ข้ามไปเนื้อหา

กัปตันอเมริกา: อเวนเจอร์ที่ 1

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กัปตันอเมริกา: อเวนเจอร์ที่ 1
กำกับโจ จอห์นสตัน
บทภาพยนตร์คริสโตเฟอร์ มาร์คัส
สตีเฟน แม็กฟีลี
สร้างจากกัปตันอเมริกา
โดย โจ ไซมอน
แจ็ก เคอร์บี
อำนวยการสร้างเควิน ไฟกี
นักแสดงนำ
กำกับภาพเชลลี จอห์นสัน
ตัดต่อเจฟฟรีย์ ฟอร์ด
โรเบิร์ต ดัลวา
ดนตรีประกอบอลัน ซิลเวสตรี
บริษัทผู้สร้าง
ผู้จัดจำหน่ายพาราเมาต์พิกเจอส์[a]
วันฉาย28 กรกฎาคม ค.ศ. 2011 (ประเทศไทย)[4]
22 กรกฎาคม ค.ศ. 2011 (สหรัฐ)[5]
ความยาว124 นาที[6]
ประเทศสหรัฐอเมริกา
ภาษาอังกฤษ
ทุนสร้าง140 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[7]
ทำเงิน370.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[8]
ข้อมูลจาก IMDb
ข้อมูลจากสยามโซน

กัปตันอเมริกา: อเวนเจอร์ที่ 1 (อังกฤษ: Captain America: The First Avenger) เป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่อเมริกันโดยมีต้นแบบมาจากตัวละครกัปตันอเมริกา จากมาร์เวลคอมิกส์ ผลิตโดย มาร์เวล สตูดิโอส์ และจัดจำหน่ายโดย พาราเมาต์พิกเจอส์ เป็นภาพยนตร์เรื่องที่ห้าในจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล ภาพยนตร์กำกับโดย โจ จอห์นสตัน เขียนบทโดยคริสโตเฟอร์ มาร์คัส และ สตีเฟน แม็กฟีลี และแสดงโดยคริส อีแวนส์ ทอมมี ลี โจนส์ ฮิวโก วีฟวิง เฮย์ลีย์ แอตเวลล์ เซบาสเตียน สแตน โดมินิก คูเปอร์ นีล แม็กโดนอ เดเรก ลู้ก และสแตนลีย์ ทุชชี ฉากภาพยนตร์เป็นสงครามโลกครั้งที่สอง ภาพยนตร์เล่าเรื่องเกี่ยวกับสตีฟ โรเจอส์ ชายขี้โรคจากบรุกลินที่กลายร่างเป็นทหารซูเปอร์โซลเจอร์ กัปตันอเมริกา ช่วยรบในสงคราม โรเจอส์ต้องหยุดการกระทำของเรดสกัล หัวหน้าหน่วยสรรพวุธของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และหัวหน้าองค์กรที่ตั้งใจใช้วัตถุที่เรียกว่า "เทสเซอแรกต์" (Tesseract) เป็นแหล่งพลังงานยึดครองโลก

แนวคิดสร้างภาพยนตร์กัปตันอเมริกา: อเวนเจอร์ที่ 1 เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1997 และมีกำหนดจัดจำหน่ายโดยอาร์ทิซานเอ็นเตอร์เทนเมนต์ อย่างไรก็ตาม มีคดีความคดีหนึ่ง ยังตัดสินในเดือนกันยายน ค.ศ. 2003 ขัดขวางโครงการดังกล่าว ในปี ค.ศ. 2005 มาร์เวล สตูดิโอส์ กู้เงินจากเมร์ริล ลินช์ และวางแผนทางการเงินและออกฉายโดย พาราเมาต์พิกเจอส์ ผู้กำกับ จอน แฟวโร และ ลุยส์ เลเตริเยร์ สนใจกำกับภาพยนตร์ก่อนจอห์นสตันจะเข้ามาเกี่ยวข้องในปี ค.ศ. 2008 มีการคัดเลือกนักแสดงระหว่างเดือนมีนาคมถึงมิถุนายน ค.ศ. 2010 การสร้างภาพยนตร์ กัปตันอเมริกา: อเวนเจอร์ที่ 1 เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 2008 และถ่ายทำในลอนดอน แมนเชสเตอร์ หมู่บ้านแคร์เวนต์ และลิเวอร์พูล สหราชอาณาจักร และลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา หลังถ่ายทำ ภาพยนตร์ถูกแปลงเป็นภาพยนตร์ 3 มิติ

กัปตันอเมริกา: อเวนเจอร์ที่ 1 ฉายรอบปฐมฤกษ์ที่ฮอลลิวูดในวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 2011 และออกฉายในสหรัฐอเมริกาวันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 2011 ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จในด้านคำวิจารณ์และยอดขาย ทำได้มากกว่า 370 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก บลูเรย์และดีวีดีวางจำหน่ายในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2011 ภาพยนตร์ภาคต่อชื่อ กัปตันอเมริกา: มัจจุราชอหังการ ออกฉายวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 2014 และภาคที่สามชื่อ กัปตันอเมริกา: ศึกฮีโร่ระห่ำโลก ออกฉายวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2016

เนื้อเรื่องย่อ

[แก้]

ในปัจจุบัน กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ในทวีปอาร์กติกค้นพบวัตถุกลมสีแดง ขาว และน้ำเงิน ถูกแช่แข็งในห้องโดยสารของเครื่องบินรบที่ถูกทิ้งร้าง

เดือนมีนาคม ค.ศ. 1942 ทหารนาซี โยฮันน์ ชมิดต์ และกองกำลังของเขาเดินทางเข้าเมืองเทินส์แบย์ ในนอร์เวย์ที่ถูกยึดครองโดยเยอรมนีเพื่อขโมยวัตถุลึกลับเรียกว่า เทสเซอแรกต์ (Tesseract) ซึ่งครอบครองพลังที่ไม่เคยถูกเปิดเผย ขณะเดียวกัน ในนครนิวยอร์ก สตีฟ โรเจอส์ ไม่ผ่านการเกณฑ์ทหารประจำการในสงครามโลกครั้งที่สองเนื่องจากมีปัญหาสุขภาพหลายอย่าง ขณะเข้าชมนิทรรศการเทคโนโลยีอนาคตกับเพื่อนของเขาชื่อ จ่าเจมส์ "บักกี" บานส์ โรเจอส์พยายามเข้าสมัครทหารอีกครั้ง หลังแอบได้ยินบทสนทนาระหว่างโรเจอส์กับบานส์เกี่ยวกับความต้องการช่วยรบในสงคราม ดร.อับราฮัม เออร์สกินอนุญาตให้โรเจอส์เป็นทหารได้ เขาเข้าเกณฑ์ทหารในหน่วยวิทยาศาสตร์กลยุทธ์เป็นส่วนหนึ่งของโครงการทดลอง "ซูเปอร์โซลเจอร์" ปฏิบัติการโดยเออร์สกิน พันเอกเชสเตอร์ ฟิลิปส์ และเจ้าหน้าที่ชาวอังกฤษ เพ็กกี คาร์เทอร์ ฟิลิปส์ไม่เชื่อคำกล่าวของเออร์สกินที่ว่าโรเจอส์เหมาะสมกับการทดลอง แต่ยอมให้หลังจากโรเจอส์แสดงความกล้าหาญสละชีวิตตนเองเพื่อการทดลอง คืนก่อนการทดลอง เออร์สกินเผยกับโรเจอส์ว่าชมิดต์เคยเข้ารับการทดลองขณะที่ยังไม่สมบูรณ์ และต้องทนทรมานกับผลข้างเคียงถาวร

ที่ยุโรป ชมิดต์และดร.อาร์นิม โซลา ควบคุมพลังงานของเทสเซอแรกต์ โดยตั้งใจใช้พลังเพื่อเติมเชื้อเพลิงให้สิ่งประดิษฐ์ของโซลาเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกได้ ชมิดต์ค้นพบตำแหน่งของเออร์สกินและส่งนักฆ่าเพื่อฆ่าเขา ในสหรัฐอเมริกา เออร์สกินทดลองโรเจอส์เข้าเครื่องทดลองซูเปอร์โซลเจอร์ ฉีดเซรัมชนิดพิเศษและป้อน "สารไวตาเรย์" ที่ตัวเขา หลังจากโรเจอส์ออกมาจากเครื่องทดลอง เขาตัวสูงและมีกล้ามมากขึ้น หนึ่งในผู้เข้าชมฆ่าเออร์สกิน เปิดเผยว่าตนเป็นไฮนซ์ ครูเกอร์ นักฆ่าของชมิดต์ โรเจอส์ไล่ตามและจับครูเกอร์ได้ แต่ครูเกอร์หลีกเลี่ยงการสอบสวนโดยฆ่าตัวตายด้วยแคปซูลไซยาไนด์

เมื่อเออร์สกินเสียชีวิตและสูตรซูเปอร์โซลเจอร์สูญหาย แบรนต์ สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐอเมริกาให้โรเจอส์ออกทัวร์ทั่วประเทศในชุด "กัปตันอเมริกา" เพื่อสนับสนุนพันธะทางสงครามแทนการให้นักวิทยาศาสตร์วิจัยเขาเพื่อฟื้นฟูสูตร ในปี ค.ศ. 1943 ขณะออกทัวร์ที่ประเทศอิตาลี โรเจอส์ทราบว่าหน่วยของบานส์สูญหายขณะปฏิบัติหน้าที่ในสงครามต่อต้านกำลังของชมิดต์ โรเจอส์ ไม่เชื่อว่าบานส์เสียชีวิต จึงให้คาร์เทอร์และวิศวกรชื่อ ฮาวเวิร์ด สตาร์ก พาเขาตามฝ่ายศัตรูเพื่อออกปฏิบัติการช่วยชีวิต โรเจอส์บุกเข้าป้อมปราการขององค์กรไฮดราของชมิดต์ ปล่อยตัวบานส์ และนักโทษคนอื่น ๆ โรเจอส์เผชิญหน้ากับชมิดต์ที่ถอดหน้ากาก เผยใบหน้ากะโหลกสีแดงที่เป็นที่มาของชื่อเล่นว่า "เรดสกัล" ชมิดต์หลบหนีไปและโรเจอส์กลับเข้าฐานทัพพร้อมกับทหารที่ถูกปล่อยตัว

โรเจอส์เกณฑ์บานส์ ดัม ดัม ดูแกน เกบ โจนส์ จิม มอริตา เจมส์ มอนต์โกเมอรี ฟอลสเวิร์ท และแจ็กส์ เดอร์เนียร์ ให้จู่โจมฐานทัพไฮดราอีกฐานหนึ่ง สตาร์กเตรียมเครื่องแต่งกายชุดใหม่ให้โรเจอส์ ที่โดดเด่นคือโล่วงกลมทำจากไวเบรเนียม โลหะหายากที่ไม่อาจถูกทำลายได้ โรเจอส์และทีมเข้าลอบทำลายปฏิบัติการต่าง ๆ ของไฮดรา ต่อมา ทีมได้โจมตีรถไฟที่โซลาโดยสารอยู่ โรเจอส์และโจนส์สามารถจับตัวโซลาไว้ได้ แต่บานส์ตกจากรถไฟและทำให้เข้าใจว่าเขาเสียชีวิต หลังเค้นข้อมูลจากโซลา ทำให้รู้ที่ตั้งฐานทัพของไฮดราฐานสุดท้าย และโรเจอส์สามารถหยุดชมิดต์ไม่ให้ใช้อาวุธทำลายล้างเมืองในอเมริกาาและเมืองใหญ่ทั่วโลกได้ โรเจอส์ปีนขึ้นเครื่องบินของชมิดต์ขณะกำลังแล่นขึ้น ระหว่างต่อสู้กันอย่างต่อเนื่อง ภาชนะใส่เทสซาแรกต์เสียหาย ชมิดต์จับวัตถุเทสซาแรกต์ ทำให้ตัวเขาระเหยหายไปในแสงสว่าง เทสซาแรกต์ตกลงพื้น เผาทำลายเครื่องบินและตกลงสู่พื้นโลก โรเจอส์ไม่เห็นทางลงจอดอย่างปลอดภัย ทำให้เครื่องบินตกลงในทวีปอาร์กติก ต่อมา สตาร์กเก็บวัตถุเทสซาแรกต์จากมหาสมุทรได้ แต่ไม่สามารถระบุพิกัดของโรเจอส์หรือเครื่องบินได้ จึงสันนิษฐานว่าเขาเสียชีวิตไปแล้ว

โรเจอส์ตื่นขึ้นมาในห้องพยาบาลที่ถูกตกแต่งเป็นยุคปี 1940 หลังจากวิทยุออกอากาศบางอย่างผิดปกติ เขาหนีออกมาและพบว่าตนเองอยู่ที่ไทม์สแควร์ในยุคปัจจุบัน โดยมีนิก ฟิวรี หัวหน้าองค์กรชิลด์ (S.H.I.E.L.D.) แจ้งว่าเขา "นอนหลับใหล" เป็นเวลาเกือบ 70 ปี

ในฉากหลังเครดิต ฟิวรีเดินมาหาโรเจอส์ เสนอภารกิจใหญ่ระดับโลก

ตัวละคร

[แก้]
ผู้ชายอ่อนแอ ขี้โรค ได้รับการเสริมกำลังยอดมนุษย์ด้วยเซรุ่มชนิดทดลองที่มีไว้ช่วยเหลือกำลังทหารสหรัฐอเมริกา[9] อีแวนส์ เคยร่วมงานกับมาร์เวล รับบทเป็นคนพลังไฟ ในภาพยนตร์ชุดแฟนแทสติกโฟร์ เขากล่าวว่า เขาปฏิเสธที่จะรับเรื่องนี้ถึงสามครั้งก่อนจะลงชื่อตกลงกับมาร์เวล อธิบายว่า "ในตอนนั้น ผมจำได้ว่าบอกชื่อเพื่อนของผมว่า 'ถ้าภาพยนตร์ดังระเบิด ฉันแย่แน่ ถ้าภาพยนตร์โด่งดัง ฉันแย่แน่' ผมกลัว ผมรู้ว่าการตัดสินใจนี้เต็มไปด้วยความกลัว และคุณจะตัดสินใจไม่ได้เลยถ้าคุณกลัว ผมไม่อยากเชื่อว่าผมเกือบจะปอดแหกเกินที่จะเล่นเป็นกัปตันอเมริกา"[10] เขาตกลงรับบทในที่สุด โดยกล่าวว่า "ผมคิดว่าตอนนี้มาร์เวลกำลังทำสิ่งดี ๆ หลายอย่าง และมันเป็นตัวละครที่ชวนสนุก ผมคิดว่าเรื่องราวของสตีฟ โรเจอส์นั้นดีมาก เขาเป็นคนดีเยี่ยม แม้ว่ามันจะเป็นบทของตัวละครอื่น ผมก็ยังอยากจะรับ ดังนั้นมันจึงไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับหนังสือการ์ตูนเท่านั้น"[11] อีแวนส์พูดถึงความสามารถพิเศษของกัปตันอเมริกาว่า "เขาจะเอาชนะกีฬาโอลิมปิกได้ทุกชนิด เขาจะโดดเด่นในกีฬาโอลิมปิกทุกชนิด เขาสามารถกระโดดสูงขึ้น วิ่งเร็วขึ้น ยกของหนักได้มากขึ้น แต่เขาอาจบาดเจ็บ เขาสามารถเจ็บเข่าและต้องพักตลอดฤดูกาล เขาไม่สมบูรณ์แบบ เขาไม่ถึงกับแตะต้องไม่ได้ ถ้าผมจะต่อยใครสักคน พวกเขาไม่จำเป็นต้องเอาตัวขึ้นบนสายเคเบิลลงมาและบินกลับขึ้นไป 50 ฟุต แต่เขาจะต้องลงมาโดยไม่ต้องกลับขึ้นไป ทำให้ผมคิดว่าดูเป็นมนุษย์ปกติ ทำให้ดูเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าทุกคนจะเข้าใจได้มากขึ้น ซึ่งผมชอบจริง ๆ"[12] ลีนเดอร์ ดีนี นักแสดงละครเวที ถูกนำมาตัดต่อเป็นร่างก่อนเสริมกำลังของสตีฟ โรเจอส์ในบางฉาก และรับบทเป็นบาร์เทนเดอร์ด้วย[13][14]
พันทหารเอกในกองทัพสหรัฐอเมริกา และเป็นสมาชิกของกองกำลังวิทยาศาสตร์กลยุทธ์ซึ่งเป็นผู้นำโครงการสร้างทหารซูเปอร์โซลเจอร์ ตัวละครถูกปรับแต่งเพิ่มเติมจากหนังสือการ์ตูน ให้ฟิลลิปส์เป็นผู้ที่รับโรเจอส์เข้าโครงกรรีเบิร์ท ทำให้เขาเป็นกัปตันอเมริกา[15] โจนส์บรรยายถึงตัวละครว่าเป็น "ตัวละครที่คุณเคยเห็นในภาพยนตร์เป็นพันเรื่อง กล่าวคือ เป็นเจ้าหน้าที่ขี้สงสัยที่มองหาทหารที่มีพรสวรรค์พิเศษ จอมประชดประชันเล็กน้อย"[16]
หัวหน้าของหน่วยสรรพาวุธและกองบัญชาการองค์การก่อการร้าย ไฮดรา ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้มีแผนครองโลกของตนเองโดยการควบคุมวัตถุวิเศษเรียกว่า เทสเซอแรกต์[10][17][18][19] วิฟวิงกล่าวว่าเขาเลียนทำสำเนียงเลียนแบบเวียเนอ เฮียซอก และเคลาส์ มาเรีย แบรนเดาเออ[20] วีฟวิงกล่าวเกี่ยวกับตัวละครดังกล่าวว่า "ผมคิดว่าความแตกต่างที่เด่นชัดระหว่างสกัลกับกัปตันคือ พวกเขาทั้งคู่ได้รับเซรุ่ม และเซรัมดูเหมือนจะเพิ่มคุณสมบัติบางอย่างที่แต่ละตัวมี ผมคิดว่ากัปตันจะเข้ากับคนอื่นได้มากกว่า ชมิดต์จะเข้ากับตนเอง ความต้องการของตนเอง และอัตตาของตนเองได้ ผมจึงคิดว่ามันเพิ่มที่ตรงนั้น จากมุมมองนั้น มันค่อนข้างตรงข้ามกัน"[21]
เจ้าหน้าที่จากหน่วยวิทยาศาสตร์กลยุทธ์ที่ทำงานให้ฟิลลิปส์ในโครงการซูเปอร์โซลเจอร์ ในการเตรียมตัวเพื่อรับบท เธอกล่าวว่า "ตอนนั้นฉันฝึกฝนสัปดาห์ละหกวันเพื่อทำให้เธอดูเป็นทหารมากขึ้น และทำให้เชื่อว่าฉันเตะก้นได้"[22] แอตเวลล์พูดถึงตัวละครว่า "ฉันเปรียบตัวละครกับคำกล่าวของจินเจอร์ โรเจอส์ เธอทำได้ทุกอย่างที่กัปตันอเมริกาทำได้ แต่ทำแบบย้อนกลับและสวมส้นสูง เธอเป็นทหารชาวอังกฤษขนานแท้ แม้ว่าเธอจะดูไม่น่าเป็นเช่นนั้น เธออาจจะยืนตรงนั้นถือปืนกลยิงพวกนาซี แต่เธอได้เข้าห้องน้ำทาลิปสติกมาก่อนแล้ว เธอไม่ต้องการความช่วยเหลือ มันน่าตื่นเต้นมาก ความแข็งแกร่งของเธอ"[23] เธอเสริมอีกว่า "ฉันคิดว่าเธอค่อนข้างดื้อรั้น เป็นผู้หญิงสิ้นหวังที่พยายามดิ้นรนกับการเป็นสตรีในยุคนั้น แต่ที่สำคัญกว่าคือเธอเป็นผู้หญิงสมัยใหม่ และเธอมองเห็นบางอย่างในตัวกัปตันอเมริกาที่เธอมีส่วนเกี่ยวข้อง และกลายเป็นว่ามีทัศนคติคล้าย ๆ กัน เขาปฏิบัติเธอต่างจากที่ชายคนอื่นปฏิบัติกับเธอบนโลกที่ถูกยึดครอง เธอจึงดูเป็นนักสู้อย่างแท้จริง"[24]
จ่าในกองทัพสหรัฐ เพื่อนสนิทของโรเจอส์ และเป็นสมาชิกหน่วยจู่โจมของเขา สแตนเซ็นสัญญาแสดง "ห้าถึงหกเรื่อง"[25] เขาเผยว่า เขาไม่ทราบอะไรจากหนังสือการ์ตูนเลย แต่เคยดูสารคดีและภาพยนตร์เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อเตรียมตัวรับบท เขากล่าวว่ามินิซีรีส์เรื่อง แบนด์ออฟบราเธอส์ ว่า "ช่วยได้มาก" สแตนกล่าวถึงบทนี้ว่า "สตีฟ โรเจอส์ และบักกีต่างก็เป็นเด็กกำพร้าและเป็นดั่งพี่น้องกัน พวกเขาเติบโตมาด้วยกันและดูแลกันมาตลอด เป็นเรื่องมนุษย์ที่สัมพันธ์กัน ผมอยากเห็นว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะเป็นอย่างไรเมื่อสตีฟ โรเจอส์กลายเป็นกัปตันอเมริกา มันมีการแข่งขัน และแก่งแย่งชิงดีกันตลอดเวลา ผมใส่ใจมากว่าบักกีรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของสตีฟ และการที่สตีฟได้เป็นผู้นำอย่างปัจจุบันทันด่วน"[26]
พ่อของโทนี สตาร์ก ผู้ทำงานให้กับโครงการของรัฐบาลหลายโครงการในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง[27][28] คูเปอร์พูดถึงบทนี้ว่า "มันเป็นโอกาสที่คุณจะได้เห็นอนาคตของเขาเพราะผมรู้จักคนที่จะมาเป็นลูกชายของผม และผมเห็นตัวผมเองในแบบที่อายุมากกว่านี้ในภาพยนตร์มหาประลัยคนเกราะเหล็ก 2 ซึ่งถือว่าเยี่ยมสำหรับนักแสดงคนหนึ่งที่มีเครื่องมือพวกนั้น ทั้งหมดที่ผมรู้เกี่ยวกับเขาคือเขาเป็นวิศวกรและนักประดิษฐ์ที่อัศจรรย์ และเป็นคนเจ้าเล่ห์แบบฮาวเวิร์ด ฮิวส์ ที่หลงใหลเรื่องการบินและผู้หญิง"[29]
สมาชิกหน่วยจู่โจมของโรเจอส์ แม็กโดนอกล่าวว่าเขาไว้หนวดที่เป็นดั่งเครื่องหมายการค้าให้ดูแกน และสวมหมวกกลมทรงสูงที่เป็นลายเซ็นของตัวละคร เขากล่าวถึงบทบาทในภาพยนตร์ว่า "โอ้ ผมจะได้เห็นฉากแอ็กชันมากมาย [ผมเป็น] คนลุย ๆ ผมจึงมีความสุขกับมันมาก"[30]
สมาชิกกองทัพจู่โจมคนหนึ่ง ลู้กกล่าวว่าเขามาคัดตัวโดยไม่มีรายละเอียดของตัวละครเลย เขาตอบว่าสาเหตุที่มารับแสดงคือ "ผมแค่เชื่อว่ามาร์เวลกำลังสร้างงานที่ยอดเยี่ยม และสารที่ยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ ความดีปะทะความชั่ว ผมจึงว่า ผมจะปฏิเสธได้อย่างไร"[31]
นักวิทยาศาสตร์ผู้สร้างเซรุ่มซูเปอร์โซลเจอร์[32] ทุชชีกล่าวว่าสิ่งที่ดึงให้เขามารับบทนี้คือโอกาสที่จะได้พูดสำเนียงเยอรมัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาพยายามทำอยู่ตลอดเวลา[33]


  • ซามูเอล แอล. แจ็กสัน รับบทเป็น นิก ฟิวรี ผู้อำนวยการองค์กรสายลับ S.H.I.E.L.D.[34]
  • เคนเนท ชอย รับบทจิม มอริตา สมาชิกหน่วยจู่โจมลูกครึ่งญี่ปุ่นอเมริกันของโรเจอส์ ชอยกล่าวว่าเขาได้ออดิชันเป็นคนสุดท้าย และเขาได้อ่านบทจากเรื่องผ่าสมรภูมินรก สำหรับการเตรียมตัวรับบท ชอยกล่าวว่า "[ผม] ศึกษาเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองลึกซึ้งมาก โดยเฉพาะเกี่ยวกับทหารนิเซะอิ หรือทหารลูกครึ่งญี่ปุ่นอเมริกันอีกหลายคน ผมอยากได้ข้อมูลที่แท้จริงและเสมือนจริงให้มากที่สุดเพื่อให้จิม มอริตา รบในสงครามได้ ผมรู้สึกว่าถ้าผมสร้างรากฐานให้เขาแล้ว ผมจึงจะปล่อยวางและทำให้ตัวละครคงอยู่ในจักรวาลมาร์เวลได้ ทำให้เกิดสถานการณ์ชวนเพ้อฝันมากมาย"[35]
  • บรูโน ริชชี รับบทฌากส์ เดอร์เนียร์ สมาชิกหน่วยจู่โจมชาวฝรั่งเศสของโรเจอส์ ริชชีออดิชันและได้รับบทดังกล่าวขณะยังถ่ายทำซีรีส์ฝรั่งเศสเรื่อง เดอะฮอว์ก อยู่[36]
  • เจเจ เฟลิด รับบท เจมส์ มอนต์โกเมรี ฟอลสเวิร์ท สมาชิกหน่วยจู่โจมชาวบริติช เฟลิดเรียกบทบาทของเขาในภาพยนตร์ว่า "เป็นงานที่ใช้ร่างกายอย่างมาก ผมเล่นเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมรบของกัปตัน ผมจึงได้ยิงสิ่งของและระเบิดสิ่งของ และพยายามทำให้ดูเจ๋งนานหนึ่งปี"[37] นอกจากนั้น โทบี โจนส์ เคยทดสอบบทอาร์นิม โซลา นักชีวเคมีของพรรคนาซี[38]
  • ริชาร์ด อาร์มิเทจ รับบทไฮนซ์ ครูเกอร์ มือสังหารมือหนึ่งของเรดสกัล[39]
  • เลกซ์ แชรปเนิล รับบทกิลมอร์ ฮอดจ์ ผู้สมัครโครงการซูเปอร์โซลเจอร์[40]
  • ไมเคิล แบรนดอน รับบท แบรนต์ วุฒิสมาชิกที่จดจำการประชาสัมพันธ์ศักยภาพของกัปตันอเมริกาได้,[41] * นาตาลี ดอร์เมอร์ รับบท ลอร์เรน พลทหารที่พยายามล่อลวงโรเจอส์[42]
  • เจนนา โคลแมน รับบท คอนนี คู่เดทของบักกีที่งานเวิลด์เอกซ์โป[43]
  • สแตน ลี ปรากฏตัวเป็นพลเอกนิรนาม[44]

นอกจากนี้ เจฟฟ์ โกลด์บลุม เคยถูกทาบทามให้รับบทแบรนต์ ก่อนเข้าทดสอบบทเดอะแกรนมาสเตอร์ในเรื่อง ธอร์: ศึกอวสานเทพเจ้า[45]

การสร้าง

[แก้]

การพัฒนา

[แก้]

ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1997 มาร์เวลกำลังเจรจากับมาร์ก กอร์ดอน และแกรี เลวินโซน ในการสร้างภาพยนตร์กัปตันอเมริกา และวางตัวให้แลร์รี วิลสัน และเลสลี โบเฮม เป็นผู้เขียนบท[46] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2000 มาร์เวลรวมทีมกับอาร์ทิแซนเอนเตอร์เทนเมนต์ช่วยด้านการเงินให้กับภาพยนตร์[47] อย่างไรก็ตาม เกิดคดีความระหว่างมาร์เวลคอมิกส์และโจ ไซมอน เกี่ยวกับเจ้าของลิขสิทธิ์กัปตันอเมริกา ทำให้กระบวนการสร้างภาพยนตร์ต้องหยุดชะงักลง คดีความถูกตัดสินในเดือนกันยายน ค.ศ. 2003[48] ในปี ค.ศ. 2005 มาร์เวลได้รับเงินลงทุนจากเมร์ริล ลินช์ 525 ล้านดอลลาร์ ทำให้พวกเขาสร้างภาพยนตร์ได้สิบเรื่อง รวมเรื่องกัปตันอเมริกาด้วย พาราเมาต์พิกเชอส์ตกลงเป็นผู้เผยแพร่ภาพยนตร์[47][49][50] เดิมภาพยนตร์จะเป็นภาพยนตร์เรื่องเดียว เควิน ไฟกี ผู้สร้างกล่าวว่าเนื้อเรื่อง "เกือบครึ่ง" จะกำหนดเวลาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก่อนก้าวเข้าสู่ยุคปัจจุบัน[51] อาวี แอรัด ผู้สร้างคนหนึ่งกล่าวว่า "โอกาสที่ใหญ่ที่สุดกับกัปตันอเมริกาคือเป็นชายที่ 'อยู่ผิดเวลา' กลับมาสู่ปัจจุบัน มองโลกของเราผ่านสายตาคนที่คิดว่าโลกที่สมบูรณ์แบบคือเมืองเล็ก ๆ ในสหรัฐ เวลาผ่านไปหกสิบปี แล้ววันนี้เราเป็นใคร เราดีขึ้นหรือไม่" เขาอ้างอิงภาพยนตร์ไตรภาคเจาะเวลาหาอดีตให้เป็นอิทธิพลต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ และกล่าวว่าเขามี "คนคนหนึ่งในใจที่จะเลือกมาแสดง และมีคนอีกคนที่เลือกมาเป็นผู้กำกับด้วย"[52] ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2006 แอรัดต้องการให้ภาพยนตร์ออกฉายในฤดูร้อนปี ค.ศ. 2008[53] จอน แฟวโร ทาบทามแอรัดให้กำกับภาพยนตร์ให้เป็นแนวตลก แต่เขาเลือกทำเรื่องมหาประลัยคนเกราะเหล็กแทน[54] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2006 เดวิด เซลฟ์ได้รับจ้างให้เขียนบท[55] เขาอธิบายว่ากัปตันอเมริกาเป็นซูเปอร์ฮีโรที่เขาชื่นชอบขณะที่เขาเป็นเด็กเพราะ "พ่อบอกผมว่าวันหนึ่งผมจะได้เป็นกัปตันอเมริกา"[56] โจ จอห์นสตันมาพบมาร์เวลเพื่อคุยเรื่องการกำกับภาพยนตร์[57]

กัปตันอเมริกาถูกพักงานไว้ระหว่างการประท้วงของชมรมนักเขียนอเมริกา ค.ศ. 2007-2008 อย่างไรก็ตาม ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2008 มาร์เวลเอนเตอร์เทนเมนต์ตกลงกันกับชมรมนักเขียนอเมริกาได้ว่าจะพานักเขียนให้กลับมาทำงานกับโครงการต่าง ๆ ที่บริษัทกำลังพัฒนาอยู่ทันที[58] ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 (หลังภาพยนตร์มหาประลัยคนเกราะเหล็กประสบความสำเร็จ) มาร์เวลประกาศภาพยนตร์ The First Avenger: Captain America (ชื่อที่ใช้ระหว่างการสร้าง) จะออกฉายวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 (ก่อนจะถูกเลื่อนไปเป็นวันที่ 22 กรกฎาคม)[59] ลุยส์ เลเทอเรียร์ ผู้กำกับภาพยนตร์มนุษย์ตัวเขียวจอมพลัง มองแนวคิดบางอย่างที่กำลังจะนำมาสร้างภาพยนตร์และรู้สึกประทับใจจนเสนอที่จะช่วย แต่มาร์เวลปฏิเสธเขา[60] จอห์นสตันได้เซ็นสัญญาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2008[57] และจ้างคริสโตเฟอร์ มาร์คัส และสตีเฟน แม็กฟีลีมาเขียนบทใหม่[61] ไฟกีอธิบายสาเหตุที่จอห์นสตันเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม โดยอ้างถึงงานกำกับของจอห์นสตันในภาพยนตร์เติมฝันให้เต็มฟ้า และเหิรทะลุฟ้า และงานสเปเชียลเอฟเฟกต์ในภาพยนตร์ไตรภาคสตาร์ วอร์ส ภาพยนตร์ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าเป็นอิทธิพลกับภาพยนตร์เรื่องนี้ เนื่องจากพวกเขาคาดหวังว่าภาพยนตร์จะไม่ทำให้ดูเป็นภาพยนตร์ย้อนยุค[62]

เมื่อไฟกีถูกถามว่าอารมณ์ต่อต้านสหรัฐในภาพยนตร์จะกระทบบอกซ์ออฟฟิศ เขากล่าวว่า "มาร์เวลเป็นที่รู้จักดีทั่วโลกแล้วขณะนี้ และผมคิดว่าการนำฮีโรตัวใหม่เข้าบอกซ์ออฟฟิศได้ก็คงจะเป็นสิ่งที่ดี เราต้องจัดการกับการที่กัปตันอเมริกาเมื่อละลายจากน้ำแข็งอาร์กติก ได้ตื่นขึ้นมาในโลกที่เขาไม่รู้จัก" คล้ายกับการที่สแตน ลี และแจ็ก เคอร์บี เคยแนะนำตัวละครให้รู้จักในคริสตทศวรรษ 1960[51] แอรัดชี้แจงในทางเดียวกันว่า "กัปตันอเมริกายืนหยัดต่ออิสรภาพในประชาธิปไตย ต่อความหวังทั่วโลก เขาถูกสร้างให้มาหยุดทรราชย์และความคิดที่จะหยุดทรราชย์ก็ยังสำคัญพอ ๆ กับในอดีต ดังนั้นผมคิดว่าในที่สุดเราจะมีสิ่งท้าทายที่น่าสนใจ ถ้าภาพยนตร์ออกมาดีเยี่ยม และภาพยนตร์จะได้เล่าเรื่องให้คนทั้งโลก มันไม่ได้เกี่ยวกับที่ใดที่หนึ่ง แต่เกี่ยวกับทั้งโลก และผมคิดว่าหากยึดความคิดนั้นจะประสบความสำเร็จ"[63] หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีบารัก โอบามา ไฟกีให้ความเห็นว่า "แนวคิดการเปลี่ยนแปลงและความหวังได้แทรกซึมทั้งประเทศ รวมทั้งฮอลลิวูด โดยไม่เกี่ยวกับการเมือง" การอภิปรายในที่ประชุมการผลิตภาพยนตร์ได้กล่าวถึงไซท์ไกสท์ และการเปลี่ยนแปลงในสองสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายสิ่งหลายอย่างกำลังเปลี่ยนแปลง[64]

ภาคต่อ

[แก้]

กัปตันอเมริกา: มัจจุราชอหังการ

[แก้]

ภาพยนตร์ภาคต่อเรื่อง กัปตันอเมริกา: มัจจุราชอหังการ กำกับโดย แอนโทนี รุสโซ และ โจเซฟ วี. รุสโซ ออกฉายในวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 2014[65][66] อีแวนส์ สแตน แอตเวลล์ โจนส์ และแจ็กสัน รับบทเดิมเป็นกัปตันอเมริกา วินเทอร์โซลเจอร์ เพ็กกี คาร์เทอร์ อาร์นิม โซลา และนิก ฟิวรี ตามลำดับ และได้นักแสดงร่วมเพิ่มได้แก่ สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน แอนโทนี แม็กกี และโรเบิร์ต เรดฟอร์ด รับบทเป็นนาทาชา โรมานอฟ หรือแบล็กวิโดว์ แซม วิลสัน หรือ ฟอลคอน และอเล็กซานเดอร์ เพียร์ซ ตามลำดับ[67]

กัปตันอเมริกา: ศึกฮีโร่ระห่ำโลก

[แก้]

กัปตันอเมริกา: ศึกฮีโร่ระห่ำโลก ออกฉายวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 2016 และกำกับโดยสองพี่น้องรุสโซอีกครั้ง[68][69] อีแวนส์ โจแฮนส์สัน สแตน และแม็กกี กลับมารับบทเดิมจากภาคมัจจุราชอหังการ[70][71] และร่วมแสดงโดยโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ รับบท โทนี สตาร์ก หรือ ไอรอนแมน พอล เบ็ตทานี รับบท วิชัน เจเรมี เรนเนอร์ รับบท คลินต์ บาร์ตัน หรือ ฮอว์กอาย ดอน ชีเดิล รับบท เจมส์ "โรดี" โรดส์ หรือ วอร์มะชีน เอลิซาเบธ โอลเซน รับบท วานดา แม็กซิมอฟ หรือ สการ์เลต วิตช์ พอล รัดด์ รับบท สกอตต์ แลง หรือ แอนต์แมน และวิลเลียม เฮิร์ต รับบท แทดเดียส "ทันเดอร์โบลต์" รอสส์[72] ทั้งหมดรับบทเดิมในจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล

เชิงอรรถ

[แก้]
  1. ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2013 พาราเมาต์พิกเจอส์โอนสิทธิการจำหน่ายภาพยนตร์ให้วอลต์ดิสนีย์สตูดิโอส์[1][2][3]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Tadena, Nathalie. "Disney Acquires Distribution Rights to Four Marvel Films From Paramount". The Wall Street Journal. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-09-26. สืบค้นเมื่อ July 2, 2013.
  2. Finke, Nikki (July 2, 2013). "Disney Completes Purchase of Marvel Home Entertainment Distribution Rights". Deadline Hollywood. สืบค้นเมื่อ July 2, 2013.
  3. Palmeri, Christopher (July 2, 2013). "Disney Buys Rights to Four Marvel Movies From Viacom's Paramount". Bloomberg. สืบค้นเมื่อ July 2, 2013.
  4. "Captain America : The First Avenger กัปตันอเมริกา : อเวนเจอร์ที่ 1". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-05. สืบค้นเมื่อ 2011-06-15.
  5. ตารางการกำหนดจัดฉาย
  6. "Captain America – The First Avenger". British Board of Film Classification. July 13, 2011.
  7. Ryan, Mike (พฤษภาคม 19, 2010). "Should We Now Call Him 'Captain England'?". Yahoo!. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 2, 2011. สืบค้นเมื่อ June 28, 2010.
  8. Captain America: The First Avenger ที่บ็อกซ์ออฟฟิศโมโจ
  9. Graser, Marc (March 22, 2010). "Chris Evans to play 'Captain America'". Variety. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-04-25. สืบค้นเมื่อ March 23, 2010.
  10. 10.0 10.1 Jensen, Jeff (ตุลาคม 28, 2010). "This week's cover: An exclusive first look at Captain America: The First Avenger". Entertainment Weekly. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 4, 2011. สืบค้นเมื่อ October 28, 2010.
  11. Keyes, Rob (เมษายน 5, 2010). "Chris Evans Talks Captain America". ScreenRant.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 4, 2011. สืบค้นเมื่อ July 9, 2010.
  12. Mortimer, Ben (มิถุนายน 24, 2011). "Captain America: The First Avenger Set Visit!". Superhero Hype!. p. 3. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 4, 2011. สืบค้นเมื่อ June 27, 2011.
  13. Leupp, Thomas (กรกฎาคม 19, 2011). "Exclusive Interview With Hayley Atwell". Hollywood.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 5, 2012. สืบค้นเมื่อ June 5, 2012.
  14. Lang, Brent (สิงหาคม 5, 2011). "Uncovered: 'Captain America's' Skinny Steve Rogers — Leander Deeny". TheWrap.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 5, 2012. สืบค้นเมื่อ June 5, 2012.
  15. "Captain America Movie: Col. Phillips Cast". Marvel Comics. มิถุนายน 28, 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 5, 2011. สืบค้นเมื่อ June 28, 2010.
  16. Flaherty, Mike (กุมภาพันธ์ 11, 2011). "Tommy Lee Jones Tolerates Us for a Talk on HBO's Sunset Limited, Men in Black 3, and Captain America". New York. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 2, 2011. สืบค้นเมื่อ February 11, 2011.
  17. Graser, Marc (มีนาคม 22, 2010). "Chris Evans to play 'Captain America'". Variety. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 18, 2010. สืบค้นเมื่อ March 23, 2010.
  18. "Hugo Weaving confirmed as Red Skull in Captain America" (Press release). Marvel Studios. พฤษภาคม 4, 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 7, 2010. สืบค้นเมื่อ May 4, 2010.
  19. "Comic-Con 2010: 'Captain America'". Entertainment Weekly. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-07-04. สืบค้นเมื่อ March 23, 2010.
  20. "MARVEL-OUS STAR WATTAGE: Actors Assemble For Comic-Con Panel Including 'The Avengers', 'Captain America', & 'Thor'". Deadline.com. กรกฎาคม 24, 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 5, 2011. สืบค้นเมื่อ July 25, 2010.
  21. Mortimer, Ben (มิถุนายน 24, 2011). "Captain America: The First Avenger Set Visit!". Superhero Hype!. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 28, 2011. สืบค้นเมื่อ June 24, 2011.
  22. Bently, David (พฤษภาคม 27, 2010). "Hayley Atwell talks Captain America, confirms Tommy Lee Jones in cast". Coventry Telegraph. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 4, 2011. สืบค้นเมื่อ July 9, 2010.
  23. Green, Graeme (พฤศจิกายน 15, 2010). "Hayley Atwell on Any Human Heart and flirting with Captain America". Scotland Herald. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 4, 2011. สืบค้นเมื่อ November 15, 2010.
  24. "Hayley Atwell's machine gun fun". The Belfast Telegraph. พฤษภาคม 18, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 5, 2011. สืบค้นเมื่อ May 20, 2011.
  25. Bruno, Mike (เมษายน 2, 2010). "'Captain America': Sebastian Stan cast as Bucky Barnes". Entertainment Weekly. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 5, 2011. สืบค้นเมื่อ October 27, 2010.
  26. Ditzian, Eric (มกราคม 12, 2011). "Sebastian Stan Talks 'Captain America' Casting And His Year Ahead". MTV News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 5, 2011. สืบค้นเมื่อ January 12, 2011.
  27. Marshall, Rick (พฤษภาคม 4, 2010). "Tony Stark's Father Will Have A Role In 'Captain America,' Says Jon Favreau". MTV Splash Page. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 4, 2011. สืบค้นเมื่อ June 30, 2010.
  28. Fischer, Russ (พฤษภาคม 24, 2010). "Dominic Cooper Says He's Howard Stark in Captain America". /Film. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 4, 2011. สืบค้นเมื่อ June 30, 2010.
  29. "Captain America: The First Avenger – Dominic Cooper on Playning Howard Stark". IGN. ตุลาคม 6, 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 4, 2011. สืบค้นเมื่อ October 7, 2010.
  30. Wigler, Josh (มิถุนายน 7, 2010). "Neal McDonough Confirms 'Captain America' Role (And Bowler Hat), Talks Howling Commandos". MTV News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 4, 2011. สืบค้นเมื่อ July 9, 2010.
  31. Morales, Wilson (มิถุนายน 9, 2011). "Derek Luke Talks HawthoRNe, Captain America". Blackfilm.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 4, 2011. สืบค้นเมื่อ June 23, 2011.
  32. McNary, Dave (มิถุนายน 7, 2010). "Stanley Tucci joins Captain America". Variety. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 21, 2011. สืบค้นเมื่อ March 23, 2011.
  33. Clark, Kyrstal (สิงหาคม 29, 2010). "Stanley Tucci Says Captain America Has a Very Good Script". ScreenCrave.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 4, 2011. สืบค้นเมื่อ August 29, 2010.
  34. Wayland, Sara (เมษายน 19, 2010). "Samuel L. Jackson Talks Iron Man 2, Nick Fury, Captain America, Thor and The Avengers". Collider.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 5, 2011. สืบค้นเมื่อ April 23, 2010.
  35. Coratelli, Carlo (พฤษภาคม 7, 2011). "Intervista a Kenneth Choi – Jim Morita in "Captain America: The First Avenger"". ComicUS.it. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 5, 2011. สืบค้นเมื่อ May 29, 2011.. Scroll down to English translation.
  36. "Bruno Ricci à l'affiche de Captain América, dans les salles le 17 août" (ภาษาฝรั่งเศส). InfosCulture.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 5, 2011. สืบค้นเมื่อ July 2, 2011. En plein tournage de la série française «L'Epervier», Bruno participe au casting de Captain America ... et est sélectionné! ...en interprétant Jacques Dernier ... qui combat aux côtés de Captain America et de ses quatre autres coéquipiers...." Translation: "While filming the French series The Hawk, Bruno participated in the casting of Captain America ... and was selected! ... [He portrays] Jacques Dernier ... fighting alongside Captain America and his four other teammates....
  37. "JJ Feild's heavy burden for film". The Belfast Telegraph. พฤษภาคม 10, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 5, 2011. สืบค้นเมื่อ June 23, 2011.
  38. "Toby Jones to Play Arnim Zola in Captain America". ComingSoon. พฤษภาคม 7, 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 10, 2010. สืบค้นเมื่อ March 23, 2011.
  39. Jensen, Jeff. "An Exclusive First Look at 'Captain America: The First Avenger'", Entertainment Weekly, November 5, 2010. Time Warner.
  40. "Film Review: Captain America: The First Avenger". Film Journal International. กรกฎาคม 21, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 21, 2016. สืบค้นเมื่อ April 21, 2016.
  41. Jameson, Greg (สิงหาคม 12, 2014). "Michael Brandon interview". Entertainment Focus. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 21, 2016. สืบค้นเมื่อ April 21, 2016.
  42. Goldberg, Lesley (มิถุนายน 23, 2011). "'Game of Thrones': 'Tudors' Actress Natalie Dormer Joins Cast". The Hollywood Reporter. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 1, 2014. สืบค้นเมื่อ April 1, 2014.
  43. Ng, Philiana (มีนาคม 21, 2012). "'Doctor Who's' New Companion Jenna-Louise Coleman: 5 Things to Know". The Hollywood Reporter. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 6, 2016. สืบค้นเมื่อ May 5, 2016.
  44. Lee, Stan (มีนาคม 15, 2011). "Cameo time approacheth! First, my classic cameo in the new Spider-Man cinematic triumph! Then cometh Captain America and others". Twitter. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 5, 2011. สืบค้นเมื่อ March 16, 2011.
  45. Ryan, Mike (October 12, 2017). "Kevin Feige Says Jeff Goldblum Was Almost In 'Captain America: The First Avenger'". Uproxx. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-10-13. สืบค้นเมื่อ October 13, 2017.
  46. Fleming, Michael (เมษายน 14, 1997). "A Mania For Marvel". Variety. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 25, 2012. สืบค้นเมื่อ March 2, 2008.
  47. 47.0 47.1 Fleming, Michael (พฤษภาคม 16, 2000). "Artisan deal a real Marvel". Variety. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 6, 2011. สืบค้นเมื่อ March 2, 2008.
  48. Amdur, Meredith (ตุลาคม 9, 2003). "Marvel sees big stock gains". Variety. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 29, 2011. สืบค้นเมื่อ March 2, 2008.
  49. Archive of Fritz, Ben; Harris, Dana (เมษายน 27, 2005). "Paramount pacts for Marvel pix". Variety. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 6, 2011. สืบค้นเมื่อ March 2, 2008.
  50. McClintock, Pamela (มิถุนายน 21, 2005). "$500 mil pic fund feeds Warner Bros". Variety. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 29, 2011. สืบค้นเมื่อ March 2, 2008.
  51. 51.0 51.1 "Captain America is Coming". IGN. มิถุนายน 14, 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 5, 2011. สืบค้นเมื่อ October 7, 2008.
  52. Carroll, Larry (มิถุนายน 2005). "Future Shocks: What's ahead for Avi Arad and his Marvel empire". MTV. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 5, 2011. สืบค้นเมื่อ March 2, 2008.
  53. Zeitchick, Steven (February 23, 2006). "Marvel stock soars on rev outlook". Variety. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-07-05. สืบค้นเมื่อ March 2, 2008.
  54. Douglas, Edward (July 26, 2006). "Exclusive: Jon Favreau on Iron Man". Superhero Hype!. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 15, 2008. สืบค้นเมื่อ March 2, 2008.
  55. McClintock, Pamela (เมษายน 27, 2006). "Marvel Making Deals for Title Wave". Variety. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 1, 2011. สืบค้นเมื่อ March 1, 2008.
  56. Kit, Borys (April 28, 2006). "Marvel Studios outlines slew of superhero titles". The Hollywood Reporter. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 29, 2008. สืบค้นเมื่อ October 7, 2008.
  57. 57.0 57.1 Kit, Borys (พฤศจิกายน 9, 2008). "'Captain America' recruits director". The Hollywood Reporter. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 2, 2011. สืบค้นเมื่อ November 10, 2008.
  58. McNary, Dave (มกราคม 24, 2008). "Lionsgate signs as WGA talks go on". Variety. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 5, 2011. สืบค้นเมื่อ March 2, 2008.
  59. Edward Douglas (พฤษภาคม 5, 2008). "Marvel Studios Sets Four More Release Dates!". Superhero Hype!. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 6, 2008. สืบค้นเมื่อ May 5, 2008.
  60. Franklin, Garth (กรกฎาคม 21, 2008). "Leterrier on More "Hulk", "United States"". Dark Horizons. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 5, 2011. สืบค้นเมื่อ October 7, 2008.
  61. Kit, Borys; Fernandez, Jay A. (พฤศจิกายน 18, 2008). "'Captain America' enlists two scribes". The Hollywood Reporter. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 6, 2011. สืบค้นเมื่อ November 19, 2008.. (First paragraph; subscription required for full story.)
  62. Billington, Alex (มิถุนายน 7, 2009). "Profile on Marvel Studios with Big Updates from Kevin Feige". FirstShowing.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 4, 2011. สืบค้นเมื่อ June 12, 2009.
  63. Sanchez, Robert (April 21, 2007). "Exclusive Interview: Avi Arad and the IESB Go 1:1!". IESB. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-07-05. สืบค้นเมื่อ October 7, 2008.
  64. Svetkey, Benjamin (พฤศจิกายน 21, 2008). "Barack Obama: Celebrity In Chief". Entertainment Weekly. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-07-05. สืบค้นเมื่อ May 6, 2011.
  65. Boucher, Geoff (เมษายน 5, 2012). "'Captain America' sequel set for April 2014". Los Angeles Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 6, 2012. สืบค้นเมื่อ April 6, 2012.
  66. Patten, Dominic (มิถุนายน 6, 2012). "Russo Brothers in Talks For Marvel's 'Captain America' Sequel". Deadline.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 6, 2012. สืบค้นเมื่อ June 6, 2012.
  67. "CAPTAIN AMERICA: THE WINTER SOLDIER BEGINS FILMING". Marvel.com. เมษายน 8, 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 14, 2016. สืบค้นเมื่อ January 14, 2016.
  68. Weintraub, Steve (มีนาคม 11, 2014). "Directors Joe & Anthony Russo Confirm They'll Direct Captain America 3; Say They're Breaking the Story Now with Screenwriters Christopher Markus & Stephen McFeely". Collider.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 11, 2014. สืบค้นเมื่อ March 14, 2014.
  69. Strom, Marc (เมษายน 7, 2014). "Captain America to Return to Theaters May 6, 2016". Marvel. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 7, 2014. สืบค้นเมื่อ April 7, 2014.
  70. Kroll, Justin (มกราคม 21, 2014). "'Captain America 3′ Takes Shape at Marvel (EXCLUSIVE)". Variety. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 28, 2014. สืบค้นเมื่อ January 21, 2014.
  71. Fleming Jr, Mike (พฤศจิกายน 14, 2014). "Daniel Bruhl To Play Villain In 'Captain America: Civil War'". Deadline.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 14, 2014. สืบค้นเมื่อ October 30, 2014.
  72. "Marvel Studios Begins Production on Marvel's 'Captain America: Civil War'". Marvel.com. พฤษภาคม 7, 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 7, 2015. สืบค้นเมื่อ May 7, 2015.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]