ผลต่างระหว่างรุ่นของ "แฮร์รี่ พอตเตอร์"
ไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 144: | บรรทัด 144: | ||
แต่ในทางตรงกันข้าม เฟย์ เวลดอน นักเขียนผู้ยอมรับว่านวนิยายชุดนี้ "ไม่ใช่งานที่กวีจะชื่นชอบ" แต่ก็ยอมรับว่า "มันไม่ใช่กวีนิพนธ์ มันเป็นร้อยแก้วที่อ่านเข้าใจง่าย อ่านได้ทุกวัน และขายได้"<ref name="Rowling books 'for people with stunted imaginations'">{{cite news|url=http://www.guardian.co.uk/uk/2003/jul/11/books.harrypotter|publisher=''The Guardian''|title=Rowling books 'for people with stunted imaginations'|date=2003-07-11|accessdate=2008-08-01|last=Allison|first=Rebecca}}</ref> เอ. เอ็น. วิลสัน นักวิจารณ์วรรณกรรม ยกย่องนวนิยายชุดนี้ใน ''The Times'' โดยระบุว่า "มีนักเขียนไม่มากนักเหมือนอย่างเจ. เค. ผู้มีความสามารถดังหนึ่ง[[ชาลส์ ดิกคินส์|ดิกคินส์]] ที่ทำให้เราต้องรีบพลิกอ่านหน้าต่อไป ทำให้เราร้องไห้อย่างไม่อาย พอไม่กี่หน้าถัดไปเราก็ต้องหัวเราะกับมุกตลกที่แทรกอยู่สม่ำเสมอ ... เรามีชีวิตอยู่ตลอดทศวรรษที่เฝ้าติดตามงานตีพิมพ์อันมีชีวิตชีวาที่สุด สนุกสนานที่สุด เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่เคยมีมา"<ref>{{cite news|url=http://entertainment.timesonline.co.uk/tol/arts_and_entertainment/books/children/article2139573.ece|title=Harry Potter and the Deathly Hallows by JK Rowling|last=Wilson|first=A. N.|date=2007-07-29|publisher=Times Online|accessdate=2008-09-28}}</ref> ชาลส์ เทย์เลอร์ แห่ง salon.com นักวิจารณ์ภาพยนตร์ เห็นด้วยกับความคิดของไบแอต แต่เขาก็ยอมรับว่าผู้ประพันธ์อาจจะ "มีจุดยืนทางวัฒนธรรมที่แตกต่าง คือความเป็นวัยรุ่น มันเป็นแรงกระตุ้นของพวกเราที่จะเข้าใจความเหลวไหลของยุคสมัยใหม่ ซึ่งแตกต่างกับความซับซ้อนของศิลปะยุคเดิม"<ref name="A.S. Byatt and the goblet of bile">{{cite news| title=www.purevolume.com/rendermn|url=http://archive.salon.com/books/feature/2003/07/08/byatt_rowling/index.html|publisher=Salon.com|title=A. S. Byatt and the goblet of bile|date=2003-07-08|accessdate=2008-08-03|first=Charles|last=Taylor}}</ref> |
แต่ในทางตรงกันข้าม เฟย์ เวลดอน นักเขียนผู้ยอมรับว่านวนิยายชุดนี้ "ไม่ใช่งานที่กวีจะชื่นชอบ" แต่ก็ยอมรับว่า "มันไม่ใช่กวีนิพนธ์ มันเป็นร้อยแก้วที่อ่านเข้าใจง่าย อ่านได้ทุกวัน และขายได้"<ref name="Rowling books 'for people with stunted imaginations'">{{cite news|url=http://www.guardian.co.uk/uk/2003/jul/11/books.harrypotter|publisher=''The Guardian''|title=Rowling books 'for people with stunted imaginations'|date=2003-07-11|accessdate=2008-08-01|last=Allison|first=Rebecca}}</ref> เอ. เอ็น. วิลสัน นักวิจารณ์วรรณกรรม ยกย่องนวนิยายชุดนี้ใน ''The Times'' โดยระบุว่า "มีนักเขียนไม่มากนักเหมือนอย่างเจ. เค. ผู้มีความสามารถดังหนึ่ง[[ชาลส์ ดิกคินส์|ดิกคินส์]] ที่ทำให้เราต้องรีบพลิกอ่านหน้าต่อไป ทำให้เราร้องไห้อย่างไม่อาย พอไม่กี่หน้าถัดไปเราก็ต้องหัวเราะกับมุกตลกที่แทรกอยู่สม่ำเสมอ ... เรามีชีวิตอยู่ตลอดทศวรรษที่เฝ้าติดตามงานตีพิมพ์อันมีชีวิตชีวาที่สุด สนุกสนานที่สุด เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่เคยมีมา"<ref>{{cite news|url=http://entertainment.timesonline.co.uk/tol/arts_and_entertainment/books/children/article2139573.ece|title=Harry Potter and the Deathly Hallows by JK Rowling|last=Wilson|first=A. N.|date=2007-07-29|publisher=Times Online|accessdate=2008-09-28}}</ref> ชาลส์ เทย์เลอร์ แห่ง salon.com นักวิจารณ์ภาพยนตร์ เห็นด้วยกับความคิดของไบแอต แต่เขาก็ยอมรับว่าผู้ประพันธ์อาจจะ "มีจุดยืนทางวัฒนธรรมที่แตกต่าง คือความเป็นวัยรุ่น มันเป็นแรงกระตุ้นของพวกเราที่จะเข้าใจความเหลวไหลของยุคสมัยใหม่ ซึ่งแตกต่างกับความซับซ้อนของศิลปะยุคเดิม"<ref name="A.S. Byatt and the goblet of bile">{{cite news| title=www.purevolume.com/rendermn|url=http://archive.salon.com/books/feature/2003/07/08/byatt_rowling/index.html|publisher=Salon.com|title=A. S. Byatt and the goblet of bile|date=2003-07-08|accessdate=2008-08-03|first=Charles|last=Taylor}}</ref> |
||
[[สตีเฟน คิง]] เรียกนวนิยายชุดนี้ว่า "ความกล้าหาญซึ่งผู้มีจินตนาการอันล้ำเลิศเท่านั้นจึงจะทำได้" และยกย่องการเล่นถ้อยคำสำนวนตลอดจนอารมณ์ขันของโรว์ลิงในนิยายชุดนี้ว่า "โดดเด่น" แม้เขาจะบอกว่านิยายชุดนี้จัดว่าเป็นนิยายที่ดี แต่ก็บอกด้วยว่า ในตอนต้นของหนังสือทั้งเจ็ดเล่มที่พบแฮร์รี่ที่บ้านลุงกับป้านั้นค่อนข้างน่าเบื่อ<ref>"Wild About Harry". ''The New York Times''. 2000-07-23.</ref> คิงยังว่า "โรว์ลิงจะไม่ใช้คำขยายความที่เธอไม่ชอบ!" เขายังทำนายด้วยว่า นวนิยายชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ "จะยืนยงท้าทายการทดสอบของกาลเวลา และอยู่บนหิ้งที่เก็บหนังสือดีที่สุดเท่านั้น ผมคิดว่าแฮร์รี่ได้เทียบขั้นกับ[[อลิซ |
[[สตีเฟน คิง]] เรียกนวนิยายชุดนี้ว่า "ความกล้าหาญซึ่งผู้มีจินตนาการอันล้ำเลิศเท่านั้นจึงจะทำได้" และยกย่องการเล่นถ้อยคำสำนวนตลอดจนอารมณ์ขันของโรว์ลิงในนิยายชุดนี้ว่า "โดดเด่น" แม้เขาจะบอกว่านิยายชุดนี้จัดว่าเป็นนิยายที่ดี แต่ก็บอกด้วยว่า ในตอนต้นของหนังสือทั้งเจ็ดเล่มที่พบแฮร์รี่ที่บ้านลุงกับป้านั้นค่อนข้างน่าเบื่อ<ref>"Wild About Harry". ''The New York Times''. 2000-07-23.</ref> คิงยังว่า "โรว์ลิงจะไม่ใช้คำขยายความที่เธอไม่ชอบ!" เขายังทำนายด้วยว่า นวนิยายชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ "จะยืนยงท้าทายการทดสอบของกาลเวลา และอยู่บนหิ้งที่เก็บหนังสือดีที่สุดเท่านั้น ผมคิดว่าแฮร์รี่ได้เทียบขั้นกับ[[อลิซท่องแดนมหัศจรรย์|อลิซ]], [[ฮัค]], [[โฟรโด แบ๊กกิ้นส์|โฟรโด]] และ[[โดโรธี]]แล้ว นิยายชุดนี้จะไม่โด่งดังเพียงทศวรรษนี้ แต่จะยืนยงตลอดกาล"<ref>Fox, Killian (2006-12-31). [http://www.guardian.co.uk/books/2006/dec/31/harrypotter.jkjoannekathleenrowling "JK Rowling:The mistress of all she surveys"]. Guardian Unlimited. เก็บข้อมูลเมื่อ 2007-02-10.</ref> |
||
=== การวิจารณ์ทางวัฒนธรรม === |
=== การวิจารณ์ทางวัฒนธรรม === |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:54, 7 ธันวาคม 2558
ภ
1. แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ 2. แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ 3. แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน 4. แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี 5. แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์ 6. แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม 7. แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต | |
ผู้ประพันธ์ | เจ. เค. โรว์ลิง |
---|---|
ชื่อต้นฉบับ | Harry Potter |
ผู้แปล | สุมาลี บำรุงสุข วลีพร หวังซื่อกุล งามพรรณ เวชชาชีวะ |
ประเทศ | สหราชอาณาจักร |
ภาษา | อังกฤษ |
ประเภทหนังสือ | วรรณกรรมเยาวชน, แฟนตาซี, ลึกลับ, เรื่องตื่นเต้น, การเปลี่ยนผ่านของวัย |
สำนักพิมพ์ | สำนักพิมพ์บลูมส์บรี สำนักพิมพ์สกอแลสติก สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ |
วันที่ตีพิมพ์ | 29 มิถุนายน พ.ศ. 2540 – 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 (ตีพิมพ์ครั้งแรก) |
ประเภท | สิ่งตีพิมพ์ |
แฮร์รี่ พอตเตอร์ เป็นชุดนวนิยายแฟนตาซีจำนวนเจ็ดเล่ม ประพันธ์โดยนักเขียนชาวอังกฤษ เจ. เค. โรว์ลิง เป็นเรื่องราวการผจญภัยของพ่อมดวัยรุ่น แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเพื่อนสองคน รอน วีสลีย์ และเฮอร์ไมโอนี เกรนเจอร์ ซึ่งทั้งหมดเป็นนักเรียนโรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ โครงเรื่องหลักเกี่ยวกับภารกิจของแฮร์รี่ในการเอาชนะพ่อมดมืดที่ชั่วร้าย ลอร์ดโวลเดอมอร์ ผู้มีเป้าหมายเพื่อพิชิตประชากรที่ไม่มีอำนาจวิเศษ พิชิตโลกพ่อมด และทำลายทุกคนที่ขัดขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฮร์รี่ พอตเตอร์
หนังสือเล่มแรกในชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ วางจำหน่ายในฉบับภาษาอังกฤษครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2540 และนับแต่นั้น หนังสือก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ทั้งได้รับการยกย่องอย่างสำคัญและประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ทั่วโลก[1] อย่างไรก็ดี ชุดนวนิยายดังกล่าวก็มีข้อวิจารณ์บ้าง รวมถึงความกังวลถึงโทนเรื่องที่มืดมนขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2554 ชุดหนังสือทำยอดขายประมาณ 450 ล้านเล่มทั่วโลก และมีการแปลไปเป็นภาษาต่าง ๆ 67 ภาษา หนังสือเล่มสุดท้ายของชุดยังเป็นหนังสือที่มีสถิติจำหน่ายออกหมดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์[2]
ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์สามารถจัดเป็นวรรณกรรมได้หลายประเภท (genre) รวมทั้งแฟนตาซีและการเปลี่ยนผ่านของวัย (coming of age) โดยมีองค์ประกอบของวรรณกรรมประเภทลึกลับ ตื่นเต้นสยองขวัญ ผจญภัย และโรแมนซ์ และมีความหมายและการสื่อถึงวัฒนธรรมหลายอย่าง[3][4][5][6] ตามข้อมูลของโรว์ลิง แก่นเรื่องหลักของเรื่อง คือ ความตาย[7] แม้โดยพื้นฐานแล้วหนังสือชุดนี้ถูกมองว่าเป็นผลงานวรรณกรรมเด็ก นอกจากนี้ยังมีแก่นเรื่องอื่นอีกมากมายในชุด เช่น ความรักและอคติ
หนังสือทั้งเจ็ดเล่มถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์บราเธอร์สจำนวนแปดภาค โดยเนื้อเรื่องในหนังสือเล่มที่เจ็ด ผู้สร้างได้แบ่งออกเป็นสองตอน ภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์เป็นชุดภาพยนตร์ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล นอกจากนี้ ยังได้มีการผลิตสินค้าควบคู่กันอีกจำนวนมาก ซึ่งทำให้ชื่อยี่ห้อแฮร์รี่ พอตเตอร์มีมูลค่ามากกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[8] ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2554 เนื้อหาที่ไม่ได้เปิดเผยในหนังสือได้เริ่มเผยแพร่ในรูปแบบอีบุ๊กผ่าน "พอตเตอร์มอร์"[9]
จักรวาลของเรื่อง
โลกในนิยายเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์นั้น เป็นโลกของพวกพ่อมดและแม่มดที่อยู่ร่วมกันกับโลกของมนุษย์เรานี้ในลักษณะคู่ขนาน ในเรื่องจะเรียกพวกมนุษย์ทั่วไปว่า มักเกิ้ล หรือมนุษย์ผู้ไร้เวทมนตร์ โลกพ่อมดจะมีอาณาเขตที่เชื่อมต่อกับโลกของมักเกิ้ลโดยมีสิ่งต่าง ๆ เช่นกำแพง เป็นสิ่งที่กั้นขอบเขตระหว่างทั้งสองโลก พ่อมดสามารถไปมาหาสู่กันได้โดยการผ่านกำแพงกั้นระหว่างโลกมักเกิ้ลกับโลกพ่อมด เช่นการผ่านแผงกั้นชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่ พวกมักเกิ้ลจะไม่สามารถเห็นแผงกั้นระหว่างทั้งสองโลกได้ หรืออาจจะเห็นแต่ก็จะเห็นเป็นกำแพงหรือสิ่งของธรรมดาเท่านั้น มักเกิ้ลไม่มีทางเข้าสู่โลกพ่อมดได้แม้ว่าวิธีใด ๆ ก็ตาม แต่ก็มีข้อยกเว้นกับมักเกิ้ลบางคนที่มีพลังเวทมนตร์ เช่น เฮอร์ไมโอนี่ เป็นต้น แต่สถานที่บางแห่งก็ไม่มีเขตกั้นระหว่างทั้งสองโลก พวกมักเกิ้ลสามารถเดินเข้าไปในโลกของพ่อมดได้ ทำให้บ่อยครั้งที่มีผู้พบเห็นพวกสัตว์วิเศษที่อาศัยอยู่ตามสถานที่ที่ไม่มีเขตกั้น
พวกพ่อมดแม่มดนอกจากจะมีโลกที่เป็นของตัวเองแล้ว ยังมีสถานที่ที่แอบซ่อนไว้ตามที่ต่าง ๆ ของโลกมักเกิ้ลอีกด้วย มีทั้งซ่อนไว้ใต้ดิน แต่ละที่มีเพียงพ่อมดแม่มดเท่านั้นที่จะมองเห็นและเข้าไปตามสถานที่ต่าง ๆ ได้ แต่กระทรวงเวทมนตร์เป็นข้อยกเว้นเนื่องจากมักเกิ้ลมักพบเห็นพ่อมดเสกเวทมนตร์คาถาอยู่บ่อย ๆ จึงต้องพาตัวมักเกิ้ลมาที่กระทรวงเพื่อลบความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องโลกเวทมนตร์เพื่อไม่ให้ความลับเรื่องโลกเวทมนตร์ถูกเปิดเผย
นอกจากนั้นพวกพ่อมดแม่มดยังใช้สถานที่ของมักเกิ้ลเป็นที่จัดการแข่งขันกีฬาควิดดิชอีกด้วย กีฬาประเภทนี้มักจัดตามที่ราบต่าง ๆ หรือตามป่าที่ไม่มีมักเกิ้ลอาศัยอยู่ แต่ถึงกระนั้นพวกพ่อมดก็ไม่อาจวางใจได้ พวกเขาต้องตั้งแนวป้องกันด้วยคาถาต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกมักเกิ้ลที่บังเอิญหลงทางมาพบเห็นเข้า นอกจากนั้นพวกพ่อมดยังมีคาถาที่ทำให้มักเกิ้ลที่เข้ามาใกล้เปลี่ยนใจเดินออกไปให้ไกลได้อีกด้วย
การป้องกันมักเกิ้ลถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมากต่อพวกพ่อมดแม่มด เพราะหากมีมักเกิ้ลพบเห็นว่าพวกเขาเสกเวทมนตร์ ความลับเรื่องเวทมนตร์ที่พวกเขาปกปิดก็อาจจะถูกเปิดเผย ฉะนั้นจึงต้องมีพ่อมดที่คอยป้องกันมักเกิ้ลไว้เสมอ นอกจากจะมีการป้องกันมักเกิ้ลไม่ให้พบพวกพ่อมดเสกเวทมนตร์แล้ว พวกพ่อมดยังต้องป้องกันไม่ให้มักเกิ้ลพบเห็นสัตว์วิเศษ เช่น มังกร ยูนิคอร์น เอลฟ์ โทรลล์ เพราะสัตว์บางพวกอาจทำร้ายมักเกิ้ลได้
ลำดับเวลา
เหตุการณ์ต่าง ๆ ในหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ไม่มีการระบุถึงปีตามปฏิทินจริงมากนัก อย่างไรก็ตามมีการอ้างอิงถึงปีจริงบางส่วนในเนื้อเรื่อง ซึ่งทำให้สามารถวางเรื่องราวของแฮร์รี่ พอตเตอร์ตามปีปฏิทินจริงได้ ซึ่งต่อมาข้อมูลได้รับการยืนยันจากการยอมรับของผู้แต่ง ลำดับเวลาซึ่งนำเสนอในดีวีดีภาพยนตร์ และแผนผังตระกูลแบล็กซึ่งผู้แต่งได้นำออกประมูลการกุศล
ลำดับเวลาที่ยอมรับกันทั่วไปคือ แฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นเกิดในปี พ.ศ. 2523 และเรื่องราวในหนังสือเล่มแรกเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2534 เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ลำดับเวลาได้อยู่ในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ บทที่ 8 ซึ่งแฮร์รี่ ได้เข้าร่วม"งานเลี้ยงวันตาย ปีที่ห้าร้อย" ของตัวละครนิกหัวเกือบขาด และมีการระบุปีบนเค้กวันตายว่า "ตายวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1492" (พ.ศ. 2035) ซึ่งแปลว่าเรื่องราวนี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2535[10]
โครงเรื่อง
นวนิยายเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัวแฮร์รี่ พอตเตอร์ เด็กกำพร้าผู้พบว่าตนเองเป็นพ่อมดเมื่ออายุได้สิบเอ็ดปี อาศัยอยู่ในโลกแห่งผู้ไม่มีอำนาจวิเศษหรือมักเกิล ซึ่งถือเป็นประชากรปกติ[11] ความสามารถของเขานั้นมีมาโดยกำเนิดและเด็กจำพวกนี้จึงได้รับเชิญให้เข้าศึกษาในโรงเรียนซึ่งสอนทักษะที่จำเป็นแก่การประสบความสำเร็จในโลกพ่อมด[12] แฮร์รี่กลายมาเป็นนักเรียนที่โรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ และเรื่องราวส่วนใหญ่ในนวนิยายเกิดขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้ เมื่อแฮร์รี่เติบโตขึ้นผ่านช่วงวัยรุ่น เขาเรียนรู้ที่จะก้าวข้ามปัญหาที่เผชิญกับเขา ทั้งทางเวทมนตร์ สังคมและอารมณ์ รวมทั้งความท้าทายอย่างวัยรุ่นทั่วไป เช่น มิตรภาพและการสอบ ตลอดจนบททดสอบอันยิ่งใหญ่กว่าที่เตรียมพร้อมเขาสำหรับการเผชิญหน้าที่คอยอยู่เบื้องหน้า[13]
หนังสือแต่ละเล่มบันทึกเหตุการณ์หนึ่งปีในชีวิตของแฮร์รี่[14] โดยเนื้อเรื่องหลักเกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1991-98 หนังสือยังมีการเล่าย้อนไปในอดีตหลายครั้ง ซึ่งมักอธิบายโดยตัวละครมองความทรงจำในอุปกรณ์ที่เรียกว่า เพนซิฟ
สภาพแวดล้อมที่เจ. เค. โรว์ลิงสร้างขึ้นนั้นแยกจากความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง แต่ยังเกี่ยวเนื่องกันอย่างใกล้ชิด ขณะที่ดินแดนแฟนตาซีแห่งนาร์เนียเป็นอีกเอกภพหนึ่ง และมัชฌิมโลกแห่งลอร์ดออฟเดอะริงส์เป็นตำนานโบราณ โลกเวทมนตร์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นเกิดขึ้นคู่ขนานกับโลกแห่งความจริง และจึงเป็นว่า โลกของพอตเตอร์มีแบบเวทมนตร์ที่คล้ายคลึงกับชีวิตประจำวัน สถาบันและสถานที่หลายแห่งนั้นมีอยู่จริง เช่น กรุงลอนดอน[15] สถานที่ในโลกเวทมนตร์นั้นได้กระจัดกระจายอยู่ในสถานที่ต่างๆ เช่น ถนนที่ถูกซ่อน ผับเก่าแก่ที่ถูกมองข้าม คฤหาสน์ชนบทที่โดดเดี่ยว และปราสาทที่ตัดขาดจากโลกภายนอกซึ่งประชากรมักเกิลไม่อาจมองเห็นได้[12]
ช่วงปีแรก
เมื่อเรื่องราวของแฮร์รี่ พอตเตอร์เปิดฉากขึ้น เป็นที่แน่ชัดว่ามีเหตุการณ์บางอย่างที่สำคัญเกิดขึ้นในโลกพ่อมด แม้แต่มักเกิลก็ยังสังเกตเห็นสัญญาณบางอย่างได้ เบื้องหลังทั้งหมดของเรื่องและบุคลิกของแฮร์รี่ พอตเตอร์ค่อยๆ เปิดเผยออกมาตลอดทั้งเรื่อง ในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ แฮร์รี่ค้นพบว่า เมื่อครั้งเป็นเด็ก เขาได้เป็นพยานการฆาตกรรมบิดามารดาของตนโดยพ่อมดมืดผู้หลงใหลในอำนาจ ลอร์ดโวลเดอมอร์ ผู้ซึ่งขณะนั้นพยายามฆ่าเขาด้วยเช่นกัน[16] ด้วยเหตุผลที่ยังไม่เปิดเผยในทันที คาถาที่โวลเดอมอร์พยายามปลิดชีพแฮร์รี่สะท้อนกลับไปยังตัวเขาเอง แฮร์รี่รอดชีวิตโดยหลงเหลือแผลเป็นรูปสายฟ้าบนหน้าผากเป็นอนุสรณ์ถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น และโวลเดอมอร์ได้หายสาบสูญไป ด้วยการเป็นวีรบุรุษโดยไม่ได้ตั้งใจจากการสิ้นสุดยุคสมัยแห่งความหวาดกลัวของโวลเดอมอร์ แฮร์รี่ได้กลายมาเป็นตำนานมีชีวิตในโลกพ่อมด อย่างไรก็ดี ด้วยคำสั่งของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียง อัลบัส ดัมเบิลดอร์ แฮร์รี่ซึ่งกำพร้าพ่อแม่ ถูกทิ้งไว้ในบ้านของญาติมักเกิลผู้ไม่น่าพิสมัยของเขา ครอบครัวเดอร์สลีย์ พวกเดอร์สลีย์ให้ความคุ้มครองเขาให้ปลอดภัยแต่ปกปิดพลังที่แท้จริงจากเขาด้วยหวังว่าเขาจะเติบโตขึ้น "อย่างปกติ"[16]
เมื่อย่างใกล้วันเกิดครบรอบปีที่สิบเอ็ดของแฮร์รี่ พ่อมดครึ่งยักษ์ รูเบอัส แฮกริด เปิดเผยประวัติของแฮร์รี่และนำเขาเข้าสู่โลกเวทมนตร์[16] ด้วยความช่วยเหลือของแฮกริด แฮร์รี่เตรียมตัวและเข้าเรียนในปีแรกที่ฮอกวอตส์ เมื่อแฮร์รี่เริ่มต้นสำรวจโลกเวทมนตร์นั้น เรื่องราวได้ระบุสถานที่สำคัญหลายแห่งที่ใช้ตลอดเนื้อเรื่อง แฮร์รี่พบกับตัวละครหลักส่วนใหญ่ และมีเพื่อนรักที่สุดสองคน รอน วีสลีย์ สมาชิกที่รักสนุกแห่งครอบครัวพ่อมดที่ใหญ่ เก่าแก่ มีความสุขแต่ยากจน และเฮอร์ไมโอนี เกรนเจอร์ แม่มดที่มีพรสวรรค์ เกิดจากพ่อแม่ที่ไม่มีเวทมนตร์และจริงจังกับการเรียน[16][17] แฮร์รี่ยังพบกับอาจารย์สอนวิชาปรุงยาของโรงเรียน เซเวอร์รัส สเนป ผู้แสดงความไม่ชอบอย่างลึกซึ้งมั่นคงแก่เขา โครงเรื่องสรุปเมื่อแฮร์รี่เผชิญหน้ากับลอร์ดโวลเดอมอร์ครั้งที่สอง ผู้ซึ่งกำลังตามหาความเป็นอมตะ โดยปรารถนาการได้รับอำนาจแห่งศิลาอาถรรพ์[16] แต่สุดท้ายก็เป็นแฮร์รี่ที่ได้รับชัยชนะอีกครั้งหนึ่ง
เรื่องราวดำเนินต่อด้วยแฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ ซึ่งอธิบายปีที่สองของแฮร์รี่ที่ฮอกวอตส์ เขาและเพื่อนของเขาสืบสวนตำนานอายุ 50 ปีซึ่งกลายเป็นว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลางร้ายล่าสุดที่โรงเรียน น้องสาวของรอน จินนี่ วีสลีย์ ซึ่งกำลังเรียนอยู่ปีหนึ่งที่ฮอกวอตส์ พบสมุดบันทึกซึ่งกลายเป็นบันทึกของโวลเดอมอร์เมื่อครั้งเป็นนักเรียน จินนี่ถูกครอบงำโดยโวลเดอมอร์ผ่านบันทึก และเปิด "ห้องแห่งความลับ" ปลดปล่อยบาซิลิสก์ สัตว์ประหลาดโบราณซึ่งเริ่มโจมตีนักเรียนที่ฮอกวอตส์ ตอนนี้เป็นการเล่าประวัติศาสตร์ฮอกวอตส์และตำนานที่เกี่ยวข้องกับห้องลับแห่งนี้ เป็นครั้งแรกที่แฮร์รี่ตระหนักถึงอคติด้านชาติกำเนิดว่ามีอยู่ในโลกพ่อมด และเขาเรียนรู้ว่า ยุคสมัยแห่งความหวาดกลัวของโวลเดอมอร์นั้นมักมุ่งไปยังพ่อมดผู้สืบเชื้อสายจากมักเกิล เขายังพบความสามารถของตนในการพูดภาษาพาร์เซล ซึ่งเป็นภาษาของงู พบได้ยากและมักเกี่ยวข้องกับศาสตร์มืด นิยายเล่มนี้จบลงหลังแฮร์รี่ช่วยชีวิตของจินนี่โดยการฆ่าบาซิลิสก์และทำลายสมุดบันทึกที่โวลเดอมอร์เก็บรักษาส่วนหนึ่งของวิญญาณเขาไว้ (แฮร์รี่ไม่ทราบเรื่องนี้จนกระทั่งเปิดเผยภายหลัง) แนวคิดการเก็บรักษาส่วนหนึ่งของวิญญาณไว้ในวัตถุเพื่อป้องกันความตายนั้นปรากฏครั้งแรกในนิยายเล่มที่หกในชื่อของ "ฮอร์ครักซ์"
นิยายเล่มที่สาม แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน ติดตามปีที่สามของแฮร์รี่ในการศึกษาเวทมนตร์ และเป็นเพียงเล่มเดียวในเรื่องที่มิได้มีโวลเดอมอร์ปรากฏ เขาต้องรับมือกับข้อมูลที่ว่าเขาตกเป็นเป้าหมายของซิเรียส แบล็ก ฆาตกรหลบหนีผู้เชื่อกันว่ามีส่วนในการตายของพ่อแม่แฮร์รี่ เมื่อแฮร์รี่ได้ต่อสู้กับปฏิกิริยาต่อผู้คุมวิญญาณ สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่มีความสามารถในการกลืนกินวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งกำลังคุ้มครองโรงเรียนอยู่ เขาก็ได้พบกับรีมัส ลูปิน ครูสอนวิชาการป้องกันต้องจากศาสตร์มืดคนใหม่ ซึ่งเปิดเผยภายหลังว่าเป็นมนุษย์หมาป่า ลูปินสอนมาตรการป้องกันแก่แฮร์รี่ ซึ่งเหนือไปจากระดับเวทมนตร์ที่มักพบในบุคคลที่มีอายุเท่าเขา แฮร์รี่พบว่าทั้งลูปินและแบล็กเคยเป็นเพื่อนสนิทของบิดา และแบล็กถูกใส่ร้ายจากเพื่อนคนที่สี่ ปีเตอร์ เพ็ตดิกรูว์[18] ในเล่มนี้ มีการเน้นย้ำแก่นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำอีกประการหนึ่งตลอดเรื่อง คือ ทุกเล่มจะต้องมีครูสอนการป้องกันตัวจากศาสตร์มืดคนใหม่เสมอและไม่มีคนใดทำงานอยู่ได้นานเกินหนึ่งปี
การหวนคืนของโวลเดอมอร์
ในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี ระหว่างปีที่สี่ของแฮร์รี่ที่ฮอกวอตส์ แฮร์รี่เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันการประลองเวทไตรภาคีโดยไม่เต็มใจ ซึ่งเป็นการประลองอันตรายที่แฮร์รี่จะต้องแข่งขันกับตัวแทนพ่อมดและแม่มดจากโรงเรียนที่มาเยือน เช่นเดียวกับนักเรียนฮอกวอตส์อีกคนหนึ่ง[19] แฮร์รี่ได้รับการชี้นำผ่านการประลองโดยศาสตราจารย์อลาสเตอร์ "แม้ด-อาย" มู้ดดี้ แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นคนอื่นปลอมตัวมา ซึ่งก็คือบาร์ตี้ เคร้าช์ จูเนียร์ หนึ่งในผู้สนับสนุนของโวลเดอมอร์ จุดที่ปริศนาคลายปมออกนั้นเป็นจุดเปลี่ยนของเรื่อง โดยแผนการของโวลเดอมอร์คือให้เคร้าช์อาศัยการประลองในครั้งนี้เพื่อนำตัวแฮร์รี่มาให้โวลเดอมอร์สังหาร และแม้ว่าแฮร์รี่จะสามารถหลบหนีจากเขามาได้แต่เซดริก ดิกกอรี่ ตัวแทนฮอกวอตส์อีกคนหนึ่งในการประลองถูกสังหาร และโวลเดอมอร์ได้กลับฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้ง
ในหนังสือเล่มที่ห้า แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์ แฮร์รี่ต้องเผชิญหน้ากับโวลเดอมอร์ที่คืนชีพขึ้นมา และเพื่อเป็นการรับมือ ดัมเบิลดอร์ได้ให้ภาคีนกฟีนิกซ์กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ภาคีนั้นเป็นสมาคมลับที่ดำเนินงานโดยอาศัยบ้านลึกลับประจำตระกูลของซิเรียส แบล็กเป็นกองบัญชาการ เพื่อเอาชนะสมุนของโวลเดอมอร์และให้ความคุ้มครองเป้าหมายของโวลเดอมอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฮร์รี่ อย่างไรก็ตามรายละเอียดของแฮร์รี่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวล่าสุดของโวลเดอมอร์ ได้ถูกกระทรวงเวทมนตร์และคนส่วนใหญ่ในโลกเวทมนตร์ปฏิเสธที่จะเชื่อว่าโวลเดอมอร์ได้หวนกลับคืนอีกครั้ง[20] ด้วยความพยายามที่จะตอบโต้และทำลายชื่อเสียงดัมเบิลดอร์ ผู้ซึ่งอยู่เคียงข้างแฮร์รี่และถือเป็นกระบอกเสียงที่สำคัญที่สุดในโลกเวทมนตร์ในการพยายามเตือนภัยถึงการกลับมาของโวลเดอมอร์ กระทรวงจึงได้แต่งตั้งโดโลเรส อัมบริดจ์ ขึ้นเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนใหญ่แห่งฮอกวอตส์ เธอได้เปลี่ยนแปลงการปกครองในโรงเรียนไปอย่างเข้มงวดและปฏิเสธที่จะอนุญาตให้นักเรียนเรียนรู้วิธีป้องกันตนเองจากเวทมนตร์มืด[20]
แฮร์รี่ได้ก่อตั้ง "กองทัพดัมเบิลดอร์" กลุ่มเรียนลับเพื่อสอนทักษะการป้องกันตัวจากศาสตร์มืดระดับสูงที่เขาเคยเรียนมาแก่เพื่อนร่วมชั้นของเขา ภายหลังมีการเปิดเผยถึงคำพยากรณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับแฮร์รี่และโวลเดอมอร์[21] แฮร์รี่ค้นพบว่าเขากับโวลเดอมอร์สามารถเชื่อต่อถึงกันได้ และทำให้แฮร์รี่ได้เห็นการกระทำบางอย่างของโวลเดอมอร์ผ่านทางกระแสจิต ในช่างท้ายของเรื่อง แฮร์รี่กับเพื่อนของเขาเผชิญหน้ากับผู้เสพความตายของโวลเดอมอร์ แม้การมาถึงทันเวลาของสมาชิกภาคีนกฟีนิกซ์จะช่วยชีวิตของเด็กๆได้ แต่ซิเรียส แบล็กก็ถูกสังหารไปในคราวเดียวกัน[20]
โวลเดอมอร์เริ่มทำสงครามอย่างเปิดเผยในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม แม้แฮร์รี่กับเพื่อนจะค่อนข้างได้รับการคุ้มครองจากภัยอันตรายเป็นอย่างดีที่ฮอกวอตส์ แต่พวกเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากในช่วงวัยรุ่นหลายอย่าง แฮร์รี่เริ่มต้นออกเดทกับจินนี่ วีสลีย์ รอนเองก็หลงใหลในตัวลาเวนเดอร์ บราวน์ เพื่อนสาวของเขาอย่างรุนแรง ส่วนเฮอร์ไมโอนีก็เริ่มที่จะรู้ตัวว่าเธอนั้นรักรอน ในช่วงต้นของนิยายแฮร์รี่ได้รับหนังสือเรียนปรุงยาเล่มเก่าซึ่งเต็มไปด้วยความเห็นประกอบและข้อแนะนำที่เขียนโดยนักเขียนลึกลับชื่อ เจ้าชายเลือดผสม แฮร์รี่ยังได้เรียนพิเศษเป็นการส่วนตัวกับดัมเบิลดอร์ ที่ได้แสดงให้เขาเห็นความทรงจำทั้งหลายเกี่ยวกับชีวิตช่วงต้นของโวลเดอมอร์ผ่านเพนซิฟ พร้อมแสดงให้เห็นว่าวิญญาณของโวลเดอมอร์ได้แยกไปอยู่ในฮอร์ครักซ์หลายชิ้น ซึ่งเป็นวัตถุวิเศษชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่ยังที่ต่างๆ [22] เดรโก มัลฟอย คู่ปรับของแฮร์รี่ พยายามโจมตีดัมเบิลดอร์ และหนังสือจบลงด้วยการสังหารดัมเบิลดอร์โดยศาสตราจารย์สเนป ซึ่งเป็นเจ้าของชื่อเจ้าชายเลือดผสม
แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต นิยายเล่มสุดท้ายในชุด ดำเนินเรื่องต่อจากหลังเหตุการณ์ในหนังสือเล่มก่อนในทันที โวลเดอมอร์ประสบความสำเร็จในการเถลิงอำนาจและควบคุมกระทรวงเวทมนตร์ แฮร์รี่ รอน และเฮอร์ไมโอนีออกจากโรงเรียนเพื่อที่พวกเขาจะสามารถค้นหาและทำลายฮอร์ครักซ์ที่เหลืออยู่ของโวลเดอมอร์ เพื่อเป็นการประกันความปลอดภัยของพวกตน เช่นเดียวกับความปลอดภัยของครอบครัวและเพื่อนฝูง พวกเขาถูกบีบให้แยกตัวออกจากทุกคน ระหว่างการค้นหาฮอร์ครักซ์ ทั้งสามได้ทราบเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตของดัมเบิลดอร์ เช่นเดียวกับเจตนาที่แท้จริงของสเนป ที่ทำภารกิจตามความต้องการของดัมเบิลดอร์นับแต่แม่ของแฮร์รี่ถูกฆาตกรรม
นิยายเดินทางมาถึงจุดสำคัญในการต่อสู้ที่ฮอกวอตส์ แฮร์รี่ รอนและเฮอร์ไมโอนี ร่วมกับสมาชิกภาคีนกฟีนิกซ์ ตลอดจนครูและนักเรียนหลายคน ได้ป้องกันฮอกวอตส์จากโวลเดอมอร์ ผู้เสพความตายของเขา และสิ่งมีชีวิตเวทมนตร์ทั้งหลาย ตัวละครหลักหลายคนถูกสังหารในการต่อสู้ระลอกแรก รวมถึงรีมัส ลูปินและเฟร็ด วีสลีย์ และหลังทราบว่าตัวเขาเองเป็นฮอร์ครักซ์ แฮร์รี่มอบตัวต่อโวลเดอมอร์ที่ป่าต้องห้าม ซึ่งได้ร่ายคำสาปพิฆาตเพื่อปลิดชีพเขา อย่างไรก็ดี กลุ่มป้องกันฮอกวอตส์ยังไม่ยอมจำนนแม้จะทราบถึงข้อเท็จจริงนี้และยังคงสู้ต่อไป หลังกลับมาจากความตาย แฮร์รี่เผชิญหน้ากับโวลเดอมอร์ในท้ายที่สุด ซึ่งฮอร์ครักซ์ทั้งหมดได้ถูกทำลายลงแล้ว ในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย คำสาปพิฆาตขของโวลเดอมอร์ได้ถูกคาถาปลดอาวุธของแฮร์รี่สะท้อนกลับและฆ่าโวลเดอมอร์เองในที่สุด ในบทส่งท้ายอธิบายถึงชีวิตของตัวละครที่เหลือรอด และผลกระทบต่อโลกพ่อมดหลังการตายของโวลเดอมอร์
งานสมทบ
โรว์ลิงขยายจักรวาลแฮร์รี่ พอตเตอร์ด้วยหนังสือเรื่องสั้นหลายเล่มซึ่งผลิตออกมาให้การกุศลหลายอย่าง[23][24] ใน พ.ศ. 2544 เธอวางจำหน่ายสัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ (หนังสือที่สมมติขึ้นว่าเป็นหนังสือเรียนในฮอกวอตส์) และควิดดิชในยุคต่าง ๆ (หนังสือที่แฮร์รี่อ่านเอาสนุก) รายได้จากการขายหนังสือทั้งสองเล่มนี้ได้มอบให้แก่มูลนิธิคอมมิครีลิฟ[25] ใน พ.ศ. 2550 โรว์ลิงประพันธ์นิทานของบีเดิลยอดกวีฉบับเขียนด้วยมือเจ็ดเล่ม ซึ่งเป็นหนังสือที่รวมเทพนิยายซึ่งปรากฏในเล่มสุดท้าย หนึ่งในนั้นถูกประมูลขายเพื่อระดมทุนแก่ชิลเดรนส์ไฮเลเวลกรุ๊ป กองทุนเพื่อเด็กพิการในประเทศยากจน หนังสือนี้ได้รับตีพิมพ์ระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551[26][27] โรว์ลิงได้เขียนพลีเควล 800 คำ ใน พ.ศ. 2551 เป็นส่วนหนึ่งของการระดมทุนซึ่งจัดโดยร้านขายหนังสือวอเทอร์สโตนส์[28] ใน พ.ศ. 2554 โรว์ลิงออกเว็บไซต์ใหม่ในชื่อ พอตเตอร์มอร์ ซึ่งเป็นการรวบรวมเนื้อหาต่างๆที่ไม่ได้รับการเปิดเผยในหนังสือ[29]
โครงสร้างและประเภท
นวนิยายแฮร์รี่ พอตเตอร์จัดอยู่ในประเภทวรรณกรรมแฟนตาซี อย่างไรก็ดี ในหลายแง่มุม ยังเป็นนวนิยายการศึกษา (bildungsromans) หรือการเปลี่ยนผ่านของวัย และมีส่วนที่เป็นประเภทลึกลับ ตื่นเต้นเขย่าขวัญ และโรแมนซ์ นวนิยายชุดนี้อาจถูกมองว่าเป็นประเภทโรงเรียนกินนอนเด็กของอังกฤษ เพราะเรื่องราวส่วนใหญ่ในชุดเกิดขึ้นในฮอกวอตส์ ซึ่งเป็นโรงเรียนกินนอนอังกฤษสำหรับพ่อมดในนวนิยาย โดยมีหลักสูตรรวมถึงการใช้เวทมนตร์ด้วย[30] ชุดนวนิยายนี้ยังเป็นประเภทที่สตีเฟน คิงใช้คำว่า "เรื่องลึกลับหลักแหลม"[31] และแต่ละเล่มมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับการผจญภัยลึกลับแบบเชอร์ล็อก โฮมส์ เรื่องราวเล่าโดยบุคคลที่สามจำกัดมุมมองโดยมีข้อยกเว้นเล็กน้อย (เช่น บทแรก ๆ ของศิลาอาถรรพ์และเครื่องรางยมทูต และสองบทแรกของเจ้าชายเลือดผสม)
ช่วงกลางของหนังสือแต่ละเล่ม แฮร์รี่ต่อสู้กับปัญหาที่เขาประสบ และการจัดการปัญหาเหล่านั้นมักเกี่ยวข้องกับความต้องการละเมิดกฎโรงเรียนบางข้อ หากนักเรียนถูกจับได้ว่าละเมิดกฎ พวกเขาจะถูกลงโทษโดยศาสตราจารย์ฮอกวอตส์ ซึ่งใช้รูปแบบวิธีการลงโทษที่มักพบในประเภทย่อยโรงเรียนกินนอน[30] อย่างไรก็ดี เรื่องราวถึงจุดสูงสุดในช่วงภาคเรียนฤดูร้อน ช่วงใกล้หรือช่วงเพิ่งสอบปลายภาคเรียนเสร็จ โดยมีเหตุการณ์บานปลายขึ้นเกินการวิวาทและการดิ้นรนอยู่ในโรงเรียน และแฮร์รี่ต้องเผชิญกับโวลเดอมอร์หรือหนึ่งในผู้ติดตามของเขา ผู้เสพความตาย โดยเดิมพันเรื่องคอขาดบาดตาย ประเด็นหนึ่งเน้นย้ำว่า เมื่อเรื่องราวดำเนินไป มีตัวละครหนึ่งตัวหรือมากกว่าถูกฆ่าในแต่ละเล่มในสี่เล่มสุดท้าย[32][33] หลังจากนั้น เขาเรียนรู้บทเรียนสำคัญผ่านการชี้แจงและการอภิปรายกับอาจารย์ใหญ่และที่ปรึกษา อัลบัส ดัมเบิลดอร์
ในนวนิยายเล่มสุดท้าย แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต แฮร์รี่กับเพื่อนใช้เวลาส่วนใหญ่นอกฮอกวอตส์ และเพียงกลับมาเพื่อเผชิญหน้ากับโวลเดอมอร์ในตอนจบ[32] ด้วยรูปแบบนวนิยายการศึกษา ในส่วนนี้แฮร์รี่ต้องเติบโตขึ้นก่อนวัยอันควร ละทิ้งโอกาสปีสุดท้ายในฐานะนักเรียนโรงเรียนและจำต้องปฏิบัติตนเหมือนผู้ใหญ่ ซึ่งคนอื่นต้องพึ่งพาการตัดสินใจของเขา ซึ่งรวมถึงผู้ใหญ่ด้วย[34]
แก่นเรื่อง
โรว์ลิงว่า แก่นเรื่องหลักของชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์คือ ความตาย "หนังสือของฉันเกี่ยวข้องกับความตายเป็นส่วนใหญ่ เรื่องราวเกิดขึ้นด้วยการตายของพ่อแม่แฮร์รี่ มีความคิดครอบงำของโวลเดอมอร์เรื่องการพิชิตความตายและภารกิจของเขาเพื่อความเป็นอมตะไม่ว่าจะต้องเสียอะไรไปก็ตาม เป้าหมายของทุกคนที่มีเวทมนตร์ ฉันเข้าใจดีว่าทำไมโวลเดอมอร์ต้องการพิชิตความตาย เราทุกคนกลัวมัน"[7]
อาจารย์และนักหนังสือพิมพ์ได้พัฒนาการตีความแก่นเรื่องอื่นอีกมากในหนังสือ บ้างก็ซับซ้อนกว่าแนวคิดอื่น และบ้างก็รวมถึงการแฝงนัยทางการเมืองด้วย แก่นเรื่องนี้อย่างเช่น ปกติวิสัย การครอบงำ การอยู่รอด และการก้าวข้ามความแปลกประหลาดที่เพิ่มขึ้นมาล้วนถูกมองว่าพบเห็นได้บ่อยตลอดทั้งเรื่อง[35] โรว์ลิงว่า หนังสือของเธอประกอบด้วย "ข้อพิสูจน์ยืดเยื้อแก่ความอดกลั้น คำขอร้องยาวนานให้ยุติความเชื่อไร้เหตุผล" และว่ายังผ่านข้อความเพื่อ "ตั้งคำถามถึงทางการและ ... ไม่สันนิษฐานว่าสถาบันหรือสื่อบอกความจริงแก่คุณทั้งหมด"[36]
ขณะที่อาจกล่าวได้ว่าหนังสือนั้นประกอบด้วยแก่นเรื่องอื่นอีกหลากหลาย เช่น อำนาจ การละเมิดอำนาจ, ความรัก, อคติ และทางเลือกเสรี ซึ่งทั้งหมดนี้ ตามคำกล่าวของเจ. เค. โรว์ลิง ว่า "ฝังลึกอยู่ในโครงเรื่องทั้งหมด" ผู้เขียนยังพึงใจปล่อยให้แก่นเรื่อง "การเติบโตทางชีวิต" มากกว่านั่งลงและเจตนาพยายามที่จะบอกแนวคิดนั้นแก่ผู้อ่านของเธอ ในบรรดาแก่นเรื่องนั้นคือ แก่นเรื่องที่มีอยู่ตลอดเวลาเกี่ยวกับวัยรุ่น ซึ่งในการพรรณนา โรว์ลิงมีจุดประสงค์ในการรับรองเพศภาพตัวละครของเธอและไม่ทิ้งให้แฮร์รี่ ตามคำพูดของเธอ "ติดอยู่ในสภาพก่อนวัยหนุ่มสาวไปตลอดกาล"[37] โรว์ลิงกล่าวว่า สำหรับเธอ ความสำคัญทางศีลธรรมของเรื่องนี้ดู "ชัดเจนมากอย่างที่สุด" สิ่งสำคัญสำหรับเธอคือทางเลือกระหว่างสิ่งที่ง่ายกับสิ่งที่ถูก "เพราะว่า ... คือสิ่งที่ทรราชเริ่มต้น โดยคนไม่ยินดียินร้ายและเลือกเส้นทางที่ง่าย และทันใดนั้นก็พบว่าตนเองอยู่ในปัญหาร้ายแรง"[38]
จุดกำเนิดและประวัติการตีพิมพ์
ใน พ.ศ. 2533 เจ. เค. โรว์ลิงอยู่ในรถไฟที่มีคนเนืองแน่นจากแมนเชสเตอร์ไปยังลอนดอน เมื่อแนวคิดแฮร์รี่ "ตกลงมาใส่หัวของเธอ" ทันใดนั้นเอง โรว์ลิงเล่าถึงประสบการฯณ์บนเว็บไซต์ของเธอโดยระบุว่า
ฉันเคยเขียนค่อนข้างต่อเนื่องเรื่อยมาตั้งแต่อายุได้หกขวบ แต่ฉันไม่เคยตื่นเต้นกับแนวคิดไหนมาก่อน ฉันเพียงแค่นั่งลงและคิด เป็นเวลาสี่ (รถไฟล่าช้า) ชั่วโมง และทุกรายละเอียดก็ผุดขึ้นในสมองของฉัน และเด็กชายผอมกะหร่อง ผมดำ สวมแว่นตาผู้ไม่รู้ว่าตนเองเป็นพ่อมดนี้ก็ค่อย ๆ กลายเป็นจริงขึ้นสำหรับฉัน[39]
โรว์ลิงเขียนแฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์เสร็จใน พ.ศ. 2538 และต้นฉบับถูกส่งไปยังตัวแทนผู้ซื้อขายลิขสิทธิ์หนังสือหลายคน (prospective agent)[40] ตัวแทนคนที่สอง คริสโตเฟอร์ ลิตเตล เสนอเป็นตัวแทนเธอและส่งต้นฉบับไปยังสำนักพิมพ์บลูมส์บรี หลังสำนักพิมพ์อื่นแปดสำนักปฏิเสธศิลาอาถรรพ์ บลูมส์บรีเสนอค่าตอบแทนล่วงหน้าเป็นเงิน 2,500 ปอนด์แก่โรว์ลิงเป็นค่าจัดพิมพ์[41][42] แม้เธอจะไม่ได้วางกลุ่มอายุเป้าหมายไว้ในใจเมื่อเริ่มต้นเขียนหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ สำนักพิมพ์เดิมตั้งเป้าไว้ที่เด็กอายุระหว่างเก้าถึงสิบเอ็ดปี[43] วันก่อนวันจัดพิมพ์ โรว์ลิงได้รับการร้องขอจากสำนักพิมพ์ให้ใช้นามปากกาที่ไม่บ่งบอกเพศมากกว่านี้ เพื่อดึงดูดกลุ่มอายุที่เป็นชายมากขึ้น ด้วยกลัวว่าพวกเขาอาจไม่สนใจอ่านนวนิยายที่พวกเขารู้ว่าผู้หญิงเขียน เธอเลือกใช้ชื่อ เจ. เค. โรว์ลิง (โจแอนน์ แคทลีน โรว์ลิง) โดยใช้ชื่อย่าของเธอเป็นชื่อที่สอง เพราะเธอไม่มีชื่อกลาง[42][44]
แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ (Harry Potter and the Philosopher's Stone) ได้รับตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์บลูมส์บรี ผู้จัดพิมพ์หนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ทุกเล่มในสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2540[45] และวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2541 ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์สกอแลสติก สำนักพิมพ์หนังสือของอเมริกา ในชื่อ Harry Potter and the Sorcerer's Stone หลังโรว์ลิงได้รับเงิน 150,000 ดอลลาร์สหรัฐเป็นค่าลิขสิทธิ์ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นจำนวนเงินที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนสำหรับหนังสือเด็กโดยนักเขียนที่ขณะนั้นยังไร้ชื่อ[46] ด้วยกลัวว่าผู้อ่านชาวอเมริกันจะไม่เชื่อมโยงคำว่า "philosopher" (นักปราชญ์) กับแก่นเรื่องเวทมนตร์ (แม้ศิลานักปราชญ์จะเกี่ยวข้องกับการเล่นแร่แปรธาตุก็ตาม) สกอแลสติกจึงยืนยันว่าหนังสือควรให้ชื่อนี้สำหรับตลาดอเมริกัน
หนังสือเล่มที่สอง แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ ตีพิมพ์ในสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 และในสหรัฐอเมริกาวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2542 แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบันตีพิมพ์อีกหนึ่งปีให้หลังในสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 และในสหรัฐอเมริกา 8 กันยายน ปีเดียวกัน[47] แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนีตีพิมพ์เมื่อ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 เวลาเดียวกันทั้งบลูมส์บรีและสกอแลสติก[48] แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์เป็นหนังสือเล่มยาวที่สุดในชุด ด้วยความหนา 766 หน้าในรุ่นสหราชอาณาจักร และ 870 หน้าในรุ่นสหรัฐอเมริกา[49] ตีพิมพ์ทั่วโลกในภาษาอังกฤษเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2546[50] แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสมตีพิมพ์วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 ทำยอดขาย 9 ล้านเล่มในการวางขาย 24 ชั่วโมงแรกทั่วโลก[51][52] นิยายเล่มที่เจ็ดและสุดท้าย แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ตีพิมพ์เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2550[53] ทำยอดขาย 11 ล้านเล่มในช่วงวางขาย 24 ชั่วโมงแรก แบ่งเป็น 2.7 ล้านเล่มในสหราชอาณาจักร และ 8.3 ล้านเล่มในสหรัฐอเมริกา[54]
การแปล
หนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ได้รับการแปลเป็นภาษาอื่นอีกอย่างน้อย 67 ภาษา เล่มแรกนั้นได้รับการแปลเป็นภาษาละตินและภาษากรีกโบราณ[55] โดยเป็นงานเขียนภาษากรีกโบราณที่ยาวที่สุดนับแต่นวนิยายของเฮลิโอโดรัสแห่งอีเมซาในคริสต์ศตวรรษที่ 3[56] ทำให้โรว์ลิงเป็นผู้ประพันธ์ที่ผลงานได้รับการแปลเป็นภาษาอื่นมากที่สุดในโลก[57] การแปลหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์นั้นมีความยากลำบากหลายประการ เช่น จากการถ่ายทอดวัฒนธรรมโรงเรียนประจำแบบอังกฤษ การใช้ภาษาที่แสดงถึงบุคลิกภาพหรือสำเนียง รวมถึงการคิดค้นศัพท์ใหม่ ๆ ของผู้แต่งด้วย[58]
นักแปลบางคนที่ได้รับว่าจ้างมาแปลหนังสือนั้นเป็นผู้ประพันธ์มีชื่อเสียงก่อนมีผลงานกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ อาทิ วิกตอร์ โกลูเชฟ ผู้ควบคุมการแปลหนังสือเล่มที่ห้าเป็นภาษารัสเซีย การแปลหนังสือเล่มสองถึงเจ็ดเป็นภาษาตุรกีอยู่ภายใต้การดูแลของเซวิน ออคเย นักวิจารณ์วรรณกรรมและผู้บรรยายวัฒนธรรมที่ได้รับความนิยม[59] ด้วยเหตุผลด้านความลับ การแปลสามารถเริ่มต้นได้เฉพาะหลังหนังสือนั้นออกมาในภาษาอังกฤษแล้วเท่านั้น ซึ่งทำให้รุ่นภาษาอังกฤษถูกขายให้แก่แฟนที่รอไม่ไหวในประเทศที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษมากขึ้นทุกที จนทำให้เล่มที่ห้าในชุดกลายมาเป็นหนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรกและเล่มเดียวที่ขึ้นเป็นที่หนึ่งของรายการหนังสือขายดีในฝรั่งเศส[60]
รุ่นสหรัฐอเมริกาของนวนิยายแฮร์รี่ พอตเตอร์ต้องผ่านการดัดแปลงข้อความเป็นภาษาอังกฤษแบบอเมริกันเสียก่อน เพราะคำหลายคำและหลายแนวคิดที่ใช้โดยตัวละครในนวนิยายนั้นอาจไม่เป็นที่เข้าใจแก่ผู้อ่านชาวอเมริกัน[61]
ผลงานในชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ฉบับแปลภาษาไทยได้รับการจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ในขณะที่ฉบับภาษาอังกฤษได้ออกมาแล้วสี่เล่ม โดยต้องเร่งแปลหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ทั้งสี่เล่มให้เสร็จโดยเร็วเพื่อง่ายต่อการแปลแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มที่ห้า ซึ่งโรว์ลิงยังเขียนไม่เสร็จ มีผู้แปลทั้งสิ้นสามคน ได้แก่ สุมาลี บำรุงสุขแปลเล่มที่หนึ่ง สอง ห้า หกและเจ็ด วลีพร หวังซื่อกุลแปลเล่มที่สาม และงามพรรณ เวชชาชีวะแปลเล่มที่สี่ หน้าปกฉบับภาษาไทยนั้นใช้ภาพแบบเดียวกับหน้าปกฉบับอเมริกัน ซึ่งเป็นผลงานของแมรี กรองด์เปร ส่วนฉบับภาพยนตร์ที่สร้างโดย Warner Bros. ฉบับพากย์ไทย โดย บริษัท แคททาลิสต์ แอตลายแอนส์ (ประเทศไทย) เป็นผู้จัดจำหน่าย
ความสำเร็จ
แรงกระทบทางวัฒนธรรม
บรรดานักอ่านผู้ชื่นชอบนิยายชุดนี้ล้วนเฝ้ารอการวางจำหน่ายตอนล่าสุดที่ร้านหนังสือทั่วโลก เริ่มจัดงานให้ตรงกับวันวางจำหน่ายวันแรกตอนเที่ยงคืน เริ่มตั้งแต่การตีพิมพ์แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนีใน พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา กิจกรรมพิเศษระหว่างรอจำหน่ายมีมากมาย เช่น การแต่งกายเลียนแบบตัวละคร เล่นเกม ระบายสีหน้า และการแสดงอื่น ๆ ซึ่งได้รับความนิยมจากบรรดาแฟนพอตเตอร์และประสบความสำเร็จอย่างสูงในการดึงดูดแฟนและขายหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสมได้เกือบ 9 ล้านเล่ม จากจำนวนที่พิมพ์ไว้ครั้งแรก 10.8 ล้านเล่ม ภายใน 24 ชั่วโมงแรกของการวางแผง[62][63] หนังสือเล่มสุดท้ายของชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต เป็นหนังสือที่ขายได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยขายได้ 11 ล้านเล่มในยี่สิบสี่ชั่วโมงแรกของการวางจำหน่าย[64]
นวนิยายชุดนี้ยังสามารถครองใจกลุ่มนักอ่านผู้ใหญ่ได้ด้วย ทำให้มีการจัดพิมพ์หนังสือออกเป็น 2 ฉบับในแต่ละเล่ม ซึ่งในนั้นมีเนื้อหาเหมือนกันหมด เพียงแต่ฉบับหนึ่งทำปกสำหรับเด็ก อีกฉบับหนึ่งสำหรับผู้ใหญ่[65] นอกเหนือไปจากการพบปะกันออนไลน์ผ่านบล็อก พ็อตแคสต์และแฟนไซต์แล้ว แฟนผู้คลั่งไคล้แฮร์รี่ พอตเตอร์ยังสามารถพบปะกันที่สัมมนาแฮร์รี่ พอตเตอร์ได้ด้วย คำว่า "มักเกิ้ล" (Muggle) ได้แพร่ออกไปนอกเหนือจากการใช้ในแฮร์รี่ พอตเตอร์ และกลายเป็นหนึ่งในคำวัฒนธรรมสมัยนิยมไม่กี่คำได้บรรจุลงพจนานุกรมภาษาอังกฤษ ฉบับออกซฟอร์ด[66] แฟนแฮร์รี่ พอตเตอร์ฟังพ็อตแคสต์เป็นประจำ โดยมากทุกสัปดาห์ เพื่อเข้าใจการอภิปรายล่าสุดในหมู่แฟน ทั้งมักเกิ้ลแคสต์และพอตเตอร์แคสต์[67] ได้แตะระดับอันดับสูงสุดของไอทูนส์และได้รับการจัดอันดับอยู่ในพ็อตแคสต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด 50 อันดับแรก[68]
รางวัลและเกียรติยศ
แฮร์รี่ พอตเตอร์ได้รับรางวัลมาแล้วมากมาย ตั้งแต่การพิมพ์แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ครั้งแรก รวมทั้งรางวัลหนังสือวิตเทกเกอร์แพลตินัมสี่รางวัล (ทั้งหมดได้รับเมื่อ พ.ศ. 2544)[69] รางวัลหนังสือเนสเล่สมาร์ตตีส์สามรางวัล (พ.ศ. 2540-42)[70], รางวัลหนังสือสภาศิลปะสกอตสองรางวัล (พ.ศ. 2542 และ 2544)[71], รางวัลหนังสือเด็กแห่งปีวิตเบรดเล่มแรก (พ.ศ. 2542)[72], และหนังสือแห่งปีดับเบิลยูเอชสมิท (พ.ศ. 2549)[73] และอื่น ๆ ใน พ.ศ. 2543 แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบันได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลฮิวโกนวนิยายยอดเยี่ยม และใน พ.ศ. 2544 แฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนีได้รับรางวัลดังกล่าว[74] เกียรติยศที่ได้นั้นมีทั้งการมอบเหรียญรางวัลคาร์เนกี (พ.ศ. 2540)[75], รายชื่อสั้นสำหรับรางวัลเด็กการ์เดี้ยน (พ.ศ. 2541) และอยู่ในรายการหนังสือมีชื่อเสียง หนังสือที่คัดเลือกโดยบรรณาธิการ และรายการหนังสือดีที่สุดของสมาคมหอสมุดอเมริกา, เดอะนิวยอร์กไทมส์, หอสมุดสาธารณะชิคาโก และพับลิชเชอร์วีกลี[76]
ความสำเร็จทางการค้า
ความสำเร็จของนวนิยายชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์ ได้สร้างความมั่งคั่งให้แก่ เจ. เค. โรว์ลิง ผู้ประพันธ์ ตลอดไปจนถึงสำนักพิมพ์และผู้ถือสิทธิ์ด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ทั้งหมด โรว์ลิงได้รับผลตอบแทนมากจนกระทั่งนับได้ว่าเป็นนักเขียนเพียงคนเดียวที่ติดอันดับ "มหาเศรษฐี" ของโลก[77] มีการจำหน่ายหนังสือไปแล้วกว่า 400 ล้านเล่มทั่วโลก และช่วยนำกระแสนิยมให้แก่ภาพยนตร์ชุดดัดแปลงโดย วอร์เนอร์บราเธอร์ส ด้วย ภาพยนตร์ดัดแปลงในแต่ละตอนต่างประสบความสำเร็จไปตามกัน นับแต่ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์ ได้เป็นภาพยนตร์ทำเงินตลอดกาลอันดับที่ 5 ส่วนตอนอื่น ๆ อีก 4 ตอนก็ติดอันดับภาพยนตร์ทำเงินตลอดกาลใน 20 อันดับแรก[78][79]
ภาพยนตร์ได้รับการดัดแปลงไปเป็นวิดีโอเกม 8 ชุด และยังได้รับค่าลิขสิทธิ์ในการดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ แฮร์รี่ พอตเตอร์ มากกว่า 400 รายการ (รวมถึงไอพอด) นับถึงปี พ.ศ. 2548 ยี่ห้อ แฮร์รี่ พอตเตอร์ มีมูลค่าสูงถึง 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำให้โรว์ลิงกลายเป็นมหาเศรษฐีระดับพันล้าน[80] ในรายงานเปรียบเทียบบางแห่งยังกล่าวว่าเธอร่ำรวยกว่าสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรเสียอีก[81][82] ทว่าโรว์ลิงชี้แจงว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง[83]
ความต้องการอย่างสูงในหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ ทำให้ นิวยอร์กไทมส์ ตัดสินใจเปิดอันดับหนังสือขายดีอีก 1 ประเภทสำหรับวรรณกรรมเด็กโดยเฉพาะเมื่อปี พ.ศ. 2543 ก่อนการวางจำหน่าย แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนี ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2543 และหนังสือของโรว์ลิงก็อยู่บนอันดับหนังสือขายดีนี้ติดต่อกันเป็นเวลายาวนานถึง 79 สัปดาห์ โดยที่ทั้งสามเล่มแรกเป็นหนังสือขายดีในประเภทหนังสือปกแข็งด้วย[84] การจัดส่งหนังสือชุด ถ้วยอัคนี ต้องใช้รถบรรทุกของเฟดเอกซ์กว่า 9,000 คันเพื่อการส่งหนังสือเล่มนี้เพียงอย่างเดียว[85] วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2550 ร้านหนังสือ บาร์นส์แอนด์โนเบิล ประกาศว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเครื่องรางยมทูต ได้ทำลายสถิติหนังสือจองผ่านเว็บไซต์โดยมียอดจองมากกว่า 500,000 เล่ม[86] เมื่อนับรวมทั้งเว็บของบาร์นส์แอนด์โนเบิล กับอเมซอนดอตคอม จะเป็นยอดจองล่วงหน้ารวมกันมากกว่า 700,000 เล่ม[85] แต่เดิมสถิติการพิมพ์หนังสือฉบับพิมพ์ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 3.8 ล้านเล่ม[85] แต่ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับภาคีนกฟีนิกซ์ ทำลายสถิตินี้ด้วยยอดพิมพ์ครั้งแรก 8.5 ล้านเล่ม และต่อมาก็ถูกทำลายสถิติลงอีกด้วย แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเจ้าชายเลือดผสม ที่ 10.8 ล้านเล่ม[87] ในจำนวนนี้ได้ขายออกไป 6.9 ล้านเล่มภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังจากวางจำหน่าย ส่วนในอังกฤษได้ขายออกไป 2 ล้านชุดภายในวันแรก[88]
คำชื่นชมและวิจารณ์
การวิจารณ์ทางวรรณกรรม
ในช่วงแรก ๆ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ได้รับคำวิจารณ์ค่อนข้างดี ทำให้นวนิยายชุดนี้ขยายฐานผู้อ่านออกไปอย่างมาก หนังสือเล่มแรกของชุดคือ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ ได้จุดประเด็นความสนใจแก่หนังสือพิมพ์ของสกอตแลนด์หลายเล่ม เช่น The Scotsman บอกว่าหนังสือเล่มนี้ "มีทุกอย่างของความคลาสสิก"[89] หรือ The Glasgow Herald ตั้งสมญาให้ว่าเป็น "สิ่งมหัศจรรย์"[89] ไม่นานหนังสือพิมพ์ของทางอังกฤษก็เข้าร่วมวงด้วย มีหนังสือพิมพ์มากกว่า 1 เล่มเปรียบเทียบงานเขียนชุดนี้กับงานของโรอัลด์ ดาห์ล หนังสือพิมพ์ The Mail on Sunday เรียกหนังสือเล่มนี้ว่าเป็น "งานเขียนที่เปี่ยมจินตนาการนับแต่ยุคของโรอัลด์ ดาห์ล"[89] ส่วน The Guardian เรียกหนังสือนี้ว่า "นวนิยายอันงดงามที่สร้างโดยนักประดิษฐ์อัจฉริยะ"[89]
ครั้นเมื่อหนังสือออกวางจำหน่ายถึงเล่มที่ห้า แฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์ นวนิยายก็ได้รับการวิจารณ์ที่หนักหน่วงขึ้นจากเหล่านักวิชาการด้านวรรณกรรม เฮโรลด์ บลูม ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเยล นักวิชาการวรรณศิลป์และนักวิจารณ์ เป็นผู้ยกประเด็นการวิจารณ์วรรณกรรมเกี่ยวกับศีลธรรม เขากล่าวว่า "ในใจของโรว์ลิงมีแต่เรื่องอุปมาเกี่ยวกับความตายวนไปวนมา ไม่มีลีลาการเขียนแบบอื่นเลย"[90] เอ. เอส. ไบแอต นักเขียนประจำนิวยอร์กไทมส์ บอกว่าจักรวาลในเรื่องของโรว์ลิงสร้างขึ้นจากจินตนาการที่ผสมปนเปจากวรรณกรรมเด็กหลาย ๆ เรื่อง และเขียนขึ้นเพื่อคนที่มีจินตนาการหมกมุ่นกับการ์ตูนทีวี โลกในฟองสบู่ที่เว่อร์เกินจริง รายการรีแอลิตี และข่าวซุบซิบดารา[91]
นักวิจารณ์ชื่อ แอนโทนี โฮลเดน เขียนความรู้สึกของเขาจากการตัดสินรางวัลวิทเบรด ปี พ.ศ. 2542 ส่วนที่เกี่ยวกับ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน ไว้ใน The Observer โดยที่ค่อนข้างมีมุมมองไม่ค่อยดี เขากล่าวว่า "มหากาพย์พอตเตอร์เป็นงานอนุรักษนิยม ย้อนยุค โหยหาความเป็นอดีตและระบบอุปถัมภ์ในอดีตของอังกฤษที่ผ่านไปแล้ว" เขายังวิจารณ์อีกว่าเป็น "งานเขียนร้อยแก้วที่ผิดไวยากรณ์ ใช้สำนวนตลาด"[92]
แต่ในทางตรงกันข้าม เฟย์ เวลดอน นักเขียนผู้ยอมรับว่านวนิยายชุดนี้ "ไม่ใช่งานที่กวีจะชื่นชอบ" แต่ก็ยอมรับว่า "มันไม่ใช่กวีนิพนธ์ มันเป็นร้อยแก้วที่อ่านเข้าใจง่าย อ่านได้ทุกวัน และขายได้"[93] เอ. เอ็น. วิลสัน นักวิจารณ์วรรณกรรม ยกย่องนวนิยายชุดนี้ใน The Times โดยระบุว่า "มีนักเขียนไม่มากนักเหมือนอย่างเจ. เค. ผู้มีความสามารถดังหนึ่งดิกคินส์ ที่ทำให้เราต้องรีบพลิกอ่านหน้าต่อไป ทำให้เราร้องไห้อย่างไม่อาย พอไม่กี่หน้าถัดไปเราก็ต้องหัวเราะกับมุกตลกที่แทรกอยู่สม่ำเสมอ ... เรามีชีวิตอยู่ตลอดทศวรรษที่เฝ้าติดตามงานตีพิมพ์อันมีชีวิตชีวาที่สุด สนุกสนานที่สุด เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่เคยมีมา"[94] ชาลส์ เทย์เลอร์ แห่ง salon.com นักวิจารณ์ภาพยนตร์ เห็นด้วยกับความคิดของไบแอต แต่เขาก็ยอมรับว่าผู้ประพันธ์อาจจะ "มีจุดยืนทางวัฒนธรรมที่แตกต่าง คือความเป็นวัยรุ่น มันเป็นแรงกระตุ้นของพวกเราที่จะเข้าใจความเหลวไหลของยุคสมัยใหม่ ซึ่งแตกต่างกับความซับซ้อนของศิลปะยุคเดิม"[95]
สตีเฟน คิง เรียกนวนิยายชุดนี้ว่า "ความกล้าหาญซึ่งผู้มีจินตนาการอันล้ำเลิศเท่านั้นจึงจะทำได้" และยกย่องการเล่นถ้อยคำสำนวนตลอดจนอารมณ์ขันของโรว์ลิงในนิยายชุดนี้ว่า "โดดเด่น" แม้เขาจะบอกว่านิยายชุดนี้จัดว่าเป็นนิยายที่ดี แต่ก็บอกด้วยว่า ในตอนต้นของหนังสือทั้งเจ็ดเล่มที่พบแฮร์รี่ที่บ้านลุงกับป้านั้นค่อนข้างน่าเบื่อ[96] คิงยังว่า "โรว์ลิงจะไม่ใช้คำขยายความที่เธอไม่ชอบ!" เขายังทำนายด้วยว่า นวนิยายชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ "จะยืนยงท้าทายการทดสอบของกาลเวลา และอยู่บนหิ้งที่เก็บหนังสือดีที่สุดเท่านั้น ผมคิดว่าแฮร์รี่ได้เทียบขั้นกับอลิซ, ฮัค, โฟรโด และโดโรธีแล้ว นิยายชุดนี้จะไม่โด่งดังเพียงทศวรรษนี้ แต่จะยืนยงตลอดกาล"[97]
การวิจารณ์ทางวัฒนธรรม
นิตยสารไทมส์ประกาศให้โรว์ลิงเป็นหนึ่งในผู้มีสิทธิ์เป็น "บุคคลแห่งปี" ของไทมส์ในปี พ.ศ. 2550 ในฐานะที่มีผลงานโดดเด่นทางสังคมและวัฒนธรรมซึ่งสร้างแรงบันดาลใจอย่างมากต่อกลุ่มแฟนคลับของเธอ[98] ทว่าคำวิพากษ์วิจารณ์ทางด้านสังคมและวัฒนธรรมที่มีต่อนิยายชุดนี้ก็มีทั้งด้านดีและไม่ดีปะปนกัน นักวิจารณ์หนังสือจากวอชิงตันโพสต์ รอน ชาลส์ แสดงความเห็นของเขาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2550 ว่าจำนวนผู้อ่านที่เป็นผู้ใหญ่จำนวนมากซึ่งอ่านหนังสืออื่นค่อนข้างน้อย อาจสะท้อนถึงตัวอย่างที่ไม่ดีของวัฒนธรรมวัยเด็ก รูปแบบการนำเสนอแบบตรงไปตรงมาในเรื่องที่แยกระหว่าง "ความดี-ความเลว" อย่างชัดเจนนั้นก็เป็นแนวทางแบบเด็ก ๆ เขายังบอกว่า ไม่ใช่ความผิดของโรว์ลิงเลย แต่วิธีทางการตลาดแบบ "ฮีสทีเรีย" (กรี๊ดกร๊าดคลั่งไคล้อย่างรุนแรง) ที่ปรากฏให้เห็นในการตีพิมพ์หนังสือเล่มหลัง ๆ "ทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่พากันหลงใหลเสียงกรีดร้องในโรงมหรสพ ประสบการณ์สื่อแบบมหาชนซึ่งนิยายอื่นอาจจะทำให้ไม่ได้"[99]
เจนนี่ ซอว์เยอร์ เขียนไว้ใน Christian Science Monitor เมื่อ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ว่า หนังสือชุดนี้เป็นตัวแทนถึง "จุดเปลี่ยนค่านิยมการเล่านิทานและสังคมตะวันตก" โดยที่ในนิยายชุดนี้ "หัวใจแห่งศีลธรรมกำลังเหือดหายไปจากวัฒนธรรมยุคใหม่... หลังจากผ่านไป 10 ปี, 4195 หน้า และ 375 ล้านเล่ม ท่ามกลางความสำเร็จอย่างสูงยิ่งของ เจ. เค. โรว์ลิง แต่เสาหลักของวรรณกรรมเด็กอันยิ่งใหญ่กลับขาดหายไป นั่นคือการเดินทางของวีรบุรุษเพื่อยืนหยัดความถูกต้อง" ซอว์เยอร์กล่าวว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์ ไม่เคยประสบความท้าทายทางศีลธรรม ไม่เคยตกอยู่ใต้ภาวะลำบากระหว่างความถูกผิด ดังนั้นจึง "ไม่เคยมีสถานการณ์ใดที่ความถูกผิดไม่เป็นสีขาวและสีดำ"[100]
คริส ซุลเลนทรอพ ให้ความเห็นคล้ายคลึงกันใน Slate Magazine เมื่อ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 เขาเปรียบพอตเตอร์ว่าเป็น "เด็กผู้เป็นที่ไว้วางใจและชื่นชมที่โรงเรียน อันเป็นผลงานส่วนมากจากของขวัญที่เพื่อนและครอบครัวทุ่มเทให้" เขาสังเกตว่า ในนิยายของโรว์ลิงนั้น ศักยภาพและความสามารถทางเวทมนตร์เป็น "สิ่งที่คุณเกิดมาพร้อมกับมัน ไม่ใช่สิ่งที่คุณจะไขว่คว้ามาได้" ซุลเลนทรอพเขียนว่า คำคมของดัมเบิลดอร์ที่ว่า "เราต้องเลือกเองที่จะแสดงตัวตนที่แท้จริงที่ยิ่งใหญ่กว่าความสามารถของเรา" เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ในเมื่อโรงเรียนที่ดัมเบิลดอร์บริหารอยู่นั้นให้ความสำคัญกับพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดมากกว่าอะไรทั้งนั้น[101] อย่างไรก็ดี ในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ฉบับวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2550 คริสโตเฟอร์ ฮิทเชนส์ รีวิว แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต โดยยกย่องโรว์ลิงว่าได้ปรับเปลี่ยน "นิทานเกี่ยวกับโรงเรียนในอังกฤษ" ที่มีมาแต่ไหนแต่ไร ที่เคยมีแต่เรื่องเพ้อฝัน ความร่ำรวย ชนชั้น และความเป็นผู้ดี ให้กลายเป็น "โลกของประชาธิปไตยและความเปลี่ยนแปลงของวัยหนุ่มสาว"[102]
การโต้แย้งต่าง ๆ
หนังสือชุดนี้ตกเป็นประเด็นโต้แย้งทางกฎหมายมากมายหลายคดี มีทั้งการฟ้องร้องจากกลุ่มคริสเตียนอเมริกันว่าการใช้เวทมนตร์คาถาในหนังสือเป็นการเชิดชูศิลปะของพวกพ่อมดแม่มดให้แพร่หลายในหมู่เด็ก ๆ รวมถึงข้อขัดแย้งอีกหลายคดีเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า การที่นวนิยายชุดนี้เป็นที่นิยมอย่างมากและครอบครองมูลค่าตลาดสูงมาก ทำให้โรว์ลิง สำนักพิมพ์ต่าง ๆ ของเธอ รวมถึงวอร์เนอร์ บราเธอร์ ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ ต้องใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อปกป้องลิขสิทธิ์ของตน ทั้งนี้รวมถึงการห้ามจำหน่ายสินค้าลอกเลียนแบบแฮร์รี่ พอตเตอร์ เหล่าเจ้าของเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ใช้ชื่อโดเมนคาบเกี่ยวกับคำว่า "แฮร์รี่ พอตเตอร์" พวกเขายังฟ้องนักเขียนอีกคนหนึ่งคือ แนนซี สโตฟเฟอร์ เพื่อตอบโต้การที่เธอออกมากล่าวอ้างว่า โรว์ลิงลอกเลียนแบบงานเขียนของเธอ[103][104][105] กลุ่มนักอนุรักษนิยมทางศาสนาจำนวนมากอ้างว่า หนังสือชุดนี้เชิดชูศาสตร์ของพ่อมดแม่มด ดังนั้นจึงไม่เหมาะสมสำหรับเด็ก[106] นอกจากนี้ยังมีนักวิจารณ์อีกจำนวนหนึ่งวิพากษ์วิจารณ์ว่าหนังสือชุดนี้มีแง่มุมทางการเมืองซ่อนอยู่หลายประการ[107][108]
การดัดแปลงไปยังสื่ออื่น
ภาพยนตร์
ในปี พ.ศ. 2542 เจ. เค. โรว์ลิง ขายสิทธิ์การสร้างภาพยนตร์จากหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์สี่เล่มแรกให้กับวอร์เนอร์บราเธอร์ส ในราคาหนึ่งล้านปอนด์สเตอร์ลิง[109] โรว์ลิงยืนยันให้นักแสดงหลักเป็นชาวสหราชอาณาจักร รวมถึงใช้ภาษาอังกฤษบริเตน[110] ภาพยนตร์สองภาคแรกกำกับโดยคริส โคลัมบัส ภาคที่สามโดยอัลฟอนโซ กวารอน ภาคที่สี่โดยไมค์ นิวเวลล์ และภาคที่ห้าถึงภาคสุดท้ายโดยเดวิด เยตส์[111] บทภาพยนตร์ของสี่ภาคแรกเขียนโดยสตีฟ โคลฟ โดยร่วมงานกับโรว์ลิง บทภาพยนตร์มีความเปลี่ยนแปลงจากหนังสือบ้างตามรูปแบบการนำเสนอของภาพยนตร์และเงื่อนไขเวลา อย่างไรก็ตาม โรว์ลิงได้กล่าวว่าบทภาพยนตร์ของโคลฟนั้นมีความตรงต่อหนังสือ[112] ภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ทุกภาค มีนักแสดงหลักคือแดเนียล แรดคลิฟฟ์ เอ็มม่า วัตสันและรูเพิร์ท กรินท์ โดยแสดงเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ และรอน วีสลีย์ตามลำดับ โดยสามคนนี้ได้รับเลือกในปี พ.ศ. 2543 จากเด็กหลายพันคน[113]
ภาพยนตร์เรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ถูกแบ่งเป็นสองตอน[114] กำกับโดยเดวิด เยตส์และสตีฟ โคลฟ ทำหน้าที่เขียนบทเช่นเดิม และทาง เจ. เค. โรว์ลิง ทำให้รวมแล้วตั้งแต่ภาคแรกจนถึงภาคสุดท้ายใช้เวลานานกว่า 10 ปีในการถ่ายทำ
ภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ประสบความสำเร็จอย่างมากในเรื่องรายได้ของภาพยนตร์ทั้ง 8 ภาคทำรายได้รวมมากกว่า 7,706 ล้านดอลลาร์สหรัฐและภาพยนตร์ชุดที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล[115] โดยภาคที่ทำรายได้ไปมากที่สุดคือแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2 ซึ่งทำรายได้ไปกว่า 1,341 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[116]
ภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์แต่ละภาคได้รับคำวิจารณ์จากแฟนหนังสือมากมาย ในภาคแรกและภาคที่สองซึ่งกำกับโดยคริส โคลัมบัส ตัวภาพยนตร์เองได้รับการดัดแปลงเล็กน้อยแต่ก็ยังคงเนื้อเรื่องในหนังสือไว้ แต่เนื้อหาของภาพยนตร์ก็เป็นภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับเด็ก จึงทำให้เด็กชมภาพยนตร์ภาคแรกและภาคสองมากกว่าผู้ใหญ่ ในภาคที่สามกำกับโดยอัลฟอนโซ กวารอน ที่ได้ปรับเปลี่ยนตัวปราสาทฮอกวอตส์และใช้บรรยากาศแบบมืดครึ้ม แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องมากกว่าเดิมทำให้ฉากแอ็กชันที่มีในหนังสือลดลงไป ส่วนในภาคที่สี่กำกับโดยไมค์ นิวเวลล์ เน้นหนักในเรื่องฉากแอ็กชันและฉากต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก แต่การทำฉากแอ็กชันมากเกินไป จึงทำให้เนื้อหาและบทบาทตัวละครในเรื่องลดลงตามไปด้วย และในภาคที่ห้าที่กำกับโดยเดวิด เยตส์ที่ได้มีการปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องและตัดเนื้อเรื่องบางตอนออกไป เนื่องจากเนื้อหาในหนังสือที่มากกว่าเล่มอื่น ๆ ฉากแอ็กชันจึงลดลงทำให้ภาพยนตร์ออกมาในแนวดรามา แต่ทางทีมงานก็ได้ใช้เทคนิคพิเศษมากกว่าภาคก่อน ๆ ทำให้ภาพยนตร์ภาคที่ห้านี้ทำรายได้ไปถึง 939 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[117] ส่วนในภาคที่หกเดวิด เยตส์ทำหน้าที่กำกับภาพยนตร์เช่นเคยโดยจะเน้นบทดรามามากกว่าฉากแอ็กชันซึ่งมีอยู่น้อยมากและจะเน้นในเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครต่าง ๆ แทน[118] ซึ่งก็ได้รับคำวิจารณ์ที่แตกต่างกันออกไป แต่อย่างไรก็ตามภาพยนตร์ภาคที่หกนี้ก็ได้สร้างสถิติใหม่นั่นก็คือ ภาพยนตร์ทำเงินทั่วโลกสูงสุดในสัปดาห์แรก โดยทำเงินไปทั้งสิ้น 394 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[119]ทำลายสถิติของไอ้แมงมุม 3ที่เปิดตัวด้วยรายรับทั่วโลก 381 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำรายได้รวมไป 934 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายหลังภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 1เข้าฉายและทำรายได้รวม 955 ล้านดอลลาร์สหรัฐ [120] โดยเนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับการเดินทางตามหาฮอร์ครักซ์ของพวกแฮร์รี่และจบลงที่การตายของด๊อบบี้ ทำให้โทนหนังของภาคนี้จะเป็นแนวโร้ดมูฟวี่หรือภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการเดินเสียเป็นส่วนใหญ่
และเมื่อภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2 ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายของภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์เข้าฉายก็ได้สร้างสถิติต่าง ๆ มากมาย อาทิ ภาพยนตร์ที่เปิดตัววันแรกสูงสุดตลอดการ ทำรายได้วันแรกสูงถึง 91 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำลายสถิติเดิมของแวมไพร์ ทไวไลท์ 2 นิวมูน[121] ภาพยนตร์ที่ทำรายได้สุดสัปดาห์ที่สูงสุดทำลายสถิติของแบทแมน อัศวินรัตติกาล โดยทำรายได้สัปดาห์แรกที่ 169 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[122]ซึ่งต่อมาถูกทำลายสถิติโดยดิ อเวนเจอร์สและไอรอนแมน 3 ทำลายสถิติภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดทั่วโลกสัปดาห์แรกของแฮร์รี่ พอตเตอร์ภาคหก โดยทำเงินรวมทั่วโลกในสัปดาห์แรกสูงถึง 483 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[123] และทำรายได้ปิดที่ 1,341 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง ณ ตอนนั้นสามารถรั้งอยู่ในอันดับที่ 3 ของภาพยนตร์ทำเงินตลอดกาลเป็นรองเพียงแค่ภาพยนตร์เรื่องอวตารและไททานิกเท่านั้น นอกจากนั้นยังได้รับคำวิจารณ์ในด้านบวกอย่างล้นหลาม โดยเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ให้คะแนนสูงถึง 96%[124]สูงที่สุดในภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ จึงถือว่าภาคสุดท้ายของภาพยนตร์ชุดนี้ประสบควมสำเร็จทั้งรายได้และคำวิจารณ์ก็ว่าได้
วิดีโอเกม
แฮร์รี่ พอตเตอร์ได้ถูกดัดแปลงในรูปแบบของวิดีโอเกมหลังจากที่ภาพยนตร์ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ เข้าฉายได้ไม่นานนัก ผลิตและพัฒนาโดยบริษัทเกมอิเลคโทรนิค อาร์ตที่ผลิตออกมาเป็นเกมรูปแบบผจญภัย ในชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ฉบับวิดีโอเกมที่สามารถเล่นได้กับเครื่องเพลย์สเตชัน 2 และต่อมาได้พัฒนาจนสามารถเล่นได้ทั้งเครื่องเอกซ์บอกซ์ 360, วี เป็นต้น ปัจจุบันได้มีการผลิตเกมที่ดำเนินตามเนื้องเรื่องในภาพยนตร์ออกมาแล้วจำนวนหกเกม นอกจากนี้ยังมีเกมควิดดิชเวิลด์คัพซึ่งไม่ได้ดำเนินตามเนื้อเรื่องในภาพยนตร์ แต่จะเป็นรูปแบบเกมกีฬาแทน ผลิตโดยบริษัทอิเลคโทรนิค อาร์ตเช่นกัน โดยเกมควิดดิชเวิลด์คัพนี้สามารถเล่นได้กับเครื่องเพลย์สเตชัน 2 และเอกซ์บอกซ์
เกมชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ได้รับการสร้างภาคต่อขึ้นและมีการพัฒนารูปแบบของเกมไปเรื่อย ๆ ในทุก ๆ ภาค เช่น การทำภาพสมจริง และเสียงประกอบ เป็นต้น นอกจากนั้นตัวละครในเกมบางส่วนยังได้รับเสียงพากย์จากนักแสดงตัวจริงที่แสดงในภาพยนตร์อีกด้วย
ละครเพลง
แฮร์รี่ พอตเตอร์ได้รับการวางแผนให้ได้รับการดัดแปลงในรูปแบบละครเพลงซึ่งจะนำเนื้อหาจากหนังสือนิยายต้นฉบับมาดัดแปลง โดยจะใช้การร้องเพลงเป็นตัวดำเนินเรื่องและในวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เจ.เค.โรว์ลิ่งได้ประกาศว่าเธอกำลังทำงานในฐานะผู้อำนวยการสร้างของแฮร์รี่ พอตเตอร์ในรูปแบบละครเวที โดยเธอระบุว่าเนื้อหาของละครเวทีเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวซึ่งยังไม่เคยถูกเล่า เกิดในช่วงก่อนที่แฮร์รี่จะกำพร้าพ่อแม่และถูกพวกเดอร์สลีย์รับมาเลี้ยง [125][126]
อิทธิพลและผลสืบเนื่อง
วงดนตรี
แฮร์รี่ พอตเตอร์มีอิทธิพลต่อสื่อทางด้านวงดนตรีร็อกของกลุ่มวัยรุ่นชายเป็นอย่างมาก ในปี พ.ศ. 2545 ได้มีผลสำรวจว่ามีวงดนตรีร็อกของกลุ่มวัยรุ่นที่ได้รับแรงบันดาลใจหรืออิทธิพลจากแฮร์รี่ พอตเตอร์มากมายหลายร้อยวงด้วยกัน [127] วงที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือวง "แฮร์รีแอนด์เดอะพอตเตอร์ส" ซึ่งเป็นวงดนตรีอินดี้ร็อกที่นำเสนอเพลงแบบเรียบง่าย พวกเขาได้นำเนื้อหาบางส่วนในหนังสือมาแต่งเป็นบทเพลงของตน
สวนสนุก
หลังจาก แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต วางแผงได้ไม่นานนัก ทางประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการวางแผนและทำแบบแปลนการสร้างสวนสนุกที่ยูนิเวอร์แซลออร์แลนโดรีสอร์ต เมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา โดยจำลองสถานที่ต่างๆ ในวรรณกรรมแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่เกี่ยวกับสถานที่ในโลกเวทมนตร์เช่น ฮอกวอตส์และหมู่บ้านฮอกส์มี้ด เป็นต้น สวนสนุกแห่งนี้วางแผนการสร้างโดย จิม ฮิล มีแบบจำลองปราสาทฮอกวอตส์ รวมไปถึงหมู่บ้านฮอกส์มีดส์อีกด้วย ผู้สร้างสวนสนุกยังได้เชิญ เจ. เค. โรว์ลิง ให้มาร่วมทำการเนรมิตสวนสนุกแห่งนี้ เพื่อทำให้เหมือนกับสถานที่ในหนังสือของเธอให้มากที่สุด ซึ่งโรว์ลิงก็ตอบตกลง สวนสนุกตั้งอยู่ในไอส์แลนด์ส ออฟ แอดเวนเจอร์ซึ่งเป็นเกาะรวมเครื่องเล่นแนวผจญภัยของยูนิเวอร์แซลออร์แลนโดรีสอร์ต โดยได้ใช้ชื่อว่าอย่างเป็นทางการว่าโลกมหัศจรรย์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์และเปิดให้เข้าชมในวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553[128] โดยมีทั้งนักแสดงจากภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ อาทิ แดเนียล แรดคลิฟฟ์ (แฮร์รี่ พอตเตอร์), ไมเคิล แกมบอน (ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์), รูเพิร์ท กรินท์ (รอน วีสลีย์) แมทธิว ลิวอิส (เนวิลล์ ลองบัตท่อม) และทอม เฟลตัน (เดรโก มัลฟอย) รวมถึง เจ.เค. โรว์ลิ่ง และผู้ประพันธ์เพลงให้กับภาพยนตร์ 3 ภาคแรกอย่าง จอห์น วิลเลียมส์ มาร่วมงานครั้งนี้ด้วย
และด้วยความสำเร็จของสวนสนุกที่สามารถเพิ่มยอดผู้เข้าชมได้มากกว่า 36เปอร์เซ็นต์ ทางผู้สร้างจึงได้ริเริ่มโครงการที่สอง เป็นการสร้างส่วนขยายของสวนสนุกโดยการได้ทำการสร้างขึ้นในสวนสนุกยูนิเวอร์แซล ฟลอริดา ในส่วนของโครงการที่สองได้มีการสร้างสถานที่ในโลกเวทมนตร์อย่างตรอกไดแอกอน ประกอบด้วยร้านค้าต่างๆ รวมถึงธนาคารกริงก็อตส์[129] ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของเครื่องเล่นว่าแฮร์รี่ พอตเตอร์กับการหลบหนีจากกริงก็อตส์ และยังรวมไปถึงสถานนีรถไฟของรถด่วนขบวนพิเศษฮอกวอตส์ซึ่งสร้างเชื่อมกับไอส์แลนด์ส ออฟ แอดเวนเจอร์ เพื่อให้ผู้เข้าชมสามารถเดินทางไปได้อย่างสะดวก[130][131] โดยในส่วนของสถานีรถไฟได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 และตามด้วยการเปิดตัวของตรอกไดแอกอนในวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556[132]
สวนสนุกโลกมหัศจรรย์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์ได้มีการขยายสาขาไปเปิดยังต่างประเทศ ที่เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556[133] นอกจากนี้ยังมีโครงการสร้างสวนสนุกที่ยูนิเวอร์แซล ฮอลลีวูด ใกล้กับเมืองลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่ง ณ ขณะนี้อยู่ภายใต้การก่อสร้างและมีกำหนดเปิดตัวในปีพ.ศ. 2559 [134]
มักเกิ้ลควิดดิช
ควิดดิช ถือเป็นกีฬายอดฮิตในโลกเวทมนตร์ ที่บรรดาพ่อมดแม่มดจะขึ้นไปขี่บนไม้กวาดและเล่นกับลูกบอลสี่ลูกด้วยกัน แต่มนุษย์ทั่วไปหรือที่โลกพ่อมดเรียกกันว่ามักเกิ้ลก็พยายามเล่นกีฬาประเภทนี้ในวิธีอื่น ๆ โดยใช้จักรยานหรือจักรยานยนต์แทนไม้กวาด นักศึกษามหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งพยายามเลียนแบบการเล่นกีฬานี้ในแบบฉบับของมักเกิ้ล มีการทดลองเล่นกีฬาควิดดิชในแบบฉบับของมักเกิ้ลเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2548[135] ที่เลียนแบบควิดดิชจากโลกเวทมนตร์ โดยใช้ห่วงติดกับท่อ ใช้ลูกบอลขนาดต่าง ๆ เช่น ลูกวอลเลย์บอล ลูกบาสเกตบอล แทนลูกควัฟเฟิล ใช้ไม้เทนนิสแทนบีตเตอร์ และใช้คนแทนลูกสนิช
อ้างอิง
- ↑ Allsobrook, Dr. Marian (18 June 2003). "Potter's place in the literary canon". BBC. สืบค้นเมื่อ 15 October 2007.
- ↑ 'Harry Potter' tale is fastest-selling book in history
- ↑ Fry, Stephen (10 December 2005). "Living with Harry Potter". BBC Radio 4. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 June 2009. สืบค้นเมื่อ 10 December 2005.
- ↑ Jenson, Jeff (2000). "Harry Up!". ew.com. สืบค้นเมื่อ 20 September 2007.
- ↑ NancypCarpentier Brown (2007). "The Last Chapter" (PDF). Our Sunday Visitor. สืบค้นเมื่อ 28 April 2009.
- ↑ J. K. Rowling. "J. K. Rowling at the Edinburgh Book Festival". สืบค้นเมื่อ 10 October 2006.
- ↑ 7.0 7.1 Geordie Greig (11 January 2006). "'There would be so much to tell her...'". Daily Telegraph. London. สืบค้นเมื่อ 4 April 2007.
- ↑ Thompson, Susan (2 April 2008). "Business big shot: Harry Potter author JK Rowling". The Times. London. สืบค้นเมื่อ 14 July 2009.
- ↑ Ed, Pottermore. "Pottermore Insider: You ask, we answer". Pottermore. สืบค้นเมื่อ 22 July 2011.
- ↑ The Years in Which the Stories Take Place The Harry Potter Lexicon เรียกข้อมูลวันที่ 24-05-2550 (อังกฤษ)
- ↑ Lemmerman, Kristin (14 July 2000). "Review: Gladly drinking from Rowling's 'Goblet of Fire'". CNN. สืบค้นเมื่อ 28 September 2008.
- ↑ 12.0 12.1 "A Muggle's guide to Harry Potter". BBC. 28 May 2004. สืบค้นเมื่อ 22 August 2008.
- ↑ Hajela, Deepti (14 July 2005). "Plot summaries for the first five Potter books". SouthFlorida.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 May 2010. สืบค้นเมื่อ 29 September 2008.
- ↑ Foster, Julie (October 2001). "Potter books: Wicked witchcraft?". Koinonia House. สืบค้นเมื่อ 15 May 2010.
- ↑ Farndale, Nigel (15 July 2007). "Harry Potter and the parallel universe". Daily Telegraph. London. สืบค้นเมื่อ 28 September 2008.
- ↑ 16.0 16.1 16.2 16.3 16.4 Memmott, Carol (19 July 2007). "The Harry Potter stories so far: A quick CliffsNotes review". USA Today. สืบค้นเมื่อ 28 September 2008.
- ↑ "J K Rowling at the Edinburgh Book Festival". J.K. Rowling.com. 15 August 2004. สืบค้นเมื่อ 27 September 2008.
- ↑ Maguire, Gregory (5 September 1999). "Harry Potter and the Prisoner of Azkaban". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 28 September 2008.
- ↑ King, Stephen (23 July 2000). "Harry Potter and the Goblet of Fire". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 28 September 2008.
- ↑ 20.0 20.1 20.2 Leonard, John (13 July 2003). "'Harry Potter and the Order of the Phoenix'". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 28 September 2008.
- ↑ A Whited, Lana (2004). The Ivory Tower and Harry Potter: Perspectives on a Literary Phenomenon. University of Missouri Press. p. 371. ISBN 9780826215499.
- ↑ Kakutani, Michiko (16 July 2005). "Harry Potter Works His Magic Again in a Far Darker Tale". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 28 September 2008.
- ↑ Atkinson, Simon (19 July 2007). "How Rowling conjured up millions". BBC. สืบค้นเมื่อ 7 September 2008.
- ↑ "Comic Relief : Quidditch through the ages". Albris. สืบค้นเมื่อ 7 September 2008.
- ↑ "The Money". Comic Relief. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 May 2010. สืบค้นเมื่อ 25 October 2007.
- ↑ "JK Rowling book fetches £2 m". BBC. 13 December 2007. สืบค้นเมื่อ 13 December 2007.
- ↑ "Amazon purchase book". Amazon.com Inc. สืบค้นเมื่อ 14 December 2007.
- ↑ Williams, Rachel (29 May 2008). "Rowling pens Potter prequel for charities". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 30 March 2010. Retrieved on 31 May 2008.
- ↑ "J.K. Rowling Has Mysterious New Potter Website". NPR.org. June 16, 2011. สืบค้นเมื่อ June 16, 2011.
- ↑ 30.0 30.1 "Harry Potter makes boarding fashionable". BBC. 13 December 1999. สืบค้นเมื่อ 1 September 2008.
- ↑ King, Stephen (23 July 2000). "Wild About Harry". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 9 August 2010.
- ↑ 32.0 32.1 Grossman, Lev (28 June 2007). "Harry Potter's Last Adventure". Time Inc. สืบค้นเมื่อ 1 September 2008.
- ↑ "Two characters to die in last 'Harry Potter' book: J.K. Rowling". CBC. 26 June 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 May 2010. สืบค้นเมื่อ 1 September 2008.
- ↑ "Press views: The Deathly Hallows". Bloomsbury Publishing. 21 July 2007. สืบค้นเมื่อ 22 August 2008.
- ↑ Understanding Harry Potter: Parallels to the Deaf World
- ↑ "JK Rowling outs Dumbledore as gay". BBC News. BBC. 21 October 2007. สืบค้นเมื่อ 21 October 2007.
- ↑ "About the Books: transcript of J.K. Rowling's live interview on Scholastic.com". Quick-Quote-Quill. 16 February 1999. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 May 2010. สืบค้นเมื่อ 28 July 2008.
- ↑ Max, Wyman (26 October 2000). ""You can lead a fool to a book but you cannot make them think": Author has frank words for the religious right". The Vancouver Sun (British Columbia). สืบค้นเมื่อ 28 July 2008.
- ↑ "Final Harry Potter book set for release". Euskal Telebista. 15 July 2007. สืบค้นเมื่อ 21 August 2008.
- ↑ Lawless, John (2005). "Nigel Newton". The McGraw-Hill Companies Inc. สืบค้นเมื่อ 9 September 2006.
- ↑ 42.0 42.1 A Whited, Lana (2004). The Ivory Tower and Harry Potter: Perspectives on a Literary Phenomenon. University of Missouri Press. p. 351. ISBN 9780826215499.
- ↑ Huler, Scott. "The magic years". The News & Observer Publishing Company. สืบค้นเมื่อ 28 September 2008.
{{cite web}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help) - ↑ Savill, Richard (21 June 2001). "Harry Potter and the mystery of J K's lost initial". London: Telegraph.com. สืบค้นเมื่อ 27 September 2008.
- ↑ "The Potter phenomenon". BBC. 18 February 2003. สืบค้นเมื่อ 27 September 2008.
- ↑ Rozhon, Tracie (21 April 2007). "A Brief Walk Through Time at Scholastic". The New York Times. p. C3. สืบค้นเมื่อ 21 April 2007.
- ↑ "A Potter timeline for muggles". Toronto Star. 14 July 2007. สืบค้นเมื่อ 27 September 2008.
- ↑ "Speed-reading after lights out". London: Guardian News and Media Limited. 19 July 2000. สืบค้นเมื่อ 27 September 2008.
- ↑ Harmon, Amy (14 July 2003). "Harry Potter and the Internet Pirates". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 21 August 2008.
- ↑ Cassy, John (16 January 2003). "Harry Potter and the hottest day of summer". London: Guardian News and Media Limited. สืบค้นเมื่อ 27 September 2008.
- ↑ "July date for Harry Potter book". BBC. 21 December 2004. สืบค้นเมื่อ 27 September 2008.
- ↑ "Harry Potter finale sales hit 11 m". BBC News. 23 July 2007. สืบค้นเมื่อ 21 August 2008.
- ↑ "Rowling unveils last Potter date". BBC. 1 February 2007. สืบค้นเมื่อ 27 September 2008.
- ↑ "Harry Potter finale sales hit 11 m". BBC. 23 July 2007. สืบค้นเมื่อ 20 August 2008.
- ↑ Reynolds, Nigel. Harry Potter and the Latin master's tome take on Virgil, Telegraph.co.uk 02-12-2001 เรียกข้อมูลวันที่ 11-05-2550 (อังกฤษ)
- ↑ Castle, Tim. Harry Potter? It's All Greek to Me เรียกข้อมูลวันที่ 11-05-2550 (อังกฤษ)
- ↑ KMaul (2005). "Guinness World Records: L. Ron Hubbard Is the Most Translated Author". The Book Standard. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 May 2010. สืบค้นเมื่อ 19 July 2007.
- ↑ Cheung, Grace. The magic words, ThaiDay 01-12-2548 เรียกข้อมูลวันที่ 11-05-2550 (อังกฤษ)
- ↑ Güler, Emrah (2005). "Not lost in translation: Harry Potter in Turkish". The Turkish Daily News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 May 2010. สืบค้นเมื่อ 9 May 2007.
- ↑ Staff Writer (1 July 2003). "OOTP is best seller in France — in English!". BBC. สืบค้นเมื่อ 28 July 2008.
- ↑ "Differences in the UK and US Versions of Four Harry Potter Books". FAST US-1. 21 January 2008. สืบค้นเมื่อ 17 August 2008.
- ↑ Freeman, Simon (2005-07-18). "Harry Potter casts spell at checkouts". Times Online. สืบค้นเมื่อ 2008-07-29.
- ↑ "Potter book smashes sales records". BBC. 2005-07-18. สืบค้นเมื่อ 2008-07-29.
- ↑ "'Harry Potter' tale is fastest-selling book in history". The New York Times. 23 July 2007. สืบค้นเมื่อ 30 March 2010.
- ↑ "Harry Potter at Bloomsbury Publishing — Adult and Children Covers". Bloomsbury Publishing. สืบค้นเมื่อ 2008-08-18.
- ↑ McCaffrey, Meg (2003-05-01). "'Muggle' Redux in the Oxford English Dictionary". School Library Journal. สืบค้นเมื่อ 2007-05-01.
- ↑ "Book corner: Secrets of Podcasting". Apple Inc. 8 September 2005. สืบค้นเมื่อ 31 January 2007.
- ↑ "Mugglenet.com Taps Limelight's Magic for Podcast Delivery of Harry Potter Content". PR Newswire. 8 November 2005. สืบค้นเมื่อ 31 January 2007.
- ↑ "Book honour for Harry Potter author". BBC. 21 September 2001. สืบค้นเมื่อ 28 September 2008.
- ↑ "JK Rowling: From rags to riches". BBC. 20 September 2008. สืบค้นเมื่อ 28 September 2008.
- ↑ "Book 'Oscar' for Potter author". BBC. 30 May 2001. สืบค้นเมื่อ 28 September 2008.
- ↑ "Harry Potter casts a spell on the world". CNN. 18 July 1999. สืบค้นเมื่อ 28 September 2008.
- ↑ "Harry Potter: Meet J.K. Rowling". Scholastic Inc. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 May 2010. สืบค้นเมื่อ 27 September 2008.
- ↑ "Moviegoers get wound up over 'Watchmen'". MSNBC. 22 July 2008. สืบค้นเมื่อ 28 September 2008.
- ↑ "Harry Potter beaten to top award". BBC. 7 July 2000. สืบค้นเมื่อ 28 September 2008.
- ↑ Levine, Arthur (2001–2005). "Awards". Arthur A. Levine Books. สืบค้นเมื่อ 21 May 2006.
- ↑ Watson, Julie (2004-02-26). "J. K. Rowling And The Billion-Dollar Empire". Forbes. สืบค้นเมื่อ 2007-12-03.
- ↑ "J.K. Rowling publishes Harry Potter spin-off". Telegraph.com. 2007-11-01. สืบค้นเมื่อ 2008-09-28.
- ↑ "All Time Worldwide Box Office Grosses". Box Office Mojo, LLC. 1998–2008. สืบค้นเมื่อ 2008-07-29.
- ↑ (JK) -Rowling_CRTT.html "The World's Billionaires:#891 Joanne (JK) Rowling". Forbes. 2007-03-08. สืบค้นเมื่อ 2008-07-29.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่า|url=
(help) - ↑ "J. K. Rowling Richer than the Queen". BBC. 2003-04-27. สืบค้นเมื่อ 2008-07-29.
- ↑ "Harry Potter Brand Wizard". Business Week. 2005-07-21. สืบค้นเมื่อ 2008-07-29.
{{cite news}}
: ไม่อนุญาตให้ใช้มาร์กอัปตัวเอียงหรือตัวหนาใน:|publisher=
(help) - ↑ "Rowling joins Forbes billionaires". BBC. สืบค้นเมื่อ 2008-09-09.
- ↑ Smith, Dinitia (24 June, 2000). "The Times Plans a Children's Best-Seller List". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 2008-09-30.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ 85.0 85.1 85.2 Fierman, Daniel (2005-08-31). "Wild About Harry". Entertainment Weekly. สืบค้นเมื่อ 2007-03-04.
When I buy the books for my grandchildren, I have them all gift wrapped but one...that's for me. And I have not been 12 for over 50 years.
{{cite news}}
: ไม่อนุญาตให้ใช้มาร์กอัปตัวเอียงหรือตัวหนาใน:|publisher=
(help) - ↑ "New Harry Potter breaks pre-order record". RTÉ.ie Entertainment. 2007-04-13. สืบค้นเมื่อ 2007-04-23.
- ↑ "Harry Potter hits midnight frenzy". CNN. 2005-07-15. สืบค้นเมื่อ 2007-01-15.
- ↑ "Worksheet: Half-Blood Prince sets UK record". BBC. 2005-07-20. สืบค้นเมื่อ 2007-01-19.
- ↑ 89.0 89.1 89.2 89.3 Eccleshare, Julia (2002). A Guide to the Harry Potter Novels. Continuum International Publishing Group. p. 10. ISBN 9780826453174.
- ↑ Bloom, Harold (2003-09-24). "Dumbing down American readers". The Boston Globe. สืบค้นเมื่อ 2006-06-20.
{{cite web}}
: ไม่อนุญาตให้ใช้มาร์กอัปตัวเอียงหรือตัวหนาใน:|publisher=
(help) - ↑ Byatt, A. S. (2003-07-07). "Harry Potter and the Childish Adult". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 2008-08-01.
{{cite news}}
: ไม่อนุญาตให้ใช้มาร์กอัปตัวเอียงหรือตัวหนาใน:|publisher=
(help) - ↑ Holden, Anthony (2000-06-25). "Why Harry Potter does not cast a spell over me". The Observer. สืบค้นเมื่อ 2008-08-01.
{{cite news}}
: ไม่อนุญาตให้ใช้มาร์กอัปตัวเอียงหรือตัวหนาใน:|publisher=
(help) - ↑ Allison, Rebecca (2003-07-11). "Rowling books 'for people with stunted imaginations'". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 2008-08-01.
{{cite news}}
: ไม่อนุญาตให้ใช้มาร์กอัปตัวเอียงหรือตัวหนาใน:|publisher=
(help) - ↑ Wilson, A. N. (2007-07-29). "Harry Potter and the Deathly Hallows by JK Rowling". Times Online. สืบค้นเมื่อ 2008-09-28.
- ↑ Taylor, Charles (2003-07-08). "A. S. Byatt and the goblet of bile". Salon.com. สืบค้นเมื่อ 2008-08-03.
- ↑ "Wild About Harry". The New York Times. 2000-07-23.
- ↑ Fox, Killian (2006-12-31). "JK Rowling:The mistress of all she surveys". Guardian Unlimited. เก็บข้อมูลเมื่อ 2007-02-10.
- ↑ "Person of the Year 2007 Runners-Up: J. K. Rowling". Time magazine. 2007-12-23. เก็บข้อมูลเมื่อ 2007-12-23.
- ↑ Charles, Ron (2007-07-15). "Harry Potter and the Death of Reading". The Washington Post. เก็บข้อมูลเมื่อ 2008-04-16.
- ↑ Sawyer, Jenny (2007-07-25). "Missing from 'Harry Potter" – a real moral struggle". The Christian Science Monitor. เก็บข้อมูลเมื่อ 2008-04-16.
- ↑ Suellentrop, Chris (2002-11-08). "Harry Potter: Fraud". Slate Magazine. เก็บข้อมูลเมื่อ 2008-04-16.
- ↑ Hitchens, Christopher (2007-08-12). "The Boy Who Lived". The New York Times. 2. เก็บข้อมูลเมื่อ 2008-04-01.
- ↑ "SScholastic Inc, J.K. Rowling and Time Warner Entertainment Company, L.P, Plaintiffs/Counterclaim Defendants, -against- Nancy Stouffer: United States District Court for the Southern District of New York". ICQ. 2002-09-17. สืบค้นเมื่อ 2007-06-12.
- ↑ McCarthy, Kieren (2000). "Warner Brothers bullying ruins Field family Xmas". The Register. สืบค้นเมื่อ 2007-05-03.
- ↑ "Fake Harry Potter novel hits China". BBC. 2002-07-04. สืบค้นเมื่อ 2007-03-11.
- ↑ Olsen, Ted. "Opinion Roundup: Positive About Potter". Cesnur.org. สืบค้นเมื่อ 2007-07-06.
- ↑ Bonta, Steve (2002-01-28). "Tolkien's Timeless Tale". The New American. 18 (2).
{{cite journal}}
:|access-date=
ต้องการ|url=
(help); ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=
(help) - ↑ Liddle, Rod (2007-07-21). "Hogwarts is a winner because boys will be sexist neocon boys". The Times. สืบค้นเมื่อ 2008-08-17.
{{cite web}}
: ไม่อนุญาตให้ใช้มาร์กอัปตัวเอียงหรือตัวหนาใน:|publisher=
(help) - ↑ "WiGBPd About Harry". Australian Financial Review. 19 กรกฎาคม 2543. สืบค้นเมื่อ 12-05-2550.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Harry Potter and the Philosopher's Stone". Guardian Unlimited. 16 พฤศจิกายน 2544. สืบค้นเมื่อ 12-05-2550.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "David Yates to Direct Harry Potter and the Order of the Phoenix for Warner Bros. Pictures". Time Warner. 19 มกราคม 2548. สืบค้นเมื่อ 12-05-2550.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Mzimba, Lizo, moderator. Interview with Steve Kloves and J.K. Rowling". Quick Quotes Quill. กุมภาพันธ์ 2546. สืบค้นเมื่อ 12-05-2550.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Press Release: Radcliffe, Grint, and Watson Selected". Warner Brothers. 21 สิงหาคม 2543. สืบค้นเมื่อ 12-05-2550.
{{cite news}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ ประกาศอย่างเป็นทางการในการแบ่งภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเครื่องรางยมทูตเป็นสองตอน (อังกฤษ)
- ↑ "All Time Worldwide Box Office Grosses". Box Office Mojo. สืบค้นเมื่อ 20 July 2011.
- ↑ Harry Potter and the Deathly Hallows Part 2
- ↑ "Harry Potter and the Order of the Phoenix (2007)". Box Office Mojo. สืบค้นเมื่อ 2009-02-05.
- ↑ โปรดิวเซอร์ เผย Harry Potter 6 ไม่เหมือนภาคอื่น
- ↑ All Time Worldwide Opening
- ↑ [1]
- ↑ [2]
- ↑ [3]
- ↑ [4]
- ↑ [5]
- ↑ "J.K. Rowling to Work on Harry Potter Stage Play". 20 December 2013. สืบค้นเมื่อ 22 December 2013.
- ↑ "J.K. Rowling to produce Harry Potter stage play". USA Today. 20 December 2013. สืบค้นเมื่อ 22 December 2013.
- ↑ Wizrocklopedia band listings
- ↑ The Wizarding World of Harry Potter
- ↑ MacDonald, Brady (April 6, 2011). "Universal Studios wonders how and when to expand Wizarding World of Harry Potter". Los Angeles Times. สืบค้นเมื่อ May 18, 2013.
- ↑ Thurston, Susan (23 January 2014). "Harry Potter's Diagon Alley plans Escape from Gringotts ride, new stores". Tampa Bay Times. สืบค้นเมื่อ 25 January 2014.
- ↑ Bevil, Dewayne (23 January 2014). "New details about Harry Potter Diagon Alley: Lots of shops, Gringotts ride gets name". Orlando Sentinel. สืบค้นเมื่อ 25 January 2014.
- ↑ Bevil, Dewayne (July 17, 2014). "Universal's Diagon Alley: Answers to your burning questions". Orlando Sentinel. สืบค้นเมื่อ 15 September 2014.
- ↑ Cripps, Karla (16 July 2014). "Universal Studios Japan's 'Wizarding World of Harry Potter' opens". CNN. สืบค้นเมื่อ 12 September 2014.
- ↑ Barnes, Brooks (8 April 2014). "A Makeover at Universal Studios Hollywood Aims at Disney". The New York Times. Universal City, California. สืบค้นเมื่อ 12 September 2014.
- ↑ ควิดดิชแข่งขันได้จริงแล้วในโลกของมักเกิ้ล
แหล่งข้อมูลอื่น
- เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ:
- เว็บไซต์ส่วนตัวของ เจ. เค. โรว์ลิง (อังกฤษ)
- เว็บไซต์เนื้อเรื่องแต่งเพิ่มเติม ของ เจ. เค. โรว์ลิง (อังกฤษ)
- เว็บไซต์ภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์อย่างเป็นทางการของวอร์เนอร์บราเธอร์ส (อังกฤษ)
- เว็บไซต์ภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์อย่างเป็นทางการของวอร์เนอร์บราเธอร์ส (ภาษาไทย)
- เว็บไซต์แฮร์รี่ พอตเตอร์ของสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ฉบับภาษาไทย
- เว็บไซต์แฮร์รี่ พอตเตอร์ของสำนักพิมพ์บลูมส์บิวรี่ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ฉบับภาษาอังกฤษทั่วโลกนอกเหนือจากสหรัฐอเมริกาและแคนาดา (อังกฤษ)
- เว็บไซต์แฮร์รี่ พอตเตอร์ของสำนักพิมพ์สกอแลสติก ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ฉบับภาษาอังกฤษในสหรัฐอเมริกา (อังกฤษ)
- เว็บไซต์ของแฟนหนังสือ / แหล่งข้อมูลที่เกี่ยวกับแฮร์รี่ พอตเตอร์อื่น ๆ :
- MuggleNet.com (อังกฤษ)
- The-Leaky-Cauldron.org (อังกฤษ)
- The Harry Potter Lexicon สารานุกรมเกี่ยวกับนานาสารพันในโลกของแฮร์รี่ พอตเตอร์ รวมถึงข้อมูลอ้างอิงต่าง ๆ ของผู้แต่ง เจ. เค. โรว์ลิง (อังกฤษ)
- MuggleThai.com แฟนไซต์ของผู้อ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์ชาวไทย
- Muggle-V.com เว็บไซต์แฮร์รี่ พอตเตอร์ แห่งประเทศไทย
- Potterstoryweb.com เว็บไซต์แฟนคลับแฮร์รี่ พอตเตอร์