กบฏเงี้ยว
กบฏเงี้ยว | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ภาพถ่ายของกบฏเงี้ยวที่ถูกจับ | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
กบฏเงี้ยว นครแพร่ สนับสนุนโดย: ฝรั่งเศส (จนถึง พ.ศ. 2447) |
สยาม สนับสุนนโดย: สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส (ตั้งแต่ พ.ศ. 2447) | ||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
พก่าม่อง † สล่าโป่ซาย † จองแข่ † เจ้าพิริยเทพวงษ์ |
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) พระยาไชยบูรณ์ (ทองอยู่ สุวรรณบาตร์) † | ||||||
กำลัง | |||||||
มากกว่า 300 นาย | มากกว่า 6,000 นาย | ||||||
ความสูญเสีย | |||||||
เสียชีวิต: มากกว่า 37 นาย เชลย: 16 นาย |
เสียชีวิต: มากกว่า 36 นาย |
กบฏเงี้ยว (อังกฤษ: Ngiao Rebellion) เป็นการลุกฮือของชาวไทใหญ่หรือเงี้ยวเพื่อต่อต้านการปกครองของสยามที่เมืองแพร่ ระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม ถึง 14 สิงหาคม 2445 เกิดขึ้นจากการต่อต้านการปฏิรูปและการรวมศูนย์อำนาจที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่ม โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีและการนำระบบมณฑลเทศาภิบาลมาใช้ ตลอดจนการแบ่งดินแดนกับอังกฤษ ซึ่งบังคับให้ชาวฉานรับสัญชาติสยามหรืออังกฤษ
เช้าวันที่ 25 กรกฎาคม 2445 ฝ่ายกบฏเข้าโจมตีและปล้นเมืองแพร่ สังหารข้าราชการและขุนนางไปมากกว่า 20 ราย รวมทั้งพระยาราชฤทธานนท์พหลภักดี (ทองอยู่ สุวรรณบาตร) ข้าหลวงประจำเมืองแพร่ ไม่นานกลุ่มกบฏก็ถูกปราบปรามโดยกองทหารจากกรุงเทพฯ นำโดย พลโท เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) แกนนำกบฏ 10 คนถูกประหารชีวิต, 16 คนถูกจับเข้ากรุงเทพฯ เพื่อจำคุก และเจ้าพิริยเทพวงษ์ซึ่งเป็นอดีตเจ้าผู้ครองนครแพร่ได้หลบหนีไปลี้ภัยในหลวงพระบางจนถึงแก่พิราลัย[1][2] การกบฏดำเนินต่อไปจนถึงเดือนพฤษภาคม 2447 และขยายไปทั่วภาคเหนือของสยาม[3]
การกบฏเป็นส่วนหนึ่งของการต่อต้านหลายครั้งที่เกิดขึ้นบริเวณชายขอบของราชอาณาจักรประมาณปี 2430 ถึงต้นปี 2440 ไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น เกิดกบฏผู้มีบุญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พวกกบฏได้ยึดเมืองเขมราฐก่อนที่จะถูกกองทัพสยามปราบ[4] แม้จะยังไม่ชัดเจนว่าเจ้าพิริยเทพวงษ์สนับสนุนการกบฏมากน้อยเพียงใด แต่ระบบเจ้าผู้ครองนครแพร่ก็สิ้นสุดลง และการปฏิรูปเพิ่มเติมได้เกิดขึ้นเพื่อช่วยให้สยามผนวกดินแดนล้านนาเดิมและหลอมรวมผู้คนเข้าสู่สยามอย่างสมบูรณ์[2]
ประวัติศาสตร์
[แก้]ปูมหลัง
[แก้]ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สยามได้สูญเสียดินแดนมากมายให้กับฝรั่งเศสและอังกฤษ ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นดินแดนที่ไม่ใช่เชื้อชาติไทย ในปี 2428 ซึ่งเป็นปีที่ 17 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สยามถูกบังคับให้ยกดินแดนรัฐฉานทางตอนเหนือให้กับอังกฤษ เพื่อกระชับและรักษาดินแดนที่เหลืออยู่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเริ่มปฏิรูปเพื่อรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางและลดอำนาจของเจ้าเมืองในท้องถิ่น โดยเจ้าเมืองในท้องถิ่นทางภาคเหนือถูกบังคับให้ส่งมอบหน้าที่จัดเก็บภาษีและอำนาจส่วนใหญ่ของตนให้แก่ขุนนางและข้าราชการซึ่งราชสำนักส่งไปปกครองแทน[5]
วันที่ 10 ตุลาคม 2442 เกิดการประท้วงขึ้นที่เมืองเชียงใหม่เพื่อต่อต้านการขึ้นภาษี การประท้วงครั้งนี้นำโดยสมาชิกราชวงศ์เชียงใหม่พระองค์หนึ่งซึ่งตั้งเป้าจะตั้งพระองค์เองเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของเชียงใหม่และขับไล่ชาวสยามและชาวจีนทั้งหมดออกจากพื้นที่ การก่อจลาจลมีการจัดการไม่ดีและล่มสลายอย่างรวดเร็ว
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "กบฏเงี้ยว". Museum Thailand. สืบค้นเมื่อ 10 March 2022.
- ↑ 2.0 2.1 "การปฏิรูปมณฑลพายัพของสยาม บีบบังคับให้เงี้ยวก่อกบฏ เมื่อ พ.ศ. 2445 ?". Silpa Wattanatham. 23 July 2021. สืบค้นเมื่อ 10 March 2022.
- ↑ Bristowe, W. S. (William Syer) (1976). Louis and the King of Siam. Internet Archive. London : Chatto & Windus. ISBN 978-0-7011-2164-8.
- ↑ Baker, Chris; Phongpaichit, Pasuk (2005). A History of Thailand. New York: Cambridge University Press. p. 56. ISBN 0-521-01647-9.
- ↑ "A town built with teak". Bangkok Post (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2023-06-14.