ข้ามไปเนื้อหา

ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ไมเคิล แจ็กสัน"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Aeonone1112 (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
0MamMa (คุย | ส่วนร่วม)
>>เพิ่ม แก้ไข>>
บรรทัด 26: บรรทัด 26:
}}
}}


'''ไมเคิล แจ็กสัน''' ({{Lang-en|Michael Jackson}}; 29 สิงหาคม ค.ศ. 1958 – 25 มิถุนายน ค.ศ. 2009) มีชื่อเต็มว่า '''ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน''' ({{lang-en|Michael Joseph Jackson}}) เป็นนักร้องชาวอเมริกัน นักแต่งเพลง นักเต้น นักออกแบบท่าเต้น นักแสดง และโปรดิวเซอร์เพลง ได้รับการขนานนามว่าเป็น ''ราชา[[เพลงป็อป]] ( The King of Pop)''<ref name="edeath">{{cite web |last=Ryan|first=Joal| title= Michael Jackson, Pop's Thrilling King, Dead at 50|url=http://www.eonline.com/uberblog/b131173_michael_jackson_pops_thrilling_king.html |date=2009-06-25|publisher=E! Online|accessdate=2009-06-25}}</ref> อิทธิพลทางดนตรี การเต้นรำและแฟชั่น กับชีวิตส่วนตัวที่ถูกเผยแพร่ควบคู่ไปกับความสำเร็จ ทำให้เขาเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมร่วมสมัยของโลกมากว่า 4 ทศวรรษ
'''ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน''' ({{Lang-en|'''Michael Joseph Jackson'''}}: 29 สิงหาคม ค.ศ. 1958 – 25 มิถุนายน ค.ศ. 2009) เป็นนักร้องชาวอเมริกัน นักแต่งเพลง นักเต้น นักออกแบบท่าเต้น นักแสดง และโปรดิวเซอร์เพลง ได้รับการขนานนามว่าเป็น "ราชา[[เพลงป็อป]]" ( The King of Pop ) <ref name="edeath">{{cite web |last=Ryan|first=Joal| title= Michael Jackson, Pop's Thrilling King, Dead at 50|url=http://www.eonline.com/uberblog/b131173_michael_jackson_pops_thrilling_king.html |date=2009-06-25|publisher=E! Online|accessdate=2009-06-25}}</ref> อิทธิพลทางดนตรี การเต้นรำและแฟชั่น กับชีวิตส่วนตัวที่ถูกเผยแพร่ควบคู่ไปกับความสำเร็จ ทำให้เขาเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมร่วมสมัยของโลกมากว่า 4 ทศวรรษ


เขาเป็นลูกคนที่ 8 ของครอบครัวแจ็กสัน ปรากฏตัวครั้งแรกในระดับอาชีพด้านดนตรีตั้งแต่อายุ 5 ปี โดยเป็นหนึ่งในสมาชิกวง[[เดอะแจ็กสันไฟฟ์]]ในปี 1964 เขาเริ่มมีผลงานเดี่ยวในปี 1971 ขณะที่ยังคงเป็นสมาชิกของวงอยู่ ต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 เขาเริ่มมีความโดดเด่นในวงการเพลงป็อป และถือเป็นชาว[[แอฟริกัน-อเมริกัน]]คนแรกที่ได้รับความนิยมมากมาย [[มิวสิกวิดีโอ]]ของเขา ประกอบด้วยเพลง "[[Beat It]]", "[[Billie Jean]]" และ "[[ทริลเลอร์ (เพลง)|Thriller]]" ได้รับการยอมรับว่าทำลายอุปสรรคทางเชื้อชาติ และเปลี่ยนแปลงรูปแบบมิวสิกวิดีโอจากอุปกรณ์การประชาสัมพันธ์ไปเป็นรูปแบบของศิลปะ มิวสิกวิดีโอเหล่านี้ได้ช่วยให้ช่อง[[เอ็มทีวี]]ที่เพิ่งเปิดใหม่นี้มีชื่อเสียงเพิ่มขึ้น ปี 1987 อัลบั้ม ''[[Bad (album)|Bad]]'' กลายเป็นอัลบั้มแรกในประวัติศาสตร์ที่มีเพลงติดอันดับ 1 ถึง 5 เพลงบนบิลบอร์ดฮ็อต 100 มิวสิกวิดีโออย่างเพลง "[[Black or White]]" และ "Scream" ก็ยังออกอากาศบ่อยทางช่องเอ็มทีวี เขายังสร้างสรรค์สิ่งใหม่ตลอดคริสต์ทศวรรษ 1990 ด้วยลีลาบนเวทีของแจ็กสันและมิวสิกวิดีโอ แจ็กสันสร้างความโด่งดังกับท่าเต้นที่ซับซ้อนโดยใช้ร่างกายมากมายหลาย ๆ ท่า อย่างเช่นท่าเต้นหุ่นยนต์และท่าเต้น[[มูนวอล์ก]] ส่วนเอกลักษณ์ด้านดนตรีและเสียงร้องของเขายังมีอิทธิพลต่อศิลปินหลายแนวเพลง อิทธิพลของเขามีแพร่กระจายไปสู่คนหลายรุ่นทั่วโลก
เขาเป็นลูกคนที่ 8 ของครอบครัวแจ็กสัน ปรากฏตัวครั้งแรกในระดับอาชีพด้านดนตรีตั้งแต่อายุ 5 ปี โดยเป็นหนึ่งในสมาชิกวง[[เดอะแจ็กสันไฟฟ์]]ในปี 1964 เขาเริ่มมีผลงานเดี่ยวในปี 1971 ขณะที่ยังคงเป็นสมาชิกของวงอยู่ ต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 เขาเริ่มมีความโดดเด่นในวงการเพลงป็อป และถือเป็นชาว[[แอฟริกัน-อเมริกัน]]คนแรกที่ได้รับความนิยมมากมาย [[มิวสิกวิดีโอ]]ของเขา ประกอบด้วยเพลง "[[Beat It]]", "[[Billie Jean]]" และ "[[ทริลเลอร์ (เพลง)|Thriller]]" ได้รับการยอมรับว่าทำลายอุปสรรคทางเชื้อชาติ และเปลี่ยนแปลงรูปแบบมิวสิกวิดีโอจากอุปกรณ์การประชาสัมพันธ์ไปเป็นรูปแบบของศิลปะ มิวสิกวิดีโอเหล่านี้ได้ช่วยให้ช่อง[[เอ็มทีวี]]ที่เพิ่งเปิดใหม่นี้มีชื่อเสียงเพิ่มขึ้น ปี 1987 อัลบั้ม ''[[Bad (album)|Bad]]'' กลายเป็นอัลบั้มแรกในประวัติศาสตร์ที่มีเพลงติดอันดับ 1 ถึง 5 เพลงบนบิลบอร์ดฮ็อต 100 มิวสิกวิดีโออย่างเพลง "[[Black or White]]" และ "Scream" ก็ยังออกอากาศบ่อยทางช่องเอ็มทีวี เขายังสร้างสรรค์สิ่งใหม่ตลอดคริสต์ทศวรรษ 1990 ด้วยลีลาบนเวทีของแจ็กสันและมิวสิกวิดีโอ แจ็กสันสร้างความโด่งดังกับท่าเต้นที่ซับซ้อนโดยใช้ร่างกายมากมายหลาย ๆ ท่า อย่างเช่นท่าเต้นหุ่นยนต์และท่าเต้น[[มูนวอล์ก]] ส่วนเอกลักษณ์ด้านดนตรีและเสียงร้องของเขายังมีอิทธิพลต่อศิลปินหลายแนวเพลง อิทธิพลของเขามีแพร่กระจายไปสู่คนหลายรุ่นทั่วโลก
บรรทัด 35: บรรทัด 35:


== ประวัติ ==
== ประวัติ ==
===1958-71: ชีวิตช่วงแรกและเดอะแจ็กสันไฟฟ์ ===
===1958-71: ชีวิตช่วงแรก และเดอะแจ็กสันไฟฟ์ ===
[[ไฟล์:2300 Jackson Street.jpg|thumb|right|บ้านในวัยเด็กของแจ็กสันในเมือง[[แกรี (รัฐอินดีแอนา)|แกรี]] [[รัฐอินดีแอนา]]]]
[[ไฟล์:2300 Jackson Street.jpg|thumb|right|บ้านในวัยเด็กของแจ็กสันในเมือง[[แกรี (รัฐอินดีแอนา)|แกรี]] [[รัฐอินดีแอนา]]]]
ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1958 ที่เมือง[[แกรี (รัฐอินดีแอนา)|แกรี]] [[รัฐอินดีแอนา]] (ย่านอุตสาหกรรมชานเมืองของ[[ชิคาโก]]) ในครอบครัวชั้นแรงงาน<ref name = "Nelson George overview 20">George, p. 20</ref> เป็นบุตรชายครอบครัวชาว[[แอฟริกัน-อเมริกัน]] บิดาชื่อโจเซฟ วอลเตอร์ "โจ" แจ็กสัน และมารดาชื่อแคเทอรีน เอสเตอร์ (สกุลเดิม สคริวส์) <ref name = "Nelson George overview 20"/> เป็นบุตรคนที่ 7 ในจำนวน 9 คน โดยมีพี่น้องคือ รีบี แจ็กกี ติโต เจอร์เมน [[ลา โทยา แจ็กสัน|ลา โทยา]] มาร์ลอน แรนดี และ[[เจเน็ต แจ็กสัน|เจเน็ต]]<ref name = "Nelson George overview 20"/> พ่อของพวกเขาโจเซฟเป็นลูกจ้างโรงงานเหล็กที่แสดงในวงอาร์แอนด์บีที่ชื่อ "เดอะฟอลคอนส์" กับพี่ชายเขา ลูเธอร์ แจ็กสันโตมากับความเชื่อ "[[พยานพระยะโฮวา]]" จากแม่ของเขา<ref name = "Nelson George overview 20"/>
ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1958 เขาเป็นบุตรคนที่ 8 ในจำนวน 10 คน ของครอบครัวชาว[[แอฟริกัน-อเมริกัน]]ชั้นแรงงาน อาศัยอยู่ในบ้านสองห้องนอน บนถนนแจ็กสันสตรีท ที่เมือง[[แกรี (รัฐอินดีแอนา)|แกรี]] [[รัฐอินดีแอนา]] ย่านอุตสาหกรรมชานเมืองของ[[ชิคาโก]] <ref name = "Nelson George overview 20">George, p. 20</ref> บิดาชื่อโจเซฟ วอลเตอร์ "โจ" แจ็กสัน และมารดาชื่อแคเทอรีน เอสเตอร์ (สกุลเดิม สคริวส์) <ref name = "Nelson George overview 20"/> พ่อของเขา โจเซฟ เคยเป็นอดีตนักมวยและทำงานเป็นลูกจ้างโรงงานเหล็ก โจยังเล่นกีต้าร์ให้วงดนตรีท้องถิ่นแนวอาร์แอนด์บี ที่ชื่อ "เดอะฟอลคอนส์" เพื่อเสริมรายได้ให้ครอบครัว แม่ของเขา แคเทอรีน เป็นคนที่ศรัทธาในศาสนา[[พยานพระยะโฮวา]] เธอเล่นคลาริเน็ตและเปียโนและเคยมีแรงบันดาลใจเป็นนักแสดงประเทศตะวันตก เธอทำงานนอกเวลาที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อสนับสนุนครอบครัว<ref name = "Nelson George overview 20"/> ไมเคิลเติบโตมาด้วยกันกับพี่น้องคือ รีบี แจ็กกี ติโต เจอร์เมน [[ลา โทยา แจ็กสัน|ลา โทยา]] มาร์ลอน แรนดี และ[[เจเน็ต แจ็กสัน|เจเน็ต]]<ref name = "Nelson George overview 20"/>


แจ็กสันมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับพ่อ เขาพูดว่า เขาถูกทารุณทั้งทางร่างกายและจิตใจจากพ่อของเขาเองตั้งแต่ครั้งยังเด็ก ที่ต้องฝึกซ้อมอย่างไม่หยุดหย่อน ถูกตีและถูกด่าทอ อย่างไรก็ตามเขาก็ยังยกความดีให้กับระเบียบวินัยอันเคร่งครัดของพ่อ ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จเช่นนี้<ref>{{cite web | url = http://crime.about.com/od/current/p/michael_jackson.htm | title = Michael Jackson - The King of Pop or Wacko Jacko? | publisher = crime.about.com | accessdate = 2009-06-27}}</ref><ref name="MJ's secret childhood">{{cite web |url=http://www.vh1.com/shows/dyn/vh1_news_presents/82010/episode_about.jhtml |title=Michael Jackson's Secret Childhood |publisher=[[VH1]] |accessdate=June 20, 2008}}</ref> ในการทะเลาะวิวาทกันครั้งหนึ่ง — ที่มาร์ลอน แจ็กสันพูดถึง — โจเซฟห้อยไมเคิลลงด้วยขาเดียวและตีเขาครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยมือของเขา ตีเขาที่หลังและบั้นท้าย<ref name = "tara 20-22">Taraborrelli, pp. 20–22</ref> โจเซฟมักจะขัดขาหรือผลักลูกชายของเขาเข้ากำแพง มีคืนหนึ่งขณะที่แจ็กสันหลับอยู่ โจเซฟปีนเข้าห้องผ่านทางหน้าต่างห้องนอน สวมหน้ากากแล้วเข้าห้องมาด้วยเสียงตะโกน โจเซฟพูดว่าเขาต้องการสอนให้ลูก ๆ ของเขาไม่เปิดหน้าต่างทิ้งไว้เวลานอน หลายปีถัดมา แจ็กสันพูดว่าเขาทนทุกข์ทรมานจากฝันร้ายเกี่ยวกับการถูกลักพาตัวจากห้องนอนของเขา<ref name = "tara 20-22"/> ในปี 2003 โจเซฟยอมรับผ่านทาง[[บีบีซี]]ว่า เขาเฆี่ยนตีแจ็กสันจริงในวัยเด็ก<ref name="news.bbc.co.uk">{{cite news|title=Can Michael Jackson's demons be explained?|publisher=[[BBC]]|date=2009-06-27|accessdate=2009-06-28|url=http://news.bbc.co.uk/2/hi/uk_news/magazine/8121599.stm}}</ref>
แจ็กสันมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับพ่อ<ref>https://web.archive.org/web/20080915120706/http://www.vh1.com/shows/dyn/vh1_news_presents/82010/episode_about.jhtml</ref> เขากล่าวว่า เขาถูกทารุณทั้งทางร่างกายและจิตใจจากพ่อของเขาเองตั้งแต่ครั้งยังเด็ก ที่ต้องฝึกซ้อมอย่างไม่หยุดหย่อน ถูกตีและถูกด่าทอ อย่างไรก็ตามเขาก็ยังยกความดีให้กับระเบียบวินัยอันเคร่งครัดของพ่อ ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จเช่นนี้<ref>{{cite web | url = http://crime.about.com/od/current/p/michael_jackson.htm | title = Michael Jackson - The King of Pop or Wacko Jacko? | publisher = crime.about.com | accessdate = 2009-06-27}}</ref><ref name="MJ's secret childhood">{{cite web |url=http://www.vh1.com/shows/dyn/vh1_news_presents/82010/episode_about.jhtml |title=Michael Jackson's Secret Childhood |publisher=[[VH1]] |accessdate=June 20, 2008}}</ref> ในการทะเลาะวิวาทกันครั้งหนึ่ง — ที่มาร์ลอน แจ็กสันพูดถึง — โจเซฟห้อยไมเคิลลงด้วยขาเดียวและตีเขาครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยมือของเขา ตีเขาที่หลังและบั้นท้าย<ref name = "tara 20-22">Taraborrelli, pp. 20–22</ref> โจเซฟมักจะขัดขาหรือผลักลูกชายของเขาเข้ากำแพง มีคืนหนึ่งขณะที่แจ็กสันหลับอยู่ โจเซฟปีนเข้าห้องผ่านทางหน้าต่างห้องนอน สวมหน้ากากแล้วเข้าห้องมาด้วยเสียงตะโกน โจเซฟพูดว่าเขาต้องการสอนให้ลูก ๆ ของเขาไม่เปิดหน้าต่างทิ้งไว้เวลานอน หลายปีถัดมา แจ็กสันพูดว่าเขาทนทุกข์ทรมานจากฝันร้ายเกี่ยวกับการถูกลักพาตัวจากห้องนอนของเขา<ref name = "tara 20-22"/>

แจ็กสันพูดเปิดใจครั้งแรกเกี่ยวกับการถูกทารุณในวัยเด็ก ในการสัมภาษณ์กับ[[โอปราห์ วินฟรีย์]] ในปี 1993 เขาพูดว่าในช่วงวัยเด็ก เขามักจะร้องไห้จากความโดดเดี่ยวและในบางครั้งจะเริ่มอาเจียนเมื่อเห็นพ่อเขา<ref name = "campbell (1995) 14-16">Campbell (1995), pp. 14–16</ref><ref name = "lewis 165-168">Lewis, pp. 165–168</ref><ref>Taraborrelli, p. 620</ref> ในปี 2003 โจเซฟยอมรับผ่านทาง[[บีบีซี]]ว่า เขาเฆี่ยนตีแจ็กสันจริงในวัยเด็ก โจยังพูดว่าเขาใช้วาจาทำร้ายลูกชายและล้อเลียนเขาอยู่บ่อยๆ <ref name="news.bbc.co.uk">{{cite news|title=Can Michael Jackson's demons be explained?|publisher=[[BBC]]|date=2009-06-27|accessdate=2009-06-28|url=http://news.bbc.co.uk/2/hi/uk_news/magazine/8121599.stm}}</ref> การสัมภาษณ์อีกบทหนึ่งใน ''Living with Michael Jackson'' (2003) เขาปิดหน้าตัวเองด้วยมือและเริ่มร้องไห้เมื่อกำลังพูดถึงการถูกทารุณในวัยเด็ก<ref name = "tara 20-22"/> แจ็กสันหวนรำลึกว่า โจเซฟนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมถือ[[เข็มขัด]]ขณะที่เขาและพี่น้องซ้อมการแสดง และ "ถ้าคุณไม่ทำให้ถูกใจ เขาจะฉีกคุณเป็นชิ้น ๆ จัดการคุณจริง ๆ"<ref>Taraborrelli, p. 602</ref>


แจ็กสันพูดเปิดใจครั้งแรกเกี่ยวกับการถูกทารุณในวัยเด็ก ในการสัมภาษณ์กับ[[โอปราห์ วินฟรีย์]] ในปี 1993 เขาพูดว่าในช่วงวัยเด็ก เขามักจะร้องไห้จากความโดดเดี่ยวและในบางครั้งจะเริ่มอาเจียนเมื่อเห็นพ่อเขา<ref name = "campbell (1995) 14-16">Campbell (1995), pp. 14–16</ref><ref name = "lewis 165-168">Lewis, pp. 165–168</ref><ref>Taraborrelli, p. 620</ref> การสัมภาษณ์อีกบทหนึ่งใน ''Living with Michael Jackson'' (2003) เขาปิดหน้าตัวเองด้วยมือและเริ่มร้องไห้เมื่อกำลังพูดถึงการถูกทารุณในวัยเด็ก<ref name = "tara 20-22"/> แจ็กสันหวนรำลึกว่า โจเซฟนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมถือ[[เข็มขัด]]ขณะที่เขาและพี่น้องซ้อมการแสดง และ "ถ้าคุณไม่ทำให้ถูกใจ เขาจะฉีกคุณเป็นชิ้น ๆ จัดการคุณจริง ๆ"<ref>Taraborrelli, p. 602</ref>
[[ไฟล์:__Jackson 5 television special 1971.JPG__|thumb|left|แจ็กสัน(กลาง)ขณะเป็นสมาชิกของเดอะแจ็กสันไฟฟ์ ปี 1971]]
[[ไฟล์:__Jackson 5 television special 1971.JPG__|thumb|left|แจ็กสัน(กลาง)ขณะเป็นสมาชิกของเดอะแจ็กสันไฟฟ์ ปี 1971]]
แจ็กสันแสดงพรสวรรค์ด้านดนตรีตั้งแต่เด็ก ด้วยการแสดงต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้นในระหว่างการเล่นดนตรี[[วันคริสต์มาส]]เมื่ออายุได้ 5 ขวบ<ref name = "Nelson George overview 20"/> ในปี 1964 แจ็กสันและมาร์ลอนเข้าร่วมวง "แจ็กสันบราเทอร์ส"— วงที่ก่อตั้งโดยพี่ชายเขา แจ็กกี ติโต และเจอร์เมน — โดยแสดงเป็นนักดนตรีสมทบที่เล่นคองกาและ[[แทมบูรีน]] ต่อมาแจ็กสันก็เริ่มเป็นนักร้องประสานและนักเต้น เมื่ออายุ 8 ปี เขาและเจอร์เมนเป็นนักร้องนำ และเปลี่ยนชื่อวงเป็น[[เดอะแจ็กสันไฟฟ์]]<ref name = "Nelson George overview 20"/> วงออกทัวร์ในมิดเวสต์ตั้งแต่ปี 1966 ถึง 1968 แสดงในคลับคนผิวดำและตามงานต่าง ๆ เป็นวงสตริงที่เรียกว่า "[[ชิตลินเซอร์คิต]]" ที่พวกเขามักจะเล่นเป็นวงเปิดให้กับการเต้นระบำเปลื้องผ้าและการโชว์สำหรับผู้ใหญ่อื่น ๆ ในปี 1966 พวกเขาชนะรายการท้องถิ่นงานใหญ่ ที่พวกเขาแสดงความสามารถโดยการแสดงเลียนแบบศิลปิน[[โมทาวน์]] เพลงดัง ๆ และเพลง "I Got You (I Feel Good)" ของ[[เจมส์ บราวน์]] นำแสดงโดยไมเคิล แจ็กสัน<ref name=RRHF>{{cite web |url=http://www.rockhall.com/inductee/the-jackson-five |title=The Jackson Five |accessdate=May 29, 2007 |publisher=[[Rock and Roll Hall of Fame]]}}</ref>
แจ็กสันแสดงพรสวรรค์ด้านดนตรีตั้งแต่เด็ก ด้วยการแสดงต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้นในระหว่างการเล่นดนตรี[[วันคริสต์มาส]]เมื่ออายุได้ 5 ขวบ<ref name = "Nelson George overview 20"/> ในปี 1964 แจ็กสันและมาร์ลอนเข้าร่วมวง "แจ็กสันบราเทอร์ส"— วงที่ก่อตั้งโดยพี่ชายเขา แจ็กกี ติโต และเจอร์เมน — โดยแสดงเป็นนักดนตรีสมทบที่เล่นคองกาและ[[แทมบูรีน]] ต่อมาแจ็กสันก็เริ่มเป็นนักร้องประสานและนักเต้น เมื่ออายุ 8 ปี เขาและเจอร์เมนเป็นนักร้องนำ และเปลี่ยนชื่อวงเป็น[[เดอะแจ็กสันไฟฟ์]]<ref name = "Nelson George overview 20"/> วงออกทัวร์ในมิดเวสต์ตั้งแต่ปี 1966 ถึง 1968 แสดงในคลับคนผิวดำและตามงานต่าง ๆ เป็นวงสตริงที่เรียกว่า "[[ชิตลินเซอร์คิต]]" ที่พวกเขามักจะเล่นเป็นวงเปิดให้กับการเต้นระบำเปลื้องผ้าและการโชว์สำหรับผู้ใหญ่อื่น ๆ ในปี 1966 พวกเขาชนะรายการท้องถิ่นงานใหญ่ ที่พวกเขาแสดงความสามารถโดยการแสดงเลียนแบบศิลปิน[[โมทาวน์]] เพลงดัง ๆ และเพลง "I Got You (I Feel Good)" ของ[[เจมส์ บราวน์]] นำแสดงโดยไมเคิล แจ็กสัน<ref name=RRHF>{{cite web |url=http://www.rockhall.com/inductee/the-jackson-five |title=The Jackson Five |accessdate=May 29, 2007 |publisher=[[Rock and Roll Hall of Fame]]}}</ref>


เดอะแจ็กสันไฟฟ์ บันทึกเพลงหลายเพลง รวมถึงเพลง "Big Boy" ภายใต้สังกัดท้องถิ่นที่ชื่อสตีลทาวน์ (ปี 1967) และได้เซ็นสัญญากับค่ายโมทาวน์ในปี 1968<ref name = "Nelson George overview 20"/> [[นิตยสารโรลลิงสโตน]] อธิบายถึงแจ็กสันตอนเด็กไว้ว่า "เป็นเด็กอัจฉริยะ" กับ "พรสวรรค์ทางด้านดนตรีอย่างเต็มเปี่ยม" และยังพูดว่าแจ็กสัน "เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วที่เป็นตัวหลักในฐานะนักร้องนำ" หลังจากที่เขาเริ่มเต้นและร้องเพลงกับพี่ ๆ ของเขา<ref name="rollingstone">[http://www.rollingstone.com/artists/michaeljackson/biography Michael Jackson: Biography], [[Rolling Stone]], accessed February 14, 2008.</ref> วงสร้างสถิติบนอันดับเพลงโดยการมี 4 ซิงเกิลแรก ("[[I Want You Back]]", "[[เอบีซี (เพลง) |ABC]]", "[[The Love You Save]]" และ "[[I'll Be There]]") ขึ้นสูงสุดอันดับ 1 บน[[บิลบอร์ดฮ็อต 100]]<ref name = "Nelson George overview 20"/> ในช่วงต้นของวงเดอะแจ็กสันไฟฟ์ โมทาวน์อ้างว่าแจ็กสันอายุ 9 ปี— ซึ่งจริง ๆ เขาอายุ 11 ปี — เพื่อที่จะทำให้เขาดูน่ารักขึ้นและดูเข้าถึงง่ายขึ้นกับกลุ่มผู้ฟังกระแสหลัก<ref>Taraborrelli, p. 17</ref> แจ็กสันเริ่มออกงานเดี่ยวในปี 1972 โดยเขามีผลงานเดี่ยวทั้งหมด 4 ชุดกับสังกัดโมทาวน์ อัลบั้มชุด ''[[Got to Be There]]'' และ ''[[เบน (อัลบั้ม)|Ben]]'' ที่มีเพลงดังอย่าง "Got to Be There" "[[เบ็น (เพลง)|Ben]]" ที่เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน เป็นซิงเกิลแรกที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตเพลงของ[[นิตยสารบิลบอร์ด]] <ref>{{cite book |last=Cadman |first=Chris |authorlink= |coauthors= |title=[[Michael Jackson]]: For the Record |year=2007 |publisher=Authors OnLine |location= |id=ISBN 978-0-7552-0267-6 }}</ref> และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม [[รางวัลลูกโลกทองคำ]] และ[[รางวัลออสการ์]] และเพลงเก่าของ[[บ็อบบี เดย์]]นำมาทำใหม่ที่ชื่อ "Rockin' Robin" ยอดขายอัลบั้มของวงเริ่มลดลงในปี 1973 และสมาชิกในวงก็มีปัญหากับโมทาวน์ เพราะถูกจำกัดภายใต้ข้อห้ามที่ควบคุมความคิดสร้างสรรค์<ref name = "Nelson George overview 22">George, p. 22</ref> แม้ว่าวงจะมีเพลงในท็อป 40 อยู่หลายเพลง รวมถึงเพลง[[ดิสโก้]]ที่ติดท็อป 5 อย่าง "Dancing Machine" และเพลงดังติดท็อป 20 "I Am Love" เดอะแจ็กสันไฟฟ์ก็ออกจากโมทาวน์ในปี 1975<ref name = "Nelson George overview 22"/>
เดอะแจ็กสันไฟฟ์ บันทึกเพลงหลายเพลง รวมถึงเพลง "Big Boy" ภายใต้สังกัดท้องถิ่นที่ชื่อสตีลทาวน์ (ปี 1967) และได้เซ็นสัญญากับค่ายโมทาวน์ในปี 1968<ref name = "Nelson George overview 20"/> [[นิตยสารโรลลิงสโตน]] อธิบายถึงแจ็กสันตอนเด็กไว้ว่า "เป็นเด็กอัจฉริยะ" พร้อมด้วย "พรสวรรค์ทางด้านดนตรีอย่างเต็มเปี่ยม" และยังพูดว่าแจ็กสัน "เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วที่เป็นตัวหลักในฐานะนักร้องนำ" หลังจากที่เขาเริ่มเต้นและร้องเพลงกับพี่ ๆ ของเขา<ref name="rollingstone">[http://www.rollingstone.com/artists/michaeljackson/biography Michael Jackson: Biography], [[Rolling Stone]], accessed February 14, 2008.</ref> วงสร้างสถิติบนอันดับเพลงโดยการมี 4 ซิงเกิลแรก ("[[I Want You Back]]", "[[เอบีซี (เพลง) ?|ABC]]", "[[The Love You Save]]" และ "[[I'll Be There]]") ขึ้นสูงสุดอันดับ 1 บน[[บิลบอร์ดฮ็อต 100]]<ref name = "Nelson George overview 20"/> ขณะที่แจ็กสันเริ่มมีบทบาทในฐานะศิลปินเดี่ยวในปี 1972 โดยที่ยังคงผูกพันกับเดอะแจ็กสันไฟว์ เขามีผลงานเดี่ยวทั้งหมด 4 ชุดกับสังกัดโมทาวน์ อัลบั้มชุด ''[[Got to Be There]]'' และ ''[[เบน (อัลบั้ม)|Ben]]'' ที่มีเพลงดังอย่าง "Got to Be There" "[[เบ็น (เพลง)|Ben]]" ที่เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน เป็นซิงเกิลแรกที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตเพลงของ[[นิตยสารบิลบอร์ด]] <ref>{{cite book |last=Cadman |first=Chris |authorlink= |coauthors= |title=[[Michael Jackson]]: For the Record |year=2007 |publisher=Authors OnLine |location= |id=ISBN 978-0-7552-0267-6 }}</ref> และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม [[รางวัลลูกโลกทองคำ]] และ[[รางวัลออสการ์]] และเพลงเก่าของ[[บ็อบบี เดย์]]นำมาทำใหม่ที่ชื่อ "Rockin' Robin"


เดอะแจ็กสันไฟฟ์ ได้รับการอธิบายว่าเป็น "แบบฉบับที่ทันสมัยของศิลปินผิวสี" แม้ว่ายอดขายอัลบั้มของวงเริ่มลดลงในปี 1973 และสมาชิกในวงก็มีปัญหากับโมทาวน์ เพราะถูกจำกัดภายใต้ข้อห้ามที่ควบคุมความคิดสร้างสรรค์<ref name = "Nelson George overview 22">George, p. 22</ref> พวกเขามีเพลงในท็อป 40 อยู่หลายเพลง รวมถึงเพลง[[ดิสโก้]]ที่ติดท็อป 5 อย่าง "Dancing Machine" และเพลงดังติดท็อป 20 "I Am Love" ก่อนที่จะออกจากโมทาวน์ในปี 1975<ref name = "Nelson George overview 22"/>
===1975-81: ย้ายไปค่ายอีพิกและ ''Off the Wall'' ===

เดอะแจ็กสันไฟฟ์เซ็นสัญญาใหม่กับ [[ซีบีเอสเรคเคิดส์]]ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1975 โดยอยู่ในสังกัดย่อยฟิลาเดลเฟียอินเตอร์เนชันแนลเรคเคิดส์ ซึ่งต่อมาคือค่ายอีพิก<ref name = "Nelson George overview 22"/> และจากผลทางกฎหมายวงจึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น เดอะแจ็กสันส์<ref name = "tara 138–144">Taraborrelli, pp. 138–144</ref> หลังจากเปลี่ยนชื่อแล้ววงออกทัวร์ในระดับนานาชาติ และยังออกผลงานอัลบั้มมากกว่า 6 อัลบั้มในระหว่างปี 1976 และ 1984 จากปี 1976 และ 1984 ไมเคิล แจ็กสันยังเป็นผู้เขียนเพลงหลักของวง มีเพลงฮิตอย่าง "Shake Your Body (Down to the Ground)", "This Place Hotel" และ "Can You Feel It"<ref name="RRHF" />
===1975-81: ย้ายไปค่ายอีพิก และ''Off the Wall'' ===
เดอะแจ็กสันไฟฟ์เซ็นสัญญาใหม่กับ [[ซีบีเอสเรคเคิดส์]]ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1975 โดยอยู่ในสังกัดย่อยฟิลาเดลเฟียอินเตอร์เนชันแนลเรคเคิดส์ ซึ่งต่อมาคือค่ายอีพิก<ref name = "Nelson George overview 22"/> และจากผลทางกฎหมายวงจึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น เดอะแจ็กสันส์<ref name = "tara 138–144">Taraborrelli, pp. 138–144</ref> หลังจากเปลี่ยนชื่อแล้ววงออกทัวร์ในระดับนานาชาติ และยังออกผลงานอัลบั้มมากกว่า 6 อัลบั้มในระหว่างปี 1976 และ 1984 ระหว่างช่วงเวลานี้ ไมเคิล แจ็กสันยังเป็นผู้เขียนเพลงหลักของวง มีเพลงฮิตอย่าง "Shake Your Body (Down to the Ground)", "This Place Hotel" และ "Can You Feel It"<ref name="RRHF" />


ในปี 1978 แจ็กสันแสดงในบทบาทสแกร์โครว์ ในภาพยนตร์เพลง ''The Wiz''<ref>Taraborrelli, pp. 163–169</ref> เพลงบรรเลงประกอบภาพยนตร์เรียบเรียงโดย[[ควินซี โจนส์]] ที่เริ่มสนิทสนมกับแจ็กสันในช่วงการทำงานภาพยนตร์ และตกลงกันว่าจะร่วมทำผลงานในอัลบั้มเดี่ยวของแจ็กสันชุดต่อไป ในชุด ''[[ออฟเดอะวอลล์ (อัลบั้ม)|Off the Wall]]''<ref name = "Nelson George overview 23">George, p. 23</ref> ในปี 1979 แจ็กสันได้รับบาดเจ็บบริเวณจมูกระหว่างการฝึกซ้อมเต้น การศัลยกรรมจมูกของเขาไม่เสร็จดี เขาบ่นเรื่องความลำบากในการหายใจที่อาจเป็นผลร้ายต่ออาชีพเขาได้ เขาเอ่ยถึง ดร. สตีเวน โฮฟฟลิน ที่เป็นศัลยแพทย์จมูกเขาในครั้งที่ 2 และในการผ่าตัดอีกหลายครั้งถัดมา<ref name = "tara 205–210">Taraborrelli, pp. 205–210</ref>
ในปี 1978 แจ็กสันแสดงในบทบาทสแกร์โครว์ ในภาพยนตร์เพลง ''The Wiz''<ref>Taraborrelli, pp. 163–169</ref> เพลงบรรเลงประกอบภาพยนตร์เรียบเรียงโดย[[ควินซี โจนส์]] ที่เริ่มสนิทสนมกับแจ็กสันในช่วงการทำงานภาพยนตร์ และตกลงกันว่าจะร่วมทำผลงานในอัลบั้มเดี่ยวของแจ็กสันชุดต่อไป ในชุด ''[[ออฟเดอะวอลล์ (อัลบั้ม)|Off the Wall]]''<ref name = "Nelson George overview 23">George, p. 23</ref> ในปี 1979 แจ็กสันได้รับบาดเจ็บบริเวณจมูกระหว่างการฝึกซ้อมเต้น การศัลยกรรมจมูกของเขาไม่เสร็จดี เขาบ่นเรื่องความลำบากในการหายใจที่อาจเป็นผลร้ายต่ออาชีพเขาได้ เขาเอ่ยถึง ดร. สตีเวน โฮฟฟลิน ที่เป็นศัลยแพทย์จมูกเขาในครั้งที่ 2 และในการผ่าตัดอีกหลายครั้งถัดมา<ref name = "tara 205–210">Taraborrelli, pp. 205–210</ref>


โจนส์และแจ็กสันร่วมกันผลิตผลงานชุด ''Off the Wall'' มีนักเขียนเพลงในอัลบั้มนี้นอกเหนือจากแจ็กสันแล้วคือ [[ร็อด เทมเพอร์ตัน]]จากวงฮีตเวฟ [[สตีวี วันเดอร์]] และ[[พอล แม็กคาร์ตนีย์]] อัลบั้มออกขายในปี 1979 และยังถือเป็นอัลบั้มแรกที่มีซิงเกิลท็อป 10 จำนวน 4 เพลงในสหรัฐอเมริกา ซึ่งในนั้นมีซิงเกิลอันดับ 1 อย่าง "Don't Stop 'Til You Get Enough" และ "[[ร็อกวิธยู (เพลงไมเคิล แจ็กสัน)|Rock with You]]"<ref name = "Nelson George overview 37-38"/> ''Off the Wall'' ติดชาร์ต[[บิลบอร์ด 200]] สูงสุดที่อันดับ 3 และมียอดขาย 7 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกาและขายได้มากกว่า 20 ล้านชุดทั่วโลก<ref name="Off the Wall 20 million">{{cite web |url=http://www.virginmedia.com/music/classicalbums/michaeljackson-offthewall.php |title=Michael Jackson: Off the Wall&nbsp;— Classic albums&nbsp;— Music&nbsp;— Virgin media |publisher=[[Virgin Media]] |accessdate=December 12, 2008}}</ref><ref name="RIAA certifications">{{cite web |url=http://www.riaa.com/goldandplatinumdata.php?table=SEARCH_RESULTS&artist=Michael%20Jackson&format=ALBUM&go=Search&perPage=100
โจนส์และแจ็กสันร่วมกันผลิตผลงานชุด ''Off the Wall'' อัลบั้มนี้เป็นช่วงการเปลี่ยนแปลงของเขาจากวัยรุ่นไปยังเสียงร้องที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ที่เขาจะสร้างเมื่อเป็นผู้ใหญ่ มีนักเขียนเพลงในอัลบั้มนี้นอกเหนือจากแจ็กสันแล้วคือ [[ร็อด เทมเพอร์ตัน]]จากวงฮีตเวฟ [[สตีวี วันเดอร์]] และ[[พอล แม็กคาร์ตนีย์]] อัลบั้มออกขายในปี 1979 และยังถือเป็นอัลบั้มแรกที่มีซิงเกิลท็อป 10 จำนวน 4 เพลงในสหรัฐอเมริกา ซึ่งในนั้นมีซิงเกิลอันดับ 1 อย่าง "Don't Stop 'Til You Get Enough" และ "[[ร็อกวิธยู (เพลงไมเคิล แจ็กสัน)|Rock with You]]"<ref name = "Nelson George overview 37-38"/> ''Off the Wall'' ติดชาร์ต[[บิลบอร์ด 200]] สูงสุดที่อันดับ 3 และมียอดขาย 8 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกาและขายได้มากกว่า 20 ล้านชุดทั่วโลก<ref name="Off the Wall 20 million">{{cite web |url=http://www.virginmedia.com/music/classicalbums/michaeljackson-offthewall.php |title=Michael Jackson: Off the Wall&nbsp;— Classic albums&nbsp;— Music&nbsp;— Virgin media |publisher=[[Virgin Media]] |accessdate=December 12, 2008}}</ref><ref name="RIAA certifications">{{cite web |url=http://www.riaa.com/goldandplatinumdata.php?table=SEARCH_RESULTS&artist=Michael%20Jackson&format=ALBUM&go=Search&perPage=100
| title = Gold and Platinum |publisher=Recording Industry Association of America |accessdate=April 27, 2008}}</ref> ในปี 1980 แจ็กสันได้รับ 3 รางวัล[[อเมริกันมิวสิกอวอร์ดส]] ในสาขาอัลบั้มโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยม สาขาศิลปินโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยม สาขา ซิงเกิลโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยมจากเพลง "Don't Stop 'Til You Get Enough"<ref name = "Nelson George overview 37-38">George, pp. 37–38</ref> ในปีนั้นเองเขาได้รับรางวัล[[บิลบอร์ดมิวสิกอวอร์ดส]] ในสาขาท็อปแบล็กอาร์ทิสและท็อปแบล็กอัลบั้ม และยังได้รับ[[รางวัลแกรมมี่]]ในสาขาศิลปินอาร์แอนด์บียอดเยี่ยม (กับเพลง "Don't Stop 'Til You Get Enough") <ref name = "Nelson George overview 37-38"/> เนื่องจากประสบความสำเร็จอย่างมาก แจ็กสันจึงรู้สึกว่า ''Off the Wall'' ควรจะมีผลกระทบมากขึ้นและควรเป็นที่คาดหวังให้กับการออกผลงานในชุดถัดมา<ref>Taraborrelli, p. 188</ref> ในปี 1980 แจ็กสันมีรายได้สูงสุดในอุตสาหกรรมดนตรีด้วยผลกำไรอัลบั้ม 37%<ref>Taraborrelli, p. 191</ref>
| title = Gold and Platinum |publisher=Recording Industry Association of America |accessdate=April 27, 2008}}</ref> ในปี 1980 แจ็กสันได้รับ 3 รางวัล[[อเมริกันมิวสิกอวอร์ดส]] ในสาขาอัลบั้มโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยม สาขาศิลปินโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยม สาขา ซิงเกิลโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยมจากเพลง "Don't Stop 'Til You Get Enough"<ref name = "Nelson George overview 37-38">George, pp. 37–38</ref> ในปีนั้นเองเขาได้รับรางวัล[[บิลบอร์ดมิวสิกอวอร์ดส]] ในสาขาท็อปแบล็กอาร์ทิสและท็อปแบล็กอัลบั้ม และยังได้รับ[[รางวัลแกรมมี่]]ในสาขาศิลปินอาร์แอนด์บียอดเยี่ยม (กับเพลง "Don't Stop 'Til You Get Enough") <ref name = "Nelson George overview 37-38"/> เนื่องจากประสบความสำเร็จอย่างมาก แจ็กสันจึงรู้สึกว่า ''Off the Wall'' ควรจะมีผลกระทบมากขึ้นและควรเป็นที่คาดหวังให้กับการออกผลงานในชุดถัดมา<ref>Taraborrelli, p. 188</ref> ในปี 1980 แจ็กสันมีรายได้สูงสุดในอุตสาหกรรมดนตรีด้วยผลกำไรอัลบั้ม 37%<ref>Taraborrelli, p. 191</ref>


===1982-83: ''Thriller'' และ ''โมทาวน์ 25'' ===
===1982-83: ''Thriller'' และ ''โมทาวน์ 25'' ===
ในปี 1982 แจ็กสันให้ความสนใจของเขาในการแต่งเพลงและภาพยนต์ โดยมีผลงานเพลง "Someone In the Dark" ในปี 1982 ซึ่งประกอบภาพยนตร์เรื่อง ''[[อี.ที. เพื่อนรัก]]'' ซึ่งได้รับรางวัลแกรมมี่ในสาขาอัลบั้มยอดเยี่ยมประเภทเพลงสำหรับเด็ก<ref name = "MJ Grammy's">{{cite web|url=http://www.grammy.com/GRAMMY_Awards/Winners/Results.aspx?title=&winner=Michael+Jackson&year=0&genreID=0&hp=1|title=Grammy Award Winners|publisher=[[National Academy of Recording Arts and Sciences]]|accessdate=February 14, 2008}}</ref>
แจ็กสันมีผลงานเพลง "Someone In the Dark" ในปี 1982 ซึ่งประกอบภาพยนตร์เรื่อง ''[[อี.ที. เพื่อนรัก]]'' ซึ่งได้รับรางวัลแกรมมี่ในสาขาอัลบั้มยอดเยี่ยมประเภทเพลงสำหรับเด็ก<ref name = "MJ Grammy's">{{cite web|url=http://www.grammy.com/GRAMMY_Awards/Winners/Results.aspx?title=&winner=Michael+Jackson&year=0&genreID=0&hp=1|title=Grammy Award Winners|publisher=[[National Academy of Recording Arts and Sciences]]|accessdate=February 14, 2008}}</ref> ต่อมาความสำเร็จยิ่งเพิ่มขึ้นไป หลังจากออกอัลบั้ม ''[[ทริลเลอร์ (อัลบั้ม)|Thriller]]'' ทำให้เขาได้รับ 7 รางวัลแกรมมี่ และ 8 อเมริกันมิวสิกอวอร์ดส จากอัลบั้มเดียว อัลบั้มติดในท็อป 10 บนบิลบอร์ด 200 นาน 80 สัปดาห์ติดต่อกันและอยู่อันดับ 1 นาน 37 สัปดาห์ โดยมี 7 ซิงเกิลจาก ''Thriller'' ที่ติดท็อป 10 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮ็อต 100 อย่าง "[[Billie Jean]]", "[[Beat It]]" และ "[[Wanna be startin' somethin' ]]'"<ref>Lewis, p. 47</ref> ''Thriller'' เป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในปี 1983 ทั่วโลกรวมทั้งในอเมริกา และกลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาล มียอดขายสูงกว่า 109 ล้านชุด <ref name="109 Newswire">{{cite web |url=http://news.prnewswire.com/ViewContent.aspx?ACCT=109&STORY=/www/story/01-16-2009/0004956264&EDATE= |title=Music Icon Quincy Jones Kicks-Off New Series in Tribune Newspapers |publisher=[[PR Newswire]] |date=January 16, 2009 |accessdate=January 24, 2009}}</ref><ref name = "Nelson George overview 50-53">George, pp. 50–53</ref><ref name="Showbuzz">{{cite web |url=http://www.cbsnews.com/stories/2007/11/06/entertainment/main3461884.shtml?source=search_story |title=Michael Jackson Opens Up |publisher=[[CBS]] |date=November 6, 2007 |accessdate=July 24, 2008}}</ref><ref>{{cite news|first=Jill |last=Serjeant|url=http://www.reuters.com/article/topNews/idUSTRE55O6V920090625|title=Michael Jackson superstardom tarnished by scandal|publisher=Reuters|date=June 25, 2009|accessdate=June 28, 2009}}</ref> จนผู้เขียน[[ชีวประวัติ]]ของแจ็กสันที่ชื่อ เจ. แรนดี ทาราบอร์เรลลี วิเคราะห์ไว้ว่า "ในบางกรณี ''Thriller'' หยุดขายไปเหมือนอย่างอุปกรณ์สันทนาการ อย่างจำพวก[[นิตยสาร]] [[ของเล่น]] ตั๋วหนังดังๆ และเมื่อเริ่มขายก็เหมือนกับสิ่งของสำคัญประจำบ้าน"<ref name="tara 226">Taraborrelli, p. 226</ref>

ความสำเร็จที่มากยิ่งขึ้น มาพร้อมกับการเปิดตัวอัลบั้มชุดที่หกของเขา ''[[ทริลเลอร์ (อัลบั้ม)|Thriller]]'' อัลบั้มทำให้เขาได้รับ 7 รางวัลแกรมมี่ และ 8 อเมริกันมิวสิกอวอร์ดส จากอัลบั้มเดียว ''Thriller'' เป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดทั่วโลกในปี 1983 รวมทั้งในอเมริกา และกลายเป็นอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล มียอดขายสูงกว่า 109 ล้านชุด <ref name="109 Newswire">{{cite web |url=http://news.prnewswire.com/ViewContent.aspx?ACCT=109&STORY=/www/story/01-16-2009/0004956264&EDATE= |title=Music Icon Quincy Jones Kicks-Off New Series in Tribune Newspapers |publisher=[[PR Newswire]] |date=January 16, 2009 |accessdate=January 24, 2009}}</ref><ref name = "Nelson George overview 50-53">George, pp. 50–53</ref><ref name="Showbuzz">{{cite web |url=http://www.cbsnews.com/stories/2007/11/06/entertainment/main3461884.shtml?source=search_story |title=Michael Jackson Opens Up |publisher=[[CBS]] |date=November 6, 2007 |accessdate=July 24, 2008}}</ref><ref>{{cite news|first=Jill |last=Serjeant|url=http://www.reuters.com/article/topNews/idUSTRE55O6V920090625|title=Michael Jackson superstardom tarnished by scandal|publisher=Reuters|date=June 25, 2009|accessdate=June 28, 2009}}</ref> อัลบั้มติดในท็อป 10 บนบิลบอร์ด 200 นาน 80 สัปดาห์ติดต่อกันและอยู่อันดับ 1 นาน 37 สัปดาห์ และเป็นอัลบั้มแรกที่มี 7 ซิงเกิล ที่ติดท็อป 10 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮ็อต 100 ประกอบด้วย "[[เดอะเกิร์ลอิสมาย|The Girl Is Mine]]" "[[Billie Jean]]", "[[Beat It]]" "[[วอนนาบีสตาร์ตินซัมติน|Wanna Be Startin' Somethin']]" "[[ฮิวแมนเนเจอร์ (เพลงไมเคิล แจ็กสัน)|Human Nature]]" "[[พี.วาย.ที. (พริตตี ยัง ธิง)|P.Y.T. (Pretty Young Thing]]" และ "[[ทริลเลอร์ (เพลง)|Thriller]]"<ref>Lewis, p. 47</ref>ในปี 2015 อัลบั้มได้รับการรับรองมียอดขายมากกว่า 32 ล้านชุด เฉพาะในสหรัฐอเมริกาโดย''RIAA'' ทำให้อัลบั้มนี้ถือเป็นอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดเฉพาะในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

[[ไฟล์:__Michael-jackson-vector.jpg__|thumb|left|ไมเคิล แจ็กสัน บนมิวสิกวีดีโอ ''Thriller'' ]]
[[ไฟล์:__Michael-jackson-vector.jpg__|thumb|left|ไมเคิล แจ็กสัน บนมิวสิกวีดีโอ ''Thriller'' ]]
นอกเหนือจากอัลบั้มเพลงแล้ว แจ็กสันได้ปล่อยผลงาน"[[ไมเคิล แจ็กสัน ทริลเลอร์| Thriller]]" มิวสิกวิดีโอภาพยน์สั้นที่มีความยาว 14 นาที กำกับโดยจอห์น แลนดิส ในปี 1983<ref>http://www.reuters.com/article/us-thriller-idUSTRE5BT43W20091230?type=musicNews</ref> มิวสิกวิดีโอนี้ได้รับคำนิยามว่า "ทลายอุปสรรคทางเชื้อชาติ" ได้รับการออกอากาศทาง[[เอ็มทีวี]]ซึ่งเป็นช่องรายการที่พึ่งเปิดใหม่ในเวลานั้น ในปี 2009 มิวสิกวิดีโอนี้ ได้รับการจดทะเบียนเข้าสู๋หอภาพยนตร์แห่งชาติ โดย[[หอสมุดรัฐสภา]] ซึ่งเป็นมิวสิควีดีโอแรกที่ได้รับเกียรติยศในฐานะ "วัฒนธรรมภาพยนต์ที่สำคัญในประวัติศาสตร์" <ref>http://www.mtv.com/news/1628945/michael-jacksons-thriller-added-to-national-film-registry/</ref>
ในช่วงที่ ''Thriller'' สร้างรายได้ให้กับแจ็กสันอย่างมาก [[ทนาย]] จอห์น บรังกาได้เข้ามาเจรจาตกลงเกี่ยวกับส่วนแบ่งที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมดนตรี ราว 2 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่ออัลบั้ม ขณะที่แจ็กสันเองก็ทำเงินจากการทำ[[สารคดี]] ''The Making of Michael Jackson's Thriller'' ผลิตโดยแจ็กสันและจอห์น แลนดิส มียอดขายกว่า 350,000 ชุด นอกจากนี้เขายังทำเงินกับภาพลักษณ์อย่างจริงจัง กับ[[ตุ๊กตา]]ไมเคิล แจ็กสันและสินค้าใหม่ ๆ ในตลาด<ref name=TIME/>

นักกฏหมายของแจ็กสัน จอห์น บรังกา ตั้งข้อสังเกตุว่าแจ็กสันมีส่วนแบ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมดนตรี ราว 2 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่ออัลบั้ม เขายังทำรายได้เป็นประวัติการณ์จากภาพยนต์[[สารคดี]] ''The Making of Michael Jackson's Thriller'' ผลิตโดยแจ็กสันและจอห์น แลนดิส มียอดขายกว่า 350,000 ชุด ในเวลาไม่กี่เดือน นอกจากนี้เขายังทำเงินกับภาพลักษณ์อย่างจริงจัง อย่างเช่น [[ตุ๊กตา]]จำลอง ไมเคิล แจ็กสันและสินค้าใหม่ ๆ ในตลาด<ref name=TIME/> จนผู้เขียน[[ชีวประวัติ]]ของแจ็กสันที่ชื่อ เจ. แรนดี ทาราบอร์เรลลี วิเคราะห์ไว้ว่า "ในบางกรณี ''Thriller'' หยุดขายไปเหมือนอย่างอุปกรณ์สันทนาการ อย่างจำพวก[[นิตยสาร]] [[ของเล่น]] ตั๋วหนังดังๆ และเมื่อเริ่มขายก็เหมือนกับสิ่งของสำคัญประจำบ้าน"<ref name="tara 226">Taraborrelli, p. 226</ref> ในปี 1985 ภาพยนต์สารคดี "The Making of Michael Jackson's Thriller" ก็ยังได้รับรางวัลแกรมมี่สาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยมแบบยาว <ref>http://www.grammy.com/nominees/search?artist=%22Michael+Jackson%22&field_nominee_work_value=&year=All&genre=All</ref> นิตยสารไทม์ได้อธิบายถึงแจ็กสันว่า "ไมเคิล แจ็กสันเป็นวัฒนธรรมของประชาชน ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเขามีเสียงที่น่าเกรงขามและลีลาที่สมบูรณ์แบบ เขาสามารถเต้นได้เหมือนไม่ใช่มนุษย์ เขาดึงดูดความสนใจของคนทุกเพศทุกวัยและผู้ฟังเพลงทุกประเภท อย่างยากที่จะจำแนกหมวดหมู่" <ref>http://www.nytimes.com/1984/01/14/arts/michael-jackson-at-25-a-musical-phenomenon.html?pagewanted=all</ref>


นอกจากประสบความสำเร็จ สร้างสถิติใหม่ ๆ แล้ว ''Thriller'' ยังสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับอุตสาหกรรมดนตรี อย่างแรกได้ยกระดับความสำคัญของ[[อัลบั้ม]] ขณะที่ความท้าทายต่อความเชื่อเกี่ยวกับความคาดหวังเพลงดังในอัลบั้มที่ควรจะเป็น<ref name=vh1>{{cite web |url=http://www.vh1.com/artists/az/jackson_michael/bio.jhtml |title=Michael Jackson |publisher=VH1 |year= (2007) |accessdate=February 22, 2007}}</ref> อย่างที่สองคือ ยังช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมดนตรีกับความเชื่อมั่นในความสามารถเป็นศิลปะชั้นสูง ท่ามกลางในระยะเวลานั้นที่รายได้จมไปเนื่องจากที่มีการวิเคราะห์ออกมาว่า "เป็นยุคความหายนะของ[[พังก์]]และเพลงป็อปสังเคราะห์เสียง"<ref name=TIME>{{cite news | first= Jay | last= Cocks |authorlink=Jay Cocks | title= Why He's a Thriller | date= March 19, 1984| publisher= ''[[Time (magazine)|Time]]'' | url= http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,950053-1,00.html | accessdate= March 17, 2007}}</ref> ข้อสามคือ นำ[[เอ็มทีวี]]ก้าวไปสู่ยุครุ่งเรือง ขณะที่เอ็มทีวีก็ช่วยส่งเสริมในความสำเร็จของ ''Thriller'' ข้อสี่ ''Thriller'' ยังปูทางให้กับศิลปินอื่นตามมาอย่างเช่น [[พรินซ์]]<ref name=WashPost1>{{cite news | first= Richard | last= Harrington | title= Prince & Michael Jackson: Two Paths to the Top of Pop |date= October 9, 1988 | work=[[The Washington Post]] | url= http://pqasb.pqarchiver.com/washingtonpost/access/73636369.html?dids=73636369:73636369&FMT=ABS&FMTS=ABS:FT&date=Oct+9%2C+1988&author=Richard+Harrington&pub=The+Washington+Post+ (pre-1997+Fulltext) &edition=&startpage=g.01&desc=Prince+%26+Michael+Jackson%3A+Two+Paths+to+the+Top+of+Pop | accessdate= May 21, 2007}}</ref> จนแล้วจนเล่า แจ็กสันก็ถือเป็นคนเดียวที่รอดจากธุรกิจดนตรี<ref name="NYTimes">{{cite news|url=http://select.nytimes.com/gst/abstract.html?res=F40F10FB3A5C0C778DDDA80894DC484D81|title=Michael Jackson at 25: A Musical Phenomenon|last=Pareles|first=Jon|authorlink=Jon Pareles|date= January 14, 1984 |accessdate= March 30, 2009 |work=[[The New York Times]]}}</ref> ในโอกาสครบรอบ 25 ปีของอัลบั้ม ''Thriller'' ก็ยังคงเป็นอิทธิพลสำคัญในวงการดนตรี ต่อศิลปินและวัฒนธรรมชาวอเมริกันอย่างมาก<ref name="tara 226"/>
นอกจากประสบความสำเร็จ สร้างสถิติใหม่ ๆ แล้ว ''Thriller'' ยังสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับอุตสาหกรรมดนตรี อย่างแรกได้ยกระดับความสำคัญของ[[อัลบั้ม]] ขณะที่ความท้าทายต่อความเชื่อเกี่ยวกับความคาดหวังเพลงดังในอัลบั้มที่ควรจะเป็น<ref name=vh1>{{cite web |url=http://www.vh1.com/artists/az/jackson_michael/bio.jhtml |title=Michael Jackson |publisher=VH1 |year= (2007) |accessdate=February 22, 2007}}</ref> อย่างที่สองคือ ยังช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมดนตรีกับความเชื่อมั่นในความสามารถเป็นศิลปะชั้นสูง ท่ามกลางในระยะเวลานั้นที่รายได้จมไปเนื่องจากที่มีการวิเคราะห์ออกมาว่า "เป็นยุคความหายนะของ[[พังก์]]และเพลงป็อปสังเคราะห์เสียง"<ref name=TIME>{{cite news | first= Jay | last= Cocks |authorlink=Jay Cocks | title= Why He's a Thriller | date= March 19, 1984| publisher= ''[[Time (magazine)|Time]]'' | url= http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,950053-1,00.html | accessdate= March 17, 2007}}</ref> ข้อสามคือ นำ[[เอ็มทีวี]]ก้าวไปสู่ยุครุ่งเรือง ขณะที่เอ็มทีวีก็ช่วยส่งเสริมในความสำเร็จของ ''Thriller'' ข้อสี่ ''Thriller'' ยังปูทางให้กับศิลปินอื่นตามมาอย่างเช่น [[พรินซ์]]<ref name=WashPost1>{{cite news | first= Richard | last= Harrington | title= Prince & Michael Jackson: Two Paths to the Top of Pop |date= October 9, 1988 | work=[[The Washington Post]] | url= http://pqasb.pqarchiver.com/washingtonpost/access/73636369.html?dids=73636369:73636369&FMT=ABS&FMTS=ABS:FT&date=Oct+9%2C+1988&author=Richard+Harrington&pub=The+Washington+Post+ (pre-1997+Fulltext) &edition=&startpage=g.01&desc=Prince+%26+Michael+Jackson%3A+Two+Paths+to+the+Top+of+Pop | accessdate= May 21, 2007}}</ref> จนแล้วจนเล่า แจ็กสันก็ถือเป็นคนเดียวที่รอดจากธุรกิจดนตรี<ref name="NYTimes">{{cite news|url=http://select.nytimes.com/gst/abstract.html?res=F40F10FB3A5C0C778DDDA80894DC484D81|title=Michael Jackson at 25: A Musical Phenomenon|last=Pareles|first=Jon|authorlink=Jon Pareles|date= January 14, 1984 |accessdate= March 30, 2009 |work=[[The New York Times]]}}</ref> ในโอกาสครบรอบ 25 ปีของอัลบั้ม ''Thriller'' ก็ยังคงเป็นอิทธิพลสำคัญในวงการดนตรี ต่อศิลปินและวัฒนธรรมชาวอเมริกันอย่างมาก<ref name="tara 226"/>


25 มีนาคม ค.ศ. 1983 เขาแสดงสดใน[[รายการโทรทัศน์]]เทปพิเศษครบรอบ 25 ปีโมทาวน์ที่ชื่อ ''Motown 25: Yesterday, Today, Forever'' ทั้งร่วมกับวงเดอะแจ็กสันไฟฟ์เองและได้ร้องเพลงของเขาเองในเพลง "Billie Jean" และยังเปิดตัวท่าเต้นที่ถือเป็นท่าเต้นที่สร้างชื่อเสียงของเขา "[[มูนวอล์ก]]" การแสดงของเขาในงานนี้มีผู้รับชมมากกว่า 47 ล้านคนในระหว่างการออกอากาศ มิเกล กิลมอ ผู้สื่อข่าวนิตยสารโรลลิงสโตน รายงานว่าในภายหลังว่า "มีช่วงเวลาที่คุณรู้ว่ากำลัง ได้ยิน หรือเห็น บางสิ่งที่ไม่ธรรมดา....ที่มาในคืนนั้น " และยังถูกนำไปเปรียบเทียบกับการปรากฏตัวของ[[เอลวิส เพรสลีย์]]และ[[เดอะบีทเทิลส์]] ในรายการ ''[[ดิเอดซัลลิแวนโชว์]]''<ref>Taraborrelli, pp. 238–241</ref> [[เดอะนิวยอร์กไทมส์]] พูดไว้ว่า "ท่ามูนวอล์กที่ทำให้เขามีชื่อเสียง เป็นคำอุปมาอย่างเหมาะสมแล้วสำหรับท่าเต้นของเขานี้ เขาทำได้อย่างไร ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ เขาเป็นนักมายากลผู้ยิ่งใหญ่ นักแสดงโดยไม่ใช้คำพูดอย่างแท้จริง ความสามารถในการนำหนึ่งขาก้าวไถลขณะที่อีกข้างงอและดูเหมือนว่าท่าเดินจะอยู่ในจังหวะพอเหมาะพอเจาะ"<ref name="Dancing feet of Michael Jackson">{{cite news|first=Anna |last=Kisselgoff |authorlink=Anna Kisselgoff|url=http://query.nytimes.com/gst/fullpage.html?res=940DE7DE1539F935A35750C0A96E948260&sec=&spon=&partner=permalink&exprod=permalink |title=Dancing feet of Michael Jackson |work=The New York Times |date=March 6, 1988 |accessdate=July 23, 2008}}</ref>
25 มีนาคม ค.ศ. 1983 เขาแสดงสดใน[[รายการโทรทัศน์]]เทปพิเศษครบรอบ 25 ปีโมทาวน์ที่ชื่อ ''Motown 25: Yesterday, Today, Forever'' ทั้งร่วมกับวงเดอะแจ็กสันไฟฟ์เองและได้ร้องเพลงของเขาเองในเพลง "Billie Jean" และยังเปิดตัวท่าเต้นที่ถือเป็นท่าเต้นที่สร้างชื่อเสียงของเขา "[[มูนวอล์ก]]" การแสดงของเขาในงานนี้มีผู้รับชมมากกว่า 47 ล้านคนในระหว่างการออกอากาศ <ref>http://www.whittierdailynews.com/general-news/20090625/michael-jackson-left-indelible-mark-on-pasadena</ref> ผู้สื่อข่าวจากนิตยสารโรลลิงสโตน มิเกล กิลมอ รายงานในภายหลังว่า "มีช่วงเวลาเมื่อคุณรู้ว่ากำลังได้ยิน หรือเห็น บางสิ่งที่น่ามหัศจรรย์...ที่มาในคืนนั้น" <ref>http://www.gigwise.com/photos/92086/the-11-most-iconic-moments-of-michael-jacksons-career</ref>การแสดงนี้ยังถูกนำไปเปรียบเทียบกับการปรากฏตัวของ[[เอลวิส เพรสลีย์]]และ[[เดอะบีทเทิลส์]] ในรายการ ''[[ดิเอดซัลลิแวนโชว์]]'' <ref>Taraborrelli, pp. 238–241</ref> [[เดอะนิวยอร์กไทมส์]] พูดไว้ว่า "ท่ามูนวอล์กที่ทำให้เขามีชื่อเสียง เป็นคำอุปมาอย่างเหมาะสมแล้วสำหรับท่าเต้นของเขานี้ เขาทำได้อย่างไร ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ เขาเป็นนักมายากลผู้ยิ่งใหญ่ นักแสดงโดยไม่ใช้คำพูดอย่างแท้จริง ความสามารถในการนำหนึ่งขาก้าวไถลขณะที่อีกข้างงอและดูเหมือนว่าท่าเดินจะอยู่ในจังหวะพอเหมาะพอเจาะ"<ref name="Dancing feet of Michael Jackson">{{cite news|first=Anna |last=Kisselgoff |authorlink=Anna Kisselgoff|url=http://query.nytimes.com/gst/fullpage.html?res=940DE7DE1539F935A35750C0A96E948260&sec=&spon=&partner=permalink&exprod=permalink |title=Dancing feet of Michael Jackson |work=The New York Times |date=March 6, 1988 |accessdate=July 23, 2008}}</ref>


===1984-85: ''เป๊ปซี่'' , ''วีอาร์เดอะเวิร์ล'' และธุรกิจ ===
===1984-85: เป๊ปซี่ , We Are the World และธุรกิจ ===
ช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 แจ็กสันได้รับรางวัลดนตรีสำหรับการมีส่วนร่วมในงานเชิงพาณิชย์ ในเดือนพฤศจิกายน 1983 แจ็กสันและพี่น้องของเขา ร่วมมือกับ [[เป๊ปซี่]] ด้วยค่าตัว 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำลายสถิติค่าตัวในวงการอุตสาหกรรมโฆษณา โดยแคมเปญแรกของเป๊ปซี่ เริ่มต้นด้วยการออกอากาศในสหรัฐอเมริกา และเปิดตัวด้วยธีม "คนรุ่นใหม่" รวมถึงการใช้ภาพลักษณ์ของเขาในการประชาสัมพันธ์ แจ็กสันมีส่วนร่วมในการสร้างชื่อเสียงให้กับเป๊ปซี่อย่างมาก เขาแนะนำให้ใช้เพลง "Billie Jean" เป็นดนตรีประกอบ ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างสูง
ในเดือนพฤศจิกายน 1983 แจ็กสันและพี่น้องของเขา ร่วมมือกับ [[เป๊ปซี่]] ด้วยค่าตัว 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำลายสถิติค่าตัวในวงการอุตสาหกรรมโฆษณา แคมเปญแรกของเป๊ปซี่ เริ่มต้นด้วยการออกอากาศในสหรัฐอเมริกาจากปี 1983 - 1984 และเปิดตัวด้วยธีม "คนรุ่นใหม่" รวมถึงการสนับสนุนการท่องเที่ยว กิจกรรมการแสดง โดยใช้ภาพลักษณ์ของเขาในการประชาสัมพันธ์ แจ็กสันมีส่วนร่วมในการสร้างโฆษณาที่โดดเด่นให้กับเป๊ปซี่อย่างมาก เขาแนะนำให้ใช้เพลง "Billie Jean" เป็นดนตรีประกอบในรูปแบบใหม่ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างสูง <ref>http://www.billboard.com/articles/news/268213/michael-jackson-pepsi-made-marketing-history?page=0%2C0</ref>


แจ็กสันบาดเจ็บเมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1984 หลังจากถ่ายภาพยนตร์โฆษณา[[เป๊ปซี่]] ที่ไชรน์ออดิทอเรียม ใน[[ลอสแอนเจลิส]] หนังศีรษะไหม้หลังจากเกิดอุบัติเหตุสะเก็ดไฟไหม้ที่ผม เกิดขึ้นต่อหน้าแฟนเพลงมากมายในฉากถ่ายคอนเสิร์ต เหตุการณ์นำไปสู่การประโคมข่าวทางสื่อในเรื่องที่จะต้องตรวจสอบและการนำความจริงออกมา ทำให้เกิดความเห็นใจหลั่งไหลสู่แจ็กสันอย่างมาก เป๊ปซี่จัดไกล่เกลี่ยกับแจ็กสันนอกศาลและ แจ็กสันได้บริจาคเงิน 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับบรอตแมนเมดิคอลเซนเตอร์ ในคัลเวอร์ซิตี รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่เขาได้เข้ารักษา และยังให้โรงพยาบาลนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในการรักษารอยไหม้ ต่อมาตึกคนไข้ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "ไมเคิล แจ็กสัน เบิร์น เซนเตอร์" เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา<ref name = "tara 279–287">Taraborrelli, pp. 279–287</ref> แจ็กสันทำศัลยกรรมจมูกครั้งที่สามหลังจากนั้นและทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหน้าตาของเขาอย่างชัดเจน<ref name = "tara 205–210"/>
แจ็กสันบาดเจ็บเมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1984 ขณะถ่ายภาพยนตร์โฆษณา[[เป๊ปซี่]] ที่ไชรน์ออดิทอเรียม ใน[[ลอสแอนเจลิส]] หนังศีรษะเป็นแผลไหม้ระดับสองหลังจากเกิดอุบัติเหตุสะเก็ดไฟไหม้ที่ผม เกิดขึ้นต่อหน้าแฟนเพลงมากมายในฉากถ่ายคอนเสิร์ต เหตุการณ์นำไปสู่การประโคมข่าวทางสื่อในเรื่องที่จะต้องตรวจสอบและการนำความจริงออกมา ทำให้เกิดความเห็นใจหลั่งไหลสู่แจ็กสันอย่างมาก แจ็กสันเข้ารับการรักษาเพื่อปกปิดรอยแผลเป็นและทำศัลยกรรมจมูกครั้งที่สามหลังจากนั้นและทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหน้าตาของเขาอย่างชัดเจน<ref name = "tara 205–210"/>เป๊ปซี่จัดไกล่เกลี่ยกับแจ็กสันนอกศาลและ แจ็กสันได้บริจาคเงิน 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับบรอตแมนเมดิคอลเซนเตอร์ ในคัลเวอร์ซิตี รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่เขาได้เข้ารักษา และยังให้โรงพยาบาลนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในการรักษารอยไหม้ให้แก่ผู้ป่วย ต่อมาตึกคนไข้ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "ไมเคิล แจ็กสัน เบิร์น เซนเตอร์" เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา<ref name = "tara 279–287">Taraborrelli, pp. 279–287</ref>


[[ไฟล์:Michael_Jackson_with_the_Reagans.jpg|thumb|left|แจ็กสันที่ทำเนียบขาว กับประธานาธิบดี[[โรนัลด์ เรแกน]]และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง [[แนนซี เรแกน]] ปี 1984]]
[[ไฟล์:Michael_Jackson_with_the_Reagans.jpg|thumb|left|แจ็กสันที่ทำเนียบขาว กับประธานาธิบดี[[โรนัลด์ เรแกน]]และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง [[แนนซี เรแกน]] ปี 1984]]
วันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1984 แจ็กสันได้รับเชิญให้รับรางวัลที่[[ทำเนียบขาว]] โดยมีประธานาธิบดี [[โรนัลด์ เรแกน]]เป็นผู้มอบรางวัลให้ สำหรับการช่วยเหลือการกุศลให้กับผู้ที่เอาชนะต่อสุราและ[[ยาเสพติด]]<ref>Taraborrelli, pp. 304–307</ref> เขาได้รับ 8 [[รางวัลแกรมมี่]]ในปี 1984 แตกต่างจากอัลบั้มชุดก่อน ''Thriller'' ที่เขาไม่ได้ออกทัวร์การประชาสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ แต่ในปี 1984 เขามีทัวร์วิกทอรีทัวร์ นำโดยเดอะแจ็กสันส์ ที่แสดงผลงานเดี่ยวให้ผู้ชมอเมริกันมากกว่า 2 ล้านคน<ref>Taraborrelli, pp. 315–319</ref> เขายังบริจาคเงิน 5 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐจากวิกทอรีทัวร์ให้การกุศลด้วย<ref>Taraborrelli, p. 320</ref>
วันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1984 แจ็กสันได้รับเชิญให้รับรางวัลที่[[ทำเนียบขาว]] สำหรับผลงานด้านมนุษยธรรมของเขา โดยมีประธานาธิบดี [[โรนัลด์ เรแกน]]เป็นผู้มอบรางวัลให้ สำหรับการช่วยเหลือการกุศลให้กับผู้ที่เอาชนะต่อสุราและ[[ยาเสพติด]]<ref>Taraborrelli, pp. 304–307</ref>และมอบคำกล่าวขวัญแก่การสนับสนุนของเขาที่มีต่อสภาและทางหลวงแห่งชาติในการรณรงค์เมาแล้วไม่ขับ แจ็กสันบริจาคเพลง "Beat it" เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์ สำหรับบริการสาธารณะ<ref>http://www.aef.com/exhibits/social_responsibility/ad_council/2399/:pf_printable</ref>


แตกต่างจากอัลบั้มชุดก่อน ''Thriller'' ไม่ได้มีการประชาสัมพันธ์สำหรับการออกทัวร์อย่างเป็นทางการ แต่ในปี 1984 เขามีทัวร์วิกทอรีทัวร์ นำโดยเดอะแจ็กสันส์ ที่แสดงผลงานเดี่ยว ให้ผู้ชมอเมริกันมากกว่า 2 ล้านคน<ref>Taraborrelli, pp. 315–319</ref> เขายังบริจาคเงิน 5 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐจากวิกทอรีทัวร์ให้การกุศลด้วย<ref>Taraborrelli, p. 320</ref> ผลงานการกุศลและรางวัลด้านมนุษยธรรมของเขายังคงมีบทบาทอย่างต่อเนื่องกับการเปิดตัวเพลง "[[We Are the World]]" ซึ่งเขาเขียนเพลงร่วมกับ[[ไลโอเนล ริชชี]] <ref>http://www.grammy.com/nominees/search?artist=&field_nominee_work_value=%22We+Are+The+World%22&year=All&genre=All</ref> เขาได้ร่วมกับศิลปินอีก 39 คน ในการบันทึกเสียง เมื่อวันที่ 28 มกราคม 1985 และได้รับการปล่อยออกทั่วโลกในเดือนมีนาคม เพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ใน[[แอฟริกา]]และในสหรัฐอเมริกา ซิงเกิลนี้ทำรายได้มากกว่า 63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อบรรเทาความอดยาก<ref>http://www.pophistorydig.com/topics/michael-mccartney-1980s-2009/</ref> และกลายเป็นหนึ่งในซิงเกิลที่ขายดีที่สุดตลอดกาล ด้วยยอดขายมากกว่า 20 ล้านชุด <ref>http://usatoday30.usatoday.com/life/people/2009-06-26-jackson-faces_N.htm</ref> "We Are the World" ได้รับรางวัลแกรมมี่ในปี 1985 ในสาขาบทเพลงแห่งปี และถึงแม้ว่าคณะกรรมการจากอเมริกันมิวสิกอวอร์ดสจะถอนเพลงการกุศลออกจากการแข่งขันเนื่องจากเห็นว่าไม่เหมาะสม แต่งานแสดงอเมริกันมิวสิกอวอร์ดสในปี 1986 ก็ได้ข้อสรุปในการสรรเสริญบทเพลงนี้สำหรับวันครบรอบ 1 ปี ผู้คิดโปรเจกต์ยังได้เกียรติพิเศษจาก AMA สำหรับผู้สร้างสรรค์บทเพลง และอีกหนึ่งไอเดียสำหรับสหรัฐอเมริกาไปยังแอฟริก โดยแจ็กสัน ควินซีโจนส์ และผู้จัดงาน เคน คราเกน ได้รับรางวัลพิเศษสำหรับบทบาทของพวกเขาในการสร้างสรรค์เพลง <ref>http://www.grammy.com/nominees/search?artist=&field_nominee_work_value=%22We+Are+The+World%22&year=All&genre=All</ref>
แจ็กสันร่วมเขียนเพลงการกุศล ในซิงเกิล "[[We Are the World]]" ร่วมกับ[[ไลโอเนล ริชชี]] ที่ออกวางขายทั่วโลกเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ใน[[แอฟริกา]]และในสหรัฐอเมริกา เขาได้ร่วมกับศิลปินอีก 39 คนร่วมบันทึกเสียงในเพลงนี้ ซิงเกิลนี้ถือเป็นซิงเกิลที่ขายดีที่สุดตลอดกาล ด้วยยอดขายเกือบ 20 ล้านชุดและเงินส่วนหนึ่งหลายล้านดอลลาร์ได้มอบให้การบรรเทาความยากไร้<ref>Taraborrelli, pp. 340–344</ref>


ขณะที่เขาทำงานร่วมกับพอล แม็กคาร์ตนีย์ ในซิงเกิลฮิตสองเพลงคือ "The Girl Is Mine" และ "Say Say Say" ทั้งคู่ก็ได้เป็นมิตรกัน และยังมีโอกาสไปมาหาสู่ด้วยกัน ในการสนทนาครั้งหนึ่ง แม็กคาร์ตนีย์บอกแจ็กสันเกี่ยวกับเงินหลายล้านดอลลาร์ที่เขาได้จากเพลง เขามีรายได้ราว 40 ล้านเหรียญต่อปีจากเพลงของคนอื่น แจ้กสันจึงเริ่มสนใจธุรกิจอาชีพการซื้อ ขายและลิขสิทธิ์การจำหน่ายด้านดนตรีกับศิลปินหลาย ๆ คน แต่เขาก็ระมัดระวังในการซื้อขายเหล่านั้น เขาเริ่มต้นธุรกิจการซื้อขายเพลงอยู่หลายเพลง หลังจากนั้นไม่นาน เอทีวีซองส์ แค็ตตาล็อกเพลงที่มีเพลงกว่าพันเพลง รวมถึงเพลงที่เขียนโดยเลนนอนและแม็กคาร์ตนีย์ระหว่างปี 1963-1973 ก็ถูกเสนอขาย<ref name = "tara 333-337">Taraborrelli, pp. 333–337</ref><ref name = "1995 music deal">{{cite news|url=http://query.nytimes.com/gst/fullpage.html?res=9B01E7DD1439F93BA35752C1A963958260 |title=Michael Jackson sells Beatles songs to Sony |work=The New York Times |date=November 8, 1995 |accessdate=July 23, 2008}}</ref>
แจ็กสันมีความสนใจในธุรกิจซื้อขายลิขสิทธิ์เพลงที่กำลังขยายตัว ขณะที่เขาทำงานร่วมกับพอล แม็กคาร์ตนีย์ในช่วงต้นปี 1980 ทั้งคู่ก็ได้เป็นมิตรกัน และยังมีโอกาสไปมาหาสู่ด้วยกัน เขาได้เรียนรู้ต่อมาว่าแม็กคาร์ตนีย์ สามารถทำรายได้ราว 40 ล้านเหรียญต่อปีจากเพลงของคนอื่น แจ็กสันจึงเริ่มสนใจธุรกิจอาชีพการซื้อขายลิขสิทธิ์การจำหน่ายด้านดนตรีกับศิลปินหลาย ๆ คน แต่เขาก็ระมัดระวังในการซื้อขายเหล่านั้น เขาเริ่มต้นธุรกิจการซื้อขายเพลงอยู่หลายเพลง หลังจากนั้นไม่นาน เอทีวีซองส์ ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ที่มีเพลงกว่าพันเพลง รวมถึงนอร์เทิร์นซองส์ แค็ตตาล็อกเพลงที่ส่วนใหญ่ที่เขียนโดยเลนนอนและแม็กคาร์ตนีย์ระหว่างปี 1963-1973 ก็ถูกเสนอขาย<ref name = "tara 333-337">Taraborrelli, pp. 333–337</ref><ref name = "1995 music deal">{{cite news|url=http://query.nytimes.com/gst/fullpage.html?res=9B01E7DD1439F93BA35752C1A963958260 |title=Michael Jackson sells Beatles songs to Sony |work=The New York Times |date=November 8, 1995 |accessdate=July 23, 2008}}</ref>


ในปี 1984 โรเบิร์ต โฮล์มส์ศาล เศรษฐีนักลงทุนชาวออสเตรเลียผู้เป็นเจ้าของ ATV Music Publishing ได้ประกาศว่าเขากำลังนำแคตตาล็อกเพลงขึ้นเพื่อขาย<ref>http://www.latimes.com/la-et-hilburn-michael-jackson-sep22-story.html</ref>ในปี 1981 แม็กคาร์ตนีย์ได้รับการเสนอราคาแคตตาล็อกที่ 40 ล้านเหรียญดอลลาร์ <ref>http://mjjinfo.blogspot.fr/2010/11/paul-mccartney-refused-to-buy-atv.html</ref>สอดคล้องกับช่วงเวลาที่แม็กคาร์ตนีย์เองได้ติดต่อ[[โยโกะ โอโนะ]]เพื่อซื้อลิขสิทธิ์ร่วมกัน โดยสนนราคาแยกกันคนละ 20 ล้านเหรียญดอลลาร์ แต่โอโนะคิดว่าพวกเขาสามารถซื้อมันด้วยราคา 10 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ<ref>http://www.pophistorydig.com/topics/michael-mccartney-1980s-2009/</ref> เมื่อทั้งสองไม่สามารถตกลงกันได้ และแม็กคาร์ตนีย์ ซึ่งไม่ต้องการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เดอะบีทเทิ่ลเพียงลำพัง ก็ไม่ได้ติดตามข้อเสนอของเขาอีกเลย <ref>http://mjjinfo.blogspot.fr/2010/11/paul-mccartney-refused-to-buy-atv.html</ref> ตามการเจรจาต่อรองซื้อขายของ โฮล์มส์ศาล ในปี 1984 โดยแม็กคาร์ตนีย์ได้บอกปัดก่อนและปฏิเสธที่จะซื้อขาย<ref>http://mjjinfo.blogspot.fr/2010/11/paul-mccartney-refused-to-buy-atv.html</ref>
แจ็กสันสนใจในแค็ตตาล็อกนี้แต่ก็ถูกเตือนว่าเขาอาจมีการแข่งขันสูง แต่เขาก็พูดว่า "ผมไม่สนใจ ผมต้องการเพลงเหล่านั้น เอาเพลงเหล่านั้นมาให้ได้บรังกา" (นักกฎหมายของเขา) ต่อจากนั้นบรังกาได้ติดต่อกับนักกฎหมายของแม็กคาร์ตนีย์ที่เข้าใจว่าลูกค้าของเขาไม่สนใจที่จะเสนอราคา แม็กคาร์ตนีย์ได้บอกว่า "มันราคาสูงเกินไป" หลังจากแจ็กสันเริ่มพูดคุยต่อรอง แม็กคาร์ตนีย์ก็เริ่มเปลี่ยนใจและพยายามโน้มน้าว [[โยโกะ โอโนะ]] ให้ร่วมกับเขาเพื่อเสนอขายเพลง แต่เธอก็ปฏิเสธ เขาจึงถอนตัว จนในที่สุดแจ็กสันสามารถเอาชนะคู่แข่งอื่นในการเจรจาหลายต่อหลายครั้งใน 10 เดือน โดยสนนราคาแค็ตตาล็อกเพลงที่ 47.5 ล้านเหรียญดอลลาร์ เมื่อแม็กคาร์ตนีย์รับรู้ผลการประมูล เขากล่าวว่า "ผมคิดว่ามันน่าสงสัยที่จะทำอย่างนี้ ที่เป็นเพื่อนกับคนคนหนึ่ง แล้วขอซื้อพรมที่เขายืนอยู่"<!--I think it's dodgy to do things like that. To be someone's friend and then buy the rug they're standing on--><ref name = "tara 333-337"/><ref name="Guardian document finances">{{cite news|url=http://arts.guardian.co.uk/features/story/0,,1506781,00.html |title=Bad Fortunes |work=[[The Guardian]] |date=June 15, 2005 |accessdate=July 23, 2008}}</ref>


แจ็กสันรับรู้การซื้อขายจากนักฏกหมายของเขา จอห์น บรังกา เขาสนใจในแค็ตตาล็อกนี้แต่ก็ถูกเตือนว่าเขาอาจมีการแข่งขันสูง แต่เขาก็พูดว่า "ผมไม่สนใจ ผมต้องการเพลงเหล่านั้น เอาเพลงเหล่านั้นมาให้ได้บรังกา" (นักกฎหมายของเขา) ต่อจากนั้นบรังกาได้ติดต่อกับนักกฎหมายของแม็กคาร์ตนีย์ที่เข้าใจว่าลูกค้าของเขาไม่สนใจที่จะเสนอราคา เนื่องจากแม็กคาร์ตนีย์รู้สึกว่ามันมีราคาที่สูงเกินไป<ref>http://www.pophistorydig.com/topics/michael-mccartney-1980s-2009/</ref> แต่บริษัทและนักลงทุนหลายคนต่างก็มีความสนใจในการเสนอราคา แจ็กสันเริ่มพูดคุยต่อรอง จนในที่สุดแจ็กสันสามารถเอาชนะคู่แข่งอื่นในการเจรจาหลายต่อหลายครั้งใน 10 เดือน โดยสนนราคาแค็ตตาล็อกเพลงที่ 47.5 ล้านเหรียญดอลลาร์ การซื้อขาย ATV Music Publishing ของแจ็กสันจึงสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 1985 <ref>http://www.latimes.com/la-et-hilburn-michael-jackson-sep22-story.html</ref>
===1986-90: แท็บลอยด์ , การปรากฏตัว , อัลบั้ม ''Bad'' อัตชีวประวัติ และผลงานภาพยนตร์ ===

สีผิวของแจ็กสันตั้งแต่ในช่วงเด็กมีสีน้ำตาลปานกลาง แต่เมื่อเริ่มต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 สีผิวของเขาดูซีดลง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้สื่อประโคม รวมถึงมีข่าวลือออกมาว่าเขาฟอกสีผิว<ref name = "campbell (1995) 14-16"/> ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 แจ็กสันถูกวินิจฉัยว่าเป็น[[โรคด่างขาว]]และ[[โรคลูปัส]] การป่วยเป็นทั้งสองโรคนี้ทำให้เขาระคายเคืองต่อแสงแดด การรักษาในส่วนสีผิวที่ขาวกว่าเขาใช้การเมคอัพในบริเวณรอยด่าง<ref name="Taraborrelli">Taraborrelli, pp. 434–436</ref> ส่วนโครงหน้าของเขาก็เช่นกันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดจากการทำศัลยกรรมหลายครั้ง แจ็กสันทำศัลยกรรมจมูก ยกหน้าผาก ทำปากให้บางลงและโหนกแก้ม<ref>{{cite web |url=http://abcnews.go.com/Health/Cosmetic/story?id=131910&page=1 |title=Surgeon: Michael Jackson A 'Nasal Cripple' |publisher=[[ABC News]] |date= (February 8, 2003) |accessdate=November 11, 2006}}</ref> ในการเปลี่ยนหน้าตาก็เป็นในช่วงเวลาที่เขามีน้ำหนักที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด<ref name = "tara 138–144"/> แจ็กสันมีน้ำหนักที่ลดลงมาตั้งแต่ช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 เพราะเปลี่ยนการควบคุมน้ำหนักและความต้องการให้มีร่างกายแบบนักเต้น<ref name = "jackson 229-230">Jackson, pp. 229–230</ref> มีผู้เกี่ยวข้องเห็นว่าแจ็กสันมักจะหน้ามืด และเห็นว่าเขามักจะทนทุกข์จาก[[แอเนอะเร็กเซีย เนอร์โวซา]] (anorexia nervosa) หรือการกลัวอ้วน ซึ่งเป็นช่วงที่เขาน้ำหนักลดลงและเป็นปัญหาต่ออาชีพการเป็นนักร้องของเขาในเวลาต่อมา<ref name = "tara 312–313">Taraborrelli, pp. 312–313</ref>
===1986-90: รายงานเท็จของแท็บลอยด์ , การปรากฏตัว , อัลบั้ม ''Bad'' , อัตชีวประวัติ และผลงานภาพยนตร์ ===
สีผิวของแจ็กสันตั้งแต่ในช่วงวัยเด็กมีสีน้ำตาลปานกลาง แต่เมื่อเริ่มต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 สีผิวของเขาดูซีดลง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้สื่อประโคม รวมถึงมีข่าวลือออกมาว่าเขาฟอกสีผิว<ref name = "campbell (1995) 14-16"/> ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 แจ็กสันถูกวินิจฉัยว่าเป็น[[โรคด่างขาว]]และ[[โรคลูปัส]] การป่วยเป็นทั้งสองโรคนี้ทำให้เขาระคายเคืองต่อแสงแดด การรักษาในส่วนสีผิวที่ขาวกว่าเขาใช้การเมคอัพในบริเวณรอยด่าง<ref name="Taraborrelli">Taraborrelli, pp. 434–436</ref>แจ็กสันกล่าวว่าเขาศัลยกรรมจมูกสองครั้งและไม่ได้มีการทำศัลยกรรมในส่วนอื่นๆ เขามีน้ำหนักที่ลดลงมาตั้งแต่ช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 เพราะเปลี่ยนการควบคุมน้ำหนักและความต้องการให้มีร่างกายแบบนักเต้น<ref name = "jackson 229-230">Jackson, pp. 229–230</ref> มีผู้เกี่ยวข้องเห็นว่าแจ็กสันมักจะหน้ามืด และเห็นว่าเขามักจะทนทุกข์จาก[[แอเนอะเร็กเซีย เนอร์โวซา]] (anorexia nervosa) หรือการกลัวอ้วน ซึ่งเป็นช่วงที่เขาน้ำหนักลดลงและกลสยเป็นปัญหาต่ออาชีะของเขาในเวลาต่อมา<ref name = "tara 312–313">Taraborrelli, pp. 312–313</ref>


[[ไฟล์:Michael Jackson gives autographCropped.jpg|thumb|แจ็กสัน หลังสองปีที่เขาป่วยเป็น[[โรคด่างขาว]] (vitiligo)]]
[[ไฟล์:Michael Jackson gives autographCropped.jpg|thumb|แจ็กสัน หลังสองปีที่เขาป่วยเป็น[[โรคด่างขาว]] (vitiligo)]]
ในปี 1986 ข่าวใน[[แท็บลอยด์]] เขียนเรื่องราวว่าแจ็กสันนอนในตู้อ๊อกซิเจน (hyperbaric oxygen chamber) <ref name="BBC, Jackson's image problems">{{cite news |url=http://news.bbc.co.uk/1/hi/entertainment/music/4584367.stm |title=Music's misunderstood superstar |publisher=BBC |date= (June 13, 2005) |accessdate=July 14, 2008}}</ref> เพื่อชะลอสังขาร มีภาพถ่ายเขานอนอยู่ในกล่องตู้กระจก ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะไม่จริง แจ็กสันศัลยกรรมจมูกครั้งที่ 4 และต้องการให้เขาดูแมนขึ้นจึงทำรอยแยกบริเวณคาง<ref name = "tara 205–210"/> ต่อมาเมื่อแจ็กสันซื้อ[[ลิงชิมแพนซี]] ที่มีชื่อว่า บับเบิลส์ มาก็มีการรายงานว่าทำให้เขาตีห่างจากสังคมยิ่งขึ้น<ref>{{cite journal|first=Michael|last=Goldberg|coauthors=David Handelman|url=http://www.rollingstone.com/news/coverstory/28852269|title=Is Michael Jackson for Real?|journal=Rolling Stone|date=1987-09-24|accessdate=July 3, 2009}}</ref> ในปี 2003 แจ็กสันกล่าวว่าบับเบิลส์ถูกฝึกให้ใช้ห้องน้ำเป็นและทำความสะอาดห้องนอนของตัวเอง<ref name="BBC, Jackson's image problems"/> ต่อมายังมีข่าวว่าแจ็กสันเสนอเงินซื้อกระดูก[[โจเซฟ เมอร์ริค]] หรือมนุษย์ช้าง เป็นเงิน 1 ล้านเหรียญ<ref>{{cite web|url=http://www.time.com/time/business/article/0,8599,1907401,00.html|title=What Happened to Michael Jackson's Millions?|first=Adam|last=Smith|publisher=Time|date=June 26, 2009|accessdate=July 5, 2009}}</ref>และถึงแม้จะไม่ได้เป็นเรื่องจริง แจ็กสันก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธเรื่องดังกล่าวในเวลานั้นแต่อย่างใด แม้ว่าเขาจะเห็นโอกาสในการประชาสัมพันธ์ก็ตาม ต่อมาแจ็คสันหยุดการรั่วไหลเรื่องราวที่ไม่เป็นความจริง แต่พวกเขาเริ่มรู้สึกได้ว่าเรื่องดังกล่าวกระทบความรู้สึกของแจ็กสันมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ สื่อดังกล่าวจึงเริ่มกุเรื่องราวข่าวลือเกี่ยวกับตัวเขา<ref>http://news.bbc.co.uk/2/hi/entertainment/4584367.stm</ref>
ในปี 1986 ข่าวใน[[แท็บลอยด์]] เขียนเรื่องราวว่าแจ็กสันนอนในตู้อ๊อกซิเจน (hyperbaric oxygen chamber) <ref name="BBC, Jackson's image problems">{{cite news |url=http://news.bbc.co.uk/1/hi/entertainment/music/4584367.stm |title=Music's misunderstood superstar |publisher=BBC |date= (June 13, 2005) |accessdate=July 14, 2008}}</ref> เพื่อชะลอสังขาร มีภาพถ่ายเขานอนอยู่ในกล่องตู้กระจก ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะไม่จริง แจ็กสันศัลยกรรมจมูกครั้งที่ 4 และต้องการให้เขาดูแมนขึ้นจึงทำรอยแยกบริเวณคาง<ref name = "tara 205–210"/> ต่อมาเมื่อแจ็กสันซื้อ[[ลิงชิมแพนซี]] ที่มีชื่อว่า บับเบิลส์ มาก็มีการรายงานว่าทำให้เขาตีห่างจากสังคมยิ่งขึ้น<ref>{{cite journal|first=Michael|last=Goldberg|coauthors=David Handelman|url=http://www.rollingstone.com/news/coverstory/28852269|title=Is Michael Jackson for Real?|journal=Rolling Stone|date=1987-09-24|accessdate=July 3, 2009}}</ref> ในปี 2003 แจ็กสันกล่าวว่าบับเบิลส์ถูกฝึกให้ใช้ห้องน้ำเป็นและทำความสะอาดห้องนอนของตัวเอง<ref name="BBC, Jackson's image problems"/> ต่อมายังมีข่าวว่าแจ็กสันเสนอเงินซื้อกระดูก[[โจเซฟ เมอร์ริค]] หรือมนุษย์ช้าง เป็นเงิน 1 ล้านเหรียญ<ref>{{cite web|url=http://www.time.com/time/business/article/0,8599,1907401,00.html|title=What Happened to Michael Jackson's Millions?|first=Adam|last=Smith|publisher=Time|date=June 26, 2009|accessdate=July 5, 2009}}</ref>และถึงแม้จะไม่ได้เป็นเรื่องจริง แจ็กสันก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธเรื่องดังกล่าวในเวลานั้นแต่อย่างใด แม้ว่าเขาจะเห็นโอกาสในการประชาสัมพันธ์ก็ตาม ต่อมาแจ็คสันหยุดการรั่วไหลเรื่องราวที่ไม่เป็นความจริง แต่พวกเขาเริ่มรู้สึกได้ว่าเรื่องดังกล่าวกระทบความรู้สึกของแจ็กสันมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ สื่อดังกล่าวจึงเริ่มกุเรื่องราวข่าวลือเกี่ยวกับตัวเขา<ref>http://news.bbc.co.uk/2/hi/entertainment/4584367.stm</ref>


จากนั้นเขาแสดงนำในภาพยนตร์สามมิติเรื่อง ''Captain EO'' กำกับโดย[[แฟรนซิส ฟอร์ด คอปโปลา]] ถือเป็นภาพยนตร์ที่แพงที่สุดที่ผลิตขึ้นต่อ 1 นาที ณ เวลานั้น และเขาเป็นพิธีกรให้กับดิสนีย์ธีมพาร์ก และดิสนีย์ยังได้นำภาพยนตร์บรรจุอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า ทูมอร์โรว์แลนด์ เป็นเวลาเกือบ 11 ปี ขณะที่วอลต์ดิสนีย์ ฉายภาพยนตร์ในบริเวณเอปคอต ตั้งแต่ปี 1986 ถึง 1994<ref name = "Nelson George overview 41">George, p. 41</ref> และจากความคาดหวังในเพลงฮิต แจ็กสันออกผลงานครั้งแรกในรอบ 5 ปี ในชุด ''[[แบด (อัลบั้ม)|Bad]]'' ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ถูกคาดหวังอย่างมาก<ref name="TIME2">{{cite news|url=http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,965452-2,00.html |title=The Badder They Come|last=Cocks |first=Jay|authorlink=Jay Cocks|date=September 14, 1987|work=Time |accessdate=July 23, 2008}}</ref> ''Bad'' ทำยอดขายได้ต่ำกว่า ''Thriller'' แต่ก็ยังถือว่าประสบความสำเร็จ ในสหรัฐอเมริกามีซิงเกิล 7 ซิงเกิล ซึ่ง 5 ซิงเกิลขึ้นอันดับ 1 ("I Just Can't Stop Loving You" "Bad" "The Way You Make Me Feel", "Man in the Mirror" และ "Dirty Diana") ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกและยังไม่เคยมีอัลบั้มใดทำได้<ref name="A life in the spotlight&nbsp;— cnn">{{cite web |first=Todd |last=Leopold |url=http://edition.cnn.com/2005/SHOWBIZ/Music/01/30/jackson.life/ |title=Michael Jackson: A life in the spotlight |publisher=CNN|date=June 6, 2005|accessdate=May 5, 2008}}</ref> จากข้อมูลปี 2008 อัลบั้มขายได้กว่า 30 ล้านชุดทั่วโลก ซึ่งขายได้ในอเมริกา 8 ล้านชุด<ref name="RIAA certifications"/><ref name="Bad 30 million copies">{{cite news |first=Mark|last=Savage|url=http://news.bbc.co.uk/2/hi/entertainment/7448908.stm|title=Michael Jackson: Highs and lows |publisher=BBC |date=August 29, 2008|accessdate=November 25, 2008}}</ref> ในปี 1987 เขาผันตัวเข้าลัทธิ[[พยานพระยะโฮวา]] ซึ่งก็มีคนต่อต้านเขา<ref name=ebony1>{{citation | title =Vol. 42, No. 11 | newspaper =Ebony Magazine | publisher=Johnson Publishing Company | pages =143 | date =September 1987}}</ref><ref name=ebony2>{{citation | title =Vol. 45, No. 12 | newspaper =Ebony Magazine | publisher=Johnson Publishing Company | pages =66 | date =October 1990}}</ref>
จากนั้นเขาแสดงนำในภาพยนตร์สามมิติเรื่อง ''Captain EO'' กำกับโดย[[แฟรนซิส ฟอร์ด คอปโปลา]] ถือเป็นภาพยนตร์ที่แพงที่สุดที่ผลิตขึ้นต่อ 1 นาที ณ เวลานั้น และเขาเป็นพิธีกรให้กับดิสนีย์ธีมพาร์ก และดิสนีย์ยังได้นำภาพยนตร์บรรจุอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า ทูมอร์โรว์แลนด์ เป็นเวลาเกือบ 11 ปี ขณะที่วอลต์ดิสนีย์ ฉายภาพยนตร์ในบริเวณเอปคอต ตั้งแต่ปี 1986 ถึง 1994<ref name = "Nelson George overview 41">George, p. 41</ref>ในปี 1987 เขาผันตัวเองออกจากลัทธิ[[พยานพระยะโฮวา]] เพื่อตอบสนองความไม่พอใจของพวกเขาจากการแสดงมิวสิกวิดีโอเพลงทริลเลอร์<ref name=ebony1>{{citation | title =Vol. 42, No. 11 | newspaper =Ebony Magazine | publisher=Johnson Publishing Company | pages =143 | date =September 1987}}</ref><ref name=ebony2>{{citation | title =Vol. 45, No. 12 | newspaper =Ebony Magazine | publisher=Johnson Publishing Company | pages =66 | date =October 1990}}</ref>

และจากความคาดหวังในเพลงฮิต แจ็กสันออกผลงานครั้งแรกในรอบ 5 ปี ในอัลบั้ม ''[[แบด (อัลบั้ม)|Bad]]'' ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ถูกคาดหวังอย่างมาก<ref name="TIME2">{{cite news|url=http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,965452-2,00.html |title=The Badder They Come|last=Cocks |first=Jay|authorlink=Jay Cocks|date=September 14, 1987|work=Time |accessdate=July 23, 2008}}</ref>อัลบั้มมี 7 ซิงเกิล ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในสหรัฐอเมริกา ซึ่ง 5 ซิงเกิล ประกอบด้วย ("I Just Can't Stop Loving You" "Bad" "The Way You Make Me Feel", "Man in the Mirror" และ "Dirty Diana") ขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ดฮอต 100 ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกที่มีเพลงอันดับ 1 จากอัลบั้มเดียวมากที่สุด<ref name="A life in the spotlight&nbsp;— cnn">{{cite web |first=Todd |last=Leopold |url=http://edition.cnn.com/2005/SHOWBIZ/Music/01/30/jackson.life/ |title=Michael Jackson: A life in the spotlight |publisher=CNN|date=June 6, 2005|accessdate=May 5, 2008}}</ref> จากข้อมูลปี 2012 อัลบั้มมียอดขายระหว่าง 30-45 ล้านชุดทั่วโลก ซึ่งขายได้ในอเมริกา 9 ล้านชุด<ref name="RIAA certifications"/><ref name="Bad 30 million copies">{{cite news |first=Mark|last=Savage|url=http://news.bbc.co.uk/2/hi/entertainment/7448908.stm|title=Michael Jackson: Highs and lows |publisher=BBC |date=August 29, 2008|accessdate=November 25, 2008}}</ref><ref>http://www.reuters.com/article/entertainment-us-michaeljackson-bad-idUSBRE84K0Z120120521</ref> อัลบั้มได้รับ 2 รางวัลแกรมมี่ สำหรับสาขาจัดการเสียงยอดเยี่ยม และสาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม สำหรับเพลง "Leave Me Alone" ในปี 1989 <ref>http://www.grammy.com/nominees/search?artist=Bruce+Swedien&title=&year=All&genre=All</ref><ref>http://www.songfacts.com/detail.php?id=16058</ref> ในปีเดียวกัน แจ็กสันได้รับรางวัลพิเศษ "รางวัลแห่งความสำเร็จ" ที่งานอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส เนื่องจาก ''Bad'' ถือเป็นอัลบั้มแรกที่มีถึง 5 ซิงเกิล ติดอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา อัลบั้มแรกที่ติดท๊อปใน 25 ประเทศ และเป็นอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดทั่วโลกในปี 1987 และ 1988 เขายังได้รับรางวัล อเมริกันมิวสิกอวอร์ดส สาขาเพลงโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยมจากเพลง "Bad" <ref>https://news.google.co.uk/newspapers?id=lZozAAAAIBAJ&sjid=lTIHAAAAIBAJ&pg=4477,3617735</ref>


[[ไฟล์:Michael Jackson's "Bad" Jacket and Belt.jpg|thumb|left|ชุดแจ็กเกตสไตล์ทหาร กับแผ่นทองคำ ที่ช่วงชุดอัลบั้ม ''Bad'']]
[[ไฟล์:Michael Jackson's "Bad" Jacket and Belt.jpg|thumb|left|ชุดแจ็กเกตสไตล์ทหาร กับแผ่นทองคำ ที่ช่วงชุดอัลบั้ม ''Bad'']]
บรรทัด 90: บรรทัด 102:


[[ไฟล์:Michael Jackson The Way You Make Me Feel.jpg|thumb|180px|แจ็กสันแสดงเพลง "[[The Way You Make Me Feel]]"]]
[[ไฟล์:Michael Jackson The Way You Make Me Feel.jpg|thumb|180px|แจ็กสันแสดงเพลง "[[The Way You Make Me Feel]]"]]
ในปี 1988 แจ็กสันออก[[อัตชีวประวัติ]]ที่ชื่อ "มูนวอล์ก" ที่ใช้เวลาทำกว่า 4 ปีและขายได้กว่า 200,000 ชุด<ref>{{cite web|url=http://www.boston.com/ae/celebrity/articles/2009/06/27/writer_stephen_davis_remembers_michael_jackson/|title=Remembering Michael|author=Shanahan, Mark and Goldstein, Meredith|publisher=''The Boston Globe''|date=June 27, 2009|accessdate=July 2, 2009}}</ref> แจ็กสันเล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ร่วมในวงแจ็กสันไฟฟ์ รวมถึงความเจ็บปวดต่อการถูกทารุณในวัยเด็ก<ref>Jackson, pp. 29–31</ref> เขายังพูดถึงเรื่องศัลยกรรมพลาสติก ว่าเขาศัลยกรรมจมูกสองครั้งและผ่าที่คาง<ref name = "jackson 229-230"/> ในหนังสือเขาให้เหตุผลถึงการเปลี่ยนโครงหน้าของเขา น้ำหนักตัวที่ลดลง การควบคุมอาหารด้วยการเป็นมังสวิรัติ การเปลี่ยนทรงผมและแสงสีบนเวที<ref name = "jackson 229-230"/> "มูนวอล์ก" ติดอันดับ 1 บนยอดหนังสือขายดีของ ''[[นิวยอร์กไทมส์]]''<ref name = "Nelson George overview 42">George, p. 42</ref> ต่อมาเขาออกภาพยนตร์ที่ชื่อ "[[มูนวอคเกอร์ ดิ้นมหัศจรรย์|มูนวอคเกอร์]]" ที่รวบรวมการแสดงสด มิวสิกวิดีโอ และตอนแสดงของแจ็กสันและโจ เพสซี "มูนวอคเกอร์" ติดอันดับ 1 ในสัปดาห์แรกบนชาร์ตบิลบอร์ดท็อปวิดีโอคาสเซตต์ ติดอันดับนาน 22 สัปดาห์ ซึ่งต่อมาก็ถูกโค่นอันดับ 1 โดยผลงานชุด ''Michael Jackson: The Legend Continues'' ของเขาเอง<ref name = "Nelson George overview 43-44"/>
ในปี 1988 แจ็กสันออก[[อัตชีวประวัติ]]ที่ชื่อ "มูนวอล์ก" ที่ใช้เวลาทำกว่า 4 ปีและขายได้กว่า 200,000 ชุด<ref>{{cite web|url=http://www.boston.com/ae/celebrity/articles/2009/06/27/writer_stephen_davis_remembers_michael_jackson/|title=Remembering Michael|author=Shanahan, Mark and Goldstein, Meredith|publisher=''The Boston Globe''|date=June 27, 2009|accessdate=July 2, 2009}}</ref> แจ็กสันเล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ร่วมในวงแจ็กสันไฟฟ์ รวมถึงความเจ็บปวดต่อการถูกทารุณในวัยเด็ก<ref>Jackson, pp. 29–31</ref> เขายังพูดถึงเรื่องศัลยกรรมพลาสติก ว่าเขาศัลยกรรมจมูกสองครั้งและผ่าที่คาง<ref name = "jackson 229-230"/> ในหนังสือเขาให้เหตุผลถึงการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์บนใบหน้าของเขา น้ำหนักตัวที่ลดลง การควบคุมอาหารด้วยการเป็นมังสวิรัติ การเปลี่ยนทรงผมและแสงสีบนเวที<ref name = "jackson 229-230"/> "มูนวอล์ก" ติดอันดับ 1 บนยอดหนังสือขายดีของ ''[[นิวยอร์กไทมส์]]''<ref name = "Nelson George overview 42">George, p. 42</ref> ต่อมาเขาออกภาพยนตร์ที่ชื่อ "[[มูนวอคเกอร์ ดิ้นมหัศจรรย์|มูนวอคเกอร์]]" ที่รวบรวมการแสดงสด มิวสิกวิดีโอ และตอนแสดงของแจ็กสันและโจ เพสซี "มูนวอคเกอร์" ติดอันดับ 1 ในสัปดาห์แรกบนชาร์ตบิลบอร์ดท็อปวิดีโอคาสเซตต์ ติดอันดับนาน 22 สัปดาห์ ซึ่งต่อมาก็ถูกโค่นอันดับ 1 โดยผลงานชุด ''Michael Jackson: The Legend Continues'' ของเขาเอง<ref name = "Nelson George overview 43-44"/>


ในเดือนมีนาคม 1988 แจ็กสันซื้อที่ดินใกล้กับ Santa Ynez รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อสร้างเนเวอร์แลนด์ที่มีมูลค่า 17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมี[[ชิงช้าสวรรค์]] สวนสัตว์ป่า และโรงภาพยนตร์บนเนื้อที่ 2,700 เอเคอร์ (11 ตร.กม.) มีผู้รักษาความปลอดภัย 40 คนบนพื้น ในปี 2003 มีการประเมินค่าเนเวอร์แลนด์ราว 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ<ref name="rollingstone"/><ref name="usatoday finances">{{cite news|first=Edna |last=Gundersen |url=http://www.usatoday.com/life/2003-11-24-jackson-finances_x.htm |title=For Jackson, scandal could spell financial ruin |work=[[USA Today]] |date=February 19, 2007 |accessdate=July 23, 2008}}</ref> ในปี 1989 รายได้ประจำปีของเขาจากการขายอัลบั้ม โฆษณาและคอนเสิร์ต ตีค่าราว 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนั้นปีเดียว<ref name="World Records"/> และแจ็กสันยังถือเป็นศิลปินตะวันตกคนแรกที่ปรากฏตัวทางโฆษณาทางโทรทัศน์ของ[[สหภาพโซเวียต]]<ref name = "Nelson George overview 43-44"/>
ในเดือนมีนาคม 1988 แจ็กสันซื้อที่ดินใกล้กับ Santa Ynez รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อสร้างเนเวอร์แลนด์ที่มีมูลค่า 17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมี[[ชิงช้าสวรรค์]] สวนสัตว์ป่า และโรงภาพยนตร์บนเนื้อที่ 2,700 เอเคอร์ (11 ตร.กม.) มีผู้รักษาความปลอดภัย 40 คนบนพื้น ในปี 2003 มีการประเมินค่าเนเวอร์แลนด์ราว 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ<ref name="rollingstone"/><ref name="usatoday finances">{{cite news|first=Edna |last=Gundersen |url=http://www.usatoday.com/life/2003-11-24-jackson-finances_x.htm |title=For Jackson, scandal could spell financial ruin |work=[[USA Today]] |date=February 19, 2007 |accessdate=July 23, 2008}}</ref> ในปี 1989 รายได้ประจำปีของเขาจากการขายอัลบั้ม โฆษณาและคอนเสิร์ต ตีค่าราว 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนั้นปีเดียว<ref name="World Records"/> และแจ็กสันยังถือเป็นศิลปินตะวันตกคนแรกที่ปรากฏตัวในโฆษณาทางโทรทัศน์ของ[[สหภาพโซเวียต]]<ref name = "Nelson George overview 43-44"/>


จากความสำเร็จของเขาทำให้ได้รับฉายา "King of Pop" หรือ ราชาเพลงป็อป จากนักแสดงหญิงที่ตั้งชื่อให้เขาคือ[[เอลิซาเบธ เทย์เลอร์]] เธอยังเชิญรางวัล "ศิลปินแห่งทศวรรษ" ให้กับเขาในปี 1989 โดยพูดว่า "ราชาแห่งป็อป ร็อกและโซลตัวจริง"<ref name="HIStory Booklet p3">Jackson, Michael. ''HIStory'' booklet. Sony BMG. p 3</ref><ref name="Colony">{{cite web|url=http://www.bloomberg.com/apps/news?pid=20601088&sid=admSeQqJY2Xs&refer=home|title=Michael Jackson's Neverland Loan Sold by Fortress to Colony|last=Keehner |first=Jonathan|coauthors=Mider, Zachary R. |publisher=[[Bloomberg L.P.]] |date=May 11, 2008| accessdate=May 12, 2008}}</ref> ประธานาธิบดี[[จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช]] ยังเชิญรางวัล "ศิลปินแห่งทศวรรษ" ให้เขาเป็นพิเศษที่ทำเนียบขาว เพื่อเป็นการสดุดีให้กับอิทธิพลทางด้านดนตรีตลอดคริสต์ทศวรรษ 1980<ref name=georgebush>{{cite web |url=http://www.presidency.ucsb.edu/ws/index.php?pid=18331|title=Remarks on the Upcoming Summit With President Mikhail Gorbachev of the Soviet Union |date= (April 5, 1990) |accessdate=April 8, 2007|work=The American Presidency Project}}</ref> จากปี 1985 ถึง 1990 แจ็กสันบริจาคเงิน 500,000 ดอลลาร์สหรัฐให้กับ United Negro College Fund และผลกำไรจากซิงเกิล "Man in the Mirror" ทั้งหมดก็เข้าการกุศล<ref name="Blacks who give back">{{cite news|url=http://findarticles.com/p/articles/mi_m1077/is_n5_v45/ai_8540117 |title=Blacks who give back |work=[[Ebony (magazine)|Ebony]] |date= (March 1990) |accessdate=July 23, 2008|archiveurl=http://archive.is/FNzl|archivedate=July 8, 2012}}</ref><ref>Taraborrelli, p. 382</ref>
จากความสำเร็จของเขา ทำให้เขาได้รับฉายา "King of Pop" หรือ "ราชาเพลงป็อป" จากนักแสดงหญิงที่ตั้งชื่อให้เขา [[เอลิซาเบธ เทย์เลอร์]] เธอยังเชิญรางวัลพิเศษ "ศิลปินแห่งทศวรรษ" ให้กับเขาในปี 1989 โดยพูดว่า "ราชาแห่งป็อป ร็อกและโซลตัวจริง"<ref name="HIStory Booklet p3">Jackson, Michael. ''HIStory'' booklet. Sony BMG. p 3</ref><ref name="Colony">{{cite web|url=http://www.bloomberg.com/apps/news?pid=20601088&sid=admSeQqJY2Xs&refer=home|title=Michael Jackson's Neverland Loan Sold by Fortress to Colony|last=Keehner |first=Jonathan|coauthors=Mider, Zachary R. |publisher=[[Bloomberg L.P.]] |date=May 11, 2008| accessdate=May 12, 2008}}</ref> ประธานาธิบดี[[จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช]] ยังเชิญรางวัล "ศิลปินแห่งทศวรรษ" ให้เขาเป็นพิเศษที่ทำเนียบขาว เพื่อเป็นการสดุดีให้กับอิทธิพลทางด้านดนตรีตลอดคริสต์ทศวรรษ 1980<ref name=georgebush>{{cite web |url=http://www.presidency.ucsb.edu/ws/index.php?pid=18331|title=Remarks on the Upcoming Summit With President Mikhail Gorbachev of the Soviet Union |date= (April 5, 1990) |accessdate=April 8, 2007|work=The American Presidency Project}}</ref> จากปี 1985 ถึง 1990 แจ็กสันบริจาคเงิน 500,000 ดอลลาร์สหรัฐให้กับ United Negro College Fund และผลกำไรจากซิงเกิล "Man in the Mirror" ทั้งหมดก็เข้าการกุศล<ref name="Blacks who give back">{{cite news|url=http://findarticles.com/p/articles/mi_m1077/is_n5_v45/ai_8540117 |title=Blacks who give back |work=[[Ebony (magazine)|Ebony]] |date= (March 1990) |accessdate=July 23, 2008|archiveurl=http://archive.is/FNzl|archivedate=July 8, 2012}}</ref><ref>Taraborrelli, p. 382</ref>


===1991-93: อัลบั้ม ''Dangerous'' , มูลนิธิฮีลเดอะเวิลด์ และซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 27 ===
===1991-93: อัลบั้ม ''Dangerous'' , มูลนิธิฮีลเดอะเวิลด์ และซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 27 ===
เดือนมีนาคม 1991 แจ็กสันเซ็นสัญญาใหม่กับโซนีเป็นจำนวนเงิน 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการทำลายสถิติมากที่สุดในเวลานั้น แซงหน้าการเซ็นสัญญาใหม่ของ[[นีล ไดอะมอนด์]]กับ[[โคลัมเบียเรเคิดส์]]<ref name="usatoday finances"/> แจ็กสันออกผลงานชุดที่ 8 ชุด ''[[เดนเจอรัส (อัลบั้ม)|เดนเจอรัส]]'' ด้วยยอดขายในสหรัฐอเมริกา 7 ล้านชุดและ 32 ล้านชุดทั่วโลก ถือเป็นอัลบั้มเพลงแนว[[นิวแจ็กสวิง]]ที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาล<ref name="RIAA certifications"/><ref name="Dangerous 32 million copies worldwide">{{cite web |title=Michael Jackson sulla sedia a rotelle |url=http://www.affaritaliani.it/entertainment/micheal-jackson110708.html |publisher=[[Affari Italiani]] |date=August 11, 2008 |accessdate=May 10, 2009}}</ref><ref name="New jack swing">{{cite news |first=Kelley L. |last=Carter |title=New jack swing |url=http://www.chicagotribune.com/features/arts/chi-5-things-0810aug10,0,1329158.story |work=[[Chicago Tribune]] |date=August 11, 2008 |accessdate=August 21, 2008}}</ref> ในสหรัฐอเมริกา ซิงเกิลแรกที่ชื่อ "[[Black or White]]" ถือเป็นเพลงฮิตที่สุดในอัลบั้ม ติดอันดับ 1 บนชาร์ต[[บิลบอร์ดฮอต 100]] นาน 7 สัปดาห์ และเช่นเดียวกับทั่วโลกที่ขึ้นอันดับ 1 เช่นกัน<ref name="KOP achievements"/> ซิงเกิลที่ 2 คือ "Remember the Time" อยู่ในท็อปไฟฟ์นาน 8 สัปดาห์ โดยขึ้นสูงสุดที่อันดับ 3 บนบิลบอร์ดฮอต 100<ref name = "Nelson George overview 45-46"/> ในปี 1992 อัลบั้ม''เดนเจอรัส'' ยังได้รับรางวัลอัลบั้มเพลงที่มียอดขายสูงสุดทั่วโลกของปี และเพลง "Black or White" ก็ยังเป็นซิลเกิลที่ขายดีที่สุดของปีเช่นเดียวกัน แจ็กสันยังได้รับรางวัลสำหรับศิลปินที่มียอดขายมากที่สุดในคริสต์ทศวรรษ 80 อีกด้วย <ref>https://news.google.com/newspapers?id=w7QiAAAAIBAJ&sjid=DbUFAAAAIBAJ&pg=3124,2012493</ref>ในปี 1993 แจ็กสันได้ขึ้นแสดงในงานรางวัล โซลเทรน อวอร์ด โดยนั่งเก้าอี้ เขาพูดว่าเขาบาดเจ็บระหว่างการซ้อม<ref>Taraborrelli, p. 459</ref> ในสหราชอาณาจักรและบางส่วนในยุโรป เพลง "[[Heal the World]]" ถือเป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในอัลบั้ม ขายได้ 450,000 ชุดในสหราชอาณาจักร ติดอันดับ 2 นาน 5 สัปดาห์ ในปี 1992<ref name = "Nelson George overview 45-46"/>
เดือนมีนาคม 1991 แจ็กสันเซ็นสัญญาใหม่กับโซนีเป็นจำนวนเงิน 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการทำลายสถิติมากที่สุดในเวลานั้น แซงหน้าการเซ็นสัญญาใหม่ของ[[นีล ไดอะมอนด์]]กับ[[โคลัมเบียเรเคิดส์]]<ref name="usatoday finances"/> แจ็กสันออกผลงานชุดที่ 8 ชุด ''[[เดนเจอรัส (อัลบั้ม)|เดนเจอรัส]]'' ด้วยยอดขายในสหรัฐอเมริกา 7 ล้านชุดและ 32 ล้านชุดทั่วโลก ถือเป็นอัลบั้มเพลงแนว[[นิวแจ็กสวิง]]ที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาล<ref name="RIAA certifications"/><ref name="Dangerous 32 million copies worldwide">{{cite web |title=Michael Jackson sulla sedia a rotelle |url=http://www.affaritaliani.it/entertainment/micheal-jackson110708.html |publisher=[[Affari Italiani]] |date=August 11, 2008 |accessdate=May 10, 2009}}</ref><ref name="New jack swing">{{cite news |first=Kelley L. |last=Carter |title=New jack swing |url=http://www.chicagotribune.com/features/arts/chi-5-things-0810aug10,0,1329158.story |work=[[Chicago Tribune]] |date=August 11, 2008 |accessdate=August 21, 2008}}</ref> ในสหรัฐอเมริกา ซิงเกิลแรกที่ชื่อ "[[Black or White]]" ถือเป็นเพลงฮิตที่สุดในอัลบั้ม ติดอันดับ 1 บนชาร์ต[[บิลบอร์ดฮอต 100]] นาน 7 สัปดาห์ และเช่นเดียวกับทั่วโลกที่ขึ้นอันดับ 1 เช่นกัน<ref name="KOP achievements"/> ซิงเกิลที่ 2 คือ "Remember the Time" อยู่ในท็อปไฟฟ์นาน 8 สัปดาห์ โดยขึ้นสูงสุดที่อันดับ 3 บนบิลบอร์ดฮอต 100<ref name = "Nelson George overview 45-46"/> ในปี 1992 อัลบั้ม''เดนเจอรัส'' ยังได้รับรางวัลอัลบั้มเพลงที่มียอดขายสูงสุดทั่วโลกของปี และเพลง "Black or White" ก็ยังเป็นซิลเกิลที่ขายดีที่สุดของปีเช่นเดียวกัน แจ็กสันยังได้รับรางวัลสำหรับศิลปินที่มียอดขายมากที่สุดในคริสต์ทศวรรษ 80 อีกด้วย <ref>https://news.google.com/newspapers?id=w7QiAAAAIBAJ&sjid=DbUFAAAAIBAJ&pg=3124,2012493</ref>ในปี 1993 แจ็กสันได้ขึ้นแสดงในงานรางวัล โซลเทรน อวอร์ด โดยนั่งเก้าอี้ เขาพูดว่าเขาบาดเจ็บระหว่างการซ้อม<ref>Taraborrelli, p. 459</ref> ในสหราชอาณาจักรและบางส่วนในยุโรป เพลง "[[Heal the World]]" ถือเป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในอัลบั้ม ขายได้ 450,000 ชุดในสหราชอาณาจักร ติดอันดับ 2 นาน 5 สัปดาห์ ในปี 1992<ref name = "Nelson George overview 45-46"/>


[[ไฟล์:__King-Sani art.jpg__|thumb|left|แจ็กสันขณะสวมมงกุฎเป็น "King Sani"]]
[[ไฟล์:__King-Sani art.jpg__|thumb|แจ็กสันขณะสวมมงกุฎเป็น "King Sani"]]
แจ็กสันก่อตั้งมูลนิธิ "ฮีลเดอะเวิลด์ฟาวเดชัน" ในปี 1992 เป็นองค์กรการกุศลที่นำเด็กผู้ด้อยโอกาสมายังสวนสนุกในเนเวอร์แลนด์ มูลนิธิยังได้ส่งเงินนับล้านเหรียญดอลลาร์ไปยังทั่วโลกเพื่อช่วยเหลือเด็กที่ประสบภัยสงครามและโรคร้าย ทัวร์[[เดนเจอรัสเวิลด์ทัวร์]] เริ่มต้น 27 มิถุนายน ค.ศ. 1992 สิ้นสุด 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1993 ทัวร์ทำรายได้มากกว่า 100 ล้านดอลล่าสหรัฐ แจ็กสันแสดงกว่า 70 คอนเสิร์ตให้กับคนร่วม 3.5 ล้านคน เขาหาเงินทั้งหมดจากคอนเสิร์ตเข้าสู่มูลนิธิกาลกุศล โดยหาเงินได้นับล้านดอลลาร์<ref name = "Nelson George overview 45-46"/><ref>{{Cite news | title = Jackson to Tour Overseas | work = The Washington Post | date = February 5, 1992 | author = Harrington, Richard |accessdate = December 5, 2008}}</ref> เขายังขายลิขสิทธิ์การออกอากาศของทัวร์เดนเจอรัสเวิลด์ทัวร์ให้กับช่อง[[เอชบีโอ]] จำนวนเงิน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการสร้างสถิติแพงที่สุดและยังครองสถิติจนถึงปัจจุบัน<ref>Taraborrelli, pp. 452–454</ref>
แจ็กสันก่อตั้งมูลนิธิ "ฮีลเดอะเวิลด์ฟาวเดชัน" ในปี 1992 เป็นองค์กรการกุศลที่นำเด็กผู้ด้อยโอกาสมายังสวนสนุกในเนเวอร์แลนด์ มูลนิธิยังได้ส่งเงินนับล้านเหรียญดอลลาร์ไปยังทั่วโลกเพื่อช่วยเหลือเด็กที่ประสบภัยสงครามและโรคร้าย ทัวร์[[เดนเจอรัสเวิลด์ทัวร์]] เริ่มต้น 27 มิถุนายน ค.ศ. 1992 สิ้นสุด 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1993 ทัวร์ทำรายได้มากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แจ็กสันแสดงกว่า 70 คอนเสิร์ตให้กับคนร่วม 3.5 ล้านคน เขาหาเงินทั้งหมดจากคอนเสิร์ตเข้าสู่มูลนิธิกาลกุศล โดยหาเงินได้นับล้านดอลลาร์<ref name = "Nelson George overview 45-46"/><ref>{{Cite news | title = Jackson to Tour Overseas | work = The Washington Post | date = February 5, 1992 | author = Harrington, Richard |accessdate = December 5, 2008}}</ref> เขายังขายลิขสิทธิ์การออกอากาศของทัวร์เดนเจอรัสเวิลด์ทัวร์ให้กับช่อง[[เอชบีโอ]] จำนวนเงิน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการสร้างสถิติแพงที่สุดและยังครองสถิติจนถึงปัจจุบัน<ref>Taraborrelli, pp. 452–454</ref>


หลังจากที่[[ไรอัน ไวต์]]เสียชีวิตลงไป แจ็กสันได้เข้าช่วยเหลือผู้ติดเชื้อ[[เอชไอวี]]/[[เอดส์]] ซึ่งยังคงเป็นปัญหาในเวลานั้น เขาได้เข้าขอร้องกับคณะบริหารคลินตัน ที่งานกาล่าสาบานตนรับตำแหน่งของ[[บิล คลินตัน]] ให้มอบเงินมากกว่านี้ให้กับองค์กรเกี่ยวกับ[[เอชไอวี]]/[[เอดส์]] และการวิจัย<ref>{{Cite news | title = Stars line up for Clinton celebration | work = [[Daily News of Los Angeles]] | date = (January 19, 1993)}}</ref><ref>{{Cite news | title = Facing the music and the masses at the presidential gala | work = [[The Boston Globe]] | date = January 20, 1992 | author = [[Patricia Smith|Smith, Patricia]]}}</ref> ในการเยือน[[แอฟริกา]] แจ็กสันเข้าไปยังหลายประเทศในแอฟริกา หนึ่งในนั้นคือ[[กาบอง]]และ[[อียิปต์]]<ref name=Ebony>{{cite web |first= Robert| last= Johnson |url= http://findarticles.com/p/articles/mi_m1077/is_n7_v47/ai_12288831| title= Michael Jackson: crowned in Africa |work=Ebony |month=May | year=1992 |accessdate=July 23, 2008}}</ref> เขาเยี่ยมกาบองเป็นที่แรกและได้รับการต้อนรับอย่างกระตือลือล้น โดยที่มีคนมากกว่า 100,000 คน เข้ามาต้อนรับ บางคนถือป้ายเขียนไว้ว่า " ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ไมเคิล "<ref name=Ebony/> และในการเยือน[[ไอวอรีโคสต์]] แจ็กสันได้รับการสวมมงกุฎเป็น "King Sani" หรือ "ราชาแห่งซานิ" โดยหัวหน้าเผ่า<ref name=Ebony/> เขากล่าวขอบคุณแขกผู้มีเกียรติในภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษ และทำพิธีลงนามในเอกสารอย่างเป็นทางการในรัชสมัยของเขาและนั่งลงที่บัลลังก์ทองคำ ในระหว่างเป็นประธานพิธีเต้นรำ<ref name=Ebony/>
หลังจากที่[[ไรอัน ไวต์]]เสียชีวิตลงไป แจ็กสันได้เข้าช่วยเหลือผู้ติดเชื้อ[[เอชไอวี]]/[[เอดส์]] ซึ่งยังคงเป็นปัญหาในเวลานั้น เขาได้เข้าขอร้องกับคณะบริหารคลินตัน ที่งานกาล่าสาบานตนรับตำแหน่งของ[[บิล คลินตัน]] ให้มอบเงินมากกว่านี้ให้กับองค์กรเกี่ยวกับ[[เอชไอวี]]/[[เอดส์]] และการวิจัย<ref>{{Cite news | title = Stars line up for Clinton celebration | work = [[Daily News of Los Angeles]] | date = (January 19, 1993)}}</ref><ref>{{Cite news | title = Facing the music and the masses at the presidential gala | work = [[The Boston Globe]] | date = January 20, 1992 | author = [[Patricia Smith|Smith, Patricia]]}}</ref> ในการเยือน[[แอฟริกา]] แจ็กสันเข้าไปยังหลายประเทศในแอฟริกา หนึ่งในนั้นคือ[[กาบอง]]และ[[อียิปต์]]<ref name=Ebony>{{cite web |first= Robert| last= Johnson |url= http://findarticles.com/p/articles/mi_m1077/is_n7_v47/ai_12288831| title= Michael Jackson: crowned in Africa |work=Ebony |month=May | year=1992 |accessdate=July 23, 2008}}</ref> เขาเยี่ยมกาบองเป็นที่แรกและได้รับการต้อนรับอย่างกระตือลือล้น โดยที่มีคนมากกว่า 100,000 คน เข้ามาต้อนรับ บางคนถือป้ายเขียนไว้ว่า " ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ไมเคิล "<ref name=Ebony/> และในการเยือน[[ไอวอรีโคสต์]] แจ็กสันได้รับการสวมมงกุฎเป็น "King Sani" หรือ "ราชาแห่งซานิ" โดยหัวหน้าเผ่า<ref name=Ebony/> เขากล่าวขอบคุณแขกผู้มีเกียรติในภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษ และทำพิธีลงนามในเอกสารอย่างเป็นทางการในรัชสมัยของเขาและนั่งลงที่บัลลังก์ทองคำ ในระหว่างเป็นประธานพิธีเต้นรำ<ref name=Ebony/>
บรรทัด 117: บรรทัด 129:
หลังจากนั้นจึงมีการตรวจสอบความจริงอย่างเป็นทางการ ในส่วนของแจ็กสัน ไร่เนเวอร์แลนด์ถูกตรวจสอบและมีเด็กหลายคนรวมถึงครอบครัวต่างปฏิเสธว่าแจ็กสันไม่ใช่เป็นพวกชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก <ref name = "tara 496-498"/> ถึงแม้ภาพลักษณ์ที่สนับสนุนที่พี่สาวของเขา [[ลา โทยา แจ็กสัน|ลา โทยา]] กล่าวหาเขาว่าชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็กก็ตาม แต่เธอก็ถอนคำพูดภายหลัง<ref name = "tara 534-540">Taraborrelli, pp. 534–540</ref> แจ็กสันยอมถอดเสื้อผ้าให้ตำรวจและแพทย์ตรวจร่างกายของเขา ตรวจสอบลักษณะรายละเอียดของอวัยวะเพศของเขาตามที่จอร์แดนให้การ แพทย์สรุปว่ามีความใกล้เคียงตามคำบอก แต่ก็ไม่ถูกต้องซะทีเดียว<ref name = "tara 534-540"/> เพื่อนของเขาพูดว่าเขาไม่เคยรู้สึกขายหน้าขนาดนี้มาก่อน แจ็กสันพูดเกี่ยวกับครั้งนี้ว่าต่อหน้าสาธารณะและประกาศว่าเขาบริสุทธิ์<ref name = "looking back on 1993"/>
หลังจากนั้นจึงมีการตรวจสอบความจริงอย่างเป็นทางการ ในส่วนของแจ็กสัน ไร่เนเวอร์แลนด์ถูกตรวจสอบและมีเด็กหลายคนรวมถึงครอบครัวต่างปฏิเสธว่าแจ็กสันไม่ใช่เป็นพวกชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก <ref name = "tara 496-498"/> ถึงแม้ภาพลักษณ์ที่สนับสนุนที่พี่สาวของเขา [[ลา โทยา แจ็กสัน|ลา โทยา]] กล่าวหาเขาว่าชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็กก็ตาม แต่เธอก็ถอนคำพูดภายหลัง<ref name = "tara 534-540">Taraborrelli, pp. 534–540</ref> แจ็กสันยอมถอดเสื้อผ้าให้ตำรวจและแพทย์ตรวจร่างกายของเขา ตรวจสอบลักษณะรายละเอียดของอวัยวะเพศของเขาตามที่จอร์แดนให้การ แพทย์สรุปว่ามีความใกล้เคียงตามคำบอก แต่ก็ไม่ถูกต้องซะทีเดียว<ref name = "tara 534-540"/> เพื่อนของเขาพูดว่าเขาไม่เคยรู้สึกขายหน้าขนาดนี้มาก่อน แจ็กสันพูดเกี่ยวกับครั้งนี้ว่าต่อหน้าสาธารณะและประกาศว่าเขาบริสุทธิ์<ref name = "looking back on 1993"/>


[[ไฟล์:Lisa Marie Presley at car race.jpg|right|thumb|แจ็กสันแต่งงานกับลิซา มารี เพรสลีย์ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1994]]
เขาเริ่มใช้ยาแก้ปวดและยาระงับประสาท อย่าง Valium, Ativan และ Xanax เขาเริ่มใช้ยาเป็นประจำตั้งแต่ที่เขาประสบอุบัติเหตุบนเวทีระหว่างเดนเจอรัสทัวร์ ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1993 เขาก็เข้าสู่อาการติดยา<ref name = "tara 518–520">Taraborrelli, pp. 518–520</ref> สุขภาพของเขาทรุดตัวลง อย่างส่วนทัวร์เพิ่มเติมของเดนเจอรัสทัวร์ เขาก็ยกเลิกไปเพื่อเข้าการบำบัดในลอนดอนอยู่หลายเดือน โดยมี[[เอลิซาเบธ เทย์เลอร์]]และ[[เอลตัน จอห์น]]มาช่วยอธิบายเกี่ยวกับการหายตัวของเขา<ref name = "tara 524-528">Taraborrelli, pp. 524–528</ref> ความเครียดต่อข้อกล่าวหาต่าง ๆ เป็นเหตุทำให้เขาหยุดกินและน้ำหนักของเขาลดลงอย่างเห็นได้ชัด<ref name = "tara 514-516">Taraborrelli, pp. 514–516</ref>จากสุขภาพอันย่ำแย่ เพื่อนของเขาและที่ปรึกษาทางกฎหมายเข้ามาดูและปกป้องผลประโยชน์ด้านการเงินให้กับเขา พวกเขาเรียกร้องให้ออกมาแก้ปัญหาเกี่ยวกับการละเมิดทางเพศเด็กนอกศาล เชื่อว่าเขาคงอยู่ไม่รอดแน่หากมีการพิจารณาที่ยืดยาวออกไป<ref name = "tara 524-528"/><ref name = "tara 514-516"/> 1 มกราคม ค.ศ. 1994 แจ็กสันยอมจ่ายเงิน 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐนอกศาลให้จอร์แดนเพื่อยุติคดีความ แจ็กสันไม่ถูกจับและหยุดการตรวจสอบ โดยอ้างว่าขาดหลักฐาน<ref name = "tara 540-545">Taraborrelli, pp. 540–545</ref>
เขาเริ่มใช้ยาแก้ปวดและยาระงับประสาท อย่าง Valium, Ativan และ Xanax เขาเริ่มใช้ยาเป็นประจำตั้งแต่ที่เขาประสบอุบัติเหตุบนเวทีระหว่างเดนเจอรัสทัวร์ ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1993 เขาก็เข้าสู่อาการติดยา<ref name = "tara 518–520">Taraborrelli, pp. 518–520</ref> สุขภาพของเขาทรุดตัวลง อย่างส่วนทัวร์เพิ่มเติมของเดนเจอรัสทัวร์ เขาก็ยกเลิกไปเพื่อเข้าการบำบัดในลอนดอนอยู่หลายเดือน โดยมี[[เอลิซาเบธ เทย์เลอร์]]และ[[เอลตัน จอห์น]]มาช่วยอธิบายเกี่ยวกับการหายตัวของเขา<ref name = "tara 524-528">Taraborrelli, pp. 524–528</ref> ความเครียดต่อข้อกล่าวหาต่าง ๆ เป็นเหตุทำให้เขาหยุดกินและน้ำหนักของเขาลดลงอย่างเห็นได้ชัด<ref name = "tara 514-516">Taraborrelli, pp. 514–516</ref>จากสุขภาพอันย่ำแย่ เพื่อนของเขาและที่ปรึกษาทางกฎหมายเข้ามาดูและปกป้องผลประโยชน์ด้านการเงินให้กับเขา พวกเขาเรียกร้องให้ออกมาแก้ปัญหาเกี่ยวกับการละเมิดทางเพศเด็กนอกศาล เชื่อว่าเขาคงอยู่ไม่รอดแน่หากมีการพิจารณาที่ยืดยาวออกไป<ref name = "tara 524-528"/><ref name = "tara 514-516"/> 1 มกราคม ค.ศ. 1994 แจ็กสันยอมจ่ายเงิน 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐนอกศาลให้จอร์แดนเพื่อยุติคดีความ แจ็กสันไม่ถูกจับและหยุดการตรวจสอบ โดยอ้างว่าขาดหลักฐาน<ref name = "tara 540-545">Taraborrelli, pp. 540–545</ref>


[[ไฟล์:Lisa Marie Presley at car race.jpg|right|thumb|แจ็กสันแต่งงานกับลิซา มารี เพรสลีย์ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1994]]
เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1994 แจ็กสันแต่งงานกับนักร้อง-นักแต่งเพลง [[ลิซา มารี เพรสลีย์]] บุตรสาวของ[[เอลวิส เพรสลีย์]] ทั้งคู่พบกันครั้งแรกในปี 1975 ในช่วงที่ครอบครัวแจ็กสันทำงานอยู่ที่เอ็มจีเอ็มแกรนด์โฮเทลแอนด์คาซิโน และได้มาติดต่อกันอีกครั้งผ่านเพื่อนของทั้งคู่ในต้นปี 1993<ref name = "tara 500-507">Taraborrelli, pp. 500–507</ref> ทั้งคู่ติดต่อกันทุกวันทางโทรศัพท์ จากกรณีการลวนลามทางเพศกับเด็กเป็นเรื่องราวใหญ่โต แจ็กสันก็มาระบายอารมณ์ความรู้สึกกับลิซา มารี เธอยังเป็นห่วงเกี่ยวกับสุขภาพและปัญหาการติดยาของเขา<ref name = "tara 518–520"/> ลิซา มารีอธิบายว่า "ฉันเชื่อว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดและเขาถูกใส่ร้ายและใช่ ฉันก็เริ่มตกหลุมรักเขาแล้ว ฉันต้องการปกป้องเขา ฉันรู้สึกว่าฉันควรทำอย่างนั้น"<ref>Taraborrelli, p. 510</ref> จากนั้นไม่นาน เธอพยายามโน้มน้าวแจ็กสันให้ตกลงกันนอกศาลและเข้ารับการบำบัดยา ซึ่งเขาก็ทำตามนั้นทั้งสองอย่าง<ref name = "tara 518–520"/> แจ็กสันพูดคุยกับลิซา มารีทางโทรศัพท์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 1993 ว่า "ถ้าฉันจะขอเธอแต่งงาน จะได้มั๊ย?"<ref name = "tara 518–520"/> เพรสลีย์และแจ็กสันแต่งงานกันที่[[สาธารณรัฐโดมินิกัน]]เป็นการส่วนตัว<ref name="MJ & Presley divorce"/> ในเวลานั้น แท็ปลอยด์ก็คาดเดาต่าง ๆ เกี่ยวกับงานแต่งงานมีขึ้นเพื่อลบล้างภาพลักษณ์การละเมิดทางเพศ<ref name="MJ & Presley divorce">{{cite news |url=http://www.cnn.com/US/9601/jacko_presley/ |title=She's Out Of His Life |publisher=CNN |date=(January 18, 1996) |accessdate=July 24, 2008}}</ref> แจ็กสันและเพรสลีย์หย่าร้างกันในอีก 2 ปีต่อมา แต่ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน<ref name = "tara 580–581">Taraborrelli, pp. 580–581</ref>
เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1994 แจ็กสันแต่งงานกับนักร้อง-นักแต่งเพลง [[ลิซา มารี เพรสลีย์]] บุตรสาวของ[[เอลวิส เพรสลีย์]] ทั้งคู่พบกันครั้งแรกในปี 1975 ในช่วงที่ครอบครัวแจ็กสันทำงานอยู่ที่เอ็มจีเอ็มแกรนด์โฮเทลแอนด์คาซิโน และได้มาติดต่อกันอีกครั้งผ่านเพื่อนของทั้งคู่ในต้นปี 1993<ref name = "tara 500-507">Taraborrelli, pp. 500–507</ref> ทั้งคู่ติดต่อกันทุกวันทางโทรศัพท์ จากกรณีการลวนลามทางเพศกับเด็กเป็นเรื่องราวใหญ่โต แจ็กสันก็มาระบายอารมณ์ความรู้สึกกับลิซา มารี เธอยังเป็นห่วงเกี่ยวกับสุขภาพและปัญหาการติดยาของเขา<ref name = "tara 518–520"/> ลิซา มารีอธิบายว่า "ฉันเชื่อว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดและเขาถูกใส่ร้ายและใช่ ฉันก็เริ่มตกหลุมรักเขาแล้ว ฉันต้องการปกป้องเขา ฉันรู้สึกว่าฉันควรทำอย่างนั้น"<ref>Taraborrelli, p. 510</ref> จากนั้นไม่นาน เธอพยายามโน้มน้าวแจ็กสันให้ตกลงกันนอกศาลและเข้ารับการบำบัดยา ซึ่งเขาก็ทำตามนั้นทั้งสองอย่าง<ref name = "tara 518–520"/> แจ็กสันพูดคุยกับลิซา มารีทางโทรศัพท์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 1993 ว่า "ถ้าฉันจะขอเธอแต่งงาน จะได้มั๊ย?"<ref name = "tara 518–520"/> เพรสลีย์และแจ็กสันแต่งงานกันที่[[สาธารณรัฐโดมินิกัน]]เป็นการส่วนตัว<ref name="MJ & Presley divorce"/> ในเวลานั้น แท็ปลอยด์ก็คาดเดาต่าง ๆ เกี่ยวกับงานแต่งงานมีขึ้นเพื่อลบล้างภาพลักษณ์การละเมิดทางเพศ<ref name="MJ & Presley divorce">{{cite news |url=http://www.cnn.com/US/9601/jacko_presley/ |title=She's Out Of His Life |publisher=CNN |date=(January 18, 1996) |accessdate=July 24, 2008}}</ref> แจ็กสันและเพรสลีย์หย่าร้างกันในอีก 2 ปีต่อมา แต่ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน<ref name = "tara 580–581">Taraborrelli, pp. 580–581</ref>


===1995-99: อัลบั้ม ''HIStory'' , การแต่งงานครั้งที่สอง และความเป็นพ่อ ===
===1995-99: อัลบั้ม ''HIStory'' , การแต่งงานครั้งที่สอง และความเป็นพ่อ ===
ในปี 1995 แจ็กสันรวมเพลงแคตาล็อกของเขาจากนอร์เทิร์นซองส์เข้ากับโซนี โดย Sony/ATV Music Publishing แจ็กสันครอบครองครึ่งหนึ่งของบริษัท มีรายได้ 95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังมีลิขสิทธิ์เพลงอีกจำนวนหนึ่ง<ref name = "1995 music deal"/><ref name="sonydeal">{{cite news |last=Leeds |first=Jeff |url=http://www.nytimes.com/2006/04/13/business/media/13music.html?ex=1302580800&en=45bff2f7a4da68fe&ei=5088&partner=rssnyt&emc=rss |title=Michael Jackson Bailout Said to Be Close| publisher=The New York Times |date=April 13, 2006 |accessdate=July 23, 2008}}</ref> จากนั้นเขาออกอัลบั้มคู่ที่ชื่อ ''[[HIStory: Past, Present and Future, Book I]]'' แผ่นแรกชื่อ HIStory Begins มีเพลง 15 เพลงที่เป็นงานเพลงฮิตจากอัลบั้มเก่าของเขาซึ่งต่อมาถูกทำมารวมใหม่ในชื่อ ''Greatest Hits – HIStory Vol. I'' ในปี 2001 ส่วนแผ่นที่ 2 เป็นเพลงใหม่ 15 เพลง อัลบั้มขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ในสัปดาห์แรกและมียอดขาย 7 <ref>{{cite web|title=Top 100 Albums (Page 2)|url=http://www.riaa.com/goldandplatinumdata.php?resultpage=2&table=tblTop100&action=|publisher=Recording Industry Association of America| accessdate=April 16, 2008}}</ref> ถือเป็นอัลบั้มที่มีหลายจำนวนแผ่นที่ขายดีที่สุดตลอดกาล กับยอดขาย 20 ล้านชุด (40 ล้านหน่วย) ทั่วโลก<ref name="KOP achievements"/><ref name="HIStory 20 million copies">{{cite web |first=Laura |last=Putti |url=http://ricerca.repubblica.it/repubblica/archivio/repubblica/2001/08/24/il-nuovo-michael-jackson-fa-un-tuffo.html |title=Il nuovo Michael Jackson fa un tuffo nel passato |publisher=[[La Repubblica]] |date=August 24, 2001 |accessdate=May 10, 2009}}</ref> ''HIStory'' ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ในสาขาอัลบั้มยอดเยี่ยม<ref name = "Ultimate booklet 48–50"/>
ในปี 1995 แจ็กสันรวมเพลงแคตาล็อกของเขาจากนอร์เทิร์นซองส์เข้ากับโซนี โดย Sony/ATV Music Publishing แจ็กสันครอบครองครึ่งหนึ่งของบริษัท มีรายได้ 95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังมีลิขสิทธิ์เพลงอีกจำนวนหนึ่ง<ref name = "1995 music deal"/><ref name="sonydeal">{{cite news |last=Leeds |first=Jeff |url=http://www.nytimes.com/2006/04/13/business/media/13music.html?ex=1302580800&en=45bff2f7a4da68fe&ei=5088&partner=rssnyt&emc=rss |title=Michael Jackson Bailout Said to Be Close| publisher=The New York Times |date=April 13, 2006 |accessdate=July 23, 2008}}</ref> จากนั้นเขาออกอัลบั้มคู่ที่ชื่อ ''[[HIStory: Past, Present and Future, Book I]]'' แผ่นแรกชื่อ HIStory Begins มีเพลง 15 เพลงที่เป็นงานเพลงฮิตจากอัลบั้มเก่าของเขาซึ่งต่อมาถูกทำมารวมใหม่ในชื่อ ''Greatest Hits – HIStory Vol. I'' ในปี 2001 ส่วนแผ่นที่ 2 เป็นเพลงใหม่ 15 เพลง อัลบั้มเปิดตัวขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ในสัปดาห์แรกและมียอดขาย 7 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา<ref>{{cite web|title=Top 100 Albums (Page 2)|url=http://www.riaa.com/goldandplatinumdata.php?resultpage=2&table=tblTop100&action=|publisher=Recording Industry Association of America| accessdate=April 16, 2008}}</ref> ถือเป็นอัลบั้มเพลงหลายแผ่นที่ขายดีที่สุดตลอดกาล กับยอดขาย 20 ล้านชุด (40 ล้านหน่วย) ทั่วโลก<ref name="KOP achievements"/><ref name="HIStory 20 million copies">{{cite web |first=Laura |last=Putti |url=http://ricerca.repubblica.it/repubblica/archivio/repubblica/2001/08/24/il-nuovo-michael-jackson-fa-un-tuffo.html |title=Il nuovo Michael Jackson fa un tuffo nel passato |publisher=[[La Repubblica]] |date=August 24, 2001 |accessdate=May 10, 2009}}</ref> ''HIStory'' ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ในสาขาอัลบั้มยอดเยี่ยม<ref name = "Ultimate booklet 48–50"/>

ซิงเกิลแรกถูกปล่อยจากอัลบั้มคือ "Scream/Childhood" ชื่อเพลง "Scream" ที่ร้องร่วมกับน้องสาวคนสุดท้องของครอบครัว[[เจเน็ต แจ็กสัน]]ประท้วงต่อสื่อ โดยเฉพาะสำหรับการปฏิบัติต่อเขาช่วงปี 1993 ที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาผิดเพี้ยนต่อสาธารณะ ซิงเกิลเปิดตัวบนชาร์ตที่อันดับ 5 บนบิลบอร์ดฮอต 100 และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขา "การร่วมงานร้องในเพลงป็อปยอดเยี่ยม"<ref name = "Ultimate booklet 48–50">George, pp. 48–50</ref> "You Are Not Alone" เป็นซิงเกิลที่ 2 ของอัลบั้ม และยังครองสถิติบนกินเนสเวิลด์เรคเคิร์ด สำหรับเพลงแรกที่เปิดตัวติดอันดับ 1 ทันที บนบิลบอร์ดฮอต 100 <ref name="World Records"/> เพลงประสบความสำเร็จทั้งทางด้านศิลปะและยอดขาย และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขา "เพลงร้องป็อปยอดเยี่ยม" อีกด้วย<ref name = "Ultimate booklet 48–50"/>


[[ไฟล์:Michael Jackson Cannes.jpg|thumb|แจ็กสันกับงานปฐมทัศน์ครั้งแรกสำหรับมิวสิควีดีโอภาพยนตร์สั้น ''Ghost'' ที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 1997]]
[[ไฟล์:Michael Jackson Cannes.jpg|thumb|แจ็กสันกับงานปฐมทัศน์ครั้งแรกสำหรับมิวสิควีดีโอภาพยนตร์สั้น ''Ghost'' ที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 1997]]
ซิงเกิลแรกจากอัลบั้มคือ ซิงเกิลดับเบิลเอ-ไซด์ "Scream/Childhood" ซึ่งเพลง "Scream" เป็นเพลงที่ร้องร่วมกับน้องสาวคนสุดท้องของครอบครัว [[เจเน็ต แจ็กสัน]] ซิงเกิลเปิดตัวบนชาร์ตที่อันดับ 5 บนบิลบอร์ดฮอต 100 และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขา "การร่วมงานร้องในเพลงป็อปยอดเยี่ยม"<ref name = "Ultimate booklet 48–50">George, pp. 48–50</ref> "You Are Not Alone" เป็นซิงเกิลที่ 2 ของอัลบั้มและยังครองสถิติบนกินเนสเวิลด์เรคเคิร์ด ถือเป็นเพลงแรกที่ติดอันดับ 1 บนบิลบอร์ดฮอต 100 เป็นเพลงแรก<ref name="World Records"/> เพลงประสบความสำเร็จทั้งทางด้านศิลปะและการค้า ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขา "เพลงร้องป็อปยอดเยี่ยม" อีกด้วย<ref name = "Ultimate booklet 48–50"/> ปลายปี 1995 แจ็กสันถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลระหว่างการซ้อมในการแสดงรายการโทรทัศน์ เนื่องจากเกิดอาการภาวะเครียด<ref>Taraborrelli, pp. 576–577</ref> "Earth Song" เป็นซิงเกิลที่ 3 ของอัลบั้ม ''HIStory'' ขึ้นอันดับ 1 บน[[ยูเคซิงเกิลส์ชาร์ต]] ยาวนาน 6 สัปดาห์ในช่วงคริสต์มาสปี 1995 มียอดขายนับล้าน ถือเป็นซิงเกิลที่ประสบความสำเร็จที่สุดของแจ็กสันใน[[สหราชอาณาจักร]]<ref name = "Ultimate booklet 48–50"/> ต่อจากนั้นมีทัวร์ The HIStory World Tour เริ่มเมื่อ 7 กันยายน ค.ศ. 1996 และจบลงเมื่อ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1997 แจ็กสันแสดงกว่า 82 คอนเสิร์ต ใน 58 เมือง มีผู้ชมกว่า 4.5 ล้านคน โดยทัวร์ไป 5 ทวีปใน 35 ประเทศ ถือว่าประสบความสำเร็จในแง่คนดู<ref name = "lewis 95-96">Lewis, pp. 95–96</ref>
ปลายปี 1995 แจ็กสันถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลระหว่างการซ้อมในการแสดงรายการโทรทัศน์ เนื่องจากเกิดอาการภาวะเครียด<ref>Taraborrelli, pp. 576–577</ref> "Earth Song" เป็นซิงเกิลที่ 3 ของอัลบั้ม ''HIStory'' ขึ้นอันดับ 1 บน[[ยูเคซิงเกิลส์ชาร์ต]] ยาวนาน 6 สัปดาห์ในช่วงคริสต์มาสปี 1995 มียอดขายมากกว่าล้านชุด ถือเป็นซิงเกิลของแจ็กสันที่ประสบความสำเร็จที่สุดใน[[สหราชอาณาจักร]]<ref name = "Ultimate booklet 48–50"/> ในปี 1996 แจ็กสันได้รับรางวัลแกรมมี่ สาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม แบบสั้นจากเพลง "[[สกรีม/ไชลด์ฮูด| Scream]]" และรางวัลอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส สาขา Favorite Pop/Rock Male Artist <ref>https://news.google.co.uk/newspapers?id=LWUwAAAAIBAJ&sjid=YzMDAAAAIBAJ&pg=5552,8128572</ref>


ในช่วงระหว่างทัวร์ HIStory World Tour ใน[[ออสเตรเลีย]] แจ็กสันแต่งงานกับพยาบาลผิวหนัง เดโบราห์ จีน โรว์ เมื่อ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1996 มีลูกด้วยกัน 2 คน ซึ่งต่อมาเธออ้างว่าผู้เป็นพ่อที่แท้จริงไม่ใช่แจ็กสัน เป็นชายนิรนามบริจาคสเปิร์ม<ref>[http://www.livenews.com.au/entertainment/deborah-rowe-former-wife-of-michael-jackson-says-children-arent-his/2009/6/29/211392 Deborah Rowe, former wife of Michael Jackson, says children aren't his ]</ref> บุตรชายคนโตชื่อ ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน จูเนียร์ (หลังจากหย่า ลูกชายเปลี่ยนชื่อเป็น พรินซ์ ไมเคิล แจ็กสัน) และลูกสาวชื่อ แพรีส แคเทอรีน แจ็กสัน<ref name = "tara 580–581"/><ref>Taraborrelli, p. 597</ref> แจ็กสันและเดโบราห์พบกันครั้งแรกช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 เมื่อเขาถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคด่างขาว เธอใช้เวลาหลายปีในการดูแลรักษาอาการป่วยเช่นเดียวกับให้กำลังใจ จนกลายเป็นเพื่อน จากนั้นแจ็กสันก็หลงรัก<ref>Taraborrelli, p. 570</ref> แรกทีพวกเขาไม่มีแผนที่จะแต่งงานกัน แต่เมื่อโรว์ตั้งครรภ์ท้องแรก แม่ของแจ็กสันก็เข้ามาและแนะนำให้พวกเขาแต่งงานกัน<ref>Taraborrelli, p. 586</ref> ทั้งคู่หย่ากันในปี 1999 แต่ยังคงเป็นเพื่อนกัน โดยโรว์ก็ได้รับสิทธิ์ดูแลเด็กให้แจ็กสัน<ref>[http://www.dailymail.co.uk/femail/article-513206/My-life-mother-Michael-Jacksons-children-Debbie-Rowe.html My life as the mother of Michael Jackson's children], ''Daily Mail'', February 2, 2008.</ref><ref name="tara 599-600"/>
HIStory ยังประสบความสำเร็จต่อพร้อมกับ The HIStory World Tour ทัวร์เริ่มเมื่อ 7 กันยายน ค.ศ. 1996 และจบลงเมื่อ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1997 แจ็กสันแสดงกว่า 82 คอนเสิร์ต โดยออกทัวร์ไป 5 ทวีป ใน35 ประเทศและ 58 เมือง ทำรายได้รวม 165 ล้านเหรียญ ถือเป็นทัวร์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดของแจ็กสันในยอดจำนวนคนดู โดยมีผู้ชมกว่า 4.5 ล้านคน <ref name = "lewis 95-96">Lewis, pp. 95–96</ref> ในช่วงระหว่างทัวร์ HIStory World Tour ใน[[ออสเตรเลีย]] เมื่อ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1996 แจ็กสันแต่งงานกับ เดโบราห์ จีน โรว์ พยาบาลผิวหนังเพื่อนเก่าของเขา ผู้ดูแลรักษาอาการป่วยเมื่อเขาถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคด่างขาวช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 มีลูกด้วยกัน 2 คน ซึ่งต่อมาเธออ้างว่าผู้เป็นพ่อที่แท้จริงไม่ใช่แจ็กสัน เป็นชายนิรนามบริจาคสเปิร์ม<ref>[http://www.livenews.com.au/entertainment/deborah-rowe-former-wife-of-michael-jackson-says-children-arent-his/2009/6/29/211392 Deborah Rowe, former wife of Michael Jackson, says children aren't his ]</ref> บุตรชายคนโตชื่อ ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน จูเนียร์ (หลังจากหย่า ลูกชายเปลี่ยนชื่อเป็น พรินซ์ ไมเคิล แจ็กสัน) และลูกสาวชื่อ แพรีส แคเทอรีน แจ็กสัน<ref name = "tara 580–581"/><ref>Taraborrelli, p. 597</ref> แต่เดิมพวกเขาไม่มีแผนที่จะแต่งงานกัน แต่เมื่อโรว์ตั้งครรภ์ท้องแรก แม่ของแจ็กสันก็เข้ามาและแนะนำให้พวกเขาแต่งงานกัน<ref>Taraborrelli, p. 586</ref> ทั้งคู่หย่ากันในปี 1999 แต่ยังคงเป็นเพื่อนกัน โดยโรว์ก็ได้รับสิทธิ์ดูแลเด็กให้แจ็กสัน<ref>[http://www.dailymail.co.uk/femail/article-513206/My-life-mother-Michael-Jacksons-children-Debbie-Rowe.html My life as the mother of Michael Jackson's children], ''Daily Mail'', February 2, 2008.</ref><ref name="tara 599-600"/>


ในปี 1997 แจ็กสันออกผลงานอัลบั้ม ''Dance Floor: HIStory in the Mix'' ที่รวมซิงเกิล[[รีมิกซ์]]เพลงดังจากอัลบั้ม ''HIStory'' และมีเพลงใหม่ 5 เพลง ออกขายทั่วโลกมียอดขาย 6 ล้านชุด (ข้อมูลปี 2007) ถือเป็นอัลบั้มรีมิกซ์ที่ขายดีที่สุด และขึ้นอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักร เช่นเดียวกับซิงเกิล "Blood on the Dance Floor" ก็ขึ้นอันดับ 1<ref>{{cite book |last=Rojek |first=Chris |title=Cultural Studies |year=2007 |publisher=Polity |page=74 |isbn=0745636837}}</ref><ref name = "tara 610–611">Taraborrelli, pp. 610–612</ref> ในสหรัฐอเมริกามียอดขายระดับแผ่นเสียงทองคำขาว แต่ขึ้นชาร์ตสูงสุดเพียงอันดับ 24<ref name="RIAA certifications"/><ref name = "Ultimate booklet 48–50"/> [[นิตยสารฟอร์บ]] ระบุรายได้ประจำปีของเขาที่ 35 ล้านเหรียญในปี 1996 และ 20 ล้านเหรียญในปี 1997<ref name="usatoday finances"/>
ในปี 1997 แจ็กสันออกผลงานอัลบั้ม ''Dance Floor: HIStory in the Mix'' ที่รวมซิงเกิล[[รีมิกซ์]]เพลงดังจากอัลบั้ม ''HIStory'' และมีเพลงใหม่ 5 เพลง ออกขายทั่วโลกมียอดขายกว่า 6 ล้านชุด (ข้อมูลปี 2007) ถือเป็นอัลบั้มรีมิกซ์ที่ขายดีที่สุดตลอดกาล และขึ้นอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักร เช่นเดียวกับซิงเกิล "Blood on the Dance Floor" ก็ขึ้นอันดับ 1<ref>{{cite book |last=Rojek |first=Chris |title=Cultural Studies |year=2007 |publisher=Polity |page=74 |isbn=0745636837}}</ref><ref name = "tara 610–611">Taraborrelli, pp. 610–612</ref> ในสหรัฐอเมริกามียอดขายระดับแผ่นเสียงทองคำขาว แต่ขึ้นชาร์ตสูงสุดเพียงอันดับ 24<ref name="RIAA certifications"/><ref name = "Ultimate booklet 48–50"/> [[นิตยสารฟอร์บ]] ระบุรายได้ประจำปีของเขาที่ 35 ล้านเหรียญในปี 1996 และ 20 ล้านเหรียญในปี 1997<ref name="usatoday finances"/>
ตลอดเดือนมิถุนายน 1999 แจ็กสันมีส่วนร่วมมากมายกับงานการกุศล เขาร่วมกับ[[ลูชาโน ปาวารอตตี]] ในคอนเสิร์ตหาเงินในโมเดนา [[อิตาลี]] สนับสนุนโดยองค์กรไม่แสวงหาผลประโยชน์ [[วอร์ไชลด์]] มีผู้ร่วมบริจาคนับล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับผู้ลี้ภัยใน[[โคโซโว]] เช่นเดียวกับงานหารายได้ให้กับเด็กใน[[กัวเตมาลา]]<ref name="Charity concert Italy">{{cite web |url=http://www.vh1.com/news/articles/1426933/19990505/carey_mariah.jhtml |title=Ricky Martin, Mariah Carey, Michael Jackson, Others To Join Pavarotti For Benefit |publisher=VH1 |date=(May 5, 1999) |accessdate=May 30, 2008}}</ref> ต่อมาในเดือนเดียวกันแจ็กสันริเริ่มคอนเสิร์ต "ไมเคิล แจ็กสันแอนด์เฟรนส์" คอนเสิร์ตหารายได้ใน[[เยอรมนี]]และ[[เกาหลี]] มีศิลปินมาร่วมอย่างสแลช วง[[สกอร์เปี้ยนส์]] [[บอยซ์ทูเมน]] [[ลูเธอร์ แวนดรอส]] [[มารายห์ แครี]] [[เอ.อาร์. ราห์มาน]] Prabhu Deva Sundaram [[อานเดรอา โบเชลลี]] Shobana Chandrakumar และลูชาโน ปาวารอตตี การดำเนินการไปสู่ "Nelson Mandela Children's Fund" [[กาชาด]]และ[[ยูเนสโก]]<ref name="Jackson & Friends">{{cite web |url=http://www.vh1.com/news/articles/1429785/19990527/guns_n_roses.jhtml |title=Slash, Scorpions, Others Scheduled For "Michael Jackson & Friends" |publisher=VH1 |date=(May 27, 1999) |accessdate=May 30, 2008}}</ref>
ตลอดเดือนมิถุนายน 1999 แจ็กสันมีส่วนร่วมมากมายกับงานการกุศล เขาร่วมกับ[[ลูชาโน ปาวารอตตี]] ในคอนเสิร์ตหาเงินในโมเดนา [[อิตาลี]] สนับสนุนโดยองค์กรไม่แสวงหาผลประโยชน์ [[วอร์ไชลด์]] มีผู้ร่วมบริจาคนับล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับผู้ลี้ภัยใน[[โคโซโว]] เช่นเดียวกับงานหารายได้ให้กับเด็กใน[[กัวเตมาลา]]<ref name="Charity concert Italy">{{cite web |url=http://www.vh1.com/news/articles/1426933/19990505/carey_mariah.jhtml |title=Ricky Martin, Mariah Carey, Michael Jackson, Others To Join Pavarotti For Benefit |publisher=VH1 |date=(May 5, 1999) |accessdate=May 30, 2008}}</ref> ต่อมาในเดือนเดียวกันแจ็กสันริเริ่มคอนเสิร์ต "ไมเคิล แจ็กสันแอนด์เฟรนส์" คอนเสิร์ตหารายได้ใน[[เยอรมนี]]และ[[เกาหลี]] มีศิลปินมาร่วมอย่างสแลช วง[[สกอร์เปี้ยนส์]] [[บอยซ์ทูเมน]] [[ลูเธอร์ แวนดรอส]] [[มารายห์ แครี]] [[เอ.อาร์. ราห์มาน]] Prabhu Deva Sundaram [[อานเดรอา โบเชลลี]] Shobana Chandrakumar และลูชาโน ปาวารอตตี การดำเนินการไปสู่ "Nelson Mandela Children's Fund" [[กาชาด]]และ[[ยูเนสโก]]<ref name="Jackson & Friends">{{cite web |url=http://www.vh1.com/news/articles/1429785/19990527/guns_n_roses.jhtml |title=Slash, Scorpions, Others Scheduled For "Michael Jackson & Friends" |publisher=VH1 |date=(May 27, 1999) |accessdate=May 30, 2008}}</ref>


===2000-03: ความขัดแย้งกับค่ายเพลง , อัลบั้ม ''Invincible'' และลูกคนที่ 3 ===
===2000-03: ความขัดแย้งกับค่ายเพลง , อัลบั้ม ''Invincible'' และลูกคนที่ 3 ===
ในปี 2000 แจ็กสันมีชื่ออยู่ในกินเนสเวิลด์เรคเคิดส์ สำหรับการสนับสนุนองค์การการกุศล 39 หน่วยงาน มากกว่าดาราหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ<ref>Lewis, pp. 8–9</ref> ในเวลานั้นแจ็กสันรอการยินยอมจากผลงานอัลบั้มของเขากลับมาเป็นของเขา ที่จะทำให้เขาได้ประชาสัมพันธ์เพลงเก่าของเขาได้สะดวกและปกป้องจากโซนีที่ตัดรายได้ของเขาไป แจ็กสันคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นในช่วงต้น[[สหัสวรรษ]]ใหม่ อย่างไรก็ตามเนื่องจากในสัญญามีรายละเอียดมากมาย การกลับคืนไปสู่เขาก็ยังคงใช้เวลานานอีกหลายปี แจ็กสันเริ่มการตรวจสอบและปรากฏว่านักกฎหมายของเขาก็เป็นตัวแทนของโซนีเช่นกัน ทำให้เกิด[[การขัดกันของผลประโยชน์|ความขัดผลประโยชน์กัน]]<ref name = "tara 610–611"/> แจ็กสันยังกังวลนอกเหนือจากการขัดผลประโยชน์ เป็นเวลาหลายปี โซนีพยายามซื้อผลงานเพลงของแจ็กสันมา ถ้าอาชีพของแจ็กสันหรือสถานการณ์การเงินของเขาทรุดลง เขาก็จะขายผลงานเพลง ถึงกระนั้นโซนีทำอะไรบางอย่างกับอาชีพของแจ็กสัน<ref name = "tara 614–617"/> แจ็กสันสามารถที่จะใช้ความขัดกันเป็นทางออกของสัญญาในช่วงแรกได้<ref name = "tara 610–611"/> แต่ก่อนที่จะออกผลงานอัลบั้ม ''Invincible'' แจ็กสันประกาศต่อหน้าประธานโซนีเอนเตอร์เทนเมนต์ [[ทอมมี มอตโตลา]] ว่าเขาจะออกจากโซนี<ref name = "tara 610–611"/> ผลคือ ซิงเกิลทั้งหมด การถ่ายทำวิดีโอและการประชาสัมพันธ์ทุกอย่างจากอัลบั้ม ''Invincible'' ถูกยกเลิกทันที แจ็กสันจะกล่าวโทษมอตโตลาในเดือนกรกฎาคม ปี 2002 ว่าเป็น "ปีศาจ" และ "เหยียดสีผิว" โดยเขาไม่สนับสนุนต่อศิลปินแอฟริกัน-อเมริกัน ใช้ประโยชน์พวกเขาเพียงเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง<ref name = "tara 610–611"/> เขายังกล่าวโทษมอตโตลาว่า เขาเรียกผู้ร่วมงานเขา [[เอิร์ฟ กอตตี]] ว่า "ไอ้มืดอ้วน" (fat nigger)<ref>{{cite interview |last=Jackson |first=Jermaine |subjectlink=Jermaine Jackson |interviewer=[[Connie Chung]]| title=Interview with Jermaine Jackson |date=(December 31, 2002) |program=''[[Connie Chung Tonight]]'' |url=http://transcripts.cnn.com/TRANSCRIPTS/0212/31/cct.00.html |accessdate=July 2, 2008}}</ref> โซนีออกมาโต้เถียงสาเหตุของความล้มเหลวของอัลบั้ม ''Invincible'' คือ ขาดการประชาสัมพันธ์ การปฏิเสธการทัวร์ประชาสัมพันธ์ของแจ็กสันในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากในการประชาสัมพันธ์ต้องใช้เงินถึง 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ<ref>{{cite web|author=Burkeman, Oliver|title=Jacko gets tough: but is he a race crusader or just a falling star?|publisher=The Guardian|url=http://www.guardian.co.uk/world/2002/jul/08/oliverburkeman|date=July 8, 2002|accessdate=July 23, 2008}}</ref>
ปี 2000 แจ็กสันมีชื่ออยู่ในกินเนสเวิลด์เรคเคิดส์ สำหรับการสนับสนุนองค์การการกุศล 39 หน่วยงาน มากกว่าดาราหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ<ref>Lewis, pp. 8–9</ref> ในเวลานั้นแจ็กสันรอใบอนุญาติจากผลงานอัลบั้มที่จะลับมาเป็นของเขา ที่จะทำให้เขาสามารถประชาสัมพันธ์เพลงเก่าของเขาได้สะดวก และปกป้องจากโซนีที่ตัดรายได้ของเขาไป แจ็กสันคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นในช่วงต้น[[สหัสวรรษ]]ใหม่ อย่างไรก็ตามเนื่องจากในสัญญามีรายละเอียดมากมาย การกลับคืนไปสู่เขาก็ยังคงใช้เวลานานอีกหลายปี แจ็กสันเริ่มการตรวจสอบและปรากฏว่านักกฎหมายของเขาก็เป็นตัวแทนของโซนีเช่นกัน ทำให้เกิด[[การขัดกันของผลประโยชน์|ความขัดผลประโยชน์กัน]]<ref name = "tara 610–611"/> แจ็กสันยังกังวลเกี่ยวกับความจริงที่ว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา โซนีพยายามซื้อหุ้นที่เขาเป็นเจ้าของ โดยแจ็กสันเกรงว่าโซนี่อาจจะมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เนื่องจากหากอาชีพการงานหรือสถานการณ์การเงินของเขาทรุดลง เขาก็อาจจะต้องขายหุ้นส่วนในราคาต่ำ ถึงกระนั้นโซนีก็อาจทำอะไรบางอย่างกับอาชีพของเขา แจ็กสันพยายามหาทางออกตั้งแต่แรกจากสัญญาของเขา<ref name = "tara 614–617"/>


[[ไฟล์:__Michael Jackson INVINCIBLE.jpg__|thumb|left|งานศิลปะของไมเคิล แจ็กสัน ขณะเดินบนดวงจันทร์ในเพลง"บิลลี จีน"]]
[[ไฟล์:__Michael Jackson INVINCIBLE.jpg__|thumb|left|งานศิลปะของไมเคิล แจ็กสัน ขณะเดินบนดวงจันทร์ในเพลง"บิลลี จีน"]]
6 ปีหลังจากออกอัลบั้มสุดท้ายและใช้เวลาอย่างมากในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 ในการหลบสายตาจากสาธารณชน แจ็กสันออกผลงานอัลบั้ม ''Invincible'' ในเดือนตุลาคม 2001 กับการรอคอย เพื่อช่วยในการประชาสัมพันธ์อัลบั้ม ในงานเฉลิมฉลองครอบรอบ 30 ปีของ[[เมดิสันสแควร์การ์เดน]] ที่จัดขึ้นในเดือนกันยายน 2001 แจ็กสันปรากฏตัวบนเวทีร่วมกับพี่ชายของเขาเหมือนเมื่อครั้งในปี 1984<ref name="guardian">{{cite web|author=Branigan, Tania|title=Jackson spends £20m to be Invincible|publisher=The Guardian|url=http://www.guardian.co.uk/uk/2001/sep/08/taniabranigan|date=September 8, 2001|accessdate=July 23, 2008}}</ref> ในงานมีการแสดงของศิลปินอย่าง มายย่า [[อัชเชอร์]] [[วิตนีย์ ฮูสตัน]] [[เอ็นซิงก์]] และสแลช รวมถึงศิลปินอื่นอีกมาก<ref name = "Nelson George overview 50-53"/> ในเหตุการณ์[[วินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544|วินาศกรรม 11 กันยายน]] แจ็กสันเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดงานหาเงินในคอนเสิร์ตยูไนเต็ด: วอตมอร์แคนไอกีฟ ที่สนามกีฬาอาร์เอฟเคใน[[วอชิงตันดีซี]] ที่มีศิลปินมากมายเข้าร่วม รวมถึงตัวเขาที่แสดงในเพลง "What More Can I Give" เป็นเพลงสุดท้าย<ref name = "tara 614–617"/> ผลงานอัลบั้ม ''[[อินวินซิเบิล (อัลบั้มไมเคิล แจ็กสัน)|Invincible]]'' ประสบความสำเร็จ เปิดตัวอันดับ 1 ใน 13 ประเทศและมียอดขายราว 10 ล้านชุดทั่วโลก ยังได้รับแผ่นเสียงทองคำขาวคู่ในสหรัฐอเมริกา<ref name="RIAA certifications"/><ref name="KOP achievements"/><ref name = "tara 614–617">Taraborrelli, pp. 614–617</ref> อย่างไรก็ตามยอดขายอัลบั้ม ''Invincible'' ถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับผลงานในชุดก่อนเนื่องจากการทำเพลงที่ป็อปน้อยลง การขาดการประชาสัมพันธ์ การไม่ได้รับการสนับสนุนในทัวร์และความขัดแย้งกับค่ายเพลงต้นสังกัด<ref name = "tara 614–617"/> อัลบั้มมี 3 ซิงเกิลคือ "[[You Rock My World]]", "Cry" และ "Butterflies" ซิงเกิลหลังไม่มีมิวสิกวิดีโอ
เนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปีสำหรับการเป็นศิลปินเดี่ยวของแจ็กสัน ที่งานเฉลิมฉลองคอนเสิร์ตครบรอบ 30 ปีของ[[เมดิสันสแควร์การ์เดน]] ซึ่งจัดขึ้นในเดือนกันยายน 2001 เขากับพี่น้อง เดอะแจ็กสันไฟฟ์ ได้ปรากฏตัวบนเวทีร่วมกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1984<ref name="guardian">{{cite web|author=Branigan, Tania|title=Jackson spends ?20m to be Invincible|publisher=The Guardian|url=http://www.guardian.co.uk/uk/2001/sep/08/taniabranigan|date=September 8, 2001|accessdate=July 23, 2008}}</ref> ในงานยังมีการแสดงของศิลปินอย่าง มายย่า [[อัชเชอร์]] [[วิตนีย์ ฮูสตัน]] [[เอ็นซิงก์]] และสแลช รวมถึงศิลปินอื่นอีกหลายคน<ref name = "Nelson George overview 50-53"/> การแสดงนี้เกิดขึ้นก่อน[[วินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544|เหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน]]เพียงหนึ่งคืนจากการโจมตีของผู้ก่อการร้าย <ref>http://11lucky.blogspot.com/</ref>หลังจากเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน แจ็กสันเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดงานหาเงินใน "ยูไนเต็ด วีแสตนด์: วอตมอร์แคนไอกีฟ" คอนเสิร์ตเพื่อการกุศล ที่สนามกีฬาอาร์เอฟเคใน[[วอชิงตันดีซี]] คอนเสิร์ตเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2001 ประกอบด้วยการแสดงจากหลากหลายศิลปิน รวมถึงตัวเขาที่แสดงในเพลง "[[วอตมอร์แคนไอกีฟ| What More Can I Give]]" เป็นเพลงสุดท้าย<ref name = "tara 614–617"/>


ผลงานอัลบั้ม ''[[อินวินซิเบิล (อัลบั้มไมเคิล แจ็กสัน)|Invincible]]'' ประสบความสำเร็จ เปิดตัวอันดับ 1 ใน 13 ประเทศและมียอดขายราว 13 ล้านชุดทั่วโลก ยังได้รับแผ่นเสียงทองคำขาวคู่ในสหรัฐอเมริกา<ref name="RIAA certifications"/><ref name="KOP achievements"/><ref name = "tara 614–617">Taraborrelli, pp. 614–617</ref> อย่างไรก็ตามยอดขายอัลบั้ม ''Invincible'' ถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับผลงานในชุดก่อนเนื่องจากการทำเพลงที่ป็อปน้อยลง การขาดการประชาสัมพันธ์ การไม่ได้รับการสนับสนุนในทัวร์และความขัดแย้งกับค่ายเพลงต้นสังกัด<ref name = "tara 614–617"/> อัลบั้มมี 3 ซิงเกิลคือ "[[You Rock My World]]", "Cry" และ "Butterflies" ซิงเกิลหลังไม่มีมิวสิกวิดีโอ แต่ก่อนที่จะออกผลงานอัลบั้ม ''Invincible'' แจ็กสันประกาศต่อหน้าประธานโซนีเอนเตอร์เทนเมนต์ [[ทอมมี มอตโตลา]] ว่าเขาจะออกจากโซนี<ref name = "tara 610–611"/> ผลคือ ซิงเกิลทั้งหมด การถ่ายทำวิดีโอและการประชาสัมพันธ์ทุกอย่างจากอัลบั้ม ''Invincible'' ถูกยกเลิกทันที แจ็กสันจะกล่าวโทษมอตโตลาในเดือนกรกฎาคม ปี 2002 ว่าเป็น "ปีศาจ" และ "เหยียดสีผิว" โดยเขาไม่สนับสนุนต่อศิลปินแอฟริกัน-อเมริกัน ใช้ประโยชน์พวกเขาเพียงเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง<ref name = "tara 610–611"/> เขายังกล่าวโทษมอตโตลา ว่าเขาเรียก ผู้ร่วมงานของเขา เอิร์ฟ กอตตี ว่า "ไอ้มืดอ้วน" (fat nigger)<ref>{{cite interview |last=Jackson |first=Jermaine |subjectlink=Jermaine Jackson |interviewer=[[Connie Chung]]| title=Interview with Jermaine Jackson |date=(December 31, 2002) |program=''[[Connie Chung Tonight]]'' |url=http://transcripts.cnn.com/TRANSCRIPTS/0212/31/cct.00.html |accessdate=July 2, 2008}}</ref> โซนีออกมาโต้เถียงสาเหตุของความล้มเหลวของอัลบั้ม ''Invincible'' คือ ขาดการประชาสัมพันธ์ การปฏิเสธการทัวร์ประชาสัมพันธ์ของแจ็กสันในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากในการประชาสัมพันธ์ต้องใช้เงินถึง 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ<ref>{{cite web|author=Burkeman, Oliver|title=Jacko gets tough: but is he a race crusader or just a falling star?|publisher=The Guardian|url=http://www.guardian.co.uk/world/2002/jul/08/oliverburkeman|date=July 8, 2002|accessdate=July 23, 2008}}</ref>
ลูกคนที่ 3 ของแจ็กสันชื่อ พรินซ์ ไมเคิล แจ็กสันที่ 2 (หรืออีกชื่อว่า แบลงเคต) เกิดในปี 2002<ref>{{cite web |url=http://www.mirror.co.uk/topics/michael-jackson/ |title=Michael Jackson |publisher=Daily Mirror |accessdate=May 29, 2009}}</ref> แจ็กสันไม่เปิดเผยว่ามารดาของลูกคนนี้เป็นใคร แต่เขาก็พูดว่าเด็กคนนี้เป็นผลจากการผสมเทียมจากหญิงอุ้มบุญ โดยสเปิร์มของเขาเอง<ref name="tara 599-600">Taraborrelli, pp. 599–600</ref> ในเดือนพฤศจิกายนปีนั้นเอง แจ็กสันนำลูกชายที่ยังแบเบาะมาที่ระเบียงห้องของโรงแรมแอดรอนใน[[เบอร์ลิน]] โดยมีแฟนเพลงยืนรออยู่ข้างล่าง จากนั้นก็อุ้มทารกด้วยแขนขวา หย่อนตัวทารกห้อยลงนอกระเบียงสูง 4 ชั้น โดยทารกมีผ้าปิดหน้าอยู่ เป็นเหตุทำให้สื่อติเตียนต่อการกระทำครั้งนี้ของเขา แจ็กสันออกมาขอโทษภายหลังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบอกว่า "ถือเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง"<ref name="Balcony incident">{{cite web |first=Jennifer |last=Vineyard |url=http://www.mtv.com/news/articles/1458799/20021120/jackson_michael.jhtml |title=Michael Jackson Calls Baby-Dangling Incident A 'Terrible Mistake'|publisher=MTV|date=November 20, 2002|accessdate=March 3, 2009}}</ref> โซนีออกผลงานรวมเพลงฮิตของแจ็กสันทั้งซีดีและดีวีดี อัลบั้มมียอดขายระดับแผ่นเสียงทองคำขาวจากการรับรองของ[[อาร์ไอเอเอ]] ในสหราชอาณาจักรมียอดขายไม่น้อยกว่า 1.2 ล้านชุด<ref name="RIAA certifications"/><ref name="BPI">{{cite web|url=http://www.bpi.co.uk/index.asp |title=BPI Searchable database&nbsp;— Gold and Platinum |publisher=[[British Phonographic Industry]] |accessdate=January 25, 2009}}</ref>


ในปี 2002 แจ็กสันได้รับเชิญรางวัลครั้งที่ 22 จากอเมริกันมิวสิกอวอร์ดสในฐานะ "ศิลปินแห่งศตวรรษ" <ref>http://www.billboard.com/articles/news/77246/jackson-to-accept-ama-artist-of-the-century-honor</ref> ในปีเดียวกัน ลูกคนที่ 3 ของเขาชื่อ พรินซ์ ไมเคิล แจ็กสันที่ 2 (หรืออีกชื่อว่า แบลงเคต) เกิดในปี 2002<ref>{{cite web |url=http://www.mirror.co.uk/topics/michael-jackson/ |title=Michael Jackson |publisher=Daily Mirror |accessdate=May 29, 2009}}</ref> แจ็กสันไม่เปิดเผยว่ามารดาของลูกคนนี้เป็นใคร แต่เขาก็พูดว่าเด็กคนนี้เป็นผลจากการผสมเทียมจากหญิงอุ้มบุญ โดยสเปิร์มของเขาเอง<ref name="tara 599-600">Taraborrelli, pp. 599–600</ref> ในเดือนพฤศจิกายนปีนั้นเอง แจ็กสันนำลูกชายที่ยังแบเบาะมาที่ระเบียงห้องของโรงแรมแอดรอนใน[[เบอร์ลิน]] โดยมีแฟนเพลงยืนรออยู่ข้างล่าง จากนั้นก็อุ้มทารกด้วยแขนขวา หย่อนตัวทารกห้อยลงนอกระเบียงสูง 4 ชั้น โดยทารกมีผ้าปิดหน้าอยู่ เป็นเหตุทำให้สื่อติเตียนต่อการกระทำครั้งนี้ของเขา แจ็กสันออกมาขอโทษภายหลังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบอกว่า "ถือเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง"<ref name="Balcony incident">{{cite web |first=Jennifer |last=Vineyard |url=http://www.mtv.com/news/articles/1458799/20021120/jackson_michael.jhtml |title=Michael Jackson Calls Baby-Dangling Incident A 'Terrible Mistake'|publisher=MTV|date=November 20, 2002|accessdate=March 3, 2009}}</ref> ในเดือนพฤศจิกายน 2003 โซนีออกผลงาน "[[นัมเบอร์วันส์ (อัลบั้มไมเคิล แจ็กสัน)|Number Ones]]" อัลบั้มที่รวมเพลงฮิตของเขา ทั้งซีดีและดีวีดี อัลบั้มมียอดขายระดับแผ่นเสียงทองคำขาวจากการรับรองโดย[[อาร์ไอเอเอ]] ในสหราชอาณาจักรได้รับการรับรองแพลทินัมหกครั้ง โดยมียอดขายไม่น้อยกว่า 1.2 ล้านชุด<ref name="RIAA certifications"/><ref name="BPI">{{cite web|url=http://www.bpi.co.uk/index.asp |title=BPI Searchable database&nbsp;— Gold and Platinum |publisher=[[British Phonographic Industry]] |accessdate=January 25, 2009}}</ref>
===2003-05: กรณีข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศกับเด็กครั้งที่สอง และการพ้นผิด===


===2003-05: กรณีข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศกับเด็กครั้งที่สอง และการพ้นผิด===
ในซีรีส์การสัมภาษณ์กับ[[มาร์ติน แบชเชียร์]] ออกอากาศปี 2003 ในรายการชื่อ ''Living with Michael Jackson'' มีภาพแจ็กสันจับมือและกำลังพูดถึงการนอนกับเกวิน อาร์ซิโว อายุ 13 ปี ซึ่งต่อมาออกมาฟ้องร้องละเมิดทางเพศกับเขา<ref name = "tara 640">Taraborrelli, p. 640</ref> หลังจากนี้รายการออกอากาศไม่นาน แจ็กสันถูกข้อกล่าวหากับคู่กรณี 7 รายเรื่องการลวนลามทางเพศ และ 2 กรณีจากให้สิ่งมึนเมากับอาร์ซิโว<ref name = "tara 640"/>
ในซีรีส์การสัมภาษณ์กับ[[มาร์ติน แบชเชียร์]] ออกอากาศปี 2003 ในรายการชื่อ ''Living with Michael Jackson'' มีภาพแจ็กสันจับมือและกำลังพูดถึงการนอนกับเกวิน อาร์ซิโว อายุ 13 ปี ซึ่งต่อมาออกมาฟ้องร้องละเมิดทางเพศกับเขา<ref name = "tara 640">Taraborrelli, p. 640</ref> หลังจากนี้รายการออกอากาศไม่นาน แจ็กสันถูกข้อกล่าวหากับคู่กรณี 7 รายเรื่องการลวนลามทางเพศ และ 2 กรณีจากให้สิ่งมึนเมากับอาร์ซิโว<ref name = "tara 640"/>


แจ็กสันปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยพูดว่าเป็นการนอนโดยไม่มีเพศสัมพันธ์มาเกี่ยวข้องเป็นเรื่องธรรมชาติ เอลิซาเบธ เทย์เลอร์เข้ามาปกป้องเขา โดยพูดว่า เธออยู่ที่นั่นเมื่อพวกเขาอยู่บนเตียง "ไม่มีสิ่งผิดปกติอะไร" และเธอบอกกับ[[แลร์รี คิง]] ว่า "ไม่มีการสัมผัสกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ พวกเราหัวเราะกันเหมือนเด็กและดูทีวี[[วอลต์ดิสนีย์]]อีกหลายเรื่อง ไม่มีเรื่องผิดปกติเลย"<ref>{{cite web |url=http://transcripts.cnn.com/TRANSCRIPTS/0605/30/lkl.01.html |title=Elizabeth Taylor defends Michael on Larry King Live |publisher=CNN |date= (May 30, 2006) |accessdate= November 11, 2006}}</ref> ในระหว่างการสืบสวนแจ็กสันถูกตรวจสอบสุขภาพจิตจาก ดร.สแตน แคตซ์ หมอที่คลุกคลีหลายชั่วโมงกับผู้กล่าวหาด้วย แคตซ์พูดว่า แจ็กสันเหมือนกลับไปเป็นเด็ก 10 ขวบและไม่มีอะไรระบุว่าเขามีเพศสัมพันธ์กับเด็ก<ref>Taraborrelli, p. 648</ref>
แจ็กสันปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยพูดว่าเป็นการนอนโดยไม่มีเพศสัมพันธ์มาเกี่ยวข้องเป็นเรื่องธรรมชาติ เอลิซาเบธ เทย์เลอร์เข้ามาปกป้องเขา โดยพูดว่า เธออยู่ที่นั่นเมื่อพวกเขาอยู่บนเตียง "ไม่มีสิ่งผิดปกติอะไร" และเธอบอกกับ[[แลร์รี คิง]] ว่า "ไม่มีการสัมผัสกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ พวกเราหัวเราะกันเหมือนเด็กและดูทีวี[[วอลต์ดิสนีย์]]อีกหลายเรื่อง ไม่มีเรื่องผิดปกติเลย"<ref>{{cite web |url=http://transcripts.cnn.com/TRANSCRIPTS/0605/30/lkl.01.html |title=Elizabeth Taylor defends Michael on Larry King Live |publisher=CNN |date= (May 30, 2006) |accessdate= November 11, 2006}}</ref> ในระหว่างการสืบสวนแจ็กสันถูกตรวจสอบสุขภาพจิตจาก ดร.สแตน แคตซ์ หมอที่คลุกคลีหลายชั่วโมงกับผู้กล่าวหาด้วย แคตซ์พูดว่า แจ็กสันเหมือนกลับไปเป็นเด็ก 10 ขวบ และไม่มีหลักฐานอะไรระบุว่าเขามีเพศสัมพันธ์กับเด็ก<ref>Taraborrelli, p. 648</ref> ระหว่าง 2 ปีที่เกิดคดีความ มีรายงานว่าแจ็กสันติดยา[[เพทิดีน]] และน้ำหนักลดฮวบ การพิจาณาคดีความเริ่มเมื่อวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2005 ใน[[แซนตามาเรีย]] รัฐแคลิฟอร์เนีย ใช้เวลานานถึง 5 เดือน จบลงปลายเดือนพฤษภาคม โดยแจ็กสันพ้นข้อกล่าวหาทั้งหมด <ref>Taraborrelli, p. 661</ref><ref name="Michael Jackson health concerns">{{cite news |first=Matthew |last=Davis |url=http://news.bbc.co.uk/2/hi/entertainment/4612897.stm |title=Michael Jackson health concerns |publisher=BBC |date=June 6, 2005|accessdate=April 14, 2008}}</ref><ref>{{cite news |url=http://www.guardian.co.uk/jackson/story/0,15819,1505806,00.html|title=Michael Jackson jury reaches verdict |agency=Associated Press|date= June 13, 2005|accessdate=July 12, 2008}}</ref> หลังจากนั้นเขาก็ย้ายไปอยู่เกาะใน[[อ่าวเปอร์เซีย]] [[บาห์เรน]] โดยเป็นแขกของชีค อับดุลลา<ref>{{cite web |first=Habib |last=Toumi |url=http://archive.gulfnews.com/articles/06/01/23/10013403.html |title=Jackson settles down to his new life in the Persian Gulf |accessdate=November 11, 2006 |work= [[Gulf News]] |date= January 23, 2006}}</ref>


===2006-09: เนเวอร์แลนด์ ช่วงบั้นปลายชีวิต และการประกาศคอนเสิร์ต ''This Is It'' ===
ระหว่าง 2 ปีที่เกิดคดีความ มีรายงานว่าแจ็กสันติดยา[[เพทิดีน]] และน้ำหนักลดฮวบ การตัดสินคดีความเริ่มเมื่อ 31 มกราคม ค.ศ. 2005 ใน[[แซนตามาเรีย]] รัฐแคลิฟอร์เนีย ยาวนาน 5 เดือน จบลงปลายเดือนพฤษภาคม โดยแจ็กสันพ้นข้อกล่าวหาทุกกรณี<ref>Taraborrelli, p. 661</ref><ref name="Michael Jackson health concerns">{{cite news |first=Matthew |last=Davis |url=http://news.bbc.co.uk/2/hi/entertainment/4612897.stm |title=Michael Jackson health concerns |publisher=BBC |date=June 6, 2005|accessdate=April 14, 2008}}</ref><ref>{{cite news |url=http://www.guardian.co.uk/jackson/story/0,15819,1505806,00.html|title=Michael Jackson jury reaches verdict |agency=Associated Press|date= June 13, 2005|accessdate=July 12, 2008}}</ref> หลังจากนั้นเขาก็ย้ายไปอยู่เกาะใน[[อ่าวเปอร์เซีย]] [[บาห์เรน]] โดยเป็นแขกของชีค อับดุลลา<ref>{{cite web |first=Habib |last=Toumi |url=http://archive.gulfnews.com/articles/06/01/23/10013403.html |title=Jackson settles down to his new life in the Persian Gulf |accessdate=November 11, 2006 |work= [[Gulf News]] |date= January 23, 2006}}</ref>

===2006-09: เนเวอร์แลนด์ ช่วงบั้นปลายชีวิต และการประกาศคอนเสิร์ต ดิส อีส อิท ===
[[ไฟล์:Michael Jackson 2006.jpg|thumb|แจ็กสันกับลูกชายของเขา ที่ [[ดิสนีย์แลนด์]] [[ปารีส]] ปี 2006]]
[[ไฟล์:Michael Jackson 2006.jpg|thumb|แจ็กสันกับลูกชายของเขา ที่ [[ดิสนีย์แลนด์]] [[ปารีส]] ปี 2006]]
ข่าวเกี่ยวกับปัญหาด้านการเงินของแจ็กสันเริ่มมีบ่อยขึ้นในปี 2006 หลังจากที่บ้านที่ไร่เนเวอร์แลนด์ถูกปิดเพื่อลดค่าใช้จ่าย<ref>{{cite web |first=Melissa |last=McNamara |url=http://www.showbuzz.cbsnews.com/stories/2006/03/17/people/main1414450.shtml |title=Jackson Closes Neverland House |publisher=CBS |date= March 17, 2006 |accessdate=November 11, 2006}}</ref> หนึ่งในปัญหาใหญ่ของเขาคือหนี้สินจำนวน 270 ล้านเหรียญซึ่งเขาไม่สามารถชำระคืนตามเวลา หนี้ก้อนนี้ถูกปรับโครงสร้างและย้ายจากธนาคารแห่งอเมริกาไปยังกลุ่มฟอร์ตเทรสอินเวสต์เมนต์ โซนียื่นข้อเสนอซึ่งทำให้แจ็กสันสามารถกู้เงินได้อีก 300 ล้านเหรียญ และได้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ แลกเปลี่ยนกับการที่โซนีจะสามารถซื้อสิทธิครึ่งหนึ่งที่แจ็กสันมีต่ออัลบัมเพลงที่ทั้งสองถือร่วมกัน (ทำให้แจ็กสันเหลือสิทธิเพียงร้อยละ 25)<ref name="sonydeal"/> แจ็กสันตกลงข้อเสนอปรับโครงสร้างหนี้ของโซนี แต่รายละเอียดของข้อตกลงนั้นไม่ถูกเปิดเผย<ref>{{cite news |url=http://news.bbc.co.uk/2/hi/entertainment/4909412.stm |title=Jackson strikes deal over loans |publisher=BBC |date=(April 14, 2006) |accessdate=November 11, 2006}}</ref> อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากนิตยสารฟอร์บรายงานว่าแม้ว่าเขาจะมีหนี้สินเหล่านี้ แจ็กสันก็ยังคงทำเงินมากถึง 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีจากการยอดถือลิขสิทธิ์ผลงานเพลงร่วมกับโซนีเพียงอย่างเดียว<ref>{{cite web |first=Dan |last=Ackman|authorlink=Dan Ackman |url=http://www.forbes.com/2005/06/14/jackson-celebrity-trial-cx_da_0614topnews.html |title=Really Odd Facts About Michael Jackson |publisher=[[Forbes]] |date=May 14, 2005 |accessdate=August 20, 2008}}</ref>
ข่าวเกี่ยวกับปัญหาด้านการเงินของแจ็กสันเริ่มมีบ่อยขึ้นในปี 2006 หลังจากที่บ้านที่ไร่เนเวอร์แลนด์ถูกปิดเพื่อลดค่าใช้จ่าย<ref>{{cite web |first=Melissa |last=McNamara |url=http://www.showbuzz.cbsnews.com/stories/2006/03/17/people/main1414450.shtml |title=Jackson Closes Neverland House |publisher=CBS |date= March 17, 2006 |accessdate=November 11, 2006}}</ref> หนึ่งในปัญหาใหญ่ของเขาคือหนี้สินจำนวน 270 ล้านเหรียญซึ่งเขาไม่สามารถชำระคืนตามเวลา หนี้ก้อนนี้ถูกปรับโครงสร้างและย้ายจากธนาคารแห่งอเมริกาไปยังกลุ่มฟอร์ตเทรสอินเวสต์เมนต์ โซนียื่นข้อเสนอซึ่งทำให้แจ็กสันสามารถกู้เงินได้อีก 300 ล้านเหรียญ และได้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ แลกเปลี่ยนกับการที่โซนีจะสามารถซื้อสิทธิครึ่งหนึ่งที่แจ็กสันมีต่ออัลบัมเพลงที่ทั้งสองถือร่วมกัน (ทำให้แจ็กสันเหลือสิทธิเพียงร้อยละ 25)<ref name="sonydeal"/> แจ็กสันตกลงข้อเสนอปรับโครงสร้างหนี้ของโซนี แต่รายละเอียดของข้อตกลงนั้นไม่ถูกเปิดเผย<ref>{{cite news |url=http://news.bbc.co.uk/2/hi/entertainment/4909412.stm |title=Jackson strikes deal over loans |publisher=BBC |date=(April 14, 2006) |accessdate=November 11, 2006}}</ref> อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากนิตยสารฟอร์บรายงานว่าแม้ว่าเขาจะมีหนี้สินเหล่านี้ แจ็กสันก็ยังคงทำเงินมากถึง 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีจากการยอดถือลิขสิทธิ์ผลงานเพลงร่วมกับโซนีเพียงอย่างเดียว<ref>{{cite web |first=Dan |last=Ackman|authorlink=Dan Ackman |url=http://www.forbes.com/2005/06/14/jackson-celebrity-trial-cx_da_0614topnews.html |title=Really Odd Facts About Michael Jackson |publisher=[[Forbes]] |date=May 14, 2005 |accessdate=August 20, 2008}}</ref>


แจ็กสันได้รับรางวัลไดอะมอนด์อวอร์ดเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2006 จากยอดขายอัลบั้มมากกว่า 100 ล้านชุดที่งาน[[เวิลด์มิวสิกอวอร์ดส]]<ref name="KOP achievements"/> หลังจากการเสียชีวิตของ[[เจมส์ บราวน์]] แจ็กสันเดินทางกลับสหรัฐอเมริกาเพื่อสดุดีเขา เขากับคนร่วม 8,000 คน เข้าร่วมงานศพเมื่อ 30 ธันวาคม ค.ศ. 2006<ref name="jb">{{cite web |first=Shaheem |last=Reid|url=http://www.mtv.com/news/articles/1549061/20061230/brown_james.jhtml |title=James Brown Saluted By Michael Jackson at Public Funeral Service |publisher=MTV |date= December 30, 2006 |accessdate=December 31, 2006}}</ref> หลายปี 2006 แจ็กสันเห็นว่าเขาควรให้เดบบี โรว์ อดีตภรรยา มีสิทธิ์เลี้ยงดูลูกสองคนแรกของเขา<ref name="Jackson settles with Ex wife">{{cite news |url=http://news.bbc.co.uk/1/hi/entertainment/5394792.stm |title=Jackson child custody battle ends |publisher=BBC |date=(September 30, 2006)|accessdate=April 16, 2008}}</ref> แจ็กสันและโซนีซื้อ Famous Music LLC จาก[[เวียคอม]]ในปี 2007 มีข้อตกลงจะให้ลิขสิทธิ์เพลงของ[[เอ็มมิเน็ม]] [[ชาคีร่า]] และ[[เบ็ก]] รวมถึงอื่น ๆ<ref name="2007 music deal">{{cite web |url=http://www.rollingstone.com/rockdaily/index.php/2007/05/31/the-police-plan-mtv-unplugged-performance-michael-jackson-buys-rights-to-eminem-tunes-and-more/ |title=Michael Jackson buys rights to Eminem tunes and more |publisher=Rolling Stone |date=(May 31, 2007) |accessdate=June 23, 2008}}</ref>
แจ็กสันได้รับเชิญรางวัลไดอะมอนด์อวอร์ดเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2006 จากยอดขายอัลบั้มมากกว่า 100 ล้านชุดที่งาน[[เวิลด์มิวสิกอวอร์ดส]]<ref name="KOP achievements"/> หลังจากการเสียชีวิตของ[[เจมส์ บราวน์]] แจ็กสันเดินทางกลับสหรัฐอเมริกาเพื่อสดุดีเขา เขากับคนร่วม 8,000 คน เข้าร่วมงานศพเมื่อ 30 ธันวาคม ค.ศ. 2006<ref name="jb">{{cite web |first=Shaheem |last=Reid|url=http://www.mtv.com/news/articles/1549061/20061230/brown_james.jhtml |title=James Brown Saluted By Michael Jackson at Public Funeral Service |publisher=MTV |date= December 30, 2006 |accessdate=December 31, 2006}}</ref> หลายปี 2006 แจ็กสันเห็นว่าเขาควรให้เดบบี โรว์ อดีตภรรยา มีสิทธิ์เลี้ยงดูลูกสองคนแรกของเขา<ref name="Jackson settles with Ex wife">{{cite news |url=http://news.bbc.co.uk/1/hi/entertainment/5394792.stm |title=Jackson child custody battle ends |publisher=BBC |date=(September 30, 2006)|accessdate=April 16, 2008}}</ref> แจ็กสันและโซนีซื้อ Famous Music LLC จาก[[เวียคอม]]ในปี 2007 มีข้อตกลงจะให้ลิขสิทธิ์เพลงของ[[เอ็มมิเน็ม]] [[ชาคีร่า]] และ[[เบ็ก]] รวมถึงอื่น ๆ<ref name="2007 music deal">{{cite web |url=http://www.rollingstone.com/rockdaily/index.php/2007/05/31/the-police-plan-mtv-unplugged-performance-michael-jackson-buys-rights-to-eminem-tunes-and-more/ |title=Michael Jackson buys rights to Eminem tunes and more |publisher=Rolling Stone |date=(May 31, 2007) |accessdate=June 23, 2008}}</ref>


การฉลองครบรอบ 25 ปีของอัลบั้ม ''Thriller'' โดยการออกอัลบั้มพิเศษ ''Thriller 25'' ที่มีเพลงที่ไม่เคยออกที่ไหนมาก่อนคือ "For All Time" และรีมิกซ์หลาย ๆ เพลงร่วมกับศิลปินรุ่นใหม่ ๆ ที่มีอิทธิพลต่อพวกเขา อัลบั้มชุด ''Thriller 25'' ยังมี[[ดีวีดี]] มีซิงเกิลรีมิกซ์ 2 เพลงคือ "The Girl Is Mine 2008" และ "Wanna Be Startin' Somethin' 2008" โดย ''Thriller 25'' ติดชาร์ตขึ้นอันดับ 1 ใน 8 ประเทศในยุโรป และติดอันดับ 3 ในสหราชอาณาจักรและท็อป 10 มากกว่า 30 ชาร์ตทั่วโลก<ref name="National certifications for Thriller 25">{{cite web |url=http://zm.nu/detalle.php?base=zmnews&lay=cgi&form=detalle&tok4=notici&tok5=Noticias&id=17840 |title=Zona Musical |publisher=zm.nu |accessdate=April 5, 2008 |language=Spanish}}</ref><ref name="Thriller 25 chart positions at digitalproducer">{{cite web |url=http://digitalproducer.digitalmedianet.com/articles/viewarticle.jsp?id=312105&afterinter=true
การฉลองครบรอบ 25 ปีของอัลบั้ม ''Thriller'' โดยการออกอัลบั้มพิเศษ ''Thriller 25'' ที่มีเพลงที่ไม่เคยออกที่ไหนมาก่อนคือ "For All Time" และรีมิกซ์หลาย ๆ เพลงร่วมกับศิลปินรุ่นใหม่ ๆ ที่มีอิทธิพลต่อพวกเขา อัลบั้มชุด ''Thriller 25'' ยังมี[[ดีวีดี]] มีซิงเกิลรีมิกซ์ 2 เพลงคือ "The Girl Is Mine 2008" และ "Wanna Be Startin' Somethin' 2008" โดย ''Thriller 25'' ติดชาร์ตขึ้นอันดับ 1 ใน 8 ประเทศในยุโรป และติดอันดับ 3 ในสหราชอาณาจักรและท็อป 10 มากกว่า 30 ชาร์ตทั่วโลก<ref name="National certifications for Thriller 25">{{cite web |url=http://zm.nu/detalle.php?base=zmnews&lay=cgi&form=detalle&tok4=notici&tok5=Noticias&id=17840 |title=Zona Musical |publisher=zm.nu |accessdate=April 5, 2008 |language=Spanish}}</ref><ref name="Thriller 25 chart positions at digitalproducer">{{cite web |url=http://digitalproducer.digitalmedianet.com/articles/viewarticle.jsp?id=312105&afterinter=true
บรรทัด 219: บรรทัด 232:


=== มิวสิกวิดีโอและท่าเต้น ===
=== มิวสิกวิดีโอและท่าเต้น ===
แจ็กสันถูกเรียกว่าเป็น "ราชาแห่งมิวสิกวีดีโอ" สตีฟ ฮิวอีแห่งออลมิวสิก สังเกตว่า แจ็กสันได้เปลี่ยนรูปแบบของ[[มิวสิกวิดีโอ]]ให้เป็นในรูปแบบของศิลปินและเป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ผ่านเนื้อเรื่องที่ซับซ้อน ท่าเต้น สเปเชียลเอฟเฟกต์และนักแสดงชื่อดัง และยังทลายสีผิวไปในเวลาเดียวกัน<ref name=allmusic>{{cite web|last=Huey|first=Steve|title=Michael Jackson&nbsp;— Biography|url=http://www.allmusic.com/artist/michael-jackson-p4576 |publisher=[[Allmusic]] |accessdate=November 11, 2006}}</ref> ผู้กำกับมิวสิกวิดีโอ วินเซนต์ พาเตอร์สัน ที่เคยร่วมงานกับเขาหลายครั้ง ได้พูดว่าแนวคิดของแจ็กสันในมิวสิกวิดีโอว่า เป็นธีมที่ดูมืดหม่น สิ้นหวัง<ref name = "overview of paterson">{{cite web |first=David |last=Noh |url=http://gaycitynews.com/site/index.cfm?newsid=17007818&BRD=2729&PAG=461&dept_id=568864&rfi=8 |title=Choreographer Supreme |publisher=[[Gay City News]] |date=January 26, 2006 |accessdate=January 13, 2009}}</ref>
แจ็กสันถูกเรียกว่าเป็น "ราชาแห่งมิวสิกวีดีโอ" สตีฟ ฮิวอีแห่งออลมิวสิก สังเกตว่า แจ็กสันได้เปลี่ยนรูปแบบของ[[มิวสิกวิดีโอ]]ให้เป็นในรูปแบบของศิลปะและเป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ผ่านเนื้อเรื่องที่ซับซ้อน ท่าเต้น สเปเชียลเอฟเฟกต์และนักแสดงชื่อดัง และยังทลายสีผิวไปในเวลาเดียวกัน<ref name=allmusic>{{cite web|last=Huey|first=Steve|title=Michael Jackson&nbsp;— Biography|url=http://www.allmusic.com/artist/michael-jackson-p4576 |publisher=[[Allmusic]] |accessdate=November 11, 2006}}</ref> ผู้กำกับมิวสิกวิดีโอ วินเซนต์ พาเตอร์สัน ที่เคยร่วมงานกับเขาหลายครั้ง ได้พูดว่าแนวคิดของแจ็กสันในมิวสิกวิดีโอว่า เป็นธีมที่ดูมืดหม่น สิ้นหวัง<ref name = "overview of paterson">{{cite web |first=David |last=Noh |url=http://gaycitynews.com/site/index.cfm?newsid=17007818&BRD=2729&PAG=461&dept_id=568864&rfi=8 |title=Choreographer Supreme |publisher=[[Gay City News]] |date=January 26, 2006 |accessdate=January 13, 2009}}</ref> การแสดงของเขาในงานครบรอบ 25 ปี ของโมทาวน์ ''Motown 25: Yesterday, Today, Forever'' ได้เปลี่ยนขอบเขตอิสระของการแสดงสดบนเวที และทำให้เข้าสู่ยุคสมัยที่ศิลปินรุ่นใหม่สามารถสร้างความน่าตื่นเต้นบนเวทีได้ราวกับมิวสิกวิดีโอ <ref>http://www.liquisearch.com/lip-synching_in_music/complex_performance</ref>


ก่อนอัลบั้ม ''Thriller'' แจ็กสันติดปัญหาในการแสดงผลงานมิวสิกวิดีโอทางช่อง[[เอ็มทีวี]] เนื่องจากเขาเป็นคน[[แอฟริกัน-อเมริกัน]]<ref name=blender>{{cite web |url=http://www.blender.com/guide/articles.aspx?ID=1777 |title=Michael Jackson, "Billie Jean" |date=October 2005 |accessdate=April 11, 2007 |work=[[Blender (magazine)|Blender]]}}</ref> ซึ่งทางค่ายซีบีเอสก็เกลี้ยกล่อมให้เอ็มทีวีเปิดเพลง "[[Billie Jean]]" และต่อมา "[[Beat It]]" ซึ่งก็ทำให้ช่องเกิดความสัมพันธ์อันยาวนานกับแจ็กสัน และยังช่วยให้เพลงของศิลปินผิวดำคนอื่นเป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วย<ref name="Jackson changes the rules of the music video">{{cite news |first=Edna |last=Gundersen |url=http://www.usatoday.com/life/television/news/2005-08-25-mtv_x.htm |title=Music videos changing places |work=USA Today |date=August 25, 2005 |accessdate=July 23, 2008}}</ref> คนในเอ็มทีวีเองก็ปฏิเสธเรื่องการแบ่งชนชั้นผิวสีทางช่องหรือเรื่องความกดดันในการเปลียนจุดยืนนี้ เอ็มทีวียังคงเล่นเพลง[[ร็อก]]โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ<ref>http://archive.is/20120525231341/findarticles.com/p/articles/mi_m1355/is_14_110/ai_n16807343/</ref> และจากความนิยมในมิวสิกวิดีโอของแจ็กสันเองทางช่องเอ็มทีวียังทำให้ช่องมีชื่อเสียงมากขึ้นเช่นกัน ทั้งยังเน้นในเพลงป็อปและอาร์แอนด์บี<ref name="Jackson changes the rules of the music video"/><ref name=ABCNews>{{cite web |first=Bryan |last=Robinson |url=http://abcnews.go.com/Entertainment/LegalCenter/story?id=464753&page=1|title=Why Are Michael Jackson's Fans So Devoted? |publisher=ABC News |date=February 23, 2005 |accessdate=April 6, 2007}}</ref> ในมิวสิกวีดีโอที่ดูราวกับเป็น[[ภาพยนตร์สั้น]] เพลง "Thriller" ยังสร้างเอกลักษณ์ให้กับแจ็กสัน ขณะที่การเต้นในเพลง "Beat It" ก็ยังถูกนำเอามาเป็นต้นแบบอยู่บ่อยครั้ง<ref name="The Thriller Special Edition Audio">Jackson, Michael. ''Thriller Special Edition'' Audio.</ref> ท่าทางการเต้นในเพลง "Thriller" ยังกลายมีผลต่อวัฒนธรรมป็อปไปทั่วโลก การทำเลียนแบบไม่ว่าจาก[[ภาพยนตร์อินเดีย]]หรือการเต้นเลียนแบบของนักโทษใน[[ฟิลิปปินส์]]<ref>{{cite news |url=http://news.bbc.co.uk/1/hi/world/asia-pacific/6917318.stm|title=Philippine jailhouse rocks to Thriller |publisher=BBC |date=(July 27, 2007) |accessdate=April 11, 2009}}</ref> กินเนสเวิลด์เรคเคิดส์บันทึกว่า "Thriller" เป็นมิวสิกวีดีโอที่ประสบความสำเร็จที่สุดที่ตลอดกาล<ref>http://www.mtv.com/news/1614750/michael-jacksons-music-video-legacy/</ref>
ก่อนอัลบั้ม ''Thriller'' แจ็กสันติดปัญหาในการแสดงผลงานมิวสิกวิดีโอทางช่อง[[เอ็มทีวี]] เนื่องจากเขาเป็นคน[[แอฟริกัน-อเมริกัน]]<ref name=blender>{{cite web |url=http://www.blender.com/guide/articles.aspx?ID=1777 |title=Michael Jackson, "Billie Jean" |date=October 2005 |accessdate=April 11, 2007 |work=[[Blender (magazine)|Blender]]}}</ref> ซึ่งทางค่ายซีบีเอสก็เกลี้ยกล่อมให้เอ็มทีวีเปิดเพลง "[[Billie Jean]]" และต่อมา "[[Beat It]]" ซึ่งก็ทำให้ช่องเกิดความสัมพันธ์อันยาวนานกับแจ็กสัน และยังช่วยให้เพลงของศิลปินผิวดำคนอื่นเป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วย<ref name="Jackson changes the rules of the music video">{{cite news |first=Edna |last=Gundersen |url=http://www.usatoday.com/life/television/news/2005-08-25-mtv_x.htm |title=Music videos changing places |work=USA Today |date=August 25, 2005 |accessdate=July 23, 2008}}</ref> คนในเอ็มทีวีเองก็ปฏิเสธเรื่องการแบ่งชนชั้นผิวสีทางช่องหรือเรื่องความกดดันในการเปลียนจุดยืนนี้ เอ็มทีวียังคงเล่นเพลง[[ร็อก]]โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ<ref>http://archive.is/20120525231341/findarticles.com/p/articles/mi_m1355/is_14_110/ai_n16807343/</ref> และจากความนิยมในมิวสิกวิดีโอของแจ็กสันเองทางช่องเอ็มทีวี ยังทำให้ช่องมีชื่อเสียงมากขึ้นเช่นกัน ทั้งยังเน้นในเพลงป็อปและอาร์แอนด์บี<ref name="Jackson changes the rules of the music video"/><ref name=ABCNews>{{cite web |first=Bryan |last=Robinson |url=http://abcnews.go.com/Entertainment/LegalCenter/story?id=464753&page=1|title=Why Are Michael Jackson's Fans So Devoted? |publisher=ABC News |date=February 23, 2005 |accessdate=April 6, 2007}}</ref> ในมิวสิกวีดีโอที่ดูราวกับเป็น[[ภาพยนตร์สั้น]] เพลง "Thriller" ยังสร้างเอกลักษณ์ให้กับแจ็กสัน ขณะที่การเต้นในเพลง "Beat It" ก็ยังถูกนำเอามาเป็นต้นแบบอยู่บ่อยครั้ง<ref name="The Thriller Special Edition Audio">Jackson, Michael. ''Thriller Special Edition'' Audio.</ref> ท่าทางการเต้นในเพลง "Thriller" ยังกลายมีผลต่อวัฒนธรรมป็อปไปทั่วโลก การทำเลียนแบบไม่ว่าจาก[[ภาพยนตร์อินเดีย]]หรือการเต้นเลียนแบบของนักโทษใน[[ฟิลิปปินส์]]<ref>{{cite news |url=http://news.bbc.co.uk/1/hi/world/asia-pacific/6917318.stm|title=Philippine jailhouse rocks to Thriller |publisher=BBC |date=(July 27, 2007) |accessdate=April 11, 2009}}</ref>มิวสิกวิดีโอภาพยนต์สั้น "Thriller" ได้ยกระดับความตื่นเต้นเร้าใจบนมิวสิกวิดีโฮ และถูกบันทึกไว้ว่าเป็นมิวสิกวีดีโอที่ประสบความสำเร็จที่สุดที่เคยมีมาโดยกินเนสเวิลด์เรคเคิดส์<ref>http://www.mtv.com/news/1614750/michael-jacksons-music-video-legacy/</ref>
[[ไฟล์:__MJmakingThriller.jpg__||thumb|left|แจ็กสันและเหล่านักเต้น กับเพลงที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของมิวสิกวีดีโอ ''Thriller'']]


[[ไฟล์:__MJmakingThriller.jpg__||thumb|left|แจ็กสันและเหล่านักเต้น กับเพลงที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของมิวสิกวีดีโอ ''Thriller'']]
ในมิวสิกวีดีโอเวอร์ชันเต็มความยาว 19 นาที เพลง "Bad" ซึ่งกำกับโดย[[มาร์ติน สกอร์เซซี]] แจ็กสันได้ใช้ภาพลักษณ์เกี่ยวกับเพศและการเต้น ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในงานเขา เขาจะจับหรือแตะที่หน้าอก ลำตัวและเป้า ต่อมาในการสัมภาษณ์เมื่อปี 1993 [[โอปราห์ วินฟรีย์]] ได้ถามเขาถึงที่มาของท่านี้ เขาอธิบายว่า "มันเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ขณะที่คุณกำลังเต้น สื่อสารภาษาดนตรี และเสียงต่างๆเคล้าคลอที่จะปั่นอารมณ์ให้ไปตามเสียงนั้น เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง ผมก็คว้าจับตัวผมเอง มันเป็นดนตรีที่ขับดันให้ผมทำเช่นนั้น มันไม่ได้หมายความว่า เอาล่ะ เมื่ออยู่บนเวทีแล้วผมต้องเอามือแตะเป้าล่ะนะ บางครั้งเมื่อกลับไปดูบันทึกการแสดงย้อนหลัง ผมยังเคยคิดว่า นี่ผมทำแบบนั้นด้วยเหรอ ผมตกเป็นทาสของจังหวะเข้าแล้ว"<ref>http://www.mjshouse.com/stories/oprah.html</ref> ท่านี้ได้รับกระแสตอบรับทั้งจากแฟนและนักวิจารณ์ โดย[[นิตยสารไทม์]]บอกไว้ว่า "น่าขายหน้า" ในมิวสิกวิดีโอยังร่วมด้วย[[เวสลีย์ สไนปส์]] ซึ่งตอนนั้นยังไม่โด่งดัง<ref name = "tara 370–373">Taraborrelli, pp. 370–373</ref><ref name="Who's Bad? TIME">{{cite news |first=Richard |last=Corliss|authorlink=Richard Corliss |url=http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,979177,00.html?internalid=ACA |title=Who's Bad? |publisher=Time |date=September 6, 1993|accessdate=April 23, 2008}}</ref> สำหรับมิวสิกวิดีโอ "[[Smooth Criminal]]" แจ็กสันได้ทดลองนวัตกรรม "การเอนต้านแรงโน้มถ่วง 45องศา" ที่ถือเป็นหนึ่งในท่าเต้นที่โด่งดังของเขา ซึ่งได้จด[[สิทธิบัตร]]หมายเลข 5,255,452<ref>{{cite web |url=http://www.google.com/patents?vid=5255452|title=U.S. Patent 5,255,452; "Method and Means For Creating Anti-Gravity Illusion"; Michael J. Jackson, Michael L. Bush, Dennis Tompkins, issued Oct 26, 1993, Filed June 29, 1992}}</ref> และถึงแม้ว่ามิวสิกวิดีโอเพลง "Leave Me Alone" จะไม่ได้ออกอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1989 แต่ก็ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง 4 [[รางวัลบิลบอร์ดมิวสิกวิดีโออวอร์ดส]] และในปีเดียวกันก็ได้รับ 3 [[รางวัลสิงโตทองคำ]] สำหรับสเปเชียลเอฟเฟกต์ในการผลิตผลงาน ต่อมาในปี 1990 "Leave Me Alone" ได้รับรางวัลแกรมมี่ในสาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม ประเภทสั้น<ref name = "Nelson George overview 43-44">George, pp. 43–44</ref>
ในมิวสิกวีดีโอเวอร์ชันเต็มความยาว 19 นาที เพลง "Bad" ซึ่งกำกับโดย[[มาร์ติน สกอร์เซซี]] แจ็กสันได้ใช้ภาพลักษณ์เกี่ยวกับเพศและการเต้น ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในงานเขา เขาจะจับหรือแตะที่หน้าอก ลำตัวและเป้า ต่อมาในการสัมภาษณ์เมื่อปี 1993 [[โอปราห์ วินฟรีย์]] ได้ถามเขาถึงที่มาของท่านี้ เขาอธิบายว่า "มันเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ขณะที่คุณกำลังเต้น สื่อสารภาษาดนตรี และเสียงต่างๆเคล้าคลอที่จะปั่นอารมณ์ให้ไปตามเสียงนั้น เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง ผมก็คว้าจับตัวผมเอง มันเป็นดนตรีที่ขับดันให้ผมทำเช่นนั้น มันไม่ได้หมายความว่า เอาล่ะ เมื่ออยู่บนเวทีแล้วผมต้องเอามือแตะเป้าล่ะนะ บางครั้งเมื่อกลับไปดูบันทึกการแสดงย้อนหลัง ผมยังเคยคิดว่า นี่ผมทำแบบนั้นด้วยเหรอ ผมตกเป็นทาสของจังหวะเข้าแล้ว"<ref>http://www.mjshouse.com/stories/oprah.html</ref> ท่านี้ได้รับกระแสตอบรับทั้งจากแฟนและนักวิจารณ์ โดย[[นิตยสารไทม์]]บอกไว้ว่า "น่าขายหน้า" ในมิวสิกวิดีโอยังร่วมด้วย[[เวสลีย์ สไนปส์]] ซึ่งตอนนั้นยังไม่โด่งดัง<ref name = "tara 370–373">Taraborrelli, pp. 370–373</ref><ref name="Who's Bad? TIME">{{cite news |first=Richard |last=Corliss|authorlink=Richard Corliss |url=http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,979177,00.html?internalid=ACA |title=Who's Bad? |publisher=Time |date=September 6, 1993|accessdate=April 23, 2008}}</ref> สำหรับมิวสิกวิดีโอ "[[Smooth Criminal]]" แจ็กสันได้ทดลองนวัตกรรม "การเอนต้านแรงโน้มถ่วง 45องศา" ที่ถือเป็นหนึ่งในท่าเต้นที่โด่งดังของเขา ซึ่งได้จด[[สิทธิบัตร]]หมายเลข 5,255,452<ref>{{cite web |url=http://www.google.com/patents?vid=5255452|title=U.S. Patent 5,255,452; "Method and Means For Creating Anti-Gravity Illusion"; Michael J. Jackson, Michael L. Bush, Dennis Tompkins, issued Oct 26, 1993, Filed June 29, 1992}}</ref> และถึงแม้ว่ามิวสิกวิดีโอเพลง "Leave Me Alone" จะไม่ได้ออกอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1989 แต่ก็ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง 4 [[รางวัลบิลบอร์ดมิวสิกวิดีโออวอร์ดส]] และในปีเดียวกันก็ได้รับ 3 [[รางวัลสิงโตทองคำ]] สำหรับสเปเชียลเอฟเฟกต์ในการผลิตผลงาน ต่อมาในปี 1990 "Leave Me Alone" ได้รับรางวัลแกรมมี่ในสาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม ประเภทสั้น<ref name = "Nelson George overview 43-44">George, pp. 43–44</ref>


เอ็มทีวีได้มอบรางวัล "ศิลปินผู้นำด้านมิวสิกวิดีโอแห่งทศวรรษ" เพื่อเฉลิมฉลองกับความสำเร็จด้านศิลปินในงานศิลปะในคริสต์ทศวรรษ 1980 และต่อมาปี 1991 ชื่อรางวัลดังกล่าวก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อเขา เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา<ref name = "Nelson George overview 45-46">George, pp. 45–46</ref> "[[Black or White]]" ยังเป็นที่กล่าวขวัญ โดยเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1991 ออกอากาศปฐมทัศน์พร้อมกันใน 27 ประเทศ มีผู้ชมประมาณ 500 ล้านคน ถือเป็นยอดจำนวนคนดูที่มากที่สุดสำหรับมิวสิกวิดีโอ<ref name="KOP achievements"/> ในมิวสิกวิดีโอมีฉากที่ถูกตีความว่าเกี่ยวกับธรรมชาติของการมีเพศสัมพันธ์และภาพความรุนแรง แต่ฉากดังกล่าวก็ถูกตัดออกไปเหลือเป็นเวอร์ชันยาว 14 นาที เพื่อป้องกันการถูกแบนและแจ็กสันก็ออกมาขอโทษในส่วนนี้<ref name="''Dangerous'' on Film">Michael Jackson ''Dangerous'' on Film VHS/DVD</ref> นอกจากแจ็กสันแล้ว ในมิวสิกวิดีโอนี้ยังมีดาราอย่าง [[แม็กคอเลย์ คัลกิน]] [[เพกกี ลิปตัน]] และ[[จอร์จ เวนดต์]] และจบลงด้วยการเปลี่ยนภาพด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีที่สำคัญในมิวสิกวิดีโอนี้<ref>Campbell (1993), p. 303</ref>
เอ็มทีวีได้มอบรางวัล "ศิลปินผู้นำด้านมิวสิกวิดีโอแห่งทศวรรษ" เพื่อเฉลิมฉลองกับความสำเร็จด้านศิลปินในงานศิลปะในคริสต์ทศวรรษ 1980 และต่อมาปี 1991 ชื่อรางวัลดังกล่าวก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อเขา เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา<ref name = "Nelson George overview 45-46">George, pp. 45–46</ref> "[[Black or White]]" ยังเป็นที่กล่าวขวัญ โดยเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1991 ออกอากาศปฐมทัศน์พร้อมกันใน 27 ประเทศ มีผู้ชมประมาณ 500 ล้านคน ถือเป็นยอดจำนวนคนดูที่มากที่สุดสำหรับมิวสิกวิดีโอ<ref name="KOP achievements"/> ในมิวสิกวิดีโอมีฉากที่ถูกตีความว่าเกี่ยวกับธรรมชาติของการมีเพศสัมพันธ์และภาพความรุนแรง แต่ฉากดังกล่าวก็ถูกตัดออกไปเหลือเป็นเวอร์ชันยาว 14 นาที เพื่อป้องกันการถูกแบนและแจ็กสันก็ออกมาขอโทษในส่วนนี้<ref name="''Dangerous'' on Film">Michael Jackson ''Dangerous'' on Film VHS/DVD</ref> นอกจากแจ็กสันแล้ว ในมิวสิกวิดีโอนี้ยังมีดาราอย่าง [[แม็กคอเลย์ คัลกิน]] [[เพกกี ลิปตัน]] และ[[จอร์จ เวนดต์]] และจบลงด้วยการเปลี่ยนภาพด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีที่สำคัญในมิวสิกวิดีโอนี้<ref>Campbell (1993), p. 303</ref>

[[ไฟล์:Michaeljanetscream.jpg|thumb|แจ็กสันกับน้องสาว เจเน็ต แสดงท่าทางโกรธต่อสื่อ ที่ทำภาพเขาให้ผิดเพี้ยนไปต่อสาธารณะ มิวสิกวิดีโอนี้ "Scream" ถ่ายด้วยภาพขาวดำ และใช้งบประมาณถึง 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ]]
[[ไฟล์:Michaeljanetscream.jpg|thumb|แจ็กสันกับน้องสาว เจเน็ต แสดงท่าทางโกรธต่อสื่อ ที่ทำภาพเขาให้ผิดเพี้ยนไปต่อสาธารณะ มิวสิกวิดีโอนี้ "Scream" ถ่ายด้วยภาพขาวดำ และใช้งบประมาณถึง 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ]]
"[[Remember the Time]]" เป็นมิวสิกวิดีโอที่มีงานภาคผลิตทำอย่างละเอียด และถือเป็นมิวสิกวิดีโอที่ยาวที่สุดเพลงหนึ่งกับความยาว 9 นาที มีฉากอยู่ในยุค[[อียิปต์โบราณ]] ยังเป็นผู้บุกเบิกทางด้านวิชวลเอฟเฟกต์ รวมถึง[[ผู้มีชื่อเสียง]]อย่าง [[เอดดี เมอร์ฟี]] [[อิมาน]] และ[[แมจิก จอห์นสัน]] ซึ่งก็มีท่าเต้นซับซ้อนเป็นจุดเด่นเช่นเคย<ref>Campbell (1993), pp. 313–314</ref> ในเพลง "In the Closet" ถือเป็นวิดีโอที่แสดงยั่วยุทางเพศที่สุดของแจ็กสัน มีสุดยอดนางแบบอย่าง[[นาโอมิ แคมป์เบลล์]] เต้นรำกับแจ็กสัน แต่มิวสิกวิดีโอเพลงนี้ถูกแบนในแอฟริกาใต้เนื่องจากภาพลักษณ์ที่แสดง<ref name = "Nelson George overview 45-46"/>
"[[Remember the Time]]" เป็นมิวสิกวิดีโอที่มีงานภาคผลิตทำอย่างละเอียด และถือเป็นมิวสิกวิดีโอที่ยาวที่สุดเพลงหนึ่งกับความยาว 9 นาที มีฉากอยู่ในยุค[[อียิปต์โบราณ]] ยังเป็นผู้บุกเบิกทางด้านวิชวลเอฟเฟกต์ รวมถึง[[ผู้มีชื่อเสียง]]อย่าง [[เอดดี เมอร์ฟี]] [[อิมาน]] และ[[แมจิก จอห์นสัน]] ซึ่งก็มีท่าเต้นซับซ้อนเป็นจุดเด่นเช่นเคย<ref>Campbell (1993), pp. 313–314</ref> ในเพลง "In the Closet" ถือเป็นวิดีโอที่แสดงยั่วยุทางเพศที่สุดของแจ็กสัน มีสุดยอดนางแบบอย่าง[[นาโอมิ แคมป์เบลล์]] เต้นรำกับแจ็กสัน แต่มิวสิกวิดีโอเพลงนี้ถูกแบนในแอฟริกาใต้เนื่องจากภาพลักษณ์ที่แสดง<ref name = "Nelson George overview 45-46"/>
บรรทัด 232: บรรทัด 246:
มิวสิกวิดีโอเพลง "Scream" กำกับโดยมาร์ก โรมาเนก และผู้ออกแบบงานสร้างคือทอม โฟเดน ถือเป็นหนึ่งในมิวสิกวิดีโอที่ได้รับเสียงวิจารณ์มากที่สุดเพลงหนึ่ง โดยในปี 1995 ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอวอร์ดส 11 สาขา มากกว่ามิวสิกวิดีโอใดที่เคยทำได้ และได้รับรางวัลในสาขา "มิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม" "ท่าเต้นยอดเยี่ยม" และ "องค์ประกอบศิลป์ยอดเยี่ยม"<ref name="TCI">{{Cite book |last=Boepple |first= Leanne |title = Scream: space odyssey Jackson-style.(video production; Michael and Janet Jackson video) | page = 52 |volume=29 | publisher = Theatre Crafts International | date = November 1, 1995 |issn=1063-9497}}</ref> เพลงและมิวสิกวิดีโอเกี่ยวกับปฏิกิริยาตอบโต้ของแจ็กสันที่ได้รับจากสื่อหลังจากข้อกล่าวหาการละเมิดทางเพศต่อเด็กในปี 1993<ref>{{Cite book |last=Bark |first= Ed |title = Michael Jackson Interview Raises Questions, Answers | page = 06E | publisher = [[St. Louis Post-Dispatch]] | date = June 26, 1995}}</ref> ในปีถัดมา ได้รับรางวัลแกรมมี่สาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม ประเภทสั้น ต่อจากนั้นกินเนสเวิลด์เรคเคิดส์ยังให้ตำแหน่งว่าเป็นมิวสิกวิดีโอที่แพงที่สุดที่เคยทำมา โดยตกอยู่ที่ 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ<ref name = "Ultimate booklet 48–50"/><ref>''Guinness World Records 2006''</ref>
มิวสิกวิดีโอเพลง "Scream" กำกับโดยมาร์ก โรมาเนก และผู้ออกแบบงานสร้างคือทอม โฟเดน ถือเป็นหนึ่งในมิวสิกวิดีโอที่ได้รับเสียงวิจารณ์มากที่สุดเพลงหนึ่ง โดยในปี 1995 ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอวอร์ดส 11 สาขา มากกว่ามิวสิกวิดีโอใดที่เคยทำได้ และได้รับรางวัลในสาขา "มิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม" "ท่าเต้นยอดเยี่ยม" และ "องค์ประกอบศิลป์ยอดเยี่ยม"<ref name="TCI">{{Cite book |last=Boepple |first= Leanne |title = Scream: space odyssey Jackson-style.(video production; Michael and Janet Jackson video) | page = 52 |volume=29 | publisher = Theatre Crafts International | date = November 1, 1995 |issn=1063-9497}}</ref> เพลงและมิวสิกวิดีโอเกี่ยวกับปฏิกิริยาตอบโต้ของแจ็กสันที่ได้รับจากสื่อหลังจากข้อกล่าวหาการละเมิดทางเพศต่อเด็กในปี 1993<ref>{{Cite book |last=Bark |first= Ed |title = Michael Jackson Interview Raises Questions, Answers | page = 06E | publisher = [[St. Louis Post-Dispatch]] | date = June 26, 1995}}</ref> ในปีถัดมา ได้รับรางวัลแกรมมี่สาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม ประเภทสั้น ต่อจากนั้นกินเนสเวิลด์เรคเคิดส์ยังให้ตำแหน่งว่าเป็นมิวสิกวิดีโอที่แพงที่สุดที่เคยทำมา โดยตกอยู่ที่ 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ<ref name = "Ultimate booklet 48–50"/><ref>''Guinness World Records 2006''</ref>


"Earth Song" ก็ยังเป็นเพลงที่แพงเช่นกันและก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดี ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม ประเภทสั้น ในปี 1997 เป็นมิวสิกวิดีโอที่พูดถึงสภาพแวดล้อม แสดงภาพการทารุณสัตว์ การตัดไม้ทำลายป่า สภาวะมลพิษและสงคราม มีการใช้ภาพสเปเชียลเอฟเฟกต์ ในช่วงเวลาที่ย้อนกลับไปทำให้ย้อนชีวิตกลับไป สงครามสิ้นสุดลงและป่ากลับฟื้นดังเดิม<ref name = "Ultimate booklet 48–50"/><ref name="''HIStory'' on Film volume II">Michael Jackson ''HIStory'' on Film volume II VHS/DVD</ref> ในมิวสิกวิดีโอภาพยนตร์สั้นเพลง Ghosts ออกเมื่อปี 1997 โดยออกปฐมทัศน์ครั้งแรกใน[[เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์]]ปี 1996 โดยภาพยนตร์สั้นนี้เขียนบทโดยแจ็กสันและ[[สตีเฟน คิง]] กำกับโดยสแตน วินสตัน มีความยาวกว่า 38 นาที จะถือสถิติในกินเนสเวิลด์เรคเคิดส์ในฐานะมิวสิกวิดีโอที่ยาวที่สุดในโลก<ref name = "Ultimate booklet 48–50"/><ref name = "tara 610–611"/><ref>Lewis, pp. 125–126</ref><ref>''Guinness World Records 2004''</ref>
"Earth Song" ก็ยังเป็นเพลงที่แพงเช่นกันและก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดี ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม ประเภทสั้น ในปี 1997 เป็นมิวสิกวิดีโอที่พูดถึงสภาพแวดล้อม แสดงภาพการทารุณสัตว์ การตัดไม้ทำลายป่า สภาวะมลพิษและสงคราม มีการใช้ภาพสเปเชียลเอฟเฟกต์ ในช่วงเวลาที่ย้อนกลับไปทำให้ย้อนชีวิตกลับไป สงครามสิ้นสุดลงและป่ากลับฟื้นดังเดิม<ref name = "Ultimate booklet 48–50"/><ref name="''HIStory'' on Film volume II">Michael Jackson ''HIStory'' on Film volume II VHS/DVD</ref> ในมิวสิกวิดีโอภาพยนตร์สั้นเพลง Ghosts ออกเมื่อปี 1997 โดยออกปฐมทัศน์ครั้งแรกใน[[เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์]]ปี 1996 โดยภาพยนตร์สั้นนี้เขียนบทโดยแจ็กสันและ[[สตีเฟน คิง]] กำกับโดยสแตน วินสตัน มีความยาวกว่า 38 นาที และถือครองสถิติในกินเนสเวิลด์เรคเคิดส์ในฐานะมิวสิกวิดีโอที่ยาวที่สุดในโลก<ref name = "Ultimate booklet 48–50"/><ref name = "tara 610–611"/><ref>Lewis, pp. 125–126</ref><ref>''Guinness World Records 2004''</ref>


== สิ่งสืบเนื่องและอิทธิพล ==
== สิ่งสืบเนื่องและอิทธิพล ==
[[ไฟล์:1993 walk of fame michael jackson.jpg|thumb|มีการจารึกชื่อซุปเปอร์สตาร์ "ไมเคิล แจ็คสัน" ที่[[ฮอลลีวูดวอล์กออฟเฟม]] ซึ่งบรรจุลงในปี 1984]]
[[ไฟล์:1993 walk of fame michael jackson.jpg|thumb|มีการจารึกชื่อซุปเปอร์สตาร์ "ไมเคิล แจ็คสัน" ที่[[ฮอลลีวูดวอล์กออฟเฟม]] ซึ่งบรรจุลงในปี 1984]]
แจ็กสันเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อวงการดนตรีและวัฒนธรรมทั่วโลก เขาสามารถทลายกำแพงแห่งชนชาติไปได้ ผ่านศิลปะทางมิวสิกวิดีโอ ปูทางให้กับนักร้องผิวสีและเพลงป็อปสมัยใหม่ ผลงานของแจ็กสัน มีความโดดเด่นด้านดนตรี การเต้นรำและสไตล์การร้องซึ่งมีอิทธิพลให้กับศิลปินมากมาย หลากหลายแนวเพลง อย่างเช่น [[มารายห์ แครี]]<ref name = "rollingstone 2">{{cite web |first=Antonio |last=Reid |url=http://www.rollingstone.com/news/story/5940053/35_michael_jackson|title=Michael Jackson|accessdate=March 6, 2007 |publisher=''Rollingstone''}}</ref> [[เซลีน ดิออน]]<ref>http://www.foxnews.com/story/2009/06/30/celine-dion-remembers-her-idol-michael-jackson.html</ref> [[มาดอนน่า]]<ref>http://archive.azcentral.com/ent/celeb/articles/2009/07/04/20090704madonna-inspired-by-jackson.html</ref>[[บียอนเซ่]]<ref>http://www.billboard.com/articles/columns/the-juice/6140752/beyonce-tribute-letter-michael-jackson-5-year-death</ref> [[อัชเชอร์]]<ref name=CNN>{{cite news |first=Rosemary |last=Jean-Louis |url=http://www.cnn.com/2004/SHOWBIZ/Music/11/01/usher/|title=Usher, Usher, Usher: The new 'King of Pop'? |publisher=CNN |date= November 1, 2004|accessdate=March 6, 2007}}</ref> [[บริตนีย์ สเปียรส์]]<ref name = "rollingstone 2"/> [[จัสติน ทิมเบอร์เลค]]<ref name = "tara 614–617"/> [[คริส บราวน์]]<ref>http://www.ew.com/article/2011/05/02/chris-brown-michael-jackson-she-aint-you-video</ref> และ[[อาร์. เคลลี]]<ref name = "Nelson George overview 24"/> สำหรับบทบาทอาชีพของเขา เขาถือเป็นศิลปิน"หาตัวจับยาก"ในโลกใบนี้เหนือยิ่งกว่าศิลปินรุ่นใหม่ ๆ ผ่านทางงานเพลงของเขาและงานการกุศล<ref name="ADL">{{cite web |url=http://www.adl.org/PresRele/ASUS_12/2471_12.asp |title=ADL happy with Michael Jackson decision |publisher=[[Anti-Defamation League]] |date=(June 22, 1995) |accessdate=July 1, 2008}}</ref><ref>http://www.theatlantic.com/entertainment/archive/2010/06/michael-jacksons-unparalleled-influence/58616/</ref> ช่องทีวี BET ได้บรรยายถึงแจ็กสันว่า "เป็นที่แน่ชัดในฐานะผู้ให้ความบันเทิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล" จากนักร้องเด็กที่เปิดตัวในฐานะสมาชิกของเดอะแจ็กสันไฟฟ์จนถึงการจากไปอย่างกะทันหัน แจ็กสันไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาพรสวรรค์ของเขา และ "ผู้ปฏิวัติมิวสิกวีดีโอและนำท่าเต้นราวกับเดินบนดวงจันทร์สู่โลก" เสียงของแจ็กสัน เอกลักษณ์เฉพาะตัว การเคลื่อนไหว และมรดกดนตรีของเขายังคงสร้างแรงบันดาลใจแก่ศิลปินทุกประเภท <ref>http://www.bet.com/topics/m/michael-jackson.html</ref><ref>http://edition.cnn.com/2009/SHOWBIZ/Music/06/28/michael.jackson.black.community/</ref>
แจ็กสันเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อวงการดนตรีและวัฒนธรรมทั่วโลก เขาสามารถทลายกำแพงแห่งชนชาติไปได้ ผ่านศิลปะทางมิวสิกวิดีโอ ปูทางให้กับนักร้องผิวสีและเพลงป็อปสมัยใหม่ ผลงานของแจ็กสัน มีความโดดเด่นด้านดนตรี การเต้นรำและสไตล์การร้องซึ่งมีอิทธิพลให้กับศิลปินมากมาย หลากหลายแนวเพลง อย่างเช่น [[มารายห์ แครี]]<ref name = "rollingstone 2">{{cite web |first=Antonio |last=Reid |url=http://www.rollingstone.com/news/story/5940053/35_michael_jackson|title=Michael Jackson|accessdate=March 6, 2007 |publisher=''Rollingstone''}}</ref> [[เซลีน ดิออน]]<ref>http://www.foxnews.com/story/2009/06/30/celine-dion-remembers-her-idol-michael-jackson.html</ref> [[มาดอนน่า]]<ref>http://archive.azcentral.com/ent/celeb/articles/2009/07/04/20090704madonna-inspired-by-jackson.html</ref>[[บียอนเซ่]]<ref>http://www.billboard.com/articles/columns/the-juice/6140752/beyonce-tribute-letter-michael-jackson-5-year-death</ref> [[อัชเชอร์]]<ref name=CNN>{{cite news |first=Rosemary |last=Jean-Louis |url=http://www.cnn.com/2004/SHOWBIZ/Music/11/01/usher/|title=Usher, Usher, Usher: The new 'King of Pop'? |publisher=CNN |date= November 1, 2004|accessdate=March 6, 2007}}</ref> [[บริตนีย์ สเปียรส์]]<ref name = "rollingstone 2"/> [[จัสติน ทิมเบอร์เลค]]<ref name = "tara 614–617"/> [[คริส บราวน์]]<ref>http://www.ew.com/article/2011/05/02/chris-brown-michael-jackson-she-aint-you-video</ref> และ[[อาร์. เคลลี]]<ref name = "Nelson George overview 24"/> สำหรับบทบาทอาชีพของเขา เขาถือเป็นศิลปิน"หาตัวจับยาก"ในโลกใบนี้ ผู้ทรงอิทธิพลเหนือยิ่งกว่าศิลปินรุ่นใหม่ ๆ ผ่านทางงานเพลงของเขาและงานการกุศล<ref name="ADL">{{cite web |url=http://www.adl.org/PresRele/ASUS_12/2471_12.asp |title=ADL happy with Michael Jackson decision |publisher=[[Anti-Defamation League]] |date=(June 22, 1995) |accessdate=July 1, 2008}}</ref><ref>http://www.theatlantic.com/entertainment/archive/2010/06/michael-jacksons-unparalleled-influence/58616/</ref> ช่องทีวี BET ได้บรรยายถึงแจ็กสันว่า "เป็นที่แน่ชัดในฐานะผู้ให้ความบันเทิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล" จากนักร้องเด็กที่เปิดตัวในฐานะสมาชิกของเดอะแจ็กสันไฟฟ์จนถึงการจากไปอย่างกะทันหัน แจ็กสันไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาพรสวรรค์ของเขา และ "ผู้ปฏิวัติมิวสิกวีดีโอและนำท่าเต้นราวกับเดินบนดวงจันทร์สู่โลก" เสียงของแจ็กสัน เอกลักษณ์เฉพาะตัว การเคลื่อนไหว และมรดกดนตรีของเขายังคงสร้างแรงบันดาลใจแก่ศิลปินทุกประเภท <ref>http://www.bet.com/topics/m/michael-jackson.html</ref><ref>http://edition.cnn.com/2009/SHOWBIZ/Music/06/28/michael.jackson.black.community/</ref>


[[ไฟล์:Michael-jackson-vector-2.jpg|thumb|[[ภาพกราฟิกส์เวกเตอร์]]ของ ไมเคิล แจ็กสันในปี 1993]]
[[ไฟล์:Michael-jackson-vector-2.jpg|thumb|[[ภาพกราฟิกส์เวกเตอร์]]ของ ไมเคิล แจ็กสันในปี 1993]]
จุดเด่นของเขาคือ เสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ ท่าเต้นที่เคลื่อนไหวสะดุดตา ผู้มีความสามารถทางด้านดนตรีอย่างเหลือเชื่อและมีพลังแห่งความเป็นดาราอย่างที่สุด<ref name=allmusic /> ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 ''[[นิตยสารไทม์]]'' กล่าวถึงเขาว่า "แจ็กสันคือศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่[[เดอะบีทเทิลส์]] เขาเป็นปรากฏการณ์ศิลปินเดี่ยวที่ร้อนแรงที่สุดนับตั้งแต่[[เอลวิส เพรสลีย์]]" <ref name=TIME/> "เขาอาจจะเป็นนักร้องผิวสีที่ได้รับความนิยมที่สุดที่เคยมีมา" ในปี 1990 ''แวนิตีแฟร์'' พูดถึงแจ็กสันว่า เป็นศิลปินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์การแสดง<ref name = "Nelson George overview 43-44"/> นักเขียน ''[[เดลีเทเลกราฟ]]'' ที่ชื่อทอม อัตลีย์ เรียกเขาว่า "บุคคลที่สำคัญที่สุดใน[[วัฒนธรรมสมัยนิยม]]" และ "อัจฉริยะ" <ref name=telegraph>{{cite news|url=http://www.telegraph.co.uk/opinion/main.jhtml?xml=/opinion/2003/02/08/do0801.xml&sSheet=/opinion/2003/02/08/ixopinion.html |author=[[Tom Utley|Utley, Tom]] |title=Of course Jackson's odd&nbsp;— but his genius is what matters |publisher=The Daily Telegraph |date=March 8, 2003 |accessdate=July 23, 2008}}</ref>ปี 2006 ที่งานเวิลด์มิวสิกอวอร์ดส เคร็ก เกล็นเดย์ หัวหน้าบรรณาธิการกินเนสส์บุ๊ค กล่าวถึงเขาว่าเป็น "บุคคลผู้ที่โด่งดังที่สุดในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย และความสำเร็จที่แท้จริงคือดนตรีของเขา"<ref>http://www.gigiiam.com/michael-jackson-diamond-award-2006.htm</ref> ในปลายปี 2007 แจ็กสันพูดถึงผลงานต่อมาของเขาและอิทธิพลในอนาคตว่า "ดนตรีเป็นเหมือนที่ระบาย เป็นของขวัญของผมที่จะมอบให้คนทั้งโลก ผ่านดนตรีของผม ผมรู้ว่าผมจะอยู่ตลอดไป"<ref>{{cite news |first=Bryan |last=Monroe |title=Michael Jackson in His Own Words |format=Print/Magazine |publisher=[[Ebony]] |date=December 2007}}</ref>
จุดเด่นของเขาคือ " เสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ ท่าเต้นที่เคลื่อนไหวสะดุดตา ผู้มีความสามารถทางด้านดนตรีอย่างเหลือเชื่อและมีพลังแห่งความเป็นดาราอย่างที่สุด "<ref name=allmusic /> ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 ''[[นิตยสารไทม์]]'' กล่าวถึงเขาว่า " แจ็กสันคือศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่[[เดอะบีทเทิลส์]] เขาเป็นปรากฏการณ์เดี่ยวที่ร้อนแรงที่สุดนับตั้งแต่[[เอลวิส เพรสลีย์]] เขาอาจจะเป็นนักร้องผิวสีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดที่เคยมีมา " <ref name=TIME/> ในปี 1990 ''แวนิตีแฟร์'' พูดถึงแจ็กสันว่า เป็นศิลปินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์การแสดง<ref name = "Nelson George overview 43-44"/> นักเขียน ''[[เดลีเทเลกราฟ]]'' ที่ชื่อทอม อัตลีย์ เรียกเขาว่า "บุคคลที่สำคัญที่สุดใน[[วัฒนธรรมสมัยนิยม]]" และ "อัจฉริยะ" <ref name=telegraph>{{cite news|url=http://www.telegraph.co.uk/opinion/main.jhtml?xml=/opinion/2003/02/08/do0801.xml&sSheet=/opinion/2003/02/08/ixopinion.html |author=[[Tom Utley|Utley, Tom]] |title=Of course Jackson's odd&nbsp;— but his genius is what matters |publisher=The Daily Telegraph |date=March 8, 2003 |accessdate=July 23, 2008}}</ref>ปี 2006 ที่งานเวิลด์มิวสิกอวอร์ดส เคร็ก เกล็นเดย์ หัวหน้าบรรณาธิการกินเนสส์บุ๊ค กล่าวถึงเขาว่าเป็น "บุคคลที่โด่งดังที่สุดบนโลกอย่างไม่ต้องสงสัย และนั่นคือดนตรีของเขา"<ref>http://www.gigiiam.com/michael-jackson-diamond-award-2006.htm</ref> ในปลายปี 2007 แจ็กสันพูดถึงผลงานต่อมาของเขาและอิทธิพลในอนาคตว่า "ดนตรีเป็นเหมือนที่ระบาย เป็นของขวัญของผมที่จะมอบให้คนทั้งโลก ผ่านดนตรีของผม ผมรู้ว่าผมจะอยู่ตลอดไป"<ref>{{cite news |first=Bryan |last=Monroe |title=Michael Jackson in His Own Words |format=Print/Magazine |publisher=[[Ebony]] |date=December 2007}}</ref>


บัลติมอร์ซัน เขียนบทความ "7 วิธีที่ ไมเคิล แจ็กสันเปลี่ยนโลก" จิลล์ โรเซ็น ตั้งข้อสังเกตว่า "เราจะจดจำเขาได้ หากเขาเป็นเพียงแค่นักแต่งเพลง เป็นแค่นักเต้นรำหรือแค่ผู้สนับสนุนแฟชั่น แต่ไมเคิล แจ็กสัน มีทุกอย่าง เขามีความโดดเด่นในศิลปะเหล่านั้น และอีกมากมาย" อิทธิพลของเขามีความยั่งยืนและแพร่กระจายในหลายแง่มุม ทั้งเสียงเพลง การเต้นรำ แฟชั่น วิดีโอ อิทธิพล ชื่อเสียง หรือแม้แต่ในการแข่งขัน สำหรับตลอดยุคสมัย แจ็กสันเป็นบุคคลที่สื่อมวลชนมักนำเสนอข่าวอยู่เสมอ เขามียอดขายนับล้านและมีข่าวลื่อเกี่ยวกับเขานับล้านเช่นเดียวกัน<ref>http://articles.baltimoresun.com/2009-06-28/news/0906260178_1_michael-jackson-jackson-changed-jackson-five</ref> ในขณะที่ผู้ประกาศข่าวซีเอ็นเอ็นยังแสดงความประหลาดใจว่า "ถ้าจะมีใครบนโลกนี้ เป็นที่ยอมรับมากไปกว่าเขา บางทีอาจจะไม่มีอีกแล้ว เขาเป็นบุคคลที่โลกไม่อาจละสายตาได้"<ref>http://edition.cnn.com/2009/SHOWBIZ/Music/06/25/michael.jackson.world/</ref>
บัลติมอร์ซัน เขียนบทความ "7 วิธีที่ ไมเคิล แจ็กสันเปลี่ยนโลก" จิลล์ โรเซ็น ตั้งข้อสังเกตว่า "เราจะจดจำเขาได้ หากเขาเป็นเพียงแค่นักแต่งเพลง เป็นแค่นักเต้นรำหรือแค่ผู้สนับสนุนแฟชั่น แต่ไมเคิล แจ็กสัน มีทุกอย่าง เขามีความโดดเด่นในศิลปะเหล่านั้น และอีกมากมาย" อิทธิพลของเขามีความยั่งยืนและแพร่กระจายในหลายแง่มุม ทั้งเสียงเพลง การเต้นรำ แฟชั่น วิดีโอ อิทธิพล ชื่อเสียง หรือแม้แต่ในการแข่งขัน สำหรับตลอดยุคสมัย แจ็กสันเป็นบุคคลที่สื่อมวลชนมักนำเสนอข่าวอยู่เสมอ เขามียอดขายนับล้านและมีข่าวลื่อเกี่ยวกับเขานับล้านเช่นเดียวกัน<ref>http://articles.baltimoresun.com/2009-06-28/news/0906260178_1_michael-jackson-jackson-changed-jackson-five</ref> ในขณะที่ผู้ประกาศข่าว[[ซีเอ็นเอ็น]]ยังแสดงความประหลาดใจและกล่าวว่า "ถ้าจะมีใครบนโลกนี้ เป็นที่ยอมรับมากไปกว่าเขา บางทีอาจจะไม่มีอีกแล้ว เขาเป็นบุคคลที่โลกไม่อาจละสายตาได้"<ref>http://edition.cnn.com/2009/SHOWBIZ/Music/06/25/michael.jackson.world/</ref>


ในตลอดอาชีพของเขา เขามีรายได้จากผลงานเดี่ยวและมิวสิกวิดีโอ รวมถึงงานคอนเสิร์ตไปจนถึงผลงานโฆษณาตกอยู่ราว 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อรวมกับรายได้จากการเป็นหุ้นส่วนใน Sony/ATV Music Publishing ที่เขาถือลิขสิทธิ์อยู่ครึ่งหนึ่ง ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะประมาณรายได้แท้จริงของเขา นักวิเคราะห์บางคนวิเคราะห์ว่าผลงานแคตตาล็อกเพลงที่เขาถืออาจมีค่าอย่างน้อยราวพันล้านดอลลาร์สหรัฐ<ref name="usatoday finances"/><ref>{{cite news | url = http://www.foxnews.com/story/0,2933,155356,00.html | title = Witness: Jacko Lived Way Above Means | publisher = Fox News Channel| date = (May 3, 2005) | accessdate = May 30, 2007}}</ref> ในฐานะบุคคลที่โด่งดังที่สุดในโลกกับชีวิตส่วนตัวที่ถูกเผยแพร่ควบคู่ไปกับความสำเร็จในอาชีพ ทำให้เขาเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรรมร่วมสมัยตลอด 4 ทศวรรษ<ref name="KOP achievements"/><ref name="BBC Tom sneddon">{{cite news |url=http://news.bbc.co.uk/1/hi/entertainment/music/4216779.stm |title=Tom Sneddon: Dogged prosecutor |publisher=BBC |date=(January 31, 2005) |accessdate=August 14, 2008}}</ref>
ในตลอดอาชีพของเขา เขามีรายได้จากผลงานเดี่ยวและมิวสิกวิดีโอ รวมถึงงานคอนเสิร์ตไปจนถึงผลงานโฆษณาตกอยู่ราว 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อรวมกับรายได้จากการเป็นหุ้นส่วนใน Sony/ATV Music Publishing ที่เขาถือลิขสิทธิ์อยู่ครึ่งหนึ่ง ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะประมาณรายได้แท้จริงของเขา นักวิเคราะห์บางคนวิเคราะห์ว่าผลงานแคตตาล็อกเพลงที่เขาถืออาจมีค่าอย่างน้อยราวพันล้านดอลลาร์สหรัฐ<ref name="usatoday finances"/><ref>{{cite news | url = http://www.foxnews.com/story/0,2933,155356,00.html | title = Witness: Jacko Lived Way Above Means | publisher = Fox News Channel| date = (May 3, 2005) | accessdate = May 30, 2007}}</ref> ในฐานะบุคคลที่โด่งดังที่สุดในโลกกับชีวิตส่วนตัวที่ถูกเผยแพร่ควบคู่ไปกับความสำเร็จในอาชีพ ทำให้เขาเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรรมร่วมสมัยตลอด 4 ทศวรรษ<ref name="KOP achievements"/><ref name="BBC Tom sneddon">{{cite news |url=http://news.bbc.co.uk/1/hi/entertainment/music/4216779.stm |title=Tom Sneddon: Dogged prosecutor |publisher=BBC |date=(January 31, 2005) |accessdate=August 14, 2008}}</ref>
บรรทัด 257: บรรทัด 271:
ในปีค.ศ 1984 หนังสือพิมพ์ของ[[สาธารณรัฐเกาหลี]] ได้ตีพิมพ์บทความ"ฤดูกาลแห่งความนิยม" โดยใช้ผลสำรวจของเยาวชนพบว่าที่โรงเรียน[[ประถมศึกษา]]ไม่มีนักเรียนคนใดไม่รู้จักไมเคิล แจ็กสันและเด็กๆยังมีความกระตือลือล้นในเพลงของเขา รายงานดังกล่าวยังได้ทำผลสำรวจเพิ่มเติมและพบว่าเด็กนักเรียนต่างรู้จักแจ็กสันแม้จะเป็นชื่อของนักร้องต่างประเทศ<ref>http://newslibrary.naver.com/viewer/index.nhn?articleId=1984032100209201021&editNo=2&printCount=1&publishDate=1984-03-21&officeId=00020&pageNo=1&printNo=19220&publishType=00020</ref>นอกจากนี้จากการสำรวจในหัวข้อ"บุคคลระดับโลกที่มีชื่อเสียงมากที่สุด"โดยใช้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กในระดับประถมศึกษากว่า 2,000 คน พบว่าแจ็กสันได้รับการโหวตให้มากที่สุด ตามด้วยประธานาธิบดี[[โรนัลด์ เรแกน]] ,ลินคอล์น,และ[[ทอมัส เอดิสัน]]<ref>http://newslibrary.naver.com/viewer/index.nhn?articleId=1985010400209205001&editNo=2&printCount=1&publishDate=1985-01-04&officeId=00020&pageNo=5&printNo=19463&publishType=00020</ref>ในประเทศ[[ญี่ปุ่น]]แจ็กสันยังได้รับความนิยมอย่างมากเช่นเดียวกับโลกตะวันตก และเรียกเขาว่าเป็น "ปรากฏการณ์ระดับไต้ฝุ่น" ขณะที่รองประธานอาวุโสของบริษัทโซนี่ มิวสิคญี่ปุ่นยังกล่าวถึงเขาว่า "ไม่มีนักแสดงคนใดมีพลังเหมือนไมเคิล แจ็กสัน เขาเป็นที่รักสำหรับความสามารถของเขา ดนตรีของเขา การเต้นของเขา เช่นเดียวกับจิตใจที่อ่อนโยนของเขา"<ref>http://www.billboard.com/articles/news/268216/michael-jackson-remains-a-global-phenomenon?page=0%2C4</ref>ประเทศ[[แอฟริกา]]แจ็กสันเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ที่ทลายการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ เขายังทำให้วัฒนธรรมของคนผิวสีเป็นที่ยอมรับมากขึ้นอีกด้วย<ref>http://edition.cnn.com/2009/SHOWBIZ/Music/06/28/michael.jackson.black.community/</ref>เกาหลีก็ยังเป็นประเทศที่ได้รับอิทธิพลจากแจ็กสันอย่างสูง<ref>http://www.asianews.it/news-en/Asia-mourns-for-Michael-Jackson-15619.html</ref> แจ็กสันยังได้รับความนิยมอย่างมากใน[[อินเดีย]] ด้วยความนิยมของศิลปินตะวันตกที่มีชื่อเสียงที่สุดของแจ็กสันได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศ ฮาร์ด คอร์ด นักร้องชาวอังกฤษเชื้อสายอินเดียพูดว่า"ถ้าคุณไปที่หมู่บ้านใดๆหรือทั่วทุกมุมในประเทศอินเดียคุณจะพบว่าทุกคนคุ้นเคยกับชื่อของไมเคิล แจ็กสัน ไม่มีนักดนตรีคนไหนจะแทนที่เขาได้"<ref>https://books.google.co.th/books?id=T0sB47TxoCwC&pg=PT18&lpg=PT18&dq=ahir+bhairab+borthakur+michael+jackson&source=bl&ots=SeWz1RTrx0&sig=c4q-gr-Z9VLKlmQ9p2viaiC1x24&hl=th&sa=X&ved=0ahUKEwjym-jlov_MAhUDso8KHQVfA_MQ6AEIGjAA#v=onepage&q=ahir%20bhairab%20borthakur%20michael%20jackson&f=false</ref><ref>http://www.billboard.com/articles/news/268216/michael-jackson-remains-a-global-phenomenon?page=0%2C4</ref>ในประเทศปากีสถาน แจ็กสันยังเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายเช่นเดียวกับ[[โคคาโคล่า]]<ref>http://www.huffingtonpost.com/nosheen-abbas/pakistan-mourns-michael-j_b_224790.html</ref>ขณะที่ประเทศจีนซึ่งปิดตัวเองจากโลกตะวันตกมาจนถึงทศวรรษ 80 แจ็กสันก็ยังมีชื่อเสียงอย่างมาก ในเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในชุดสูทสีน้ำตาลอมเหลืองและรัฐก็ยังควบคุมการเปิดเพลงทางวิทยุ แจ็กสันยังเป็นศิลปินคนแรกที่นำพาวัฒนธรรมเพลงป็อปตะวันตกมาสู่ประเทศ <ref>http://www.billboard.com/articles/news/268216/michael-jackson-remains-a-global-phenomenon?page=0%2C4</ref>
ในปีค.ศ 1984 หนังสือพิมพ์ของ[[สาธารณรัฐเกาหลี]] ได้ตีพิมพ์บทความ"ฤดูกาลแห่งความนิยม" โดยใช้ผลสำรวจของเยาวชนพบว่าที่โรงเรียน[[ประถมศึกษา]]ไม่มีนักเรียนคนใดไม่รู้จักไมเคิล แจ็กสันและเด็กๆยังมีความกระตือลือล้นในเพลงของเขา รายงานดังกล่าวยังได้ทำผลสำรวจเพิ่มเติมและพบว่าเด็กนักเรียนต่างรู้จักแจ็กสันแม้จะเป็นชื่อของนักร้องต่างประเทศ<ref>http://newslibrary.naver.com/viewer/index.nhn?articleId=1984032100209201021&editNo=2&printCount=1&publishDate=1984-03-21&officeId=00020&pageNo=1&printNo=19220&publishType=00020</ref>นอกจากนี้จากการสำรวจในหัวข้อ"บุคคลระดับโลกที่มีชื่อเสียงมากที่สุด"โดยใช้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กในระดับประถมศึกษากว่า 2,000 คน พบว่าแจ็กสันได้รับการโหวตให้มากที่สุด ตามด้วยประธานาธิบดี[[โรนัลด์ เรแกน]] ,ลินคอล์น,และ[[ทอมัส เอดิสัน]]<ref>http://newslibrary.naver.com/viewer/index.nhn?articleId=1985010400209205001&editNo=2&printCount=1&publishDate=1985-01-04&officeId=00020&pageNo=5&printNo=19463&publishType=00020</ref>ในประเทศ[[ญี่ปุ่น]]แจ็กสันยังได้รับความนิยมอย่างมากเช่นเดียวกับโลกตะวันตก และเรียกเขาว่าเป็น "ปรากฏการณ์ระดับไต้ฝุ่น" ขณะที่รองประธานอาวุโสของบริษัทโซนี่ มิวสิคญี่ปุ่นยังกล่าวถึงเขาว่า "ไม่มีนักแสดงคนใดมีพลังเหมือนไมเคิล แจ็กสัน เขาเป็นที่รักสำหรับความสามารถของเขา ดนตรีของเขา การเต้นของเขา เช่นเดียวกับจิตใจที่อ่อนโยนของเขา"<ref>http://www.billboard.com/articles/news/268216/michael-jackson-remains-a-global-phenomenon?page=0%2C4</ref>ประเทศ[[แอฟริกา]]แจ็กสันเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ที่ทลายการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ เขายังทำให้วัฒนธรรมของคนผิวสีเป็นที่ยอมรับมากขึ้นอีกด้วย<ref>http://edition.cnn.com/2009/SHOWBIZ/Music/06/28/michael.jackson.black.community/</ref>เกาหลีก็ยังเป็นประเทศที่ได้รับอิทธิพลจากแจ็กสันอย่างสูง<ref>http://www.asianews.it/news-en/Asia-mourns-for-Michael-Jackson-15619.html</ref> แจ็กสันยังได้รับความนิยมอย่างมากใน[[อินเดีย]] ด้วยความนิยมของศิลปินตะวันตกที่มีชื่อเสียงที่สุดของแจ็กสันได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศ ฮาร์ด คอร์ด นักร้องชาวอังกฤษเชื้อสายอินเดียพูดว่า"ถ้าคุณไปที่หมู่บ้านใดๆหรือทั่วทุกมุมในประเทศอินเดียคุณจะพบว่าทุกคนคุ้นเคยกับชื่อของไมเคิล แจ็กสัน ไม่มีนักดนตรีคนไหนจะแทนที่เขาได้"<ref>https://books.google.co.th/books?id=T0sB47TxoCwC&pg=PT18&lpg=PT18&dq=ahir+bhairab+borthakur+michael+jackson&source=bl&ots=SeWz1RTrx0&sig=c4q-gr-Z9VLKlmQ9p2viaiC1x24&hl=th&sa=X&ved=0ahUKEwjym-jlov_MAhUDso8KHQVfA_MQ6AEIGjAA#v=onepage&q=ahir%20bhairab%20borthakur%20michael%20jackson&f=false</ref><ref>http://www.billboard.com/articles/news/268216/michael-jackson-remains-a-global-phenomenon?page=0%2C4</ref>ในประเทศปากีสถาน แจ็กสันยังเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายเช่นเดียวกับ[[โคคาโคล่า]]<ref>http://www.huffingtonpost.com/nosheen-abbas/pakistan-mourns-michael-j_b_224790.html</ref>ขณะที่ประเทศจีนซึ่งปิดตัวเองจากโลกตะวันตกมาจนถึงทศวรรษ 80 แจ็กสันก็ยังมีชื่อเสียงอย่างมาก ในเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในชุดสูทสีน้ำตาลอมเหลืองและรัฐก็ยังควบคุมการเปิดเพลงทางวิทยุ แจ็กสันยังเป็นศิลปินคนแรกที่นำพาวัฒนธรรมเพลงป็อปตะวันตกมาสู่ประเทศ <ref>http://www.billboard.com/articles/news/268216/michael-jackson-remains-a-global-phenomenon?page=0%2C4</ref>


ทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกของแจ็กสันก็ยังเป็นช่วงเวลาที่เขาได้พบกับผู้นำประเทศในหลายทวีป นอกจากวงการดนตรีแล้ว แจ็กสันยังมีอิทธิพอย่างมากต่อวงการแฟชั่น ฟิลลิป โบลช สไตลิสชื่อดัง กล่าวว่า "ไมเคิล แจ็กสัน ไม่ได้รับอิทธิพลจากแฟชั่น แต่แฟชั่นต่างหากที่ได้รับอิทธิพลจากเขา"<ref>https://www.notjustalabel.com/editorial/style-autopsy-king-pop</ref>เขายังมีอิทธิพลด้านมนุษยธรรมและการช่วยเหลือเด็กและสังคม ทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกเดนเจอรัสเวิลด์ทัวร์ เขายังได้ยกผลกำไรทั้งหมดเข้าสู่มูลินิธิการกุศล และยังได้มอบเงินให้แก่มูลนิธิในทุกประเทศที่เขาเดินทาง<ref>http://www.borgenmagazine.com/michael-jacksons-donation-history/</ref>ในขณะที่การเสียชีวืิตของเขาก็กลายเป็นข่าวพาดหัวหนังสือพ์ทั่วโลก ประเทศฮ่องกงได้นำเสนอข่าวว่า "ไม่มีส่วนใดของเอเชีย...และที่เหลือของโลก จะไม่จดจำไมเคิล แจ็กสัน" เว็บไซด์ชื่อดังของจีนขนามนามเขาว่า "นักร้องที่โดดเด่นที่สุดตลอดกาล" ในขณะที่หลายๆคนทั่วโลกต่างรู้สึกว่าการเสียชีวิตของเขาเป็นเหมือนการสูญเสียความทรงจำในวัยเด็ก นับได้ว่าเขาเป็นปรากฏการณ์ซุปเปอร์สตาร์ของโลกอย่างแท้จริง<ref>http://www.asianews.it/news-en/Asia-mourns-for-Michael-Jackson-15619.html</ref> หลังครบรอบวันเกิดของเขาในปีเดียวกัน ชาวเม็กซิโกยังได้ไปชุมนุมกันในกรุงเม็กซิโก ซิตี้ เกือบ 13,000 คน เพื่อเต้นรำตามจังหวะและท่าทางตามเพลง " ทริลเลอร์ " เพื่อเป็นการไว้อาลัยแก่เขา นับเป็นการเต้นรำหมู่เพลงทริลเลอร์ที่ทำลายสถิติกินเนสบุ้คมีจำนวนคนเข้าร่วมมากที่สุด<ref>http://www.nbcbayarea.com/entertainment/music/NATL-Jackson-Fans-Attempt-to-Thrill-the-World-With-Dance-Record-65930232.html</ref>
ทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกของแจ็กสันก็ยังเป็นช่วงเวลาที่เขาได้พบกับผู้นำประเทศในหลายทวีป นอกจากวงการดนตรีแล้ว แจ็กสันยังมีอิทธิพอย่างมากต่อวงการแฟชั่น ฟิลลิป โบลช สไตลิสชื่อดัง กล่าวว่า "ไมเคิล แจ็กสัน ไม่ได้รับอิทธิพลจากแฟชั่น แต่แฟชั่นต่างหากที่ได้รับอิทธิพลจากเขา"<ref>https://www.notjustalabel.com/editorial/style-autopsy-king-pop</ref>เขายังมีอิทธิพลด้านมนุษยธรรมและการช่วยเหลือเด็กและสังคม ทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกเดนเจอรัสเวิลด์ทัวร์ เขายังได้ยกผลกำไรทั้งหมดเข้าสู่มูลินิธิการกุศล และยังได้มอบเงินให้แก่มูลนิธิในทุกประเทศที่เขาเดินทาง<ref>http://www.borgenmagazine.com/michael-jacksons-donation-history/</ref>ในขณะที่การเสียชีวืิตของเขาก็กลายเป็นข่าวพาดหัวหนังสือพ์ทั่วโลก ประเทศฮ่องกงได้นำเสนอข่าวว่า "ไม่มีส่วนใดของเอเชีย...และที่เหลือของโลก จะไม่จดจำไมเคิล แจ็กสัน" เว็บไซด์ชื่อดังของจีนขนามนามเขาว่า "นักร้องที่โดดเด่นที่สุดตลอดกาล" ในขณะที่หลายๆคนทั่วโลกต่างรู้สึกว่าการเสียชีวิตของเขาเป็นเหมือนการสูญเสียความทรงจำในวัยเด็ก นับได้ว่าเขาเป็นซูเปอร์สตาร์ของโลกผู้สร้างปรากฏการณ์อย่างแท้จริง <ref>http://www.asianews.it/news-en/Asia-mourns-for-Michael-Jackson-15619.html</ref> หลังครบรอบวันเกิดของเขาในปีเดียวกัน ชาวเม็กซิโกยังได้ไปชุมนุมกันในกรุงเม็กซิโก ซิตี้ เกือบ 13,000 คน เพื่อเต้นรำตามจังหวะและท่าทางตามเพลง " ทริลเลอร์ " เพื่อเป็นการไว้อาลัยแก่เขา นับเป็นการเต้นรำหมู่เพลงทริลเลอร์ที่ทำลายสถิติกินเนสบุ้คมีจำนวนคนเข้าร่วมมากที่สุด<ref>http://www.nbcbayarea.com/entertainment/music/NATL-Jackson-Fans-Attempt-to-Thrill-the-World-With-Dance-Record-65930232.html</ref>


หลังจากที่เขาเสียชีวิตไม่นานในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2009 เอ็มทีวีปรับเปลี่ยนช่องโดยเล่นมิวสิกวิดีโอของเขาเพื่อเป็นการอุทิศและเฉลิมฉลองในงานของเขา<ref>{{cite news|last=Barnes|first=Brokes|title=A Star Idolized and Haunted, Michael Jackson Dies at 50 |url=http://www.nytimes.com/2009/06/26/arts/music/26jackson.html?ref=obituaries|work=New York Times|date=June 25, 2009|accessdate=July 12, 2009}}</ref> สถานียังออกอากาศมิวสิกวิดีโอของเขาเป็นเวลานานหลายชั่วโมง และยังมีการสัมภาษณ์สดในปฏิกิริยาตอบรับทั้งจากพิธีกรเอ็มทีวีและเหล่าบุคคลมีชื่อเสียง ตลอดทั้งสัปดาห์ยังมีรายการและยังมีการถ่ายทอดสดพิธีไว้อาลัย <ref>{{cite web|title=More adds, loose ends, and lament|url=http://altmusictv.blogspot.com/2009/07/more-adds-loose-ends-and-lament.html|work=The 120 Minutes Archive|date=July 25, 2009|accessdate=July 26, 2009}}</ref> ในพิธีไว้อาลัย ณ วันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 ผู้ก่อตั้งค่ายเพลงโมทาวน์ เบอร์รี กอร์ดี ยังสรรเสริญแจ็กสันว่าเป็น "คนบันเทิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา" <ref>{{cite web |title=Farewell to a King|url=http://www.people.com/people/archive/article/0,,20292614,00.htmll|work=''People'' |date=July 20, 2009 |accessdate=November 26, 2009}}</ref><ref>{{cite web |title=BERRY GORDY – GORDY BRINGS MOURNERS TO THEIR FEET WITH JACKSON TRIBUTE|url=http://www.contactmusic.com/news.nsf/story/gordy-brings-mourners-to-their-feet-with-jackson-tribute_1108973|work=''Contact Music'' |date=July 7, 2009 |accessdate=November 26, 2009}}</ref><ref>{{cite web |title=Michael Jackson hailed as greatest entertainer, best dad|url=http://uk.reuters.com/article/idUKTRE5615KN20090708|work=''Reuters UK'' |date=July 8, 2009 |accessdate=November 26, 2009}}</ref> ต่อมาวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 2009 [[สถาบันภาพยนตร์อเมริกัน]] รำลึกถึงเหตุการณ์การเสียชีวิตของแจ็กสันว่าเป็น "เหตุการณ์ที่สำคัญ" และกล่าวว่า "การเสียชีวิตของไมเคิล แจ็กสันอย่างกะทันหันในเดือนมิถุนายน เขาอายุเพียง 50 ปี เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ทั่วโลกต่างโศกเศร้าและเกิดการสรรเสริญตัวเขาไปทั่วโลกอย่างไม่เคยมีมาก่อน"<ref>Serjeant, Jill. [http://abcnews.go.com/Entertainment/wireStory?id=9442837 Michael Jackson's Death Among 2009's Major Moments]. ''ABC News'', December 29, 2009.</ref>
หลังจากที่เขาเสียชีวิตไม่นานในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2009 เอ็มทีวีปรับเปลี่ยนช่องโดยเล่นมิวสิกวิดีโอของเขาเพื่อเป็นการอุทิศและเฉลิมฉลองในงานของเขา<ref>{{cite news|last=Barnes|first=Brokes|title=A Star Idolized and Haunted, Michael Jackson Dies at 50 |url=http://www.nytimes.com/2009/06/26/arts/music/26jackson.html?ref=obituaries|work=New York Times|date=June 25, 2009|accessdate=July 12, 2009}}</ref> สถานียังออกอากาศมิวสิกวิดีโอของเขาเป็นเวลานานหลายชั่วโมง และยังมีการสัมภาษณ์สดในปฏิกิริยาตอบรับทั้งจากพิธีกรเอ็มทีวีและเหล่าบุคคลมีชื่อเสียง ตลอดทั้งสัปดาห์ยังมีรายการและยังมีการถ่ายทอดสดพิธีไว้อาลัย <ref>{{cite web|title=More adds, loose ends, and lament|url=http://altmusictv.blogspot.com/2009/07/more-adds-loose-ends-and-lament.html|work=The 120 Minutes Archive|date=July 25, 2009|accessdate=July 26, 2009}}</ref> ในพิธีไว้อาลัย ณ วันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 ผู้ก่อตั้งค่ายเพลงโมทาวน์ เบอร์รี กอร์ดี ยังสรรเสริญแจ็กสันว่าเป็น "คนบันเทิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา" <ref>{{cite web |title=Farewell to a King|url=http://www.people.com/people/archive/article/0,,20292614,00.htmll|work=''People'' |date=July 20, 2009 |accessdate=November 26, 2009}}</ref><ref>{{cite web |title=BERRY GORDY – GORDY BRINGS MOURNERS TO THEIR FEET WITH JACKSON TRIBUTE|url=http://www.contactmusic.com/news.nsf/story/gordy-brings-mourners-to-their-feet-with-jackson-tribute_1108973|work=''Contact Music'' |date=July 7, 2009 |accessdate=November 26, 2009}}</ref><ref>{{cite web |title=Michael Jackson hailed as greatest entertainer, best dad|url=http://uk.reuters.com/article/idUKTRE5615KN20090708|work=''Reuters UK'' |date=July 8, 2009 |accessdate=November 26, 2009}}</ref> ต่อมาวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 2009 [[สถาบันภาพยนตร์อเมริกัน]] รำลึกถึงเหตุการณ์การเสียชีวิตของแจ็กสันว่าเป็น "เหตุการณ์ที่สำคัญ" และกล่าวว่า "การเสียชีวิตของไมเคิล แจ็กสันอย่างกะทันหันในเดือนมิถุนายน เขาอายุเพียง 50 ปี เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ทั่วโลกต่างโศกเศร้าและเกิดการสรรเสริญตัวเขาไปทั่วโลกอย่างไม่เคยมีมาก่อน"<ref>Serjeant, Jill. [http://abcnews.go.com/Entertainment/wireStory?id=9442837 Michael Jackson's Death Among 2009's Major Moments]. ''ABC News'', December 29, 2009.</ref>

รุ่นแก้ไขเมื่อ 18:37, 16 มิถุนายน 2559

ไมเคิล แจ็กสัน
แจ็กสันในช่วงที่เล่นคอนเสิร์ต เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 1988 ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย
ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อเกิดไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน
เกิด29 สิงหาคม ค.ศ. 1958
ที่เกิดแกรี รัฐอินดีแอนา สหรัฐอเมริกา
เสียชีวิต25 มิถุนายน ค.ศ. 2009(2009-06-25) (50 ปี)[1][2]
แนวเพลงป็อป, ร็อก, นิวแจ็กสวิง, อาร์แอนด์บี, โซล, ดิสโก้, ฟังก์ ,ริทึมแอนด์บลูส์
อาชีพนักร้อง นักแต่งเพลง นักแสดง นักเต้น นักออกแบบท่าเต้น โปรดิวเซอร์เพลง นักธุรกิจ นักการกุศล
เครื่องดนตรีเสียงร้อง
ช่วงปี1964–2009
ค่ายเพลงโมทาวน์, อีพิก, เลกาซี
คู่สมรสลิซ่า มารี เพรสลี่ย์
(1994–1996)
เดโบราห์ จีน โรว
(1996–1999 )
เว็บไซต์michaeljackson.com

ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน (อังกฤษ: Michael Joseph Jackson: 29 สิงหาคม ค.ศ. 1958 – 25 มิถุนายน ค.ศ. 2009) เป็นนักร้องชาวอเมริกัน นักแต่งเพลง นักเต้น นักออกแบบท่าเต้น นักแสดง และโปรดิวเซอร์เพลง ได้รับการขนานนามว่าเป็น "ราชาเพลงป็อป" ( The King of Pop ) [3] อิทธิพลทางดนตรี การเต้นรำและแฟชั่น กับชีวิตส่วนตัวที่ถูกเผยแพร่ควบคู่ไปกับความสำเร็จ ทำให้เขาเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมร่วมสมัยของโลกมากว่า 4 ทศวรรษ

เขาเป็นลูกคนที่ 8 ของครอบครัวแจ็กสัน ปรากฏตัวครั้งแรกในระดับอาชีพด้านดนตรีตั้งแต่อายุ 5 ปี โดยเป็นหนึ่งในสมาชิกวงเดอะแจ็กสันไฟฟ์ในปี 1964 เขาเริ่มมีผลงานเดี่ยวในปี 1971 ขณะที่ยังคงเป็นสมาชิกของวงอยู่ ต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 เขาเริ่มมีความโดดเด่นในวงการเพลงป็อป และถือเป็นชาวแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกที่ได้รับความนิยมมากมาย มิวสิกวิดีโอของเขา ประกอบด้วยเพลง "Beat It", "Billie Jean" และ "Thriller" ได้รับการยอมรับว่าทำลายอุปสรรคทางเชื้อชาติ และเปลี่ยนแปลงรูปแบบมิวสิกวิดีโอจากอุปกรณ์การประชาสัมพันธ์ไปเป็นรูปแบบของศิลปะ มิวสิกวิดีโอเหล่านี้ได้ช่วยให้ช่องเอ็มทีวีที่เพิ่งเปิดใหม่นี้มีชื่อเสียงเพิ่มขึ้น ปี 1987 อัลบั้ม Bad กลายเป็นอัลบั้มแรกในประวัติศาสตร์ที่มีเพลงติดอันดับ 1 ถึง 5 เพลงบนบิลบอร์ดฮ็อต 100 มิวสิกวิดีโออย่างเพลง "Black or White" และ "Scream" ก็ยังออกอากาศบ่อยทางช่องเอ็มทีวี เขายังสร้างสรรค์สิ่งใหม่ตลอดคริสต์ทศวรรษ 1990 ด้วยลีลาบนเวทีของแจ็กสันและมิวสิกวิดีโอ แจ็กสันสร้างความโด่งดังกับท่าเต้นที่ซับซ้อนโดยใช้ร่างกายมากมายหลาย ๆ ท่า อย่างเช่นท่าเต้นหุ่นยนต์และท่าเต้นมูนวอล์ก ส่วนเอกลักษณ์ด้านดนตรีและเสียงร้องของเขายังมีอิทธิพลต่อศิลปินหลายแนวเพลง อิทธิพลของเขามีแพร่กระจายไปสู่คนหลายรุ่นทั่วโลก

อัลบั้ม Thriller ถือเป็นอัลบั้มเพลงที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล[4]ส่วนสี่อัลบั้มเดี่ยวที่เหลือ ก็ยังติดอันดับอัลบั้มที่ขายดีที่สุด อันประกอบด้วยชุด Off the Wall (1979), Bad (1987), Dangerous (1991) และ HIStory (1995)[5] แจ็กสันเดินทางไปทั่วโลกเพื่อร่วมกิจกรรมการกุศล เขาหาเงินนับร้อยล้านดอลลาร์เพื่อมูลนิธิการกุศลของเขา มีซิงเกิลการกุศลและผลกำไรจากทัวร์คอนเสิร์ตมากมายที่เขาสนับสนุนให้กับองค์กร 39 แห่ง ได้รับการรับรองโดยกินเนสบุ้คในปี 2000 เป็นจำนวนที่มากยิ่งกว่าดาราหรือศิลปินคนใดๆ [6] ชีวิตส่วนตัวของเขามักปรากฏตัวโดยการปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าและพฤติกรรมให้คนอื่นจำไม่ได้ แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ทำลายภาพลักษณ์ที่ดีของเขาด้วยเช่นกัน เขายังถูกข้อกล่าวหาลวนลามทางเพศเด็กในปี 1993 แต่ก็ปิดลงโดยเขาไม่มีความผิดเนื่องจากมีหลักฐานไม่เพียงพอ แจ็กสันมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพตั้งแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 และยังมีข้อมูลรายงานขัดแย้งในเรื่องฐานะการเงินของเขาตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 แจ็กสันแต่งงานมาแล้วสองครั้ง มีลูกสามคน ต่อมาในปี 2005 เขามีข้อพิพาทอีกครั้งเรื่องล่วงละเมิดทางเพศและอีกหลายคดี แต่เขาก็ไม่มีความผิด (ซึ่งในภายหลังคู่กรณีหลายรายได้ออกมายอมรับว่า แจ็กสัน ไม่ได้กระทำ และที่กล่าวหา เพราะเป็นเด็ก และถูกผู้ปกครองบังคับ โดยหวังที่จะได้รับเงินค่าเสียหาย)

เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่ศิลปินที่มีชื่ออยู่ใน ร็อกแอนด์โรลฮอลออฟเฟม ถึงสองครั้ง ผลงานของเขาประสบความสำเร็จได้รับบันทึกสถิติหลายครั้ง กินเนสบุ๊คเวิลด์ เรคคอร์ด จารึกชื่อเขาเป็น "ศิลปินบันเทิงที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาล" เขาชนะรางวัลจากเวทีต่างๆนับร้อยกว่ารางวัล ทำให้เขาเป็นศิลปินที่คว้ารางวัลได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์เพลงป็อป[7] แจ็กสันเป็นนักร้องคนแรกและคนเดียวที่ได้รับบรรจุชื่ออยู่ในแดนซ์ฮอลออฟเฟมจากนักเต้นรำเพลงป็อปและร็อกแอนด์โรลทั่วโลก และยังเป็นศิลปินเพียงคนเดียวที่มีเพลงฮิตติดท็อป 10 บนบิลบอร์ดฮ็อต 100 ทุก 10 ปี ติดต่อกันครึ่งศตวรรต [8][9] เขาได้รับ 13 รางวัลแกรมมี่ รางวัลพิเศษ Grammy Legend Award , Grammy Lifetime Achievement Award 26 อเมริกันมิวสิกอวอร์ดส มากกว่าศิลปินคนใดๆ รวมถึงรางวัล "ศิลปินแห่งศตวรรษ" เขาได้รับเชิญรางวัลพิเศษที่ทำเนียบขาว จากประธานาธิบดี ถึง 2 ครั้ง และครั้งที่ 3 ด้วยรางวัลพิเศษ "Point of Light Ambassador" มี 13 ซิงเกิลที่ขึ้นอันดับ 1 ในฐานะนักร้องเดี่ยว มากกว่าที่ศิลปินชายคนใดจะทำได้ และมียอดขายรวมกว่า 400 ล้านชุดทั่วโลก[10]ไมเคิล แจ็กสันเสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2009 อายุได้ 50 ปี[11]การเสียชีวิตของแจ็กสันถือเป็นปรากฏการณ์ที่สื่อมวลชนให้ความสนใจมากที่สุดในรอบศตวรรษ มีการถ่ายทอดสดพิธีไว้อาลัยไปทั่วโลก[12][13] ภายหลังในปี 2010 โซนี่มิวสิกเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ตกลงนามทำสัญญากับกองทุนจัดการมรดก เพื่อจัดจำหน่ายผลงานของเขา รวมถึงเพลงที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน ไปจนถึงปี 2017 ด้วยมูลค่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นสัญญาที่มีมูลค่าสูงสุดที่เคยมีมาในวงการดนตรี [14] ฟอบส์ นิตยสารธุรกิจการเงินจัดอันดับให้เขาเป็นคนดังที่ทำรายได้สูงสุดหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว โดยได้อันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่หก [15]

ประวัติ

1958-71: ชีวิตช่วงแรก และเดอะแจ็กสันไฟฟ์

บ้านในวัยเด็กของแจ็กสันในเมืองแกรี รัฐอินดีแอนา

ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1958 เขาเป็นบุตรคนที่ 8 ในจำนวน 10 คน ของครอบครัวชาวแอฟริกัน-อเมริกันชั้นแรงงาน อาศัยอยู่ในบ้านสองห้องนอน บนถนนแจ็กสันสตรีท ที่เมืองแกรี รัฐอินดีแอนา ย่านอุตสาหกรรมชานเมืองของชิคาโก [16] บิดาชื่อโจเซฟ วอลเตอร์ "โจ" แจ็กสัน และมารดาชื่อแคเทอรีน เอสเตอร์ (สกุลเดิม สคริวส์) [16] พ่อของเขา โจเซฟ เคยเป็นอดีตนักมวยและทำงานเป็นลูกจ้างโรงงานเหล็ก โจยังเล่นกีต้าร์ให้วงดนตรีท้องถิ่นแนวอาร์แอนด์บี ที่ชื่อ "เดอะฟอลคอนส์" เพื่อเสริมรายได้ให้ครอบครัว แม่ของเขา แคเทอรีน เป็นคนที่ศรัทธาในศาสนาพยานพระยะโฮวา เธอเล่นคลาริเน็ตและเปียโนและเคยมีแรงบันดาลใจเป็นนักแสดงประเทศตะวันตก เธอทำงานนอกเวลาที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อสนับสนุนครอบครัว[16] ไมเคิลเติบโตมาด้วยกันกับพี่น้องคือ รีบี แจ็กกี ติโต เจอร์เมน ลา โทยา มาร์ลอน แรนดี และเจเน็ต[16]

แจ็กสันมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับพ่อ[17] เขากล่าวว่า เขาถูกทารุณทั้งทางร่างกายและจิตใจจากพ่อของเขาเองตั้งแต่ครั้งยังเด็ก ที่ต้องฝึกซ้อมอย่างไม่หยุดหย่อน ถูกตีและถูกด่าทอ อย่างไรก็ตามเขาก็ยังยกความดีให้กับระเบียบวินัยอันเคร่งครัดของพ่อ ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จเช่นนี้[18][19] ในการทะเลาะวิวาทกันครั้งหนึ่ง — ที่มาร์ลอน แจ็กสันพูดถึง — โจเซฟห้อยไมเคิลลงด้วยขาเดียวและตีเขาครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยมือของเขา ตีเขาที่หลังและบั้นท้าย[20] โจเซฟมักจะขัดขาหรือผลักลูกชายของเขาเข้ากำแพง มีคืนหนึ่งขณะที่แจ็กสันหลับอยู่ โจเซฟปีนเข้าห้องผ่านทางหน้าต่างห้องนอน สวมหน้ากากแล้วเข้าห้องมาด้วยเสียงตะโกน โจเซฟพูดว่าเขาต้องการสอนให้ลูก ๆ ของเขาไม่เปิดหน้าต่างทิ้งไว้เวลานอน หลายปีถัดมา แจ็กสันพูดว่าเขาทนทุกข์ทรมานจากฝันร้ายเกี่ยวกับการถูกลักพาตัวจากห้องนอนของเขา[20]

แจ็กสันพูดเปิดใจครั้งแรกเกี่ยวกับการถูกทารุณในวัยเด็ก ในการสัมภาษณ์กับโอปราห์ วินฟรีย์ ในปี 1993 เขาพูดว่าในช่วงวัยเด็ก เขามักจะร้องไห้จากความโดดเดี่ยวและในบางครั้งจะเริ่มอาเจียนเมื่อเห็นพ่อเขา[21][22][23] ในปี 2003 โจเซฟยอมรับผ่านทางบีบีซีว่า เขาเฆี่ยนตีแจ็กสันจริงในวัยเด็ก โจยังพูดว่าเขาใช้วาจาทำร้ายลูกชายและล้อเลียนเขาอยู่บ่อยๆ [24] การสัมภาษณ์อีกบทหนึ่งใน Living with Michael Jackson (2003) เขาปิดหน้าตัวเองด้วยมือและเริ่มร้องไห้เมื่อกำลังพูดถึงการถูกทารุณในวัยเด็ก[20] แจ็กสันหวนรำลึกว่า โจเซฟนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมถือเข็มขัดขณะที่เขาและพี่น้องซ้อมการแสดง และ "ถ้าคุณไม่ทำให้ถูกใจ เขาจะฉีกคุณเป็นชิ้น ๆ จัดการคุณจริง ๆ"[25]

แจ็กสัน(กลาง)ขณะเป็นสมาชิกของเดอะแจ็กสันไฟฟ์ ปี 1971

แจ็กสันแสดงพรสวรรค์ด้านดนตรีตั้งแต่เด็ก ด้วยการแสดงต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้นในระหว่างการเล่นดนตรีวันคริสต์มาสเมื่ออายุได้ 5 ขวบ[16] ในปี 1964 แจ็กสันและมาร์ลอนเข้าร่วมวง "แจ็กสันบราเทอร์ส"— วงที่ก่อตั้งโดยพี่ชายเขา แจ็กกี ติโต และเจอร์เมน — โดยแสดงเป็นนักดนตรีสมทบที่เล่นคองกาและแทมบูรีน ต่อมาแจ็กสันก็เริ่มเป็นนักร้องประสานและนักเต้น เมื่ออายุ 8 ปี เขาและเจอร์เมนเป็นนักร้องนำ และเปลี่ยนชื่อวงเป็นเดอะแจ็กสันไฟฟ์[16] วงออกทัวร์ในมิดเวสต์ตั้งแต่ปี 1966 ถึง 1968 แสดงในคลับคนผิวดำและตามงานต่าง ๆ เป็นวงสตริงที่เรียกว่า "ชิตลินเซอร์คิต" ที่พวกเขามักจะเล่นเป็นวงเปิดให้กับการเต้นระบำเปลื้องผ้าและการโชว์สำหรับผู้ใหญ่อื่น ๆ ในปี 1966 พวกเขาชนะรายการท้องถิ่นงานใหญ่ ที่พวกเขาแสดงความสามารถโดยการแสดงเลียนแบบศิลปินโมทาวน์ เพลงดัง ๆ และเพลง "I Got You (I Feel Good)" ของเจมส์ บราวน์ นำแสดงโดยไมเคิล แจ็กสัน[26]

เดอะแจ็กสันไฟฟ์ บันทึกเพลงหลายเพลง รวมถึงเพลง "Big Boy" ภายใต้สังกัดท้องถิ่นที่ชื่อสตีลทาวน์ (ปี 1967) และได้เซ็นสัญญากับค่ายโมทาวน์ในปี 1968[16] นิตยสารโรลลิงสโตน อธิบายถึงแจ็กสันตอนเด็กไว้ว่า "เป็นเด็กอัจฉริยะ" พร้อมด้วย "พรสวรรค์ทางด้านดนตรีอย่างเต็มเปี่ยม" และยังพูดว่าแจ็กสัน "เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วที่เป็นตัวหลักในฐานะนักร้องนำ" หลังจากที่เขาเริ่มเต้นและร้องเพลงกับพี่ ๆ ของเขา[27] วงสร้างสถิติบนอันดับเพลงโดยการมี 4 ซิงเกิลแรก ("I Want You Back", "ABC", "The Love You Save" และ "I'll Be There") ขึ้นสูงสุดอันดับ 1 บนบิลบอร์ดฮ็อต 100[16] ขณะที่แจ็กสันเริ่มมีบทบาทในฐานะศิลปินเดี่ยวในปี 1972 โดยที่ยังคงผูกพันกับเดอะแจ็กสันไฟว์ เขามีผลงานเดี่ยวทั้งหมด 4 ชุดกับสังกัดโมทาวน์ อัลบั้มชุด Got to Be There และ Ben ที่มีเพลงดังอย่าง "Got to Be There" "Ben" ที่เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ในชื่อเดียวกัน เป็นซิงเกิลแรกที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตเพลงของนิตยสารบิลบอร์ด [28] และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม รางวัลลูกโลกทองคำ และรางวัลออสการ์ และเพลงเก่าของบ็อบบี เดย์นำมาทำใหม่ที่ชื่อ "Rockin' Robin"

เดอะแจ็กสันไฟฟ์ ได้รับการอธิบายว่าเป็น "แบบฉบับที่ทันสมัยของศิลปินผิวสี" แม้ว่ายอดขายอัลบั้มของวงเริ่มลดลงในปี 1973 และสมาชิกในวงก็มีปัญหากับโมทาวน์ เพราะถูกจำกัดภายใต้ข้อห้ามที่ควบคุมความคิดสร้างสรรค์[29] พวกเขามีเพลงในท็อป 40 อยู่หลายเพลง รวมถึงเพลงดิสโก้ที่ติดท็อป 5 อย่าง "Dancing Machine" และเพลงดังติดท็อป 20 "I Am Love" ก่อนที่จะออกจากโมทาวน์ในปี 1975[29]

1975-81: ย้ายไปค่ายอีพิก และOff the Wall

เดอะแจ็กสันไฟฟ์เซ็นสัญญาใหม่กับ ซีบีเอสเรคเคิดส์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1975 โดยอยู่ในสังกัดย่อยฟิลาเดลเฟียอินเตอร์เนชันแนลเรคเคิดส์ ซึ่งต่อมาคือค่ายอีพิก[29] และจากผลทางกฎหมายวงจึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น เดอะแจ็กสันส์[30] หลังจากเปลี่ยนชื่อแล้ววงออกทัวร์ในระดับนานาชาติ และยังออกผลงานอัลบั้มมากกว่า 6 อัลบั้มในระหว่างปี 1976 และ 1984 ระหว่างช่วงเวลานี้ ไมเคิล แจ็กสันยังเป็นผู้เขียนเพลงหลักของวง มีเพลงฮิตอย่าง "Shake Your Body (Down to the Ground)", "This Place Hotel" และ "Can You Feel It"[26]

ในปี 1978 แจ็กสันแสดงในบทบาทสแกร์โครว์ ในภาพยนตร์เพลง The Wiz[31] เพลงบรรเลงประกอบภาพยนตร์เรียบเรียงโดยควินซี โจนส์ ที่เริ่มสนิทสนมกับแจ็กสันในช่วงการทำงานภาพยนตร์ และตกลงกันว่าจะร่วมทำผลงานในอัลบั้มเดี่ยวของแจ็กสันชุดต่อไป ในชุด Off the Wall[32] ในปี 1979 แจ็กสันได้รับบาดเจ็บบริเวณจมูกระหว่างการฝึกซ้อมเต้น การศัลยกรรมจมูกของเขาไม่เสร็จดี เขาบ่นเรื่องความลำบากในการหายใจที่อาจเป็นผลร้ายต่ออาชีพเขาได้ เขาเอ่ยถึง ดร. สตีเวน โฮฟฟลิน ที่เป็นศัลยแพทย์จมูกเขาในครั้งที่ 2 และในการผ่าตัดอีกหลายครั้งถัดมา[33]

โจนส์และแจ็กสันร่วมกันผลิตผลงานชุด Off the Wall อัลบั้มนี้เป็นช่วงการเปลี่ยนแปลงของเขาจากวัยรุ่นไปยังเสียงร้องที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ที่เขาจะสร้างเมื่อเป็นผู้ใหญ่ มีนักเขียนเพลงในอัลบั้มนี้นอกเหนือจากแจ็กสันแล้วคือ ร็อด เทมเพอร์ตันจากวงฮีตเวฟ สตีวี วันเดอร์ และพอล แม็กคาร์ตนีย์ อัลบั้มออกขายในปี 1979 และยังถือเป็นอัลบั้มแรกที่มีซิงเกิลท็อป 10 จำนวน 4 เพลงในสหรัฐอเมริกา ซึ่งในนั้นมีซิงเกิลอันดับ 1 อย่าง "Don't Stop 'Til You Get Enough" และ "Rock with You"[34] Off the Wall ติดชาร์ตบิลบอร์ด 200 สูงสุดที่อันดับ 3 และมียอดขาย 8 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกาและขายได้มากกว่า 20 ล้านชุดทั่วโลก[35][36] ในปี 1980 แจ็กสันได้รับ 3 รางวัลอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส ในสาขาอัลบั้มโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยม สาขาศิลปินโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยม สาขา ซิงเกิลโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยมจากเพลง "Don't Stop 'Til You Get Enough"[34] ในปีนั้นเองเขาได้รับรางวัลบิลบอร์ดมิวสิกอวอร์ดส ในสาขาท็อปแบล็กอาร์ทิสและท็อปแบล็กอัลบั้ม และยังได้รับรางวัลแกรมมี่ในสาขาศิลปินอาร์แอนด์บียอดเยี่ยม (กับเพลง "Don't Stop 'Til You Get Enough") [34] เนื่องจากประสบความสำเร็จอย่างมาก แจ็กสันจึงรู้สึกว่า Off the Wall ควรจะมีผลกระทบมากขึ้นและควรเป็นที่คาดหวังให้กับการออกผลงานในชุดถัดมา[37] ในปี 1980 แจ็กสันมีรายได้สูงสุดในอุตสาหกรรมดนตรีด้วยผลกำไรอัลบั้ม 37%[38]

1982-83: Thriller และ โมทาวน์ 25

ในปี 1982 แจ็กสันให้ความสนใจของเขาในการแต่งเพลงและภาพยนต์ โดยมีผลงานเพลง "Someone In the Dark" ในปี 1982 ซึ่งประกอบภาพยนตร์เรื่อง อี.ที. เพื่อนรัก ซึ่งได้รับรางวัลแกรมมี่ในสาขาอัลบั้มยอดเยี่ยมประเภทเพลงสำหรับเด็ก[39]

ความสำเร็จที่มากยิ่งขึ้น มาพร้อมกับการเปิดตัวอัลบั้มชุดที่หกของเขา Thriller อัลบั้มทำให้เขาได้รับ 7 รางวัลแกรมมี่ และ 8 อเมริกันมิวสิกอวอร์ดส จากอัลบั้มเดียว Thriller เป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดทั่วโลกในปี 1983 รวมทั้งในอเมริกา และกลายเป็นอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล มียอดขายสูงกว่า 109 ล้านชุด [40][41][42][43] อัลบั้มติดในท็อป 10 บนบิลบอร์ด 200 นาน 80 สัปดาห์ติดต่อกันและอยู่อันดับ 1 นาน 37 สัปดาห์ และเป็นอัลบั้มแรกที่มี 7 ซิงเกิล ที่ติดท็อป 10 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮ็อต 100 ประกอบด้วย "The Girl Is Mine" "Billie Jean", "Beat It" "Wanna Be Startin' Somethin'" "Human Nature" "P.Y.T. (Pretty Young Thing" และ "Thriller"[44]ในปี 2015 อัลบั้มได้รับการรับรองมียอดขายมากกว่า 32 ล้านชุด เฉพาะในสหรัฐอเมริกาโดยRIAA ทำให้อัลบั้มนี้ถือเป็นอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดเฉพาะในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

ไมเคิล แจ็กสัน บนมิวสิกวีดีโอ Thriller

นอกเหนือจากอัลบั้มเพลงแล้ว แจ็กสันได้ปล่อยผลงาน" Thriller" มิวสิกวิดีโอภาพยน์สั้นที่มีความยาว 14 นาที กำกับโดยจอห์น แลนดิส ในปี 1983[45] มิวสิกวิดีโอนี้ได้รับคำนิยามว่า "ทลายอุปสรรคทางเชื้อชาติ" ได้รับการออกอากาศทางเอ็มทีวีซึ่งเป็นช่องรายการที่พึ่งเปิดใหม่ในเวลานั้น ในปี 2009 มิวสิกวิดีโอนี้ ได้รับการจดทะเบียนเข้าสู๋หอภาพยนตร์แห่งชาติ โดยหอสมุดรัฐสภา ซึ่งเป็นมิวสิควีดีโอแรกที่ได้รับเกียรติยศในฐานะ "วัฒนธรรมภาพยนต์ที่สำคัญในประวัติศาสตร์" [46]

นักกฏหมายของแจ็กสัน จอห์น บรังกา ตั้งข้อสังเกตุว่าแจ็กสันมีส่วนแบ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมดนตรี ราว 2 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่ออัลบั้ม เขายังทำรายได้เป็นประวัติการณ์จากภาพยนต์สารคดี The Making of Michael Jackson's Thriller ผลิตโดยแจ็กสันและจอห์น แลนดิส มียอดขายกว่า 350,000 ชุด ในเวลาไม่กี่เดือน นอกจากนี้เขายังทำเงินกับภาพลักษณ์อย่างจริงจัง อย่างเช่น ตุ๊กตาจำลอง ไมเคิล แจ็กสันและสินค้าใหม่ ๆ ในตลาด[47] จนผู้เขียนชีวประวัติของแจ็กสันที่ชื่อ เจ. แรนดี ทาราบอร์เรลลี วิเคราะห์ไว้ว่า "ในบางกรณี Thriller หยุดขายไปเหมือนอย่างอุปกรณ์สันทนาการ อย่างจำพวกนิตยสาร ของเล่น ตั๋วหนังดังๆ และเมื่อเริ่มขายก็เหมือนกับสิ่งของสำคัญประจำบ้าน"[48] ในปี 1985 ภาพยนต์สารคดี "The Making of Michael Jackson's Thriller" ก็ยังได้รับรางวัลแกรมมี่สาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยมแบบยาว [49] นิตยสารไทม์ได้อธิบายถึงแจ็กสันว่า "ไมเคิล แจ็กสันเป็นวัฒนธรรมของประชาชน ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเขามีเสียงที่น่าเกรงขามและลีลาที่สมบูรณ์แบบ เขาสามารถเต้นได้เหมือนไม่ใช่มนุษย์ เขาดึงดูดความสนใจของคนทุกเพศทุกวัยและผู้ฟังเพลงทุกประเภท อย่างยากที่จะจำแนกหมวดหมู่" [50]

นอกจากประสบความสำเร็จ สร้างสถิติใหม่ ๆ แล้ว Thriller ยังสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับอุตสาหกรรมดนตรี อย่างแรกได้ยกระดับความสำคัญของอัลบั้ม ขณะที่ความท้าทายต่อความเชื่อเกี่ยวกับความคาดหวังเพลงดังในอัลบั้มที่ควรจะเป็น[51] อย่างที่สองคือ ยังช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมดนตรีกับความเชื่อมั่นในความสามารถเป็นศิลปะชั้นสูง ท่ามกลางในระยะเวลานั้นที่รายได้จมไปเนื่องจากที่มีการวิเคราะห์ออกมาว่า "เป็นยุคความหายนะของพังก์และเพลงป็อปสังเคราะห์เสียง"[47] ข้อสามคือ นำเอ็มทีวีก้าวไปสู่ยุครุ่งเรือง ขณะที่เอ็มทีวีก็ช่วยส่งเสริมในความสำเร็จของ Thriller ข้อสี่ Thriller ยังปูทางให้กับศิลปินอื่นตามมาอย่างเช่น พรินซ์[52] จนแล้วจนเล่า แจ็กสันก็ถือเป็นคนเดียวที่รอดจากธุรกิจดนตรี[53] ในโอกาสครบรอบ 25 ปีของอัลบั้ม Thriller ก็ยังคงเป็นอิทธิพลสำคัญในวงการดนตรี ต่อศิลปินและวัฒนธรรมชาวอเมริกันอย่างมาก[48]

25 มีนาคม ค.ศ. 1983 เขาแสดงสดในรายการโทรทัศน์เทปพิเศษครบรอบ 25 ปีโมทาวน์ที่ชื่อ Motown 25: Yesterday, Today, Forever ทั้งร่วมกับวงเดอะแจ็กสันไฟฟ์เองและได้ร้องเพลงของเขาเองในเพลง "Billie Jean" และยังเปิดตัวท่าเต้นที่ถือเป็นท่าเต้นที่สร้างชื่อเสียงของเขา "มูนวอล์ก" การแสดงของเขาในงานนี้มีผู้รับชมมากกว่า 47 ล้านคนในระหว่างการออกอากาศ [54] ผู้สื่อข่าวจากนิตยสารโรลลิงสโตน มิเกล กิลมอ รายงานในภายหลังว่า "มีช่วงเวลาเมื่อคุณรู้ว่ากำลังได้ยิน หรือเห็น บางสิ่งที่น่ามหัศจรรย์...ที่มาในคืนนั้น" [55]การแสดงนี้ยังถูกนำไปเปรียบเทียบกับการปรากฏตัวของเอลวิส เพรสลีย์และเดอะบีทเทิลส์ ในรายการ ดิเอดซัลลิแวนโชว์ [56] เดอะนิวยอร์กไทมส์ พูดไว้ว่า "ท่ามูนวอล์กที่ทำให้เขามีชื่อเสียง เป็นคำอุปมาอย่างเหมาะสมแล้วสำหรับท่าเต้นของเขานี้ เขาทำได้อย่างไร ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ เขาเป็นนักมายากลผู้ยิ่งใหญ่ นักแสดงโดยไม่ใช้คำพูดอย่างแท้จริง ความสามารถในการนำหนึ่งขาก้าวไถลขณะที่อีกข้างงอและดูเหมือนว่าท่าเดินจะอยู่ในจังหวะพอเหมาะพอเจาะ"[57]

1984-85: เป๊ปซี่ , We Are the World และธุรกิจ

ในเดือนพฤศจิกายน 1983 แจ็กสันและพี่น้องของเขา ร่วมมือกับ เป๊ปซี่ ด้วยค่าตัว 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำลายสถิติค่าตัวในวงการอุตสาหกรรมโฆษณา แคมเปญแรกของเป๊ปซี่ เริ่มต้นด้วยการออกอากาศในสหรัฐอเมริกาจากปี 1983 - 1984 และเปิดตัวด้วยธีม "คนรุ่นใหม่" รวมถึงการสนับสนุนการท่องเที่ยว กิจกรรมการแสดง โดยใช้ภาพลักษณ์ของเขาในการประชาสัมพันธ์ แจ็กสันมีส่วนร่วมในการสร้างโฆษณาที่โดดเด่นให้กับเป๊ปซี่อย่างมาก เขาแนะนำให้ใช้เพลง "Billie Jean" เป็นดนตรีประกอบในรูปแบบใหม่ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างสูง [58]

แจ็กสันบาดเจ็บเมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 1984 ขณะถ่ายภาพยนตร์โฆษณาเป๊ปซี่ ที่ไชรน์ออดิทอเรียม ในลอสแอนเจลิส หนังศีรษะเป็นแผลไหม้ระดับสองหลังจากเกิดอุบัติเหตุสะเก็ดไฟไหม้ที่ผม เกิดขึ้นต่อหน้าแฟนเพลงมากมายในฉากถ่ายคอนเสิร์ต เหตุการณ์นำไปสู่การประโคมข่าวทางสื่อในเรื่องที่จะต้องตรวจสอบและการนำความจริงออกมา ทำให้เกิดความเห็นใจหลั่งไหลสู่แจ็กสันอย่างมาก แจ็กสันเข้ารับการรักษาเพื่อปกปิดรอยแผลเป็นและทำศัลยกรรมจมูกครั้งที่สามหลังจากนั้นและทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหน้าตาของเขาอย่างชัดเจน[33]เป๊ปซี่จัดไกล่เกลี่ยกับแจ็กสันนอกศาลและ แจ็กสันได้บริจาคเงิน 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับบรอตแมนเมดิคอลเซนเตอร์ ในคัลเวอร์ซิตี รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่เขาได้เข้ารักษา และยังให้โรงพยาบาลนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในการรักษารอยไหม้ให้แก่ผู้ป่วย ต่อมาตึกคนไข้ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "ไมเคิล แจ็กสัน เบิร์น เซนเตอร์" เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา[59]

แจ็กสันที่ทำเนียบขาว กับประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนและสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง แนนซี เรแกน ปี 1984

วันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1984 แจ็กสันได้รับเชิญให้รับรางวัลที่ทำเนียบขาว สำหรับผลงานด้านมนุษยธรรมของเขา โดยมีประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกนเป็นผู้มอบรางวัลให้ สำหรับการช่วยเหลือการกุศลให้กับผู้ที่เอาชนะต่อสุราและยาเสพติด[60]และมอบคำกล่าวขวัญแก่การสนับสนุนของเขาที่มีต่อสภาและทางหลวงแห่งชาติในการรณรงค์เมาแล้วไม่ขับ แจ็กสันบริจาคเพลง "Beat it" เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์ สำหรับบริการสาธารณะ[61]

แตกต่างจากอัลบั้มชุดก่อน Thriller ไม่ได้มีการประชาสัมพันธ์สำหรับการออกทัวร์อย่างเป็นทางการ แต่ในปี 1984 เขามีทัวร์วิกทอรีทัวร์ นำโดยเดอะแจ็กสันส์ ที่แสดงผลงานเดี่ยว ให้ผู้ชมอเมริกันมากกว่า 2 ล้านคน[62] เขายังบริจาคเงิน 5 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐจากวิกทอรีทัวร์ให้การกุศลด้วย[63] ผลงานการกุศลและรางวัลด้านมนุษยธรรมของเขายังคงมีบทบาทอย่างต่อเนื่องกับการเปิดตัวเพลง "We Are the World" ซึ่งเขาเขียนเพลงร่วมกับไลโอเนล ริชชี [64] เขาได้ร่วมกับศิลปินอีก 39 คน ในการบันทึกเสียง เมื่อวันที่ 28 มกราคม 1985 และได้รับการปล่อยออกทั่วโลกในเดือนมีนาคม เพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ในแอฟริกาและในสหรัฐอเมริกา ซิงเกิลนี้ทำรายได้มากกว่า 63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อบรรเทาความอดยาก[65] และกลายเป็นหนึ่งในซิงเกิลที่ขายดีที่สุดตลอดกาล ด้วยยอดขายมากกว่า 20 ล้านชุด [66] "We Are the World" ได้รับรางวัลแกรมมี่ในปี 1985 ในสาขาบทเพลงแห่งปี และถึงแม้ว่าคณะกรรมการจากอเมริกันมิวสิกอวอร์ดสจะถอนเพลงการกุศลออกจากการแข่งขันเนื่องจากเห็นว่าไม่เหมาะสม แต่งานแสดงอเมริกันมิวสิกอวอร์ดสในปี 1986 ก็ได้ข้อสรุปในการสรรเสริญบทเพลงนี้สำหรับวันครบรอบ 1 ปี ผู้คิดโปรเจกต์ยังได้เกียรติพิเศษจาก AMA สำหรับผู้สร้างสรรค์บทเพลง และอีกหนึ่งไอเดียสำหรับสหรัฐอเมริกาไปยังแอฟริก โดยแจ็กสัน ควินซีโจนส์ และผู้จัดงาน เคน คราเกน ได้รับรางวัลพิเศษสำหรับบทบาทของพวกเขาในการสร้างสรรค์เพลง [67]

แจ็กสันมีความสนใจในธุรกิจซื้อขายลิขสิทธิ์เพลงที่กำลังขยายตัว ขณะที่เขาทำงานร่วมกับพอล แม็กคาร์ตนีย์ในช่วงต้นปี 1980 ทั้งคู่ก็ได้เป็นมิตรกัน และยังมีโอกาสไปมาหาสู่ด้วยกัน เขาได้เรียนรู้ต่อมาว่าแม็กคาร์ตนีย์ สามารถทำรายได้ราว 40 ล้านเหรียญต่อปีจากเพลงของคนอื่น แจ็กสันจึงเริ่มสนใจธุรกิจอาชีพการซื้อขายลิขสิทธิ์การจำหน่ายด้านดนตรีกับศิลปินหลาย ๆ คน แต่เขาก็ระมัดระวังในการซื้อขายเหล่านั้น เขาเริ่มต้นธุรกิจการซื้อขายเพลงอยู่หลายเพลง หลังจากนั้นไม่นาน เอทีวีซองส์ ที่เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ที่มีเพลงกว่าพันเพลง รวมถึงนอร์เทิร์นซองส์ แค็ตตาล็อกเพลงที่ส่วนใหญ่ที่เขียนโดยเลนนอนและแม็กคาร์ตนีย์ระหว่างปี 1963-1973 ก็ถูกเสนอขาย[68][69]

ในปี 1984 โรเบิร์ต โฮล์มส์ศาล เศรษฐีนักลงทุนชาวออสเตรเลียผู้เป็นเจ้าของ ATV Music Publishing ได้ประกาศว่าเขากำลังนำแคตตาล็อกเพลงขึ้นเพื่อขาย[70]ในปี 1981 แม็กคาร์ตนีย์ได้รับการเสนอราคาแคตตาล็อกที่ 40 ล้านเหรียญดอลลาร์ [71]สอดคล้องกับช่วงเวลาที่แม็กคาร์ตนีย์เองได้ติดต่อโยโกะ โอโนะเพื่อซื้อลิขสิทธิ์ร่วมกัน โดยสนนราคาแยกกันคนละ 20 ล้านเหรียญดอลลาร์ แต่โอโนะคิดว่าพวกเขาสามารถซื้อมันด้วยราคา 10 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ[72] เมื่อทั้งสองไม่สามารถตกลงกันได้ และแม็กคาร์ตนีย์ ซึ่งไม่ต้องการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เดอะบีทเทิ่ลเพียงลำพัง ก็ไม่ได้ติดตามข้อเสนอของเขาอีกเลย [73] ตามการเจรจาต่อรองซื้อขายของ โฮล์มส์ศาล ในปี 1984 โดยแม็กคาร์ตนีย์ได้บอกปัดก่อนและปฏิเสธที่จะซื้อขาย[74]

แจ็กสันรับรู้การซื้อขายจากนักฏกหมายของเขา จอห์น บรังกา เขาสนใจในแค็ตตาล็อกนี้แต่ก็ถูกเตือนว่าเขาอาจมีการแข่งขันสูง แต่เขาก็พูดว่า "ผมไม่สนใจ ผมต้องการเพลงเหล่านั้น เอาเพลงเหล่านั้นมาให้ได้บรังกา" (นักกฎหมายของเขา) ต่อจากนั้นบรังกาได้ติดต่อกับนักกฎหมายของแม็กคาร์ตนีย์ที่เข้าใจว่าลูกค้าของเขาไม่สนใจที่จะเสนอราคา เนื่องจากแม็กคาร์ตนีย์รู้สึกว่ามันมีราคาที่สูงเกินไป[75] แต่บริษัทและนักลงทุนหลายคนต่างก็มีความสนใจในการเสนอราคา แจ็กสันเริ่มพูดคุยต่อรอง จนในที่สุดแจ็กสันสามารถเอาชนะคู่แข่งอื่นในการเจรจาหลายต่อหลายครั้งใน 10 เดือน โดยสนนราคาแค็ตตาล็อกเพลงที่ 47.5 ล้านเหรียญดอลลาร์ การซื้อขาย ATV Music Publishing ของแจ็กสันจึงสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 1985 [76]

1986-90: รายงานเท็จของแท็บลอยด์ , การปรากฏตัว , อัลบั้ม Bad , อัตชีวประวัติ และผลงานภาพยนตร์

สีผิวของแจ็กสันตั้งแต่ในช่วงวัยเด็กมีสีน้ำตาลปานกลาง แต่เมื่อเริ่มต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 สีผิวของเขาดูซีดลง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้สื่อประโคม รวมถึงมีข่าวลือออกมาว่าเขาฟอกสีผิว[21] ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 แจ็กสันถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคด่างขาวและโรคลูปัส การป่วยเป็นทั้งสองโรคนี้ทำให้เขาระคายเคืองต่อแสงแดด การรักษาในส่วนสีผิวที่ขาวกว่าเขาใช้การเมคอัพในบริเวณรอยด่าง[77]แจ็กสันกล่าวว่าเขาศัลยกรรมจมูกสองครั้งและไม่ได้มีการทำศัลยกรรมในส่วนอื่นๆ เขามีน้ำหนักที่ลดลงมาตั้งแต่ช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 เพราะเปลี่ยนการควบคุมน้ำหนักและความต้องการให้มีร่างกายแบบนักเต้น[78] มีผู้เกี่ยวข้องเห็นว่าแจ็กสันมักจะหน้ามืด และเห็นว่าเขามักจะทนทุกข์จากแอเนอะเร็กเซีย เนอร์โวซา (anorexia nervosa) หรือการกลัวอ้วน ซึ่งเป็นช่วงที่เขาน้ำหนักลดลงและกลสยเป็นปัญหาต่ออาชีะของเขาในเวลาต่อมา[79]

แจ็กสัน หลังสองปีที่เขาป่วยเป็นโรคด่างขาว (vitiligo)

ในปี 1986 ข่าวในแท็บลอยด์ เขียนเรื่องราวว่าแจ็กสันนอนในตู้อ๊อกซิเจน (hyperbaric oxygen chamber) [80] เพื่อชะลอสังขาร มีภาพถ่ายเขานอนอยู่ในกล่องตู้กระจก ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะไม่จริง แจ็กสันศัลยกรรมจมูกครั้งที่ 4 และต้องการให้เขาดูแมนขึ้นจึงทำรอยแยกบริเวณคาง[33] ต่อมาเมื่อแจ็กสันซื้อลิงชิมแพนซี ที่มีชื่อว่า บับเบิลส์ มาก็มีการรายงานว่าทำให้เขาตีห่างจากสังคมยิ่งขึ้น[81] ในปี 2003 แจ็กสันกล่าวว่าบับเบิลส์ถูกฝึกให้ใช้ห้องน้ำเป็นและทำความสะอาดห้องนอนของตัวเอง[80] ต่อมายังมีข่าวว่าแจ็กสันเสนอเงินซื้อกระดูกโจเซฟ เมอร์ริค หรือมนุษย์ช้าง เป็นเงิน 1 ล้านเหรียญ[82]และถึงแม้จะไม่ได้เป็นเรื่องจริง แจ็กสันก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธเรื่องดังกล่าวในเวลานั้นแต่อย่างใด แม้ว่าเขาจะเห็นโอกาสในการประชาสัมพันธ์ก็ตาม ต่อมาแจ็คสันหยุดการรั่วไหลเรื่องราวที่ไม่เป็นความจริง แต่พวกเขาเริ่มรู้สึกได้ว่าเรื่องดังกล่าวกระทบความรู้สึกของแจ็กสันมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ สื่อดังกล่าวจึงเริ่มกุเรื่องราวข่าวลือเกี่ยวกับตัวเขา[83]

จากนั้นเขาแสดงนำในภาพยนตร์สามมิติเรื่อง Captain EO กำกับโดยแฟรนซิส ฟอร์ด คอปโปลา ถือเป็นภาพยนตร์ที่แพงที่สุดที่ผลิตขึ้นต่อ 1 นาที ณ เวลานั้น และเขาเป็นพิธีกรให้กับดิสนีย์ธีมพาร์ก และดิสนีย์ยังได้นำภาพยนตร์บรรจุอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า ทูมอร์โรว์แลนด์ เป็นเวลาเกือบ 11 ปี ขณะที่วอลต์ดิสนีย์ ฉายภาพยนตร์ในบริเวณเอปคอต ตั้งแต่ปี 1986 ถึง 1994[84]ในปี 1987 เขาผันตัวเองออกจากลัทธิพยานพระยะโฮวา เพื่อตอบสนองความไม่พอใจของพวกเขาจากการแสดงมิวสิกวิดีโอเพลงทริลเลอร์[85][86]

และจากความคาดหวังในเพลงฮิต แจ็กสันออกผลงานครั้งแรกในรอบ 5 ปี ในอัลบั้ม Bad ซึ่งเป็นอัลบั้มที่ถูกคาดหวังอย่างมาก[87]อัลบั้มมี 7 ซิงเกิล ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในสหรัฐอเมริกา ซึ่ง 5 ซิงเกิล ประกอบด้วย ("I Just Can't Stop Loving You" "Bad" "The Way You Make Me Feel", "Man in the Mirror" และ "Dirty Diana") ขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ดฮอต 100 ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกที่มีเพลงอันดับ 1 จากอัลบั้มเดียวมากที่สุด[88] จากข้อมูลปี 2012 อัลบั้มมียอดขายระหว่าง 30-45 ล้านชุดทั่วโลก ซึ่งขายได้ในอเมริกา 9 ล้านชุด[36][89][90] อัลบั้มได้รับ 2 รางวัลแกรมมี่ สำหรับสาขาจัดการเสียงยอดเยี่ยม และสาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม สำหรับเพลง "Leave Me Alone" ในปี 1989 [91][92] ในปีเดียวกัน แจ็กสันได้รับรางวัลพิเศษ "รางวัลแห่งความสำเร็จ" ที่งานอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส เนื่องจาก Bad ถือเป็นอัลบั้มแรกที่มีถึง 5 ซิงเกิล ติดอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา อัลบั้มแรกที่ติดท๊อปใน 25 ประเทศ และเป็นอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดทั่วโลกในปี 1987 และ 1988 เขายังได้รับรางวัล อเมริกันมิวสิกอวอร์ดส สาขาเพลงโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยมจากเพลง "Bad" [93]

ชุดแจ็กเกตสไตล์ทหาร กับแผ่นทองคำ ที่ช่วงชุดอัลบั้ม Bad

ทัวร์คอนเสิร์ตแบดเวิลด์ทัวร์ เริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1987 สิ้นสุดเมื่อวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1989[94] ในญี่ปุ่นเพียงที่เดียว บัตรขายหมดทุกรอบ ทั้ง 14 รอบ กับจำนวนคนถึง 570,000 คน ถือเป็นเกือบ 3 เท่าของสถิติเดิม 200,000 คนในทัวร์เดียวที่มีศิลปินมีทัวร์คอนเสิร์ตในญี่ปุ่น[95] แจ็กสันยังสร้างสถิติในกินเนสบุ๊ก เมื่อคน 504,000 คนเข้าดูโชว์ที่ขายหมดในสนามกีฬาเวมบลีย์ 7 รอบ เขาแสดงคอนเสิร์ตรวมทั้งหมด 123 คอนเสิร์ตกับผู้ชมร่วม 4.4 ล้านคน และยังทำลายสถิติเดิมในกินเนสบุ๊กเมื่อทัวร์ทำรายได้ 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระหว่างทัวร์เขายังได้เชิญเด็กด้อยโอกาสมาเข้าชมฟรีและยังบริจาคเงินให้โรงพยาบาล สถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้า และองค์กรการกุศลอื่น ๆ[94]

แจ็กสันแสดงเพลง "The Way You Make Me Feel"

ในปี 1988 แจ็กสันออกอัตชีวประวัติที่ชื่อ "มูนวอล์ก" ที่ใช้เวลาทำกว่า 4 ปีและขายได้กว่า 200,000 ชุด[96] แจ็กสันเล่าเรื่องเกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่อยู่ร่วมในวงแจ็กสันไฟฟ์ รวมถึงความเจ็บปวดต่อการถูกทารุณในวัยเด็ก[97] เขายังพูดถึงเรื่องศัลยกรรมพลาสติก ว่าเขาศัลยกรรมจมูกสองครั้งและผ่าที่คาง[78] ในหนังสือเขาให้เหตุผลถึงการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์บนใบหน้าของเขา น้ำหนักตัวที่ลดลง การควบคุมอาหารด้วยการเป็นมังสวิรัติ การเปลี่ยนทรงผมและแสงสีบนเวที[78] "มูนวอล์ก" ติดอันดับ 1 บนยอดหนังสือขายดีของ นิวยอร์กไทมส์[98] ต่อมาเขาออกภาพยนตร์ที่ชื่อ "มูนวอคเกอร์" ที่รวบรวมการแสดงสด มิวสิกวิดีโอ และตอนแสดงของแจ็กสันและโจ เพสซี "มูนวอคเกอร์" ติดอันดับ 1 ในสัปดาห์แรกบนชาร์ตบิลบอร์ดท็อปวิดีโอคาสเซตต์ ติดอันดับนาน 22 สัปดาห์ ซึ่งต่อมาก็ถูกโค่นอันดับ 1 โดยผลงานชุด Michael Jackson: The Legend Continues ของเขาเอง[99]

ในเดือนมีนาคม 1988 แจ็กสันซื้อที่ดินใกล้กับ Santa Ynez รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อสร้างเนเวอร์แลนด์ที่มีมูลค่า 17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีชิงช้าสวรรค์ สวนสัตว์ป่า และโรงภาพยนตร์บนเนื้อที่ 2,700 เอเคอร์ (11 ตร.กม.) มีผู้รักษาความปลอดภัย 40 คนบนพื้น ในปี 2003 มีการประเมินค่าเนเวอร์แลนด์ราว 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[27][100] ในปี 1989 รายได้ประจำปีของเขาจากการขายอัลบั้ม โฆษณาและคอนเสิร์ต ตีค่าราว 125 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนั้นปีเดียว[101] และแจ็กสันยังถือเป็นศิลปินตะวันตกคนแรกที่ปรากฏตัวในโฆษณาทางโทรทัศน์ของสหภาพโซเวียต[99]

จากความสำเร็จของเขา ทำให้เขาได้รับฉายา "King of Pop" หรือ "ราชาเพลงป็อป" จากนักแสดงหญิงที่ตั้งชื่อให้เขา เอลิซาเบธ เทย์เลอร์ เธอยังเชิญรางวัลพิเศษ "ศิลปินแห่งทศวรรษ" ให้กับเขาในปี 1989 โดยพูดว่า "ราชาแห่งป็อป ร็อกและโซลตัวจริง"[102][103] ประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช ยังเชิญรางวัล "ศิลปินแห่งทศวรรษ" ให้เขาเป็นพิเศษที่ทำเนียบขาว เพื่อเป็นการสดุดีให้กับอิทธิพลทางด้านดนตรีตลอดคริสต์ทศวรรษ 1980[104] จากปี 1985 ถึง 1990 แจ็กสันบริจาคเงิน 500,000 ดอลลาร์สหรัฐให้กับ United Negro College Fund และผลกำไรจากซิงเกิล "Man in the Mirror" ทั้งหมดก็เข้าการกุศล[105][106]

1991-93: อัลบั้ม Dangerous , มูลนิธิฮีลเดอะเวิลด์ และซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 27

เดือนมีนาคม 1991 แจ็กสันเซ็นสัญญาใหม่กับโซนีเป็นจำนวนเงิน 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการทำลายสถิติมากที่สุดในเวลานั้น แซงหน้าการเซ็นสัญญาใหม่ของนีล ไดอะมอนด์กับโคลัมเบียเรเคิดส์[100] แจ็กสันออกผลงานชุดที่ 8 ชุด เดนเจอรัส ด้วยยอดขายในสหรัฐอเมริกา 7 ล้านชุดและ 32 ล้านชุดทั่วโลก ถือเป็นอัลบั้มเพลงแนวนิวแจ็กสวิงที่ประสบความสำเร็จที่สุดตลอดกาล[36][107][108] ในสหรัฐอเมริกา ซิงเกิลแรกที่ชื่อ "Black or White" ถือเป็นเพลงฮิตที่สุดในอัลบั้ม ติดอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 นาน 7 สัปดาห์ และเช่นเดียวกับทั่วโลกที่ขึ้นอันดับ 1 เช่นกัน[109] ซิงเกิลที่ 2 คือ "Remember the Time" อยู่ในท็อปไฟฟ์นาน 8 สัปดาห์ โดยขึ้นสูงสุดที่อันดับ 3 บนบิลบอร์ดฮอต 100[110] ในปี 1992 อัลบั้มเดนเจอรัส ยังได้รับรางวัลอัลบั้มเพลงที่มียอดขายสูงสุดทั่วโลกของปี และเพลง "Black or White" ก็ยังเป็นซิลเกิลที่ขายดีที่สุดของปีเช่นเดียวกัน แจ็กสันยังได้รับรางวัลสำหรับศิลปินที่มียอดขายมากที่สุดในคริสต์ทศวรรษ 80 อีกด้วย [111]ในปี 1993 แจ็กสันได้ขึ้นแสดงในงานรางวัล โซลเทรน อวอร์ด โดยนั่งเก้าอี้ เขาพูดว่าเขาบาดเจ็บระหว่างการซ้อม[112] ในสหราชอาณาจักรและบางส่วนในยุโรป เพลง "Heal the World" ถือเป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จที่สุดในอัลบั้ม ขายได้ 450,000 ชุดในสหราชอาณาจักร ติดอันดับ 2 นาน 5 สัปดาห์ ในปี 1992[110]

ไฟล์:King-Sani art.jpg
แจ็กสันขณะสวมมงกุฎเป็น "King Sani"

แจ็กสันก่อตั้งมูลนิธิ "ฮีลเดอะเวิลด์ฟาวเดชัน" ในปี 1992 เป็นองค์กรการกุศลที่นำเด็กผู้ด้อยโอกาสมายังสวนสนุกในเนเวอร์แลนด์ มูลนิธิยังได้ส่งเงินนับล้านเหรียญดอลลาร์ไปยังทั่วโลกเพื่อช่วยเหลือเด็กที่ประสบภัยสงครามและโรคร้าย ทัวร์เดนเจอรัสเวิลด์ทัวร์ เริ่มต้น 27 มิถุนายน ค.ศ. 1992 สิ้นสุด 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1993 ทัวร์ทำรายได้มากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แจ็กสันแสดงกว่า 70 คอนเสิร์ตให้กับคนร่วม 3.5 ล้านคน เขาหาเงินทั้งหมดจากคอนเสิร์ตเข้าสู่มูลนิธิกาลกุศล โดยหาเงินได้นับล้านดอลลาร์[110][113] เขายังขายลิขสิทธิ์การออกอากาศของทัวร์เดนเจอรัสเวิลด์ทัวร์ให้กับช่องเอชบีโอ จำนวนเงิน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการสร้างสถิติแพงที่สุดและยังครองสถิติจนถึงปัจจุบัน[114]

หลังจากที่ไรอัน ไวต์เสียชีวิตลงไป แจ็กสันได้เข้าช่วยเหลือผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ซึ่งยังคงเป็นปัญหาในเวลานั้น เขาได้เข้าขอร้องกับคณะบริหารคลินตัน ที่งานกาล่าสาบานตนรับตำแหน่งของบิล คลินตัน ให้มอบเงินมากกว่านี้ให้กับองค์กรเกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์ และการวิจัย[115][116] ในการเยือนแอฟริกา แจ็กสันเข้าไปยังหลายประเทศในแอฟริกา หนึ่งในนั้นคือกาบองและอียิปต์[117] เขาเยี่ยมกาบองเป็นที่แรกและได้รับการต้อนรับอย่างกระตือลือล้น โดยที่มีคนมากกว่า 100,000 คน เข้ามาต้อนรับ บางคนถือป้ายเขียนไว้ว่า " ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ไมเคิล "[117] และในการเยือนไอวอรีโคสต์ แจ็กสันได้รับการสวมมงกุฎเป็น "King Sani" หรือ "ราชาแห่งซานิ" โดยหัวหน้าเผ่า[117] เขากล่าวขอบคุณแขกผู้มีเกียรติในภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษ และทำพิธีลงนามในเอกสารอย่างเป็นทางการในรัชสมัยของเขาและนั่งลงที่บัลลังก์ทองคำ ในระหว่างเป็นประธานพิธีเต้นรำ[117]

ช่วงกลางปี 1992 แจ็กสันได้รับเชิญรางวัลพิเศษในฐานะ "Point of Light Ambassador" หรือ "ฑูตแห่งแสง" จาก ประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช จากการเชื้อเชิญเปิดให้เด็กผู้ด้อยโอกาสเข้าไปเล่นในเนเวอร์แลนด์โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เขายังได้กล่าวขณะรับรางวัลว่า " ผู้คนแต่ล่ะคน สามารถสร้างความแตกต่างให้กับชีวิตของใครบางคนที่จำเป็นได้ " แจ็กสันเป็นศิลปินเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับรางวัลนี้ [118]

หนึ่งในการแสดงอันกล่าวขวัญคือการแสดงช่วงพักครึ่งเวลาในการแข่งขันซูเปอร์โบวล์ ครั้งที่ 27 ของเดือน มกราคม ค.ศ 1993 อันเนื่องมาจากยอดผู้ชมที่น้อยลงในช่วงครึ่งเวลาของปีก่อนๆที่ผ่านมา ทางเอ็นเอฟแอลจึงตัดสินใจแสวงหาผู้ที่มีความสามารถที่จะเรียกจำนวนคนดูมากขึ้น ด้วยการปรากฏตัวของแจ็กสันสำหรับการดึงดูดความสนใจอย่างกว้างขวางของเขา [119] โดยเริ่มการแสดงด้วยการที่แจ็กสันดีดตัวขึ้นบนเวทีพร้อมพลุไฟด้านหลัง ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง เขายังคงนิ่งสนิท แข็งนิ่ง ยืนเป็นอนุสาวรีย์ แต่งตัวในชุดทหารสีดำและทองคำกับแว่นตากันแดด เขายังคงนิ่งสนิทอยู่หลายนาทีขณะที่เสียงเชียร์ยังคงดังลั่น จากนั้นเขาค่อย ๆ เคลื่อนตัวถอดแว่นตากันแดดออกและโยนทิ้งไปจากนั้นก็เริ่มร้องและเต้น กับ 4 เพลงคือ "Jam", "Billie Jean", "Black or White" และ "Heal the World" การแสดงครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนของซูเปอร์โบวล์ และนับเป็นซูเปอร์โบวล์ครั้งแรกที่ทำลายสถิติ มีคนในช่วงครึ่งเวลามากขึ้น โดยมีจำนวนผู้ชมมากกว่าการแข่งขันเอง ส่วนอัลบั้ม เดนเจอรัส ของเขากระโดดขึ้นมา 90 อันดับบนชาร์ต[21]

แจ็กสันได้รับรางวัล "ตำนานที่ยังคงอยู่" ในงานแจกรางวัลแกรมมี่ครั้งที่ 35 ในลอสแอนเจลิส เพลง "Black or White" ถูกเสนอชื่อรางวัลแกรมมี่ในสาขาร้องยอดเยี่ยม ส่วนเพลง "Jam" ถูกเสนอเข้าชิง 2 รางวัลในสาขาแสดงเพลงอาร์แอนด์บียอดเยี่ยมและเพลงอาร์แอนด์บียอดเยี่ยม[110] อัลบั้มเดนเจอรัส ยังได้รับรางวัลแกรมมี่ สาขาบันทึกเสียงยอดเยี่ยม และในปีเดียวกัน แจ็กสันได้รับ 3 รางวัลอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส ในสาขาอัลบั้ม/ป็อป ยอดเยี่ยม เพลงโซล/อาร์แอนด์บียอดนิยม จากเพลง "Remember the Time" และเป็นครั้งแรกที่ชนะรางวัลศิลปินนานาชาติแห่งความเป็นเลิศสำหรับการแสดงระดับโลกและความอาทรด้านมนุษยธรรมของเขา [120]

1993-94: กรณีข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศกับเด็ก และการแต่งงานครั้งแรก

แจ็กสันให้สัมภาษณ์ในรายการยาว 90 นาทีของโอปราห์ วินฟรีย์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1993 ถือเป็นการสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ครั้งที่ 2 ของเขาตั้งแต่ปี 1979 เขาทำหน้าบูดบึ้งขณะพูดถึงชีวิตที่ถูกทารุณด้วยน้ำมือพ่อของเขาในวัยเด็ก เขาเชื่อว่าเขาพลาดความสนุกสนานในชีวิตวัยเด็ก และยอมรับว่าเขามักจะร้องไห้เมื่อโดดเดี่ยว เขาปฏิเสธข่าวลือจากแท็ปลอยด์ที่ว่าเขาซื้อกระดูกมนุษย์ช้างหรือนอนในตู้ออกซิเจน เขาปฏิเสธข่าวที่เขาฟอกสีผิว และยังพูดครั้งแรกว่าเขาเป็นโรคด่างขาว การสัมภาษณ์ครั้งนี้มีผู้ชมอเมริกันถึง 90 ล้านคน ถือเป็นรายการที่มีผู้ชมมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ที่ไม่ใช่รายการประเภทกีฬา ในประวัติศาสตร์อเมริกา และถือเป็นการให้ความรู้เรื่องโรคด่างขาวที่ไม่ค่อยมีใครรู้เท่าไหร่ อัลบั้ม เดนเจอรัส กลับมาเข้าชาร์ทท็อป 10 อีกครั้ง หลังจากที่ออกขายมากกว่า 1 ปี[21][22][110]

แจ็กสันถูกฟ้องร้องจากเรื่องละเมิดทางเพศจากเด็กชายอายุ 13 ปีที่ชื่อ จอร์แดน แชนด์เลอร์และพ่อของเขา อีแวน แชนด์เลอร์ อาชีพทันตแพทย์[121] ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรระหว่างแจ็กสันและอีแวน แชนด์เลอร์เป็นอันจบลง หลังจากนั้นอีแวน แชนด์เลอร์ บันทึกเทปและพูดออกมาว่า "ถ้าฉันจะทำ ฉันชนะครั้งใหญ่ ไม่มีทางที่จะแพ้ ฉันจะได้ทุกสิ่งที่ฉันต้องการและพวกเขาจะถูกทำลายไปตลอดกาล...อาชีพการงานของแจ็กสันก็เป็นอันจบ"[122] โดยกล่าวว่า 1 ปีหลังจากพวกเขาพบกัน ภายใต้สารเสพติดอะโมบาร์บิตาล มาเกี่ยวข้องกับยากดประสาท จอร์แดน แชนด์เลอร์บอกกับพ่อเขาว่าแจ็กสันสัมผัสองคชาตของเขา[123] ทีมกฎหมายของทั้งสองต่างเจรจาตกลงกันเรื่องค่าเสียหาย โดยเสนอการเจรจาโดยแชนด์เลอร์ แต่แจ็กสันก็โต้แย้งการเสนอมา จอร์แดน แชนด์เลอร์บอกกับจิตแพทย์และกับตำรวจว่าเขาและแจ็กสัน จูบ สำเร็จความใคร่และทำออรัลเซ็กซ์[124]

หลังจากนั้นจึงมีการตรวจสอบความจริงอย่างเป็นทางการ ในส่วนของแจ็กสัน ไร่เนเวอร์แลนด์ถูกตรวจสอบและมีเด็กหลายคนรวมถึงครอบครัวต่างปฏิเสธว่าแจ็กสันไม่ใช่เป็นพวกชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก [124] ถึงแม้ภาพลักษณ์ที่สนับสนุนที่พี่สาวของเขา ลา โทยา กล่าวหาเขาว่าชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็กก็ตาม แต่เธอก็ถอนคำพูดภายหลัง[125] แจ็กสันยอมถอดเสื้อผ้าให้ตำรวจและแพทย์ตรวจร่างกายของเขา ตรวจสอบลักษณะรายละเอียดของอวัยวะเพศของเขาตามที่จอร์แดนให้การ แพทย์สรุปว่ามีความใกล้เคียงตามคำบอก แต่ก็ไม่ถูกต้องซะทีเดียว[125] เพื่อนของเขาพูดว่าเขาไม่เคยรู้สึกขายหน้าขนาดนี้มาก่อน แจ็กสันพูดเกี่ยวกับครั้งนี้ว่าต่อหน้าสาธารณะและประกาศว่าเขาบริสุทธิ์[121]

แจ็กสันแต่งงานกับลิซา มารี เพรสลีย์ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1994

เขาเริ่มใช้ยาแก้ปวดและยาระงับประสาท อย่าง Valium, Ativan และ Xanax เขาเริ่มใช้ยาเป็นประจำตั้งแต่ที่เขาประสบอุบัติเหตุบนเวทีระหว่างเดนเจอรัสทัวร์ ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1993 เขาก็เข้าสู่อาการติดยา[126] สุขภาพของเขาทรุดตัวลง อย่างส่วนทัวร์เพิ่มเติมของเดนเจอรัสทัวร์ เขาก็ยกเลิกไปเพื่อเข้าการบำบัดในลอนดอนอยู่หลายเดือน โดยมีเอลิซาเบธ เทย์เลอร์และเอลตัน จอห์นมาช่วยอธิบายเกี่ยวกับการหายตัวของเขา[127] ความเครียดต่อข้อกล่าวหาต่าง ๆ เป็นเหตุทำให้เขาหยุดกินและน้ำหนักของเขาลดลงอย่างเห็นได้ชัด[128]จากสุขภาพอันย่ำแย่ เพื่อนของเขาและที่ปรึกษาทางกฎหมายเข้ามาดูและปกป้องผลประโยชน์ด้านการเงินให้กับเขา พวกเขาเรียกร้องให้ออกมาแก้ปัญหาเกี่ยวกับการละเมิดทางเพศเด็กนอกศาล เชื่อว่าเขาคงอยู่ไม่รอดแน่หากมีการพิจารณาที่ยืดยาวออกไป[127][128] 1 มกราคม ค.ศ. 1994 แจ็กสันยอมจ่ายเงิน 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐนอกศาลให้จอร์แดนเพื่อยุติคดีความ แจ็กสันไม่ถูกจับและหยุดการตรวจสอบ โดยอ้างว่าขาดหลักฐาน[129]

เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1994 แจ็กสันแต่งงานกับนักร้อง-นักแต่งเพลง ลิซา มารี เพรสลีย์ บุตรสาวของเอลวิส เพรสลีย์ ทั้งคู่พบกันครั้งแรกในปี 1975 ในช่วงที่ครอบครัวแจ็กสันทำงานอยู่ที่เอ็มจีเอ็มแกรนด์โฮเทลแอนด์คาซิโน และได้มาติดต่อกันอีกครั้งผ่านเพื่อนของทั้งคู่ในต้นปี 1993[130] ทั้งคู่ติดต่อกันทุกวันทางโทรศัพท์ จากกรณีการลวนลามทางเพศกับเด็กเป็นเรื่องราวใหญ่โต แจ็กสันก็มาระบายอารมณ์ความรู้สึกกับลิซา มารี เธอยังเป็นห่วงเกี่ยวกับสุขภาพและปัญหาการติดยาของเขา[126] ลิซา มารีอธิบายว่า "ฉันเชื่อว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดและเขาถูกใส่ร้ายและใช่ ฉันก็เริ่มตกหลุมรักเขาแล้ว ฉันต้องการปกป้องเขา ฉันรู้สึกว่าฉันควรทำอย่างนั้น"[131] จากนั้นไม่นาน เธอพยายามโน้มน้าวแจ็กสันให้ตกลงกันนอกศาลและเข้ารับการบำบัดยา ซึ่งเขาก็ทำตามนั้นทั้งสองอย่าง[126] แจ็กสันพูดคุยกับลิซา มารีทางโทรศัพท์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 1993 ว่า "ถ้าฉันจะขอเธอแต่งงาน จะได้มั๊ย?"[126] เพรสลีย์และแจ็กสันแต่งงานกันที่สาธารณรัฐโดมินิกันเป็นการส่วนตัว[132] ในเวลานั้น แท็ปลอยด์ก็คาดเดาต่าง ๆ เกี่ยวกับงานแต่งงานมีขึ้นเพื่อลบล้างภาพลักษณ์การละเมิดทางเพศ[132] แจ็กสันและเพรสลีย์หย่าร้างกันในอีก 2 ปีต่อมา แต่ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน[133]

1995-99: อัลบั้ม HIStory , การแต่งงานครั้งที่สอง และความเป็นพ่อ

ในปี 1995 แจ็กสันรวมเพลงแคตาล็อกของเขาจากนอร์เทิร์นซองส์เข้ากับโซนี โดย Sony/ATV Music Publishing แจ็กสันครอบครองครึ่งหนึ่งของบริษัท มีรายได้ 95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังมีลิขสิทธิ์เพลงอีกจำนวนหนึ่ง[69][134] จากนั้นเขาออกอัลบั้มคู่ที่ชื่อ HIStory: Past, Present and Future, Book I แผ่นแรกชื่อ HIStory Begins มีเพลง 15 เพลงที่เป็นงานเพลงฮิตจากอัลบั้มเก่าของเขาซึ่งต่อมาถูกทำมารวมใหม่ในชื่อ Greatest Hits – HIStory Vol. I ในปี 2001 ส่วนแผ่นที่ 2 เป็นเพลงใหม่ 15 เพลง อัลบั้มเปิดตัวขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ในสัปดาห์แรกและมียอดขาย 7 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา[135] ถือเป็นอัลบั้มเพลงหลายแผ่นที่ขายดีที่สุดตลอดกาล กับยอดขาย 20 ล้านชุด (40 ล้านหน่วย) ทั่วโลก[109][136] HIStory ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ในสาขาอัลบั้มยอดเยี่ยม[137]

ซิงเกิลแรกถูกปล่อยจากอัลบั้มคือ "Scream/Childhood" ชื่อเพลง "Scream" ที่ร้องร่วมกับน้องสาวคนสุดท้องของครอบครัวเจเน็ต แจ็กสันประท้วงต่อสื่อ โดยเฉพาะสำหรับการปฏิบัติต่อเขาช่วงปี 1993 ที่ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาผิดเพี้ยนต่อสาธารณะ ซิงเกิลเปิดตัวบนชาร์ตที่อันดับ 5 บนบิลบอร์ดฮอต 100 และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขา "การร่วมงานร้องในเพลงป็อปยอดเยี่ยม"[137] "You Are Not Alone" เป็นซิงเกิลที่ 2 ของอัลบั้ม และยังครองสถิติบนกินเนสเวิลด์เรคเคิร์ด สำหรับเพลงแรกที่เปิดตัวติดอันดับ 1 ทันที บนบิลบอร์ดฮอต 100 [101] เพลงประสบความสำเร็จทั้งทางด้านศิลปะและยอดขาย และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขา "เพลงร้องป็อปยอดเยี่ยม" อีกด้วย[137]

แจ็กสันกับงานปฐมทัศน์ครั้งแรกสำหรับมิวสิควีดีโอภาพยนตร์สั้น Ghost ที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 1997

ปลายปี 1995 แจ็กสันถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลระหว่างการซ้อมในการแสดงรายการโทรทัศน์ เนื่องจากเกิดอาการภาวะเครียด[138] "Earth Song" เป็นซิงเกิลที่ 3 ของอัลบั้ม HIStory ขึ้นอันดับ 1 บนยูเคซิงเกิลส์ชาร์ต ยาวนาน 6 สัปดาห์ในช่วงคริสต์มาสปี 1995 มียอดขายมากกว่าล้านชุด ถือเป็นซิงเกิลของแจ็กสันที่ประสบความสำเร็จที่สุดในสหราชอาณาจักร[137] ในปี 1996 แจ็กสันได้รับรางวัลแกรมมี่ สาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม แบบสั้นจากเพลง " Scream" และรางวัลอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส สาขา Favorite Pop/Rock Male Artist [139]

HIStory ยังประสบความสำเร็จต่อพร้อมกับ The HIStory World Tour ทัวร์เริ่มเมื่อ 7 กันยายน ค.ศ. 1996 และจบลงเมื่อ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1997 แจ็กสันแสดงกว่า 82 คอนเสิร์ต โดยออกทัวร์ไป 5 ทวีป ใน35 ประเทศและ 58 เมือง ทำรายได้รวม 165 ล้านเหรียญ ถือเป็นทัวร์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดของแจ็กสันในยอดจำนวนคนดู โดยมีผู้ชมกว่า 4.5 ล้านคน [94] ในช่วงระหว่างทัวร์ HIStory World Tour ในออสเตรเลีย เมื่อ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1996 แจ็กสันแต่งงานกับ เดโบราห์ จีน โรว์ พยาบาลผิวหนังเพื่อนเก่าของเขา ผู้ดูแลรักษาอาการป่วยเมื่อเขาถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคด่างขาวช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 มีลูกด้วยกัน 2 คน ซึ่งต่อมาเธออ้างว่าผู้เป็นพ่อที่แท้จริงไม่ใช่แจ็กสัน เป็นชายนิรนามบริจาคสเปิร์ม[140] บุตรชายคนโตชื่อ ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน จูเนียร์ (หลังจากหย่า ลูกชายเปลี่ยนชื่อเป็น พรินซ์ ไมเคิล แจ็กสัน) และลูกสาวชื่อ แพรีส แคเทอรีน แจ็กสัน[133][141] แต่เดิมพวกเขาไม่มีแผนที่จะแต่งงานกัน แต่เมื่อโรว์ตั้งครรภ์ท้องแรก แม่ของแจ็กสันก็เข้ามาและแนะนำให้พวกเขาแต่งงานกัน[142] ทั้งคู่หย่ากันในปี 1999 แต่ยังคงเป็นเพื่อนกัน โดยโรว์ก็ได้รับสิทธิ์ดูแลเด็กให้แจ็กสัน[143][144]

ในปี 1997 แจ็กสันออกผลงานอัลบั้ม Dance Floor: HIStory in the Mix ที่รวมซิงเกิลรีมิกซ์เพลงดังจากอัลบั้ม HIStory และมีเพลงใหม่ 5 เพลง ออกขายทั่วโลกมียอดขายกว่า 6 ล้านชุด (ข้อมูลปี 2007) ถือเป็นอัลบั้มรีมิกซ์ที่ขายดีที่สุดตลอดกาล และขึ้นอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักร เช่นเดียวกับซิงเกิล "Blood on the Dance Floor" ก็ขึ้นอันดับ 1[145][146] ในสหรัฐอเมริกามียอดขายระดับแผ่นเสียงทองคำขาว แต่ขึ้นชาร์ตสูงสุดเพียงอันดับ 24[36][137] นิตยสารฟอร์บ ระบุรายได้ประจำปีของเขาที่ 35 ล้านเหรียญในปี 1996 และ 20 ล้านเหรียญในปี 1997[100]

ตลอดเดือนมิถุนายน 1999 แจ็กสันมีส่วนร่วมมากมายกับงานการกุศล เขาร่วมกับลูชาโน ปาวารอตตี ในคอนเสิร์ตหาเงินในโมเดนา อิตาลี สนับสนุนโดยองค์กรไม่แสวงหาผลประโยชน์ วอร์ไชลด์ มีผู้ร่วมบริจาคนับล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับผู้ลี้ภัยในโคโซโว เช่นเดียวกับงานหารายได้ให้กับเด็กในกัวเตมาลา[147] ต่อมาในเดือนเดียวกันแจ็กสันริเริ่มคอนเสิร์ต "ไมเคิล แจ็กสันแอนด์เฟรนส์" คอนเสิร์ตหารายได้ในเยอรมนีและเกาหลี มีศิลปินมาร่วมอย่างสแลช วงสกอร์เปี้ยนส์ บอยซ์ทูเมน ลูเธอร์ แวนดรอส มารายห์ แครี เอ.อาร์. ราห์มาน Prabhu Deva Sundaram อานเดรอา โบเชลลี Shobana Chandrakumar และลูชาโน ปาวารอตตี การดำเนินการไปสู่ "Nelson Mandela Children's Fund" กาชาดและยูเนสโก[148]

2000-03: ความขัดแย้งกับค่ายเพลง , อัลบั้ม Invincible และลูกคนที่ 3

ปี 2000 แจ็กสันมีชื่ออยู่ในกินเนสเวิลด์เรคเคิดส์ สำหรับการสนับสนุนองค์การการกุศล 39 หน่วยงาน มากกว่าดาราหรือบุคคลที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ[149] ในเวลานั้นแจ็กสันรอใบอนุญาติจากผลงานอัลบั้มที่จะลับมาเป็นของเขา ที่จะทำให้เขาสามารถประชาสัมพันธ์เพลงเก่าของเขาได้สะดวก และปกป้องจากโซนีที่ตัดรายได้ของเขาไป แจ็กสันคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นในช่วงต้นสหัสวรรษใหม่ อย่างไรก็ตามเนื่องจากในสัญญามีรายละเอียดมากมาย การกลับคืนไปสู่เขาก็ยังคงใช้เวลานานอีกหลายปี แจ็กสันเริ่มการตรวจสอบและปรากฏว่านักกฎหมายของเขาก็เป็นตัวแทนของโซนีเช่นกัน ทำให้เกิดความขัดผลประโยชน์กัน[146] แจ็กสันยังกังวลเกี่ยวกับความจริงที่ว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา โซนีพยายามซื้อหุ้นที่เขาเป็นเจ้าของ โดยแจ็กสันเกรงว่าโซนี่อาจจะมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เนื่องจากหากอาชีพการงานหรือสถานการณ์การเงินของเขาทรุดลง เขาก็อาจจะต้องขายหุ้นส่วนในราคาต่ำ ถึงกระนั้นโซนีก็อาจทำอะไรบางอย่างกับอาชีพของเขา แจ็กสันพยายามหาทางออกตั้งแต่แรกจากสัญญาของเขา[150]

งานศิลปะของไมเคิล แจ็กสัน ขณะเดินบนดวงจันทร์ในเพลง"บิลลี จีน"

เนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปีสำหรับการเป็นศิลปินเดี่ยวของแจ็กสัน ที่งานเฉลิมฉลองคอนเสิร์ตครบรอบ 30 ปีของเมดิสันสแควร์การ์เดน ซึ่งจัดขึ้นในเดือนกันยายน 2001 เขากับพี่น้อง เดอะแจ็กสันไฟฟ์ ได้ปรากฏตัวบนเวทีร่วมกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1984[151] ในงานยังมีการแสดงของศิลปินอย่าง มายย่า อัชเชอร์ วิตนีย์ ฮูสตัน เอ็นซิงก์ และสแลช รวมถึงศิลปินอื่นอีกหลายคน[41] การแสดงนี้เกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายนเพียงหนึ่งคืนจากการโจมตีของผู้ก่อการร้าย [152]หลังจากเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน แจ็กสันเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดงานหาเงินใน "ยูไนเต็ด วีแสตนด์: วอตมอร์แคนไอกีฟ" คอนเสิร์ตเพื่อการกุศล ที่สนามกีฬาอาร์เอฟเคในวอชิงตันดีซี คอนเสิร์ตเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2001 ประกอบด้วยการแสดงจากหลากหลายศิลปิน รวมถึงตัวเขาที่แสดงในเพลง " What More Can I Give" เป็นเพลงสุดท้าย[150]

ผลงานอัลบั้ม Invincible ประสบความสำเร็จ เปิดตัวอันดับ 1 ใน 13 ประเทศและมียอดขายราว 13 ล้านชุดทั่วโลก ยังได้รับแผ่นเสียงทองคำขาวคู่ในสหรัฐอเมริกา[36][109][150] อย่างไรก็ตามยอดขายอัลบั้ม Invincible ถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับผลงานในชุดก่อนเนื่องจากการทำเพลงที่ป็อปน้อยลง การขาดการประชาสัมพันธ์ การไม่ได้รับการสนับสนุนในทัวร์และความขัดแย้งกับค่ายเพลงต้นสังกัด[150] อัลบั้มมี 3 ซิงเกิลคือ "You Rock My World", "Cry" และ "Butterflies" ซิงเกิลหลังไม่มีมิวสิกวิดีโอ แต่ก่อนที่จะออกผลงานอัลบั้ม Invincible แจ็กสันประกาศต่อหน้าประธานโซนีเอนเตอร์เทนเมนต์ ทอมมี มอตโตลา ว่าเขาจะออกจากโซนี[146] ผลคือ ซิงเกิลทั้งหมด การถ่ายทำวิดีโอและการประชาสัมพันธ์ทุกอย่างจากอัลบั้ม Invincible ถูกยกเลิกทันที แจ็กสันจะกล่าวโทษมอตโตลาในเดือนกรกฎาคม ปี 2002 ว่าเป็น "ปีศาจ" และ "เหยียดสีผิว" โดยเขาไม่สนับสนุนต่อศิลปินแอฟริกัน-อเมริกัน ใช้ประโยชน์พวกเขาเพียงเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง[146] เขายังกล่าวโทษมอตโตลา ว่าเขาเรียก ผู้ร่วมงานของเขา เอิร์ฟ กอตตี ว่า "ไอ้มืดอ้วน" (fat nigger)[153] โซนีออกมาโต้เถียงสาเหตุของความล้มเหลวของอัลบั้ม Invincible คือ ขาดการประชาสัมพันธ์ การปฏิเสธการทัวร์ประชาสัมพันธ์ของแจ็กสันในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากในการประชาสัมพันธ์ต้องใช้เงินถึง 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[154]

ในปี 2002 แจ็กสันได้รับเชิญรางวัลครั้งที่ 22 จากอเมริกันมิวสิกอวอร์ดสในฐานะ "ศิลปินแห่งศตวรรษ" [155] ในปีเดียวกัน ลูกคนที่ 3 ของเขาชื่อ พรินซ์ ไมเคิล แจ็กสันที่ 2 (หรืออีกชื่อว่า แบลงเคต) เกิดในปี 2002[156] แจ็กสันไม่เปิดเผยว่ามารดาของลูกคนนี้เป็นใคร แต่เขาก็พูดว่าเด็กคนนี้เป็นผลจากการผสมเทียมจากหญิงอุ้มบุญ โดยสเปิร์มของเขาเอง[144] ในเดือนพฤศจิกายนปีนั้นเอง แจ็กสันนำลูกชายที่ยังแบเบาะมาที่ระเบียงห้องของโรงแรมแอดรอนในเบอร์ลิน โดยมีแฟนเพลงยืนรออยู่ข้างล่าง จากนั้นก็อุ้มทารกด้วยแขนขวา หย่อนตัวทารกห้อยลงนอกระเบียงสูง 4 ชั้น โดยทารกมีผ้าปิดหน้าอยู่ เป็นเหตุทำให้สื่อติเตียนต่อการกระทำครั้งนี้ของเขา แจ็กสันออกมาขอโทษภายหลังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบอกว่า "ถือเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง"[157] ในเดือนพฤศจิกายน 2003 โซนีออกผลงาน "Number Ones" อัลบั้มที่รวมเพลงฮิตของเขา ทั้งซีดีและดีวีดี อัลบั้มมียอดขายระดับแผ่นเสียงทองคำขาวจากการรับรองโดยอาร์ไอเอเอ ในสหราชอาณาจักรได้รับการรับรองแพลทินัมหกครั้ง โดยมียอดขายไม่น้อยกว่า 1.2 ล้านชุด[36][158]

2003-05: กรณีข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศกับเด็กครั้งที่สอง และการพ้นผิด

ในซีรีส์การสัมภาษณ์กับมาร์ติน แบชเชียร์ ออกอากาศปี 2003 ในรายการชื่อ Living with Michael Jackson มีภาพแจ็กสันจับมือและกำลังพูดถึงการนอนกับเกวิน อาร์ซิโว อายุ 13 ปี ซึ่งต่อมาออกมาฟ้องร้องละเมิดทางเพศกับเขา[159] หลังจากนี้รายการออกอากาศไม่นาน แจ็กสันถูกข้อกล่าวหากับคู่กรณี 7 รายเรื่องการลวนลามทางเพศ และ 2 กรณีจากให้สิ่งมึนเมากับอาร์ซิโว[159]

แจ็กสันปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยพูดว่าเป็นการนอนโดยไม่มีเพศสัมพันธ์มาเกี่ยวข้องเป็นเรื่องธรรมชาติ เอลิซาเบธ เทย์เลอร์เข้ามาปกป้องเขา โดยพูดว่า เธออยู่ที่นั่นเมื่อพวกเขาอยู่บนเตียง "ไม่มีสิ่งผิดปกติอะไร" และเธอบอกกับแลร์รี คิง ว่า "ไม่มีการสัมผัสกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ พวกเราหัวเราะกันเหมือนเด็กและดูทีวีวอลต์ดิสนีย์อีกหลายเรื่อง ไม่มีเรื่องผิดปกติเลย"[160] ในระหว่างการสืบสวนแจ็กสันถูกตรวจสอบสุขภาพจิตจาก ดร.สแตน แคตซ์ หมอที่คลุกคลีหลายชั่วโมงกับผู้กล่าวหาด้วย แคตซ์พูดว่า แจ็กสันเหมือนกลับไปเป็นเด็ก 10 ขวบ และไม่มีหลักฐานอะไรระบุว่าเขามีเพศสัมพันธ์กับเด็ก[161] ระหว่าง 2 ปีที่เกิดคดีความ มีรายงานว่าแจ็กสันติดยาเพทิดีน และน้ำหนักลดฮวบ การพิจาณาคดีความเริ่มเมื่อวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2005 ในแซนตามาเรีย รัฐแคลิฟอร์เนีย ใช้เวลานานถึง 5 เดือน จบลงปลายเดือนพฤษภาคม โดยแจ็กสันพ้นข้อกล่าวหาทั้งหมด [162][163][164] หลังจากนั้นเขาก็ย้ายไปอยู่เกาะในอ่าวเปอร์เซีย บาห์เรน โดยเป็นแขกของชีค อับดุลลา[165]

2006-09: เนเวอร์แลนด์ ช่วงบั้นปลายชีวิต และการประกาศคอนเสิร์ต This Is It

แจ็กสันกับลูกชายของเขา ที่ ดิสนีย์แลนด์ ปารีส ปี 2006

ข่าวเกี่ยวกับปัญหาด้านการเงินของแจ็กสันเริ่มมีบ่อยขึ้นในปี 2006 หลังจากที่บ้านที่ไร่เนเวอร์แลนด์ถูกปิดเพื่อลดค่าใช้จ่าย[166] หนึ่งในปัญหาใหญ่ของเขาคือหนี้สินจำนวน 270 ล้านเหรียญซึ่งเขาไม่สามารถชำระคืนตามเวลา หนี้ก้อนนี้ถูกปรับโครงสร้างและย้ายจากธนาคารแห่งอเมริกาไปยังกลุ่มฟอร์ตเทรสอินเวสต์เมนต์ โซนียื่นข้อเสนอซึ่งทำให้แจ็กสันสามารถกู้เงินได้อีก 300 ล้านเหรียญ และได้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ แลกเปลี่ยนกับการที่โซนีจะสามารถซื้อสิทธิครึ่งหนึ่งที่แจ็กสันมีต่ออัลบัมเพลงที่ทั้งสองถือร่วมกัน (ทำให้แจ็กสันเหลือสิทธิเพียงร้อยละ 25)[134] แจ็กสันตกลงข้อเสนอปรับโครงสร้างหนี้ของโซนี แต่รายละเอียดของข้อตกลงนั้นไม่ถูกเปิดเผย[167] อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากนิตยสารฟอร์บรายงานว่าแม้ว่าเขาจะมีหนี้สินเหล่านี้ แจ็กสันก็ยังคงทำเงินมากถึง 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีจากการยอดถือลิขสิทธิ์ผลงานเพลงร่วมกับโซนีเพียงอย่างเดียว[168]

แจ็กสันได้รับเชิญรางวัลไดอะมอนด์อวอร์ดเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2006 จากยอดขายอัลบั้มมากกว่า 100 ล้านชุดที่งานเวิลด์มิวสิกอวอร์ดส[109] หลังจากการเสียชีวิตของเจมส์ บราวน์ แจ็กสันเดินทางกลับสหรัฐอเมริกาเพื่อสดุดีเขา เขากับคนร่วม 8,000 คน เข้าร่วมงานศพเมื่อ 30 ธันวาคม ค.ศ. 2006[169] หลายปี 2006 แจ็กสันเห็นว่าเขาควรให้เดบบี โรว์ อดีตภรรยา มีสิทธิ์เลี้ยงดูลูกสองคนแรกของเขา[170] แจ็กสันและโซนีซื้อ Famous Music LLC จากเวียคอมในปี 2007 มีข้อตกลงจะให้ลิขสิทธิ์เพลงของเอ็มมิเน็ม ชาคีร่า และเบ็ก รวมถึงอื่น ๆ[171]

การฉลองครบรอบ 25 ปีของอัลบั้ม Thriller โดยการออกอัลบั้มพิเศษ Thriller 25 ที่มีเพลงที่ไม่เคยออกที่ไหนมาก่อนคือ "For All Time" และรีมิกซ์หลาย ๆ เพลงร่วมกับศิลปินรุ่นใหม่ ๆ ที่มีอิทธิพลต่อพวกเขา อัลบั้มชุด Thriller 25 ยังมีดีวีดี มีซิงเกิลรีมิกซ์ 2 เพลงคือ "The Girl Is Mine 2008" และ "Wanna Be Startin' Somethin' 2008" โดย Thriller 25 ติดชาร์ตขึ้นอันดับ 1 ใน 8 ประเทศในยุโรป และติดอันดับ 3 ในสหราชอาณาจักรและท็อป 10 มากกว่า 30 ชาร์ตทั่วโลก[172][173][174] แต่ก็ไม่เข้าชาร์ตบิลบอร์ด 200 เนื่องจากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของชาร์ตแต่ติดอันดับ 1 ในชาร์ตป็อปแคตตาล็อก นาน 11 สัปดาห์และมียอดขายดีที่สุดในชาร์ตนี้นับตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 1996[175][176][177] ใน 12 อาทิตย์ Thriller 25 ขายได้มากกว่า 3 ล้านชุดทั่วโลก[178] Thriller 25 ยังเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในแคตตาล็อกอัลบั้มปี 2008[177] หลังจากการเสียชีวิตของแจ็กสัน อัลบั้มมียอดขายอีก 774,000 ชุดในสหรัฐอเมริกา[179]

เพื่อฉลองอายุครบ 50 ปีของไมเคิล แจ็กสัน โซนีบีเอ็มจี ออกอัลบั้มรวมเพลงในชุดที่ชื่อ King of Pop เป็นชุดอัลบั้มที่มีเพลงต่าง ๆ ตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นกลุ่มจนถึงเป็นศิลปินเดี่ยว เพลงเลือกจากการลงคะแนนเสียงโดยแฟนเพลง โดยแต่ละประเทศจะมีรายชื่อเพลงที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการลงคะแนนของแฟนเพลงประเทศนั้น[180][181] King of Pop ติดท็อป 10 โดยมากในประเทศส่วนใหญ่ที่ออกขาย และขายได้ทั้งในรูปแบบอัลบั้มนำเข้าในหลายประเทศ[182][183]

ฟอร์ตเทรสอินเวสต์เมนต์ยึดทรัพย์จากการค้ำประกันของไร่เนเวอร์แลนด์ ที่แจ็กสันได้กู้เงินไปใช้มากกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามฟอร์ตเทรสเลือกที่จะขายหนี้ของแจ็กสันให้กับ Colony Capital LLC. ในเดือนพฤศจิกายน โดยได้เปลี่ยนชื่อไร่เนเวอร์แลนด์เป็น Sycamore Valley Ranch Company LLC ที่เป็นการร่วมกันระหว่างแจ็กสันและ Colony Capital LLC. การตกลงครั้งนี้ถือเป็นการลบล้างหนี้ของเขาและมีรายงานว่ามีเงินเพิ่มอีกกว่า 35 ล้านเหรียญจากการร่วมทุนกันครั้งนี้ ในเวลาที่เขาเสียชีวิต แจ็กสันก็ยังคงเป็นเจ้าของเนเวอร์แลนด์/ไซคามอร์วัลเลย์อยู่ แต่ก็ยังไม่แน่ชัดว่ามีขอบเขตเท่าใด[184][185][186]

เดือนมีนาคม ค.ศ. 2009 แจ็กสันได้ประกาศจะจัดคอนเสิร์ต ดิส อิส อิทโอทู อารีนา กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งถือเป็นคอนเสิร์ตใหญ่อย่างเป็นทางการครั้งแรกนับตั้งแต่ HIStory World Tour โดยแรกเริ่มจัดเพียง 10 รอบ แต่ด้วยแฟนเพลงที่ให้ความสนใจคอนเสิร์ตนี้เป็นอย่างมาก ทางผู้จัดจึงได้เพิ่มรอบเป็น 50 รอบ โดยทำลายสถิติขายบัตรคอนเสิร์ต มากกว่า 1ล้านใบในเวลาไม่ถึง 2 ช.ม โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 และสิ้นสุดลงวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2010[187] โดยจะมีผู้ชมมากกว่า 1 ล้านคน จัดขึ้นที่โอทูอารีนา ในช่วงงานแถลงข่าวทัวร์คอนเสิร์ต เขาได้ถูกตั้งข้อสงสัยในความเป็นไปได้ว่าจะลามือ เขาพูดถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับผลงานของเขาหลังจากนี้ว่าเป็น "การปิดม่านครั้งสุดท้าย" [188] แรนดี ฟิลิปส์ ประธานและซีอีโอ ของเออีจีไลฟ์ กล่าวว่า แค่ใน 10 วันแรกอย่างเดียว แจ็กสันก็จะได้เงินโดยประมาณ 50 ล้านปอนด์[189]

การเสียชีวิตและงานรำลึก

25 มิถุนายน ค.ศ. 2009 แจ็กสันล้มลงที่คฤหาสน์ที่เขาเช่าอยู่ที่ 100 นอร์ธคาโรลวูดไดรฟ์ เขตโฮล์มบีฮิลส์ ในลอสแอนเจลิส จากความพยายามนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพโดยแพทย์ส่วนตัวของเขาแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ[190] ตำรวจดับเพลิงได้รับแจ้งจาก 911 เมื่อเวลา 12:22 น. หลังจากนั้น 3 นาทีจึงถึงที่อยู่ของแจ็กสัน[191][192] ได้รับการรายงานว่าเขาหยุดหายใจและได้พยายามช่วยเหลือเขาด้วยการนวดหัวใจผายปอดกู้ชีพอีกครั้งหนึ่ง[193] แต่ก็ยังคงมีการปั๊มหัวใจอย่างต่อเนื่องที่ศูนย์การแพทย์โรนัลด์ เรแกน มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส จากนั้น 1 ชั่วโมงหลังถูกส่งตัวมา จึงมีการประกาศว่าแจ็กสันเสียชีวิตเมื่อเวลา 14 นาฬิกา 26 นาที ตามเวลาท้องถิ่น [194] หรือเวลา 4 นาฬิกา 26 นาที ของวันที่ 26 มิถุนายน ตามเวลาประเทศไทย

แฟนๆ วางดอกไม้และข้อความรำลึกบนดาวฮอลลีวูดวอล์กออฟเฟมในวันที่เขาเสียชีวิต

หลังจากที่มีการประกาศยืนยัน การเสียชีวิตของแจ็กสันก่อให้เกิดความเสียใจไปทั่วทุกมุมโลก มีการออกแถลงการไว้อาลัยในประเทศต่างๆ[195] เนื้อข่าวได้มีการแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วทางออนไลน์ ก่อให้เกิดการสัญจรล่าช้าทางอินเตอร์เน็ต ผู้ค้นหาข่าวจากกูเกิล นิวส์ ต่างประสบความยากลำบากในการค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับไมเคิล แจ็คสัน และกลับต้องพบกับหน้าที่ผิดพลาด ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าว ตรงกับช่วงที่ไมเคิล แจ็ค ถูกประกาศว่าเสียชีวิตพอดี แนวโน้มการใช้เว็บไซด์ กูเกิล ได้แสดงให้เห็นว่า ผลการค้นหาไมเคิล แจ็คสัน ได้พุ่งขึ้นอยู่ในระดับที่เรียกว่า " ร้อนแรง " ที่เรียกว่า " โวเคนิค " หรือ ภูเขาไฟ ทั้ง เว็บไซด์อย่าง TMZ และ Los Angeles Times ต่างประสบปัญหากับช่วงเวลาที่หายไป[196] กูเกิล ไม่ใช่เว็บท่าเพียงแห่งเดียวที่มีคนหลั่งไหลเข้าไปค้นหาข้อมูล เว็บท่าที่ให้บริการบล็อคสั้น ทวิตเตอร์ ต้องเผชิญกับคลื่นมหาชนชาวเน็ตที่หลั่งไหลเข้าไปใช้บริการ การค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับแจ็คสัน พุ่งขึ้นพรวดพราด รวมถึงการอัพเดทข้อมูล แต่การที่คนเข้าไปใช้พร้อมกันเป็นจำนวนมาก ก็ทำให้เว็บล่มไปโดยปริยาย เอโอแอล ผู้ให้บริการข้อมูลทางเครือข่ายมัลติมีเดีย กล่าวถึงปรากฏการณ์นี้ว่า "นับเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ทางอินเตอร์เน็ต เราไม่เคยเห็นขอบเขตแห่งความล้ำลึกอะไรแบบนี้มาก่อน" [197]

กราฟิกที่แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นสูงอย่างมากในการเข้าใช้เครื่องมือค้นหาของกูเกิ้ลสำหรับคำค้นหา "ไมเคิล แจ็กสัน" เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ 2009 ณ เวลาที่การเสียชีวิตของเขาได้รับการประกาศยืนยันอย่างเป็นทางการ

พิธีไว้อาลัยจัดขึ้นเมื่อ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 ที่สเตเปิลส์ เซ็นเตอร์ ในลอสแอนเจลิส โดยก่อนหน้านี้มีพิธีส่วนตัวของครอบครัวที่ฮอลออฟลิเบอร์ตีในฟอเรสต์ลอว์นเมโมเรียลพาร์ก และเนื่องจากความต้องการเข้าร่วมงานที่สูง ทางผู้จัดพิธีจึงกำหนดให้มีการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์เพื่อขอรับบัตรเข้าร่วมพิธีไว้อาลัย เป็นเวลา 2 วันก่อนเริ่มงานพิธี โดยมีการสุ่มแจกบัตรให้แก่แฟนๆจำนวน 8,750 ชื่อ จากการลงทะเบียน 1.6 ล้านคน สถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ ทั่วโลกต่างถ่ายทอดงานพิธีอาลัยจากสเตเปิลส์ เซ็นเตอร์ โดยมีผู้ชมมากกว่า พันล้านคน [198]

มีศิลปินมาร่วมงานอย่าง สตีวี วันเดอร์ ไลโอเนล ริชชี มารายห์ แครี เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน อัชเชอร์ เจอร์เมน แจ็กสัน และชาฮีน จาฟาร์โกลี ที่ร้องเพลงในงาน ส่วนเบอร์รี กอร์ดี และสโมกี โรบินสัน กล่าวคำสรรเสริญ ขณะที่ควีน ลาติฟาห์ อ่านกลอน "พวกเรามีเขา" ประพันธ์โดยมายา อันเกลู[199] บาทหลวงอัล ชาร์ปตัน ทำให้ผู้คนยืนลุกปรบมือเมื่อเขาพูดกับลูก ๆ ของแจ็กสันว่า " ไม่มีอะไรแปลกเกี่ยวกับพ่อของหนู ที่น่าแปลกคือสิ่งที่เขาต้องเผชิญต่างหาก แต่เขาก็รับมือกับมันได้ "[200] สิ่งที่น่าจดจำได้ดีที่สุดเมื่อ บุตรสาวของแจ็กสัน แพรีส แคเทอรีน แจ็กสัน อายุ 11 ปี ร่ำไห้และบอกกับผู้คนทั้งโลกว่า "ตั้งแต่ที่หนูเกิดมา พ่อเป็นพ่อที่ดีที่สุดเกินกว่าที่คุณจะจินตนาการได้... หนูแค่อยากจะบอกว่า หนูรักเขามากเหลือเกิน"[201]

ในเวลาต่อมาสำนักข่าวหลายแหล่งข่าวให้ข้อมูลไม่ระบุที่มาว่าเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพลอสแอนเจลิสตัดสินใจระบุว่าการเสียชีวิตของไมเคิล แจ็กสันเป็นการถูกฆาตกรรม[202][203] ในเวลาที่เสียชีวิต แจ็กสันถูกให้โปรโพฟอล ยานอนหลับที่ชื่อว่า โลราซีแปม (lorazepam) และยามิดาโซแลม (Midazolam)[204]พนักงานสอบสวนกำลังจะสรุปสำนวนการสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับ นายแพทย์คอนราด เมอร์เรย์ แพทย์ประจำตัวของไมเคิล แจ็กสัน ในข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายต่อไป[205] ร่างของแจ็กสันถูกฝังที่ สุสานฟอเรสต์ลอว์น เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2009 [206]

ผลงานหลังเสียชีวิต

หลังจากการเสียชีวิตของเขา แจ็กสันกลายเป็นศิลปินที่มียอดขายสูงสุดในปี 2009 ด้วยยอดขายมากกว่า 8.2 ล้านชุด เฉพาะในสหรัฐอเมริกา และ 35 ล้านชุดทั่วโลก ในช่วงระยะเวลา 12 เดือนหลังการเสียชีวิต แจ็กสันกลายเป็นศิลปินคนแรกที่มียอดขายดาวน์โหลดเพลงมากกว่าล้านชุดภายใน 1 สัปดาห์ ทำลายสถิติของเขา ด้วย 2.6 ล้านการดาวน์โหลดเพลง สามในห้าอัลบั้มเพลงของเขา สามารถทำยอดขายได้มากกว่าอัลบั้มเพลงใหม่ของศิลปินคนอื่นๆ เขายังเป็นศิลปินคนแรกที่มีถึงสี่อัลบั้ม ติดท๊อปขายดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา ในระยะเวลาเพียงปีเดียวเท่านั้น [207]

ซิงเกิล "This Is It" ออกเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 2009 จากผลงานอัลบั้มในชื่อเดียวกัน This Is It ที่ออกขายทั่วโลกวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 2009 และในอเมริกาเหนือในวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 2009 ก่อนภาพยนตร์สารคดี Michael Jackson's This Is It ออกฉาย 1 วันที่ภาพยนตร์ทำสถิติเป็นภาพยนตร์สารคดีหรือคอนเสิร์ตที่ทำรายได้มากที่สุดตลอดกาลด้วยรายได้มากกว่า 252 ล้านเหรียญทั่วโลก[208] โดยเพลงใหม่นี้มี 2 เวอร์ชัน ทีอัลบั้มนี้ยังมีเพลงฮิตเก่า ๆ ของเขาซึ่งปรากฏในภาพยนตร์เช่นกัน

ในปี 2010 โซนี่มิวสิกเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ตกลงทำสัญญากับกองทุนจัดการมรดก เกี่ยวพันกับการผลิต และจัดจำหน่ายผลงานทั้งอัลบั้มเพลง วีดีโอเกม ภาพยนตร์รวม 10 โครงการ รวมถึงเพลงที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน ไปจนถึงปี 2017 ด้วยมูลค่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นสัญญาที่มีมูลค่าสูงที่สุดที่เคยมีมาในวงการดนตรี[209] มีการจัดหน่ายเกมส์ที่ผสมผสานการร้อง เต้น โดยแจ็กสัน ในชื่อว่า ไมเคิลแจ็กสัน: ดิเอกซพีเรียนซ์ ในรูปแบบของเครื่องเล่นวิดีโอเกมนินเทนโด ดีเอส, เพลย์สเตชันพอร์เทเบิล และวี

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2010 โซนีมิวสิกได้ออกแถลงข่าวการวางจำหน่ายผลงานชิ้นใหม่ ชื่ออัลบั้ม ไมเคิล เป็นรวมผลงานบันทึกเสียงของไมเคิล แจ็กสันที่ไม่เคยนำออกเผยแพร่ที่ใดมาก่อน มีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 14 ธันวาคม โดยจะมีซิงเกิลชื่อ Breaking News ออกเผยแพร่ทางเว็บไซต์ MichaelJackson.com ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2010 [210] ก่อนหน้าผลงานชิ้นนี้จะออกจำหน่าย บุคคลผู้ใกล้ชิดไมเคิล แจ็กสันหลายคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นการไม่เหมาะสม ที่จะนำผลงานที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ของแจ็กสันออกเผยแพร่ อาทิเช่น ทนายความของโจ แจ็กสัน บิดาของไมเคิล [211] วิล.ไอ.แอม ที่บันทึกเสียงงานร่วมกับไมเคิล แจ็กสัน ก่อนจะเสียชีวิตออกมาระบุว่าเป็นการ "ไม่ให้ความเคารพ" ผู้ตาย [212]

แนวเพลงและการแสดง

ธีมและแนวเพลง

สตีฟ ฮิวอีแห่งออลมิวสิก พูดว่า ตลอดการเป็นนักร้องเดี่ยว ความสามารถรอบด้านของเขาทำให้เขาได้ทดลองแนวเพลงที่หลากหลาย[213] ในฐานะนักดนตรีแล้ว เขาสามารถทำได้ตั้งแต่เพลงเต้นรำแบบโมทาวน์และบัลลาด ไปถึงเทคโนและเฮาส์ นิวแจ็กสวิง เพื่อนำมารวมกับดนตรีแบบจังหวะเพลงฟังก์และกีตาร์ฮาร์ดร็อก[27] ตัวเขาเองเคยกล่าวก่อนการออกผลงานชุด Off the Wall ว่า ลิตเทิล ริชาร์ด มีอิทธิพลให้กับเขาอย่างมาก[214]

ต่างจากศิลปินอื่น แจ็กสันไม่ได้เขียนเพลงบนกระดาษ เขาจะคอยสั่งการใส่เครื่องบันทึกเสียงแทน เมื่อเริ่มอัดเสียงเขาจะร้องจากความจำ[33][215]ในขณะเมื่อแต่งเพลง เขาจะเริ่มทำเสียงบีตบ็อกซ์และใช้เสียงตัวเองเป็นเครื่องดนตรีแทนจังหวะมากกว่าใช้อุปกรณ์ [216] มีนักวิจารณ์หลายคนสังเกตว่า Off the Wall เป็นงานที่มีทั้ง ฟังก์ ดิสโก้-ป็อป โซล ซอฟต์ร็อก แจ๊ซ และป็อปบัลลาด[213][217][218] ตัวอย่างเพลงที่โดดเด่นเช่น เพลงบัลลาด ใน "She's out of My Life" และ 2 เพลงในแนวดิสโก้อย่าง "Workin' Day and Night" และ "Get on the Floor"[217]

แจ็กสันในปี 1988 ที่ประเทศออสเตรีย ระหว่างแสดงคอนเสิร์ต Bad World Tour

ฮิวอียังกล่าวว่า Thriller กลั่นกรองเอาจุดแข็งจาก Off the Wall ไม่ว่าจะเพลงแดนซ์และร็อกก็ดูแข็งกร้าวขึ้น ขณะที่เพลงป็อปและเพลงบัลลาดจะดูอ่อนและเต็มไปด้วยอารมณ์ขึ้น[213]เพลงที่โดดเด่นเช่น เพลงบัลลาด "The Lady in My Life" "Human Nature" และ "The Girl Is Mine" ส่วนเพลงฟังก์เช่น "Billie Jean" และ "Wanna Be Startin' Somethin'" และดิสโก้อย่าง "Baby Be Mine" และ "P.Y.T. (Pretty Young Thing)"[213][219][220][221] สำหรับอัลบั้ม Thriller แล้ว คริสโตเฟอร์ คอนเนลลีจากนิตยสารโรลลิงสโตน วิจารณ์ไว้ว่า แจ็กสันได้พัฒนาจากธีมในจิตใต้สำนึกที่เกี่ยวกับความหวาดระแวงและความมืดมน[221] ซึ่งสตีเฟน โทมัส เออร์เลไวน์ เสริมว่า สามารถเห็นอย่างชัดเจนในเพลง "Billie Jean" และ "Wanna Be Startin' Somethin'" [220] ในเพลง "Billie Jean" แจ็กสันพูดเกี่ยวกับแฟนเพลงที่บ้าคลั่งที่กล่าวหาว่าเขาเป็นพ่อของลูกของเธอ[213] ในเพลง "Wanna Be Startin' Somethin'" เขาโต้ข่าวซุบซิบและสื่อ[221] ส่วนเพลง "Beat It" ที่พูดถึงการต่อต้านความรุนแรงของแก๊งค์อันธพาลในแนวเพลงร็อก ก็เป็นการคารวะต่อหนัง West Side Story และถือเป็นเพลงข้ามแนวในลักษณะร็อกที่ประสบความสำเร็จเป็นเพลงแรก จากคำกล่าวของ ฮิวอี[27][213] เขายังสังเกตว่าเพลง "Thriller" แสดงให้เห็นว่าแจ็กสันเริ่มสนใจเรื่องไสยศาสตร์ ซึ่งต่อมาก็มีเขาก็แต่งเพลงเนื้อหาดังกล่าวอีก[213] ในปี 1985 แจ็กสันร่วมเขียนเพลงการกุศลที่ชื่อ "We Are the World" ซึ่งการแต่งเพลงรูปแบบดังกล่าวเขาก็นำมาใส่ในเนื้อเพลงและเป็นเรื่องที่เขาสนใจเป็นการส่วนตัวในเวลาต่อมา[213]

ในอัลบั้ม Bad ได้แนวความคิดจากคนรักของคนอื่น สามารถเห็นได้จากเพลงร็อกอย่าง "Dirty Diana"[222] ส่วนซิงเกิลแรก "I Just Can't Stop Loving You" เป็นเพลงรักทั่วไปแบบดั้งเดิม ขณะที่เพลง "Man in the Mirror" เป็นเพลงรักเกี่ยวกับการสารภาพรักและความตั้งใจอย่างแน่วแน่[87]"Smooth Criminal" เป็นเพลงที่พูดถึงการถูกทำร้ายการข่มขืนและเป็นไปได้ว่าอาจพูดถึงฆาตกรรม[87] สตีเฟน โทมัส เออร์เลไวน์ จากออลมิวสิก พูดว่า Dangerous นำเสนอแจ็กสันในลักษณะตัวตนที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง[223] เขาวิจารณ์ว่า อัลบั้มนี้มีความหลากหลายมากกว่า Bad อัลบั้มก่อนหน้านี้ ที่ดึงดูดกลุ่มคนในเมืองขณะที่ก็สะดุดหูกับชนชั้นกลาง อย่างเพลง "Heal the World"[223] ครึ่งแรกของอัลบั้มเป็นแนวนิวแจ็กสวิง มีเพลงอย่าง "Jam" และ "Remember the Time"[224]และยังถือเป็นอัลบั้มแรกของแจ็กสันที่พูดถึงปัญหาความเจ็บป่วยทางสังคมอย่างเพลง "Why You Wanna Trip on Me" ที่พูดถึงการท้วงต่อโลกแห่งความหิวโหย เอดส์ การไร้ที่อยู่อาศัย และยาเสพติด[224] Dangerous ยังมีเพลงที่พูดถึงในเรื่องทางเพศอย่าง "In the Closet" เพลงรักที่พูดถึงความต้องการและการปฏิเสธ ความเสี่ยงและการข่มอารมณ์ การอยู่โดดเดี่ยวและการติดต่อกัน ความเป็นส่วนตัวและการเปิดเผย[224] ส่วนเพลงชื่อเดียวกับอัลบั้ม ก็ยังพูดถึงคนรักและความต้องการ[224] ส่วนครึ่งหลังของอัลบั้มเป็นแนวป็อป-กอสเปล อย่าง "Will You Be There", "Heal the World" และ "Keep the Faith" ซึ่งเพลงเหล่านี้เป็นเพลงที่เปิดเผยที่ปัญหาส่วนตัว การต่อสู้และความกังวล[224] ส่วนเพลงบัลลาด "Gone Too Soon" เป็นเพลงที่เขาอุทิศให้กับเพื่อนของเขาไรอัน ไวต์และผู้ป่วยโรคเอดส์[225]

ไฟล์:Michaël Jackson.JPG
รูปปั้นของไมเคิล แจ็คสัน ที่พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซ

ในอัลบั้มชุด HIStory ได้สร้างบรรยากาศแบบหวาดระแวง[226] เนื้อหามุ่งเน้นไปที่การทนทุกข์ทรมานและการดิ้นรนต่อสาธารณะ ที่ลงเนื้อหาในเพลงแนวนิวแจ็กสวิง-ฟังก์-ร็อก อย่าง "Scream" และ "Tabloid Junkie" รวมถึงเพลงอาร์แอนด์บีหวานซึ้งอย่าง "You Are Not Alone" แจ็กสันตอบโต้ต่อความอยุติธรรมและความรู้สึกแปลกแยกที่เขารู้สึก และมุ่งไปที่ความโกรธต่อสื่อ[227] ในเพลงบัลลาดอย่าง "Stranger in Moscow" แจ็กสันโศกเศร้าต่อความไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไป ขณะที่เพลงอย่าง "Earth Song", "Childhood", "Little Susie" และ "Smile" ถือเป็นเพลงโอเปราแบบป็อป[226][227] ในเพลงที่ชื่อ "D.S." แจ็กสันพูดจู่โจม ทอม สเนดดอน เขาพูดถึงสเนดดอนว่า เป็นพวกที่เห็นสายเลือดผิวขาวสูงส่งกว่าใคร ๆ "เขาต้องการให้ฉันไม่อยู่หรือตาย" เกี่ยวกับเพลงสเนดดอนพูดว่า "ผมเปล่า— เราพูดหรือเปล่า— ช่วยให้เกียรติเขาหน่อยโดยการฟังเพลง แต่ผมบอกแล้วสุดท้ายก็จบลงด้วยเสียงปืน"[228] Invincible เป็นผลงานที่เขาทำงานอย่างหนักกับโปรดิวเซอร์ รอดนีย์ เจอร์กินส์[213]มีเพลงแนวเออเบินโซลอย่าง "Cry" และ "The Lost Children" เพลงบัลลาดอย่างเช่น "Speechless", "Break of Dawn" และ "Butterflies" และเพลงรวมหลากหลายแนวเพลงอย่างฮิปฮอป ป็อป แร็ป ในเพลง "2000 Watts", "Heartbreaker" และ "Invincible"[229][230]

เสียงและสไตล์การร้อง

แจ็กสันเริ่มร้องเพลงตั้งแต่ยังเด็ก เสียงของเขาและแนวทางการร้องเพลงก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะจากเสียงแตกหนุ่มหรือความพอใจส่วนตัวในการตีความต่อแนวเพลงและธีมที่เขาเลือกที่จะแสดงออก ในระหว่างปี 1971 และ 1975 เสียงของแจ็กสันเป็นเสียงโซปราโนของเด็กผู้ชายไปทางเสียงเทอเนอร์สูงของเสียงชาย-หญิง[231]ต้นปี 1973 เขาได้ดัดแปลงเสียงแบบสะอึกเข้าไป โดยได้ยินครั้งแรกจากเพลง "It's Too Late to Change the Time" กับวงแจ็กสันไฟฟ์ ในอัลบั้ม G.I.T.: Get It Together[232] ถึงแม้ว่าแจ็กสันจะไม่ได้ใช้เสียงลักษณะสะอึกอย่างมากมาย แต่ต่อมาผลงานอัลบั้มชุด Off the Wall สามารถพบได้มากในวิดีโอเพลง "Shake Your Body (Down to the Ground)" จุดประสงค์ของการทำเสียงแบบสะอึก เหมือนกับเป็นการกลืนอากาศหรืออ้าปาก เพื่อช่วยเพิ่มอารมณ์ ไม่ว่าจะตื่นเต้น เศร้าหรือกลัว[29] และกับผลงานในปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 ชุด Off the Wall ความสามารถในการร้องของเขาก็เป็นที่เด่นชัด ออลมิวสิกเขียนไว้ว่า "เสียงร้องอันเป็นพรสวรรค์อย่างเป็นที่สุด"[217] ขณะที่นิตยสารโรลลิงสโตน เปรียบเทียบเสียงเขากับสตีวี วันเดอร์ว่า "ร้องหายใจขัด ร้องตะกุกตะกักแบบเรียบ ๆ" การวิเคราะห์ถึงเสียงร้องว่า "น้ำเสียงของแจ็กสันเป็นเสียงเทเนอร์ที่อ่อนนุ่ม ที่สวยงามมาก ลื่นไปอย่างนุ่มนวลสู่เสียงสูงอย่างน่าตกใจ ใช้ได้อย่างกล้าหาญ"[218] และในปี 1982 เมื่อออกผลงาน Thriller นิตยสารโรลลิงสโตนให้ความเห็นการร้องว่า "เสียงผู้ใหญ่เต็มตัว" ที่ "แหลมสูงด้วยความเศร้า"[221]

ในการออกผลงานชุด "Bad" ในปี 1987 เห็นได้ว่าเสียงร้องนำบนท่อนร้องอย่างกล้าหาญ และโทนที่เบาลงที่ใช้บนท่อนคอรัส[32] การตั้งใจในการออกเสียงผิดของคำว่า "คัมมอน" (อังกฤษ: come on) ก็ใช้บ่อยที่ออกเสียง เป็นเสียง เชมอน (cha'mone) หรือชามอน (shamone) ที่เป็นส่วนสำคัญในการแสดงออกและเหมือนเป็นภาพลักษณ์ของเขา[233] จนในคริสต์ทศวรรษ 1990 จากการออกผลงานชุด Dangerous แจ็กสันใช้เสียงร้องเพิ่มขึ้นเพื่อแยกแนวเพลงและธีมของเพลง นิวยอร์กไทมส์ เขียนไว้เกี่ยวกับบางเพลงว่า "เขากลืนลมเข้าไปกับเสียงร้องที่สั่นและกระตือรือร้น หรือต่ำลงไปเป็นเสียงกระซิบที่สื่อถึงความสิ้นหวัง และยังทำเสียงฟ่อผ่านฟัน นอกจากนี้เขายังมีเสียงโทนเศร้า"[224] และเมื่อร้องเพลงเกี่ยวกับความเป็นหนึ่งเดียวกันหรือการยกย่องตัวเอง เขาจะร้องเสียงสไตล์ราบเรียบ[224] ส่วนในเพลง "In the Closet" มีเสียงสูดลมหายใจชัดเจนและออกเสียงชัด ๆ ซ้ำ ๆ 5 ครั้ง แต่ทว่าในเพลงชื่อเดียวกับอัลบั้ม เขายังร้องแร็ปแบบพูด อีกด้วย[234][224] และเมื่อพูดถึงชุด Invincible นิตยสารโรลลิงสโตนให้ความเห็นว่า "กับอายุ 43 ปี แจ็กสันยังคงร้องมีจังหวะอย่างสวยงามและเสียงร้องสั่นที่ยังกลมกลืนกัน"[235]

โจเซฟ โวเกิล นักวิจารณ์วัฒนธรรมตั้งข้อสังเกตว่าแจ็กสันมี มีรูปแบบที่โดดเด่นเฉพาะตัว คือ "ความสามารถของเขาในการถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก โดยไม่ต้องใช้ภาษา ด้วยรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง การคำราม สูดอากาศ การอ้าปากหายใจ สะอื้น หรือการเปล่งเสียง เขามักจะเล่นคำใช้เสียงบางอย่างที่ทำให้ผู้ฟังเแทบจับสังเกตไม่ได้" นีล แมค ยังสังเกตว่า สไตล์การร้องเพลงที่แหกกฎทั่วไปของแจ็กสันมีความเป็นต้นฉบับและแตกต่างอย่างสิ้นเชิง จากเสียงสูงอันเกือบไม่มีตัวตน จนถึงความนุ่มนวล เสียงกลางที่หวาน ทั้งการควบคุมเสียงบนตัวโน๊ตที่รวดเร็ว การระเบิดจังหวะแต่ยังคงความไพเราะเอาไว้ ทั้งการทำเสียงแบบหอนหรือการร้องเยาะเย้ย (อย่างเช่น ฮี่ ฮี่ เพื่อคำรามและครวญคราง) เขามักไม่ได้ร้องเพลงในรูปแบบการใช้เสียงราบเรียบอย่างทั่วไปหรือเพลงบัลลาดอยู่บ่อยๆ แต่เมื่อเขาได้ร้อง ( อย่างเช่นเพลง Ben หรือ She's out of My Life ) ผลกระทบคือความเรียบง่ายที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง [236] เนลสัน จอร์จ สรุปเสียงของแจ็กสันโดยพูดไว้ว่า

"งดงาม รุกราน คำราม เสียงร้องเด็กผู้ชายที่ดูเป็นธรรมชาติ เสียงสูงเหมือนผู้หญิง ความอ่อนโยน ทั้งหมดรวมกันเป็นองค์ประกอบสไตล์การร้องของเขา" [234]

มิวสิกวิดีโอและท่าเต้น

แจ็กสันถูกเรียกว่าเป็น "ราชาแห่งมิวสิกวีดีโอ" สตีฟ ฮิวอีแห่งออลมิวสิก สังเกตว่า แจ็กสันได้เปลี่ยนรูปแบบของมิวสิกวิดีโอให้เป็นในรูปแบบของศิลปะและเป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ผ่านเนื้อเรื่องที่ซับซ้อน ท่าเต้น สเปเชียลเอฟเฟกต์และนักแสดงชื่อดัง และยังทลายสีผิวไปในเวลาเดียวกัน[213] ผู้กำกับมิวสิกวิดีโอ วินเซนต์ พาเตอร์สัน ที่เคยร่วมงานกับเขาหลายครั้ง ได้พูดว่าแนวคิดของแจ็กสันในมิวสิกวิดีโอว่า เป็นธีมที่ดูมืดหม่น สิ้นหวัง[237] การแสดงของเขาในงานครบรอบ 25 ปี ของโมทาวน์ Motown 25: Yesterday, Today, Forever ได้เปลี่ยนขอบเขตอิสระของการแสดงสดบนเวที และทำให้เข้าสู่ยุคสมัยที่ศิลปินรุ่นใหม่สามารถสร้างความน่าตื่นเต้นบนเวทีได้ราวกับมิวสิกวิดีโอ [238]

ก่อนอัลบั้ม Thriller แจ็กสันติดปัญหาในการแสดงผลงานมิวสิกวิดีโอทางช่องเอ็มทีวี เนื่องจากเขาเป็นคนแอฟริกัน-อเมริกัน[239] ซึ่งทางค่ายซีบีเอสก็เกลี้ยกล่อมให้เอ็มทีวีเปิดเพลง "Billie Jean" และต่อมา "Beat It" ซึ่งก็ทำให้ช่องเกิดความสัมพันธ์อันยาวนานกับแจ็กสัน และยังช่วยให้เพลงของศิลปินผิวดำคนอื่นเป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วย[240] คนในเอ็มทีวีเองก็ปฏิเสธเรื่องการแบ่งชนชั้นผิวสีทางช่องหรือเรื่องความกดดันในการเปลียนจุดยืนนี้ เอ็มทีวียังคงเล่นเพลงร็อกโดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ[241] และจากความนิยมในมิวสิกวิดีโอของแจ็กสันเองทางช่องเอ็มทีวี ยังทำให้ช่องมีชื่อเสียงมากขึ้นเช่นกัน ทั้งยังเน้นในเพลงป็อปและอาร์แอนด์บี[240][242] ในมิวสิกวีดีโอที่ดูราวกับเป็นภาพยนตร์สั้น เพลง "Thriller" ยังสร้างเอกลักษณ์ให้กับแจ็กสัน ขณะที่การเต้นในเพลง "Beat It" ก็ยังถูกนำเอามาเป็นต้นแบบอยู่บ่อยครั้ง[243] ท่าทางการเต้นในเพลง "Thriller" ยังกลายมีผลต่อวัฒนธรรมป็อปไปทั่วโลก การทำเลียนแบบไม่ว่าจากภาพยนตร์อินเดียหรือการเต้นเลียนแบบของนักโทษในฟิลิปปินส์[244]มิวสิกวิดีโอภาพยนต์สั้น "Thriller" ได้ยกระดับความตื่นเต้นเร้าใจบนมิวสิกวิดีโฮ และถูกบันทึกไว้ว่าเป็นมิวสิกวีดีโอที่ประสบความสำเร็จที่สุดที่เคยมีมาโดยกินเนสเวิลด์เรคเคิดส์[245]

แจ็กสันและเหล่านักเต้น กับเพลงที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของมิวสิกวีดีโอ Thriller

ในมิวสิกวีดีโอเวอร์ชันเต็มความยาว 19 นาที เพลง "Bad" ซึ่งกำกับโดยมาร์ติน สกอร์เซซี แจ็กสันได้ใช้ภาพลักษณ์เกี่ยวกับเพศและการเต้น ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในงานเขา เขาจะจับหรือแตะที่หน้าอก ลำตัวและเป้า ต่อมาในการสัมภาษณ์เมื่อปี 1993 โอปราห์ วินฟรีย์ ได้ถามเขาถึงที่มาของท่านี้ เขาอธิบายว่า "มันเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ขณะที่คุณกำลังเต้น สื่อสารภาษาดนตรี และเสียงต่างๆเคล้าคลอที่จะปั่นอารมณ์ให้ไปตามเสียงนั้น เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง ผมก็คว้าจับตัวผมเอง มันเป็นดนตรีที่ขับดันให้ผมทำเช่นนั้น มันไม่ได้หมายความว่า เอาล่ะ เมื่ออยู่บนเวทีแล้วผมต้องเอามือแตะเป้าล่ะนะ บางครั้งเมื่อกลับไปดูบันทึกการแสดงย้อนหลัง ผมยังเคยคิดว่า นี่ผมทำแบบนั้นด้วยเหรอ ผมตกเป็นทาสของจังหวะเข้าแล้ว"[246] ท่านี้ได้รับกระแสตอบรับทั้งจากแฟนและนักวิจารณ์ โดยนิตยสารไทม์บอกไว้ว่า "น่าขายหน้า" ในมิวสิกวิดีโอยังร่วมด้วยเวสลีย์ สไนปส์ ซึ่งตอนนั้นยังไม่โด่งดัง[247][248] สำหรับมิวสิกวิดีโอ "Smooth Criminal" แจ็กสันได้ทดลองนวัตกรรม "การเอนต้านแรงโน้มถ่วง 45องศา" ที่ถือเป็นหนึ่งในท่าเต้นที่โด่งดังของเขา ซึ่งได้จดสิทธิบัตรหมายเลข 5,255,452[249] และถึงแม้ว่ามิวสิกวิดีโอเพลง "Leave Me Alone" จะไม่ได้ออกอย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1989 แต่ก็ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง 4 รางวัลบิลบอร์ดมิวสิกวิดีโออวอร์ดส และในปีเดียวกันก็ได้รับ 3 รางวัลสิงโตทองคำ สำหรับสเปเชียลเอฟเฟกต์ในการผลิตผลงาน ต่อมาในปี 1990 "Leave Me Alone" ได้รับรางวัลแกรมมี่ในสาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม ประเภทสั้น[99]

เอ็มทีวีได้มอบรางวัล "ศิลปินผู้นำด้านมิวสิกวิดีโอแห่งทศวรรษ" เพื่อเฉลิมฉลองกับความสำเร็จด้านศิลปินในงานศิลปะในคริสต์ทศวรรษ 1980 และต่อมาปี 1991 ชื่อรางวัลดังกล่าวก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อเขา เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา[110] "Black or White" ยังเป็นที่กล่าวขวัญ โดยเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1991 ออกอากาศปฐมทัศน์พร้อมกันใน 27 ประเทศ มีผู้ชมประมาณ 500 ล้านคน ถือเป็นยอดจำนวนคนดูที่มากที่สุดสำหรับมิวสิกวิดีโอ[109] ในมิวสิกวิดีโอมีฉากที่ถูกตีความว่าเกี่ยวกับธรรมชาติของการมีเพศสัมพันธ์และภาพความรุนแรง แต่ฉากดังกล่าวก็ถูกตัดออกไปเหลือเป็นเวอร์ชันยาว 14 นาที เพื่อป้องกันการถูกแบนและแจ็กสันก็ออกมาขอโทษในส่วนนี้[250] นอกจากแจ็กสันแล้ว ในมิวสิกวิดีโอนี้ยังมีดาราอย่าง แม็กคอเลย์ คัลกิน เพกกี ลิปตัน และจอร์จ เวนดต์ และจบลงด้วยการเปลี่ยนภาพด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีที่สำคัญในมิวสิกวิดีโอนี้[251]

ไฟล์:Michaeljanetscream.jpg
แจ็กสันกับน้องสาว เจเน็ต แสดงท่าทางโกรธต่อสื่อ ที่ทำภาพเขาให้ผิดเพี้ยนไปต่อสาธารณะ มิวสิกวิดีโอนี้ "Scream" ถ่ายด้วยภาพขาวดำ และใช้งบประมาณถึง 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

"Remember the Time" เป็นมิวสิกวิดีโอที่มีงานภาคผลิตทำอย่างละเอียด และถือเป็นมิวสิกวิดีโอที่ยาวที่สุดเพลงหนึ่งกับความยาว 9 นาที มีฉากอยู่ในยุคอียิปต์โบราณ ยังเป็นผู้บุกเบิกทางด้านวิชวลเอฟเฟกต์ รวมถึงผู้มีชื่อเสียงอย่าง เอดดี เมอร์ฟี อิมาน และแมจิก จอห์นสัน ซึ่งก็มีท่าเต้นซับซ้อนเป็นจุดเด่นเช่นเคย[252] ในเพลง "In the Closet" ถือเป็นวิดีโอที่แสดงยั่วยุทางเพศที่สุดของแจ็กสัน มีสุดยอดนางแบบอย่างนาโอมิ แคมป์เบลล์ เต้นรำกับแจ็กสัน แต่มิวสิกวิดีโอเพลงนี้ถูกแบนในแอฟริกาใต้เนื่องจากภาพลักษณ์ที่แสดง[110]

มิวสิกวิดีโอเพลง "Scream" กำกับโดยมาร์ก โรมาเนก และผู้ออกแบบงานสร้างคือทอม โฟเดน ถือเป็นหนึ่งในมิวสิกวิดีโอที่ได้รับเสียงวิจารณ์มากที่สุดเพลงหนึ่ง โดยในปี 1995 ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอวอร์ดส 11 สาขา มากกว่ามิวสิกวิดีโอใดที่เคยทำได้ และได้รับรางวัลในสาขา "มิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม" "ท่าเต้นยอดเยี่ยม" และ "องค์ประกอบศิลป์ยอดเยี่ยม"[253] เพลงและมิวสิกวิดีโอเกี่ยวกับปฏิกิริยาตอบโต้ของแจ็กสันที่ได้รับจากสื่อหลังจากข้อกล่าวหาการละเมิดทางเพศต่อเด็กในปี 1993[254] ในปีถัดมา ได้รับรางวัลแกรมมี่สาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม ประเภทสั้น ต่อจากนั้นกินเนสเวิลด์เรคเคิดส์ยังให้ตำแหน่งว่าเป็นมิวสิกวิดีโอที่แพงที่สุดที่เคยทำมา โดยตกอยู่ที่ 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[137][255]

"Earth Song" ก็ยังเป็นเพลงที่แพงเช่นกันและก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดี ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขามิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม ประเภทสั้น ในปี 1997 เป็นมิวสิกวิดีโอที่พูดถึงสภาพแวดล้อม แสดงภาพการทารุณสัตว์ การตัดไม้ทำลายป่า สภาวะมลพิษและสงคราม มีการใช้ภาพสเปเชียลเอฟเฟกต์ ในช่วงเวลาที่ย้อนกลับไปทำให้ย้อนชีวิตกลับไป สงครามสิ้นสุดลงและป่ากลับฟื้นดังเดิม[137][256] ในมิวสิกวิดีโอภาพยนตร์สั้นเพลง Ghosts ออกเมื่อปี 1997 โดยออกปฐมทัศน์ครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 1996 โดยภาพยนตร์สั้นนี้เขียนบทโดยแจ็กสันและสตีเฟน คิง กำกับโดยสแตน วินสตัน มีความยาวกว่า 38 นาที และถือครองสถิติในกินเนสเวิลด์เรคเคิดส์ในฐานะมิวสิกวิดีโอที่ยาวที่สุดในโลก[137][146][257][258]

สิ่งสืบเนื่องและอิทธิพล

มีการจารึกชื่อซุปเปอร์สตาร์ "ไมเคิล แจ็คสัน" ที่ฮอลลีวูดวอล์กออฟเฟม ซึ่งบรรจุลงในปี 1984

แจ็กสันเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อวงการดนตรีและวัฒนธรรมทั่วโลก เขาสามารถทลายกำแพงแห่งชนชาติไปได้ ผ่านศิลปะทางมิวสิกวิดีโอ ปูทางให้กับนักร้องผิวสีและเพลงป็อปสมัยใหม่ ผลงานของแจ็กสัน มีความโดดเด่นด้านดนตรี การเต้นรำและสไตล์การร้องซึ่งมีอิทธิพลให้กับศิลปินมากมาย หลากหลายแนวเพลง อย่างเช่น มารายห์ แครี[259] เซลีน ดิออน[260] มาดอนน่า[261]บียอนเซ่[262] อัชเชอร์[263] บริตนีย์ สเปียรส์[259] จัสติน ทิมเบอร์เลค[150] คริส บราวน์[264] และอาร์. เคลลี[234] สำหรับบทบาทอาชีพของเขา เขาถือเป็นศิลปิน"หาตัวจับยาก"ในโลกใบนี้ ผู้ทรงอิทธิพลเหนือยิ่งกว่าศิลปินรุ่นใหม่ ๆ ผ่านทางงานเพลงของเขาและงานการกุศล[265][266] ช่องทีวี BET ได้บรรยายถึงแจ็กสันว่า "เป็นที่แน่ชัดในฐานะผู้ให้ความบันเทิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล" จากนักร้องเด็กที่เปิดตัวในฐานะสมาชิกของเดอะแจ็กสันไฟฟ์จนถึงการจากไปอย่างกะทันหัน แจ็กสันไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาพรสวรรค์ของเขา และ "ผู้ปฏิวัติมิวสิกวีดีโอและนำท่าเต้นราวกับเดินบนดวงจันทร์สู่โลก" เสียงของแจ็กสัน เอกลักษณ์เฉพาะตัว การเคลื่อนไหว และมรดกดนตรีของเขายังคงสร้างแรงบันดาลใจแก่ศิลปินทุกประเภท [267][268]

ภาพกราฟิกส์เวกเตอร์ของ ไมเคิล แจ็กสันในปี 1993

จุดเด่นของเขาคือ " เสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ ท่าเต้นที่เคลื่อนไหวสะดุดตา ผู้มีความสามารถทางด้านดนตรีอย่างเหลือเชื่อและมีพลังแห่งความเป็นดาราอย่างที่สุด "[213] ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 นิตยสารไทม์ กล่าวถึงเขาว่า " แจ็กสันคือศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดอะบีทเทิลส์ เขาเป็นปรากฏการณ์เดี่ยวที่ร้อนแรงที่สุดนับตั้งแต่เอลวิส เพรสลีย์ เขาอาจจะเป็นนักร้องผิวสีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดที่เคยมีมา " [47] ในปี 1990 แวนิตีแฟร์ พูดถึงแจ็กสันว่า เป็นศิลปินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์การแสดง[99] นักเขียน เดลีเทเลกราฟ ที่ชื่อทอม อัตลีย์ เรียกเขาว่า "บุคคลที่สำคัญที่สุดในวัฒนธรรมสมัยนิยม" และ "อัจฉริยะ" [269]ปี 2006 ที่งานเวิลด์มิวสิกอวอร์ดส เคร็ก เกล็นเดย์ หัวหน้าบรรณาธิการกินเนสส์บุ๊ค กล่าวถึงเขาว่าเป็น "บุคคลที่โด่งดังที่สุดบนโลกอย่างไม่ต้องสงสัย และนั่นคือดนตรีของเขา"[270] ในปลายปี 2007 แจ็กสันพูดถึงผลงานต่อมาของเขาและอิทธิพลในอนาคตว่า "ดนตรีเป็นเหมือนที่ระบาย เป็นของขวัญของผมที่จะมอบให้คนทั้งโลก ผ่านดนตรีของผม ผมรู้ว่าผมจะอยู่ตลอดไป"[271]

บัลติมอร์ซัน เขียนบทความ "7 วิธีที่ ไมเคิล แจ็กสันเปลี่ยนโลก" จิลล์ โรเซ็น ตั้งข้อสังเกตว่า "เราจะจดจำเขาได้ หากเขาเป็นเพียงแค่นักแต่งเพลง เป็นแค่นักเต้นรำหรือแค่ผู้สนับสนุนแฟชั่น แต่ไมเคิล แจ็กสัน มีทุกอย่าง เขามีความโดดเด่นในศิลปะเหล่านั้น และอีกมากมาย" อิทธิพลของเขามีความยั่งยืนและแพร่กระจายในหลายแง่มุม ทั้งเสียงเพลง การเต้นรำ แฟชั่น วิดีโอ อิทธิพล ชื่อเสียง หรือแม้แต่ในการแข่งขัน สำหรับตลอดยุคสมัย แจ็กสันเป็นบุคคลที่สื่อมวลชนมักนำเสนอข่าวอยู่เสมอ เขามียอดขายนับล้านและมีข่าวลื่อเกี่ยวกับเขานับล้านเช่นเดียวกัน[272] ในขณะที่ผู้ประกาศข่าวซีเอ็นเอ็นยังแสดงความประหลาดใจและกล่าวว่า "ถ้าจะมีใครบนโลกนี้ เป็นที่ยอมรับมากไปกว่าเขา บางทีอาจจะไม่มีอีกแล้ว เขาเป็นบุคคลที่โลกไม่อาจละสายตาได้"[273]

ในตลอดอาชีพของเขา เขามีรายได้จากผลงานเดี่ยวและมิวสิกวิดีโอ รวมถึงงานคอนเสิร์ตไปจนถึงผลงานโฆษณาตกอยู่ราว 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อรวมกับรายได้จากการเป็นหุ้นส่วนใน Sony/ATV Music Publishing ที่เขาถือลิขสิทธิ์อยู่ครึ่งหนึ่ง ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะประมาณรายได้แท้จริงของเขา นักวิเคราะห์บางคนวิเคราะห์ว่าผลงานแคตตาล็อกเพลงที่เขาถืออาจมีค่าอย่างน้อยราวพันล้านดอลลาร์สหรัฐ[100][274] ในฐานะบุคคลที่โด่งดังที่สุดในโลกกับชีวิตส่วนตัวที่ถูกเผยแพร่ควบคู่ไปกับความสำเร็จในอาชีพ ทำให้เขาเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรรมร่วมสมัยตลอด 4 ทศวรรษ[109][275]

วันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ 2014 สภาวัฒนธรรมสัมพันธ์อังกฤษได้ยกย่องอิทธิพลทางดนตรีและชีวิตของแจ็กสันว่าเป็นหนึ่งใน "80 ช่วงเวลาทางวัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 20" [276]

รางวัลและเกียรติยศ

Thriller ได้รับบันทึกแผ่นเสียงทองคำขาว จัดแสดงที่ฮาร์ดร็อคคาเฟ่ ฮอลในยูนิเวอร์ซิตี แคลิฟอร์เนีย

ไมเคิล แจ็กสัน ได้รับการบรรจุชื่อ อยู่บนฮอลลีวูดวอล์กออฟเฟมเมื่อปี 1980 ในฐานะสมาชิกของเดอะแจ็กสันไฟฟ์ และศิลปินเดี่ยวในปี 1984 ซึ่งเขาเป็นคนแรกที่มีชื่ออยู่ถึง 2 ครั้ง ตลอดอาชีพของเขา ได้สร้างความสำเร็จมานับไม่ถ้วน รวมทั้งการสร้างสถิติต่างๆ ในการทำงานที่ผ่านมาเขาได้รับรางวัลมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรางวัลศิลปินป็อปชายที่มียอดขายดีที่สุดในสหัสวรรษจากเวิลด์มิวสิกอวอร์ดส รางวัลศิลปินแห่งศตวรรษจากอเมริกันมิวสิกอวอร์ดส และรางวัลศิลปินป็อปแห่งสหัสวรรษจากแบมบี[41][277] เขายังมีชื่ออยู่ถึง 2 ครั้งในร็อกแอนด์โรลฮอลออฟเฟม ครั้งหนึ่งในฐานะสมาชิกวงเดอะแจ็กสันไฟฟ์ในปี 1997 และต่อมาในฐานะศิลปินเดี่ยวในปี 2001 เขายังมีชื่ออยู่ในซองไรเตอร์สฮอลออฟเฟมในปี 2002[41] ในปี 2010 แจ็กสันเป็นคนแรก(และคนเดียวในปัจจุบัน)จากนักเต้นเพลงป็อปและร็อกแอนด์โรลทั่วโลกที่มีชื่ออยู่ในแดนซ์ฮอลออฟเฟม เขาได้รับเชิญรางวัลพิเศษจากประธานาธิบดีที่ทำเนียบขาวถึง 2 ครั้ง ในปี 1992 เขายังได้รับรางวัลและการยกย่องจากประธานาธิบดีให้เป็น "Point of Light Ambassador" หรือแสงสว่างในชีวิต จากการเชื้อเชิญให้เด็กผู้ด้อยโอกาสเข้าไปเล่นในเนเวอร์แลนด์โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งเขาเป็นศิลปินคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับรางวัลนี้[278]

รางวัลอื่นที่เขาได้รับอย่างเช่น สถิติในกินเนสเวิลด์เรคคอร์ดอยู่หลายครั้ง (8 ครั้งในปี 2006 อย่างเดียว) การสนับสนุนองค์การการกุศล 39 แห่งมากกว่าดาราหรือศิลปินคนใดๆ สถิติเจ้าของอัลบั้มเพลงที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล รวมทั้งได้รับการบันทึกว่าเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ 13 รางวัลแกรมมี่ รางวัลพิเศษ Grammy Legend Award , Grammy Lifetime Achievement Award 26 อเมริกันมิวสิกอวอร์ดส มากกว่าศิลปินคนใดๆ รวมถึงรางวัล "ศิลปินแห่งศตวรรษ" 13 เพลงอันดับ 1 ในฐานะศิลปินเดี่ยว มากกว่าที่ศิลปินชายคนใดจะทำได้ในชาร์ตฮอต 100 และยังมียอดขายมากกว่า 400 ล้านชุดทั่วโลก ผลงานอัลบั้ม 5 ชุด ประกอบด้วย Off the Wall (1979),Thriller (1982), Bad (1987), Dangerous (1991) และ HIStory(1995) ถือเป็นอัลบั้มเพลงที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล ด้วยอัลบั้มขายดีที่มากยิ่งกว่าศิลปินคนใดๆ ทำให้เขาเป็นศิลปินป็อปชายที่มียอดขายอัลบั้มมากที่สุดในโลก [39][101][109][279][280][281]

ปรากฏการณ์ความนิยม

โปสเตอร์ภาพยนตร์ "มูนวอคเกอร์"

ในปีค.ศ 1984 หนังสือพิมพ์ของสาธารณรัฐเกาหลี ได้ตีพิมพ์บทความ"ฤดูกาลแห่งความนิยม" โดยใช้ผลสำรวจของเยาวชนพบว่าที่โรงเรียนประถมศึกษาไม่มีนักเรียนคนใดไม่รู้จักไมเคิล แจ็กสันและเด็กๆยังมีความกระตือลือล้นในเพลงของเขา รายงานดังกล่าวยังได้ทำผลสำรวจเพิ่มเติมและพบว่าเด็กนักเรียนต่างรู้จักแจ็กสันแม้จะเป็นชื่อของนักร้องต่างประเทศ[282]นอกจากนี้จากการสำรวจในหัวข้อ"บุคคลระดับโลกที่มีชื่อเสียงมากที่สุด"โดยใช้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กในระดับประถมศึกษากว่า 2,000 คน พบว่าแจ็กสันได้รับการโหวตให้มากที่สุด ตามด้วยประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ,ลินคอล์น,และทอมัส เอดิสัน[283]ในประเทศญี่ปุ่นแจ็กสันยังได้รับความนิยมอย่างมากเช่นเดียวกับโลกตะวันตก และเรียกเขาว่าเป็น "ปรากฏการณ์ระดับไต้ฝุ่น" ขณะที่รองประธานอาวุโสของบริษัทโซนี่ มิวสิคญี่ปุ่นยังกล่าวถึงเขาว่า "ไม่มีนักแสดงคนใดมีพลังเหมือนไมเคิล แจ็กสัน เขาเป็นที่รักสำหรับความสามารถของเขา ดนตรีของเขา การเต้นของเขา เช่นเดียวกับจิตใจที่อ่อนโยนของเขา"[284]ประเทศแอฟริกาแจ็กสันเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ที่ทลายการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ เขายังทำให้วัฒนธรรมของคนผิวสีเป็นที่ยอมรับมากขึ้นอีกด้วย[285]เกาหลีก็ยังเป็นประเทศที่ได้รับอิทธิพลจากแจ็กสันอย่างสูง[286] แจ็กสันยังได้รับความนิยมอย่างมากในอินเดีย ด้วยความนิยมของศิลปินตะวันตกที่มีชื่อเสียงที่สุดของแจ็กสันได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศ ฮาร์ด คอร์ด นักร้องชาวอังกฤษเชื้อสายอินเดียพูดว่า"ถ้าคุณไปที่หมู่บ้านใดๆหรือทั่วทุกมุมในประเทศอินเดียคุณจะพบว่าทุกคนคุ้นเคยกับชื่อของไมเคิล แจ็กสัน ไม่มีนักดนตรีคนไหนจะแทนที่เขาได้"[287][288]ในประเทศปากีสถาน แจ็กสันยังเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายเช่นเดียวกับโคคาโคล่า[289]ขณะที่ประเทศจีนซึ่งปิดตัวเองจากโลกตะวันตกมาจนถึงทศวรรษ 80 แจ็กสันก็ยังมีชื่อเสียงอย่างมาก ในเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในชุดสูทสีน้ำตาลอมเหลืองและรัฐก็ยังควบคุมการเปิดเพลงทางวิทยุ แจ็กสันยังเป็นศิลปินคนแรกที่นำพาวัฒนธรรมเพลงป็อปตะวันตกมาสู่ประเทศ [290]

ทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกของแจ็กสันก็ยังเป็นช่วงเวลาที่เขาได้พบกับผู้นำประเทศในหลายทวีป นอกจากวงการดนตรีแล้ว แจ็กสันยังมีอิทธิพอย่างมากต่อวงการแฟชั่น ฟิลลิป โบลช สไตลิสชื่อดัง กล่าวว่า "ไมเคิล แจ็กสัน ไม่ได้รับอิทธิพลจากแฟชั่น แต่แฟชั่นต่างหากที่ได้รับอิทธิพลจากเขา"[291]เขายังมีอิทธิพลด้านมนุษยธรรมและการช่วยเหลือเด็กและสังคม ทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกเดนเจอรัสเวิลด์ทัวร์ เขายังได้ยกผลกำไรทั้งหมดเข้าสู่มูลินิธิการกุศล และยังได้มอบเงินให้แก่มูลนิธิในทุกประเทศที่เขาเดินทาง[292]ในขณะที่การเสียชีวืิตของเขาก็กลายเป็นข่าวพาดหัวหนังสือพ์ทั่วโลก ประเทศฮ่องกงได้นำเสนอข่าวว่า "ไม่มีส่วนใดของเอเชีย...และที่เหลือของโลก จะไม่จดจำไมเคิล แจ็กสัน" เว็บไซด์ชื่อดังของจีนขนามนามเขาว่า "นักร้องที่โดดเด่นที่สุดตลอดกาล" ในขณะที่หลายๆคนทั่วโลกต่างรู้สึกว่าการเสียชีวิตของเขาเป็นเหมือนการสูญเสียความทรงจำในวัยเด็ก นับได้ว่าเขาเป็นซูเปอร์สตาร์ของโลกผู้สร้างปรากฏการณ์อย่างแท้จริง [293] หลังครบรอบวันเกิดของเขาในปีเดียวกัน ชาวเม็กซิโกยังได้ไปชุมนุมกันในกรุงเม็กซิโก ซิตี้ เกือบ 13,000 คน เพื่อเต้นรำตามจังหวะและท่าทางตามเพลง " ทริลเลอร์ " เพื่อเป็นการไว้อาลัยแก่เขา นับเป็นการเต้นรำหมู่เพลงทริลเลอร์ที่ทำลายสถิติกินเนสบุ้คมีจำนวนคนเข้าร่วมมากที่สุด[294]

หลังจากที่เขาเสียชีวิตไม่นานในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2009 เอ็มทีวีปรับเปลี่ยนช่องโดยเล่นมิวสิกวิดีโอของเขาเพื่อเป็นการอุทิศและเฉลิมฉลองในงานของเขา[295] สถานียังออกอากาศมิวสิกวิดีโอของเขาเป็นเวลานานหลายชั่วโมง และยังมีการสัมภาษณ์สดในปฏิกิริยาตอบรับทั้งจากพิธีกรเอ็มทีวีและเหล่าบุคคลมีชื่อเสียง ตลอดทั้งสัปดาห์ยังมีรายการและยังมีการถ่ายทอดสดพิธีไว้อาลัย [296] ในพิธีไว้อาลัย ณ วันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 ผู้ก่อตั้งค่ายเพลงโมทาวน์ เบอร์รี กอร์ดี ยังสรรเสริญแจ็กสันว่าเป็น "คนบันเทิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา" [297][298][299] ต่อมาวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 2009 สถาบันภาพยนตร์อเมริกัน รำลึกถึงเหตุการณ์การเสียชีวิตของแจ็กสันว่าเป็น "เหตุการณ์ที่สำคัญ" และกล่าวว่า "การเสียชีวิตของไมเคิล แจ็กสันอย่างกะทันหันในเดือนมิถุนายน เขาอายุเพียง 50 ปี เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ทั่วโลกต่างโศกเศร้าและเกิดการสรรเสริญตัวเขาไปทั่วโลกอย่างไม่เคยมีมาก่อน"[300]

ผลงานอัลบั้ม

ผลงานแสดง

ปี ภาพยนตร์ บทบาท ผู้กำกับ อ้างอิง
1978 The Wiz สแกร์โครว์ ซิดนีย์ ลูเมต [301]
1986 Captain EO กัปตันอีโอ แฟรนซิส ฟอร์ด คอปโปลา [302]
1988 Moonwalker ตัวเขาเอง เจอร์รี เครเมอร์ [303]
1997 Ghosts เมียสโตร/เมเยอร์/โกล/สกีเลตัน สแตน วินสตัน [304]
2002 Men in Black II เอเยนต์เอ็ม แบร์รี ซันเนนฟิลด์ [305]
2004 Miss Cast Away and the Island Girls เอเยนต์เอ็ม ไบรอัน ไมเคิล สโตลเลอร์ [306]
2009 Michael Jackson's This Is It ตัวเขาเอง เคนนี ออร์เตกา อ้างอิงผิดพลาด: พารามิเตอร์ในป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง
2012 Bad 25 ตัวเขาเอง สไปค์ ลี [307][308]

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

  1. "Michael Jackson Dies". TMZ. 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552. สืบค้นเมื่อ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  2. "Michael Jackson has heart attack and dies in Los Angeles". TMZ. 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552. สืบค้นเมื่อ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  3. Ryan, Joal (2009-06-25). "Michael Jackson, Pop's Thrilling King, Dead at 50". E! Online. สืบค้นเมื่อ 2009-06-25.
  4. http://www.billboard.com/articles/columns/pop/6812781/michael-jackson-thriller-30x-multi-platinum-album
  5. http://www.telegraph.co.uk/culture/music/michael-jackson/5648176/Michael-Jacksons-best-selling-studio-albums.html
  6. http://ireport.cnn.com/docs/DOC-288836
  7. http://www.miamiherald.com/latest-news/article1928146.html
  8. http://www.billboard.com/articles/news/6092276/michael-jackson-coldplay-hot-100-top-10-john-legend-no-1
  9. http://www.newstimes.com/local/article/Photos-Michael-Jackson-induction-ceremony-617034.php
  10. Eisinger, Amy (2009-03-04). "Britney Spears isn't the only pop star primed for a comeback: Get ready for Michael Jackson". Daily News. สืบค้นเมื่อ 2009-06-26.
  11. http://www.telegraph.co.uk/culture/music/michael-jackson/5771156/Michael-Jackson-memorial-service-the-biggest-celebrity-send-off-of-all-time.html
  12. http://www.languagemonitor.com/global-english/michael-jackson-funeral-tops-john-paul-ii-as-no-1-media-funeral/
  13. Matthew Moore (2009-06-26) Michael Jackson, King of Pop, dies of cardiac arrest in Los Angeles Telegraph. Retrieved on 2009-06-27.
  14. http://www.rollingstone.com/music/news/michael-jackson-estate-sony-strike-massive-250-million-deal-to-release-king-of-pops-music-20100316
  15. http://www.forbes.com/dead-celebrities/
  16. 16.0 16.1 16.2 16.3 16.4 16.5 16.6 16.7 George, p. 20
  17. https://web.archive.org/web/20080915120706/http://www.vh1.com/shows/dyn/vh1_news_presents/82010/episode_about.jhtml
  18. "Michael Jackson - The King of Pop or Wacko Jacko?". crime.about.com. สืบค้นเมื่อ 2009-06-27.
  19. "Michael Jackson's Secret Childhood". VH1. สืบค้นเมื่อ June 20, 2008.
  20. 20.0 20.1 20.2 Taraborrelli, pp. 20–22
  21. 21.0 21.1 21.2 21.3 Campbell (1995), pp. 14–16
  22. 22.0 22.1 Lewis, pp. 165–168
  23. Taraborrelli, p. 620
  24. "Can Michael Jackson's demons be explained?". BBC. 2009-06-27. สืบค้นเมื่อ 2009-06-28.
  25. Taraborrelli, p. 602
  26. 26.0 26.1 "The Jackson Five". Rock and Roll Hall of Fame. สืบค้นเมื่อ May 29, 2007.
  27. 27.0 27.1 27.2 27.3 Michael Jackson: Biography, Rolling Stone, accessed February 14, 2008.
  28. Cadman, Chris (2007). Michael Jackson: For the Record. Authors OnLine. ISBN 978-0-7552-0267-6. {{cite book}}: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า : |coauthors= (help)
  29. 29.0 29.1 29.2 29.3 George, p. 22
  30. Taraborrelli, pp. 138–144
  31. Taraborrelli, pp. 163–169
  32. 32.0 32.1 George, p. 23
  33. 33.0 33.1 33.2 33.3 Taraborrelli, pp. 205–210
  34. 34.0 34.1 34.2 George, pp. 37–38
  35. "Michael Jackson: Off the Wall — Classic albums — Music — Virgin media". Virgin Media. สืบค้นเมื่อ December 12, 2008.
  36. 36.0 36.1 36.2 36.3 36.4 36.5 "Gold and Platinum". Recording Industry Association of America. สืบค้นเมื่อ April 27, 2008.
  37. Taraborrelli, p. 188
  38. Taraborrelli, p. 191
  39. 39.0 39.1 "Grammy Award Winners". National Academy of Recording Arts and Sciences. สืบค้นเมื่อ February 14, 2008.
  40. "Music Icon Quincy Jones Kicks-Off New Series in Tribune Newspapers". PR Newswire. January 16, 2009. สืบค้นเมื่อ January 24, 2009.
  41. 41.0 41.1 41.2 41.3 George, pp. 50–53
  42. "Michael Jackson Opens Up". CBS. November 6, 2007. สืบค้นเมื่อ July 24, 2008.
  43. Serjeant, Jill (June 25, 2009). "Michael Jackson superstardom tarnished by scandal". Reuters. สืบค้นเมื่อ June 28, 2009.
  44. Lewis, p. 47
  45. http://www.reuters.com/article/us-thriller-idUSTRE5BT43W20091230?type=musicNews
  46. http://www.mtv.com/news/1628945/michael-jacksons-thriller-added-to-national-film-registry/
  47. 47.0 47.1 47.2 Cocks, Jay (March 19, 1984). "Why He's a Thriller". Time. สืบค้นเมื่อ March 17, 2007. {{cite news}}: ไม่อนุญาตให้ใช้มาร์กอัปตัวเอียงหรือตัวหนาใน: |publisher= (help)
  48. 48.0 48.1 Taraborrelli, p. 226
  49. http://www.grammy.com/nominees/search?artist=%22Michael+Jackson%22&field_nominee_work_value=&year=All&genre=All
  50. http://www.nytimes.com/1984/01/14/arts/michael-jackson-at-25-a-musical-phenomenon.html?pagewanted=all
  51. "Michael Jackson". VH1. (2007). สืบค้นเมื่อ February 22, 2007. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |year= (help)
  52. Harrington, Richard (October 9, 1988). (pre-1997+Fulltext) &edition=&startpage=g.01&desc=Prince+%26+Michael+Jackson%3A+Two+Paths+to+the+Top+of+Pop "Prince & Michael Jackson: Two Paths to the Top of Pop". The Washington Post. สืบค้นเมื่อ May 21, 2007. {{cite news}}: ตรวจสอบค่า |url= (help)
  53. Pareles, Jon (January 14, 1984). "Michael Jackson at 25: A Musical Phenomenon". The New York Times. สืบค้นเมื่อ March 30, 2009.
  54. http://www.whittierdailynews.com/general-news/20090625/michael-jackson-left-indelible-mark-on-pasadena
  55. http://www.gigwise.com/photos/92086/the-11-most-iconic-moments-of-michael-jacksons-career
  56. Taraborrelli, pp. 238–241
  57. Kisselgoff, Anna (March 6, 1988). "Dancing feet of Michael Jackson". The New York Times. สืบค้นเมื่อ July 23, 2008.
  58. http://www.billboard.com/articles/news/268213/michael-jackson-pepsi-made-marketing-history?page=0%2C0
  59. Taraborrelli, pp. 279–287
  60. Taraborrelli, pp. 304–307
  61. http://www.aef.com/exhibits/social_responsibility/ad_council/2399/:pf_printable
  62. Taraborrelli, pp. 315–319
  63. Taraborrelli, p. 320
  64. http://www.grammy.com/nominees/search?artist=&field_nominee_work_value=%22We+Are+The+World%22&year=All&genre=All
  65. http://www.pophistorydig.com/topics/michael-mccartney-1980s-2009/
  66. http://usatoday30.usatoday.com/life/people/2009-06-26-jackson-faces_N.htm
  67. http://www.grammy.com/nominees/search?artist=&field_nominee_work_value=%22We+Are+The+World%22&year=All&genre=All
  68. Taraborrelli, pp. 333–337
  69. 69.0 69.1 "Michael Jackson sells Beatles songs to Sony". The New York Times. November 8, 1995. สืบค้นเมื่อ July 23, 2008.
  70. http://www.latimes.com/la-et-hilburn-michael-jackson-sep22-story.html
  71. http://mjjinfo.blogspot.fr/2010/11/paul-mccartney-refused-to-buy-atv.html
  72. http://www.pophistorydig.com/topics/michael-mccartney-1980s-2009/
  73. http://mjjinfo.blogspot.fr/2010/11/paul-mccartney-refused-to-buy-atv.html
  74. http://mjjinfo.blogspot.fr/2010/11/paul-mccartney-refused-to-buy-atv.html
  75. http://www.pophistorydig.com/topics/michael-mccartney-1980s-2009/
  76. http://www.latimes.com/la-et-hilburn-michael-jackson-sep22-story.html
  77. Taraborrelli, pp. 434–436
  78. 78.0 78.1 78.2 Jackson, pp. 229–230
  79. Taraborrelli, pp. 312–313
  80. 80.0 80.1 "Music's misunderstood superstar". BBC. (June 13, 2005). สืบค้นเมื่อ July 14, 2008. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  81. Goldberg, Michael (1987-09-24). "Is Michael Jackson for Real?". Rolling Stone. สืบค้นเมื่อ July 3, 2009. {{cite journal}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |coauthors= ถูกละเว้น แนะนำ (|author=) (help)
  82. Smith, Adam (June 26, 2009). "What Happened to Michael Jackson's Millions?". Time. สืบค้นเมื่อ July 5, 2009.
  83. http://news.bbc.co.uk/2/hi/entertainment/4584367.stm
  84. George, p. 41
  85. "Vol. 42, No. 11", Ebony Magazine, Johnson Publishing Company, p. 143, September 1987
  86. "Vol. 45, No. 12", Ebony Magazine, Johnson Publishing Company, p. 66, October 1990
  87. 87.0 87.1 87.2 Cocks, Jay (September 14, 1987). "The Badder They Come". Time. สืบค้นเมื่อ July 23, 2008.
  88. Leopold, Todd (June 6, 2005). "Michael Jackson: A life in the spotlight". CNN. สืบค้นเมื่อ May 5, 2008.
  89. Savage, Mark (August 29, 2008). "Michael Jackson: Highs and lows". BBC. สืบค้นเมื่อ November 25, 2008.
  90. http://www.reuters.com/article/entertainment-us-michaeljackson-bad-idUSBRE84K0Z120120521
  91. http://www.grammy.com/nominees/search?artist=Bruce+Swedien&title=&year=All&genre=All
  92. http://www.songfacts.com/detail.php?id=16058
  93. https://news.google.co.uk/newspapers?id=lZozAAAAIBAJ&sjid=lTIHAAAAIBAJ&pg=4477,3617735
  94. 94.0 94.1 94.2 Lewis, pp. 95–96
  95. Harrington, Richard (January 12, 1988). (pre-1997+Fulltext) &edition=&startpage=b.03&desc=Jackson+to+Make+First+Solo+U.S.+Tour "Jackson to Make First Solo U.S. Tour". The Washington Post. สืบค้นเมื่อ July 23, 2008. {{cite news}}: ตรวจสอบค่า |url= (help)
  96. Shanahan, Mark and Goldstein, Meredith (June 27, 2009). "Remembering Michael". The Boston Globe. สืบค้นเมื่อ July 2, 2009. {{cite web}}: ไม่อนุญาตให้ใช้มาร์กอัปตัวเอียงหรือตัวหนาใน: |publisher= (help)CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์)
  97. Jackson, pp. 29–31
  98. George, p. 42
  99. 99.0 99.1 99.2 99.3 George, pp. 43–44
  100. 100.0 100.1 100.2 100.3 Gundersen, Edna (February 19, 2007). "For Jackson, scandal could spell financial ruin". USA Today. สืบค้นเมื่อ July 23, 2008.
  101. 101.0 101.1 101.2 "Jackson receives his World Records". Yahoo!. (November 14, 2006). สืบค้นเมื่อ November 16, 2006. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  102. Jackson, Michael. HIStory booklet. Sony BMG. p 3
  103. Keehner, Jonathan (May 11, 2008). "Michael Jackson's Neverland Loan Sold by Fortress to Colony". Bloomberg L.P. สืบค้นเมื่อ May 12, 2008. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |coauthors= ถูกละเว้น แนะนำ (|author=) (help)
  104. "Remarks on the Upcoming Summit With President Mikhail Gorbachev of the Soviet Union". The American Presidency Project. (April 5, 1990). สืบค้นเมื่อ April 8, 2007. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  105. "Blacks who give back". Ebony. (March 1990). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 8, 2012. สืบค้นเมื่อ July 23, 2008. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  106. Taraborrelli, p. 382
  107. "Michael Jackson sulla sedia a rotelle". Affari Italiani. August 11, 2008. สืบค้นเมื่อ May 10, 2009.
  108. Carter, Kelley L. (August 11, 2008). "New jack swing". Chicago Tribune. สืบค้นเมื่อ August 21, 2008.
  109. 109.0 109.1 109.2 109.3 109.4 109.5 109.6 "The return of the King of Pop". MSNBC. (November 2, 2006). สืบค้นเมื่อ June 8, 2008. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  110. 110.0 110.1 110.2 110.3 110.4 110.5 110.6 George, pp. 45–46
  111. https://news.google.com/newspapers?id=w7QiAAAAIBAJ&sjid=DbUFAAAAIBAJ&pg=3124,2012493
  112. Taraborrelli, p. 459
  113. Harrington, Richard (February 5, 1992). "Jackson to Tour Overseas". The Washington Post. {{cite news}}: |access-date= ต้องการ |url= (help)
  114. Taraborrelli, pp. 452–454
  115. "Stars line up for Clinton celebration". Daily News of Los Angeles. (January 19, 1993). {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  116. Smith, Patricia (January 20, 1992). "Facing the music and the masses at the presidential gala". The Boston Globe.
  117. 117.0 117.1 117.2 117.3 Johnson, Robert (1992). "Michael Jackson: crowned in Africa". Ebony. สืบค้นเมื่อ July 23, 2008. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |month= ถูกละเว้น (help)
  118. http://www.michaeljackson.com/us/news/mj-trivia-michael-jackson-named-point-light-ambassador
  119. http://www.nytimes.com/2009/06/30/sports/football/30sandomir.html?_r=2
  120. https://books.google.co.th/books?id=jw8EAAAAMBAJ&pg=PA12&redir_esc=y#v=onepage&q&f=false
  121. 121.0 121.1 "1993: Michael Jackson accused of child abuse". BBC. (February 8, 2003). สืบค้นเมื่อ November 11, 2006. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  122. Taraborrelli, pp. 477–478
  123. Taraborrelli, pp. 485–486
  124. 124.0 124.1 Taraborrelli, pp. 496–498
  125. 125.0 125.1 Taraborrelli, pp. 534–540
  126. 126.0 126.1 126.2 126.3 Taraborrelli, pp. 518–520
  127. 127.0 127.1 Taraborrelli, pp. 524–528
  128. 128.0 128.1 Taraborrelli, pp. 514–516
  129. Taraborrelli, pp. 540–545
  130. Taraborrelli, pp. 500–507
  131. Taraborrelli, p. 510
  132. 132.0 132.1 "She's Out Of His Life". CNN. (January 18, 1996). สืบค้นเมื่อ July 24, 2008. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  133. 133.0 133.1 Taraborrelli, pp. 580–581
  134. 134.0 134.1 Leeds, Jeff (April 13, 2006). "Michael Jackson Bailout Said to Be Close". The New York Times. สืบค้นเมื่อ July 23, 2008.
  135. "Top 100 Albums (Page 2)". Recording Industry Association of America. สืบค้นเมื่อ April 16, 2008.
  136. Putti, Laura (August 24, 2001). "Il nuovo Michael Jackson fa un tuffo nel passato". La Repubblica. สืบค้นเมื่อ May 10, 2009.
  137. 137.0 137.1 137.2 137.3 137.4 137.5 137.6 137.7 George, pp. 48–50
  138. Taraborrelli, pp. 576–577
  139. https://news.google.co.uk/newspapers?id=LWUwAAAAIBAJ&sjid=YzMDAAAAIBAJ&pg=5552,8128572
  140. Deborah Rowe, former wife of Michael Jackson, says children aren't his
  141. Taraborrelli, p. 597
  142. Taraborrelli, p. 586
  143. My life as the mother of Michael Jackson's children, Daily Mail, February 2, 2008.
  144. 144.0 144.1 Taraborrelli, pp. 599–600
  145. Rojek, Chris (2007). Cultural Studies. Polity. p. 74. ISBN 0745636837.
  146. 146.0 146.1 146.2 146.3 146.4 Taraborrelli, pp. 610–612
  147. "Ricky Martin, Mariah Carey, Michael Jackson, Others To Join Pavarotti For Benefit". VH1. (May 5, 1999). สืบค้นเมื่อ May 30, 2008. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  148. "Slash, Scorpions, Others Scheduled For "Michael Jackson & Friends"". VH1. (May 27, 1999). สืบค้นเมื่อ May 30, 2008. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  149. Lewis, pp. 8–9
  150. 150.0 150.1 150.2 150.3 150.4 Taraborrelli, pp. 614–617
  151. Branigan, Tania (September 8, 2001). "Jackson spends ?20m to be Invincible". The Guardian. สืบค้นเมื่อ July 23, 2008.
  152. http://11lucky.blogspot.com/
  153. Jackson, Jermaine ((December 31, 2002)). "Interview with Jermaine Jackson" (Interview). สัมภาษณ์โดย Connie Chung. สืบค้นเมื่อ July 2, 2008. {{cite interview}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |program= ถูกละเว้น (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |subjectlink= ถูกละเว้น แนะนำ (|subject-link=) (help)
  154. Burkeman, Oliver (July 8, 2002). "Jacko gets tough: but is he a race crusader or just a falling star?". The Guardian. สืบค้นเมื่อ July 23, 2008.
  155. http://www.billboard.com/articles/news/77246/jackson-to-accept-ama-artist-of-the-century-honor
  156. "Michael Jackson". Daily Mirror. สืบค้นเมื่อ May 29, 2009.
  157. Vineyard, Jennifer (November 20, 2002). "Michael Jackson Calls Baby-Dangling Incident A 'Terrible Mistake'". MTV. สืบค้นเมื่อ March 3, 2009.
  158. "BPI Searchable database — Gold and Platinum". British Phonographic Industry. สืบค้นเมื่อ January 25, 2009.
  159. 159.0 159.1 Taraborrelli, p. 640
  160. "Elizabeth Taylor defends Michael on Larry King Live". CNN. (May 30, 2006). สืบค้นเมื่อ November 11, 2006. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  161. Taraborrelli, p. 648
  162. Taraborrelli, p. 661
  163. Davis, Matthew (June 6, 2005). "Michael Jackson health concerns". BBC. สืบค้นเมื่อ April 14, 2008.
  164. "Michael Jackson jury reaches verdict". Associated Press. June 13, 2005. สืบค้นเมื่อ July 12, 2008.
  165. Toumi, Habib (January 23, 2006). "Jackson settles down to his new life in the Persian Gulf". Gulf News. สืบค้นเมื่อ November 11, 2006.
  166. McNamara, Melissa (March 17, 2006). "Jackson Closes Neverland House". CBS. สืบค้นเมื่อ November 11, 2006.
  167. "Jackson strikes deal over loans". BBC. (April 14, 2006). สืบค้นเมื่อ November 11, 2006. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  168. Ackman, Dan (May 14, 2005). "Really Odd Facts About Michael Jackson". Forbes. สืบค้นเมื่อ August 20, 2008.
  169. Reid, Shaheem (December 30, 2006). "James Brown Saluted By Michael Jackson at Public Funeral Service". MTV. สืบค้นเมื่อ December 31, 2006.
  170. "Jackson child custody battle ends". BBC. (September 30, 2006). สืบค้นเมื่อ April 16, 2008. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  171. "Michael Jackson buys rights to Eminem tunes and more". Rolling Stone. (May 31, 2007). สืบค้นเมื่อ June 23, 2008. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  172. "Zona Musical" (ภาษาSpanish). zm.nu. สืบค้นเมื่อ April 5, 2008.{{cite web}}: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์)
  173. "Thriller the best selling album of all time". digitalproducer. (February 20, 2008). สืบค้นเมื่อ April 6, 2008. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  174. "Michael Jackson Thriller 25". ultratop.be. สืบค้นเมื่อ April 6, 2008.
  175. Grein, Paul (May 18, 2008). "Diva Smackdown". Yahoo!. สืบค้นเมื่อ May 22, 2008.
  176. Caulfield, Keith (February 20, 2008). "Big Grammy Gains For Many; King of Pop Returns". Billboard. สืบค้นเมื่อ February 20, 2008. {{cite news}}: ไม่อนุญาตให้ใช้มาร์กอัปตัวเอียงหรือตัวหนาใน: |publisher= (help)
  177. 177.0 177.1 Waddell, Ray (November 7, 2008). "Michael Jackson Eyeing London Run?". Billboard. สืบค้นเมื่อ November 8, 2008.
  178. Friedman, Roger (May 16, 2008). "Jacko: Neverland East in Upstate New York". Fox News Channel. สืบค้นเมื่อ May 22, 2008.
  179. Herrera, Monica (June 25, 2009). "Michael Jackson: King Of Billboard's Pop Charts". Billboard. สืบค้นเมื่อ June 27, 2009. {{cite web}}: ไม่อนุญาตให้ใช้มาร์กอัปตัวเอียงหรือตัวหนาใน: |publisher= (help)
  180. "Choose The Tracks On Michael Jackson's 50th Birthday Album!". Sony BMG. (June 20, 2008). สืบค้นเมื่อ June 20, 2008. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  181. "MJ50 - Michael Jackson". mj50.com. สืบค้นเมื่อ June 20, 2008.
  182. "Michael Jackson — King of Pop". acharts.us. สืบค้นเมื่อ September 11, 2008.
  183. "King of Pop". www.ultratop.be. สืบค้นเมื่อ September 5, 2008.
  184. "Neverland peters out for pop's Peter Pan". The Sydney Morning Herald. (November 13, 2008). สืบค้นเมื่อ November 20, 2008. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  185. "Jacko gives up Neverland ranch deed". Press Association. (November 16, 2008).
  186. Adams, Susan (April 14, 2009). "Ten Most Expensive Michael Jackson Collectibles". Forbes. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 25, 2012. สืบค้นเมื่อ April 14, 2009.
  187. "ไมเคิล แจ็กสัน" จากดวงจันทร์สู่ผืนดิน
  188. Kreps, Daniel (March 12, 2009). "Michael Jackson's "This Is It!" Tour Balloons to 50-Show Run Stretching Into 2010". Rolling Stone. สืบค้นเมื่อ March 24, 2009. {{cite web}}: ไม่อนุญาตให้ใช้มาร์กอัปตัวเอียงหรือตัวหนาใน: |publisher= (help)
  189. Foster, Patrick (March 6, 2009). "Michael Jackson grand finale curtain-raiser". The Times. สืบค้นเมื่อ March 24, 2009. {{cite web}}: ไม่อนุญาตให้ใช้มาร์กอัปตัวเอียงหรือตัวหนาใน: |publisher= (help)
  190. Harvey, Michael (June 26, 2009). "Fans mourn artist for whom it didn't matter if you were black or white". The Times. สืบค้นเมื่อ June 26, 2009.
  191. "Los Angeles Fire Department recording of the emergency phone call made from Michael Jackson's home". BBC. June 26, 2009. สืบค้นเมื่อ June 27, 2009.
  192. "Transcript of 911 call". Yahoo! News. June 26, 2009. สืบค้นเมื่อ June 27, 2009.
  193. "Singer Michael Jackson dead at 50-Legendary pop star had been preparing for London comeback tour". MSNBC. June 25, 2009. สืบค้นเมื่อ June 25, 2009.
  194. King of Pop Michael Jackson dies, aged 50
  195. https://web.archive.org/web/20110920052143/http://www.timesonline.co.uk/tol/news/world/us_and_americas/article6580897.ece
  196. http://edition.cnn.com/2009/TECH/06/26/michael.jackson.internet/
  197. http://www.csmonitor.com/USA/2009/0627/p25s09-usgn.html
  198. Bucci, Paul and Wood, Graeme.Michael Jackson RIP: One billion people estimated watching for gold-plated casket at memorial service. The Vancouver Sun, July 7, 2009.
  199. Allen, Nick.Jackson memorial service: the biggest celebrity send-off of all time, The Daily Telegraph, July 7, 2009.
  200. Video of Sharpton's eulogy, Macleans, July 7, 2009.
  201. /07/michaeljackson Liveblogging Michael Jackson's funeral and memorial service, The Guardian, July 7, 2009.
  202. Burgess, Kaya (2009-08-24). "LA coroner to treat Michael Jackson's death as a homicide". The Times. สืบค้นเมื่อ 2009-08-24.
  203. "Jackson 'had lethal drug levels'". BBC News. 2009-08-25. สืบค้นเมื่อ 2009-08-25.
  204. Doheny, Kathleen (2009-08-24). "Propofol Linked to Michael Jackson's Death". WebMD. สืบค้นเมื่อ 2009-08-25. {{cite news}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |coauthors= ถูกละเว้น แนะนำ (|author=) (help)
  205. "Michael Jackson Homicide Ruling". สืบค้นเมื่อ 2009-08-24.
  206. http://www.telegraph.co.uk/culture/music/michael-jackson/6136376/Michael-Jackson-finally-laid-to-rest-in-Los-Angeles.html
  207. http://www.wired.com/2009/07/michael-jackson-first-to-sell-over-1-million-downloads-in-a-single-week/
  208. Box Office Mojo http://www.boxofficemojo.com/movies/?id=michaeljacksonthisisit.htm
  209. http://www.rollingstone.com/music/news/michael-jackson-estate-sony-strike-massive-250-million-deal-to-release-king-of-pops-music-20100316
  210. "MICHAEL Album Announcement". Breakingnews.michaeljackson.com. สืบค้นเมื่อ 2010-11-04.
  211. Michael Jackson new album vocals genuine, Sony says
  212. 'New' Michael Jackson album set for release
  213. 213.00 213.01 213.02 213.03 213.04 213.05 213.06 213.07 213.08 213.09 213.10 Huey, Steve. "Michael Jackson — Biography". Allmusic. สืบค้นเมื่อ November 11, 2006. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "allmusic" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  214. "Michael Jackson saved my life". scarborougheveningnews.co.uk. สืบค้นเมื่อ June 28, 2009.
  215. Lyle, Peter (November 25, 2007). "Michael Jackson's Monster Smash". The Daily Telegraph. สืบค้นเมื่อ April 20, 2008.
  216. http://www.nme.com/blogs/nme-blogs/the-incredible-way-michael-jackson-wrote-music/
  217. 217.0 217.1 217.2 Erlewine, Stephen Thomas. "Off the Wall Overview". Allmusic. สืบค้นเมื่อ June 15, 2008.
  218. 218.0 218.1 Holden, Stephen (November 1, 1979). "Off the Wall : Michael Jackson". Rolling Stone. สืบค้นเมื่อ July 23, 2008.
  219. Henderson, Eric (2003). "Michael Jackson:Thriller". Slant Magazine. สืบค้นเมื่อ June 15, 2008.
  220. 220.0 220.1 Erlewine, Stephen Thomas. "Thriller Overview". Allmusic. สืบค้นเมื่อ June 15, 2008.
  221. 221.0 221.1 221.2 221.3 Connelly, Christopher (January 28, 1983). "Michael Jackson : Thriller". Rolling Stone. สืบค้นเมื่อ July 23, 2008.
  222. Pareles, Jon (September 3, 1987). "How good is Jackson's Bad?". The New York Times. สืบค้นเมื่อ July 23, 2008.
  223. 223.0 223.1 Erlewine, Stephen Thomas. "Dangerous Overview". Allmusic. สืบค้นเมื่อ June 15, 2008.
  224. 224.0 224.1 224.2 224.3 224.4 224.5 224.6 224.7 Pareles, Jon (November 24, 1991). "Michael Jackson in the Electronic Wilderness". The New York Times. สืบค้นเมื่อ July 23, 2008.
  225. Harrington, Richard (November 24, 1991). "Jackson's `Dangerous' Departures; Stylistic Shifts Mar His First Album in 4 Years". The Washington Post. {{cite news}}: |access-date= ต้องการ |url= (help)
  226. 226.0 226.1 Erlewine, Stephen Thomas. "Michael Jackson HIStory Overview". Allmusic. สืบค้นเมื่อ June 15, 2008.
  227. 227.0 227.1 Hunter, James (August 10, 1995). "Michael Jackson HIStory". Rolling Stone. สืบค้นเมื่อ July 23, 2008.
  228. "Thomas W. (Tom) Sneddon, Jr". ndaa.org. สืบค้นเมื่อ July 12, 2008.
  229. Erlewine, Stephen Thomas. "Michael Jackson :Invincible". Allmusic. สืบค้นเมื่อ September 9, 2007.
  230. Beaumont, Mark (November 30, 2001). "Michael Jackson :Invincible". NME. สืบค้นเมื่อ July 23, 2008.
  231. Brackett, pp. 414
  232. The Complete Guide To The Music of Michael Jackson & The Jackson Family by Geoff Brown. 164 pages, Omnibus Press
  233. Lewarne, Rory (July 26, 2004). "Pink Grease". Music News. สืบค้นเมื่อ August 10, 2008.
  234. 234.0 234.1 234.2 George, p. 24
  235. Hunter, James (December 6, 2001). "Michael Jackson: Invincible". Rolling Stone. สืบค้นเมื่อ July 20, 2008.
  236. http://blogs.telegraph.co.uk/culture/neilmccormick/100000966/michael-jackson-bruce-springsteen-bono-great-singing-is-about-more-than-the-notes/
  237. Noh, David (January 26, 2006). "Choreographer Supreme". Gay City News. สืบค้นเมื่อ January 13, 2009.
  238. http://www.liquisearch.com/lip-synching_in_music/complex_performance
  239. "Michael Jackson, "Billie Jean"". Blender. October 2005. สืบค้นเมื่อ April 11, 2007.
  240. 240.0 240.1 Gundersen, Edna (August 25, 2005). "Music videos changing places". USA Today. สืบค้นเมื่อ July 23, 2008.
  241. http://archive.is/20120525231341/findarticles.com/p/articles/mi_m1355/is_14_110/ai_n16807343/
  242. Robinson, Bryan (February 23, 2005). "Why Are Michael Jackson's Fans So Devoted?". ABC News. สืบค้นเมื่อ April 6, 2007.
  243. Jackson, Michael. Thriller Special Edition Audio.
  244. "Philippine jailhouse rocks to Thriller". BBC. (July 27, 2007). สืบค้นเมื่อ April 11, 2009. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  245. http://www.mtv.com/news/1614750/michael-jacksons-music-video-legacy/
  246. http://www.mjshouse.com/stories/oprah.html
  247. Taraborrelli, pp. 370–373
  248. Corliss, Richard (September 6, 1993). "Who's Bad?". Time. สืบค้นเมื่อ April 23, 2008.
  249. "U.S. Patent 5,255,452; "Method and Means For Creating Anti-Gravity Illusion"; Michael J. Jackson, Michael L. Bush, Dennis Tompkins, issued Oct 26, 1993, Filed June 29, 1992".
  250. Michael Jackson Dangerous on Film VHS/DVD
  251. Campbell (1993), p. 303
  252. Campbell (1993), pp. 313–314
  253. Boepple, Leanne (November 1, 1995). Scream: space odyssey Jackson-style.(video production; Michael and Janet Jackson video). Vol. 29. Theatre Crafts International. p. 52. ISSN 1063-9497.
  254. Bark, Ed (June 26, 1995). Michael Jackson Interview Raises Questions, Answers. St. Louis Post-Dispatch. p. 06E.
  255. Guinness World Records 2006
  256. Michael Jackson HIStory on Film volume II VHS/DVD
  257. Lewis, pp. 125–126
  258. Guinness World Records 2004
  259. 259.0 259.1 Reid, Antonio. "Michael Jackson". Rollingstone. สืบค้นเมื่อ March 6, 2007. {{cite web}}: ไม่อนุญาตให้ใช้มาร์กอัปตัวเอียงหรือตัวหนาใน: |publisher= (help)
  260. http://www.foxnews.com/story/2009/06/30/celine-dion-remembers-her-idol-michael-jackson.html
  261. http://archive.azcentral.com/ent/celeb/articles/2009/07/04/20090704madonna-inspired-by-jackson.html
  262. http://www.billboard.com/articles/columns/the-juice/6140752/beyonce-tribute-letter-michael-jackson-5-year-death
  263. Jean-Louis, Rosemary (November 1, 2004). "Usher, Usher, Usher: The new 'King of Pop'?". CNN. สืบค้นเมื่อ March 6, 2007.
  264. http://www.ew.com/article/2011/05/02/chris-brown-michael-jackson-she-aint-you-video
  265. "ADL happy with Michael Jackson decision". Anti-Defamation League. (June 22, 1995). สืบค้นเมื่อ July 1, 2008. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  266. http://www.theatlantic.com/entertainment/archive/2010/06/michael-jacksons-unparalleled-influence/58616/
  267. http://www.bet.com/topics/m/michael-jackson.html
  268. http://edition.cnn.com/2009/SHOWBIZ/Music/06/28/michael.jackson.black.community/
  269. Utley, Tom (March 8, 2003). "Of course Jackson's odd — but his genius is what matters". The Daily Telegraph. สืบค้นเมื่อ July 23, 2008.
  270. http://www.gigiiam.com/michael-jackson-diamond-award-2006.htm
  271. Monroe, Bryan (December 2007). "Michael Jackson in His Own Words" (Print/Magazine). Ebony. {{cite news}}: |format= ต้องการ |url= (help)
  272. http://articles.baltimoresun.com/2009-06-28/news/0906260178_1_michael-jackson-jackson-changed-jackson-five
  273. http://edition.cnn.com/2009/SHOWBIZ/Music/06/25/michael.jackson.world/
  274. "Witness: Jacko Lived Way Above Means". Fox News Channel. (May 3, 2005). สืบค้นเมื่อ May 30, 2007. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  275. "Tom Sneddon: Dogged prosecutor". BBC. (January 31, 2005). สืบค้นเมื่อ August 14, 2008. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  276. https://www.britishcouncil.org/80moments/?_e_pi_=7%2CPAGE_ID10%2C5655166218
  277. "Michael Jackson and Halle Berry Pick Up Bambi Awards in Berlin". Hello!. (November 22, 2002). สืบค้นเมื่อ July 23, 2008. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  278. http://juny.expertscolumn.com/article/michael-jackson-most-awarded-artist-all-time
  279. "Most No. 1s By Artist (All-Time)". Billboard. สืบค้นเมื่อ September 8, 2008.
  280. "Pop Icon Looks Back At A "Thriller" Of A Career In New Interview". CBS. (November 6, 2007). สืบค้นเมื่อ February 14, 2008. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  281. Lee, Chris (May 31, 2009). "To this financier, Michael Jackson is an undervalued asset". Los Angeles Times. สืบค้นเมื่อ May 31, 2009.
  282. http://newslibrary.naver.com/viewer/index.nhn?articleId=1984032100209201021&editNo=2&printCount=1&publishDate=1984-03-21&officeId=00020&pageNo=1&printNo=19220&publishType=00020
  283. http://newslibrary.naver.com/viewer/index.nhn?articleId=1985010400209205001&editNo=2&printCount=1&publishDate=1985-01-04&officeId=00020&pageNo=5&printNo=19463&publishType=00020
  284. http://www.billboard.com/articles/news/268216/michael-jackson-remains-a-global-phenomenon?page=0%2C4
  285. http://edition.cnn.com/2009/SHOWBIZ/Music/06/28/michael.jackson.black.community/
  286. http://www.asianews.it/news-en/Asia-mourns-for-Michael-Jackson-15619.html
  287. https://books.google.co.th/books?id=T0sB47TxoCwC&pg=PT18&lpg=PT18&dq=ahir+bhairab+borthakur+michael+jackson&source=bl&ots=SeWz1RTrx0&sig=c4q-gr-Z9VLKlmQ9p2viaiC1x24&hl=th&sa=X&ved=0ahUKEwjym-jlov_MAhUDso8KHQVfA_MQ6AEIGjAA#v=onepage&q=ahir%20bhairab%20borthakur%20michael%20jackson&f=false
  288. http://www.billboard.com/articles/news/268216/michael-jackson-remains-a-global-phenomenon?page=0%2C4
  289. http://www.huffingtonpost.com/nosheen-abbas/pakistan-mourns-michael-j_b_224790.html
  290. http://www.billboard.com/articles/news/268216/michael-jackson-remains-a-global-phenomenon?page=0%2C4
  291. https://www.notjustalabel.com/editorial/style-autopsy-king-pop
  292. http://www.borgenmagazine.com/michael-jacksons-donation-history/
  293. http://www.asianews.it/news-en/Asia-mourns-for-Michael-Jackson-15619.html
  294. http://www.nbcbayarea.com/entertainment/music/NATL-Jackson-Fans-Attempt-to-Thrill-the-World-With-Dance-Record-65930232.html
  295. Barnes, Brokes (June 25, 2009). "A Star Idolized and Haunted, Michael Jackson Dies at 50". New York Times. สืบค้นเมื่อ July 12, 2009.
  296. "More adds, loose ends, and lament". The 120 Minutes Archive. July 25, 2009. สืบค้นเมื่อ July 26, 2009.
  297. "Farewell to a King". People. July 20, 2009. สืบค้นเมื่อ November 26, 2009. {{cite web}}: ไม่อนุญาตให้ใช้มาร์กอัปตัวเอียงหรือตัวหนาใน: |work= (help)
  298. "BERRY GORDY – GORDY BRINGS MOURNERS TO THEIR FEET WITH JACKSON TRIBUTE". Contact Music. July 7, 2009. สืบค้นเมื่อ November 26, 2009. {{cite web}}: ไม่อนุญาตให้ใช้มาร์กอัปตัวเอียงหรือตัวหนาใน: |work= (help)
  299. "Michael Jackson hailed as greatest entertainer, best dad". Reuters UK. July 8, 2009. สืบค้นเมื่อ November 26, 2009. {{cite web}}: ไม่อนุญาตให้ใช้มาร์กอัปตัวเอียงหรือตัวหนาใน: |work= (help)
  300. Serjeant, Jill. Michael Jackson's Death Among 2009's Major Moments. ABC News, December 29, 2009.
  301. Jones, pp. 229, 259
  302. Taraborrelli, pp. 355–356
  303. Taraborrelli, pp. 413–414
  304. Taraborrelli, p. 610
  305. Scott, A. O. "Defending Earth, With Worms and a Talking Pug". The New York Times. สืบค้นเมื่อ February 7, 2009. {{cite news}}: ไม่อนุญาตให้ใช้มาร์กอัปตัวเอียงหรือตัวหนาใน: |publisher= (help)
  306. Chaney, Jen (July 19, 2005). "'Miss Cast Away': You Know It's Bad". The Washington Post. สืบค้นเมื่อ February 7, 2009. {{cite web}}: ไม่อนุญาตให้ใช้มาร์กอัปตัวเอียงหรือตัวหนาใน: |publisher= (help)
  307. Karen Bliss (2012-09-17). "Spike Lee Revisits Michael Jackson's Career for 'BAD 25' Documentary | Music News". Rolling Stone. สืบค้นเมื่อ 2012-11-11.
  308. "Bad 25: Venice Review". The Hollywood Reporter. 2012-08-31. สืบค้นเมื่อ 2012-11-11.

บรรณานุกรม

แหล่งข้อมูลอื่น