ข้ามไปเนื้อหา

ประเทศโรดีเชีย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก โรดีเซีย)
  • โรดีเชีย
    (ค.ศ. 1965–1970)
  • สาธารณรัฐโรดีเชีย
    (ค.ศ. 1970–1979)

ค.ศ. 1965–1979
ตราแผ่นดินของโรดีเชีย
ตราแผ่นดิน
คำขวัญ: Sit Nomine Digna (ละติน)
"ขอให้เจ้าคู่ควรแก่ชื่อ"
ที่ตั้งของโรดีเชีย
สถานะรัฐที่ไม่ได้รับการรับรอง
เมืองหลวง
และเมืองใหญ่สุด
ซอลส์บรี
ภาษาราชการอังกฤษ (โดยพฤตินัย)
ภาษาอื่น
กลุ่มชาติพันธุ์
(ค.ศ. 1969)
เดมะนิมชาวโรดีเชีย
การปกครอง
สมเด็จพระราชินีนาถ[a] 
 ค.ศ. 1965–1970
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2
ประธานาธิบดี 
 ค.ศ. 1970–1975
คลิฟฟอร์ด ดูปองต์
 ค.ศ. 1975–1976
เฮนรี เอเฟอราร์ด (รักษาการแทน)
 ค.ศ. 1976–1978
จอห์น ราธัล
 1978
เฮนรี เอเฟอราร์ด (รักษาการแทน)
 ค.ศ. 1978–1979
แจ็ก พีธี (รักษาการแทน)
นายกรัฐมนตรึ 
 ค.ศ. 1965–1979
เอียน สมิธ
สภานิติบัญญัติรัฐสภา
วุฒิสภา
สภาผู้แทนราษฎร
ยุคประวัติศาสตร์สงครามเย็นและการให้เอกราชแอฟริกา
11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1965
2 มีนาคม ค.ศ. 1970
3 มีนาคม ค.ศ. 1978
1 มิถุนายน ค.ศ. 1979
พื้นที่
 รวม
390,580 ตารางกิโลเมตร (150,800 ตารางไมล์)
ประชากร
 สำมะโนประชากร ค.ศ. 1978
6,930,000
สกุลเงิน
เขตเวลาUTC+2 (CAT)
รหัส ISO 3166RH
ก่อนหน้า
ถัดไป
โรดีเชีย (ค.ศ. 1964–1965)
ซิมบับเวโรดีเชีย
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของซิมบับเว
  1. รัฐบาลรับรองสมเด็จพระราชินีาถเอลิซาเบธที่ 2 เป็นประมุขแห่งรัฐอย่างเป็นทางการตั้งแต่ ค.ศ. 1965 ถึง ค.ศ. 1970 โดยข้าราชการชั้นสูงสุดของโรดีเชียดำรงตำแหน่ง "เจ้าหน้าที่บริหารรัฐบาล" (OAtG) ซึ่งทำหน้าที่แทนผู้ว่าราชการ แต่เมื่อโรดีเชียเป็นสาธารณรัฐในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1970 ประธานาธิบดีจึงกลายเป็นตำแหน่งสูงสุดแทนที่เจ้าหน้าที่บริหารรัฐบาล

โรดีเชีย (อังกฤษ: Rhodesia;[a] โชนา: Rodizha) มีชื่ออย่างเป็นทางการตั้งแต่ ค.ศ. 1970 ว่า สาธารณรัฐโรดีเชีย (อังกฤษ: Republic of Rhodesia)[2][3] เป็นรัฐที่ไม่ได้รับการรับรองในภูมิภาคแอฟริกาใต้ที่ดำรงอยู่ตั้งแต่ ค.ศ. 1965 ถึง ค.ศ. 1979 ตลอดสิบสี่ปีของการดำรงเป็นประเทศ โรดีเชียมีสถานะเป็นรัฐสืบทอดจากอาณานิคมเซาเทิร์นโรดีเชียของสหราชอาณาจักรโดยพฤตินัย จนกระทั่งใน ค.ศ. 1980 ประเทศจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นประเทศซิมบับเวเฉกเช่นปัจจุบัน

เซาเทิร์นโรดีเชียได้รับสิทธิในการปกครองตนเองตั้งแต่การจัดตั้งรัฐบาลรับผิดชอบ (responsible government) ใน ค.ศ. 1923 โดยเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีพรมแดนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ติดกับประเทศบอตสวานา (เบชวานาแลนด์ ซึ่งเป็นรัฐในอารักขาของสหราชอาณาจักรจนถึง ค.ศ. 1966) ทางทิศตะวันออกติดกับประเทศโมซัมบิก (มณฑลของโปรตุเกสจนถึง ค.ศ. 1975) ประเทศแอฟริกาใต้ทางทิศใต้ และประเทศแซมเบียทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ โรดีเชียเป็นหนึ่งในสองประเทศเอกราชในแอฟริกาแผ่นดินใหญ่ที่ปกครองโดยชนกลุ่มน้อยผิวขาวที่มีเชื้อสายและวัฒนธรรมยุโรปนับตั้งแต่ ค.ศ. 1965 ถึง ค.ศ. 1979 โดยอีกแห่งคือประเทศแอฟริกาใต้

ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ดินแดนทรานส์วาลทางตอนเหนือเป็นเขตเช่าของบริษัทแอฟริกาใต้ของบริเตนที่นำโดยเซซิล โรดส์ โดยโรดส์และกองกำลังของเขา (Pioneer Column) เดินทัพขึ้นเหนือใน ค.ศ. 1890 และยึดครองดินแดนขนาดใหญ่ที่บริษัทปกครองจนถึงต้นทศวรรษ 1920 ต่อมาใน ค.ศ. 1923 สัญญาเช่าของบริษัทถูกเพิกถอนและเซาเทิร์นโรดีเชียได้รับอำนาจปกครองตนเอง รวมถึงมีการจัดตั้งสภานิติบัญญัติ จากนั้นในช่วง ค.ศ. 1953 ถึง ค.ศ. 1963 เซาเทิร์นโรดีเชียได้รวมกับนอร์เทิร์นโรดีเชียและนยาซาแลนด์เพื่อก่อตั้งเป็นสหพันธรัฐโรดีเชียและนยาซาแลนด์

การให้เอกราชแอฟริกาที่ดำเนินขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงปลายทศวรรษ 1950 ถึงต้นทศวรรษ 1960 สร้างความกังวลให้กับประชากรผิวขาวในเซาเทิร์นโรดีเชีย เพื่อชะลอการเปลี่ยนแปลงไปสู่การปกครองของคนผิวดำ รัฐบาลเซาเทิร์นโรดีเชียที่นำโดยคนผิวขาวจึงได้ประกาศเอกราชฝ่ายเดียวจากสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1965 ประเทศใหม่ซึ่งเรียกว่าโรดีเชียนี้พยายามขอการรับรองในฐานะสมาชิกเครือจักรภพ แต่ต่อมาได้เปลี่ยนสถานะเป็นสาธารณรัฐใน ค.ศ. 1970

ภายหลังการประกาศเอกราชใน ค.ศ. 1965[4] คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้มีมติเรียกร้องให้นานาประเทศไม่รับรองเอกราชของโรดีเชีย กอปรกับพรรคชาตินิยมแอฟริกา 2 พรรค ได้แก่ สหภาพประชาชนแอฟริกาแห่งซิมบับเว (ZAPU) และสหภาพแห่งชาติแอฟริกาแห่งซิมบับเว (ZANU) ได้เริ่มทำสงครามกองโจรเพื่อต่อต้านรัฐบาล อันเป็นการเริ่มต้นของสงครามโรดีเชีย การคว่ำบาตรทางการค้าและแรงกดดันทางการทูต ทำให้เอียน สมิธ นายกรัฐมนตรีโรดีเชีย ยินยอมให้มีการปกครองโดยกลุ่มชนส่วนใหญ่ใน ค.ศ. 1978 อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวแบบพหุเชื้อชาติ ซึ่งสมิธถูกแทนที่โดยผู้นำสายกลาง อาเบิล มูโซเรวา ไม่สามารถทำให้นักวิจารณ์ระดับนานาชาติพอใจหรือยุติสงครามได้ ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1979 มูโซเรวาจึงได้เจรจาข้อตกลงกับสหภาพประชาชนแอฟริกาและสหภาพแห่งชาติแอฟริกา ทำให้โรดีเซียกลับคืนสู่สถานะอาณานิคมชั่วคราว และจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใต้การกำกับดูแลของสหราชอาณาจักร สหภาพแห่งชาติแอฟริกาชนะการเลือกตั้งใน ค.ศ. 1980 และประเทศได้รับการรับรองเอกราชในระดับนานาชาติในเดือนเมษายนปีเดียวกันในชื่อ "ซิมบับเว"

เมืองที่ใหญ่ที่สุดของโรดีเชีย คือ ซอลส์บรี (มีสถานะเป็นเมืองหลวง ปัจจุบันคือฮาราเร) และบูลาวาโย ช่วงก่อน ค.ศ. 1970 สภานิติบัญญัติเป็นระบบสภาเดียวที่มีผู้แทนชนผิวขาวเป็นส่วนใหญ่ โดยมีที่นั่งจำนวนน้อยสำหรับผู้แทนชนผิวดำ แต่หลังการประกาศเป็นสาธารณรัฐใน ค.ศ. 1970 สภานิติบัญญัติถูกแทนที่ด้วยระบบสองสภา ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ระบบสองสภานี้ยังคงใช้อยู่ในซิมบับเวหลัง ค.ศ. 1980 นอกเหนือจากการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ โรดีเชียได้ปกครองตามระบบเวสต์มินสเตอร์ที่ได้รับมาจากสหราชอาณาจักร โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐเชิงพิธีการ และนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรีที่ทำหน้าที่บริหารประเทศ

หมายเหตุ

[แก้]
  1. /rˈdʒə/ roh-dee-zhə, /rˈdʃə/ roh-dee-shə[1]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Chambers, Allied (1998). The Chambers Dictionary. Allied Publishers. p. 1416. ISBN 978-81-86062-25-8.
  2. Votes and Proceedings of the Senate, Volume 12, Parliament of Rhodesia, 1970, page 2
  3. "46. Rhodesia/Zimbabwe (1964-present)". uca.edu.
  4. History, Elizabeth Schmidt / Made by (2023-10-30). "A Lesson From the History of Rhodesia". TIME (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2024-09-03.