, p. 16.
- ↑ Gunther 1950, p. 174.
- ↑ "Family of Wealth Gave Advantages". The New York Times. April 15, 1945. สืบค้นเมื่อ December 20, 2012.
- ↑ Gunther 1950, p. 176.
- ↑ "Almanac: The 1st cheerleader". CBS News. November 2, 2014. สืบค้นเมื่อ December 1, 2019.
- ↑ Gunther 1950, p. 175.
- ↑ Burns 1956, pp. 18, 20.
- ↑ Dallek 2017, pp. 28–29.
- ↑ Burns 1956, p. 24.
- ↑ "FDR Biography". Franklin D. Roosevelt Presidential Library and Museum.
- ↑ Leuchtenburg, William E. (October 4, 2016). "Franklin D. Roosevelt: Life Before the Presidency". Miller Center of Public Affairs.
- ↑ "DECEASED members 1904 to 23 May 2007 - The Explorers Club". YUMPU. สืบค้นเมื่อ October 19, 2024.
- ↑ Burns 1956, p. 28.
- ↑ "Presidents Roosevelt Honored With Posthumous Columbia Degrees". New York Sun. September 26, 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 6, 2018. สืบค้นเมื่อ April 6, 2018.
- ↑ Dallek 2017, pp. 38–39.
- ↑ "Franklin D. Roosevelt". Smithsonian National Postal Museum. สืบค้นเมื่อ May 31, 2025.
- ↑ Rowley 2010, pp. 3–6.
- ↑ Burns 1956, p. 26.
- ↑ Dallek 2017, pp. 35–36.
- ↑ Smith 2007, pp. 54–55.
- ↑ Burns 1956, pp. 77–79.
- ↑ Smith 2007, pp. 57–58.
- ↑ Abate, Frank R. (1999). The Oxford Desk Dictionary of People and Places. Oxford University Press. p. 329. ISBN 978-0-19-513872-6.
- ↑ Smith 2007, p. 153.
- ↑ Smith 2007, p. 160.
- ↑ Winkler 2006, pp. 28, 38, 48–49.
- ↑ Winkler 2006, pp. 202–03.
- ↑ Gunther 1950, p. 195.
- ↑ McGrath, Charles (April 20, 2008). "No End of the Affair". The New York Times.
- ↑ "Lucy Page Mercer Rutherfurd". Eleanor Roosevelt Papers. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 4, 2010. สืบค้นเมื่อ February 7, 2010.
- ↑ Tully 2005, p. 340.
- ↑ Goodwin 1995, p. 153.
- ↑ Rowley 2010, p. 254.
- ↑ Smith 2007, pp. 58–60.
- 1 2 Dallek 2017, p. 41.
- ↑ Smith 2007, pp. 60–62.
- ↑ Smith 2007, pp. 60–64.
- ↑ Smith 2007, p. 65.
- ↑ Smith 2007, pp. 65–66.
- ↑ Gunther 1950, pp. 202–03.
- 1 2 Burns 1956, p. 34.
- ↑ Smith 2007, pp. 68–69.
- ↑ Brands 2009, pp. 57–60.
- ↑ Gunther 1950, pp. 205–06.
- ↑ Corcoran, Syndney (2022-04-07). "Franklin D. Roosevelt | Grand Lodge of Ohio". Freemasonry. สืบค้นเมื่อ 2025-01-23.
- ↑ Burns 1956, p. 49.
- ↑ Black 2005, pp. 62–63.
- ↑ Burns 1956, pp. 44–46.
- ↑ Burns 1956, p. 43.
- ↑ Smith 2007, pp. 97–101.
- ↑ Burns 1956, p. 51.
- ↑ J. Simon Rofe, " 'Under the Influence of Mahan': Theodore and Franklin Roosevelt and their Understanding of American National Interest." Diplomacy & Statecraft 19.4 (2008): 732–45.
- ↑ Smith 2007, pp. 102–06.
- ↑ Smith 2007, pp. 113–14.
- ↑ Burns 1956, p. 52.
- ↑ Gunther 1950, p. 212.
- ↑ Smith 2007, pp. 122–23.
- ↑ Burns 1956, p. 56.
- ↑ Burns 1956, pp. 57, 60.
- ↑ Smith 2007, p. 125.
- ↑ Smith 2007, pp. 125–26.
- ↑ Dallek 2017, pp. 59–61.
- ↑ Smith 2007, pp. 130–32.
- ↑ Dallek 2017, pp. 62–63.
- ↑ Dallek 2017, pp. 65–66.
- ↑ Smith 2007, pp. 139–40.
- 1 2 O'Brien, Phillips (August 10, 2024). "Franklin Roosevelt was made in world war one". The Spectator. สืบค้นเมื่อ August 10, 2024.
- ↑ Goldman & Goldman 2017, p. 15.
- ↑ Smith 2007, pp. 171–72.
- ↑ Underwood 1991, p. 11.
- ↑ Smith 2007, pp. 176–77.
- ↑ Smith 2007, pp. 177–81.
- ↑ Burns 1956, p. 73.
- ↑ Gunther 1950, pp. 215–16.
- ↑ Smith 2007, p. 181.
- ↑ Smith 2007, pp. 181–82.
- ↑ Smith 2007, pp. 175–76.
- ↑ Burns 1956, p. 74.
- ↑ Smith 2007, pp. 182–83.
- 1 2 Smith 2007, pp. 184–85.
- ↑ Goldman AS, Schmalstieg EJ, Freeman DH, Goldman DA, Schmalstieg FC (2003). "What was the cause of Franklin Delano Roosevelt's paralytic illness?" (PDF). Journal of Medical Biography. 11 (4): 232–40. doi:10.1177/096777200301100412. ISSN 0967-7720. PMID 14562158. S2CID 39957366. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ November 30, 2012. สืบค้นเมื่อ July 4, 2017.
- ↑ Alter 2006, p. 355.
- ↑ Lomazow, Steven; Fettmann, Eric (2010). FDR's Deadly Secret. p. 27.
- ↑ Rose, David M. (2016). Friends and Partners: The Legacy of Franklin D. Roosevelt and Basil O'Connor in the History of Polio. p. 179.
- ↑ Wooten, Heather Green (2009). The Polio Years in Texas. p. 192.
- ↑ Smith 2007, pp. 195–96.
- ↑ Rowley 2010, p. 125.
- ↑ Rowley 2010, p. 120.
- ↑ Ward & Burns 2014, p. 332.
- ↑ Smith 2007, p. 220.
- ↑ Smith 2007, pp. 213–14.
- ↑ Smith 2007, pp. 215–19.
- ↑ Smith 2007, pp. 255–56.
- ↑ Dallek 2017, pp. 87–88.
- ↑ Dallek 2017, pp. 87–96.
- ↑ Morgan 1985, pp. 267, 269–72, 286–87.
- ↑ Black 2005, pp. 160–67.
- 1 2 3 4 Caro 1974, pp. 289–91.
- ↑ F. Roosevelt, E. Roosevelt, p. 21.
- ↑ Smith 2007, p. 231.
- ↑ Conrad Black, Franklin Delano Roosevelt: champion of freedom (Hachette UK, 2012) p 160.
- ↑ Selig Adler, The isolationist impulse: its 20th-century reaction (1957) pp 200–201.
- ↑ Burns 1956, p. 100.
- ↑ Dallek 2017, pp. 96–98.
- ↑ Smith 2007, pp. 223–25.
- ↑ Smith 2007, pp. 225–28.
- ↑ Burns 1956, p. 101.
- ↑ Smith 2007, p. 229.
- ↑ Smith 2007, pp. 237–38.
- ↑ Smith 2007, pp. 230–33.
- ↑ Smith 2007, pp. 235–37.
- ↑ Smith 2007, pp. 238–39.
- ↑ Smith 2007, pp. 240–41.
- ↑ Smith 2007, pp. 242–43.
- ↑ Burns 1956, pp. 119–20.
- ↑ Burns 1956, p. 121.
- ↑ Smith 2007, pp. 250–52.
- ↑ "Franklin D. Roosevelt". The Official Website of New York State. สืบค้นเมื่อ 4 August 2024.
- ↑ "History Of State Forest Program". New York State Department of Environmental Conservation. สืบค้นเมื่อ June 28, 2021.
- ↑ Allen, Oliver E. (1993). The Tiger: The Rise and Fall of Tammany Hall. Addison-Wesley Publishing Company. pp. 233–50. ISBN 978-0-201-62463-2.
- ↑ Smith 2007, pp. 261–63.
- 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 Leuchtenburg, William E. (October 4, 2016). "FDR: Campaigns and Elections". Univ. of Virginia Miller Center of Public Affairs. สืบค้นเมื่อ January 28, 2022.
- ↑ Brands 2009, pp. 232–36, 246–51.
- ↑ Burns 1956, p. 139.
- ↑ Smith 2007, pp. 276–77.
- ↑ Smith 2007, pp. 266–67.
- ↑ Smith 2007, p. 278.
- ↑ Smith 2007, p. 279.
- ↑ Smith 2007, pp. 282–84.
- ↑ Leuchtenburg 1963, pp. 183–96.
- ↑ Sternsher 1975, pp. 127–49.
- ↑ Campbell 2006, pp. 127–49.
- ↑ Smith 2007, pp. 290–91.
- ↑ Burns 1956, p. 146.
- ↑ Smith 2007, pp. 292–95.
- ↑ Burns 1956, p. 147.
- ↑ Davidson, Amy (May 5, 2012). "The FDR New Yorker cover that never ran". The New Yorker.
- ↑ Burns 1970, pp. 347–48.
- ↑ Alter 2006, p. 190.
- ↑ Burns 1956, pp. 157, 167–68.
- ↑ Tobin 2013, pp. 4–7.
- 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 Leuchtenburg, William E. (October 4, 2016). "FDR: Domestic Affairs". Univ. of Virginia Miller Center of Public Affairs. สืบค้นเมื่อ January 29, 2022.
- ↑ Leuchtenburg 2015, pp. 147–48.
- ↑ Smith 2007, p. 312.
- ↑ Liptak, Kevin (April 23, 2017). "History of measuring presidents' first 100 days". CNN. สืบค้นเมื่อ October 9, 2017.
- ↑ Leuchtenburg 2015, pp. 151–52.
- 1 2 Smith 2007, p. 322.
- ↑ Smith 2007, pp. 318–23.
- ↑ Hawley 1995, p. 124.
- ↑ Smith 2007, pp. 331–32.
- ↑ Smith 2007, p. 346.
- ↑ Savage 1991, p. 160.
- 1 2 Traynor, Ben (April 3, 2013). "Roosevelt's gold confiscation: could it happen again?". The Daily Telegraph. สืบค้นเมื่อ June 12, 2025.
- ↑ Freidel 1952–1973, pp. 4, 320–39.
- ↑ Freidel 1952–1973, pp. 4, 448–52.
- ↑ Dallek 2017, p. 249.
- ↑ Hausman, Joshua K. (April 2016). "Fiscal Policy and Economic Recovery: The Case of the 1936 Veterans' Bonus" (PDF). American Economic Review. 106 (4): 1100–43. doi:10.1257/aer.20130957. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ October 31, 2014. สืบค้นเมื่อ October 22, 2014.
- ↑ Smith 2007, pp. 349–51.
- ↑ Social Security History. Ssa.gov. Retrieved July 14, 2013.
- ↑ Smith 2007, p. 353.
- ↑ Smith 2007, pp. 353–56.
- ↑ Kennedy 1999, p. 291.
- ↑ Colin Gordon, New Deals: Business, Labor, and Politics in America, 1920–1935 (1994) p. 225
- ↑ Brands 2009, pp. 463–67.
- 1 2 Fried 2001, pp. 120–23.
- ↑ Burns 1956, p. 350.
- ↑ Burns 1956, p. 226.
- ↑ Roosevelt, Franklin Delano (1933). Looking forward. John Day. p. 141.
- ↑ Smith 2007, pp. 364–66.
- ↑ Smith 2007, pp. 371–72.
- ↑ Smith 2007, pp. 360–61.
- ↑ Smith 2007, p. 366.
- ↑ Burns 1956, p. 284.
- ↑ Smith 2007, pp. 373–75.
- ↑ Mary E. Stuckey (2015). Voting Deliberatively: FDR and the 1936 Presidential Campaign. Penn State UP. p. 19. ISBN 978-0-271-07192-3.
- ↑ Kalman, Laura (October 2005). "The Constitution, the Supreme Court, and the New Deal". The American Historical Review. 110 (4): 1052–80. doi:10.1086/ahr.110.4.1052.
- ↑ Smith 2007, pp. 379–82.
- ↑ Burns 1956, p. 312.
- ↑ Smith 2007, pp. 384–89.
- ↑ Leuchtenburg, William E. (May 2005). "When Franklin Roosevelt Clashed with the Supreme Court – and Lost". Smithsonian Magazine. สืบค้นเมื่อ March 1, 2016.
- ↑ Leuchtenburg, E. (1996). The Supreme Court Reborn: The Constitutional Revolution in the Age of Roosevelt. Oxford University Press. ISBN 0-19-511131-1
- ↑ Blake, John (December 14, 2010). "How FDR unleashed his Supreme Court 'scorpions'". CNN. สืบค้นเมื่อ October 10, 2017.
- ↑ Belknap, Michal (2004). The Vinson Court: Justices, Rulings, and Legacy. ABC-CLIO. pp. 162–63. ISBN 978-1-57607-201-1. สืบค้นเมื่อ March 3, 2016.
- ↑ Smith 2007, pp. 390–91.
- ↑ Smith 2007, pp. 408–09.
- ↑ Leuchtenburg 2015, pp. 187–88.
- ↑ Burns 1956, p. 320.
- ↑ Leuchtenburg 1963, pp. 262–63, 271–73.
- ↑ Smith 2007, pp. 440–41.
- ↑ Dallek 2017, p. 19.
- ↑ See also Edgar B. Nixon, ed. Franklin D. Roosevelt and Conservation, 1911-1945 (2 vol. 1957); vol 1 online; also see vol 2 online
- ↑ "FDR's Conservation Legacy (U.S. National Park Service)". nps.gov. สืบค้นเมื่อ June 28, 2021.
- ↑ Leshy, John (2009). "FDR's Expansion of Our National Patrimony: A Model for Leadership". ใน Woolner, David; Henderson, Henry L. (บ.ก.). FDR and the Environment. Springer. pp. 177–78. ISBN 978-0-230-10067-1.
- ↑ "The National Parks: America's Best Idea: History Episode 5: 1933–1945". PBS. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 28, 2009. สืบค้นเมื่อ April 23, 2016.
- ↑ Brinkley 2016, pp. 170–86.
- ↑ Maher, Neil M. (July 2002). "A New Deal Body Politic: Landscape, Labor, and the Civilian Conservation Corps" (PDF). Environmental History. 7 (3): 435–61. Bibcode:2002EnvH....7..435M. doi:10.2307/3985917. JSTOR 3985917. S2CID 144800756. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ June 2, 2016.
- ↑ Anna L. Riesch Owen, Conservation Under FDR (Praeger, 1983).
- 1 2 Margo, Robert A. (Spring 1993). "Employment and Unemployment in the 1930s". Journal of Economic Perspectives. 7 (2): 42–43. CiteSeerX 10.1.1.627.1613. doi:10.1257/jep.7.2.41. S2CID 26369842.
- 1 2 Historical Statistics of the United States, Colonial Times to 1970. The Bureau of the U.S. Census. 1976. pp. Y457, Y493, F32.
- ↑ "Presidents and Job Growth" (GIF). The New York Times (graphic). July 2, 2003.
- ↑ Historical Statistics of the United States, Colonial Times to 1970. The Bureau of the U.S. Census. 1976. p. F31.
- ↑ Leuchtenburg 1963, pp. 203–10.
- ↑ Smith 2007, pp. 341–43.
- ↑ Doenecke & Stoler 2005, p. 18.
- ↑ Burns 1956, p. 254.
- ↑ Burns 1956, p. 255.
- ↑ Smith 2007, pp. 417–18.
- ↑ Burns 1956, p. 256.
- ↑ Dallek 1995, p. 180.
- ↑ Dallek 1995, pp. 146–47.
- ↑ Leuchtenburg 2015, pp. 188–90.
- ↑ "Travels of President Franklin D. Roosevelt". Office of the Historian, Bureau of Public Affairs. U.S. Department of State. สืบค้นเมื่อ December 2, 2015.
- ↑ Smith 2007, pp. 423–24.
- ↑ Dallek 1995, pp. 166–73.
- ↑ Smith 2007, pp. 425–26.
- ↑ Smith 2007, pp. 426–29.
- ↑ Black 2005, pp. 503–06.
- ↑ Smith 2007, pp. 436–41.
- ↑ Gunther 1950, p. 15.
- ↑ "Roosevelt and Churchill: A Friendship That Saved The World". National Park Service.
- ↑ Leuchtenburg 1963, pp. 399–402.
- ↑ Burns 1956, p. 420.
- ↑ Smith 2007, pp. 464–66.
- ↑ Burns 1956, p. 438.
- ↑ Bernard F. Donahoe, Private Plans and Public Dangers: The Story of FDR's Third Nomination (University of Notre Dame Press, 1965).
- ↑ Burns 1956, pp. 408–30.
- 1 2 Moe, Richard (2013). Roosevelt's Second Act: The Election of 1940 and the Politics of War. Oxford University Press. pp. 229–46. ISBN 978-0-19-998191-5.
- ↑ Dallek 2017, pp. 389–90.
- ↑ Smith 2007, p. 472.
- ↑ Smith 2007, pp. 474–75.
- ↑ Smith 2007, pp. 476–77.
- ↑ Burns 1956, p. 454.
- ↑ Winston Groom, The Allies: Roosevelt, Churchill, Stalin, and the Unlikely Alliance That Won World War II (2018)
- ↑ Joseph E. Persico, Roosevelt's Centurions: FDR and the Commanders He Led to Victory in World War II (2013).
- ↑ Eric Larrabee, Commander in Chief: Franklin Delano Roosevelt, His Lieutenants, and Their War (1987)
- ↑ Herman 2012, pp. 128–29.
- ↑ Smith 2007, pp. 488–90.
- ↑ Burns 1970, p. 95.
- ↑ Charles, Douglas M. (Spring 2000). "Informing FDR: FBI Political Surveillance and the Isolationist-Interventionist Foreign Policy". Diplomatic History. 24 (2): 211–32. doi:10.1111/0145-2096.00210.
- ↑ Churchill 1977, p. 119.
- ↑ Media Sound & Culture in Latin America. Editors: Bronfman, Alejanda & Wood, Andrew Grant. University of Pittsburgh Press, Pittsburgh, PA, 2012,ISBN 978-0-8229-6187-1 pp. 41–54
- ↑ Anthony, Edwin D. Records of the Office of Inter-American Affairs. National Archives and Record Services – General Services Administration, Washington D.C., 1973, pp. 1–8 LCCN 73-600146 Records of the Office of Inter-American Affairs at the U.S. National Archive at www.archives.gov
- ↑ Burns 1970, pp. 126–28.
- ↑ Gunther 1950, pp. 15–16.
- ↑ Smith 2007, p. 502.
- ↑ Burns 1970, pp. 141–42.
- ↑ Smith 2007, pp. 506–08.
- ↑ Smith 2007, pp. 510–11.
- ↑ Burns 1970, pp. 134–46.
- ↑ Smith 2007, pp. 516–17.
- ↑ Smith 2007, pp. 522–23.
- ↑ Smith 2007, pp. 518–30.
- ↑ Smith 2007, pp. 531–33.
- ↑ Smith 2007, pp. 533–39.
- ↑ Sainsbury 1994, p. 184.
- ↑ Maffeo, Steven E. (2015). U.S. Navy Codebreakers, Linguists, and Intelligence Officers against Japan, 1910–1941: A Biographical Dictionary. Rowman & Littlefield. p. 311. ISBN 978-1-4422-5564-7.
- ↑ Smith 2007, pp. 523–39.
- ↑ Burns 1970, p. 159.
- ↑ Smith 2007, pp. 545–47.
- ↑ Burns 1970, pp. 180–85.
- ↑ Smith 2007, p. 547.
- ↑ Chambers, John Whiteclay (1999). The Oxford Companion to American Military History. Oxford University Press, US. p. 351. ISBN 978-0-19-507198-6.
- ↑ Smith 2007, p. 546.
- 1 2 Smith 2007, pp. 598–99.
- ↑ Fullilove, Michael (2013). Rendezvous with Destiny: How Franklin D. Roosevelt and Five Extraordinary Men Took America into the War and into the World. Penguin Press. pp. 147–49. ISBN 978-1-59420-435-7.
- ↑ Brands 2009, pp. 678–80.
- ↑ Smith 2007, p. 580.
- ↑ Smith 2007, pp. 578–81.
- ↑ Doenecke & Stoler 2005, pp. 109–10.
- ↑ Smith 2007, pp. 557–59.
- ↑ Smith 2007, pp. 560–61.
- ↑ Smith 2007, pp. 587–88.
- ↑ Leuchtenburg 2015, pp. 214–16.
- ↑ Townsend Hoopes, and Douglas Brinkley, FDR and the Creation of the UN (Yale UP, 1997) pp. ix, 175.
- ↑ Smith 2007, pp. 623–24.
- ↑ Leuchtenburg 2015, pp. 233–34.
- ↑ Burns 1970, p. 587.
- ↑ Herring 2008, pp. 584–87.
- ↑ Bumiller, Elizabeth (May 16, 2005). "60 Years Later, Debating Yalta All Over Again". The New York Times. สืบค้นเมื่อ October 14, 2017.
- ↑ Smith 2007, pp. 563–64.
- ↑ Smith 2007, pp. 565–67.
- ↑ Smith 2007, pp. 573–74.
- 1 2 3 Smith 2007, pp. 575–76.
- ↑ Smith 2007, pp. 581–82.
- ↑ Smith 2007, pp. 596–97.
- ↑ Smith 2007, pp. 613–17.
- ↑ Smith 2007, pp. 630–31.
- ↑ Burns 1970, p. 228.
- ↑ Brands 2009, p. 785.
- ↑ Statistical Abstract, US: Bureau of the Census, 1946, p. 173
- ↑ Schweikart & Allen 2004, p. 602.
- ↑ Leuchtenburg 2015, pp. 221–22.
- ↑ Burns 1970, p. 436.
- ↑ Burns 1970, p. 333.
- ↑ Burns 1970, p. 343.
- ↑ Herman 2012, pp. 139–44, 151, 246.
- ↑ Smith 2007, pp. 571–72.
- ↑ Burns 1970, pp. 339–42.
- ↑ Leuchtenburg 2015, pp. 223–25.
- 1 2 Zeitz, Joshua (November 4, 2018). "Democrats Aren't Moving Left. They're Returning to Their Roots". Politico. สืบค้นเมื่อ November 17, 2018.
- ↑ Smith 2007, pp. 584–85.
- ↑ Beaver County Times 28 Aug 1976, 'Once FDR and Wendell Willkie tried to realign U.S. politics' by Jim Bishop
- ↑ "Medical Research Pays Off for All Americans" (PDF). NIH Medline Plus. National Institutes of Health. Summer 2007. สืบค้นเมื่อ July 25, 2014.
- ↑ Hastings, Max (January 19, 2009). "Franklin D Roosevelt: The man who conquered fear". The Independent. สืบค้นเมื่อ July 25, 2014.
- ↑ Burns 1970, p. 448.
- ↑ Lerner, Barron H. (November 23, 2007). "How Much Confidence Should We Have in the Doctor's Account of FDR's Death?". History News Network. George Washington University.
- ↑ Bruenn, Howard G. (April 1970). "Clinical notes on the illness & death of President Franklin D. Roosevelt". Annals of Internal Medicine. 72 (4): 579–91. doi:10.7326/0003-4819-72-4-579. PMID 4908628.
- ↑ Gunther 1950, pp. 372–74.
- ↑ Dallek 2017, pp. 618–19.
- ↑ Smith 2007, pp. 617–19.
- ↑ Jordan 2011, p. 321.
- ↑ Burns 1970, pp. 533, 562.
- ↑ Dallek 1995, p. 520.
- ↑ "Franklin D. Roosevelt Day by Day – April". In Roosevelt History. Franklin D. Roosevelt Presidential Library and Museum Collections and Programs. สืบค้นเมื่อ May 14, 2012.
- ↑ Jones, Jeffrey M.; Jones, Joni L. (September 2006). "Presidential Stroke: United States Presidents and Cerebrovascular Disease". CNS Spectrums. 11 (9): 674–78. doi:10.1017/S1092852900014760. PMID 16946692. S2CID 44889213.
- ↑ Andrew Glass (April 12, 2016). "President Franklin D. Roosevelt dies at age 63, April 12, 1945". Politico. สืบค้นเมื่อ May 21, 2020.
- ↑ "Roosevelt Funeral Train". c-span.org. สืบค้นเมื่อ February 7, 2023.
- ↑ "Franklin D. Roosevelt Funeral". White House Historical Association. สืบค้นเมื่อ January 12, 2025.
- ↑ Dallek 2017, p. 620.
- ↑ Kluckhohn, Frank (April 15, 1945). "Nation Pays Final Tribute to Roosevelt As World Mourns; Hyde Park Rites Today". The New York Times.
- ↑ Allies Overrun Germany (video). Universal Newsreel. 1945. สืบค้นเมื่อ February 21, 2012.
- ↑ McCullough, David (1992). Truman. Simon & Schuster. pp. 345, 381. ISBN 978-0-671-86920-5.
- ↑ Leuchtenburg 2015, pp. 243–52.
- ↑ See "Confront the Issue: FDR's Health" from FDR Library at http://www.fdrlibraryvirtualtour.org/graphics/07-38/7.5_FDRs_Health.pdf
- ↑ Ferrell, Robert H. (1998). The Dying President: Franklin D. Roosevelt, 1944–1945. University of Missouri Press. ISBN 978-0-8262-1171-2. LCCN 97045797.
- ↑ Dunn, Dennis J. (April 1998). "Dunn on Ferrell, 'The Dying President: Franklin D. Roosevelt 19441945'". H-Pol, H-Net Reviews. สืบค้นเมื่อ 28 January 2019.
- ↑ Balderrama, Francisco E.; Rodriguez, Raymond (2006). Decade of Betrayal: Mexican Repatriation in the 1930s. UNM Press. p. 82. ISBN 978-0-8263-3973-7.
- ↑ McGreevy, Patrick (October 2, 2015). "California law seeks history of Mexican deportations in textbooks". Los Angeles Times. สืบค้นเมื่อ August 12, 2023.
- ↑ Bernard, Diane (October 28, 2021). "The time a president deported 1 million Mexican Americans for supposedly stealing U.S. jobs". The Washington Post. ISSN 0190-8286. สืบค้นเมื่อ August 12, 2023.
- ↑ Johnson, Kevin (Fall 2005). "The Forgotten Repatriation of Persons of Mexican Ancestry and Lessons for the War on Terror". Vol. 26 no. 1. Davis, California: Pace Law Review.
- ↑ Odo, Franklin (2002). The Columbia Documentary History of the Asian American Experience. Columbia University Press. p. 5. ISBN 978-0-231-11030-3.
- ↑ Sitkoff, Harvard (1978). A new deal for Blacks: the emergence of civil rights as a national issue. Oxford University Press. p. 71. ISBN 978-0-19-502418-0.
- ↑ Magness, Phillip W. (July 31, 2020). "How FDR Killed Federal Anti-Lynching Legislation". American Institute for Economic Research.
- 1 2 McJimsey 2000, pp. 162–63.
- ↑ Dallek 2017, pp. 307–08.
- ↑ Collins, William J. (March 2001). "Race, Roosevelt, and Wartime Production: Fair Employment in World War II Labor Markets". The American Economic Review. 91 (1): 272–86. doi:10.1257/aer.91.1.272. JSTOR 2677909.
- ↑ Smith 2007, pp. 549–53.
- ↑ "World War II Enemy Alien Control Program Overview". National Archives. September 23, 2016.
- ↑ Beito 2023, pp. 180–183.
- ↑ Everhart, Karen (May 9, 1994). "FDR defenders enlist TV critics to refute Holocaust film". Current. สืบค้นเมื่อ April 16, 2022.
- 1 2 3 Medoff, Rafael (April 7, 2013). "What FDR said about Jews in private". Los Angeles Times. สืบค้นเมื่อ April 16, 2022.
- ↑ Breitman & Lichtman 2013, pp. 114–15.
- ↑ "Jan Karski". Holocaust Encyclopedia. United States Holocaust Memorial Museum. สืบค้นเมื่อ April 16, 2022.
- ↑ "Jan Karski, Humanity's hero: The Story of Poland's Wartime Emissary". Museum of Polish History. สืบค้นเมื่อ April 16, 2022.
- ↑ Glass, Andrew (July 28, 2018). "Holocaust eyewitness briefs FDR, July 28, 1943". Politico. สืบค้นเมื่อ April 16, 2022.
- ↑ Smith 2007, pp. 607–13.
- ↑ Appleby, Joyce; Brands, H.W.; Dallek, Robert; Fitzpatrick, Ellen; Goodwin, Doris Kearns; Gordon, John Steele; Kennedy, David M.; McDougall, Walter; Noll, Mark; Wood, Gordon S. (December 2006). "The 100 Most Influential Figures in American History". The Atlantic. สืบค้นเมื่อ October 13, 2017.
- ↑ Walsh, Kenneth T. (April 10, 2015). "FDR: The President Who Made America Into a Superpower". U.S. News & World Report. สืบค้นเมื่อ October 13, 2017.
- ↑ "Presidential Historians Survey 2017". C-SPAN Survey of Presidential Leadership. C-SPAN.
- ↑ "Presidential Leadership – The Rankings". The Wall Street Journal. September 12, 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 2, 2005. สืบค้นเมื่อ May 4, 2015.
- ↑ Rottinghaus, Brandon; Vaughn, Justin (February 16, 2015). "New ranking of U.S. presidents puts Lincoln at No. 1, Obama at 18; Kennedy judged most overrated". The Washington Post. สืบค้นเมื่อ May 4, 2015.
- ↑ Schlesinger, Arthur M. Jr. (Summer 1997). "Ranking the Presidents: From Washington to Clinton". Political Science Quarterly. 112 (2): 179–90. doi:10.2307/2657937. JSTOR 2657937.
- ↑ Smith 2007, p. ix.
- ↑ Greenstein, F I (2009). The Presidential Difference Leadership Style from FDR to Barack Obama (3rd ed.). United Kingdom: Princeton University Press. p. 14. ISBN 978-0-691-14383-5.
- ↑ Schlesinger, Arthur M. Jr (2007) [1963], "Liberalism in America: A Note for Europeans", The Politics of Hope, Riverside Press, ISBN 978-0-691-13475-8
- ↑ Black 2005, pp. 1126–27.
- ↑ Leuchtenburg 2015, pp. 174–75.
- ↑ Leuchtenburg, William E. (2001), In the Shadow of FDR: From Harry Truman to George W. Bush, Cornell University Press, pp. 128, 178, ISBN 978-0-8014-8737-8
- ↑ Leuchtenburg, pp. 208, 218, 226.
- ↑ John Massaro, "LBJ and the Fortas Nomination for Chief Justice". Political Science Quarterly 97.4 (1982): 603–621.
- ↑ Dallek 2017, pp. 624–25.
- ↑ Wyman 1984.
- ↑ Robinson 2001.
- ↑ Dallek 2017, p. 626.
- ↑ Bruce Frohnen, Jeremy Beer and Jeffery O. Nelson, eds. American Conservatism: An Encyclopedia (2006). pp. 619–621, 645–646.
- ↑ "Reagan says many New Dealers wanted fascism". The New York Times. December 22, 1981.
- ↑ "Franklin Delano Roosevelt Memorial". National Park Service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 30, 2009. สืบค้นเมื่อ January 19, 2018.
- ↑ jessiekratz (April 10, 2015). "The other FDR Memorial". Pieces of History. National Archives. สืบค้นเมื่อ June 19, 2017.
- ↑ "Conservatives want Reagan to replace FDR on U.S. dimes". USA Today. Associated Press. December 5, 2003. สืบค้นเมื่อ January 22, 2018.
- ↑ "Franklin Delano Roosevelt Issues". National Postal Museum. สืบค้นเมื่อ May 11, 2021.
- ↑ "FDR Library – USS Roosevelt". docs.fdrlibrary.marist.edu. สืบค้นเมื่อ September 25, 2021.
- ↑ "Franklin Delano Roosevelt". Westminster Abbey. สืบค้นเมื่อ April 16, 2022.
- ↑ "COMING TO LIGHT: The Louis I. Kahn Monument to Franklin D. Roosevelt". archweb.cooper.edu. สืบค้นเมื่อ September 25, 2021.
ข้อมูลสิ่งพิมพ์
[แก้]- Alter, Jonathan (2006). The Defining Moment: FDR's Hundred Days and the Triumph of Hope (popular history). Simon & Schuster. ISBN 978-0-7432-4600-2.
- Beito, David T. (2023). The New Deal's War on the Bill of Rights: The Untold Story of FDR's Concentration Camps, Censorship, and Mass Surveillance (First ed.). Oakland: Independent Institute. ISBN 978-1598133561.
- Black, Conrad (2005) [2003]. Franklin Delano Roosevelt: Champion of Freedom (interpretive detailed biography). PublicAffairs. ISBN 978-1-58648-282-4..
- Brands, H. W. (2009). Traitor to His Class: The Privileged Life and Radical Presidency of Franklin Delano Roosevelt. Anchor Books. ISBN 978-0-307-27794-7.
- Breitman, Richard; Lichtman, Allan J (2013). FDR and the Jews. Harvard University Press. ISBN 978-0-674-05026-6. OCLC 812248674.,
- Brinkley, Douglas (2016). Rightful Heritage: Franklin D. Roosevelt and the Land of America. HarperCollins. ISBN 978-0-06-208923-6.
- Burns, James MacGregor (1984) [1956]. Roosevelt: The Lion and the Fox. Easton Press. ISBN 978-0-15-678870-0.
- ——— (1970). Roosevelt: The Soldier of Freedom. Harcourt Brace Jovanovich. hdl:2027/heb.00626. ISBN 978-0-15-678870-0.
- Campbell, James E. (2006). "Party Systems and Realignments in the United States, 1868–2004" (PDF). Social Science History. 30 (3): 359–86. doi:10.1017/S014555320001350X. JSTOR 40267912 – โดยทาง Project Muse.
- แม่แบบ:Cite Power Broker
- Churchill, Winston (1977). The Grand Alliance. Houghton Mifflin Harcourt. ISBN 978-0-395-41057-8.
- Dallek, Robert (1995). Franklin D. Roosevelt and American Foreign Policy, 1932–1945. Oxford University. ISBN 978-0-19-509732-0. online free to borrow
- ——— (2017). Franklin D. Roosevelt: A Political Life. Viking. ISBN 978-0-69-818172-4.
- Dighe, Ranjit S. "Saving private capitalism: The US bank holiday of 1933." Essays in Economic & Business History 29 (2011) online
- Doenecke, Justus D; Stoler, Mark A (2005). Debating Franklin D. Roosevelt's Foreign Policies, 1933–1945. Rowman & Littlefield. ISBN 978-0-8476-9415-0.
- Fink, Jesse (2023). The Eagle in the Mirror. Edinburgh: Black & White Publishing. ISBN 9781785305108.
- Freidel, Frank (1952–1973). Franklin D. Roosevelt. Vol. 4 volumes. Little, Brown and Co. OCLC 459748221.
- Frank Freidel, Franklin D. Roosevelt The Apprenticeship (vol 1 1952) to 1918, online
- Frank Freidel, Franklin D. Roosevelt The Ordeal (1954), covers 1919 to 1928, online
- Frank Freidel, Franklin D. Roosevelt The Triumph (1956) covers 1929–32, online
- Frank Freidel, Franklin D. Roosevelt Launching the New Deal (1973).
- Fried, Albert (2001). FDR and His Enemies: A History. St. Martin's Press. pp. 120–23. ISBN 978-1-250-10659-9.
- Goldman, Armond S.; Goldman, Daniel A. (2017). Prisoners of Time: The Misdiagnosis of FDR's 1921 Illness. EHDP Press. ISBN 978-1-939-82403-5.
- Goodwin, Doris Kearns (1995). No Ordinary Time: Franklin and Eleanor Roosevelt: The Home Front in World War II. Simon & Schuster. ISBN 978-0-684-80448-4.
- Gunther, John (1950). Roosevelt in Retrospect. Harper & Brothers.
- Hawley, Ellis (1995). The New Deal and the Problem of Monopoly. Fordham University Press. ISBN 978-0-8232-1609-3.
- Herman, Arthur (2012). Freedom's Forge: How American Business Produced Victory in World War II. Random House. ISBN 978-0-679-60463-1.
- Herring, George C. (2008). From Colony to Superpower; U.S. Foreign Relations Since 1776. Oxford University Press. ISBN 978-0-19-507822-0.
- Jordan, David M (2011). FDR, Dewey, and the Election of 1944. Indiana University Press. ISBN 978-0-253-35683-3..
- Kennedy, David M (1999). Freedom From Fear: The American People in Depression and War, 1929–1945 (wide-ranging survey of national affairs by leading scholar; Pulitzer Prize). Oxford University Press. ISBN 978-0-19-503834-7..
- Lash, Joseph P (1971). Eleanor and Franklin: The Story of Their Relationship, Based on Eleanor Roosevelt's Private Papers. W.W. Norton & Company. ISBN 978-0-393-07459-8.
- Leuchtenburg, William (2015). The American President: From Teddy Roosevelt to Bill Clinton. Oxford University Press. ISBN 978-0-19-517616-2.
- Leuchtenburg, William E. (1963). Franklin D. Roosevelt and the New Deal, 1932–1940. Harpers. ISBN 978-0-06-133025-4.
- McJimsey, George (2000). The Presidency of Franklin Delano Roosevelt. University Press of Kansas. ISBN 978-0-7006-1012-9. online free to borrow
- Morgan, Ted (1985), FDR: A Biography (popular biography), Simon & Schuster, ISBN 978-0-671-45495-1.
- Norton, Mary Beth (2009). A People and a Nation: A History of the United States. Since 1865. Cengage. ISBN 978-0-547-17560-7.
- Riesch Owen, A. L. Conservation under F.D.R. (1983) https://archive.org/details/conservationunde0000owen/page/n5/mode/2up
- Robinson, Greg (2001), By Order of the President: FDR and the Internment of Japanese Americans, ISBN 978-1-5226-7771-0
- Roosevelt, Franklin; Roosevelt, Elliott (1970). F.D.R.: His Personal Letters, 1928–1945. Vol. 1. Duell, Sloan, and Pearce.
- Rowley, Hazel (2010). Franklin and Eleanor: An Extraordinary Marriage. Farrar, Straus & Giroux. ISBN 978-0-374-15857-6.
- Sainsbury, Keith (1994). Churchill and Roosevelt at War: The War They Fought and the Peace They Hoped to Make. New York University Press. ISBN 978-0-8147-7991-0.
- Savage, Sean J. (1991). Roosevelt, the Party Leader, 1932–1945. University Press of Kentucky. ISBN 978-0-8131-3079-8.
- Schweikart, Larry; Allen, Michael (2004). A Patriot's History of the United States: From Columbus's Great Discovery to the War on Terror. Penguin Group US. ISBN 978-1-101-21778-8.
- Smith, Jean Edward (2007). FDR. Random House. ISBN 978-1-4000-6121-1.
- Sternsher, Bernard (Summer 1975). "The Emergence of the New Deal Party System: A Problem in Historical Analysis of Voter Behavior". Journal of Interdisciplinary History. 6 (1): 127–49. doi:10.2307/202828. JSTOR 202828.
- Tobin, James (2013). The Man He Became: How FDR Defied Polio to Win the Presidency. Simon and Schuster. pp. 4–7. ISBN 978-1-4516-9867-1.
- Tully, Grace (2005). Franklin Delano Roosevelt, My Boss. Kessinger Publishing. ISBN 978-1-4179-8926-3.
- Underwood, Jeffery S. (1991). The Wings of Democracy: The Influence of Air Power on the Roosevelt Administration, 1933–1941. Texas A&M University Press. ISBN 978-0-89096-388-3.
- Ward, Geoffrey C.; Burns, Ken (2014). The Roosevelts: An Intimate History. Knopf Doubleday Publishing Group. ISBN 978-0-385-35306-9.
- Winkler, Allan M. (2006). Franklin D. Roosevelt and the Making of Modern America. Longman. ISBN 978-0-321-41285-0.
- Wyman, David S (1984). The Abandonment of the Jews: America and the Holocaust 1941–1945. Pantheon Books. ISBN 978-0-394-42813-0..
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]| แหล่งข้อมูลห้องสมุดเกี่ยวกับ แฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์ |
| โดย แฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์ |
|---|
- Franklin D. Roosevelt Presidential Library and Museum
- On FDR's bad health in 1944–45, its coverup by his staff, and the use made of it by Stalin, see "Confront the Issue: FDR's Health" from FDR Library at http://www.fdrlibraryvirtualtour.org/graphics/07-38/7.5_FDRs_Health.pdf
- Franklin Delano Roosevelt Memorial, Washington, DC
- Full text and audio of a number of Roosevelt's speeches – Miller Center of Public Affairs
- Franklin Delano Roosevelt ข่าวสารและความเห็นที่ผ่านการรวบรวมในเดอะนิวยอร์กไทมส์
- Franklin Delano Roosevelt: A Resource Guide from the Library of Congress
- ข้อมูลการออกสื่อ บน ซี-สแปน
- "Life Portrait of Franklin D. Roosevelt", from C-SPAN's American Presidents: Life Portraits, October 11, 1999
- The Presidents: FDR – an American Experience documentary
- Franklin Delano Roosevelt: Selections from His Writings
- ผลงานของ Franklin Delano Roosevelt ที่โครงการกูเทินแบร์ค
- ผลงานโดย แฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์ บนเว็บ LibriVox (หนังสือเสียง ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติ)

- ผลงานเกี่ยวกับ/โดย แฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์ ที่อินเทอร์เน็ตอาร์ไคฟ์
| ก่อนหน้า | แฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์ | ถัดไป | ||
|---|---|---|---|---|
| เฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ | ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 32 (4 มีนาคม พ.ศ. 2476 - 12 เมษายน พ.ศ. 2488) |
แฮร์รี เอส. ทรูแมน | ||
| ปีแอร์ ลาวาล | บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ (ค.ศ. 1932) |
ฮิวจ์ จอห์นสัน | ||
| ฮิวจ์ จอห์นสัน | บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ (ค.ศ. 1934) |
เฮลี เซลาสซีที่ 1 แห่งเอธิโอเปีย | ||
| วินสตัน เชอร์ชิล | บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ (ค.ศ. 1941) |
โจเซฟ สตาลิน |
- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2425
- บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2488
- แฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์
- ประธานาธิบดีสหรัฐ
- นักการเมืองอเมริกัน
- พรรคเดโมแครต (สหรัฐ)
- บุคคลจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
- ชาวอเมริกันเชื้อสายฝรั่งเศส
- ชาวอเมริกันเชื้อสายดัตช์
- บุคคลจากรัฐนิวยอร์ก
- ผู้รอดชีวิตจากการลอบสังหาร
- ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
- ตระกูลโรเซอเวลต์
