สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์
การเข้าร่วมในสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์
| |||
วันลงนาม | 1 กรกฎาคม 2511 | ||
---|---|---|---|
ที่ลงนาม | นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา | ||
วันมีผล | 5 มีนาคม 2513 | ||
เงื่อนไข | สหภาพโซเวียต สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกาและรัฐผู้ลงนามอื่นอีก 40 รัฐให้สัตยาบัน | ||
ภาคี | 190 ผู้ที่มิใช่ภาคี ได้แก่ อินเดีย อิสราเอล ปากีสถาน และเซาท์ซูดาน | ||
ผู้เก็บรักษา | รัฐบาลสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือและสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต | ||
ภาษา | อังกฤษ รัสเซีย ฝรั่งเศส สเปนและจีน |
สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (อังกฤษ: Treaty on the Non-Proliferation of Nuclear Weapons หรือเรียกทั่วไปว่า Non-Proliferation Treaty หรือ NPT) เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการกระจายของอาวุธนิวเคลียร์และเทคโนโลยีอาวุธ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ และเพื่อผลักดันเป้าหมายการบรรลุการลดอาวุธนิวเคลียร์และการลดกำลังรบโดยทั่วไปและสมบูรณ์[1]
สนธิสัญญาฯ เปิดให้ลงนามในปี 2511 มีผลใช้บังคับในปี 2513 วันที่ 11 พฤษภาคม 2538 มีการขยายสนธิสัญญาฯ ขยายเวลาไปอย่างไม่มีกำหนด มีประเทศที่ปฏิบัติตาม NPT มากกว่าความตกลงจำกัดอาวุธและลดกำลังรบอื่นใด อันเป็นหลักฐานความสำคัญของสนธิสัญญาฯ[1] มี 191 รัฐเข้าร่วมสนธิสัญญาฯ แม้ว่าเกาหลีเหนือ ซึ่งเห็นชอบ NPT ในปี 2528 แต่ไม่เคยปฏิบัติตาม โดยประกาศถอนตัวในปี 2546[2] มีรัฐสมาชิกสหประชาชาติสี่รัฐไม่เคยเข้าร่วม NPT ได้แก่ อินเดีย อิสราเอล ปากีสถานและเซาท์ซูดาน
สนธิสัญญาดังกล่าวรับรองรัฐอาวุธนิวเคลียร์ห้ารัฐ ได้แก่ จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา (ซึ่งเป็นสมาชิกถาวรห้าประเทศแห่งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติด้วย) สี่รัฐอื่นที่ทราบหรือเชื่อว่าครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ ได้แก่ อินเดีย ปากีสถานและเกาหลีเหนือทดสอบอย่างเปิดเผยและประกาศว่าตนครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ ฝ่ายอิสราเอลมีนโยบายปกปิดโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของตน
NPT ประกอบด้วยคำปรารภและ 11 ข้อ แม้ไม่มีการแสดงมโนทัศน์ "เสา" อยู่ที่ใดใน NPT กระนั้น บางครั้งมีการตีความสนธิสัญญาว่าเป็นระบบสามเสา ซึ่งส่อความความสมดุลระหว่างเสา ดังนี้
- การไม่แพร่ขยาย
- การลดอาวุธ
- สิทธิการใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์อย่างสันติ[3]
NPT มักถูกมองโดยยึดการต่อรองศูนย์กลาง คือ "รัฐมิใช่อาวุธนิวเคลียร์ตาม NPT ตกลงว่าจะไม่ได้มาซึ่งอาวุธนิวเคลียร์และเพื่อเป็นการตอบแทน รัฐอาวุธนิวเคลียร์ NPT ตกลงแบ่งประโยชน์ของเทคโนโลยีนิวเคลียร์ในทางสันติและแสวงการลดอาวุธนิวเคลียร์โดยมุ่งกำจัดคลังแสงนิวเคลียร์ของตนในบั้นปลาย"[4] มีการทบทวนสนธิสัญญาดังกล่าวทุกห้าปีในการประชุมเรียก การประชุมทบทวนของภาคีสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ แม้เดิมเข้าใจว่าสนธิสัญญามีระยะเวลาจำกัด 25 ปี แต่ภาคีผู้ลงนามตัดสินใจเป็นมติเห็นพ้องให้ขยายสนธิสัญญาอย่างไม่มีกำหนดและโดยปราศจากเงื่อนไขระหว่างการประชุมทบทวนในนครนิวยอร์กเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2538 เป็นผลจากความพยายามของรัฐบาลสหรัฐที่สำเร็จ โดยมีเอกอัครราชทูต โทมัส เกรแฮม จูเนอร์ เป็นผู้นำ
เมื่อมีการเสนอ NPT นั้น มีการทำนายว่าจะมีรัฐอาวุธนิวเคลียร์ 25–30 รัฐใน 20 ปี ทว่า กว่าสี่สิบปีให้หลัง มีห้ารัฐที่ไม่เป็นภาคี NPT และรวมอีกสี่รัฐเท่านั้นที่เชื่อว่าครอบครองอาวุธนิวเคลียร์[4] มีการใช้มาตรการเพิ่มหลายอย่างเพื่อเสริมความเข้มแข็งของ NPT และระบอบการไม่แพร่ขยายนิวเคลียร์ที่กว้างกว่า และทำให้รัฐยากที่จะได้มาซึ่งสมรรถนะผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งรวมการควบคุมการส่งออกของกลุ่มผู้จัดหานิวเคลียร์และมาตรการพิสูจน์ยืนยันที่มีการเสริมของพิธีสารเพิ่มเติมของ IAEA
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 "UNODA - Non-Proliferation of Nuclear Weapons (NPT)". un.org. สืบค้นเมื่อ 2016-02-20.
- ↑ "Nuclear Non-Proliferation Treaty (NPT)" (PDF). Defense Treaty Inspection Readiness Program - United States Department of Defense. Defense Treaty Inspection Readiness Program. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2013-03-11. สืบค้นเมื่อ 19 June 2013.
- ↑ Ambassador Sudjadnan Parnohadiningrat, 26 April 2004, United Nations, New York, Third Session of the Preparatory Committee for the 2005 Review Conference of the Parties to the Treaty on the Non-Proliferation of Nuclear Weapons, furnished by the Permanent Mission of the Republic of Indonesia to the United Nations (indonesiamission-ny.org) Archived พฤศจิกายน 20, 2005 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน.
- ↑ 4.0 4.1 Graham, Jr., Thomas (November 2004). "Avoiding the Tipping Point". Arms Control Association.