สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
บทความนี้เกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม สำหรับพระศรีศิลป์พระองค์อื่น ดูที่ พระศรีศิลป์
สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม
สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงธรรมอันมหาประเสริฐ
King Songtham.jpg
พระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ณ ศาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม, อำเภอพระพุทธบาท, จังหวัดสระบุรี
พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา
ครองราชย์2154–2171 (17 ปี)
ก่อนหน้าสมเด็จพระศรีเสาวภาคย์
ถัดไปสมเด็จพระเชษฐาธิราช
พระมหาอุปราชจมื่นศรีเสารักษ์
สมุหนายกเจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด)
พระราชบุตรสมเด็จพระเชษฐาธิราช
พระพันปีศรีสิน
สมเด็จพระอาทิตยวงศ์
ราชวงศ์ราชวงศ์สุโขทัย
พระราชบิดาสมเด็จพระเอกาทศรถ
พระราชมารดาพระสนมไม่ปรากฏพระนาม
พระราชสมภพพ.ศ. 2135
พระศรีสิน
สวรรคต12 ธันวาคม พ.ศ. 2171 (36 พรรษา)

สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม หรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ 1 หรือ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงธรรมอันมหาประเสริฐ[1] เป็นพระมหากษัตริย์แห่ง กรุงศรีอยุธยา ระหว่างปี พ.ศ. 2153/54 ถึง พ.ศ. 2171 แห่ง ราชวงศ์สุโขทัย รัชสมัยของพระองค์แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรอยุธยาหลังจากได้รับเอกราชจาก อาณาจักรตองอู หลังรัชสมัยของ พระเจ้าบุเรงนอง และได้เห็นการเริ่มต้นการค้าขายกับต่างประเทศ โดยเฉพาะชาวดัตช์และญี่ปุ่น พระเจ้าทรงธรรมทรงบรรจุทหารรักษาพระองค์ด้วยทหารรับจ้างชาวต่างชาติ โดยเฉพาะที่โดดเด่นที่สุดคือชาวญี่ปุ่นนาม ยามาดะ นางามาซะ หรือ ออกญาเสนาภิมุข เจ้ากรมทหารอาสาญี่ปุ่น

พระราชประวัติ[แก้]

พระราชสมภพ[แก้]

พระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุว่าสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมมีพระนามเดิมว่าพระศรีสิน[1] เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเอกาทศรถกับพระสนมชาวบางปะอิน[2] เดิมบวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดระฆัง มีความรอบรู้ทางด้านพระไตรปิฎกมาก จนได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระพิมลธรรม์อนันตปรีชา มีผู้ที่นิยมท่านมาก รวมทั้งจมื่นศรีเสารักษ์ยังได้ฝากตัวเป็นบุตรบุญธรรมของท่านด้วย

การขึ้นครองราชย์[แก้]

ในแผ่นดินของสมเด็จพระศรีเสาวภาคย์ จมื่นศรีเสารักษ์และบรรดาลูกศิษย์ของท่านได้ซ่องสุมกันที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ แล้วจึงบุกเข้าไปยังพระราชวังหลวงและจับสมเด็จพระศรีเสาวภาคย์นำไปสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ แล้วอัญเชิญพระพิมลธรรมอนันตปรีชาให้ลาสิกขาบท ขึ้นเสวยราชสมบัติแห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อปีขาล จุลศักราช 973 (พ.ศ. 2154) ทรงพระนามว่าสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม และทรงแต่งตั้งจมื่นศรีเสารักษ์เป็นพระมหาอุปราช

เหตุการณ์ในรัชสมัย[แก้]

กบฏญี่ปุ่น[แก้]

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นราวต้นรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ซึ่งกล่าวถึงกบฏญี่ปุ่นที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการค้าขาย จึงยกเข้ามาจะยึดพระราชวังหลวงเพื่อจับกุมเอาตัวพระเจ้าทรงธรรม แต่พระสงฆ์วัดประดู่โรงธรรมก็ใช้อิทธิฤทธิ์นำตัวพระเจ้าทรงธรรมออกมาได้โดยที่ญี่ปุ่นนิ่งเฉย

ปรากฏใน พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระพันจันทนุมาศ(เจิม) ความว่า[3]

“ครั้งนั้นญี่ปุ่นเข้ามาค้าขายหลายลำ ญี่ปุ่นโกรธว่าเสนาบดีมิได้เป็นธรรม คบคิดเข้าด้วยพระพิมลฆ่าพระมหากษัตริย์เสีย ญี่ปุ่นคุมกันได้ประมาณ 500 ยกเข้ามาในท้องสนามหลวง คอยจะกุมเอาพระเจ้าอยู่หัว อันเสด็จออกมาฟังพระสงฆ์บอกหนังสือ ณ พระที่นั่งจอมทองสามหลัง ขณะนั้นพอพระสงฆ์วัดประดู่โรงธรรมเข้ามา 8 รูป พาเอาพระองค์เสด็จออกมาต่อหน้านี้ญี่ปุ่น ครั้นพระสงฆ์พาเสด็จไปแล้วญี่ปุ่นร้องอื้ออึงขึ้นว่า จะกุมเอาพระองค์แล้วเป็นไรจึงนิ่งเสียเล่า ญี่ปุ่นทุ่มเถียงเป็นโกลาหล”

เหตุการณ์จบลงเมื่อพระมหาอำมาตย์คุมกำลังพล ไล่ปราบพวกญี่ปุ่นจนหนีออกจากพระราชวังลงเรือสำเภาหนีไป พระเจ้าทรงธรรมจึงแต่งตั้งพระมหาอำมาตย์ให้เป็น เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ พร้อมพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภค และยังพระราชทานถวายอาหารแก่พระสงฆ์วัดประดู่โรงธรรมเป็นนิจ[3]

ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา ฉบับตุรแปง ให้เหตุการณ์เรื่องนี้เอาไว้แตกต่างจากพงศาวดารไทย กล่าวถึงเหตุการณ์ช่วงปลายรัชกาลของสมเด็จพระเอกาทศรถ โดยมีขุนนางชื่อ ออกญากรมนายไวย คิดการก่อกบฏขึ้น แต่เมื่อพระเจ้าทรงธรรมขึ้นครองราชได้ประหารออกญากรมนายไวย จนนำไปสู่เหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นภายใต้บังคับบัญชาของออกญากรมนายไวยก่อกบฏ[4]

คำให้การชาวกรุงเก่า ให้รายละเอียดที่แตกต่างคือ พ่อค้าญี่ปุ่นที่เข้ามาขายในอยุธยาลำหนึ่ง ถูกอำมาตย์ทุจริตอ้างว่าพระเจ้าแผ่นดินให้ซื้อสิ่งของต่างๆแล้วจ่ายเงินแดงแก่ญี่ปุ่น พ่อค้าญี่ปุ่นไม่ทันได้พิจารณา เมื่ออำมาตย์ไปแล้วพ่อค้าญี่ปุ่นจึงเอาเงินออกมาดูพบว่าเป็นเงินแดงจึงโกรธว่า พระเจ้าแผ่นดินไม่ได้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม จึงใช้ญี่ปุ่นมีฝีมือ 4 คนซ่อนอาวุธลอบเข้าไปในพระราชวัง เมื่อพระเจ้าทรงธรรมเสด็จบอกพระปริยัติธรรมพระสงฆ์อยู่นั้น ญี่ปุ่น 4 คนได้เข้าไปพระราชวังหวังทำร้ายพระเจ้าทรงธรรม แต่ด้วยบุญญาบารมีของพระเจ้าทรงธรรมทำให้ชักอาวุธไม่ออก ข้าราชการเห็นมีพิรุธก็พาจับญี่ปุ่น พระเจ้าทรงธรรมจึงซักถามถึงสาเหตุที่ก่อการและสืบสวนถึงอำมาตย์ที่ทุจริตนั้น แล้วจึงพระราชทานเงินดีแก่นายสำเภาญี่ปุ่นและปล่อยพวกญี่ปุ่นพร้อมไม่ถือเอาโทษ[5]

ราชการสงคราม[แก้]

เสียเมืองตะนาวศรี[แก้]

พ.ศ. 2146 เมืองตะนาวศรี ถูกกองทัพพม่าเข้าล้อมเมืองจึงส่งหนังสือมาแจ้งให้ยกกองทัพไปช่วยป้องกันเมือง สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมจึงตรัสให้พระยาพิชัยสงครามเป็นแม่ทัพยกไปช่วยป้องกัน แต่เมื่อยกมาถึงด่านสิงขรมีนายทัพนายกองเข้ามาแจ้งว่าเมืองตะนาวศรีเสียแก่พม่าแล้ว สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมจึงให้ยกทัพกลับ[3] ด้วยเหตุนี้กรุงศรีอยุธยาจึงต้องเสียตะนาวศรีอันเป็นเมืองท่าที่สำคัญทางตะวันตกในทะเลอันดามัน

สงครามกับกัมพูชา[แก้]

พ.ศ. 2164 พระไชยเชษฐาที่ 2 กษัตริย์แห่งกัมพูชาได้ย้ายราชธานีจากกรุงศรีสุนทร ไปยังกรุงอุดงมีชัย และได้ทำการไม่ส่งบรรณาการไม่ขึ้นกับกรุงศรีอยุธยา ซึ่งกัมพูชาเป็นประเทศราชเขมรมาตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวร สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงยกทัพยกทัพเรือ โดยพระองค์ทรงเป็นแม่ทัพบกให้พระศรีศิลป์เป็นแม่ทัพเรือ พระไชยเชษฐาทรงใช้วิธีเจรจาหน่วงเวลาและรวบรวมกำลังพลเพื่อรบ กองทัพเรือของพระศรีศิลป์เมื่อรอเวลานานก็ขาดแคลนเสบียงจนต้องถอยทัพ พระไชยเชษฐาจึงส่งกองทัพตามตีจนฝ่ายอยุธยาต้องแตกพ่ายไป[2]


เชียงใหม่ซึ่งเคยเป็นประเทศราชมาตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช​ต่างก็พากันแข็งเมืองไม่ยอมขึ้นกับกรุงศรีอยุธยา

พระราชกรณียกิจ[แก้]

วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา[แก้]

วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร, จังหวัดสระบุรี, ทรงสร้างโดยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม

สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงเป็นนักปราชญ์ รอบรู้ในวิชาการหลายด้าน มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทรงประพฤติราชธรรมอย่างมั่นคง เป็นที่รักใคร่นับถือของบรรดาราษฎรและชาวต่างชาติ พระกรณียกิจส่วนใหญ่ของพระองค์ มุ่งส่งเสริมทำนุบำรุงศาสนาพุทธในด้านต่าง ๆ เช่น โปรดเกล้าฯ ให้คัดลอกพระไตรปิฎกภาษาบาลีฉบับสมบูรณ์เป็นจำนวนมาก ทรงให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งมหาชาติคำหลวงถวาย นับเป็นวรรณคดีชิ้นสำคัญของสมัยอยุธยา ได้มีผู้พบรอยพระพุทธบาทบนยอดเขาสุวรรณบรรพต แขวงเมืองสระบุรี พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างมณฑปครอบรอบพระพุทธบาท พร้อมทั้งสร้างพระอุโบสถ พระวิหารการเปรียญ กับกุฏิสงฆ์ ถวายให้เป็นสมบัติในพระพุทธศาสนา พระพุทธบาทสระบุรีจึงมีความสำคัญ เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางของพุทธศาสนิกชนตั้งแต่นั้นมาตราบถึงปัจจุบัน

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ[แก้]

พระองค์ทรงมีสัมพันธ์ไมตรีกับบรรดาต่างประเทศที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับไทย ทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองท่าที่สำคัญในภูมิภาคแถบนี้ของโลก ชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะฮอลันดา อังกฤษและญี่ปุ่น ที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับไทยตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเอกาทศรถ พระองค์ก็ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ริมคลองปลากด เหนือเมืองสมุทรปราการ ให้ชาวฮอลันดาตั้งคลังสินค้า และส่วนชาวญี่ปุ่น ปรากฏว่ามีชาวญี่ปุ่นสมัครเข้ารับราชการที่กรุงศรีอยุธยาเป็นจำนวนมาก จนได้มีการจัดตั้งกรมอาสาญี่ปุ่น ขึ้นมาช่วยราชการกรุงศรีอยุธยา ชาวญี่ปุ่นที่มีบทบาทสำคัญในวงการเมืองในรัชสมัยของพระองค์คือยามาดะ นางามาซะ ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นออกญาเสนาภิมุข

สวรรคต[แก้]

สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงพระประชวรเมื่อวันพฤหัสบดี เดือนยี่ ขึ้น 6 ค่ำ จ.ศ. 989 หรือราว ธันวาคม พ.ศ. 2170 ขณะที่พระองค์ประชวรหนัก มีพระราชประสงค์จะมอบราชสมบัติให้พระราชโอรสองค์ใหญ่ คือ พระเชษฐาธิราชกุมาร โดยทรงมอบให้ออกญาศรีวรวงศ์ จางวางมหาดเล็ก ซึ่งเป็นพระญาติที่ไว้วางพระทัยเป็นผู้ดูแลพระเชษฐาธิราชจนกว่าจะได้ครองราชย์ จนอีก 1 เดือนกับอีก 16 วันถัดมาก็เสด็จสวรรคต แต่ชาวฮอลันดาได้บันทึกไว้ว่าพระองค์สวรรคตเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2171 สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมครองราย์ได้ 17 ปี

พระราชสันตติวงศ์[แก้]

สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมมีพระราชโอรส 3 พระองค์ ได้แก่ พระเชษฐาธิราชกุมาร พระพันปีศรีสิน และพระอาทิตยวงศ์ ส่วนจดหมายเหตุวันวลิตระบุว่า พระองค์มีพระราชโอรส 9 พระองค์ พระราชธิดา 8 พระองค์

ใน คำให้การชาวกรุงเก่า ระบุว่าสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม มีพระมเหสีสองพระองค์ คือพระนางจันทราชา และพระนางขัตติยเทวี มีพระราชธิดาด้วยกันองค์ละสี่พระองค์ รวมมีพระราชธิดาทั้งหมดแปดพระองค์ ดังนี้[6]

พงศาวลี[แก้]


อ้างอิง[แก้]

เชิงอรรถ
  1. 1.0 1.1 พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และเอกสารอื่น. นนทบุรี : ศรีปัญญา, 2553. 800 หน้า. หน้า 261-4. ISBN 978-616-7146-08-9
  2. 2.0 2.1 มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา. นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย. กรุงเทพฯ : มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา, 2554. 264 หน้า. หน้า 132-5. ISBN 978-616-7308-25-8
  3. 3.0 3.1 3.2 พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหลวงประเสริฐ,คำให้การคำกรุงเก่า, คำให้การขุนหลวงหาวัด. [ม.ป.ท.] : ศรีปัญญา, [ม.ป.ป.]. 800 หน้า. หน้า 262.
  4. Silpa-1 (2021-09-03). "กบฏต่างชาติในกรุงศรีอยุธยา เปิดชนวนทั้งแขก-ญี่ปุ่น บุกยึด-ปล้นถึงในพระราชวังได้". ศิลปวัฒนธรรม.
  5. คำให้การชาวกรุงเก่า คำให้การขุนหลวงหาวัด และ พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐ. กรุงเทพมหานคร : คลังวิทยา, 2510. 472 หน้า. หน้า 101.
  6. ประชุมคำให้การกรุงศรีอยุธยา รวม 3 เรื่อง, หน้า 90-91
บรรณานุกรม
  • พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค 1. สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช พิมพ์ขึ้นเป็นส่วนพระราชกุศลทานมัยในงานพระศพ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวรเสฐสุดา, พระอรรคชายาเธอ กรมขุนอรรควรราชกัญญา, สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนพิจิตรเจษฎจันทร์ และสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนสวรรคโลกลักษณวดี. พ.ศ. 2455. {{cite book}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |year= (help)
  • ประชุมคำให้การกรุงศรีอยุธยา รวม 3 เรื่อง. กรุงเทพฯ : แสงดาว, 2553. 536 หน้า. ISBN 978-616-508-073-6

ดูเพิ่ม[แก้]

ก่อนหน้า สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ถัดไป
สมเด็จพระศรีเสาวภาคย์
(พ.ศ. 2153 - พ.ศ. 2154)
2leftarrow.png Seal of Ayutthaya (King Narai).png
พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา
(พ.ศ. 2154 - 2171)
2rightarrow.png สมเด็จพระเชษฐาธิราช
( พ.ศ. 2171 - พ.ศ. 2173)