สมัยประชุมวิสามัญของรัฐสภาไทย 26–27 ตุลาคม 2563
ระหว่างวันที่ 26–27 ตุลาคม 2563 สภาผู้แทนราษฎรไทยเปิดสมัยประชุมวิสามัญเนื่องจากสถานการณ์การประท้วงในประเทศไทย พ.ศ. 2563 ตามมติของคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ เป็นสมัยประชุมที่ไม่มีการออกเสียงลงมติ มีกำหนดระยะเวลา 25 ชั่วโมง แต่ฝ่ายค้านมองว่าเป็นความพยายามฟอกขาวรัฐบาล และป้ายสีผู้ชุมนุม
ในที่ประชุมได้ข้อเสนอ 2 เรื่อง คือ การเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญและการตั้งคณะกรรมการหลายฝ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาการเมือง ซึ่งประยุทธ์ จันทร์โอชาก็เห็นด้วย
ก่อนสมัยประชุม
[แก้]คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ และออกเป็นพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา พ.ศ. 2563 เผยแพร่วันที่ 21 ตุลาคม 2563 โดยระบุเหตุผลว่าต้องการทราบความเห็นของสมาชิกรัฐสภา 3 เรื่อง ได้แก่
- ความเสี่ยงของการระบาดของโควิด-19 เนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง
- เหตุขบวนเสด็จฯ ผ่านที่ชุมนุมบริเวณถนนพิษณุโลกในวันที่ 14 ตุลาคม 2563 และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในกรุงเทพมหานคร
- การสลายการชุมนุมที่แยกปทุมวันในวันที่ 16 ตุลาคม 2563 และความกังวลสถานการณ์บานปลายเป็นการจลาจล[1] ญัตติทั้งสามข้อไม่มีข้อใดตอบสนองข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม อันได้แก่ นายกรัฐมนตรีลาออก ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีไปตรงกับข้อเรียกร้องของพรรคก้าวไกลบ้างตรงที่ต้องการอภิปรายประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ[1]
ในวันที่ 22 ตุลาคม 2563 พรรคร่วมฝ่ายค้านแถลงว่าญัตติของคณะรัฐมนตรีเป็นการใส่ร้ายผู้ชุมนุม ต้องการใช้เวทีรัฐสภาฟอกขาวให้รัฐบาล และไม่ใช่ทางออกของปัญหา[2] พรรคก้าวไกลเตรียมเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในข้อบกพร่องการกำหนดเส้นทางเสด็จฯ เมื่อวันที่ 14 ต.ค. ด้านพรรคเพื่อไทยระบุว่าเตรียมผู้อภิปรายไว้ 20 คนเกี่ยวกับการประท้วง แต่เห็นว่าไม่ควรอภิปรายเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ในที่ประชุม และให้ขึ้นอยู่กับประธานวิปรัฐบาล ส่วนพรรคพลังประชารัฐจัดตัวผู้อภิปรายไว้ 5 คน ได้แก่ วิรัช รัตนเศรษฐ, ไพบูลย์ นิติตะวัน, ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์, ปารีณา ไกรคุปต์ และสิระ เจนจาคะ โดยส่วนใหญ่จะอภิปรายในเรื่องเหตุการณ์ขบวนเสด็จฯ[3]
สมัยประชุมดังกล่าวจัดเวลาอภิปรายไว้ 25 ชั่วโมง แบ่งเป็น ส.ส.ฝ่ายค้าน 8 ชั่วโมง, ส.ส.รัฐบาล 5 ชั่วโมง, คณะรัฐมนตรี 5 ชั่วโมง และสมาชิกวุฒิสภา 5 ชั่วโมง และชวน หลีกภัยในฐานะประธานรัฐสภา 2 ชั่วโมง[4] กลุ่มประชาชนปลดแอกมองว่าการประชุมดังกล่าวเวลาส่วนใหญ่เป็นของฝั่งรัฐบาล และขอให้ประชาชนร่วมกันจับตาว่ารัฐบาลจะใช้วิธีฟอกขาวตนเองอย่างไร และเชื่อว่าความขัดแย้งทางการเมืองจะเพิ่มขึ้น[5] ผู้คุมเสียงในสภาฝ่ายรัฐบาลเชื่อว่าสมาชิกรัฐสภามีวุฒิภาวะมากพอไม่อภิปรายถึงประเด็นอ่อนไหว คือ เรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ และกล่าวว่า หากสมาชิกคนใดอภิปรายจะไม่ได้รับความคุ้มครองจากเอกสิทธิ์ตามกฎหมาย[6]
ตำรวจเตรียมรถคุมขังและปืนฉีดน้ำแรงดันสูงดูแลความปลอดภัยโดยรอบที่ประชุม[7]
กลุ่มผู้ชุมนุมศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ (ศปปส.) ชุมนุมข้ามคืนวันที่ 25–26 ตุลาคม 2563 รอบสัปปายะสภาสถาน เพื่อเตรียมยื่นคัดค้านการตั้งคณะกรรมาธิการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมีสุวิทย์ ทองประเสริฐ (อดีตพระพุทธะอิสระ) เข้าร่วมด้วย[8] โดยพลตำรวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอำนวยความสะดวกให้แก่กลุ่มดังกล่าวโดยจัดหารถสุขาและรถขยะให้[9]
การประชุม
[แก้]ในวันที่ 26 ตุลาคม มีสมาชิกรัฐสภา 450 คนจาก 731 คนลงชื่อเข้าประชุม[10] ในครึ่งเช้า พรรคร่วมรัฐบาลเสนอให้คณะกรรมการสมานฉันท์ซึ่งประกอบขึ้นจากผู้แทนทุกฝ่าย และให้รัฐบาลกำหนดขอบเขตระยะเวลาการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ชัดเจน ส่วนพรรคร่วมฝ่ายค้านยืนยันว่าให้นายกรัฐมนตรีลาออก[11] พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา อภิปรายว่า รัฐบาลต้องจัดการกับการชุมนุมตามกฎหมาย ต้องรักษาสิทธิของคนไทยทุกคน และฝากถึงผู้ประท้วงว่าประเทศไทยมีประวัติศาสตร์ยาวนาน แม้ว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย แต่คนไทย "หลายสิบล้านคน" ไม่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงที่วุ่นวาย ด้านตัวแทนพรรคก้าวไกล อภิปรายว่า การชุมนุมของผู้ประท้วงไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง และกล่าวว่าการอารักขาขบวนเสด็จฯ เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ไม่ใช่โยนความผิดให้ผู้ชุมนุม ด้านไพบูลย์ นิติตะวันในฐานะ ส.ส. พรรครัฐบาล อภิปรายโจมตีขบวนการผู้ชุมนุมว่ามีจุดประสงค์แอบแฝงเพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบสาธารณรัฐ และข้อเรียกร้องสามข้อของผู้ประท้วงนั้นมีจุดประสงค์ขั้นสุดท้ายเพื่อการนี้เพียงข้อเดียว[4]
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ ศาสตราจารย์ ดร. วิษณุ เครืองาม ชี้แจงว่า จะมีการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม โดยจะมีการเตรียมเสนอร่างพระราชบัญญัติประชามติในสัปดาห์หน้า และอาจมีความเป็นไปได้ที่ประยุทธ์ลาออกและนายกรัฐมนตรีคนใหม่มาจากการเลือกตั้งของสมาชิกรัฐสภาจำนวนกึ่งหนึ่ง คือ 366 เสียง โดยใช้บุคคลในบัญชีผู้เสนอเป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2562[12]
พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เดินออกจากที่ประชุมหลังไม่ยอมถอนคำพูด "ไอเฮียร์ทู" (I hear too) ซึ่งประธานรัฐสภา ชวน หลีกภัย ระบุว่าเป็นการเสียดสีนายกรัฐมนตรี สื่อแพร่ภาพประยุทธ์ถ่ายภาพ ส.ส. พรรคก้าวไกลคนหนึ่งขณะอภิปรายด้วย[10]
วันที่ 27 ตุลาคม มีข่าว วิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส. พรรคเพื่อไทย กรีดร่างกายตนเองเพื่อประท้วงนายกรัฐมนตรี ก่อนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ด้านสิระ ส.ส. พรรคพลังประชารัฐออกความเห็นว่า "สมน้ำหน้า" ปารีณา ไกรคุปต์ เรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่ง ส.ส. ส่วนประยุทธ์กล่าวว่าได้รับข่าวว่ามีการเตรียมการล่วงหน้า[13] ขณะที่ ส.ว. หลายคนอภิปรายสนับสนุนประยุทธ์[13]
ส.ส. พรรคพลังประชารัฐยังอภิปรายโจมตีผู้ประท้วงต่อไปโดยกล่าวหาว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการนักศึกษา จากกรณีการชุมนุมหน้าสถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทยในวันที่ 26 ตุลาคม มีการ "ชักศึกเข้าบ้าน" ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ ระบุว่า "ปราศรัย 1 ชั่วโมง โจมตีรัฐบาล 10 นาที อีก 50 นาทีโจมตีสิ่งที่อยู่เหนือกว่ารัฐบาล... มีการกล่าวหาว่ารัฐบาลเป็นหมา บอกถ้าหมาข้างบ้านเห่า เขาจะไม่ไปพูดกับหมา ไม่ทะเลาะกับหมา เขาจะทะเลาะกับเจ้าของหมา" พร้อมกับเสนอให้ทวงคืน "อธิปไตย" ของไทยบนสื่อสังคม[13]
ปฏิกิริยา
[แก้]ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ว่าตนเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และตั้งคณะกรรมการหาทางออก แต่จะไม่ลาออก[14]
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทย ให้สัมภาษณ์หลังจบการประชุมว่า การประชุมนี้ไม่เสียเปล่าเพราะได้ข้อสรุปคือจะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ และมีการตั้งคณะกรรมการทุกฝ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาการเมือง แต่กรอบเวลาจะขึ้นอยู่กับประธานรัฐสภา[15] ส่วน รศ.ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล เห็นว่า การประชุมนี้มีแนวทางอภิปรายเพียง 2 เรื่อง คือ พยายามกล่าวหานักศึกษาว่ามีเบื้องหลัง และขัดขวางข้อเสนอปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ และกังวลว่าหากประชาชนไม่เชื่อมั่นในกระบวนการรัฐสภาก็จะกลับสู่วังวนการประท้วงบนถนนอีก[16]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 "จับตา 3 หัวข้อ ประชุมสภาสมัยวิสามัญ 26-27 ต.ค.นี้". Thai PBS. 26 October 2020. สืบค้นเมื่อ 26 October 2020.
- ↑ "6 พรรคฝ่ายค้าน จำใจร่วมอภิปรายวิสามัญ วิปรัฐบาลไม่ขวางหากพูดเรื่องสถาบัน". ประชาชาติธุรกิจ. 22 October 2020. สืบค้นเมื่อ 26 October 2020.
- ↑ "ฝ่ายค้าน-รัฐบาล จัดขุนพล เปิดศึกประชุมสมัยวิสามัญ ผ่าทางตันประเทศ 26-27 ต.ค. - ข่าวช่อง3 CH3 Thailand NEWS". CH3 Thailand NEWS. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-10-29. สืบค้นเมื่อ 26 October 2020.
- ↑ 4.0 4.1 "พล.อ. ประยุทธ์ คือ "บุคคลที่เป็นเลิศด้านจงรักภักดีต่อสถาบันฯ"". BBC ไทย. สืบค้นเมื่อ 26 October 2020.
- ↑ "คณะประชาชนปลดแอก ห่วงใช้สภา "ฟอกขาว" รัฐบาล". Thai PBS. 26 October 2020. สืบค้นเมื่อ 26 October 2020.
- ↑ "House convenes to solve crisis". Bangkok Post. สืบค้นเมื่อ 26 October 2020.
- ↑ "ตำรวจ-รถคุมขัง-รถฉีดน้ำแรงดันสูง เตรียมพร้อมรอบอาคารรัฐสภา". ประชาชาติธุรกิจ. 26 October 2020. สืบค้นเมื่อ 26 October 2020.
- ↑ "ศปปส.ปักหลักชุมนุมหน้าสภา "พุทธะอิสระ" จ่อยื่นค้านตั้ง กมธ.ปฏิรูปสถาบัน". ไทยรัฐ. 26 October 2020. สืบค้นเมื่อ 26 October 2020.
- ↑ "'อัศวิน'จัดรถขยะ-รถสุขา ให้ม็อบป้องสถาบันฯหน้ารัฐสภา". เดลินิวส์. สืบค้นเมื่อ 25 October 2020.
- ↑ 10.0 10.1 "Lawmaker Walks Out From Parliament Over 'I Hear Too' Remark". Khaosod English. 26 October 2020. สืบค้นเมื่อ 26 October 2020.
- ↑ "ผ่านไป 4 ชั่วโมงประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ". ฝ่ายข่าว ช่อง 7. สืบค้นเมื่อ 26 October 2020.
- ↑ "วิษณุ แจงไทม์ไลน์ ประยุทธ์ ยุบสภา-ลาออก ประชามติ แก้รัฐธรรมนูญ". ประชาชาติธุรกิจ. 26 October 2020. สืบค้นเมื่อ 26 October 2020.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 "ส.ส. เพื่อไทย กรีดเลือดกลางสภา ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ลั่นไม่ลาออก". BBC ไทย. 27 October 2020. สืบค้นเมื่อ 28 October 2020.
- ↑ "บิ๊กตู่ บ่น เจ็บหู หลังจบประชุมสภา ย้ำ เห็นด้วยแก้รธน.-ตั้งกก.หาทางออก". ข่าวสด. 28 October 2020. สืบค้นเมื่อ 28 October 2020.
- ↑ "'จุรินทร์' ยันประชุมสภาฯ ไม่เสียเปล่า ได้ข้อสรุปแก้รธน.-ตั้งกก.หาทางออก". VoiceTV. สืบค้นเมื่อ 28 October 2020.
- ↑ "'ปิยบุตร' จวกประชุมสภาวิสามัญไร้ความหมาย - 'ธนาธร' ขอรัฐอย่าบีบ ปชช.ให้ต้องเลือกข้าง". VoiceTV. สืบค้นเมื่อ 28 October 2020.