ข้ามไปเนื้อหา

ประเทศเนปาล

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก Nepal)
สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล

सङ्घीय लोकतान्त्रिक गणतन्त्र नेपाल (เนปาล)
คำขวัญ: "แผ่นดินแม่มีค่ายิ่งกว่าสวรรค์"
(สันสกฤต: जननी जन्मभूमिश्च स्वर्गादपि गरीयसी)
ที่ตั้งของเนปาล
เมืองหลวง
และเมืองใหญ่สุด
กาฐมาณฑุ
28°10′N 84°15′E / 28.167°N 84.250°E / 28.167; 84.250
ภาษาราชการภาษาเนปาล
การปกครองสหพันธ์สาธารณรัฐระบบรัฐสภา ภายใต้รัฐบาลเฉพาะกาล
รามจันทระ เปาเฑล
 รองประธานาธิบดี
ราม สหายะ ยาทพ
สุศีลา การกี (รักษาการ)
ปรกาศ มัน ซิงห์ เราท์
สภานิติบัญญัติรัฐสภาสหพันธรัฐ
สภาแห่งชาติ
สภาผู้แทนราษฎร
การรวมชาติ
 สถาปนาราชอาณาจักร
21 ธันวาคม พ.ศ. 2311
 สถาปนารัฐชั่วคราว
15 มกราคม พ.ศ. 2550
 สถาปนาสาธารณรัฐ
28 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
พื้นที่
 รวม
147,516 ตารางกิโลเมตร (56,956 ตารางไมล์) (อันดับที่ 93)
2.8
ประชากร
 2567 ประมาณ
เพิ่มขึ้นเป็นกลาง 31,122,387[1] (อันดับที่ 49)
180 ต่อตารางกิโลเมตร (466.2 ต่อตารางไมล์) (อันดับที่ 72)
จีดีพี (อำนาจซื้อ) 2567 (ประมาณ)
 รวม
เพิ่มขึ้น 169.120 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[2] (อันดับที่ 85)
เพิ่มขึ้น 5,348 ดอลลาร์สหรัฐ[2] (อันดับที่ 151)
จีดีพี (ราคาตลาด) 2567 (ประมาณ)
 รวม
เพิ่มขึ้น 43.673 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[2] (อันดับที่ 100)
เพิ่มขึ้น 1,381 ดอลลาร์สหรัฐ[2] (อันดับที่ 161)
จีนี (2565)30.0[3]
ปานกลาง
เอชดีไอ (2566)เพิ่มขึ้น 0.622[4]
ปานกลาง · อันดับที่ 145
สกุลเงินรูปี (NPR)
เขตเวลาUTC+5:45 (NPT)
ขับรถด้านซ้ายมือ
รหัสโทรศัพท์977
โดเมนบนสุด.np

ประเทศเนปาล (เนปาล: नेपाल, ออกเสียง [nepäl]) หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล (เนปาล: सङ्घीय लोकतान्त्रिक गणतन्त्र नेपाल, สงฺฆีย โลกตานฺตฺริก คณตนฺตฺร เนปาล) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในเอเชียใต้ มีพื้นที่ 147,181 ตารางกิโลเมตร และประชากรประมาณ 27 ล้านคน ประเทศเนปาลเป็นประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 93 ของโลก และมีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 41 ของโลก ตั้งอยู่ในเทือกเขาหิมาลัย มีพรมแดนทิศเหนือติด ประเทศจีน ทิศใต้ ตะวันออกและตะวันตกติด ประเทศอินเดีย ประเทศเนปาลแยกจากประเทศบังกลาเทศด้วยฉนวนศิลิกูริ (Siliguri Corridor) แคบ ๆ ในประเทศอินเดีย และแยกจากประเทศภูฏานด้วยรัฐสิกขิมของอินเดีย กรุงกาฐมาณฑุเป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่สุดของประเทศ

ภาคเหนือของประเทศเนปาลซึ่งเป็นแถบภูเขามีแปดจากสิบภูเขาสูงสุดในโลก ซึ่งรวมยอดเขาเอเวอเรสต์ จุดสูงสุดบนโลก ยอดเขากว่า 240 แห่งซึ่งสูงเกิน 6,096 เมตร (20,000 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเลอยู่ในประเทศเนปาล ส่วนภาคใต้มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์และชื้น

ชาวเนปาลประมาณ 81.3% นับถือศาสนาฮินดู เป็นสัดส่วนสูงสุดในโลก ศาสนาพุทธมีความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์กับประเทศเนปาล และมีประชากรนับถือ 9% ตามด้วยศาสนาอิสลาม 4.4% Kiratism 3.1% ศาสนาคริสต์ 1.4% และวิญญาณนิยม 0.4% ประชากรสัดส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคภูเขา อาจระบุตัวว่าเป็นทั้งฮินดูและพุทธ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของธรรมชาติกลมเกลียวของทั้งสองความเชื่อในประเทศเนปาลก็เป็นได้

ประเทศเนปาลปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตยตลอดประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ ราชวงศ์ศาหะปกครองตั้งแต่ปี 2311 เมื่อพระเจ้าปฤถวีนารายัณ ศาหะทรงรวมราชอาณาจักรเล็ก ๆ จำนวนมาก จนปี 2551 สงครามกลางเมืองนานหนึ่งทศวรรษซึ่งเกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเนปาล (ลัทธิเหมา) ตามด้วยการประท้วงใหญ่โดยพรรคการเมืองหลักทุกพรรค นำสู่ความตกลง 12 ข้อ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2548 การเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเนปาลที่ 1 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2551 ซึ่งตามมาสนับสนุนการเลิกราชาธิปไตยและการสถาปนาสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนหลายพรรคการเมืองอย่างท่วมท้น แม้ความท้าทายทางการเมืองยังดำเนินไป แต่กรอบนี้ยังอยู่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญเนปาลที่ 2 ซึ่งได้รับเลือกตั้งในปี 2556 ในความพยายามเพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่

ประเทศเนปาลเป็นประเทศกำลังพัฒนาโดยมีเศรษฐกิจรายได้ต่ำ อยู่ในอันดับที่ 145 จาก 187 ประเทศในดัชนีการพัฒนามนุษย์ในปี 2557 ประเทศเนปาลยังเผชิญกับความหิวและความยากจนระดับสูง แม้ความท้าทายเหล่านี้ ประเทศเนปาลยังคงมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลผูกมัดยกระดับประเทศจากสถานภาพประเทศด้อยพัฒนาภายในปี 2565

ประวัติศาสตร์

[แก้]

ยุคโบราณ

[แก้]
เสาพระเจ้าอโศกมหาราช ที่ ลุมพินีวัน

ยุคกลาง

[แก้]

ราชอาณาจักร

[แก้]

ก่อนปีพ.ศ. 2311 หุบเขากาฐมาณฑุแบ่งออกเป็นสามอาณาจักร จนกระทั่งผู้นำเผ่ากุรข่า ปฤฐวี นารายัณ ศาห์ สามารถรวบรวมอาณาจักรในหุบเขาเข้าด้วยกัน และหลังจากนั้นได้ทำสงครามขยายอาณาเขตออกไป จนในปี พ.ศ. 2357 - พ.ศ. 2359 เกิดสงครามอังกฤษ-เนปาล กองทัพกุรข่าพ่ายแพ้ ต้องทำสนธิสัญญาและจำกัดอาณาเขตเนปาลเหลือเท่าปัจจุบัน[5]

ในปี พ.ศ. 2391 ชัง พหาทุระ รานา ซึ่งเป็นขุนนางในประเทศ ยึดอำนาจจากราชวงศ์ศาห์ โดยยังคงราชวงศ์ศาห์ไว้เป็นประมุขแต่ในนาม ตระกูลรานาได้รับการสนับสนุนจากสหราชอาณาจักร เนปาลได้ส่งกองทัพเข้าร่วมกับกองทัพบริเตนในหลายสงคราม ทำให้สหราชอาณาจักรทำสนธิสัญญามิตรภาพกับเนปาลในปี พ.ศ. 2466 ซึ่งในสนธิสัญญานี้ สหราชอาณาจักรได้ยอมรับเอกราชของเนปาลอย่างชัดเจน[6]

ในปี พ.ศ. 2494 เกิดการต่อต้านการปกครองของตระกูลรานา นำโดยพรรคเนปาลีคองเกรสและกษัตริย์ตริภุวัน ทำให้โมหัน สัมเสระ ชัง พหาทุระ รานา ผู้นำคนสุดท้ายของตระกูลรานาคืนอำนาจให้แก่กษัตริย์ศาห์ และจัดการเลือกตั้ง

หลังจากเนปาลได้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยในช่วงสั้น ๆ โดยจัดการเลือกตั้งครั้งแรกในปี พ.ศ. 2502 แต่กษัตริย์มเหนทระได้ยุบสภา ยึดอำนาจในปี พ.ศ. 2503 และใช้ระบอบปัญจายัตแทน จนมาถึงการปฏิรูปการปกครองในปี พ.ศ. 2533 ทำให้เปลี่ยนจากระบอบปัญจายัต ที่ห้ามมีพรรคการเมือง มาเป็นระบอบรัฐสภาแบบพหุพรรค[7]

ในปี พ.ศ. 2539 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งเนปาล (ลัทธิเหมา) ได้เปิดฉากสงครามประชาชน มีเป้าหมายที่จะสถาปนาสาธารณรัฐสังคมนิยมขึ้นแทนระบอบราชาธิปไตย นำมาซึ่งสงครามกลางเมืองซึ่งกินเวลายาวนานถึงสิบปี ในปี พ.ศ. 2544 เกิดเหตุสังหารหมู่ในพระราชวัง โดยเจ้าชายทิเปนทระ มกุฎราชกุมารในสมัยนั้น และกษัตริย์ชญาเนนทระได้ขึ้นครองราชสมบัติแทน ในปี พ.ศ. 2548 กษัตริย์ชญาเนนทระได้ยึดอำนาจจากรัฐบาล นำมาซึ่งการประท้วงจากประชาชนและพรรคการเมืองในเวลาต่อมา จนต้องคืนอำนาจให้กับรัฐสภา รัฐสภาเนปาลได้จำกัดพระราชอำนาจของกษัตริย์ และให้เนปาลเป็นรัฐโลกวิสัย (secular state)

ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550 รัฐสภาเนปาลได้ผ่านกฎหมายที่จะเปลี่ยนเนปาลเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตย โดยมีผลหลังการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2551[8]

ในวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 รัฐบาลเนปาลประกาศยกเลิกระบอบกษัตริย์ สถาปนาสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยขึ้น โดยกำหนดให้ชญาเนนทระและอดีตพระบรมวงศานุวงศ์ต้องออกจากพระราชวังภายใน 15 วัน และกำหนดให้วันที่ 28 - 30 พฤษภาคม เป็นวันหยุดราชการ[9]

ภูมิศาสตร์

[แก้]
แผนที่ภูมิประเทศของเนปาล

ประเทศเนปาลมีรูปร่างคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาวประมาณ 800 กม. กว้าง 200 กม. มีพื้นที่ 147,516 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 26° ถึง 31° เหนือ และลองจิจูด 80° ถึง 89° ตะวันออก กระบวนการทางธรณีวิทยาที่กำหนดภูมิประเทศของเนปาลเริ่มต้นเมื่อ 75 ล้านปีก่อนโดยแผ่นเปลือกโลกอินเดีย ซึ่งเคยเป็นส่วนทางทิศใต้ของมหาทวีปกอนด์วานา แผ่นเปลือกโลกนี้เริ่มเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจากการขยายตัวของพื้นมหาสมุทรทางตะวันตกเฉียงใต้ และต่อมาทางทิศใต้และตะวันออกเฉียงใต้[10] ในเวลาเดียวกัน เปลือกโลกมหาสมุทรทีทิสขนาดใหญ่ทางตะวันออกเฉียงเหนือก็เริ่มมุดตัวลงใต้แผ่นเปลือกโลกยูเรเชีย[11] การพาความร้อนในเนื้อโลกขับเคลื่อนกระบวนการคู่ขนานนี้ไปพร้อมกันจนเกิดเป็นมหาสมุทรอินเดียและทำให้เปลือกโลกภาคพื้นทวีปอินเดียมุดตัวใต้ยูเรเชียในที่สุด จากนั้นยกตัวขึ้นเป็นเทือกเขาหิมาลัย[12]

แผ่นดินที่ยกตัวขึ้นปิดกั้นเส้นทางแม่น้ำทำให้เกิดทะเลสาบใหญ่หลายแห่ง เมื่อ 100,000 ปีก่อนทะเลสาบเหล่านี้สามารถทำลายกำแพงธรรมชาติลงได้ น้ำจึงแห้งและเกิดเป็นหุบเขาที่มีความอุดมสมบูรณ์ในเขตภูเขาตอนกลาง เช่น หุบเขากาฐมาณฑุ ส่วนพื้นที่ทางตะวันตก แม่น้ำต่าง ๆ มีพลังมากเกินกว่าจะถูกกั้นเป็นทะเลสาบได้ มันกัดเซาะจนเกิดเป็นโกรกธารที่ลึกที่สุดแห่งหนึ่งของโลก[13] ส่วนพื้นที่ทิศใต้ตรงรอยต่อกับหิมาลัยเกิดแอ่งขนาดใหญ่ขึ้นจากการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก ซึ่งแม่น้ำได้พัดพาตะกอนมาทับถมแอ่งนี้อย่างรวดเร็ว[14] จนกลายเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำอินโด-คงคาอย่างในปัจจุบัน[15] เนปาลเกือบทั้งประเทศตั้งอยู่ในแนวปะทะของแผ่นเปลือกโลก อีกทั้งยังกินพื้นที่ตอนกลางของเทือกเขาหิมาลัยเกือบหนึ่งในสามจากความยาวทั้งหมด 2,400 กิโลเมตร[16] มีเพียงแนวพื้นที่เล็ก ๆ ทางใต้สุดของประเทศที่ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่น้ำอินโด-คงคา และมีเขตสองแห่งทางตะวันตกเฉียงเหนือที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูงทิเบต[17]

เอเวอเรสต์ ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ตั้งอยู่บนพรมแดนเนปาลและจีน

ประเทศเนปาลแบ่งเขตภูมิประเทศออกเป็น 3 เขตหลักในชื่อภาษาเนปาล ได้แก่ หิมาล (Himal), ปาหาด (Pahad) และเตไร (Terai) เขตเหล่านี้แบ่งตามแนวยาวของประเทศ "หิมาล" เป็นเขตภูเขาหิมะส่วนหนึ่งของแนวเทือกเขาหิมาลัยใหญ่ (Great Himalayan Range) ถือเป็นเขตทางภูมิศาสตร์ที่อยู่ตอนเหนือของประเทศ เป็นที่ตั้งของยอดเขาที่สูงสุดในโลก เอเวอเรสต์ (ในภาษาเนปาลเรียกว่า "สครมาถา") มีความสูง 8,848.86 เมตร และอยู่ติดกับพรมแดนจีน นอกจากนี้ยังมียอดเขาสูงลำดับต้น ๆ ของโลกอีกจำนวนมาก “ภูเขาแปดพันเมตร” ถึง 7 ใน 14 แห่งของโลกตั้งอยู่ในเนปาลเพียงประเทศเดียว บางแห่งอยู่ติดกับพรมแดนทิเบตของจีน ยอดเขาทั้ง 7 แห่งนี้ได้แก่ โลตเซ, มะกะลู, โชโอยู, คังเช็นเจองา, เธาลาคีรี, อันนปูรณะ และ มนาสลุ "ปาหาด" เป็นเขตภูเขาที่โดยปกติไม่มีหิมะปกคลุม มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 800 ถึง 4,000 เมตร สภาพภูมิอากาศจะแตกต่างกันไปตามระดับความสูง ตั้งแต่กึ่งเขตร้อนในพื้นที่ต่ำกว่า 1,200 เมตร ไปจนถึงแบบทุ่งหิมะในพื้นที่สูงกว่า 3,600 เมตร แนวสิ้นสุดทางทิศใต้ของเขตนี้คือ เทือกเขาหิมาลัยตอนล่าง (Lower Himalayan Range) ซึ่งมีความสูงระหว่าง 1,500 ถึง 3,000 เมตร โดยมีหุบเขาแม่น้ำแบบกึ่งเขตร้อนและเนินเขาสลับกันไปทางตอนเหนือของเทือกเขานี้ พื้นที่หุบเขาจะมีการตั้งถิ่นฐานมาก ทำให้ความหนาแน่นของประชากรสูง แต่จะลดลงอย่างชัดเจนในพื้นที่ที่สูงกว่า 2,000 เมตร และเบาบางมากในพื้นที่ที่สูงกว่า 2,500 เมตร ซึ่งอาจมีหิมะตกในฤดูหนาว "เตไร" เป็นที่ราบลุ่มทางตอนใต้ที่ติดกับประเทศอินเดียและเป็นส่วนหนึ่งของที่ราบลุ่มแม่น้ำอินโด-คงคา เตไรเป็นพื้นที่ราบต่ำ มีแนวเนินเขาบางส่วน ที่ราบแห่งนี้ก่อตัวและรับน้ำจากแม่น้ำหลักที่มีต้นน้ำอยู่ในเทือกเขาหิมาลัย 3 สาย ได้แก่ แม่น้ำโกสี, แม่น้ำนารายณี และแม่น้ำกานาลี รวมถึงแม่น้ำสายเล็ก ๆ ที่เกิดในพื้นที่ที่ต่ำกว่าแนวเขตหิมะถาวร เขตภูมิประเทศนี้มีภูมิอากาศแบบกึ่งเขตร้อนและเขตร้อน เทือกเขาด้านไกลสุดจากหิมาลัยคือ เทือกเขาซิวาลิก (Sivalik Hills) (หรือเทือกเขาชูเรีย (Churia Range)) มีความสูง 700 ถึง 1,000 เมตร ถือเป็นแนวสิ้นสุดของที่ราบลุ่มคงคา ภายในมีหุบเขาขนาดกว้างและต่ำเรียกว่า หุบเขาเตไรชั้นใน (Inner Terai Valleys) ปรากฏอยู่หลายแห่ง

แผ่นเปลือกโลกอินเดียยังคงเคลื่อนที่ไปทางทิศเหนือเมื่อเทียบกับทวีปเอเชียด้วยอัตราเร็ว 50 มิลลิเมตรต่อปี[18] ทำให้เนปาลอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อแผ่นดินไหว แผ่นดินไหวขนาดใหญ่จะเกิดขึ้นเป็นรอบ เป็นอุปสรรคใหญ่อย่างหนึ่งต่อการพัฒนาประเทศ[19] นอกจากนี้ การกัดเซาะบนเทือกเขาหิมาลัยเป็นแหล่งกำเนิดตะกอนที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยตะกอนเหล่านี้จะไหลลงสู่มหาสมุทรอินเดีย[20] โดยเฉพาะแม่น้ำสัปตะโกสี ซึ่งพัดพาตะกอนจำนวนมหาศาลออกจากเนปาล เข้าสู่รัฐพิหารของอินเดีย ในรัฐนี้ความลาดชันลดลงอย่างมาก จึงมักเกิดเหตุน้ำท่วมรุนแรงและแม่น้ำเปลี่ยนทางไหล จนได้รับสมญานามว่า "ความเศร้าโศกของรัฐพิหาร" ในแต่ละปีช่วงฤดูมรสุม อุทกภัยและดินถล่มอย่างรุนแรงทำให้เกิดการสูญเสียชีวิต ความเจ็บป่วย ทำลายพื้นที่การเกษตรและโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมของประเทศ

แผนที่การแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิพเพินของเนปาล

ประเทศเนปาลมี 5 เขตภูมิอากาศ ซึ่งโดยทั่วไปจะสัมพันธ์กับระดับความสูง ได้แก่ เขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (ต่ำกว่า 1,200 เมตร) เขตอบอุ่น (1,200 ถึง 2,400 เมตร) เขตหนาว (2,400 ถึง 3,600 เมตร) เขตกึ่งอาร์กติก (3,600 ถึง 4,400 เมตร) และเขตอาร์กติก (สูงกว่า 4,400 เมตร) เนปาลมี 5 ฤดูกาลได้แก่ ฤดูร้อน, ฤดูมรสุม, ฤดูใบไม้ร่วง, ฤดูหนาว และฤดูใบไม้ผลิ เทือกเขาหิมาลัยเป็นทั้งกำแพงกั้นลมหนาวที่พัดลงมาจากเอเชียกลางในฤดูหนาว และยังจำกัดลมมรสุมไม่ให้พัดขึ้นไปทางเหนืออีกด้วย

การเมืองการปกครอง

[แก้]

ในปัจจุบัน เนปาลเข้าสู่ระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐ มีนายราม วะรัณ ยาทวะ เป็นประธานาธิบดีคนแรก จากการลงคะแนนเสียงของสภาร่างรัฐธรรมนูญ 308 เสียง และนายคีรีชา ปราสาท โกอีราละ อดีตรักษาการณ์ประมุขแห่งรัฐทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อไป จนมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่อันนำโดยพรรคคอมมิวนิสต์ลัทธิเหมา หรืออดีตกลุ่มกบฏลัทธิเหมา ซึ่งมีนายประจันดา เป็นนายกรัฐมนตรี [21] แต่หลังจากที่นายประจันดา ต้องการให้อดีตกลุ่มกบฏของเขาเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ จึงมีกระแสกดดันมาจากผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเนปาล และรวมทั้งประธานาธิบดียาดัฟ นายประจันดาจึงประกาศลาออก และสภาได้เลือกนายมาดัฟ กุมาร เนปาล อดีตเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ลัทธิมาร์ก-เลนิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ในวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ก่อนครบรอบ 1 ปีของการสถาปนาระบอบสาธารณรัฐในเนปาล

การแบ่งเขตการปกครอง

[แก้]

ประเทศเนปาลแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 7 รัฐ

รัฐ เมืองหลวง อำเภอ พื้นที่
(ตร.กม.)
ประชากร
สำมะโน 2021
ความหนาแน่นประชากร
(คน/ตร.กม.) 2021
ดัชนีการพัฒนามนุษย์ ที่ตั้ง
รัฐโกศีพิราฏนคร1425,9054,972,0211920.553
รัฐมเธศชนกปุรธาม89,6616,126,2886340.485
รัฐพาคมตีเหเฏาฑา1320,3006,084,0423000.560
รัฐคัณฑกีโปขรา1121,8562,479,7451130.567
รัฐลุมพินีเทอุขุรี1219,7075,124,2252600.519
รัฐกรรณาลีพีเรนทรนคร1030,2131,694,889560.469
รัฐสุทูรปัศจิมโคทาวรี919,5392,711,2701390.478
เนปาล กาฐมาณฑุ 77 147,181 29,192,480 198 0.579

เศรษฐกิจ

[แก้]

โครงสร้าง

[แก้]
การทำนาแบบขั้นบันได

พื้นที่เกษตรกรรมมีเพียงร้อยละ 17 พืชที่สำคัญ ได้แก่ ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด ข้าวเจ้า พื้นที่ 2 ใน 3 ปกคลุมด้วยป่าไม้ มีการตัดไม้เพื่อเป็นวัตถุดิบของอุตสาหกรรมไม้อัด โรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็กที่แปรสภาพผลผลิตทางการเกษตร ได้แก่ โรงงานน้ำตาล โรงงานกระดาษ รายได้ส่วนใหญ่ของประเทศได้มาจากการค้าแรงงานของชาวเนปาลที่อยู่ต่างประเทศ และส่งเงินกลับมาให้กับครอบครัวที่อาศัยอยู่ในเนปาล ธุรกิจการท่องเที่ยวมีจุดสนใจอยู่ที่การท่องเที่ยวเชิงผจญภัยและวัฒนธรรม เช่นการเดินเขา ปีนเขา และล่องแก่ง ตัวอย่างสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในเนปาล เช่น เขาเอเวอเรสต์, วัดปศุปตินาถ, วัดสวยัมภูนาถ, พระราชวังกาฐมาณฑุ, เมืองโปขรา, ลุมพินีวัน เป็นต้น

ประชากร

[แก้]

เชื้อชาติ

[แก้]
ภาษาที่พูดในเนปาล แบ่งตามจำนวนคนพูด

ศาสนา

[แก้]
วัดพุทธนานาชาติ ลุมพินีวัน

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Nepal". The World Factbook (2025 ed.). Central Intelligence Agency. สืบค้นเมื่อ 24 September 2022. (Archived 2022 edition)
  2. 1 2 3 4 "World Economic Outlook Database, October 2023 Edition. (Nepal)". IMF.org. International Monetary Fund. 10 October 2023. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 October 2023. สืบค้นเมื่อ 14 October 2023.
  3. "Gini Index (World Bank Estimate) – Nepal". World Bank. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 November 2024. สืบค้นเมื่อ 20 January 2024.
  4. "Human Development Report 2023" (ภาษาอังกฤษ). United Nations Development Programme. 2023.
  5. Andrea Matles Savada, ed. Nepal: A Country Study - The Enclosing of Nepal. Washington: GPO for the Library of Congress, 1991.
  6. Andrea Matles Savada, ed. Nepal: A Country Study - The Ranas. Washington: GPO for the Library of Congress, 1991.
  7. Country Profile: Nepal. 2005. Federal Research Division, Library of Congress.
  8. Vote to abolish Nepal's monarchy. BBC News. 2007-12-28.
  9. Republic Day celebrated in DC เก็บถาวร 2008-10-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Nepali Post. 2008-05-28
  10. Ali, J. R.; Aitchison, J. C. (2005). "Greater India". Earth-Science Reviews. 72 (3–4): 170–173. Bibcode:2005ESRv...72..169A. doi:10.1016/j.earscirev.2005.07.005. ISSN 0012-8252.
  11. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ ali2
  12. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ ali3
  13. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Jwhelpton
  14. Dikshit, K. R.; Schwartzberg, Joseph E. "India: Land". Encyclopædia Britannica. pp. 1–29. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 May 2015. สืบค้นเมื่อ 18 July 2019.
  15. Prakash, B.; Kumar, S.; Rao, M. S.; Giri, S. C. (2000). "Holocene Tectonic Movements and Stress Field in the Western Gangetic Plains" (PDF). Current Science. 79 (4): 438–449. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 4 May 2011. สืบค้นเมื่อ 18 July 2019.
  16. Whelpton, John (2005). A History of Nepal. Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-80470-7.
  17. Bilham et al., 1998;แม่แบบ:Incomplete short citation Pandey et al., 1995.แม่แบบ:Incomplete short citation
  18. "National Earthquake Monitoring & Research Center". Nepal Department of Mines and Geology. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 June 2022. สืบค้นเมื่อ 1 July 2022.
  19. Summerfield & Hulton, 1994;แม่แบบ:Incomplete short citation Hay, 1998.แม่แบบ:Incomplete short citation
  20. Nepal declared secular, federal democratic republic. Sify. 2008-05-28. Retrieved 2008-05-28.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
ภาษาอังกฤษ