จังหวัดบาหลี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก Bali)
จังหวัดบาหลี

Provinsi Bali (อินโดนีเซีย)
วัดปูราตานะห์ลต
ธงของจังหวัดบาหลี
ธง
ตราอย่างเป็นทางการของจังหวัดบาหลี
ตรา
สมญา: 
เกาะแห่งทวยเทพ, เกาะแห่งสันติ, รุ่งอรุณของโลก, เกาะฮินดู, เกาะแห่งความรัก[1]
คำขวัญ: 
Bali Dwipa Jaya (กาวิ)
(เกาะบาหลีมีชัย)
ที่ตั้งจังหวัดบาหลีในประเทศอินโดนีเซีย
ที่ตั้งจังหวัดบาหลีในประเทศอินโดนีเซีย
พิกัด: 8°39′S 115°13′E / 8.650°S 115.217°E / -8.650; 115.217พิกัดภูมิศาสตร์: 8°39′S 115°13′E / 8.650°S 115.217°E / -8.650; 115.217
ประเทศ อินโดนีเซีย
เมืองหลัก เด็นปาซาร์
การปกครอง
 • ผู้ว่าการอี มาเด มังกู ปัซตีกา (PD)
 • รองผู้ว่าการอี เกอตุต ซูดีเกอร์ตา
พื้นที่
 • ทั้งหมด5,780 ตร.กม. (2,230 ตร.ไมล์)
ประชากร
 (2014)
 • ทั้งหมด4,225,384 คน
 • ความหนาแน่น730 คน/ตร.กม. (1,900 คน/ตร.ไมล์)
ประชากร
 • ชาติพันธุ์บาหลี (90%), ชวา (7%), บาหลีอากา (1%), มาดูรา (1%)[2]
 • ศาสนาฮินดู (83.5%), อิสลาม (13.4%), คริสต์ (2.5%), พุทธ (0.5%)[3]
 • ภาษาอินโดนีเซีย (ราชการ), บาหลี, มลายูบาหลี
เขตเวลาUTC+08 (WITA)
ทะเบียนพาหนะDK
ดัชนีพัฒนาการมนุษย์เพิ่มขึ้น 0.724 (สูง)
อันดับอันดับที่ 5 จาก 34 จังหวัดของอินโดนีเซีย (2014)
เว็บไซต์www.baliprov.go.id

บาหลี หรือ บาลี (อินโดนีเซีย: Bali; บาหลี: ᬩᬮᬶ) เป็น 1 ใน 34 จังหวัดของประเทศอินโดนีเซีย เมืองหลักคือเด็นปาซาร์ พื้นที่ทั้งหมด 5,634.40 ตารางกิโลเมตร มีประชากรทั้งสิ้น 3,422,600 คน ความหนาแน่นของประชากร 607 คน/ตารางกิโลเมตร ภาษาที่ใช้คือภาษาอินโดนีเซียและภาษาบาหลี

ประวัติศาสตร์[แก้]

ยุคเริ่มต้น[แก้]

หินสลักบริเวณภูเขากุนุง คาวี

บาหลีเป็นถิ่นที่อยู่ของชนเผ่าออสโตรนีเชียน (Austronesian) ที่อพยพมาจากถิ่นฐานเดิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย โดยใช้เส้นทางเดินเรือผ่านภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล[4][5] วัฒนธรรมและภาษาของชาวบาหลีจึงเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิดกับผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณหมู่เกาะอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และโอเชียเนีย[6]

มีการขุดพบเครื่องมือที่ทำจากหินมีอายุกว่า 3,000 ปีได้ที่หมู่บ้านเจอกิก (Cekik) ที่อยู่ทางตะวันตก รวมทั้งที่ตั้งถิ่นฐานและหลุมฝังศพของมนุษย์ในยุคหินใหม่ (Neolithic) ถึงยุคสำริด และโครงกระดูกมนุษย์โบราณอายุกว่า 4,000 ปี จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ซีตุซปูร์บาลากา (Museum Situs Purbalaka) ที่เมืองกีลีมานุก์ (Gilimanuk) อีกด้วย[7][8] ประวัติของบาหลีก่อนการเผยแผ่ศาสนาฮินดูเข้ามายังหมู่เกาะอินโดนีเซียโดยพ่อค้าชาวอินเดียในช่วงศตวรรษที่ 7 เป็นที่รู้กันน้อยมาก [7] อย่างไรก็ตามบาหลีเริ่มเป็นเมืองค้าขายที่คึกคักตั้งแต่ 200 ปีก่อนคริสตกาล[8] การบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับบาหลีที่เป็นลายลักษณ์อักษร ปรากฏในศิลาจารึกที่ขุดค้นพบใกล้หาดซานูร์ (Sanur) รวมทั้งจารึกบนแผ่นโลหะ เทวรูปสำริด และหินสลักที่แสดงถึงอิทธิพลของศาสนาพุทธและฮินดู บริเวณรอบ ๆ ภูเขากูนุงกาวี (Gunung Kawi) และถ้ำโกอากาจะฮ์ (Goa Gajah)

อิทธิพลของศาสนาฮินดู[แก้]

ปูราตานะฮ์ลต

ในช่วงศตวรรษที่ 9 สังคมของชาวบาหลีเริ่มเฟื่องฟูขึ้น ราว ค.ศ. 900 ชาวบาหลีเริ่มพัฒนาระบบชลประทาน การปลูกข้าว รวมทั้งวัฒนธรรมและศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง หลักฐานเกี่ยวกับราชวงศ์บาหลีเริ่มปรากฏในเวลานั้นเช่นกัน โดยมีภาพแกะสลักหินแสดงพิธีอภิเษกสมรสของกษัตริย์บาหลีทรงพระนามว่าพระเจ้าอุทยานา (Udayana) กับ เจ้าหญิงชวาตะวันออก ทรงพระนามว่าเจ้าหญิงมเหนทราตตะ (Mahendratta) ที่วัดปูราโกระฮ์เตอกีปัน (Pura Korah Tegipan) ที่อยู่บริเวณภูเขากูนุงบาตูร์ (Gunung Batur) ทั้งสองพระองค์มีพระราชโอรสทรงพระนามว่า เจ้าชายไอร์ลังกา (Airlangga) ประสูติเมื่อ ค.ศ. 991 ในเวลาเดียวกัน ชวาเริ่มแผ่อิทธิพลเข้ามายังบาหลี เมื่อพระองค์พระชันษาได้ 16 ปี ทรงหนีไปยังชวาตะวันตกและทรงได้รับการสนับสนุนจากชาวชวาในเวลาต่อมา เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ชวา จึงทรงรวมบาหลีและชวาให้เป็นปึกแผ่นจนกระทั่งเสด็จสวรรคต เมื่อ ค.ศ. 1049[7][8]

ภาษาชวาที่เรียกว่าภาษากาวี (Kawi) ได้นำมาใช้ในหมู่ราชวงศ์บาหลี หลักฐานความสัมพันธ์ระหว่างบาหลีกับเกาะชวาในช่วงศตวรรษที่ 11 อยู่ที่หินสลักที่ภูเขากุนุง คาวี ใกล้กับเมืองตัมปักซีริง (Tampaksiring) หลังจากนั้นบาหลีอยู่ในสถานภาพกึ่งเอกราช จนกระทั่ง ค.ศ. 1284 พระเจ้าเกอรตานาการาหรือเกียรตินคร (Kertanagara) กษัตริย์ชวาแห่งอาณาจักรสิงหะส่าหรี (Singasari) ได้รุกรานบาหลี แต่หลังจากนั้น 8 ปี อาณาจักรสิงหะส่าหรีล่มสลาย พระราชโอรสของพระเจ้าเกอรตานาการาพระนามว่าเจ้าชายวิจายาหรือวิชัย (Vijaya) ได้ตั้งอาณาจักรมัชปาหิต (Majapahit) ซึ่งนับถือศาสนาฮินดูขึ้น ช่วงเวลานี้เอง บาหลีถือโอกาสแยกตัวเป็นเอกราช ปกครองโดยราชวงศ์ปาเจ็ง (Pajeng) มีศูนย์กลางใกล้กับเมืองอูบุด (Ubud) แต่กะจะห์ มาดา (Gajah Mada) เสนาบดีแห่งอาณาจักรมัชปาหิตเข้ารุกรานบาหลีในรัชสมัยของพระเจ้าดาเล็ม เบอเดาลู (Dalem Bedaulu) แห่งราชวงศ์ปาเจ็งในปี ค.ศ. 1343 และได้รวมบาหลีเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรมัชปาหิต

หลังจากนั้นบาหลีได้ย้ายศูนย์กลางไปอยู่ที่เกลเกล (Gelgel) ใกล้กับเมืองเสมาระปุระ (Semarapura) ในช่วงปลายศตวรรษที่ 14 โดยมีกษัตริย์ปกครองซึ่งชาวบาหลีเรียกว่าเทวะ อากุง (Dewa Agung) พระนามว่าพระเจ้าบาตูร์ เร็งก็อง (Batur Renggong) ครองราชย์ในปีค.ศ.1550[7][8] ก่อนหน้านั้นไม่นานอาณาจักรมัชปาหิตได้ล่มสลายลงในปี ค.ศ. 1515 ลงจากการขยายอิทธิพลของชาวมุสลิม บรรดานักปราชญ์ซึ่งหนึ่งในนั้นคือนักบวชฮินดูชื่อนิราร์ธา (Nirartha) ได้อพยพข้ามมายังบาหลี โดยนำศิลปวัตถุ ช่างศิลป์ นางรำ นักดนตรี และนักแสดงประจำราชสำนักมัชปาหิตเข้ามาด้วย และได้สร้างวัดปูราลูฮูร์อูลูวาตู (Pura Luhur Ulu Watu) และวัดปูราตานะห์ลต (Pura Tanah Lot) ขึ้น การอพยพครั้งใหญ่ของชาวฮินดูจากชวาได้สิ้นสุดลงราวศตวรรษที่ 16[7][8] [9] การอพยพครั้งนี้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อสังคมบาหลี สังคมฮินดูในบาหลีเริ่มซับซ้อนขึ้น มีการนำระบบวรรณะเข้ามาใช้ ชาวบาหลีที่อยู่ดั้งเดิมจึงอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณภูเขาทางตอนใน ซึงปัจจุบันนี้ผู้สืบเชื้อสายของคนเหล่านี้เรียกว่าบาหลีอากา (Bali Aga) หรือบาหลีมูลา (Bali Mula) ยังคงอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเตองานัน (Tenganan) ใกล้กับวัดปูราดาซา (Pura Dasa) และหมู่บ้านตรูญัน (Trunyan) บริเวณทะเลสาบบาตูร์[8]

การยึดครองของฮอลันดา[แก้]

วัดปูราตามันอายุน เดิมเป็นที่ตั้งของอาณาจักรบาดุง
เมืองเด็นปาซาร์ในปัจจุบัน

ชาวยุโรปกลุ่มแรกที่เดินทางมายังบาหลีคือชาวฮอลันดา ซึ่งนำโดยกัปตันโกเลอนียึส เดอ เฮาต์มัน (Colenius de Houtman) เมื่อค.ศ.1597 และเริ่มเจริญความสัมพันธ์กับราชวงค์บาหลี ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 อีกทางฝากหนึงของบาหลี ชาวฮอลันดาได้ทำสนธิสัญญาการค้าหลายฉบับกับชวา และเส้นทางการค้าเครื่องเทศส่วนใหญ่ได้ตกอยู่ในความควบคุมของชาวฮอลันดาแล้ว[7] เมื่อค.ศ.1710 ศูนย์กลางของบาหลีได้ย้ายไปอยู่ที่กลุงกุง (Klungkung) ปัจจุบันคือเมืองเสมาระปุระ[7][9] เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ชนชั้นปกครองในบาหลีเริ่มแตกแยกและแบ่งออกเป็นอาณาจักรย่อย ๆ ส่วนชาวฮอลันดาเริ่มเข้ามามีอิทธิพลโดยใช้วิธีแบ่งแยกและปกครอง[7]

การเข้าควบคุมบาหลีทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจเริ่มต้นเมื่อราวค.ศ.1840 โดยในปี ค.ศ. 1846 ชาวฮอลันดาได้อ้างการกู้เรือจมบริเวณชายฝั้งทางด้านเหนือ ใกล้กับเมืองสิงคราช (Singaraja) ในปัจจุบัน นำกำลังทหารเข้ามาและยึดอาณาจักรบูเลเล็ง (Buleleng) และเจ็มบรานา (Jembrana) ไว้ได้[9][10] เมื่อยึดอาณาจักรทางตอนเหนือได้แล้ว จึงเริ่มเข้ารุกรานอาณาจักรทางตอนใต้ ในปี ค.ศ. 1904 ฮอลันดาได้อ้างการร่วมกู้ซากเรือจีนนอกชายฝั่งหาดซานูร์ เรียกร้องให้อาณาจักรบาดุงจ่ายค่าชดเชยเป็นจำนวนเงิน 3,000 เหรียญเงิน แต่ได้รับการปฏิเสธ

ในปี ค.ศ. 1906 ฮอลันดาจึงได้ยกกำลังทหารเข้ามาบริเวณหาดซานูร์ โดย 4 วันหลังจากนั้น ได้บุกเข้ามาถึงชานเมืองเด็นปาซาร์ (Denpasar) วันที่ 20 กันยายน ค.ศ.1906 ฮอลันดาจึงเริ่มยิงถล่มเมืองเด็นปาซาร์ แต่ฝ่ายบาดุงใช้วิธีการพลีชีพของนักรบที่เรียกว่าปูปูตัน (Puputan) โดยบรรดาเชื้อพระวงค์ทรงเผาพระราชวังและแต่งพระองค์เต็มพระยศพร้อมทรงกริช ทรงดำเนินพร้อมกับเหล่านักบวชและข้าราชบริพารเข้าต่อสู้ แต่ทั้งหมดไม่ยอมจำนน กลับแทงตัวตายด้วยกริชแทน เหตุการณ์ในครั้งนั้นมีชาวบาหลีเสียชีวิตประมาณ 4,000 คน เมื่อยึดอาณาจักรบาดุงได้แล้ว ฮอลันดาจึงเข้ายึดอาณาจักรตาบานัน (Tabanan) จับกษัตริย์เป็นเชลย แต่ทรงไม่ยอมจำนนและทรงกระทำอัตนิวิบาตกรรม จากนั้นฮอลันดาได้เข้ายึดครองอาณาจักรการังอะเซ็ม (Karangasem) และเกียญาร์ (Gianyar) แต่อนุญาตให้ราชวงค์ยังทรงปกครองได้ต่อไป ส่วนอาณาจักรอื่น ๆ ฮอลันดาได้ขับไล่เจ้าเมืองออกทั้งหมด

ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1908 เมื่อฮอลันดาบุกยึดอาณาจักรเสมาระปุระ เช่นเดียวกับกษัตริย์ตาบานัน กษัตริย์เสมาระปุระทรงไม่ยอมจำนนและทรงกระทำอัตนิวิบาตกรรมเช่นกัน การบุกยึดครั้งนั้นทำให้พระราชวังตามันเกอร์ตาโกซา (Taman Gertha Gosa) ได้รับความเสียหายเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้ตั้งแต่ ค.ศ.1911 ฮอลันดาได้ครอบครองดินแดนของบาหลีได้ทั้งหมดและได้รวมบาหลีเข้าเป็นส่วนหนึงของอินเดียตะวันออกของฮอลันดา (Dutch East Indies)[7][9][11]

สงครามโลกครั้งที่สองและการประกาศเอกราช[แก้]

อี กุซตี งูระฮ์ ไร

กองทัพญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกที่หาดซานูร์ ในปี ค.ศ. 1942 และได้ตั้งกองบัญชาการที่เมืองเด็นปาซาร์ และเมืองสิงคราช และขับไล่ชาวฮอลันดาออกไป เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่สองเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1945 เมื่อฮอลันดาต้องการกลับเข้ามายึดครองบาหลีอีก ขบวนการต่อต้านฮอลันดาเริ่มก่อตั้งขึ้น วันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1945 นายซูการ์โน (Soekarno) ถือโอกาสประกาศเอกราชแก่ดินแดนที่เคยอยู่ภายใต้การยึดครองของฮอลันดาทั้งหมดและก่อตั้งสาธารณรัฐอินโดนีเซียขึ้น แต่ฝ่ายฮอลันดาไม่รับรอง ขบวนการต่อต้านฮอลันดาในบาหลีชื่อเต็นตรา เกออามันอัน รักยัต (Tentra Keamanan Rakyat) หรือกองกำลังความมั่นคงแห่งประชาชน (People's Security Force) ลุกฮือขึ้นต่อต้านฮอลันดาที่เมืองมาร์กา (Marga) เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1946 นำโดยอี กุซตี งูระฮ์ ไร (I Gusti Ngurah Rai) โดยเป็นการต่อสู้เพื่อพลีชีพของนักรบหรือปูปูตันอีกครั้ง ในที่สุดฮอลันดาประกาศรับรองเอกราชของอินโดนีเซียเมื่อปีค.ศ.1949 และบาหลีจึงเป็นส่วนหนึ่งของอินโดนีเซียในปัจจุบัน[7][9][12]

การปกครอง[แก้]

แผนที่จังหวัดบาหลี

หลังจากได้รับเอกราช บาหลีได้รวมเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดนูซาเติงการา (Nusa Tenggara) จนกระทั่ง ค.ศ. 1958 รัฐบาลกลางได้ประกาศแยกบาหลีออกเป็นจังหวัดหนึ่งของอินโดนีเซีย[7]

พื้นที่จังหวัดบาหลีแบ่งออกเป็น 8 อำเภอหรือกาบูปาเต็น 1 นครหรือโกตา และ 57 ตำบลหรือเกอจามาตัน[13][14]

อำเภอ
นคร

ประชากร[แก้]

[ต้องการตรวจสอบความถูกต้อง]
สถิติจำนวนผู้นับถือศาสนาต่างๆ ของจังหวัดบาหลี ในปี 2010[3]
ศาสนา ร้อยละ
ฮินดู
  
83.5%
อิสลาม
  
13.3%
คริสต์
  
1.7%
พุทธ
  
0.5%

เชื้อชาติ เป็นชาวบาหลีร้อยละ 89 ที่เหลือเป็นชาวชวาและอื่น ๆ ส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดูร้อยละ 93.18, ศาสนาอิสลามร้อยละ 4.79, ศาสนาคริสต์ร้อยละ 1.38, ศาสนาพุทธร้อยละ 0.64

เศรษฐกิจ[แก้]

ในอดีต สังคมบาหลีเป็นสังคมเกษตรกรรม เป็นแหล่งรายได้สำคัญของจังหวัด[15] จนกระทั่งราวคริสต์ทศวรรษที่ 1970 การท่องเที่ยวเริ่มกลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญ จนในปัจจุบันการท่องเที่ยวเป็นแหล่งรายได้เดียวของจังหวัด ซึ่งมากพอที่ทำให้บาหลีกลายเป็นจังหวัดที่มั่งคั่งที่สุดจังหวัดหนึ่งของประเทศ ในปี 2003 เศรษฐกิจของบาหลีคิดเป็นภาคการท่องเที่ยวมากถึง 80% ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมด[16] อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของบาหลีซบเซาลงมากจากเหตุก่อการร้ายรุนแรงหลายครั้ง ในช่วงปี 2002 - 2005 หลังเหตุระเบิดในบาหลี พ.ศ. 2545 และ เหตุระเบิดในบาหลี พ.ศ. 2548 บาหลีในปัจจุบันสามารถฟื้นตัวและเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำคัญด้านการท่องเที่ยวของโลก

วัฒนธรรม[แก้]

ส่วนใหญ่ชาวบาหลีได้รับวัฒนธรรมจากอินเดียเป็นอันมาก เช่นศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพุทธ รามายณะ ตลอดจนอักษร ภาษา ฯลฯ นั้นล้วนมาจากอินเดีย นำมารวมกับวัฒนธรรมประจำท้องถิ่น และนำใช้อย่างแพร่หลาย

ศาสนาฮินดูแบบบาหลี[แก้]

รูปเคารพพระพิฆเนศวรในบาหลี ด้านล่างมี จานังซารี คือใบตองห่อดอกไม้หอมและเครื่องสักการะแบบบาหลี

บนเกาะบาหลีมีผู้นับถือศาสนาฮินดูเป็นหลัก แตกต่างจากบริเวณอื่นของประเทศที่มีผู้นับถือศาสนาอิสลามเป็นหลัก ศาสนาฮินดูแบบบาหลีได้รับอิทธิพลจากความเชื่อพื้นเมือง วิญญาณนิยม (แอนิมิซึม) และศาสนาพุทธ ความแตกต่างจากศาสนาฮินดูสายหลักที่พบได้ทั่วไปจากอนุทวีปอินเดียคือมีการสักการะผีพื้นเมือง บูชาผีบรรพบุรุษ และเคารพพระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นของคติทางศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดูแบบบาหลีมีเทพเจ้าสูงสุดพระองค์เดียว คล้ายกับแนวคิดของคริสต์ศาสนา คือเทพอจินไตย ส่วนเทพฮินดูองค์อื่น ๆ และเทพพื้นเมือง ก็ยังคงได้รับการเคารพอย่างทั่วไปเช่นกัน

สถาปัตยกรรม[แก้]

ซุ้มประตูจันดีเบินตาร์ของปูราแห่งหนึ่ง

สถาปัตยกรรมบาหลี เป็นสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นของชาวบาหลีซึ่งพบได้ทั่วไปบนเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ที่มีความเก่าแก่หลายศตวรรษ ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมบาหลี โดยเฉพาะศาสนาฮินดูแบบบาหลี แนวคิดจากเกาะชวา และความเชื่อพื้นเมืองของชาวบาหลีดั้งเดิม[17] ตัวอย่างที่สำคัญ เช่น รูมะฮ์อาดัต (บ้านพื้นเมือง) ที่เรียกว่า บ้านพื้นเมืองบาหลี, ปูรา (โบสถ์พราหมณ์แบบบาหลี), บาเล (ศาลา) และ หอเมรู (หอคอยคล้ายเจดีย์) เป็นต้น

สถาปัตยกรรมบาหลีมักยึดตามหลักที่เรียกว่า ไตรแมนเดลา คือการแบ่งอาณาเขตเป็นสามอาณาเขต (แมนเดลา) ลักษณะนี้พบได้ทั่วไปในสถาปัตยกรรมของปูรา แต่ละแมนเดลาจะมีประตูกั้นอาณาเขต ซึ่งแบ่งเป็นสองประเภท ได้แก่ จันดีเบินตาร์ ซึ่งแบ่งแมนเดลาแรกและกลางออกจากกัน และ ปาดูรักซา แบ่งแมนเดลากลางและชั้นในออกจากกัน

อ้างอิง[แก้]

  1. "Bali to Host 2013 Miss World Pageant". Jakarta Globe. 26 เมษายน 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-01-12. สืบค้นเมื่อ 30 December 2012.
  2. Suryadinata, Leo; Arifin, Evi Nurvidya & Ananta, Aris (2003). Indonesia's Population: Ethnicity and Religion in a Changing Political Landscape. Institute of Southeast Asian Studies. ISBN 9812302123.
  3. 3.0 3.1 Penduduk Menurut Wilayah dan Agama yang Dianut (2010 Census). bps.go.id
  4. Hinzler, Heidi. (1995). Artifacts and early foreign influences. In Eric Oey (Ed.), Bali (pp. 24-25). Singapore: Periplus Editions. ISBN 962-593-028-0.
  5. Taylor, Jean Gelman. (2003). Indonesia: Peoples and histories. New Haven and London: Yale University Press. ISBN 0-300-10518-5.
  6. Op. cit., Hinzler, Heidi. (1995), pp. 24-25.
  7. 7.00 7.01 7.02 7.03 7.04 7.05 7.06 7.07 7.08 7.09 7.10 Ver Berkmoes, Ryan, Skolnick, Adam & Caroll, Marian. (2009). Lonely planet: Bali & Lombok. (12th ed.). Melbourne: Lonely Planet. ISBN 978-1-74104-864-3.
  8. 8.0 8.1 8.2 8.3 8.4 8.5 "History of Bali". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-02-06. สืบค้นเมื่อ 2009-06-24.
  9. 9.0 9.1 9.2 9.3 9.4 History for Bali
  10. Vickers, Adrian. (1995). In Eric Oey (Ed.), Bali (pp. 26-35). Singapore: Periplus Editions. ISBN 962-593-028-0.
  11. "History of Bali by Amanda Byron". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-05-10. สืบค้นเมื่อ 2009-07-02.
  12. "I Gusti Ngurah Rai; Balinese National Hero". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-04. สืบค้นเมื่อ 2009-06-30.
  13. Statistik Indonesia 2021 (ภาษาอินโดนีเซีย). สำนักงานสถิติแห่งประเทศอินโดนีเซีย. 2021-02-26. pp. 45–47. สืบค้นเมื่อ 2021-12-05.
  14. "Peraturan Kepala Badan Pusat Statistik Nomor 120 Tahun 2020 Tentang Klasifikasi Desa Perkotaan dan Perdesaan di Indonesia Tahun 2020" (PDF) (ภาษาอินโดนีเซีย). สำนักงานสถิติแห่งประเทศอินโดนีเซีย. สืบค้นเมื่อ 2021-12-05.
  15. Brown, Iem (2004-06-17). The Territories of Indonesia (ภาษาอังกฤษ). Routledge. p. 149. ISBN 9781135355418.
  16. Desperately Seeking Survival เก็บถาวร 2013-08-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Time. 25 November 2002.
  17. "Architecture in Bali". Bali Paradise online. สืบค้นเมื่อ December 9, 2013.

บรรณานุกรม[แก้]

อ่านเพิ่ม[แก้]