ข้ามไปเนื้อหา

ไทหย่า

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก ชาวไทหย่า)
ไทหย่า
ประชากรทั้งหมด
ราว 50,000 คน (พ.ศ. 2543)
ภูมิภาคที่มีประชากรอย่างมีนัยสำคัญ
 จีน40,890 คน (พ.ศ. 2543)[1]
 ไทย300 คน (พ.ศ. 2547)[2]
ภาษา
ไทหย่า · จีน · ไทยถิ่นเหนือ
ศาสนา
ศาสนาผีและคริสต์โปรเตสแตนต์
กลุ่มชาติพันธุ์ที่เกี่ยวข้อง
ไทลื้อ · ไทยวน · ไทใหญ่

ฮวาเยาไต่ (จีน: 花腰傣) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ในตระกูลภาษาขร้า-ไท อาศัยอยู่ในอำเภอปกครองตนเองชนชาติอี๋และไท ซินผิง หรือเมืองขิ่น และอำเภอปกครองตนเองชนชาติฮาหนี อี๋ และไท ยเหฺวียนเจียง หรือเมืองจุ้ง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน และบางส่วนอาศัยอยู่ในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย[2] ชนกลุ่มนี้มีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับไทลื้อ ไทยวน ไทเขิน ไทใหญ่ และไทดำ หากแต่ไม่ได้รับศาสนาพุทธและยังนับถือผีบรรพบุรุษ มีบางส่วนที่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ และมีจำนวนไม่น้อยที่เปลี่ยนกลับไปนับถือผี เพียงแต่ไม่บูชาผีอื่นนอกจากวิญญาณบรรพชน และระลึกถึงคำสอนในพระคัมภีร์ไบเบิลบ้าง[3]

ในประเทศจีน ฮวาเยาไต่ ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในอำเภอปกครองตนเองชนชาติอี๋และไท ซินผิง (หรือ เมืองขิ่น) และอำเภอปกครองตนเองชนชาติฮาหนี อี๋ และไท ยเหฺวียนเจียง (หรือ เมืองจุ้ง) ประกอบด้วยชาติพันธุ์สามกลุ่มย่อย กลุ่มแรกคือ ไทข่า (傣卡) อาศัยอยู่ในเมืองมั่วชา (漠沙) หรือเมืองหย่า และเยาเจีย (腰街), กลุ่มที่สอง ไทชา หรือ ไททราย (傣沙) อาศัยอยู่ในเมืองมั่วซาหรือเมืองหย่าเช่นกัน และกลุ่มที่สามคือ ไทหย่า (傣雅) อาศัยอยู่ที่เมืองกาส่า (嘎洒) หรือเมืองทราย และเมืองฉุ่ยถัง (水塘) นอกจากนี้อาจจะรวม ไทจุ้ง หรือ หงจินไต่ (红金傣) ซึ่งพูดภาษาใกล้เคียงกัน อาศัยอยู่ที่เมืองยเหฺวียนซิน (元新) ทั้งหมดจะมีวัฒนธรรมและการแต่งกายใกล้เคียงกัน อาจต่างไปเล็กน้อย เช่น กลุ่มไทหย่ามักสวมเครื่องประดับที่ทำจากเงิน แต่ไทน้ำ (水傣) ชอบเครื่องประดับที่ทำจากทอง เป็นอาทิ[4] ส่วนในประเทศไทย ชาวฮวาเยาไต่ที่อพยพเข้ามาจะถูกเรียกรวม ๆ ว่า ไทหย่า เพราะล้วนอพยพมาจากเมืองหย่าดุจกัน[2]

ประวัติ

[แก้]

ฮวาเยาไต่ หรือ ไทหย่า เรียกชื่อตามภูมิสถานที่อาศัยคือเมืองหย่า ปัจจุบันมีชื่อเป็นภาษาจีนว่ามั่วชา (漠沙) ตั้งอยู่ในอำเภอปกครองตนเองชนชาติอี๋และไท ซินผิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ดังนั้น ไทหย่า จึงมีความหมายว่า คนเมืองหย่า หรือ ชาวไทเมืองหย่า[5] โดยชื่อ "หย่า" ชาวไทหย่าอธิบายว่า ในอดีตชนชาติไทอพยพลงจากทิศเหนือลงสู่ทิศใต้ แต่ครั้นมาถึงบริเวณดังกล่าว (ที่ตั้งเมืองหย่า) ชาวไทกลุ่มหนึ่งไม่อยากอพยพลงไปและขอตั้งถิ่นฐานที่นี่ จำต้องพรากหย่าจากญาติพี่น้อง จึงเรียกนามเมืองนี้ว่า "เมืองหย่า"[6] ขณะที่งานเขียนของวิลเลียม คลิฟตัน ดอดด์ มิชชันนารีผู้เผยแผ่ศาสนาคณะเพรสไบทีเรียนแก่ชาวไทหย่า อ้างว่า "ไทยที่ถือพุทธเรียกไทยที่ไม่มีการศึกษาว่า ไทยหย่า (Tai Ya) มีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าได้พยายามจะสอนไทยพวกนี้ แต่สอนไม่ได้เพราะบาปหนา พระพุทธเจ้าจึงหยุดไม่สอนต่อไป เพราะฉะนั้นไทยพวกนี้จึงไม่มีศาสนา"[7] ส่วนชื่อ ฮวาเยาไต่ (花腰傣) เป็นภาษาจีน แปลว่า ไทผ้าคาดเอวลาย ตามลักษณะเครื่องแต่งกายของสตรีไทหย่า ที่ตกแต่งลวดลายและสีสันบริเวณเอว[2]

ฮวาเยาไต่ หรือไทหย่าดำรงชีวิตแบบเกษตรกรรมเพื่อการยังชีพแต่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเองและต้องเช่าที่ดินของชาวจีนฮั่น ต่อมาช่วง พ.ศ. 2453 เป็นต้นมา มีคณะมิชชันนารีจากชาติตะวันตกหลายคณะเข้าไปเผยแผ่ศาสนาในชุมชนชาวไทหย่า ครั้นประเทศจีนเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นแบบคอมมิวนิสต์เมื่อ พ.ศ. 2492 ทำให้วิถีชีวิตของชาวไทหย่าในจีนเปลี่ยนแปลงไป พวกเขารับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากจีนมากขึ้นกว่าเก่าก่อน ทุกวันนี้ชาวไทหย่ายังคงดำรงชีวิตตามวัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิมของตนได้[8]

ชาลส์ อาร์. คาเลนเดอร์ มิชชันนารีผู้เผยแผ่ศาสนาคริสต์ เคยนำชาวไทหย่าสองคน คือ เลาหยีท่อนแท่น หรือเลาหยีใหญ่ และเลาหยีเล็ก เข้าเรียนที่โรงเรียนคริสเตียนวิทยาคม จังหวัดเชียงราย เมื่อ พ.ศ. 2470 และอาศัยอยู่ระยะหนึ่ง[9] และในปีเดียวกันนั้นเอง ก็มีชาวไทหย่าจำนวนสิบครอบครัวอพยพเข้าไปประเทศไทยเพื่อหนีความทุกข์ยากในประเทศจีน นำโดยเถ้าแก่นาคากับนายสามเปา (บิดาของเลาหยีใหญ่) ตั้งถิ่นฐานที่บ้านห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย[9] ต่อมา พ.ศ. 2476 มีคลื่นผู้อพยพชาวไทหย่าระลอกสองเพราะหนีการปฏิวัติและหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ไปรบ พวกเขาตั้งถิ่นฐานที่บ้านป่าสักขวาง ครั้น พ.ศ. 2484 ชาวไทหย่าสิบเก้าครอบครัวขยับขยายออกมาตั้งชุมชนใหม่ที่บ้านน้ำบ่อขาว ก่อนเริ่มขยายตัวเข้าสู่ตัวเมืองเชียงราย และกระจายตามที่ต่าง ๆ สืบปัจจุบัน[2] แต่ปัจจุบันชาวไทหย่าในไทยกำลังเผชิญกับการสูญเสียอัตลักษณ์ทางภาษาและวัฒนธรรม[10]

ภาษา

[แก้]

ภาษาไทหย่ามีหน่วยเสียงพยัญชนะ 18 เสียง เสียงสระ 18 เสียง และวรรณยุกต์ 5 เสียง[2][11] มีลักษณะใกล้เคียงกับภาษาไทลื้อและไทยอง[12] รวมทั้งสามารถเข้าใจภาษาไทยถิ่นเหนือได้แม้จะมีบางคำที่ต่างกันบ้างก็ตาม[2] โดยภาษาไทหย่าจะออกเสียงพยัญชนะต่างจากภาษาไทยถิ่นเหนือ เช่น ด จะออกเสียง ล เช่น สีดำ เป็น สีลำ, ดอกไม้ เป็น ลอกไม้ ไม่มีคำควบกล้ำ เช่น ปลา เป็น ปา[2][11] ไม่มีสระประสม ได้แก่ สระเอีย สระเอือ และสระอัว แต่จะออกเสียงเป็น สระเอ สระเออ และสระไอไม้ม้วน เช่น เมีย เป็น เม, ดินเหนียว เป็น ลินเหนว, เรือน เป็น เฮอน, หัว เป็น โห และสระไอไม้ม้วนออกเสียงเป็นสระเออ เช่น ใหญ่ เป็น เหญ่อ, ใจ เป็น เจอ, ใน เป็น เนอ, ใคร เป็น เผอ เป็นต้น[13] นอกจากนี้ยังมีคำที่ออกเสียงต่างออกไป เช่น วิญญาณ ว่า มิ่งคัน, รักษา ว่า ละคอมหา, มีเยอะ ว่า อู๋หลาย, ไปเที่ยว ว่า กาห่อน, ไปไหนมา ว่า กาสังม่า, มาเที่ยวหรือ ว่า ม่าห่อนว่อ, มีธุระอะไร ว่า หย่งโจ่วแทง และ มากี่คน ว่า มาจิก้อ เป็นต้น[14] ทั้งนี้ ฮวาเยาไต่ กลุ่มอื่น ๆ จะพูดภาษาใกล้เคียงกัน มีคำพูดผิดเพี้ยนกันเล็กน้อย เช่น กลุ่มไททรายจะพูดห้วนและเร็วกว่ากลุ่มไทหย่า และมีคำอุทานที่ต่างกัน[15]

ภาษาไทหย่ามีเพียงภาษาพูดไม่มีระบบการเขียนเป็นของตัวเองต่างจากภาษาไทกลุ่มอื่น ๆ[16] ภาษาไทหย่าในประเทศไทยกำลังสูญหายเพราะชาวไทหย่าเปลี่ยนไปใช้ภาษาไทยถิ่นเหนือและภาษาไทยมาตรฐาน[17] ต่างจากชาวไทหย่าในประเทศจีนที่ยังมีแนวโน้มว่าลูกหลานจะยังคงใช้ภาษานี้ต่อไป[16]

ศาสนา

[แก้]

ชาวไทหย่าแต่ดั้งเดิมนับถือผีบรรพชน เชื่อว่าพ่อมดและย่ามด (คือคนทรง) เป็นตัวกลางในการติดต่อกับผี และทุกเทศกาลจะต้องมีการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษก่อนการจัดพิธีเฉลิมฉลอง[18] พวกเขาเชื่อว่าเมื่อพ่อแม่เสียชีวิตไปก็จะกลายเป็นผี สามารถปกปักรักษาลูกหลานของตัวเองได้ ลูกหลานก็จะต้องเซ่นไหว้อาหารที่ดีที่สุดแก่ผีบรรพชน เพื่อให้พวกท่านพอใจ หากมีงานหรือเทศกาลใด ๆ จะต้องมีการบอกกล่าวและเลี้ยงผีบรรพชนทุกครั้ง รวมทั้งมีการบูชาผีดีอื่น ๆ ด้วย ได้แก่[19]

ลำดับ ชื่อผีดี ที่สิงสถิต กลุ่ม
1. ผีเฮือน ในบ้าน ผีประจำครอบครัว
2. ผีหน้าห้อง หน้าบ้าน
3. ผีแหย่ง หลังบ้าน
4. ผีแดดไหม้ นอกบ้าน
5. ผีเสื้อบ้าน หมู่บ้าน ผีประจำหมู่บ้าน
6. ผีฟ้า ท้องฟ้า ผีธรรมชาติ
7. ผีนา นา
8. ผีป่า ป่า
9. ผีน้ำ น้ำ
10. ผีวัว-ผีควาย วัวและควาย ผีสัตว์

นอกจากผีดีเหล่านี้แล้ว ยังมีผีร้ายที่ต้องเซ่นไหว้อาหารให้ คือ ผีปอบและผีกะ เพราะเป็นผีที่ไม่มีญาติพี่น้องดูแล มักทำร้ายผู้อื่น เพื่อให้ผู้นั้นทำอาหารเซ่นไหว้ให้[19] มีหากชาวไทหย่าเจ็บป่วยจะมีการสะเดาะเคราะห์ โดยจะให้แม่มดเฒ่าจำนวนสิบคนใช้ผ้าขาวคลุมหน้าผู้เจ็บป่วย เพราะเชื่อว่าผู้ป่วยกระทำการล่วงเกินต่อผีป่า ผีเสื้อบ้าน หรือผีบรรพชน จะต้องฆ่าหมู ฆ่าไก่ ทำพิธีบนบานและเรียกขวัญด้วยการผูกด้ายที่ข้อมือ หรืออาจใช้สมุนไพรหรือรากไม้ มาต้มหรือฝนดื่มเพื่อรักษาโรค[20]

ครั้น พ.ศ. 2463 มีการเผยแผ่ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์โดยคณะมิชชันนารีจากหลายประเทศ โดยเฉพาะการเผยแผ่โดยคณะเพรสไบทีเรียนของวิลเลียม คลิฟตัน ดอดด์, ศาสนาจารย์เจไลอา บี.บี. และชาลส์ อาร์. คาเลนเดอร์ ซึ่งเผยแผ่ศาสนาในกลุ่มชนที่ใช้ภาษาไททางตอนเหนือของประเทศไทยมาก่อนแล้ว[21][22] ทำให้ชาวไทหย่าบางส่วนเปลี่ยนจากนับถือผีไปนับถือศาสนาคริสต์ ถูกเรียกว่า "ไตหลั่งผี" หรือพวกไทไล่ผี[2] เบื้องต้นชาวไทหย่าเข้ารีตมักถูกเอารัดเอาเปรียบจากชาวจีนฮั่น[23] มีการบังคับจ่ายภาษีโบสถ์ หรือถูกเจ้าหน้าที่รัฐและโจรบุกปล้นบ่อยครั้ง ประชากรบางส่วนไม่อาจยอมรับการข่มเหงคะเนงร้ายทางศาสนาได้ จึงอพยพเข้าสู่ประเทศไทย[2][24] เข้าไปตั้งถิ่นฐานที่บ้านป่าสักขวางและบ้านน้ำบ่อขาว อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และผู้อพยพเหล่านี้เปลี่ยนไปเข้ารีตศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ทั้งหมู่บ้าน[2][25] แต่ยังมีความเชื่อเรื่องผีมดทำพิธี และมีการเซ่นไหว้ผีดีอยู่ เพื่อความสิริมงคล[26] ส่วนชาวไทหย่าที่ยังอยู่ในประเทศจีนหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นคอมมิวนิสต์ พวกเขาไม่สามารถนมัสการพระเจ้าที่โบสถ์ได้ มีการนมัสการที่บ้านเท่านั้น เพราะโบสถ์ถูกทางการเปลี่ยนเป็นค่ายทหาร ชาวไทหย่าเข้ารีตบางส่วนก็หวนกลับไปนับถือผีบรรพชน เพียงแต่ไม่บูชาหรือเซ่นสรวงผีอื่น ๆ[27]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 新平县旅游局 (2004). 花腰傣之乡:新平体脸游. ISBN 7-81068-883-9.
  2. 2.00 2.01 2.02 2.03 2.04 2.05 2.06 2.07 2.08 2.09 2.10 "ไทหย่า". ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-12-11. สืบค้นเมื่อ 12 ธันวาคม 2564. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  3. รุจพร ประชาเดชสุวัฒน์ และจินตนา มัธยมบุรุษ (2541). วิถีชีวิตชาวไตหย่า : ศึกษากรณีซินผิงและหยวนเจียง มณฑลยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน. สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ, หน้า ค
  4. รุจพร ประชาเดชสุวัฒน์ และจินตนา มัธยมบุรุษ (2541). วิถีชีวิตชาวไตหย่า : ศึกษากรณีซินผิงและหยวนเจียง มณฑลยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน. สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ, หน้า 30
  5. บุญช่วย ศรีสวัสดิ์. 30 ชาติในเชียงราย. กรุงเทพฯ : สยามปริทัศน์, 2557, หน้า 176
  6. รุจพร ประชาเดชสุวัฒน์ และจินตนา มัธยมบุรุษ (2541). วิถีชีวิตชาวไตหย่า : ศึกษากรณีซินผิงและหยวนเจียง มณฑลยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน. สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ, หน้า 2
  7. วิจิตรวาทการ, พลตรี หลวง. งานค้นคว้าเรื่องชนชาติไทย. กรุงเทพฯ : สร้างสรรค์บุ๊คส์, 2549, หน้า 105
  8. รุจพร ประชาเดชสุวัฒน์ และจินตนา มัธยมบุรุษ (2541). วิถีชีวิตชาวไตหย่า : ศึกษากรณีซินผิงและหยวนเจียง มณฑลยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน. สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ, หน้า 3
  9. 9.0 9.1 บุญช่วย ศรีสวัสดิ์. 30 ชาติในเชียงราย. กรุงเทพฯ : สยามปริทัศน์, 2557, หน้า 178
  10. เลหล้า ตรีเอกานุกูล (กรกฎาคม-ธันวาคม 2559). แนวทางการจัดตั้งโครงการศูนย์เรียนรู้วัฒนธรรมชาติพันธุ์ไตหย่าบ้านน้ำบ่อขาว ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย. วารสารสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (18:1), หน้า 118
  11. 11.0 11.1 "รู้จักไตหย่า บ้านน้ำบ่อขาว อ.แม่สาย จ.เชียงราย". กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์กรมหาชน). 3 ตุลาคม 2556. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2564. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  12. "ไทหย่า". ศูนย์เรียนรู้ชาติพันธุ์ไทในล้านนา สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. สืบค้นเมื่อ 30 กรกฎาคม 2564. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  13. เรืองเดช ปันเขื่อนปัติย์. ภาษาไตหย่า. นครปฐม : สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา, 2534, หน้า 13
  14. บุญช่วย ศรีสวัสดิ์. 30 ชาติในเชียงราย. กรุงเทพฯ : สยามปริทัศน์, 2557, หน้า 181
  15. บุญช่วย ศรีสวัสดิ์. 30 ชาติในเชียงราย. กรุงเทพฯ : สยามปริทัศน์, 2557, หน้า 190
  16. 16.0 16.1 Kirk R. Person; Wenxue Yang (2005). The Tones of Tai Ya. Department of Linguistics, School of Graduate Studies, Payap University. สืบค้นเมื่อ 8 September 2013.
  17. Tehan, T. Tehan; E. Dawkins (2010-12-07), "Tai Ya Reversing Language Shift 7 December 2010 1 Tai Ya in Thailand Present and Future: Reversing Language Shift" (PDF), Tai Ya Reversing Language Shift, pp. 2–3, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2014-08-10, สืบค้นเมื่อ 2021-12-11
  18. รุจพร ประชาเดชสุวัฒน์ และจินตนา มัธยมบุรุษ (2541). วิถีชีวิตชาวไตหย่า : ศึกษากรณีซินผิงและหยวนเจียง มณฑลยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน. สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ, หน้า 3
  19. 19.0 19.1 รุจพร ประชาเดชสุวัฒน์ และจินตนา มัธยมบุรุษ (2541). วิถีชีวิตชาวไตหย่า : ศึกษากรณีซินผิงและหยวนเจียง มณฑลยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน. สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ, หน้า 87
  20. บุญช่วย ศรีสวัสดิ์. 30 ชาติในเชียงราย. กรุงเทพฯ : สยามปริทัศน์, 2557, หน้า 185
  21. บุญช่วย ศรีสวัสดิ์. 30 ชาติในเชียงราย. กรุงเทพฯ : สยามปริทัศน์, 2557, หน้า 177
  22. รุจพร ประชาเดชสุวัฒน์ และจินตนา มัธยมบุรุษ (2541). วิถีชีวิตชาวไตหย่า : ศึกษากรณีซินผิงและหยวนเจียง มณฑลยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน. สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ, หน้า 88
  23. รุจพร ประชาเดชสุวัฒน์ และจินตนา มัธยมบุรุษ (2541). วิถีชีวิตชาวไตหย่า : ศึกษากรณีซินผิงและหยวนเจียง มณฑลยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน. สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ, หน้า 93
  24. รุจพร ประชาเดชสุวัฒน์ และจินตนา มัธยมบุรุษ (2541). วิถีชีวิตชาวไตหย่า : ศึกษากรณีซินผิงและหยวนเจียง มณฑลยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน. สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ, หน้า 97-100
  25. รุจพร ประชาเดชสุวัฒน์ และจินตนา มัธยมบุรุษ (2541). วิถีชีวิตชาวไตหย่า : ศึกษากรณีซินผิงและหยวนเจียง มณฑลยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน. สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ, หน้า 102
  26. เลหล้า ตรีเอกานุกูล (กรกฎาคม-ธันวาคม 2559). แนวทางการจัดตั้งโครงการศูนย์เรียนรู้วัฒนธรรมชาติพันธุ์ไตหย่าบ้านน้ำบ่อขาว ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย. วารสารสถาบันวัฒนธรรมและศิลปะ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (18:1), หน้า 117
  27. รุจพร ประชาเดชสุวัฒน์ และจินตนา มัธยมบุรุษ (2541). วิถีชีวิตชาวไตหย่า : ศึกษากรณีซินผิงและหยวนเจียง มณฑลยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน. สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ, หน้า 110