ปะโอ
![]() | |
ประชากรทั้งหมด | |
---|---|
ราว 1,800,000[1] – 2,000,000 คน[2] | |
ภูมิภาคที่มีประชากรอย่างมีนัยสำคัญ | |
ประเทศพม่า · ประเทศไทย | |
ภาษา | |
ปะโอ · พม่า · ไทใหญ่ | |
ศาสนา | |
ศาสนาพุทธนิกายเถรวาท | |
กลุ่มชาติพันธุ์ที่เกี่ยวข้อง | |
กะเหรี่ยง · กุลา |
ปะโอ (พม่า: ပအိုဝ်းလူမျိုး, ไทใหญ่: ပဢူဝ်း) บ้างเรียก ต่องสู่ หรือ ต้องสู้ (พม่า: တောင်သူ, กะเหรี่ยงโปตะวันออก: တံင်သူ, กะเหรี่ยงสะกอ: တီသူ), กะเหรี่ยงดำ หรือ กะเหรี่ยงพะโค เป็นหนึ่งในเจ็ดกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มใหญ่ในประเทศพม่า อาศัยในรัฐฉาน รัฐกะยา รัฐกะเหรี่ยง รัฐมอญ และเขตพะโค ทั้งนี้สามารถแบ่งชาวปะโอออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มที่ราบ คือชาวปะโอที่อยู่เมืองสะเทิม กับกลุ่มที่สูง คือชาวปะโอในแถบรอบเมืองตองยีในรัฐฉาน และมีกลุ่มย่อยไม่น้อยกว่า 20 กลุ่ม[2] ในประเทศไทยมีชุมชนปะโอกระจายตัวทางภาคเหนือในจังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย และจังหวัดพะเยา เป็นต้น[3]
ชาวปะโอมีวัฒนธรรมและภาษาร่วมรากกับชาวกะเหรี่ยง แต่นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเป็นหลัก เช่นเดียวกับชาวพม่า มอญ และไทใหญ่ ชาวปะโอมีอุปนิสัยและการแต่งกายอย่างไทใหญ่ พวกเขาสามารถใช้ภาษาไทใหญ่ควบคู่กับภาษาตัวเอง และบางคนก็มีจิตสำนึกว่าเผ่าของตนเป็นชาวไทอีกกลุ่มหนึ่ง[4]
ประวัติ[แก้]
ตามมุขปาฐะอธิบายว่า เดิมชาวปะโอตั้งถิ่นฐานที่เมืองสะเทิม มีเครื่องแต่งกายหลากสีสัน ครั้นพระเจ้าอโนรธามังช่อพิชิตเมืองสะเทิมเมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ 11 ชาวปะโอถูกเกณฑ์ไปสร้างเจดีย์ที่เมืองพะโค บางส่วนก็อพยพลี้ภัยในแถบรัฐฉาน พวกเขาเศร้าเสียใจที่พลัดเมืองจึงสวมชุดย้อมครามหรือดำตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา[3]
ชาวปะโอมีนิสัยรักการค้ามาแต่โบราณ ปรากฏหลักฐานการค้าขายกับอาณาจักรล้านนาช่วง พ.ศ. 1839–1898 ทำให้เกิดการค้าขายระหว่างประเทศกันอย่างกว้างขวาง[5] และถือว่าชาวปะโอเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีกลุ่มหนึ่งของภาคเหนือ[6]
ในยุคร่วมสมัยชาวปะโอเริ่มอพยพเข้าสู่ประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2428 หลังการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงและสนธิสัญญาเชียงใหม่ฉบับที่ 2 ทำให้บริษัทสหราชอาณาจักรในพม่าเข้ามาสัมปทานป่าไม้ทางเหนือของไทย ชาวปะโอจึงเข้ามาดำเนินกิจการค้าขายมากขึ้น โดยเฉพาะที่เมืองเชียงใหม่ มีชาวปะโอบางกลุ่มตั้งร้านค้าแบบเรือนแพที่ย่านท่าแพ ตลาดวโรรส และช้างม่อย บางกลุ่มที่ขายเร่ก็ตั้งบ้านเรือนแถบวัดมหาวัน วัดบูรพาราม วัดเชตวัน และวัดหนองคำ ซึ่งลูกหลานชาวปะโอเหล่านี้ถูกกลืนเข้าสู่วัฒนธรรมไทยวนไปแล้ว เช่น ชุมชนหน้าตลาดเก่า อำเภอหางดง, บ้านแม่ก๊ะ อำเภอสันป่าตอง, บ้านข่วงเปา อำเภอแม่ริม, บ้านเวียง อำเภอฝาง และบ้านบ่อหิน อำเภอพร้าว[3] นอกจากนี้ยังมีชาวปะโอร่วมเดินทางกับชาวไทใหญ่ ไปค้าขายในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทยและกัมพูชา และถูกเรียกรวม ๆ ว่า กุลา[7][8]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ Interactive Myanmar map, คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก แหล่งเดิม เมื่อ 8 July 2013, สืบค้นเมื่อ 22 April 2014
- ↑ 2.0 2.1 Pa-Oh National Organization (2010). Pyidaungzu De-Ga Pa-Oh: Union of Pa-Oh (ပြည်ထောင်စု ထဲက ပအိုဝ်း. Pa-Oh National Organization. p. 23.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 มนตรี วงษ์รีย์. "ชุมชนชาติพันธุ์ : ปะโอ (จ.แม่ฮ่องสอน)". ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). สืบค้นเมื่อ 13 February 2022.
- ↑ อิสริยะ นันท์ชัย และโชติมา จตุรวงศ์ (2562). สถาปัตยกรรมจองวัดปะโอ (ต่องสู้) ในประเทศไทยและเมืองสะเทิม ประเทศพม่า. หน้าจั่ว (16:1), หน้า 11
- ↑ อิสริยะ นันท์ชัย และโชติมา จตุรวงศ์ (2562). สถาปัตยกรรมจองวัดปะโอ (ต่องสู้) ในประเทศไทยและเมืองสะเทิม ประเทศพม่า. หน้าจั่ว (16:1), หน้า 12
- ↑ อิสริยะ นันท์ชัย และโชติมา จตุรวงศ์ (2562). สถาปัตยกรรมจองวัดปะโอ (ต่องสู้) ในประเทศไทยและเมืองสะเทิม ประเทศพม่า. หน้าจั่ว (16:1), หน้า 28
- ↑ สุรีย์ฉาย สุคันธรัต (กรกฎาคม–ธันวาคม 2560). มองเชิง : ศิลปวัฒนธรรมไทยกุลาบ้านโนนใหญ่สายใยจากเผ่าปะโอในเมียนมาร์. วารสารคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ (1:2), หน้า 24
- ↑ อิสริยะ นันท์ชัย และโชติมา จตุรวงศ์ (2562). สถาปัตยกรรมจองวัดปะโอ (ต่องสู้) ในประเทศไทยและเมืองสะเทิม ประเทศพม่า. หน้าจั่ว (16:1), หน้า 15