ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กองทัพบกไทย"
บรรทัด 632: | บรรทัด 632: | ||
กองทัพบกและ[[กองทัพเรือไทย|กองทัพเรือ]]ร่วมกันลงนามในสัญญาจัดหาเครื่องบินแบบ [[ERJ-135]] จากบริษัท [[Embraer]] ประเทศ[[บราซิล]] จำนวน 2 ลำ เหล่าทัพละ 1 ลำ โดยกองทัพบกและ[[กองทัพเรือไทย|กองทัพเรือ]]จะนำไปใช้ในในสนับสนุนการเดินทางของผู้บัญชาการและบุคคลสำคัญ สำหรับเครื่องของ[[กองทัพเรือไทย|กองทัพเรือ]]ยังเพิ่มความสามารถในการขนส่งผู้บาดเจ็บจากการสู้รบ [[MEDEVAC]] ได้ด้วย ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนภารกิจของทหารเรือในสามจังหวัดชายแดนใต้ <ref>[http://www.embraer.com/english/content/imprensa/press_releases_detalhe.asp?id=1710 Embraer Press Release] Embraer sign contracts with the Royal Thai Army and the Royal Thai Navy</ref> |
กองทัพบกและ[[กองทัพเรือไทย|กองทัพเรือ]]ร่วมกันลงนามในสัญญาจัดหาเครื่องบินแบบ [[ERJ-135]] จากบริษัท [[Embraer]] ประเทศ[[บราซิล]] จำนวน 2 ลำ เหล่าทัพละ 1 ลำ โดยกองทัพบกและ[[กองทัพเรือไทย|กองทัพเรือ]]จะนำไปใช้ในในสนับสนุนการเดินทางของผู้บัญชาการและบุคคลสำคัญ สำหรับเครื่องของ[[กองทัพเรือไทย|กองทัพเรือ]]ยังเพิ่มความสามารถในการขนส่งผู้บาดเจ็บจากการสู้รบ [[MEDEVAC]] ได้ด้วย ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนภารกิจของทหารเรือในสามจังหวัดชายแดนใต้ <ref>[http://www.embraer.com/english/content/imprensa/press_releases_detalhe.asp?id=1710 Embraer Press Release] Embraer sign contracts with the Royal Thai Army and the Royal Thai Navy</ref> |
||
วันที่ 12 มกราคม 2552 กองทัพบกได้ลงนามจัดหาเครื่องบินแบบ [[ERJ-135]] เพิ่มเติมอีก 1 ลำเพื่อใช้ในการสนับสนุนการเดินทางของผู้บัญชาการและบุคคลสำคัญ รวมถึงขนส่งผู้บาดเจ็บจากการสู้รบ ([[MEDEVAC]]) <ref>[http://www.flightglobal.com/articles/2009/01/12/320857/thailand-buys-third-erj-135.html Flight International] Thailand buys third ERJ-135</ref> |
|||
===การจัดหาเฮลิคอปเตอร์ลำเลียง=== |
===การจัดหาเฮลิคอปเตอร์ลำเลียง=== |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 07:56, 14 มกราคม 2552
กองทัพบก (Royal Thai Army) | |
---|---|
ไฟล์:RTA-emblem.png ตราราชการกองทัพบก | |
ประเทศ | ไทย |
รูปแบบ | กองทัพบก |
กำลังรบ | 7 กองพลทหารราบ 1 กองพลทหารม้ายานเกราะ 1 กองพลทหารม้า 2 กองพลรบพิเศษ 1 กองพลปืนใหญ่ 1 กองพลปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน |
กองบัญชาการ | กองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนิน กรุงเทพมหานคร |
คำขวัญ | เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน |
สีหน่วย | แดง |
เพลงหน่วย | มาร์ชกองทัพบก |
วันสถาปนา | 18 มกราคม (วันกองทัพบกและวันกองทัพไทย) |
ผู้บังคับบัญชา | |
ผู้บัญชาการ ทหารบก | พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา |
ผบ. สำคัญ | จอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี พล.อ. พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช พล.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา จอมพล หลวงพิบูลสงคราม จอมพล ผิน ชุณหะวัณ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ พล.อ. สุจินดา คราประยูร พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน |
เครื่องหมายสังกัด | |
ตราราชการ | |
ธงประจำ กองทัพ |
กองทัพบกไทย (ทบ.) เป็นกองทัพที่เก่าแก่และมีขนาดใหญ่ที่สุดในกองทัพไทย ก่อตั้งเป็นกองทัพสมัยใหม่ขี้นในปี พ.ศ. 2417 เหตุผลส่วนหนึ่งคือ เพื่อรับมือกับการคุกคามรุกแบบใหม่จากอังกฤษ ภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาวริ่ง และการเปิดประเทศใน พ.ศ. 2398
ประวัติ
กองทัพบก ได้กำเนิดมาพร้อมๆ กับการก่อตั้งราชอาณาจักรไทย และเป็นรากฐานของความมั่นคงของประเทศชาติตลอดมา การปฏิรูปการทหารบกของไทยเป็นแบบตะวันตก ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือต้นแบบของกิจการทหารบกสมัยปัจจุบัน
กองบัญชาการกองทัพบก สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงราชสมบัติ เมื่อ พ.ศ. 2394 กิจการแรกที่พระองค์ทรงกระทำ คือ ทรงตั้งเจ้าพระยาพระคลัง (ดิส บุนนาค) ว่าที่สมุหพระกลาโหมขึ้นเป็น สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ ดำรงตำแหน่งสมุหพระกลาโหม และให้จัดการเรื่องกิจการทหารเป็นการด่วน โดยให้ปรับปรุงกองทัพบกให้เป็นแบบสมัยใหม่ และมีประสิทธิภาพที่สามารถป้องกันประเทศชาติได้ ทั้งนี้ เพราะประเทศมหาอำนาจทางตะวันตกได้แผ่อิทธิพลเข้ามา อยู่เหนือประเทศทางภูมิภาคเอเซียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ และมีท่าทีคุกคามต่อประเทศไทยยิ่งขึ้นตามลำดับ สำหรับการปรับปรุงในด้านวิทยาการนั้น พระองค์ทรงจ้าง ร้อยเอก อิมเปย์ และ ร้อยเอก น็อกส์ ชาวอังกฤษ ซึ่งเดินทางจากอินเดียผ่านเข้ามาทางพม่า ให้เป็นครูฝึกหัดทหารบก ทั้งทหารของวังหน้าและวังหลวง ดังนั้นใน พ.ศ. 2395 กองทหารที่ได้รับการฝึกและจัดแบบตะวันตก มีดังนี้
- กองรักษาพระองค์อย่างยุโรป
- กองทหารหน้า
- กองปืนใหญ่อาสาญวน
กองทหารหน้าเป็นหน่วยที่ได้รับการฝึกแบบใหม่ มีอาวุธใหม่ และมีทหารประจำการมากกว่าทหารหน่วยอื่นๆ ทั้งยังมีความชำนาญในการรบมาพอสมควร เนื่องจากได้เข้าสมทบในกองทัพหลวงไปทำศึกที่เมืองเชียงตุง เมื่อปี พ.ศ. 2395 และ พ.ศ. 2396 การศึกทั้ง 2 ครั้งนี้ กองทหารหน้าได้สำแดงเกียรติภูมิในหน้าที่ของตนไว้อย่างน่าชมเชย จึงเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยเป็นอย่างมาก ยามปกติกองทหารหน้ามีหน้าที่เข้าขบวนแห่นำตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกคราว นอกจากนั้นยังมีหน้าที่ปราบปรามโจรผู้ร้ายตามหัวเมืองต่างๆ เช่น ปราบปรามพวกอั้งยี่ที่มณฑลปราจีน และเมืองชลบุรีอีกด้วย จึงนับได้ว่า " กองทหารหน้า " นี้เองเป็นรากเหง้าของกองทัพบกในปัจจุบันนี้
กิจการทหารบกได้รุดหน้าไปอีก เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงมหิศวรินทรามเรศ ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการกองทหารหน้าใน พ.ศ. 2398 พระองค์ทรงรวบรวมกองทหารที่อยู่อย่างกระจัดกระจายทั่วกรุงเทพฯ มารวมไว้ที่เดียวกัน คือโรงทหารสนามไชย กองทหารดังกล่าวคือ
- กองทหารฝึกแบบยุโรป (เดิมอยู่ริมคลองโอ่งอ่างฝั่งตะวันออก)
- กองทหารมหาดไทย (ซึ่งถูกเกณฑ์มาจากหัวเมืองฝ่ายเหนือ)
- กองทหารกลาโหม (ซึ่งถูกเกณฑ์มาจากหัวเมืองฝ่ายใต้)
- กองทหารเกณฑ์หัด (คือพวกขุนหมื่นสิบยก กองทหารเกณฑ์หัดนี้ ขึ้นกับกองทหารหน้า)
จะเห็นได้ว่า การจัดการทหารบกแบบตะวันตกหรือกองทัพบกปัจจุบันนี้เริ่มขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว แต่เป็นไปในวงแคบ อำนาจในการปกครองบังคับบัญชาทหารในกรุงเทพฯ แยกออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ทหารที่สังกัดพระบรมมหาราชวังขึ้นโดยตรงต่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนทหารที่สังกัดพระบวรราชวัง หรือวังหน้า ขึ้นโดยตรงต่อ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนทหารในหัวเมืองก็แยกขึ้นกับ สมุหพระกลาโหม และสมุหนายก
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ พระองค์มิได้แถลงพระบรมราโชบายในการจัดการทางทหารไว้เป็นที่เด่นชัด อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาถึงสภาวการณ์ และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ รวมทั้งวิธีการทางทหาร ตลอดจนพระปรีชาญาณในการบริหารประเทศแล้วอาจพิจารณาได้ว่า พระองค์น่าจะทรงมีพระราชประสงค์ในการจัดการทางทหารเป็น 2 ประการ คือ
- การปฏิรูปการทหารเพื่อความมั่นคงแห่งราชบัลลังก์
- การปฏิรูปการทหารเพื่อความเจริญทางด้านการทหารเอง และให้เหมาะสมกับกาลสมัย ตลอดจนสามารถรักษาความปลอดภัยให้แก่ประเทศชาติ
เนื่องจาการทหารในสมัยนั้นยังเป็นไปในลักษณะกระจัดกระจาย อยู่ในสังกัดอำนาจของบุคคลหลายฝ่าย จึงทำให้การปฏิรูปการทหารของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในระยะแรกมีขอบเขตจำกัด ต่อมาใน พ.ศ. 2415 ภายหลังจากการเสด็จไปประพาสสิงคโปร์และปัตตาเวียแล้ว พระองค์โปรดให้ปรับปรุงการทหารให้กาวหน้ายิ่งขึ้น โดยนำแบบอย่างการทหารที่ชาวยุโรปนำมาฝึกทหารในอาณานิคมของตน แต่ได้ดัดแปลงแก้ไขให้เหมาะสมกับสภาพของประเทศไทย โปรดให้แบ่งหน่วยทหารออกเป็น 7 หน่วย ดังนี้
- กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์
- กรมทหารรักษาพระองค์
- กรมทหารล้อมวัง
- กรมทหารหน้า
- กรมทหารปืนใหญ่
- กรมทหารช้าง
- กรมทหารฝีพาย
พ.ศ. 2430 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงหารือกับพระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดี ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจัดการทหารอย่างใหม่เป็นระเบียบแบบแผนและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนั้น ในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2430 จึงได้มี "ประกาศจัดการทหาร" ขึ้น โดยตั้ง "กรมยุทธนาธิการ" มีลักษณะเป็นกรมกลางของทหารบก และทหารเรือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระราชอิสริยยศตำแหน่ง "จอมทัพ" สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ทรงเป็น "ผู้บังคับบัญชาการทั่วไป" และเพื่อให้หน่วยทหารได้รับการบังคับบัญชาดูแลได้ทั่วถึง จึงทรงแต่งตั้งตำแหน่งผู้ช่วยเหลือผู้บังคับบัญชาทั่วไปอีก 4 ตำแหน่ง คือ
- เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก
- เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ
- เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้บัญชาการใช้จ่าย
- เจ้าพนักงานใหญ่ ผู้บัญชาการยุทธภัณฑ์
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากพระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกแซนด์เฮิสต์ ประเทศอังกฤษ ทั้งยังทรงรับราชการในกรมทหารราบเบาเดอรัม และค่ายฝึกทหารปืนใหญ่ นับว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ได้ทรงศึกษาวิชาทหารบกจากต่างประเทศโดยเฉพาะ เมื่อพระองค์เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ จึงทรงปรับปรุงกิจการทหารบกให้ดียิ่งขึ้น และเจริญก้าวหน้าตามแบบอย่างทหารในทวีปยุโรป พระองค์ทรงให้มีการเปลี่ยนแปลงการบริหารกิจการทหารใหม่ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2453 โดย
- เปลี่ยนชื่อกรมยุทธนาธิการ เป็น กระทรวงกลาโหม มีหน้าที่ดูแลการปกครองเฉพาะกิจการทหารบก
- ยกกรมทหารเรือ ขึ้นเป็น กระทรวงทหารเรือ
- จัดตั้งสภาป้องกันพระราชอาณาจักร ทำหน้าที่ประสานงานระหว่างกระทรวงกลาโหม และกระทรวงทหารเรือ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นทหารบกโดยอาชีพ กล่าวคือ ทรงศึกษาวิชาทหารบกจากวิทยาลัยการทหารวูลลิช ประเทศอังกฤษ และวิชาเสนาธิการทหาร จากโรงเรียนเสนาธิการฝรั่งเศส พระองค์ทรงพยายามทุกวิถีทางที่จะทำนุบำรุงกิจการทหารบกให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น แต่ปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและการขากแคลนงบประมาณแผ่นดิน ทำให้รัฐบาลมีความจำเป็นต้องตัดทอนรายจ่าย และส่งผลกระทบมาถึงกิจการทหารในสมัยของพระองค์ด้วย มีการยุบกรมกองและปลดข้าราชการตำแหน่งต่างๆ ลง ต่อมาในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2475 ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ยุบกระทรวงทหารเรือ รวมเข้ากับกระทรวงกลาโหม ให้เสนาบดีกระทรวงกลาโหมมีอำนาจหน้าที่บังคับบัญชาการทหาร 3 ฝ่าย คือ ทหารบก ทหารเรือ และทหารอากาศ ปัญหาและผลสะท้อนจาการตัดทอนรายจ่ายในราชการทหารนี้เองเป็นสาเหตุนำไปสู่ความยุ่งยากทางการเมือง
กองบัญชาการกองทัพบก หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการที่เคยดำรงตำแหน่งชั้นสูงในกองทัพบก ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งจนหมด และได้มีการบรรจุบุคคลอื่นเข้าดำรงตำแหน่งแทน โดยมี นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นผู้บัญชาการทหารบก และ นายพันเอก พระยาทรงสุรเดช เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกฝ่ายยุทธการ อย่างไรก็ตามงานในหน้าที่ผู้บังคับบัญชาทหารบกกลับอยู่ในมือของ นายพันเอก พระยาทรงสุรเดช เนื่องจากมีความสามารถและความเชี่ยวชาญทางวิชาการทหารสูง จึงมีบทบาทในการจัดราชการทหารอยู่ระยะหนึ่ง ในเดือนกันยายน ปี 2476 พระยาทรงสุรเดช ได้ก่อความไม่สงบขึ้น โดยมั่นหมายที่จะเปลี่ยนแปลงบุคคลในระดับสูง ทั้งทางด้านการทหารและพลเรือนเสียใหม่ แต่ไม่สำเร็จ
เมื่อเกิดสงครามมหาเอเซียบูรพา จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขณะนั้น ได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ทางทหาร ด้วยการนำกำลังกองทัพบกส่วนใหญ่ขึ้นไปอยู่ทางภาคเหนือ แล้วจัดตั้งเป็นกองทัพพายัพขึ้น กับได้วางแผนการย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพฯ ไปอยู่เพชรบูรณ์ ทั้งนี้เพื่อรักษาอธิปไตยของไทยให้พ้นจากการยึดครองของญี่ปุ่น และในขณะเดียวกัน ก็พยายามรักษากำลังทัพของไทยมิให้กองทัพญี่ปุ่นปลดอาวุธ แผนการนี้เป็นแผนที่จะใช้พื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นป้อมปราการต่อสู้ตายกับศัตรู เมื่อภัยสงครามได้ทวีความรุนแรงขึ้นใน พ.ศ. 2486 กองบัญชาการกองทัพบกสนามได้อพยพส่วนหนึ่งจากกรุงเทพฯ ไปตั้งที่ ตำบลวังรุ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ตามแผนการย้ายเมืองหลวงดังกล่าว
กองบัญชาการกองทัพบก นอกจากจะมีที่ตั้งอยู่ภายในกระทรวงกลาโหมแล้ว ยังมีกองบัญชาการอีกส่วนหนึ่งอยู่ที่หอประชุมกองทัพบก และบริเวณสวนรื่นฤดี เขตดุสิต กล่าวคือ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2500 รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและแต่งตั้งให้ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้บัญชาการฝ่ายทหาร มีอำนาจเต็มที่ในการสั่งการแก่ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และตำรวจ โดยใช้หอประชุมกองทัพบก เป็นกองบัญชาการฝ่ายทหาร ต่อมาในเดือนกันยายน เมื่อคณะทหารภายใต้การนำของ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้พร้อมใจกันยึดอำนาจจากรัฐบาล (จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ได้ใช้หอประชุมกองทัพ เป็นกองบัญชาการผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร แต่ได้ปิดลงในระยะเวลาอันสั้น แล้วตั้งเป็น กองบัญชาการกองทัพบก ส่วนที่ 2 ขึ้นแทน ต่อมาใน พ.ศ. 2503 ได้ใช้หอประชุมกองทัพบก เป็นกองบัญชาการกองทัพบก ส่วนที่ 2 อีกครั้ง เมื่อสถานการณ์ตามแนวพรหมแดนมีปัญหาขัดแย้งบางประการ อันจะมีผลกระทบต่อประเทศไทย และใน พ.ศ. 2506 จอมพล ประภาส จารุเสถียร รองผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้น ให้เปลี่ยนชื่อกองบัญชาการกองทัพบกส่วนที่ 2 เป็นศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกและใช้เรียกชื่อนี้เรื่อยมาจนปัจจุบัน แม้ว่าศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกจะย้ายมาตั้ง ณ สวนรื่นฤดี ถนนสุโขทัย เขตดุสิต ก็ตาม
ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ปัจจุบันเป็นหน่วยเฉพาะกิจ ประกอบด้วย สำนักงานผู้บังคับบัญชาและฝ่ายอำนวยการต่างๆ มีภารกิจในการวางแผน อำนวยการ ประสานการปฏิบัติ และกำกับดูแลหน่วยรองของกองทัพบก และกำลังรบเฉพาะกิจในการปฏิบัติเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ และความมั่นคงของรัฐในทุกรูปแบบ
กองบัญชาการกองทัพบก สมัยปัจจุบัน
พลเอก อาทิตย์ กำลังเอก ขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก พิจารณาเห็นว่า กองทัพบกเป็นสถาบันหลักสถานบันหนึ่งของประเทศ มีภารกิจในการรักษาความมั่นคงและอธิปไตยของชาติ ตลอดจนเทิดทูนและรักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ แต่ยังไม่มีกองบัญชาการเป็นสัดส่วนของตนเองเช่นเหล่าทัพอื่น ทั้งยังได้อาศัยอาคารและสถานที่ของกระทรวงกลาโหมมาโดยตลอดทุกยุคทุกสมัย สถานที่ดังกล่าวนอกจากจะคับแคบ ไม่เป็นเอกเทศกับตนเองแล้ว ยังไม่สมเกียรติและศักดิ์ศรีของกองทัพบกอีกด้วย ดังนั้น ผู้บัญชาการทหารบกจึงได้สั่งการให้พิจารณาหาสถานที่ก่อสร้าง "กองบัญชาการกองทัพบก" แห่งใหม่ ในระยะแรกได้พิจารณาเห็นว่า สถานที่บริเวณกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ บางเขน มีพื้นที่เพียงพอ การคมนาคมสะดวก แต่เรื่องนี้ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ เนื่องจากติดขัดทางด้านงบประมาณ
ครั้นเมื่อโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ย้ายไปอยู่ ณ เขาชะโงก อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก กองทัพบกพิจารณาเห็นว่า โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าเดิม ซึ่งตั้งอยู่บนถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพมหานคร เป็นสถานที่ที่มีความสง่างาม มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานควบคู่กับกองทัพบก นอกจากนั้น ยังมีพื้นที่กว้างขวาง การคมนาคมสะดวก เนื่องจากตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร และเป็นเส้นทางผ่านของแขกบ้านแขกเมือง หากกองทัพบกใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นกองบัญชาการกองทัพบก นอกจากจะมีความเหมาะสมอย่างยิ่งดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังเป็นการประหยัดงบประมาณของกองทัพบกและประเทศชาติได้อีกเป็นจำนวนมาก ผู้บัญชาการทหารบก จึงได้สั่งการให้ใช้สถานที่แห่งนี้เป็น กองบัญชาการกองทัพบก และได้กระทำพิธีเปิดที่ทำการของกองบัญชาการกองทัพบกครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2529 สำหรับการกำหนดสถานที่ของหน่วยงานต่างๆ ภายในกองบัญชาการกองทัพบกในครั้งนั้น ได้กำหนดให้อาคารซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของส่วนราชการโรงเรียนนายร้อยฯ เดิม (ตรงข้ามสนามมวยราชดำเนิน) เป็นที่ตั้งของกรมฝ่ายเสนาธิการ ส่วนอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของส่วนการศึกษาเดิม (ตรงข้ามกระทรวงศึกษาธิการ) เป็นที่ตั้งของสำนักงานปลัดบัญชีกองทัพบก สำนักงานตรวจบัญชีกองทัพบก และกรมการเงินทหารบก
ต่อมาสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ขอใช้ที่ดินบริเวณส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อยฯ เดิม เพื่อขยายสถานที่ทำงานของทำเนียบรัฐบาล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ลงมติเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2530 อนุมัติหลักการให้สำนักนายกรัฐมนตรีใช้ที่ดินและอาคารสถานที่บริเวณส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อยฯ เดิม และอนุมัติให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้กองทัพบกในการก่อสร้างอาคาร "กองบัญชาการกองทัพบก" แห่งใหม่ บริเวณส่วนบัญชาการโรงเรียนนายร้อยฯ เดิม คณะกรรมการโครงการก่อสร้างกองบัญชาการกองทัพบก จึงได้พิจารณาออกแบบอาคารขนาดใหญ่ที่ทันสมัย เพื่อเป็นศูนย์รวมในการปฏิบัติงานของผู้บังคับบัญชาชั้นสูง และฝ่ายเสนาธิการต่างๆ ของกองทัพบก ให้สามารถปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ พิธีวางศิลาฤกษ์กองบัญชาการกองทัพบกแห่งใหม่นี้ได้กำหนดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2531 ระหว่างเวลา 08.49 - 09.29 นาฬิกา โดยมี พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้บัญชาการทหารบก รักษาราชการผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานในพิธี
สำหรับหน่วยที่ใช้สถานที่ภายในอาคาร "กองบัญชาการกองทัพบก" ปัจจุบันประกอบด้วย
- อาคารส่วนที่ 1
- สำนักงานผู้บังคับบัญชาชั้นสูง
- กรมยุทธการทหารบก
- กรมข่าวทหารบก
- กรมกำลังพลทหารบก
- กรมส่งกำลังบำรุงทหารบก
- กรมกิจการพลเรือนทหารบก
- ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก
- อาคารส่วนที่ 2 และส่วนที่ 3
- ประชาสัมพันธ์ หน่วยตรวจโรค ร้านสวัสดิการ ห้องจัดเลี้ยง ห้องเตรียมอาหาร ห้องอาหารนายทหารชั้นสัญญาบัตรและนายทหารชั้นประทวน ห้องประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก หน่วยสื่อสาร ห้องสมุด
- สำนักงานที่ปรึกษา ทบ.
- ศูนย์เทคโนโลยีทางทหารกองทัพบก
- กรมสารบรรณทหารบก
- อาคารส่วนที่ 4
- สำนักงานเลขานุการกองทัพบก
- กรมการเงินทหารบก
- ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) สาขาย่อย บก.ทบ.
- อาคารส่วนที่ 5
- อาคารจอดรถสูง 9 ชั้น
ภารกิจกองทัพบก
พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2503 มาตรา14 กำหนดอำนาจและหน้าที่กระทรวงกลาโหมและหน้าที่ของกองทัพบกไว้ว่า "กองทัพบกมีหน้าที่เตรียมกำลังทางบก และป้องกันราชอาณาจักร มีผู้บัญชาการทหารบกเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ"
การแบ่งเหล่า
กองทัพบกไทย มีการแบ่งเหล่าทหารบก ออกเป็นเหล่าต่างๆ ดังต่อไปนี้
หน่วยรบ
หน่วยรบ เป็นหน่วยหลักที่ใช้ในการรบ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่หลักในสนามรบ ประกอบด้วย
- ทหารราบ (ร.) เป็นกำลังรบหลักของกองทัพบกไทย มีกำลังพลมากที่สุด มีหน้าที่เข้ารักษาพื้นที่
- ทหารม้า (ม.) แบ่งออกเป็นสองส่วนคือ
- ทหารม้าขี่ม้า มีขีดความสามารถเทียบเท่าทหารราบ
- ทหารม้ายานเกราะ ใช้รถถัง ยานสายพาน หรือยานหุ้มเกราะเป็นพาหนะในการรบ
- ทหารปืนใหญ่ (ป.) ใช้ปืนใหญ่ยิงช่วยเหลือหรือสนับสนุนทหารราบในการรบ
หน่วยสนับสนุนการรบ
หน่วยสนับสนุนการรบ เป็นฝ่ายสนุบสนุนการรบ โดยมากมักปฏิบัติงานควบคู่กับหน่วยรบในสนามรบ ประกอบด้วย
- ทหารช่าง (ช.) เป็นฝ่ายช่วยเหลือทางเทคนิคด้านงานช่าง ก่อสร้าง ซ่อม หรือทำลาย สิ่งก่อสร้างต่างๆ
- ทหารสื่อสาร (สส.) เป็นฝ่ายช่วยเหลือทางเทคนิคด้านงานสื่อสาร
- ทหารขนส่ง (ขส.) เป็นฝ่ายอำนวยความสะดวกเรื่องการขนส่งกำลังพล และสิ่งอุปกรณ์
หน่วยช่วยรบ
หน่วยช่วยรบ เป็นฝ่ายส่งกำลังหรือสิ่งอุปรณ์ช่วยเหลือการรบ โดยมากปฏิบัติงานแนวหลังในสนามรบ ประกอบด้วย
- ทหารสรรพาวุธ (สพ.) เป็นฝ่ายสนับสนุนสิ่งอุปกรณ์จำพวก อาวุธ กระสุน วัตถุระเบิด ตลอดจนยานพาหนะในการรบ
- ทหารพลาธิการ (พธ.) เป็นฝ่ายสนับสนุนสิ่งอุปกรณ์จำพวก อาหาร เครื่องแต่งกาย เชื้อเพลิง ยุทธภัณฑ์ส่วนบุคคล
- ทหารแพทย์ (พ.) เป็นฝ่ายสนับสนุนสิ่งอุปกรณ์ในกลุ่มเวชภัณฑ์ และสิ่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงเป็นฝ่ายรักษาพยาบาลให้กับทหารและครอบครัวทหาร
หน่วยอื่นๆ
นอกจากนี้ยังมีหน่วยอื่นๆ ที่มิได้เป็นหน่วยที่เกี่ยวข้องกับการรบโดยตรง ประกอบด้วย
- ทหารสารบรรณ (สบ.) มีหน้าที่ดำเนินการด้านธุรการ เอกสาร ทะเบียนประวัติ และงานสัสดี
- ทหารการเงิน (กง.) ปฏิบัติงานด้านการเงิน บัญชี งบประมาน และการเบิกจ่ายงบประมาน
- ทหารพระธรรมนูญ (ธน.) ดำเนินการด้านกฎหมาย การศาลทหาร และงานทนายทหาร
- ทหารแผนที่ (ผท.) มีหน้าที่สำรวจและจัดทำ แผนที่และภาพถ่ายทางอากาศ
- ทหารการสัตว์ (กส.) มีหน้าที่ดูแลสัตว์ในราชการกองทัพ
- ทหารดุริยางค์ (ดย.) มีหน้าที่ให้ความบันเทิง
- สารวัตรทหาร (สห.) มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยและระเบียบวินัยของทหาร
การจัดส่วนราชการ
กองทัพบกไทยมีการจัดส่วนราชการดังต่อนี้
กองทัพภาค
- กองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1) รับผิดชอบพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก ตั้งกองบัญชาการที่กรุงเทพมหานคร หน่วยรบที่สำคัญ คือ
- กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.)
- กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.)
- กองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9)
- กองพลทหารราบที่ 11 (พล.ร.11)
- กองพลทหารพัฒนาที่ 1 (พล.พัฒนา 1)
- กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.)
- กองพลทหารปืนใหญ่
- กองทัพภาคที่ 2 (ทภ.2) รับผิดชอบพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด ตั้งกองบัญชาการที่ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา หน่วยรบที่สำคัญ คือ
- กองพลทหารราบที่ 3 (พล.ร.3)
- กองพลทหารราบที่ 6 (พล.ร.6)
- กองพลทหารราบที่ 12 (พล.ร.12)
- กองพลทหารพัฒนาที่ 2 (พล.พัฒนา 2)
- กองทัพภาคที่ 3 (ทภ.3) รับผิดชอบพื้นที่ภาคเหนือทั้งหมด ตั้งกองบัญชาการที่จังหวัดพิษณุโลก หน่วยรบที่สำคัญ คือ
- กองพลทหารราบที่ 4 (พล.ร.4)
- กองพลยานเกราะที่ 1
- กองพลทหารพัฒนาที่ 3 (พล.พัฒนา 3)
- กองพลทหารม้าที่ 1 (พล.ม.1)
- กองทัพภาคที่ 4 (ทภ.4) รับผิดชอบพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมด ตั้งกองบัญชาการที่ค่ายวชิราวุธจังหวัดนครศรีธรรมราช และมีศูนย์บัญชาการส่วนหน้าอยู่ที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เพื่อดูแลปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเฉพาะ หน่วยรบที่สำคัญ คือ
- กองพลทหารราบที่ 5 (พล.ร.5)
- กองพลทหารพัฒนาที่ 4 (พล.พัฒนา 4)
กรมฝ่ายเสนาธิการ
- กรมกำลังพลทหารบก (กพ.ทบ.)
- กรมข่าวทหารบก (ขว.ทบ.)
- กรมยุทธการทหารบก (ยก.ทบ.)
- กรมส่งกำลังบำรุงทหารบก (กบ.ทบ.)
- กรมกิจการพลเรือนทหารบก (กร.ทบ.)
- สำนักงานปลัดบัญชีกองทัพบก (สปช.ทบ.)
กรมฝ่ายกิจการพิเศษ
- กรมสารบรรณทหารบก (สบ.ทบ.)
- กรมสวัสดิการทหารบก (สก.ทบ.)
- กรมการเงินทหารบก (กง.ทบ.)
- กรมจเรทหารบก (จบ.)
- สำนักงานประสานการวิจัยและพัฒนากองทัพบก (สวพ.ทบ.)
- สำนักงานตรวจบัญชีกองทัพบก (สตช.ทบ.)
- กรมการสารวัตรทหารบก (สห.ทบ.)
กรมฝ่ายยุทธบริการ
- กรมแพทย์ทหารบก (พบ.)
- โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า (รพ.รร.6)
- กรมสรรพวุธทหารบก (สพ.ทบ.)
- กรมการทหารสื่อสาร (สส.)
- กรมการสัตว์ทหารบก (กส.ทบ.)
- กรมยุทธโยธาทหารบก (ยย.ทบ.)
- กรมพลาธิการทหารบก (พธ.ทบ.)
- กรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.)
- กรมการทหารช่าง (กช.)
- กรมวิทยาศาสตร์ทหารบก (วศ.ทบ.)
ส่วนการศึกษา
- กรมยุทธศึกษาทหารบก (ยศ.ทบ.)
- หน่วยบัญชาการกำลังสำรอง (นสร.)
- สถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูง (สบส.)
- โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
ส่วนพิเศษ
- หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.)
- หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ (นปอ.)
สื่อในความควบคุมของกองทัพบก
- สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก (ททบ.)
- สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 (ให้เอกชนเช่าสัมปทาน)
- สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ไทยโกลบอลเน็ตเวิร์ค (TGN)
- สถานีวิทยุกระจายเสียงกองทัพบก เครือข่ายทั่วประเทศ 126 สถานี
หน่วยทหารรักษาพระองค์
ดูบทความหลัก ทหารรักษาพระองค์
กิจการทหารรักษาพระองค์ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกิจการทหารสมัยใหม่ทั้งของกองทัพบกไทยและของกองทัพไทย ดังปรากฏความสำคัญในเนื้อร้องเพลงมาร์ชราชวัลลภว่า "เราเป็นกองทหาร ประวัติการณ์ก่อเกิด กำเนิดกองทัพบกชาติไทย" ทั้งนี้ ก็เนื่องจากว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดตั้งกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์นั้น หากมีเทคโนโลยีและวิทยาการทางทหารสมัยใหม่ เช่น ปืนกล การทำแผนที่ ปืนใหญ่ ก็โปรดเกล้าฯ ให้ทหารกรมนี้ทำการทดลองและฝึกหัดก่อนเป็นกรมแรก จนเมื่อปรากฏผลดีแล้วจึงค่อยขยายงานออกไปเป็นหน่วยงานใหม่ต่อไป เหล่าทหารบกต่างๆ เช่น ทหารราบ ทหารม้า ทหารช่าง เป็นต้น ก็ล้วนถือกำเนิดจากกิจการทหารรักษาพระองค์ทั้งสิ้น
สำหรับหน้าที่หลักของทหารรักษาพระองค์ นอกจากการเป็นกำลังรบของกองทัพเช่นเดียวกับหน่วยทหารอื่นๆ แล้ว ก็คือการถวายอารักขาและถวายพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระรัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์โดยใกล้ชิด ซึ่งในปัจจุบันนี้ กองทัพบกไทยมีหน่วยทหารที่ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นหน่วยทหารรักษาพระองค์รวม 59 หน่วย นับได้ว่าเป็นเหล่าทัพที่มีหน่วยทหารรักษาพระองค์มากที่สุดในประเทศ โดยมีหน่วยที่สำคัญดังนี้
- กองพลที่ 1 รักษาพระองค์
- กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
- กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์
- กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์
- กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์
- กองพันทหารม้าที่ 29 รักษาพระองค์
- กรมทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์
ศักย์สงครามกองทัพบก
หมายเหตุ : อธิบายคำย่อดังต่อไปนี้
- ปพ. = ปืนพก
- ปลย. = ปืนเล็กยาว
- ปลส. = ปืนเล็กสั้น
- ปลยบ. = ปืนเล็กยาวบรรจุเอง
- ปกม. = ปืนกลมือ
- ปกบ. = ปืนกลเบา
- ปกน. = ปืนกลหนัก
- ปลซ. = ปืนลูกซอง
- ค. = เครื่องยิงลูกระเบิด
- คจตถ. = เครื่องยิงจรวตต่อต้านรถถัง
- ถ.หลัก = รถถังหลัก
- ถ.เบา = รถถังเบา
- รสพ. = รถสายพานลำเลียงพลหุ้มเกราะ
- รพบ. = รถพยาบาล
- รนต. = รถยนต์นั่งตรวจการณ์
- ป. = ปืนใหญ่
- ปตอ. = ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน
- จตอ. = จรวดต่อสู้อากาศยาน
- รยบ. = รถยนต์บรรทุก
อาวุธประจำกาย
อาวุธหลัก
Country | Type | Quantity | Remark |
รถถังหลัก | |||
สหรัฐ | M60A3 Patton | 178 | มือสองจากกองทัพบกสหรัฐ |
สหรัฐ | M48A5 Patton | 105 | |
สาธารณรัฐประชาชนจีน | Type 69-II | 50 | จัดหาราคาพิเศษจากจีน |
รถถัง | |||
สหรัฐ | Stingray | 106 | ไทยเป็นผู้ใช้รายเดียวในโลก |
สหรัฐ | M41 Walker Bulldog | 200 | |
สหรัฐ | M24 Chaffee | ? | |
สหราชอาณาจักร | FV101 Scorpion | 154 | |
รถเกราะ | |||
ยูเครน | BTR-3E1 | 96 | สั่งซื้อ. รับมอบปี 2009. |
สหรัฐ | M901A3 Improved TOW Vehicle | 18 | ติดจรวดต่อสู้รถถัง TOW |
สหรัฐ | V-150 | 162 | |
สหรัฐ | LAV-150 | 138 | |
สหรัฐ | M113A1/A3 APC | 340+ | |
เยอรมนี | Condor | 18 | |
เยอรมนี | Rasit | ? | |
แอฟริกาใต้ | REVA 4x4 | 96 | กำลังรับมอบ |
สาธารณรัฐประชาชนจีน | Type 85 (YW531H) | 450 | |
สหราชอาณาจักร | Alvis Saracen | ? | |
ปืนใหญ่ | |||
แคนาดา | ปืนใหญ่ลากจูง GHN-45 155 มม. | 42 | |
อิสราเอล | ปืนใหญ่ลากจูง Soltam M-71 ขนาด 155 มม. | 32 | |
สหรัฐ | ปืนใหญ่ลากจูง M198 ขนาด 155 มม. | 62 | |
สหรัฐ | ปืนใหญ่อัตตาจร M109A5 ขนาด 155 มม. | 20 | |
ฝรั่งเศส | ปืนใหญ่อัตตาจร CAESAR ขนาด 155 มม. | 6 | สั่งซื้อ |
สหรัฐ | ปืนใหญ่ลากจูง M114 ขนาด 155 มม. | 56 | |
สาธารณรัฐประชาชนจีน | จรวดหลายลำกล้อง Type 82 ขนาด 130 มม. | 60 | |
สาธารณรัฐประชาชนจีน | ปืนใหญ่ลากจูง M1954 ขนาด 130 มม. | 15 | |
สหราชอาณาจักร | ปืนใหญ่ลากจูง L119 105 มม. | 34 | |
ฝรั่งเศส | ปืนใหญ่ลากจูง GIAT LG1 Mk II ขนาด 105 มม. | 24 | |
สหรัฐ | ปืนใหญ่ลากจูง M101 ขนาด 105 มม. | 285 | |
สหรัฐ | ปืนใหญ่ลากจูง M102 ขนาด 105 มม. | 12 | |
สหรัฐ | ปืนใหญ่ลากจูง M618A2 ขนาด 105 มม. | 32 | |
ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน | |||
สวีเดน | Bofors L40/70 ขนาด 40 มม. | 48 | |
สาธารณรัฐประชาชนจีน | Type 59 ขนาด 57 มม. | 24 | |
สาธารณรัฐประชาชนจีน | Type 74 ลำกล้องคู่ขนาด 37 มม. | 122 | |
สหรัฐ | M163 VADS แท่นหมุน 20 มม. | 24 | |
สหรัฐ | M167 VADS แท่นหมุน 20 มม. | 24 | |
สหรัฐ | M167 Vulcan | ? |
อากาศยาน
Origin | Type | Quantity | Remark |
---|---|---|---|
เยอรมนี | British Aerospace Jetstream 41 | 2 | ลำเลียงบุคคลสำคัญ |
สหรัฐ | Beechcraft 200 King Air | 2 | ลำเลียงบุคคลสำคัญ |
สหรัฐ | Beech 1900C-1 | 2 | ลำเลียงบุคคลสำคัญ |
สเปน | Casa 212-300 | 2 | ลำเลียงบุคคลสำคัญ |
บราซิล | Embraer ERJ-135 | 2 | ลำเลียงบุคคลสำคัญและส่งกลับสายการแพทย์ |
สหรัฐ | Bell 206 Jet Ranger | 25 | ธุรการ |
สหรัฐ | Bell UH-1H | 92 | ลำเลียงทางยุทธวิธี |
สหรัฐ | Bell AH-1F Huey Cobra | 3 | โจมตี |
สหรัฐ | Sikorsky S-70-43 Blackhawk | 7 | ลำเลียงทางยุทธวิธี |
เยอรมนี | Schweizer S-300C | ~45 | ฝึก/ลาดตระเวน |
สหรัฐ | Cessna U-17B | 20 | ธุรการ |
สหรัฐ | Cessna T-41B | 30 | ฝึก/ธุรการ |
สหรัฐ | Maule MX-7 | 15 | ธุรการ |
สหรัฐ | Bell 212 | 60 | ลำเลียงทางยุทธวิธี |
รัสเซีย | Mi-17 | 6 | สั่งซื้อ. ลำเลียงทางยุทธวิธี |
สหรัฐ | CH-47D Chinook | 6 | ลำเลียงทางยุทธวิธี |
อิสราเอล | IAI Searcher | 4 | อากาศยานไร้นักบิน |
ข่าวการจัดหาอาวุธของกองทัพบก
การจัดหาปืนเล็กยาว,ปืนกล, และจรวดประทับบ่า
กองทัพบกจัดหาปืนเล็กยาว TAR-21 Tavor จากอิสราเอลจำนวน 15,000 กระบอก และปืนเล็กกล Negev จากอิสราเอลจำนวน 992 กระบอก มูลค่ารวม 43.3 ล้านเหรียญสหรัฐ [1]
ในวันที่ 9 ก.ย. 2551, คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้กองทัพบกจัดหาปืนเล็กยาว TAR-21 Tavor จากอิสราเอลจำนวน 15,037 กระบอก และปืนเล็กกล Nagev จากอิสราเอลจำนวน 553 กระบอก ซึ่งเป็นการจัดหาในล็อตที่สอง นอกจากนี้ยังอนุมัติให้จัดหาจรวดต่อสู้อากาศยานแบบประทับบ่ารุ่น Igla จำนวน 36 หน่วยจากรัสเซียอีกด้วย[2]
การจัดหารถเกราะล้อยางจากยูเครน
กองทัพบกประกาศจัดซื้อรถเกราะล้อยางซึ่งยังขาดแคลน โดยได้เลือกรถเกราะรุ่น BTR-3E1 จากประเทศยูเครนพร้อมอาวุธ จำนวน 96 คัน ในราคา 4,000 ล้านบาท [3] แต่เกิดข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับความโปร่งใสของกระบวนการการจัดหา จนรัฐมนตรีกลาโหมต้องประกาศพักโครงการและรอรัฐบาลใหม่เข้ามาสานต่อ [4] จนในที่สุดนายสมัคร สุนทรเวชก็ลงนามอนุมัติการจัดหา ซื้อกองทัพบกจะได้รับมอบในปี 2552 [5]
การจัดหาเครื่องบินโดยสาร
กองทัพบกและกองทัพเรือร่วมกันลงนามในสัญญาจัดหาเครื่องบินแบบ ERJ-135 จากบริษัท Embraer ประเทศบราซิล จำนวน 2 ลำ เหล่าทัพละ 1 ลำ โดยกองทัพบกและกองทัพเรือจะนำไปใช้ในในสนับสนุนการเดินทางของผู้บัญชาการและบุคคลสำคัญ สำหรับเครื่องของกองทัพเรือยังเพิ่มความสามารถในการขนส่งผู้บาดเจ็บจากการสู้รบ MEDEVAC ได้ด้วย ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนภารกิจของทหารเรือในสามจังหวัดชายแดนใต้ [6] วันที่ 12 มกราคม 2552 กองทัพบกได้ลงนามจัดหาเครื่องบินแบบ ERJ-135 เพิ่มเติมอีก 1 ลำเพื่อใช้ในการสนับสนุนการเดินทางของผู้บัญชาการและบุคคลสำคัญ รวมถึงขนส่งผู้บาดเจ็บจากการสู้รบ (MEDEVAC) [7]
การจัดหาเฮลิคอปเตอร์ลำเลียง
กองทัพบกจัดหาเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงแบบ Mi-17V5 จำนวน 6 ลำในสองเฟส เฟสละ 3 ลำ โดยยกเลิกโครงการซ่อมเฮลิคอปเตอร์ UH-1H จำนวน 15 ลำเนื่องจากทำการซ่อมแล้วไม่คุ้มค่าเพราะ UH-1H มีอายุมากกว่า 40 ปี.[8]
ดูเพิ่ม
การทหารในประเทศไทย
ข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับกองทัพบกไทย
- รายนามผู้บัญชาการทหารบก
- รายนามแม่ทัพภาคที่ 1
- รายนามแม่ทัพภาคที่ 2
- รายนามแม่ทัพภาคที่ 3
- รายนามแม่ทัพภาคที่ 4
แหล่งข้อมูลอื่น
- เว็บไซต์กองทัพบกอย่างเป็นทางการ
- เชื่อมโยงเครือข่ายในกองทัพบก
- รูปเครื่องบินของกองทัพบกไทย ถ่ายภาพโดยคนไทย
อ้างอิง
- ↑ Defensenews.com Thai Cabinet Approves Defense Equipment Buys
- ↑ DefenseNews.com Thailand Plans $191.3M Arms Purchase
- ↑ Ukrainian Observer Online Ukraine Snags Large Armored Personnel Carrier Deal in Thailand
- ↑ The Nation Army required to clear doubt of auditor-general over APCs purchase first: Boonrawd
- ↑ Skyman Military Blogทบ. ลงนามจัดหา BTR-3E1 จากยูเครน: ข้อวิจารณ์และบทเรียนสำคัญต่อกองทัพไทย
- ↑ Embraer Press Release Embraer sign contracts with the Royal Thai Army and the Royal Thai Navy
- ↑ Flight International Thailand buys third ERJ-135
- ↑ Bangkok PostArmy to buy Russian choppers