สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก บาเยิร์น มิวนิค)
ไบเอิร์นมิวนิก
ชื่อเต็มสโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิก
ฉายาDer FCB (The FCB)
Die Bayern (The Bavarians)
Stern des Südens (Star of the South)
Die Roten (The Reds)[1]
FC Hollywood[2] เสือใต้ (ในภาษาไทย)
ชื่อย่อไบเอิร์น
ก่อตั้ง27 กุมภาพันธ์ 1900; 123 ปีก่อน (1900-02-27)
สนามอัลลีอันทซ์อาเรนา
Ground ความจุ75,000[3]
ประธานแฮร์แบร์ท ไฮเนอร์
ซีอีโอยาน-คริสเตียน ดรีเซิน
ผู้จัดการโทมัส ทุคเคิล
ลีกบุนเดิสลีกา
2022–23บุนเดิสลีกา อันดับที่ 1 (ชนะเลิศ)
เว็บไซต์เว็บไซต์สโมสร
สีชุดทีมเยือน
สีชุดที่สาม
ฤดูกาลปัจจุบัน

สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิก หรือ สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมึนเชิน (เยอรมัน: FC Bayern München)[4] เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพของประเทศเยอรมนี ตั้งอยู่ที่นครมิวนิก รัฐไบเอิร์น อีกชื่อหนึ่งอาจเรียกว่า บาวาเรียมิวนิก หรือ ไบเอิร์น เป็นสโมสรที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศ ปัจจุบันเล่นอยู่ในบุนเดิสลีกา ลีกสูงสุดของฟุตบอลเยอรมนี พวกเขาเป็นเจ้าของสถิติชนะเลิศลีกสูงสุด 33 สมัย และทำสถิติชนะเลิศติดต่อกัน 11 สมัยตั้งแต่ ค.ศ. 2013–2023 และยังชนะเลิศเดเอ็ฟเบ-โพคาล สูงสุด 20 สมัย รวมทั้งถ้วยยุโรปอีกหลายรายการ

สโมสรก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1900 โดยกลุ่มนักฟุตบอล 11 คน นำโดย ฟรันทซ์ จอห์น[5] แม้ไบเอิร์นมิวนิกจะชนะเลิศลีกสูงสุดสมัยแรกใน ค.ศ. 1932 ทว่าสโมสรกลับไม่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมแข่งขันฤดูกาลแรกของบุนเดิสลีกาใน ค.ศ. 1963 ไบเอิร์นมิวนิกประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วงกลางทศวรรษ 1970 ภายใต้การนำของกัปตันทีมอย่าง ฟรันทซ์ เบ็คเคินเบาเออร์ ผู้พาสโมสรชนะเลิศยูโรเปียนคัพ 3 สมัยติดต่อกันระหว่าง ค.ศ. 1974–76

ไบเอิร์นมิวนิกถือเป็นหนึ่งในสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในทวีปยุโรป พวกเขาชนะเลิศการแข่งขันยูโรเปียนคัพ/ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 6 สมัย นับเป็นสถิติสูงสุดของเยอรมนี โดยชนะเลิศครั้งล่าสุดใน ค.ศ. 2020 ซึ่งเป็นฤดูกาลที่พวกเขาคว้าสามถ้วยรางวัล ทำสถิติเป็นสโมสรที่สองของทวีปยุโรป ที่ชนะเลิศการแข่งขันสามถ้วยรางวัลในฤดูกาลเดียวกันได้สองครั้ง หลังเคยทำได้ใน ค.ศ. 2013 สโมสรยังชนะเลิศยูฟ่าคัพ 1 สมัย, ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 1 สมัย และ ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2 สมัย ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปและอเมริกาใต้ 2 สมัย และฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก อีก 2 สมัย ส่งผลให้พวกเขาเป็นสโมสรเดียวของเยอรมนีที่ชนะการแข่งขันระดับโลกได้สองรายการ ผู้เล่นของไบเอิร์นมิวนิคได้รับรางวัลบาลงดอร์รวมกัน 5 สมัย, รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำปีของฟีฟ่า 2 สมัย, รางวัลรองเท้าทองคำยุโรป 4 สมัย และ รางวัลผู้เล่นชายยอดเยี่ยมประจำปีของยูฟ่าอีก 3 สมัย รวมทั้งรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่า

ภายหลังจากชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลกใน ค.ศ. 2020 ไบเอิร์นมิวนิกกลายเป็นสโมสรที่สองในประวัติศาสตร์ที่คว้าหกถ้วยรางวัลได้ในหนึ่งปีปฏิทิน พวกเขายังเป็นหนึ่งในห้าสโมสรที่ชนะเลิศการแข่งขันรายการหลักของยูฟ่าครบทั้งสามรายการ (ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก, ยูฟ่าคัพ และ ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ) รวมทั้งเป็นสโมสรเดียวของเยอรมนีที่ทำได้ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2022 สโมสรอยู่ในอันดับหนึ่งจากการจัดอันดับโดยยูฟ่า ไบเอิร์นมิวนิกมีสโมสรคู่อริในภูมิภาคได้แก่ เทเอ็สเฟา 1860 มึนเชิน และ แอร์สเทอ เอ็ฟเซ เนือร์นแบร์ค รวมถึงการเป็นอริกับ โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ มาตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990

คำขวัญประจำสโมสรคือ "Mia San Mia" แปลว่า "เรา คือ เรา" นับตั้งแต่ฤดูกาล 2005–2006 สโมสรลงเล่นที่สนามอัลลีอันทซ์อาเรนา แทนสนามเดิมคือ โอลึมพีอาชตาดีอ็อน ซึ่งถูกใช้งานมา 33 ปี สีประจำสโมสรคือสีแดงและสีขาว และตราสโมสรเป็นสัญลักษณ์ของธงรัฐไบเอิร์นซึ่งเป็นสีฟ้าและขาว ในแง่ผลประกอบการ ไบเอิร์นมิวนิกเป็นสโมสรกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนี และเป็นสโมสรฟุตบอลที่ทำรายรับได้มากเป็นอันดับสามของโลก เป็นรองเพียงบาร์เซโลนาและเรอัลมาดริด ด้วยมูลค่า 634.1 ล้านยูโรใน ค.ศ. 2021[6] ใน ค.ศ. 2023 สโมสรมีสมาชิกกว่า 300,000 ราย สโมสรยังมีชื่อเสียงในกีฬาประเภทอื่น ๆ เช่น หมากรุก, แฮนด์บอล, บาสเกตบอล, ยิมนาสติก, โบว์ลิ่ง และ เทเบิลเทนนิส

ประวัติ[แก้]

ยุคแรก (1900–65)[แก้]

การแข่งขันนัดแรกของไบเอิร์นมิวนิคพบ แอร์สเทอ เอ็ฟเซ เนือร์นแบร์ค ใน ค.ศ. 1901

ไบเอิร์นมิวนิก ก่อตั้งขึ้นภายในสโมสรกีฬายิมนาสติก (MTV 1879) ของเมืองมิวนิกเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1900 สมาคมฟุตบอลเยอรมนี มีมติห้ามไม่ให้นักฟุตบอลจากสโมสรดังกล่าวเข้าร่วมการแข่งขัน ทำให้นักเตะจำนวน 11 คนตัดสินใจออกจากสโมสร แล้วมาก่อตั้งสโมสรใหม่ในชื่อ สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิก และเพียงไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ไบเอิร์นมิวนิกก็ชนะคู่แข่งในท้องถิ่นด้วยผลประตูขาดลอยรวมถึงการเอาชนะทีมเอฟเซนอร์ทเทิร์นด้วยผลประตู 15–0[7] และเข้าถึงรอบรองชนะเลิศรายการ เซาท์ เยอรมัน แชมป์เปียนชิพ ฤดูกาล 1900–01 ฤดูกาลถัดมาสโมสรสามารถคว้าถ้วยรางวัลระดับท้องถิ่นหลายรายการ

ถัดมาในฤดูกาล 1910–11 สโมสรได้เข้าร่วมก่อตั้งลีกใหม่ของรัฐไบเอิร์นคือ เครียส์ลีกา โดยได้แชมป์ในฤดูกาลแรก แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้แชมป์อีกเลยกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งขึ้น การแข่งขันทุกอย่างก็หยุดชะงักลงแต่ในช่วงสิ้นสุดทศวรรษแรกของการก่อตั้งสโมสรนั้น ไบเอิร์นมิวนิคสามรถดึงดูดผู้เล่นทีมชาติเยอรมนีคนแรกเข้าสู่ทีมได้ซึ่งก็คือ Max Gaberl Gablonsky และใน ค.ศ. 1920 สโมสรมีสมาชิกกว่า 700 รายส่งผลให้พวกเขากลายเป็นสโมสรฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในมิวนิก

หลังสงครามสิ้นสุด สโมสรได้แชมป์ในระดับภูมิภาคหลายครั้ง ก่อนจะได้แชมป์ เซาท์ เยอรมัน แชมป์เปียนชิพใน ค.ศ. 1926 และทำได้อีกครั้งในสองปีต่อมา และได้แชมป์ระดับชาติครั้งแรกใน ค.ศ. 1932 เมื่อผู้ฝึกสอน ริชาร์ด คอห์น นำทีมเอาชนะ ไอน์ทรัคท์ฟรังค์ฟวร์ท 2–0 ในรายการชิงแชมป์เยอรมัน ภายหลังการกำเนิดลัทธินาซีขึ้น ทำให้ผู้จัดการทีม และผู้เล่นหลายรายต้องหลบหนีออกจากประเทศ จนมีคำกล่าวว่า ไบเอิร์นมิวนิคคือทีมของคนยิว ในขณะที่คู่แข่งร่วมเมืองอย่าง เทเอ็สเฟา 1860 มึนเชิน กลับได้รับการสนับสนุนจากแฟนฟุตบอลเป็นจำนวนมาก

หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ไบเอิร์นมิวนิกได้เข้าร่วมการประชุมการก่อตั้งโอเบอร์ลีกา โดยแบ่งลีกออกเป็น 5 ส่วน ในช่วง ค.ศ. 1945–63 พวกเขาเปลี่ยนผู้ตัดการทีมถึง 13 คน หลังจากที่ แลนเดอร์ กลับจากการลี้ภัยสงครามใน ค.ศ.1947 ก็กลับมาเป็นประธานสโมสรอีกครั้ง สโมสรประสบปัญหาทางการเงินใน ค.ศ. 1950 โรแบนด์ เอนเดลอร์ ได้หาเงินทุนมาสนับสนุนทีมเป็นเวลา 4 ปี โดยอยู่จนถึง ค.ศ.1951 ใน ค.ศ. 1955 สโมสรตกชั้นไปแข่งในโอเบอร์ลีกา ในฤดูกาลถัดไป โดยพวกเขาคว้าแชมป์ เดเอ็ฟเบ-โพคาล หลังเอาชนะทีม ฟอร์ทูน่า ดุยเซลดอล์ฟ 1–0

ใน ค.ศ.1963 โอเบอร์ลีกา ถูกรวมลีกเป็นลีกแห่งชาติแค่ลีกเดียว โดยคัดเอา 5 อันดับแรกจากตารางคะแนน ไบเอิร์นมิวนิก อยู่อันดับ 3 และ 1860 มิวนิกเป็นแชมป์โอเบอร์ลีกา ทางสมาคมเห็นว่าในหนึ่งเมืองควรมีสโมสรฟุตบอลแค่ทีมเดียว จึงตัดสิทธิไบเอิร์นมิวนิกออกจากบุนเดิสลีกา อย่างไรก็ตามในสองปีต่อมา ทีมก็เลื่อนชั้นสู่บุนเดิสลีกาได้สำเร็จด้วยการนำทีมของนักเตะระดับตำนานอย่าง ฟรันทซ์ เบ็คเคินเบาเออร์, แกร์ท มึลเลอร์ และ เซฟฟ์ เมียเออร์

ยุคแห่งความสำเร็จ (1965–79)[แก้]

แกร์ท มึลเลอร์ ตำนานกองหน้าของทีม เจ้าของสถิติผู้ทำประตูมากที่สุดตลอดกาลในบุนเดิสลีกา

ในฤดูกาลแรกในการแข่งในระดับบุนเดิสลีกานั้น สโมสรคว้าอันดับสามพร้อมแชมป์เดเอ็ฟเบ-โพคาลมาได้ ทำให้ได้สิทธิลงแข่งในฟุตบอลยูโรเปียนคัพวินเนอร์สคัพ และคว้าแชมป์มาครองได้ หลังเอาชนะ สโมสรเรนเจอส์ ในช่วงต่อเวลา 1–0 จากประตูของ ฟรันทซ์ โรท ถัดมาใน ค.ศ. 1967 แม้ทีมจะได้แชมป์ เดเอ็ฟเบ-โพคาล แต่ด้วยรูปแบบการเล่นที่ไม่ดี สโมสรเลยแต่งตั้ง บลังโก เซเบค เข้ามาเป็นผู้ฝึกสอนของทีม ด้วยรูปแบบการเล่นที่เน้นการบุก และความมีวินัยมากกว่าเดิม ทำให้พวกเขาได้แชมป์ฟุตบอลลีก และฟุตบอลถ้วยใน ค.ศ.1969 โดยเป็น 1 ใน 4 ทีมที่คว้าแชมป์สองรายการได้ในปีเดียวกัน เช่นเดียวกับ โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์, แอร์สเทอ เอ็ฟเซ เคิลน์ และ เอ็สเฟา แวร์เดอร์ เบรเมน โดยเซเบคใช้ผู้เล่นทั้งฤดูกาลแค่ 13 คนเท่านั้น

ใน ค.ศ. 1970 อูโด แลตเท็ก และนำทีมคว้าแชมป์ เดเอ็ฟเบ-โพคาล ได้สำเร็จในฤดูกาลแรก รวมถึงคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นสมัยที่สามในฤดูกาล 1971-1972 ซึ่งในปีนี้ไบเอิร์นมิวนิกเปลี่ยนมาใช้สนามกีฬาโอลิมปิกนครมิวนิกเป็นครั้งแรกในนัดตัดสินที่พบกับ ชัลเคอ 04 โดยนัดนี้มีการถ่ายทอดสอดทางโทรทัศน์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์บุนเดิสลีกาอีกด้วย พวกเขาเอาชนะไปด้วยผลประตู 5–1 คว้าแชมป์อย่างเป็นทางการ และสร้างสถิติใหม่หลายรายการในขณะนั้น อาทิ เป็นทีมที่ทำคะแนนสูงสุด และทำประตูในลีกมากที่สุด[8] ก่อนจะป้องกันแชมป์ได้อีกสองสมัยติดต่อกันในสองฤดูกาลถัดมา ยิ่งไปกว่านั้น ใน ค.ศ. 1974 สโมสรคว้าแชมป์ในรายการยูโรเปียนคัพ สมัยแรก เอาชนะ อัตเลติโกเดมาดริด 4–0 ในนัดแข่งใหม่ หลังจากที่ใน ค.ศ. 1967 สโมสรเคยได้แชมป์ คัพวินเนอร์สคัพ และเข้าถึงรอบรองชนะเลิศยูโรเปียนคัพใน ค.ศ. 1968 และ 1972 แสดงให้เห็นว่าทีมมีพัฒนาการที่ดีเยี่ยมเป็นช่วงเวลาที่ทีมประสบความสำเร็จสูง ต่อมาใน ค.ศ. 1975 พวกเขาป้องกันแชมป์ยูโรเปียนคัพ ได้สำเร็จ เมื่อเอาชนะทีม ลีดส์ ยูไนเต็ด 2–0 จากประตูของ รอธ และ มึลเลอร์ ซึ่งหลังจบการแข่งขันแฟนฟุตบอลของลีดส์ได้ก่อจราจลในกรุงปารีส และถูกแบนจากการเข้าชมฟุตบอลยุโรปเป็นเวลาสามปี[9] สโมสรยังครองความยิ่งใหญ่ต่อเนื่องเมื่อคว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพสามสมัยติดต่อกันใน ค.ศ. 1976 เอาชนะ อาแอ็ส แซ็งเตเตียน ที่เมืองกลาสโกว์ 1–0 ทำให้พวกเขาเป็นสโมสรที่สามที่คว้าแชมป์รายการนี้สามปีติดต่อกัน

ถ้วยรางวัลสุดท้ายในช่วงทศวรรษนี้คือ รายการอินเตอร์คอนติเนนตอล คัพ โดยเอาชนะสโมสรครูไซโร จากบราซิลทั้งสองนัด หลังจากนั้นสโมสรก็เข้าสู่ช่วงเปลี่ยนแปลงและไม่ได้แชมป์อะไรเลย ก่อนที่ใน ค.ศ. 1977 ฟรันทซ์ เบ็คเคินเบาเออร์ จะย้ายไปนิว ยอร์ค คอสมอส และใน ค.ศ. 1979 เซฟฟ์ และ อูลี โฮเนบ ประกาศเลิกเล่นฟุตบอล รวมถึง แกร์ท มึลเลอร์ ที่ย้ายไปร่วมทีม ฟอร์ท เลาว์เดอดาเล่

เอฟซี เบรท์เนอร์ และ เอฟซี ฮอลลีวูด (1979–1998)[แก้]

ช่วงหลัง ค.ศ. 1980 เป็นช่วงที่วุ่นวายทั้งในสนาม และปัญหาทางการเงินของทีม เพาล์ เบรท์เนอร์ และ คาร์ล เฮนส์ รูมเมนิกจ์ ช่วยให้ทีมได้แชมป์บุนเดิสลีกาใน ค.ศ. 1980 และ 1981 จนได้รับชื่อทีมใหม่ว่า เอฟซี เบรท์เนอร์ หลังจากได้แชมป์ เดเอ็ฟเบ-โพคาล ค.ศ. 1982 เบรท์เนอร์ประกาศเลิกเล่นฟุตบอล และสองปีหลังจากนั้นสโมสรก็ไม่ได้แชมป์ใด ๆ เลย จนอดีตโค้ชอย่าง อูโด เลตเทค เข้ามาคุมทีมอีกครั้ง ไบเอิร์นมิวนิกก็ได้แชมป์ เดเอ็ฟเบ-โพคาลใน ค.ศ. 1984 และยังคว้าแชมป์บุนเดิสลีกาถึง 5 ครั้ง จากการแข่งขัน 6 ฤดูกาล โดยได้สองแชมป์ใน ค.ศ. 1986 และได้รองแชมป์ยูโรเปียนคัพใน ค.ศ. 1982 และ 1987 ยุพ ไฮน์เคิส ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ฝึกสอนใน ค.ศ. 1987 เขาช่วยให้ทีมคว้าแชมป์หลังจากนั้น 2 ฤดูกาลได้แก่ ฤดูกาล 1988-1989, 1989-1990 แล้วฟอร์มการเล่นของทีมก็ตกลง หลังจากจบฤดูกาล 1990-1991 พวกเขาได้อันดับที่ 2 แต่ในฤดูกาล 1991-1992 สโมสรมีคะแนนมากกว่าโซนตกชั้น 5 คะแนน ในปีฤดูกาล 1993-1994 พวกเขาตกรอบคัดเลือกการแข่งขัน ยูฟ่า คัพ เมื่อแพ้ทีมนอริช จากอังกฤษ ที่โอลิมปิค สเตเดียม โดยเป็นทีมเดียวจากอังกฤษที่มาชนะไบเอิร์นมิวนิคถึงที่นี่

ความสำเร็จกลับมาอีกครั้ง เมื่อ ฟรันทซ์ เบ็คเคินเบาเออร์ เข้ามาคุมทีมในช่วงกลางฤดูกาล 1993–94 ช่วยให้สโมสรคว้าแชมป์ได้สำเร็จ หลังจาก 4 ปี ที่ว่างเปล่าก่อนหน้านี้ จากนั้นเขาก็ถูกแต่งตั้งเป็นประธานสโมสร โดยมีการแต่งตั้งจิโอวานนี ตราปัตโตนี และออทโท เรฮาเกิล เป็นผู้จัดการทีมต่อ ทั้งคู่จบด้วยการไม่ได้รางวัลอะไรเลย ช่วงนั้นผู้เล่นของไบเอิร์นมิวนิก มักมีข่าวปรากฏในแวดวงฮอลลีวูดบ่อย ๆ รวมถึงมักเป็นข่าวในนิตยสารวงการบันเทิงมากกว่านิตยสารฟุตบอลจนได้รับการขนานนามว่า เอฟซี ฮอลลีวูด

ฟรันทซ์ เบ็คเคินเบาเออร์กลับมาดูแลทีมอีกครั้ง ในฐานะที่ปรึกษาโค้ช ฤดูกาล 1995–96 เขาช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพได้สำเร็จ โดนเอาชนะบอร์โด ได้ในรอบชิงชนะเลิศ ฤดูกาล 1996–97 ตราปัตโตนี นำทีมกลับมาคว้าแชมป์บุนเดิสลีกาได้อีกครั้ง ฤดูกาลถัดมาไบเอิร์น แพ้ต่อทีมที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาอย่าง ไกเซอร์สเลาเทิร์น และตราปัตโตนี ก็ลาออกเป็นครั้งที่ 2

ทศวรรษ 2000: แชมป์ยุโรปสมัยที่ 4[แก้]

หลังจากที่ไบเอิร์นมิวนิก แต่งตั้ง ออทมาร์ ฮิตซ์เฟลด์ อดีตโค้ชของดอร์ทมุนท์ มาเป็นโค้ชแล้ว เพียงฤดูกาลแรกเขาก็พาไบเอิร์นคว้าแชมป์บุนเดิสลีกา และเข้ารอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมป์เปียนส์ลีก ก่อนจะแพ้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในช่วงทดเวลา ฤดูกาลถัดมาถือเป็นช่วงครบ 100 ปี สโมสร พวกเขาคว้า 2 แชมป์ได้อีกครั้ง ในการคว้าแชมป์บุนเดิสลีกา 3 สมัยติดต่อกันนั้น ปีเดียวกันนี้พวกเขาก็ได้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เมื่อเอาชนะจุดโทษทีมบาเลนเซียได้สำเร็จ เป็นการได้แชมป์ยุโรปอีกครั้งในรอบ 25 ปี ฤดูกาล 2001–02 พวกเขาเริ่มต้นด้วยการคว้าแชมป์ อินเตอร์คอนติเนนตอล คัพ แต่ฤดูกาลนั้นพวกเขาไม่ได้แชมป์อะไรเลย ต่อมาในฤดูกาล 2002–03 พวกเขาได้แชมป์บุนเดิสลีกาสมัยที่ 4 ติดต่อกัน และฮิตซ์เฟลด์ก็ลาออกจากสโมสรในปี 2004

ฤดูกาลถัดมา เฟลิกซ์ มากัธ เข้ามาคุมทีม และช่วยให้ทีมคว้าสองแชมป์ในปีนั้น ต่อมาในฤดูกาล 2005–06 สโมสรย้ายสนามแข่งจากโอลิมปิค สเตเดียม ไปใช้สนาม อัลลีอันซ์ อารีนา โดยใช้ร่วมกับทีม 1860 มิวนิก ฤดูกาล 2006–07 สโมสรทำผลงานได้ไม่ดีนัก ทำให้มากัธถูกไล่ออกในช่วงหน้าหนาวปีนั้น ฮิตซ์เฟลด์กลับมาคุมทีมอีกครั้งในเดือนมกราคม 2007 แต่ฤดูกาลนั้นทีมจบด้วยอันดับ 4 และไม่มีถ้วยรางวัลใด ๆ เลย ต่อมา ในฤดูกาล 2007–08 ทีมได้เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทีมได้เซ็นนักเตะชื่อดังเข้ามามากมาย และวันที่ 11 มกราคม 2008 ได้แต่งตั้งเยือร์เกิน คลีนส์มัน เป็นผู้จัดการทีมต่อจาก ฮิตซ์เฟลด์ ฤดูกาลนั้นไบเอิร์นมิวนิกเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ โดยแพ้ต่อทีมสปอร์ตติ้ง ซีพี จากโปรตุเกส สองวันหลังจากนั้นพวกเค้าก็แพ้ชาล์เคอ 04 พร้อมตกไปอยู่อันดับที่ 3 ขอตาราง คลีนส์มัน ถูกไล่ออก และยุพ ไฮน์เคิสเป็นผู้จัดการทีมต่อ เค้าช่วยให้ไบเอิร์นได้สิทธิไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก ในฤดูกาล 2009–10 สโมสรได้เซ็นสัญญากับลูวี ฟัน คาล ในฐานะผู้จัดการทีม และใช้เงินหลายล้านยูโรในการดังผู้เล่นอย่างอาร์เยิน โรบเบิน และมาริโอ โกเมซ มาร่วมทีม เพื่อหวังกลับไปเป็นทีมนำในยุโรปอีกครั้ง ฤดูกาล 2009–10 นั้นบาเยิร์นคว้าแชมป์ บุนเดิสลีกา และ เดเอ็ฟเบ-โพคาล แต่พลาดท่าแพ้อินเตอร์ มิลานในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 0–2

ทศวรรษที่ 2010: ครองแชมป์ยุโรปสมัยที่ 5[แก้]

ฟิลลิพ ลาห์ม กับถาดแชมป์บุนเดิสลีกาใน ค.ศ. 2016
รอแบร์ต แลวันดอฟสกี หนึ่งในผู้เล่นที่ทำประตูมากที่สุดตลอดกาลของสโมสร

ฤดูกาล 2010–11 สโมสรตกรอบแรกยูฟ่าแชมป์เปียนลีกด้วยน้ำมืออินเตอร์มิลาน อีกครั้ง ก่อนจะจบด้วยอันดับ 3 ในลีก ลูวี ฟัน คาลถูกไล่ออก และฤดูกาลต่อมา ยุพ ไฮน์เคิสกลับมาคุมทีมอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ใด ๆ ได้ ฤดูกาลต่อมาเขาช่วยให้ทีมคว้าอันดับสองในลีก และเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมป์เปียนลีก โดยนัดนี้แข่งที่ อัลลีอันซ์ อารีนา แต่ก็แพ้จุดโทษเชลซี ต่อมาในฤดูกาล 2012–13 ทีมคว้าแชมป์ซูเปอร์คัพ และไม่แพ้ใครในลีกติดต่อกัน 8 นัดแรกในบุนเดิสลีกา ต่อมา ในวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 2013 ทีมคว้าแชมป์บุนเดิสลีกาทั้งที่เหลือการแข่งขันอีก 6 นัด เป็นสถิติการคว้าแชมป์ที่เร็วที่สุดในเยอรมนี พร้อมทำสถิติมากมาย เช่น ทีมที่ได้คะแนนสูงสุด คือ 91 คะแนน, ทำแต้มห่างกับอันดับสองมากที่สุดถึง 25 คะแนน, ชนะมากที่สุดในฤดูกาลจำนวน 29 นัด และเสียประตูน้อยที่สุดเพียง 18 ประตู

ไบเอิร์นมิวนิกเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมป์เปียนลีกเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 5 ปีหลังสุด และครั้งนี้พวกเขาาทำสำเร็จเมื่อเอาชนะทีมดอร์ทมุนท์ได้ที่สนามเวมบลีย์ กรุงลอนดอน คว้าแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่ 5 ต่อมาใน ค.ศ. 2013 สโมสรแชมป์ เดเอ็ฟเบ-โพคาล วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 เปป กวาร์ดิโอลา เข้ามาคุมทีม และก่อนเริ่มต้นฤดูกาล 2013–14 วันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 มีรายงานว่าทีมมีสมาชิกมากถึง 200,000 คน มากที่สุดในเยอรมนี

กวาร์ดิโอลา เริ่มต้นการคุมทีมด้วยการเซ็นสัญญากับอดีตลูกทีมอย่าง เตียโก อัลกันตารา และเขาพาทีมทำผลงานยอดเยี่ยม โดยสโมสรทำสถิติไม่แพ้ใครติดต่อกันต่อเนื่องจากฤดูกาลที่แล้วถึง 53 นัด ก่อนที่สถิติจะจบลงโดยแพ้ เอาคส์บวร์ค สองนัดหลังจากที่พวกเขาคว้าแชมป์บุนเดิสลีกาไปแล้ว[10] ในฤดูกาลแรกกวาร์ดิโอลายังพาทีมชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก และ ยูฟ่าซูเปอร์คัพ โดยเอาชนะเชลซีซึ่งคุมทีมโดย โชเซ มูรีนโย ในการดวลจุดโทษ และยังชนะเลิศ เดเอ็ฟเบ-โพคาล โดยเอาชนะ โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ ในรอบชิงชนะเลิศ แต่พวกเขาแพ้เรอัลมาดริดในรอบรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และยังมีเหตุการณ์สำคัญของสโมสร เมื่อ อูลี เฮอเนส ประธานสโมสรได้ถูกศาลตัดสินจำคุกจากคดีเลี่ยงภาษี ก่อนที่เฮอเนสจะประกาศลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ คาร์ล ฮ็อปเนอร์ รองประธานสโมสรในขณะนั้นได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งแทน

เข้าสู่ฤดูกาล 2014–15 ไบเอิร์นมิวนิกเซ็นสัญญากับกองหน้าชื่อดังอย่าง รอแบร์ต แลวันดอฟสกี มาจากโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ แบบไม่มีค่าตัว รวมถึงยืมตัวกองกลางชื่อดังอย่าง ชาบี อาลอนโซ มาจากเรอัลมาดริด และพวกเขาปล่อยตัว โทนี โครส ไปให้เรอัลมาดริด สโมสรป้องกันแชมป์ลีกได้ต่อเนื่องทั้งสองฤดูกาลต่อมา พร้อมกับการอำลาทีมของผู้เล่นตัวหลักอย่าง บัสทีอัน ชไวน์ชไตเกอร์ และ เกลาดิโอ ปิซาร์โร และยังคว้าแชมป์ลีกและเดเอ็ฟเบ-โพคาลได้ทั้งสองรายการใน ค.ศ. 2016 แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในรายการยุโรป โดยทำได้เพียงเข้าถึงรอบรองชนะเลิศอีกสองครั้ง และกวาร์ดิโอลาอำลาทีมเพื่อไปคุม แมนเชสเตอร์ซิตี

การ์โล อันเชลอตตี เข้ามารับตำแหน่งต่อในฤดูกาล 2016–17[11] และสโมสรเซ็นสัญญากับ มัทซ์ ฮุมเมิลส์ กองหลังคนสำคัญของดอร์ทมุนท์ และอูลี เฮอเนส ได้รับการปล่อยตัวก่อนกำหนด ก่อนที่เขาจะได้รับเลือกให้กลับมาดำรงตำแหน่งประธานสโมสรอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2016 อันเชลอตตีพาทีมคว้าแชมป์บุนเดิสลีกาได้เป็นสมัยที่ห้าติตด่อกัน[12] แต่ไม่ประสบความสำเร็จในฟุตบอลถ้วยทั้งสองรายการ ต่อมา ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2017 สโมสรประกาศว่าคู่แข่งอย่าง เทเอ็สเฟา 1860 มึนเชิน จะยุติการลงเล่น ณ สนาม อัลลีอันทซ์อาเรนา ภายหลังจากตกชั้นไปสู่ลีกา 4 และก่อนเริ่มต้นฤดูกาล 2017–18 สโมสรได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่นครั้งใหญ่อีกครั้ง ด้วยการเซ็นสัญญากับผู้เล่นอายุน้อยหลายราย อาทิ กีงส์แล กอมาน, กอร็องแต็ง ตอลีโซ, แซร์ช กนาบรี และ นิคคลัส ซือเลอ รวมถึงการยืมตัว ฮาเมส โรดริเกซ มาจากเรอัลมาดริด แต่ต้องแลกกับการเสียผู้เล่นตัวหลักอย่าง ฟิลลิพ ลาห์ม กัปตันทีมซึ่งประกาศเกษียณตัวเอง รวมถึงการอำลาทีมของอาลอนโซ อันเชลอตตีทำผลงานในฤดูกาลที่สองได้ไม่ดีนัก และถูกปลดหลังจากแพ้ต่อปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง 0–3 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก วิลลี ซาญอล เข้ามาคุมทีมชั่วคราวก่อนที่ ยุพ ไฮน์เคิส จะกลับมารับตำแหน่งอีกครั้งจนจบฤดูกาล ซึ่งเขายืนยันที่จะคุมทีมชั่วคราวไปจนจบฤดูกาลเท่านั้นเนื่องจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น สโมสรจบฤดูกาลด้วยแชมป์บุนเดิสลีกาอีกครั้ง แต่ในการคุมทีมนัดสุดท้ายของไฮน์เคิส ซึ่งเป็นรอบชิงชนะเลิศรายการ เดเอ็ฟเบ-โพคาล ไบเอิร์นมิวนิกแพ้ให้กับ ไอน์ทรัคท์ฟรังค์ฟวร์ท ด้วยผลประตู 1–3 ซึ่งฟรังค์ฟวร์ทคุมทีมโดย นีกอ กอวัช ผู้จัดการทีมซึ่งจะเข้ามาคุมทีมไบเอิร์นมิวนิคในฤดูกาลต่อไปนั่นเอง

นีกอ กอวัช เข้ามาทำผลงานได้ไม่น่าประทับใจนักในช่วงแรก โดยตามหลังคู่แข่งอย่างดอร์ทมุนต์เมื่อผ่านครึ่งฤดูกาลแรกในลีก แต่ผลงานก็ดีขึ้นหลังจากช่วงหยุดพักในฤดูหนาว และทีมกลับขึ้นสู่อันดับหนึ่งของตารางได้อีกครั้ง แต่ก็ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกโดยแพ้ลิเวอร์พูล ถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ ค.ศ. 2011 ที่สโมสรไม่สามารถผ่านเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ และต่อมา อาร์เยิน โรบเบิน และ ฟร็องก์ รีเบรี สองผู้เล่นคนสำคัญได้ประกาศว่าจะอำลาทีมหลังจบฤดูกาล และในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2019 สโมสรไดประกาศว่า พวกเขาบรรลุข้อตกลงในการซื้อตัว ลูกัส แอร์น็องแดซ ด้วยราคา 80 ล้านยูโร ซึ่งเป็นสถิติใหม่ของการซื้อตัวผู้เล่นของสโมสรเยอรมนี[13] ในวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 2019 สโมสรชนะเลิศบุนเดิสลีกา 7 สมัยติดต่อกัน โดยมีคะแนนห่างจากทีมอันดับสองอย่างดอร์ทมุนท์ 2 คะแนน และหนึ่งสัปดาห์ต่อมา พวกเขาเอาชนะ แอร์เบ ไลพ์ซิช ในรอบชิงชนะเลิศ เดเอ็ฟเบ-โพคาล 2019 คว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 19 และถือเป็นครั้งที่ 12 ที่สโมสรสามารคว้าแชมป์ลีกและแชมป์ฟุตบอลถ้วยในประเทศได้ในฤดูกาลเดียวกัน

ยุคของ ฮันส์-ดีเทอร์ ฟลิค และแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 (2019–2021)[แก้]

ฮันส์-ดีเทอร์ ฟลิค เข้ามารับตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการทีมในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2019[14] และกอวัชพาทีมทำผลงานได้ย่ำแย่ก่อนจะโดนปลดหลังจากพาทีมแพ้ ไอน์ทรัคท์ฟรังค์ฟวร์ท ขาดลอย 1–5 และฟลิคได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมชั่วคราว[15] ก่อนจะได้รับการแต่งตั้งให้คุมทีมจนจบฤดูกาล 2019–2020 จากผลงานอันยอดเยี่ยม และในเวลาต่อมา ฟลิคได้รับสัญญาให้เป็นผู้จัดการทีมถาวรไปจนถึง ค.ศ. 2023[16] ก่อนที่ฟลิคจะพาทีมคว้าแชมป์บุนเดิสลีกาและเดเอ็ฟเบ-โพคาลได้อีกครั้ง และยังพาทีมผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ ค.ศ. 2013 รวมถึงการเอาชนะทีมชั้นนำอย่างบาร์เซโลนาด้วยผลประตู 8–2[17] และเอาชนะ ออแล็งปิกลียอแน ในรอบรองชนะเลิศ 3–0 เข้าไปชิงชนะเลิศกับปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ที่กรุงลิสบอน และเอาชนะไปด้วยผลประตู 1–0 จากประตูของ กีงส์แล กอมาน[18] ชัยชนะดังกล่าวส่งผลให้ไบเอิร์นมิวนิคเป็นสโมสรที่สองที่ชนะเลิศการแข่งขันสามรายการในฤดูกาลเดียวกันได้สองครั้งต่อจากบาร์เซโลนา[19]

เข้าสู่ฤดูกาลใหม่ ไบเอิร์นมิวนิกเริ่มต้นด้วยตำแหน่งแชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพสมัยที่สอง จากการเอาชนะเซบิยา 2–1 โดย ฆาบิ มาร์ติเนซ เป็นผู้ทำประตูชัยในช่วงต่อเวลาพิเศษ[20] ต่อมาในวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 2020 พวกเขาชนะเลิศเดเอ็ฟเอ็ล-ซูเพอร์คัพ เอาชนะโบรุสซีอาดอร์ทมุนด์ 3–2 ต่อมา ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021 สโมสรคว้าแชมป์ ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2020 (เลื่อนการแข่งขันมาจากเดือนธันวาคม ค.ศ. 2020 เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา) เอาชนะ สโมสรกีฬาอัลอะฮ์ลี 2–0 ในรอบรองชนะเลิศจากสองประตูของ รอแบร์ต แลวันดอฟสกี ตามด้วยการเอาชนะ ติเกรส ยูเอเอ็นแอล จากเม็กซิโกในรอบชิงชนะเลิศ 1–0 ด้วยประตูของ แบ็งฌาแม็ง ปาวาร์ ทำสถิติเป็นสโมสรที่สองต่อจากบาร์เซโลนาที่ชนะเลิศการแข่งขันหกรายการต่อเนื่องกัน แต่พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการป้องกันแชมป์ยุโรป โดยพ่ายปารีแซ็ง-แฌร์แม็งในรอบก่อนรองชนะเลิศ แต่ยังชนะเลิศบุนเดิสลีกาได้เป็นสมัยที่เก้าติตด่อกัน และในฤดูกาลนี้กองหน้าคนสำคัญอย่าง แลวันดอฟสกี ยังทำลายสถิติตลอดกาลของตำนานอย่าง แกร์ท มึลเลอร์ ในการทำประตูประจำฤดูกาลมากที่สุดในการแข่งขันบุนเดิสลีกา โดยทำไป 41 ประตู[21]

อย่างไรก็ตาม สโมสรได้ประกาศในเดือนเมษายน ค.ศ. 2021 ว่าฟลิคจะอำลาทีมเมื่อจบฤดูกาล และผู้ที่จะมารับตำแหน่งต่อคือ ยูลีอาน นาเกิลส์มัน ซึ่งขณะนั้นคุมสโมสรไลพ์ซิช โดยสโมสรต้องจ่ายค่าชดเชยเป็นจำนวนเงินถึง 25 ล้านยูโรให้แก่ แอร์เบ ไลพ์ซิช[22] ต่อมา ได้มีการประกาศว่า ฟลิค จะไปรับตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติเยอรมนี หลังจากที่เคยเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมในยุคของ โยอาคิม เลิฟ[23]

ยูลีอาน นาเกิลส์มัน (2021–2023)[แก้]

ภายใต้การคุมทีมของนาเกิลส์มัน ไบเอิร์นมิวนิกเอาชนะสโมสรฟุตบอลเบรเมอร์ เอสวี ด้วยผลประตู 12–0 ในการแข่งขันเดเอ็ฟเบ-โพคาล ฤดูกาล 2021–22 รอบแรก ในวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 2021 ซึ่งถือเป็นการชนะคู่แข่งด้วยผลต่างประตูที่ขาดลอยที่สุดในรอบ 24 ปีของสโมสร ก่อนที่นาเกิลส์มันจะพาทีมคว้าแชมป์บุนเดิสลีกาได้เป็นสมัยที่สิบติดต่อกัน หลังจากเอาชนะ โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ 3–1 แต่พวกเขาก็ล้มเหลวในฟุตบอลถ้วยอีกสองรายการ

ในฤดูกาล 2022–23 สโมสรมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง เมื่อกองหน้าคนสำคัญอย่างแลวันดอฟสกีย้ายไปร่วมทีมบาร์เซโลนา แต่พวกเขาก็ลงทุนในตลาดซื้อขายด้วยการย้ายมาของผู้เล่นชื่อดังอย่าง ซาดีโย มาเน และ มัตไตส์ เดอ ลิคต์ รวมถึงการเซ็นสัญญากับสองผู้เล่นสำคัญจาก อาเอฟเซ อายักซ์ ซึ่งเป็นที่จับตามองในยุโรปอย่าง ไรอัน กราเฟินแบร์ค และ นูแซร์ มาซราอุย นาเกิลส์มันพาทีมเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ด้วยการเอาชนะ แอร์เบ ไลพ์ซิช ในรายการ เดเอ็ฟเอ็ล-ซูเพอร์คัพ 5–3 ก่อนที่นาเกิลส์มันจะถูกยกเลิกสัญญาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2023[24]

โทมัส ทุคเคิล (2023–ปัจจุบัน)[แก้]

สโมสรแต่งตั้ง โทมัส ทุคเคิล อดีตผู้จัดการทีมโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ และเชลซี เข้ามารับตำแหน่งในวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 2023 แม้จะตกรอบฟุตบอลถ้วยทั้งสองรายการ แต่ทุคเคิลก็พาทีมป้องกันแชมป์บุนเดิสลีกาได้ โดยต้องลุ้นถึงนัดสุดท้ายหลังจากบุกไปเอาชนะแอร์สเทอ เอ็ฟเซ เคิลน์ ในวันที่ 27 พฤษภาคม คว้าแชมป์เป็นปีที่ 11 ติดต่อกัน ภายหลังจบฤดูกาล สโมสรสั่งปลดผู้บริหารสองรายได้แก่ อ็อลลีเวอร์ คาห์น และ ผู้อำนวยการกีฬาอย่างฮาซาน ซาลิฮามิดซิช ซึ่งถูกวิจารณ์จากผลงานอันย่ำแย่ของสโมสรภายหลังปลดนาเกิลส์มันออกจากตำแหน่ง[25]

ในวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 2023 สโมสรได้ทำลายสถิติในการซื้อตัวผู้เล่นของบุนเดิสลีกาอีกครั้ง ด้วยการเซ็นสัญญากับกองหน้าระดับโลกอย่างแฮร์รี เคน ซึ่งย้ายมาจากทอตนัมฮอตสเปอร์ด้วยราคาสูงถึง 110 ล้านยูโร ก่อนที่สโมสรจะเริ่มต้นฤดูกาล 2023–24 ด้วยการแพ้แอร์เบ ไลป์ซิก 0–3 ในรายการเดเอ็ฟเอ็ล-ซูเพอร์คัพ

ตราสโมสร[แก้]

ตราสโมสรไบเอิร์นมิวนิกแต่ละยุคสมัย
1901
1901 
1902–1906
1902–1906 
1906–1919
1906–1919 
1919–1924
1919–1924 
1925–1954
1925–1954 
1954–1996
1954–1996 
1996–2002
1996–2002 
2002–2017
2002–2017 
2017–
2017– 

สนามแข่ง[แก้]

โอลึมพีอาชตาดีอ็อน สนามเหย้าของไบเอิร์นมิวนิก และ เทเอ็สเฟา 1860 มึนเชิน ตั้งแต่ ค.ศ. 1972–2005

ตั้งแต่ ค.ศ. 1925 ไบเอิร์นมิวนิกได้ลงเล่น ณ สนาม กรึนวัลเดอร์ ชตาดีอ็อน ร่วมกับ เทเอ็สเฟา 1860 มึนเชิน จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สอง สนามได้ถูกทำลายในช่วงสงคราม

ใน ค.ศ. 1972 เมืองมิวนิกได้มีมติในการสร้าง โอลึมพีอาชตาดีอ็อน (สนามกีฬาโอลิมปิก) เพื่อรองรับการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1972 ถือเป็นสนามกีฬาซึ่งมีชื่อเสียงทางด้านสถาปัตยกรรม[26] สนามแห่งนี้เปิดตัวในการแข่งขันบุนเดสลีกานัดสุดท้ายของฤดูกาล 1971–72 สามารถผู้ชมจำนวน 79,000 คนในช่วงแรก ๆ โดยสนามแห่งนี้ถือเป็นสนามกีฬาชั้นแนวหน้าของโลก และเป็นเจ้าภาพการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศรายการสำคัญมากมาย เช่น ฟุตบอลโลก 1974 ในปีถัดมา สนามกีฬาได้รับการปรับปรุงและพัฒนาหลายด้าน เช่น การเพิ่มจำนวนที่ที่นั่งจากประมาณร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 66 ในที่สุด สนามแห่งนี้ก็มีความจุ 63,000 ที่นั่งสำหรับการแข่งขันระดับชาติ และ 59,000 ที่นั่งสำหรับการแข่งขันระดับนานาชาติ เช่น การแข่งขันรายการยุโรป อย่างไรก็ตาม แฟนฟุตบอลหลายคนได้วิจารณ์ว่า การเข้าชม ณ สนามแห่งนี้ หนาวเกินไปในฤดูหนาว โดยผู้ชมครึ่งหนึ่งต้องเผชิญกับสภาพอากาศเลวร้ายเนื่องจากขาดที่กำบัง รวมถึงมีการร้องเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับระยะห่างระหว่างผู้ชมและตัวสนาม ทว่าการปรับปรุงสนามก็ไม่เกิดขึ้น เนื่องจากสถาปนิกนามว่า กึนเทอร์ ไบนิช คัดค้านการปรับปรุงสนาม[27]

อัลลีอันทซ์อาเรนา สนามเหย้าปัจจุบันของไบเอิร์นมิวนิก ตกแต่งด้วยไฟสีแดงในวันที่สโมสรลงแข่งเป็นเจ้าบ้าน

หลังการพิจารณาร่วมกันอย่างถี่ถ้วนระหว่าง เมืองมิวนิก รัฐไบเอิร์น สโมสรไบเอิร์นมิวนิก และ เทเอ็สเฟา 1860 มึนเชิน ได้มีมติร่วมกันที่จะสร้างสนามกีฬาแห่งใหม่ในปลาย ค.ศ. 2000 ซึ่งไบเอิร์นมีแนวคิดที่จะต้องการสร้างสนามฟุตบอลโดยเฉพาะ (ที่มิใช่สนามกีฬาทั่วไป) มาเป็นเวลานานแล้ว นอกจากนี้ การเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2006 ของเยอรมนีได้กระตุ้นแนวคิดในการสร้างสนามใหม่ เนื่องจากโอลึมพีอาชตาดีอ็อนไม่ตรงตามเกณฑ์ของฟีฟ่าในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกอีกต่อไป สนามแห่งใหม่ได้แก่ อัลลีอันทซ์อาเรนา ตั้งอยู่บริเวณชานเมืองทางตอนเหนือของมิวนิก เปิดใช้งานในต้นฤดูกาล 2005–06[28] ความจุเบื้องต้นคือประมาณ 66,000 ที่นั่ง และภายหลังได้มีการเพิ่มเป็น 69,901 ที่นั่ง โดยเปลี่ยนที่นั่ง 3,000 ที่นั่งเป็นอัตราส่วน 2:1 ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2012 ก่อนจะมีการเพิ่มความจุเป็น 71,000 ที่นั่งในเดือนมกราคม ค.ศ. 2015 ข้อเสนอเพื่อเพิ่มความจุได้รับการอนุมัติจากสภาเมือง ดังนั้น สนามจึงมีความจุ 75,000 ที่นั่งจนถึงปัจจุบัน (70,000 ที่นั่งในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก)

อัลลีอันทซ์อาเรนา ยังมีจุดเด่นในด้านความโปร่งแสงจากภายนอก ซึ่งมีการใช้ลูกเล่นด้วยการใช้แสงสีต่าง ๆ ตกแต่งในวันที่มีแข่ง โดยจะใช้สีแดงเมื่อเป็นเกมในบ้านของไบเอิร์นมิวนิก และสีขาวในวันที่ทีมชาติเยอรมนีลงแข่ง[29]

กลุ่มผู้สนับสนุน[แก้]

ร้านจำหน่ายสินค้าของสโมสรในเมืองมิวนิก

ไบเอิร์นมิวนิกเป็นสโมสรที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในเยอรมนี และเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในโลก ในการประชุมสามัญประจำปี ค.ศ. 2018 คณะกรรมการของสโมสรได้ประกาศว่าสโมสรมีผู้ลงทะเบียนเป็นสมาชิกมากถึง 291,000 ราย และมีผู้ลงทะเบียนเป็นผู้สนับสนุนกว่า 390,000 ราย ส่งผลให้พวกเขาเป็นสโมสรที่มีกลุ่มผู้สนับสนุนที่ลงทะเบียนมากที่สุดในโลก กลุ่มผู้สนับสนันของสโมสรมีอยู่ทั่วทุกภูมิภาคในเยอรมนี รวมถึงในออสเตรียและสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีรายงานว่าผู้สนับสนุนจำนวนมากเดินทางกว่า 200 กิโลเมตรมาจากพรมแดนของทั้งสองประเทศเพื่อมาชมการแข่งขันที่ อัลลีอันทซ์อาเรนา[30] ไบเอิร์นมิวนิกมีค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ชมในสนาม 75,000 รายซึ่งเต็มความจุของสนาม อัลลีอันทซ์อาเรนา และตั๋วของนัดการแข่งขันทั้งเกมในบ้านและเกมเยือนจะถูกขายหมดอย่างรวดเร็วล่วงหน้าหลายเดือน[31] และจากกรณีศึกษาของ Sport+Markt พบว่าไบเอิร์นมิวนิกเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีผู้ติดตามมากที่สุดเป็นอันดับห้าของโลกจำนวน 20.7 ล้านคน และกว่า 10 ล้านคนในเยอรมนี[32]

สโมสรคู่อริ[แก้]

รอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2012–13 ระหว่างไบเอิร์นมิวนิก และโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ ณ สนามกีฬาเวมบลีย์

ไบเอิร์นมิวนิกเป็นหนึ่งในสามสโมสรฟุตบอลอาชีพซึ่งตั้งอยู่ในเมืองมิวนิก พวกเขามีคู่แข่งโดยตรงคือ เทเอ็สเฟา 1860 มึนเชิน ซึ่งในอดีตเป็นสโมสรใหญ่ที่ประสบความสำเร็จมาก่อนไบเอิร์นมิวนิก โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ 1950 รวมถึงกรณีขัดแย้งที่ 1860 มึนเชินได้รับคัดเลือกให้ร่วมแข่งขันฤดูกาลแรกของบุนเดิสลีกาใน ค.ศ. 1963 แต่ไบเอิร์นมิวนิกไม่ได้รับสิทธิ์ดังกล่าว การพบกันของทั้งสองทีมถือเป็นเกมดาร์บีระดับประเทศซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อและผู้สนับสนุนของทั้งสองทีม[33] โดยทั่วไปแล้ว แฟนฟุตบอลของสโมสร เทเอ็สเฟา 1860 มึนเชิน จะมาจากชนชั้นแรงงาน ในขณะที่ไบเอิร์นมิวนิกจะมีผู้สนับสนุนจากชนชั้นสูงและผู้มีฐานะทางสังคม[34] อันเนื่องมาจากสมาชิกของสโมสรมักเป็นกลุ่มคนที่มีชื่อเสียง อาทิ นักธุรกิจ นักการเมือง หรือบุคคลจากวงการบันเทิง อย่างไรก็ดี ไบเอิร์นมิวนิกก็มักให้ความช่วยเหลือ 1860 มึนเชินหลายครั้งเมื่อประสบปัญหาทางการเงินแม้จะเป็นอริกัน[35]

นับตั้งแต่ทศวรรษ 1920 ไบเอิร์นมิวนิกพัฒนาการเป็นคู่แข่งกับ แอร์สเทอ เอ็ฟเซ เนือร์นแบร์ค มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากเป็นสโมสรที่ตั้งอยู่ในรัฐบาวาเรียเช่นเดียวกัน ฟิลลิพ ลาห์ม อดีตกัปตันทีมของไบเอิร์นมิวนิกกล่าวว่า "การพบกับ เอ็ฟเซ เนือร์นแบร์ค ถือเป็นการแข่งขันที่พิเศษ และดุเดือดทุกครั้ง" ทั้งสองทีมลงเล่นในลีกระดับเดียวกันในกลางทศวรรษ 1920 แต่ในช่วงเวลานั้น เอ็ฟเซ เนือร์นแบร์ค ประสบความสำเร็จเหนือไบเอิร์นมิวนิกโดยชนะการแข่งขันลีกสูงสุดถึงห้าสมัยในทศวรรษนั้นซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของประเทศในขณะนั้น ทว่าอีกหลายทศวรรษต่อมา ไบเอิร์นมิวนิกก็ก้าวขึ้นมาเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของประเทศ และทำลายสถิติการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของ เอ็ฟเซ เนือร์นแบร์ค ได้ใน ค.ศ. 1987 เมื่อพวกเขาคว้าแชมป์บุนเดิสลีกาสมัยที่สิบ[36] การพบกันระหว่างสองสโมสรมีชือเรียกว่า ดาร์บีแห่งบาวาเรีย

แอร์สเทอ เอ็ฟเซ ไคเซิร์สเลาเทิร์น เป็นอีกหนึ่งสโมสรที่พัฒนาความเป็นอริกับไบเอิร์นมิวนิกมายาวนาน เริ่มตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ซึ่งการแข่งขันครั้งสำคัญเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1973 เมื่อไบเอิร์นแพ้ต่อไคเซิร์สเลาเทิร์นด้วยผลประตู 4–7 ทั้งที่ออกนำไปก่อน 4–1 ประตู[37] และความเป็นอริเพิ่มขึ้นจากการแย่งความสำเร็จในบุนเดิสลีกายาวนานหลายฤดูกาล และในอดีตไคเซิร์สเลาเทิร์น รวมถึงภูมิภาคโดยรอบเคยเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นบาวาเรีย กระทั่งมีการลงประชามติให้แยกจากกันหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง

สโมสรอื่น ๆ ที่มีความเป็นอริกับไบเอิร์นมิวนิกอย่างเปิดเผยตั้งแต่ทศวรรษ 1970 มีอีกหลายทีมด้วยกัน อาทิ โบรุสซีอาเมินเชินกลัทบัค, ฮัมบัวร์เกอร์ เอ็สเฟา, เอ็สเฟา แวร์เดอร์เบรเมิน, ไบเออร์ 04 เลเวอร์คูเซิน และ ชัลเคอ 04 นอกจากนี้ การแข่งขันระหว่างไบเอิร์นมิวนิกและโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ ก็มีความดุเดือดและได้รับความสนใจจากผู้ติดตามจำนวนมากนับตั้งแต่ทศวรรษ 2000 เป็นต้นมา โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ 2010 ที่ทั้งสองทีมแย่งความสำเร็จในการแข่งขันทุกรายการ โดยดอร์ทมุนท์ซึ่งคุมทีมโดยอดีตผู้จัดการทีมอย่าง เยือร์เกิน คล็อพ สามารถสร้างทีมขึ้นมาต่อกรกับไบเอิร์นมิวนิกอย่างสมศักดิ์ศรี และคว้าแชมป์บุนเดิสลีกาได้สองสมัยใน ค.ศ. 2011 และ 2012 ทั้งสองสโมสรยังพบกันในรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกใน ค.ศ. 2013 ที่สนามเวมบลีย์ กรุงลอนดอน ซึ่งไบเอิร์นมิวนิกเอาชนะไปด้วยผลประตู 2–1 รวมถึงการพบกันในรอบชิงชนะเลิศถ้วยเดเอ็ฟเบ-โพคาลหลายครั้ง ใน ค.ศ. 2008, 2012, 2014 และ 2016 ความพ่ายแพ้ต่อดอร์ทมุนท์ 2–5 ในรอบชิงชนะเลิศปี 2012 ถือเป็นความพ่ายแพ้ที่ขาดลอยที่สุดของไบเอิร์นมิวนิกในรอบชิงชนะเลิศรายการนี้ ไบเอิร์นมิวนิกยังสามารถตัดกำลังดอร์ทมุนท์ได้โดยตรงจากการย้ายทีมของผู้เล่นคนสำคัญ อาทิ รอแบร์ต แลวันดอฟสกี, มารีโอ เกิทเซอ และ มัทซ์ ฮุมเมิลส์ ซึ่งย้ายร่วมทีมไบเอิร์นมิวนิก

ไบเอิร์นมิวนิกยังมีสโมสรซึ่งเป็นคู่แข่งระดับทวีปซึ่งได้แก่สโมสรชั้นนำในยุโรป อาทิ เรอัลมาดริด, เอซี มิลาน, แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และ บาร์เซโลนา โดยเฉพาะการแข่งขันระหว่างเรอัลมาดริด และไบเอิร์นมิวนิก ถือเป็นการพบกันของสองสโมสรที่บ่อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของรายการยูโรเปียนคัพ/ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกจำนวน 24 นัด

การบริหาร และฐานะการเงิน[แก้]

รถบัสของสโมสรพร้อมด้วยชื่อผู้สนับสนุนอย่างบริษัทมัน (MAN)

เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ไบเอิร์นมิวนิกเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนนั้น เป็นผลมาจากการบริหารจัดการอย่างเป็นมืออาชีพ สโมสรมักใช้อดีตผู้เล่นสำคัญของสโมสรเข้ามาบริหารทีม[38] โดยมีการแบ่งหน้าที่ของฝ่ายบริหารออกเป็นสองกลุ่มอย่างชัดเจน กลุ่มแรกได้แก่ ผู้บริหารซึ่งทำหน้าที่ดูแลด้านฟุตบอลซึ่งมีบุคคลสำคัญ อาทิ อูลี เฮอเนส, คาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเกอ, ฮาซาน ซาลิฮามิดชิช รวมถึง อ็อลลีเวอร์ คาห์น โดยฝ่ายบริหารกลุ่มนี้จะทำหน้าที่ในการซื้อขายนักเตะ รวมถึงการเลือกผู้จัดการทีม สาเหตุที่ไบเอิร์นมิวนิกมักใช้อดีตผู้เล่นของสโมสร และทีมชาติเยอรมนีเข้ามาดูแลด้านฟุตบอลนั้น เนื่องจากประสบการณ์ในฐานะนักเตะอาชีพมีส่วนช่วยในการบริหารได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ สโมสรยังมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเงินเข้ามาดูแลสโมสรโดยเฉพาะ อาทิ ทิโมธีส เฮิทเทส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของด็อยท์เชอเทเลอค็อม ไบเอิร์นมิวนิกแบ่งสัดส่วนการถือครองหุ้นสโมสรออกเป็นสี่ส่วนได้แก่ หุ้นที่สโมสรและกลุ่มผู้สนับสนุน (แฟนฟุตบอล) ถือครองร่วมกันคิดเป็น 75% และอีก 25% ที่เหลือนั้น เป็นการแบ่งกันระหว่างสามบริษัทใหญ่อย่าง อลิอันซ์, อาวดี้ และ อาดิดาส ซึ่งล้วนแต่เป็นแบรนด์ระดับโลก ซึ่งจะเป็นการรับรองได้ว่าฐานะการเงินของสโมสรย่อมมีความมั่นคงเป็นอันดับต้น ๆ สโมสรหนึ่งของโลกและแทบจะไม่มีโอกาสล้มละลาย โดยอาดิดาสเข้าถือครองหุ้นใน ค.ศ. 2002 ด้วยมูลค่า 77 ล้านยูโร ตามมาด้วยอาวดี้ใน ค.ศ. 2009 มูลค่า 90 ล้านยูโร และใน ค.ศ. 2014 อลิอันซ์เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นร่วมรายล่าสุดด้วยมูลค่ากว่า 110 ล้านยูโร พวกเขาเป็นสโมสรฟุตบอลที่ทำรายรับได้มากเป็นอันดับสามของโลก เป็นรองเพียงบาร์เซโลนา และ เรอัลมาดริด ด้วยมูลค่า 634.1 ล้านยูโรใน ค.ศ. 2021

ผู้สนับสนุนบนเสื้อของสโมสรได้แก่ ด็อยท์เชอเทเลอค็อม ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนมาตั้งแต่ฤดูกาล 2002–03 และจะสิ้นสุดลงในฤดูกาล 2022–23[39] ในขณะที่ชุดแข่งขันของสโมสรผลิตโดยอาดิดาส ซึ่งเป็นผู้ผลิตมาตั้งแต่ ค.ศ. 1974 และมีการขยายสัญญาไปจนสิ้นสุดฤดูกาล 2029–30[40] นอกจากนี้ไบเอิร์นมิวนิกยังได้รับการสนับสนุนจากองค์กรระดับโลกอีกมากมายซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ทีม อาทิ กาตาร์แอร์เวย์, ซีเมนส์, ดีเอชแอล, ท่าอากาศยานนานาชาติฮะมัด และ โคคา-โคล่า เป็นต้น ไบเอิร์นมิวนิกเป็นสโมสรฟุตบอลที่ทำไรได้มากถึง 27 ฤดูกาลติดต่อกันในขณะที่หลายสโมสรในเยอรมนีมักประสบภาวะขาดทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมคู่แข่งอย่าง โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ ที่เคยประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนักจนเกือบถึงขั้นล้มละลายในช่วงต้นทศวรรษที่ 2000 มาแล้ว[41][42][43] โดยไบเอิร์นมิวนิกนั้นขึ้นชื่อในการบริหารสินทรัพย์หมุนเวียนในสโมสร พวกเขายังเป็นสโมสรฟุตบอลที่ทำรายรับได้มากเป็นอันดับสามของโลก เป็นรองเพียงบาร์เซโลนา และ เรอัลมาดริด ด้วยมูลค่า 634.1 ล้านยูโรใน ค.ศ. 2021

ในขณะที่สโมสรชั้นนำหลายสโมสร อาทิ เรอัลมาดริด และ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มักเน้นการทำการตลาดในต่างประเทศ ไบเอิร์นมิวนิกจะเน้นการตลาดในประเทศเป็นหลัก[44] แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สโมสรได้เน้นการทำการตลาดในภูมิภาคเอเชียรวมถึงสหรัฐมากขึ้น และในวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 2022 ไบเอิร์นมิวนิคได้เปิดสำนักงานต่างประเทศสาขา 3 ที่กรุงเทพมหานคร ต่อจากนครนิวยอร์ก (2014) และ เซี่ยงไฮ้ (2017) และจากการที่สโมสรเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกใน ค.ศ. 2012 มูลค่าแบรนด์ของสโมสรสูงมีจำนวนสูงถึง 786 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 59% จากปีก่อนหน้าแซงหน้าเรอัลมาดริดที่มีมูลค่า 600 ล้านดอลลาร์ และเป็นรองเพียงอันดับหนึ่งอย่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่มูลค่า 853 ล้านดอลลาร์ ก่อนที่พวกเขาจะแซงหน้าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้ในปีต่อมา[45] จากรายงานทางการเงินของสโมสรในฤดูกาล 2018–19 ปรากฏว่าสโมสรทำรายได้สูงถึง 750.4 ล้านยูโร และทำกำไรจากการดำเนินงาน 146.1 ล้านยูโร โดยกำไรหลังหักภาษีอยู่ที่ 52.5 ล้านยูโร ซึ่งหมายความว่านี่เป็นปีที่ 27 ติดต่อกันที่สโมสรทำไรได้

ผู้เล่น[แก้]

ผู้เล่นชุดปัจจุบัน[แก้]

ณ วันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 2023 [46]

หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ

เลข ตำแหน่ง สัญชาติ ผู้เล่น
1 GK เยอรมนี มานูเอ็ล น็อยเออร์ (กัปตัน)
2 DF ฝรั่งเศส ดาโย อูว์ปาเมกาโน
3 DF เกาหลีใต้ คิม มิน-แจ
4 DF เนเธอร์แลนด์ มัตไตส์ เดอ ลิคต์
6 DF เยอรมนี โยซูอา คิมมิช
7 MF เยอรมนี แซร์ช กนาบรี
8 MF เยอรมนี เลอ็อน โกเร็ทซ์คา
9 FW อังกฤษ แฮร์รี เคน
10 MF เยอรมนี ลีร็อย ซาเน
11 MF ฝรั่งเศส กีงส์แล กอมาน
13 FW แคเมอรูน เอริก มักซิม ชูโป-โมติง
เลข ตำแหน่ง สัญชาติ ผู้เล่น
18 GK อิสราเอล ดาเนียล เปเรตซ์
19 DF แคนาดา อัลฟอนโซ เดวีส์
20 DF เซเนกัล บูนา ซาร์
22 DF โปรตุเกส ราฟาแอล กึไรรู
25 FW เยอรมนี โทมัส มึลเลอร์ (รองกัปตัน)
26 GK เยอรมนี สเว็น อุลไรช์
27 MF ออสเตรีย คอนราด ไลเมอร์
28 DF เยอรมนี ทาเร็ค บุชมันน์
39 FW ฝรั่งเศส มาติส แตล
40 DF โมร็อกโก นูแซร์ มาซราอุย
42 MF เยอรมนี จามาล มูซีอาลา

ผู้เล่นที่ถูกยืม[แก้]

หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ

เลข ตำแหน่ง สัญชาติ ผู้เล่น

อดีตผู้เล่นที่มีชื่อเสียง[แก้]

ชื่อ สัญชาติ ตำแหน่ง ปี ลงเล่น ประตู
ฟรันซ์ เบคเคนเบาเออร์ เยอรมนี DF 1964–1977 427 60
แกร์ด มึลเลอร์ เยอรมนี FW 1964–1979 453 398
อูลี่ เฮอเนส เยอรมนี FW 1970–1979 239 86
เซปป์ ไมเออร์ เยอรมนี GK 1962–1979 536 0
ฮันส์-กอร์ก ซวาร์เซนเบค เยอรมนี DF 1966–1981 416 21
เพาล์ ไบรท์เนอร์ เยอรมนี MF 1970–1974, 1978–1983 255 83
คาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเกอร์ เยอรมนี FW 1974–1984 310 162
ดีเตอร์ เฮอเนส เยอรมนี FW 1979–1987 224 102
เคลาส์ ออเกนธาเลอร์ เยอรมนี DF 1975–1991 404 52
โรแลนด์ โวฮ์ฟาร์ธ เยอรมนี FW 1984–1993 254 119
โลธ่าร์ มัทเธอุส เยอรมนี DF/MF 1984–1988, 1992–2000 302 85
สเตฟาน เอฟเฟนแบร์ก เยอรมนี MF 1990–1992, 1998–2002 160 35
โอลิเวอร์ คาห์น เยอรมนี GK 1994–2008 429 0
เมห์เม็ต โชล เยอรมนี MF 1992–2007 334 87
บิเชนเต ลิซาลาซู ฝรั่งเศส DF 1997–2004, 2005–2006 182 7
Giovane Élber บราซิล FW 1997–2003 169 92
ฟิลลิพ ลาห์ม เยอรมนี DF 2002–2017 332 12
รอแบร์ต แลวันดอฟสกี โปแลนด์ FW 2014–2022 253 238

เกียรติประวัติ[แก้]

ไบเอิร์นมิวนิกเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของเยอรมนี พวกเขาเป็นเจ้าของสถิติชนะเลิศมากที่สุดในทั้งสี่รายการที่เคยลงแข่งขัน ได้แก่ฟุตบอลลีกสูงสุด (บุนเดิสลีกา), เดเอ็ฟเบ–โพคาล, เดเอ็ฟเอ็ล–ลีกาโพคาล และ เดเอ็ฟเอ็ล–ซูเพอร์คัพ นอกจากนี้ พวกเขายังเป็นสโมสรของเยอรมนีที่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันระหว่างประเทศมากที่สุด โดยชนะการแข่งขันกว่า 14 รายการ รวมถึงชนะเลิศยูโรเปียนคัพ/ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 6 สมัย และพวกเขาเป็นสโมสรเดียวของเยอรมนีที่ชนะการแข่งขันรายการหลักของยูฟ่าครบทั้งสามรายการ (ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก, ยูฟ่าคัพ และ ยูฟ่าคัพวินเวอร์สคัพ และยังทำสถิติชนะเลิศการแข่งขันสามถ้วยรางวัลในฤดูกาลเดียวได้ถึงสองครั้ง

ถ้วยรางวัลยูโรเปียนคัพสามใบ ซึ่งได้จากการชนะเลิศการแข่งขันยูโรเปียนคัพสามสมัยติดต่อกันระหว่าง ค.ศ. 1974–76

เยอรมนี ระดับประเทศ[แก้]

  • บุนเดิสลีกา
    • ชนะเลิศ (33): 1931–32, 1968–69, 1971–72, 1972–73, 1973–74, 1979–80, 1980–81, 1984–85, 1985–86, 1986–87, 1988–89, 1989–90, 1993–94, 1996–97, 1998–99, 1999–2000, 2000–01, 2002–03, 2004–05, 2005–06, 2007–08, 2009–10, 2012–13, 2013–14, 2014–15, 2015–16, 2016–17, 2017–18, 2018–19, 2019–20, 2020–21, 2021–22, 2022–23

ยุโรป ระดับทวีปยุโรป[แก้]

โลก ระดับโลก[แก้]

ชนะเลิศสามรายการ[แก้]

การแข่งขันที่มีช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น เดเอ็ฟเอ็ล-ซูเพอร์คัพ และ ยูฟ่าซูเปอร์คัพ จะไม่นับรวมกับแชมป์รายการอื่น ๆ

สถิติสโมสร[แก้]

อ็อตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์ ผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของสโมสรด้วยการพาทีมชนะการแข่งขัน 14 รายการ

นอกจากนี้ ไบเอิร์นมิวนิกยังเป็นเจ้าของสถิติสำคัญในประเทศหลายรายการได้แก่:

  • ชนะเลิศฟุตบอลบุนเดิสลีกา (32 สมัย) และ เดเอ็ฟเบ-โพคาล (20 สมัย) มากที่สุด
  • ชนะเลิศบุนเดิสลีกาติดต่อกันมากที่สุด (11 สมัย ค.ศ. 2013–ปัจจุบัน)
  • เป็นหนึ่งในสองสโมสรที่ลงเล่นในบุนเดิสลีกามากที่สุด (58 ฤดูกาล, ร่วมกับ เอ็สเฟา แวร์เดอร์เบรเมิน)
  • เป็นสโมสรที่ลงเล่นในบุนเดิสลีกาติดต่อกันมากที่สุดจำนวน (58 ฤดูกาล)
  • มีคะแนนรวมในบุนเดิสลีกาสูงที่สุด (3,924 คะแนน)
  • ชนะในบุนเดิสลีกาด้วยจำนวนนัดที่มากที่สุด (1,168 นัด)
  • ทำประตูรวมในบุนเดิสลีกามากที่สุด (4,329 ประตู)
  • มีผลต่างระหว่างประตูได้/เสียที่ดีที่สุดในบุนเดิสลีกา (2,215 ประตู)
  • ทำคะแนนในการแข่งขันบุนเดิสลีกาในหนึ่งฤดูกาลได้สูงที่สุด (91 คะแนน, ฤดูกาล 2012–13)
  • ชนะในบุนเดิสลีกาในหนึ่งฤดูกาลมากที่สุด (29 นัด, ฤดูกาล 2012–13 และ 2013–14)
  • ทำประตูในบุนเดิสลีกาในหนึ่งฤดูกาลได้มากที่สุด (101 ประตู, ฤดูกาล 1971–72)

ค้นคว้าเพิ่มเติม[แก้]

  • Hüetlin, Thomas: Gute Freunde. Die wahre Geschichte des FC Bayern München. Blessing, München 2006, ISBN 3-89667-254-1.
  • Schulze-Marmeling, Dietrich: Der FC Bayern und seine Juden. Aufstieg und Zerschlagung einer liberalen Fußballkultur. Verlag Die Werkstatt, Göttingen 2011, ISBN 978-3-89533-781-9.[47]
  • Bausenwein, Christoph, Schulze-Marmeling, Dietrich: FC Bayern München. Unser Verein, unsere Geschichte. Verlag Die Werkstatt, Göttingen 2012, ISBN 978-3-89533-894-6.

อ้างอิง[แก้]

  1. "Never-say-die Reds overcome Ingolstadt at the death". FC Bayern Munich. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 February 2017. สืบค้นเมื่อ 12 February 2017.
  2. Whitney, Clark (8 April 2010). "CL Comment: Van Gaal's Bayern Give New Meaning to "FC Hollywood"". goal.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 June 2014. สืบค้นเมื่อ 28 September 2014.
  3. "Ab sofort 75.000 Fans bei Bundesliga-Heimspielen" [As of now 75,000 for Bundesliga home matches]. FC Bayern Munich. 13 January 2015. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 January 2015. สืบค้นเมื่อ 13 January 2015.
  4. "พี่เสือกด 3-1 ซิวบุนเดสฯเร็วสุด 27 นัด". ผู้จัดการออนไลน์. 26 มีนาคม 2014. สืบค้นเมื่อ 26 มีนาคม 2014.[ลิงก์เสีย]
  5. Schulze-Marmeling, Dietrich (2003). Die Bayern. Die Geschichte des deutschen Rekordmeisters (in German). Die Werkstatt. pp. 17–33. ISBN 3-89533-426-X.
  6. "Deloitte Football Money League 2022". Deloitte United Kingdom (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  7. "Bayern fans bring club's earliest years to light". The Local Germany (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2015-05-22.
  8. Schulze-Marmeling, Dietrich (2003). Die Bayern. Die Geschichte des deutschen Rekordmeisters (in German). Die Werkstatt. pp. 165–171. ISBN 3-89533-426-X.
  9. "BBC News | Uniteds Euro Showdown | Unlucky Paris match for Leeds". news.bbc.co.uk.
  10. "Augsburg inflict first league defeat on Bayern Munich". Eurosport (ภาษาอังกฤษ). 2014-04-05.
  11. "Bayern Munich confirm Carlo Ancelotti will replace Pep Guardiola". Sky Sports (ภาษาอังกฤษ).[ลิงก์เสีย]
  12. "Bundesliga: Bayern take title with huge win". ESPN.com (ภาษาอังกฤษ). 2017-04-29.
  13. "Für 80 Millionen Euro: Bayern holt Lucas Hernandez". kicker (ภาษาเยอรมัน).
  14. https://fcbayern.com/en/news/2019/07/interview-with-hansi-flick
  15. https://fcbayern.com/en/news/2019/11/fc-bayern-relieve-head-coach-niko-kovac-of-his-duties
  16. "Bayern gives coach Hansi Flick permanent deal through 2023". USA TODAY (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  17. UEFA.com. "Barcelona-Bayern | UEFA Champions League 2019/20". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
  18. "Barcelona vs. Bayern Munich - Football Match Summary - August 14, 2020 - ESPN". ESPN.com (ภาษาอังกฤษ).
  19. UEFA.com (2022-05-17). "Has any team ever won the quadruple? Who's won the treble?". UEFA.com (ภาษาอังกฤษ).
  20. "Bayern beat Sevilla to win Super Cup". BBC Sport (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2022-06-19.
  21. Reuters (2021-05-22). "Lewandowski scores 41st Bundesliga goal of season to break Müller's record". the Guardian (ภาษาอังกฤษ).
  22. Falk, Christian (2021-04-27). "Julian Nagelsmann leaving RB Leipzig to become Bayern Munich manager". the Guardian (ภาษาอังกฤษ).
  23. "Germany hire Treble-winning Flick as manager". ESPN.com (ภาษาอังกฤษ). 2021-05-25.
  24. "FC Bayern feuert Julian Nagelsmann! Thomas Tuchel wird Bayern-Trainer!". bild.de (ภาษาเยอรมัน).
  25. "Bayern Munich fire Oliver Kahn and Hasan Salihamidzic – DW – 05/27/2023". dw.com (ภาษาอังกฤษ).
  26. Manfred Brocks .... (1985). Monumente der Welt (in German). Harenberg. pp. 286–287. ISBN 3-88379-035-4.
  27. Schulze-Marmeling, Dietrich (2003). Die Bayern. Die Geschichte des deutschen Rekordmeisters (in German). Die Werkstatt. pp. 463–469. ISBN 3-89533-426-X.
  28. Schulze-Marmeling, Dietrich (2003). Die Bayern. Die Geschichte des deutschen Rekordmeisters (in German). Die Werkstatt. pp. 463–469. ISBN 3-89533-426-X.
  29. Schulze-Marmeling, Dietrich (2003). Die Bayern. Die Geschichte des deutschen Rekordmeisters (in German). Die Werkstatt. pp. 465–469. ISBN 3-89533-426-X.
  30. Schulze-Marmeling, Dietrich (2003). Die Bayern : die Geschichte des deutschen Rekordmeisters. Göttingen: Werkstatt. ISBN 3-89533-426-X. OCLC 54964622.
  31. "Allianz Arena tops the lot! - FC Bayern Munich". web.archive.org. 2018-02-10. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-02-10. สืบค้นเมื่อ 2022-06-20.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  32. "Wayback Machine" (PDF). web.archive.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-09-23. สืบค้นเมื่อ 2022-06-20.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  33. Bayern Magazin: Sonderheft DFB-Pokal, 27 February 2008 (in German)
  34. Schulze-Marmeling, Dietrich (2003). Die Bayern. Die Geschichte des deutschen Rekordmeisters (in German). Die Werkstatt. pp. 439–449. ISBN 3-89533-426-X.
  35. Schulze-Marmeling, Dietrich (2003). Die Bayern. Die Geschichte des deutschen Rekordmeisters (in German). Die Werkstatt. pp. 439–449. ISBN 3-89533-426-X.
  36. Schulze-Marmeling, Dietrich (2003). Die Bayern : die Geschichte des deutschen Rekordmeisters. Göttingen: Werkstatt. ISBN 3-89533-426-X. OCLC 54964622.
  37. "1. FC Kaiserslautern - Bayern München 7:4 (Bundesliga 1973/1974, 12. Spieltag)". weltfussball.de (ภาษาเยอรมัน).
  38. "Mitglieder des Aufsichtsrates der FC Bayern München AG gewählt". Bayern Magazin (in German). 61 (11): 14. 2010.
  39. "FC Bayern: Telekom verlängert als Hauptsponsor". kicker (ภาษาเยอรมัน).
  40. "Bayern renew Adidas deal to 2030". SportsPro (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2015-04-29.
  41. "'I would rather beg for money than ask Bayern' - Dortmund CEO reveals secret of Bayern loan | Goal.com". www.goal.com.
  42. Welle (www.dw.com), Deutsche. "Chasing the money: Remembering the BVB crisis | DW | 10.03.2015". DW.COM (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  43. "Borussia: From bust to boom". www.aljazeera.com (ภาษาอังกฤษ).
  44. "Bloomberg Soccer Trivia". Bloomberg.com (ภาษาอังกฤษ). 2013-09-19. สืบค้นเมื่อ 2022-07-22.
  45. "FC Bayern München AG". web.archive.org. 2013-06-08. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-06-08. สืบค้นเมื่อ 2022-07-22.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  46. "First Team". fcbayern.com. FC Bayern München AG. 2021. สืบค้นเมื่อ 31 August 2021.
  47. Vgl. Markwart Herzog: Fußball unterm Hakenkreuz เก็บถาวร 28 ตุลาคม 2014 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. In: H-Soz-u-Kult, 15. Juni 2011 (Sammelrezension zu: Backes, Gregor: "Mit Deutschem Sportgruss, Heil Hitler". Der FC St. Pauli im Nationalsozialismus. Hamburg 2010/Dietrich Schulze-Marmeling: Der FC Bayern und seine Juden. Aufstieg und Zerschlagung einer liberalen Fußballkultur. Göttingen 2011/Jakob Rosenberg u. a. (Hrsg.): Grün-Weiß unterm Hakenkreuz. Der Sportklub Rapid im Nationalsozialismus (1938–1945). Wien 2011)

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]