ข้ามไปเนื้อหา

วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร

พิกัด: 13°45′10″N 100°29′08″E / 13.752683°N 100.485485°E / 13.752683; 100.485485
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร
วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร มุมมองจากแม่น้ำเจ้าพระยา
แผนที่
ชื่อสามัญวัดระฆัง, วัดหลวงพ่อโต
ที่ตั้งซอยอรุณอมรินทร์ 18 ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 10700
ประเภทพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรมหาวิหาร
นิกายเถรวาท มหานิกาย
พระประธานพระประธานยิ้มรับฟ้า
เจ้าอาวาสพระเทพประสิทธิคุณ (ประจวบ ขนฺติธโร)
ความพิเศษหอพระไตรปิฎกสมัยรัชกาลที่ 1, รูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)
เวลาทำการทุกวัน 08.00–17.00 น.
จุดสนใจสักการะรูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)
ชมหอพระไตรปิฎกสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
กิจกรรมเทศนาธรรมทุกวันพระ
21 มิ.ย. : งานอุทิศส่วนกุศลให้อดีตเจ้าอาวาส
การถ่ายภาพไม่ควรถ่ายภาพภายในพระอุโบสถขณะประกอบพิธีกรรม
ชื่อที่ขึ้นทะเบียนวัดระฆังโฆสิตาราม
ขึ้นเมื่อ22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492
เป็นส่วนหนึ่งของโบราณสถานในเขตกรุงเทพมหานคร
เลขอ้างอิง0000155
icon สถานีย่อยพระพุทธศาสนา

วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ในแขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เป็นพระอารามหลวงชั้นโทชนิดวรมหาวิหาร อยู่ในเขตการปกครองคณะสงฆ์มหานิกายภาค 1

วัดแห่งนี้เป็นวัดเก่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อ วัดบางหว้าใหญ่ ในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสร้างพระราชวังใกล้วัดบางหว้าใหญ่ โปรดเกล้าฯ ให้ยกเป็นพระอารามหลวงและเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช วัดบางหว้าใหญ่อยู่ในพระอุปถัมภ์ของเจ้านายวังหลังคือสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดีพระเชษฐภคินีของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและเป็นพระชนนีของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ทรงมีตำหนักที่ประทับอยู่ติดกับวัด ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดร่วมกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และได้ขุดพบระฆังลูกหนึ่ง ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้นำไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยทรงสร้างระฆังชดเชยให้วัดบางว้าใหญ่ 5 ลูก จากนั้นได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดระฆังโฆสิตาราม” นอกจากเป็นเพราะขุดพบระฆังที่วัดนี้และเพื่อฟื้นฟูแบบแผนครั้งกรุงศรีอยุธยาที่มีวัดชื่อวัดระฆังเช่นกัน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อ “วัดระฆังโฆสิตาราม” เป็น “วัดราชคัณฑิยาราม” (คัณฑิ แปลว่าระฆัง) แต่ไม่มีคนนิยมเรียกชื่อนี้ ยังคงเรียกว่าวัดระฆังต่อมา

วัดระฆังโฆสิตารามมีหอพระไตรปิฎกซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามมาก เคยเป็นพระตำหนักและหอประทับนั่งของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขณะทรงรับราชการในสมัยกรุงธนบุรี และโปรดเกล้าฯ ให้รื้อมาถวายวัด เมื่อเสด็จขึ้นครองราชสมบัติแล้ว มีพระราชประสงค์จะบูรณปฏิสังขรณ์ให้สวยงามเพื่อเป็นหอพระพระไตรปิฎก​

ประวัติ

[แก้]

เดิมเป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยา เดิมชื่อ วัดบางว้าใหญ่ (หรือบางหว้าใหญ่) ในสมัยธนบุรี สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสร้างพระราชวังใกล้วัดบางว้าใหญ่ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์ และขึ้นยกเป็นพระอารามหลวง และเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชในสมัยรัตนโกสินทร์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ประชุมสังคายนาพระไตรปิฎก ซึ่งอัญเชิญมาจากนครศรีธรรมราชขึ้นที่วัดนี้

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช วัดบางว้าใหญ่อยู่ในพระอุปถัมภ์ของเจ้านายวังหลัง คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดี (สา) พระเชษฐภคินีของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเป็นพระชนนีของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ทรงมีตำหนักที่ประทับอยู่ติดกับวัด และได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดร่วมกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และได้ขุดพบระฆังลูกหนึ่ง ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยทรงสร้างระฆังชดเชยให้วัดบางว้าใหญ่ 5 ลูกไก่

ศิลปกรรม

[แก้]

พระอุโบสถ

[แก้]
พระอุโบสถ วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร

สร้างขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นทรงแบบไทยประเพณีที่สืบทอดรูปแบบมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เครื่องหลังคาเป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้องลดมีจำนวนชั้นซ้อนหลังคา 3 ซ้อน มีจำนวนตับหลังคา 4 ตับ ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ มีมุขโถงด้านหน้าและหลัง มีเสารับมุขทรงเหลี่ยมทึบตันไม่ย่อมุม ไม่ประดับบัวหัวเสาตามรูปแบบที่นิยมในสมัยรัชกาลที่ 3 มีคันทวยรอบรับชายคา คันทวยมีขนาดใหญ่เป็นไม้แกะสลักลงรักปิดทอง บริเวณมุขด้านหน้าและหลังทำปีกนกคลุมมุขอยู่ในระยะไขราหน้าจั่ว หน้าบันแบ่งเป็น 2 ชั้น หน้าบันชั้นบนเป็นไม้แกะสลักจำหลักลายพระนารายณ์ทรงครุฑประดับลายกระหนกก้านขดลงรักปิดทองประดับกระจก หน้าบันชั้นล่างเจาะเป็นช่องหน้าต่าง 2 ช่อง แต่ไม่สามารถเปิดได้เป็นเพียงงานประดับ ซุ้มประตู - หน้าต่าง รอบพระอุโบสถทำเป็นทรงบรรพแถลง เว้นประตูกลางด้านหน้าทำเป็นซุ้มทรงปราสาท บานประตูหน้าต่างด้านนอกเขียนลายรดน้ำรูประฆัง ด้านในเขียนภาพทวารบาลยืนแท่นระบายสี บริเวณฝาผนังภายในพระอุโบสถโดยรอบเขียนภาพจิตรกรรมเทพชุมนุมและทศชาติชาดก ผนังด้านหน้าพระประธานเขียนเป็นภาพพระพุทธเจ้าแสดงยมกปาฏิหาริย์ก่อนเสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และตอนเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ด้านหลังพระประธานเขียนภาพพระมาลัยขณะขึ้นไปนมัสการพระมหาจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เบื้องล่างเขียนภาพสัตว์นรกในอาการต่างๆ เขียนโดย พระวรรณวาดวิจิตร (ทอง จารุวิจิตร) จิตรกรเอกในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อราว พ.ศ. 2465 ครั้งมีการบูรณะซ่อมแซมพระอุโบสถ[1]

พระประธานในพระอุโบสถ ( พระประธานยิ้มรับฟ้า )

[แก้]
พระประธานยิ้มรับฟ้า

พระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หล่อด้วยสำริดลงรักปิดทอง ไม่มีประวัติการสร้างและไม่ปรากฏพระนาม แต่ผู้คนทั่วไปเรียกพระประธานองค์นี้ว่า "พระประธานยิ้มรับฟ้า" มีที่มาจากพระราชดำรัสของรัชกาลที่ 5 ที่รับสั่งว่า "ไปวัดไหนไม่เหมือนวัดระฆัง พระประธานยิ้มรับฟ้าทุกทีไป" ลักษณะพุทธศิลป์ของพระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ พระพักตร์ค่อนข้างเหลี่ยม ขมวดพระเกศาเล็ก พระรัศมีเป็นเปลวสูง พระขนงโก่ง ระหว่างเส้นขอบพระเนตรกับพระขนงป้ายเป็นแผ่น คล้ายกับพระพุทธรูปในสมัยอยุธยาตอนกลางและตอนปลาย พระโอษฐ์กว้าง แย้มพระโอษฐ์ จึงได้รับการเรียกว่าพระประธานยิ้มรับฟ้า ชายผ้าสังฆาฏิเป็นริ้วซ้อนกัน มีส่วนโค้งบรรจบกันเป็นวงแหลมรูปกลีบบัว คล้ายกับพระพุทธรูปที่พบในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง แต่สังฆาฏิมีขนาดใหญ่และอยู่กึ่งกลางพระวรกายอันเป็นรูปแบบของพระพุทธรูปในสมัยรัตรโกสินทร์ แต่โดยรวมแล้วยังคงลักษณะที่ใกล้เคียงกับพระพุทธรูปในสมัยอยุธยาตอนปลาย ด้านบนประดับพระเศวตฉัตร 9 ชั้น[2]

พระวิหาร (พระอุโบสถหลังเก่า)

[แก้]
พระวิหาร

พระวิหารเป็นพระอุโบสถหลังเดิมที่สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นอาคารที่มีขนาดเล็กแบบไทยประเพณี หลังคาเป็นเครื่องไม้ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ช่อฟ้าประดับเป็นปูนปั้นรูปเศียรนาค เครื่องลำยองรวมถึงหางหงส์เป็นงานปูนปั้นคงได้รับการบูรณะในสมัยหลัง มีจำนวนชั้นซ้อนหลังคา 2 ซ้อน มีจำนวนตับหลังคา 3 ตับ หน้าบันเป็นหน้าบันก่ออิฐถือปูน แบ่งเป็น 2 ชั้น หน้าบันชั้นบนเป็นปูนปั้นประดับกระเบื้องรูปพรรณพฤกษาซึ่งคงได้รับการบูรณะในสมัยหลัง หน้าบันชั้นล่างทำเป็นปูนปั้นเสาประดับ 2 เสา มีบัวหัวเสาเป็นรูปบัวแวง มีมุขโถงด้านหน้า-หลัง มีเสารับมุขทรงเหลี่ยมทึบตันไม่ย่อมุม ไม่ประดับบัวหัวเสาไม่ประดับคันทวย ซุ้มประตู-หน้าต่างทำเป็นปูนปั้นทรงโค้งแบบศิลปะเปอร์เซียร์ ด้วยเหตุที่พระอุโบสถเก่านี้มีขนาดเล็ก ไม่เหมาะกับการสังฆกรรมในช่วงเวลาที่วัดได้รับการสถาปนาใหม่แล้วจึงได้มีการสร้างพระอุโบสถขึ้นใหม่ด้านทิศเหนือในรัชกาลที่ 3[3]

เจดีย์ประธานทรงปรางค์

[แก้]
พระปรางค์

เจดีย์ประธานของวัดเป็นเจดีย์ทรงปรางค์ ตั้งอยู่บริเวณหน้าพระวิหาร ด้านข้างพระอุโบสถ รัชกาลที่ 1 มีพระราชศรัทธาสร้างพระปรางค์ พระราชทานร่วมกุศลกับสมเด็จพระพี่นางพระองค์ใหญ่ (สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง กรมพระเทพสุดาวดี พระนามเดิม สา) ได้รับการยกย่องจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ว่า เป็นพระปรางค์ที่ทำถูกแบบที่สุดในประเทศไทย พระปรางค์องค์นี้จัดเป็นพระปรางค์แบบ สถาปัตยกรรมรัตนโกสินทร์ยุคต้น ที่มีทรวดทรงงดงามมาก จนยึดถือเป็นแบบฉบับของพระปรางค์ที่สร้างในยุคต่อมา รูปแบบของเจดีย์ประกอบไปด้วยส่วนฐานมีฐานประทักษิณเป็นรูปแบบฐานสิงห์ 1 ชั้น ถัดขึ้นไปเป็นฐานบัวคว่ำ-บัวหงายรองรับฐานสิงห์ชั้นที่ 1 ถัดไปเป็นชั้นฐานบัวลูกแก้วอกไก่และฐานสิงห์ชั้นที่ 2 รองรับเรือนธาตุ ฐานทั้งหมดอยู่ในผังย่อมุมไม้ 36 ถัดขึ้นไปเป็นส่วนเรือนธาตุ มีซุ้มจรนำทั้ง 4 ด้าน ภายในซุ้มทุกด้านประดิษฐานพระพุทธรูปยืนพนมมือ ถัดขึ้นไปเป็นส่วนยอดประกอบไปด้วยชั้นเชิงบาตร ประดับประติมากรรมครุฑแบกทั้ง 4 ทิศ และโดยรอบประดับประติมากรรมอสูรถือกระบอง ส่วนยอดเป็นทรงพุ่ม ป้อมเตี้ย เป็นเรือนชั้นซ้อนชั้น 5 ชั้น ประดับช่องวิมาน ซุ้มวิมาน บรรพแถลง ยอดบนสุดประดับนพศูล ซึ่งรูปแบบของเจดีย์ประธานวัดระฆังนี้ยังมีรูปแบบที่ใกล้เคียงกับเจดีย์ทรงปรางค์ในสมัยศิลปะอยุธยา[4]

หอพระไตรปิฎก

[แก้]
หอพระไตรปิฎก

เป็นรูปเรือน 3 หลังแฝด หอด้านใต้ลักษณะเป็นหอนอน หอ กลางเป็นห้องโถง หอด้านเหนือเข้าใจว่าเป็นห้องรับแขก ของเดิมเป็นหลังคามุงจาก ได้เปลี่ยนเป็นมุงกระเบื้อง ชายคาเป็นรูปเทพพนมเรียงรายเป็นระยะๆ เปลี่ยนฝาสำหรวดไม้ขัดแตะเสียบกระแชงเป็นขัดด้วยหน้ากระดานไม้สักระหว่างลูกสกล ใช้แผ่นกระดานไม้สักเลียบฝาภายในแล้วเขียนรูปภาพต่าง ๆ บานประตูด้านใต้เขียนลายรดน้ำ บานประตูหอกลางด้านตะวันออกแกะเป็นลายกนกวายุภักษ์ ประกอบด้วยกนกเครือเถา บานซุ้มประตูนอกชานแกะเป็นมังกรลายกนกดอกไม้ภายนอกติดคันทวยสวยงาม ภายในมีตู้พระไตรปิฎกขนาดใหญ่เขียนลายรดน้ำ 2 ตู้ ประดิษฐานไว้ในหอด้านเหนือ 1 ตู้ หอด้านใต้ 1 ตู้ หอพระไตรปิฎกนี้ตั้งอยู่ภายในเขตพุทธาวาส ทิศใต้ของพระอุโบสถ

หอระฆัง

[แก้]
หอระฆัง

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้สืบถามเรื่องระฆังของวัดบางหว้าใหญ่ซึ่งเป็นระฆังที่มีเสียงไพเราะยิ่งนัก ที่ขุดได้ในวัดนั้นว่าขุดได้ ณ ที่ใด ทรงขอระฆังเสียงดีลูกนั้นไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม จึงทรงสร้างหอระฆังพร้อมพระราชทานระฆัง 5 ใบไว้แทนใบเดิม เพราะเหตุแห่งการขุดระฆังได้ จึงได้ชื่อตามที่ประชาชนเรียกว่า วัดระฆัง ตั้งแต่นั้นมา ลักษณะโดยรวมของหอระฆังคือ คือ เป็นหอระฆังแบบจตุรมุขยกฐานสูง ตรงกลาง 1 และที่มุขทั้ง 4 ด้านละ 1 ใบ มีหลังคาแบบไทยประเพณี คือเป็นหลังคาจั่วซ้อนชั้น 2 ซ้อน ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันเป็นไม้แกะสลักรูปเทพพนม ล้อมด้วยลายกระหนกก้านขดลงรักปิดทองประดับกระจก ประดับบัวหัวเสาเป็นรูปบัวแวง มีคันทวยรับชายคา[5]

พระเจดีย์สามองค์

[แก้]

สร้างโดยเจ้านายวังหลัง 3 องค์ คือ กรมหมื่นนราเทเวศร์ (พระองค์เจ้าชายปาล ต้นสกุล ปาลกะวงศ์) กรมหมื่นนเรศร์โยธี (พระองค์เจ้าชายบัว) และกรมหมื่นเสนีย์บริรักษ์ (พระองค์เจ้าชายแดง ต้นสกุล เสนีวงศ์) สร้างโดยเสด็จพระราชกุศลในรัชกาลที่ 3 เมื่อคราวสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ เป็นเจดีย์ที่มีรูปแบบและขนาดเดียวกัน เป็นเจดีย์ทรงเครื่อง อยู่ในผังย่อมุมไม้ 20 มีฐานประทักษิณเตี้ยๆ 1 ฐาน ถัดขึ้นไปเป็นฐานเขียง 1 ชั้น รองรับชุดฐานสิงห์ 3 ชั้น ถัดไปเป็นบัวทรงคลุ่มรองรับองค์ระฆัง ต่อด้วยองค์ระฆัง บัลลังก์ ส่วนยอดเป็นบัวทรงคลุ่มเถา ปลี ลูกแก้ว ปลียอด ประดับส่วนบนสุดด้วยเม็ดน้ำค้างตามลำดับ[6] ตั้งอยู่ด้านทิศเหนือของพระอุโบสถหลังปัจจุบัน

ศาลาการเปรียญ

[แก้]

หอพระไตรปิฎก (คณะ 2)

[แก้]

อยู่หน้าตำหนักแดง ในคณะ 2 เป็นเรือนไม้ฝาปะกน ปิดทอง ทาสีเขียวสด ประตูหน้าต่างเขียนลายรดน้ำสวยงามมาก

สถานที่น่าสนใจภายในวัด

[แก้]

พระวิหารสมเด็จพระพุฒาจารย์โต

[แก้]

เป็นพระวิหารทรงเดียวกับ พระวิหารสมเด็จพระสังฆราช (สี) ตั้งอยู่ตรงข้ามกัน มีเครื่องหมายสำคัญที่หน้าบันทั้งสองข้าง เป็นรูปพัดยศจารึกอักษรไว้ว่า “พระวิหารสมเด็จ ๒๕๐๓” เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อสมเด็จพระราชาคณะของวัดนี้ 3 องค์ ได้แก่

  • สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ซึ่งรู้จักกันดีในนาม “สมเด็จโต” หรือ “หลวงพ่อโต” พระเถระผู้แตกฉานในพระไตรปิฎก และทรงคุณทางวิปัสสนาธุระ
  • สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ม.จ.ทัด เสรีวงศ์) เป็นพระเถระที่มีพระเกียรติคุณปรากฏอีกองค์หนึ่งในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงได้รับการถวายเจ้านายโดยเฉพาะ เป็นเหตุให้พระเครื่องที่ทรงทำร่วมกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ผู้เป็นอาจารย์ ได้รับขนานนามว่า “สมเด็จปิลันทน์” และมีชื่อเสียงควบคู่กันมา
  • สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว. เจริญ อิศรางกูร) ผู้มีชื่อเสียงในทางเทศนาวิธีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเชี่ยวชาญการเทศน์มหาชาติทั้ง 13 กัณฑ์ ได้เป็นเปรียญ ๓ ประโยคตั้งแต่ยังเป็นสามเณร หรือมีอายุได้ 14 ปี เท่านั้น และสำเร็จเป็นเปรียญ 8 ประโยค ในเวลาต่อมา เมื่อครั้งเป็นที่พระพิมลธรรม ท่านได้รับพระราชทานสุพรรณบัฏเป็นพิเศษกว่าสมเด็จพระราชาคณะองค์อื่น ๆ และเมื่อมรณภาพ ในรัชกาลที่ 6 ก็ได้รับการพระราชทานเพลิงที่พระเมรุสนามหลวงเป็นเกียรติด้วย

ตั้งอยู่ด้านหน้าพระอุโบสถ หลังคามุงกระเบื้องเคลือบติดคันทวยตามเสาสวยงาม หน้าบันทั้งสองด้าน จำหลักรูปฉัตร 3 ชั้นอันเป็นเครื่องหมายพระยศสมเด็จพระสังฆราช วิหารหลังนี้เดิมหลังคาเป้นทรงปั้นหยา เรียกว่าศาลาเปลื้องเครื่อง พระราชธรรมภาณี (ละมูล) ได้เปลี่ยนเป็นหลังคาทรงไทยมีช่อฟ้าใบระกา หางหงส์ เมื่อ พ.ศ. 2504 เพื่อประดิษฐานพระอัฐิสมเด็จพระสังฆราช (สี) ซึ่งเดิมบรรจุอยู่ในรูปพระศรีอาริยเมตไตรย ประดิษฐานในซุ้มพระปรางค์ของวัดระฆัง ต่อมาได้ย้ายมาประดิษฐานที่พระวิหารที่ปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ เพื่อยกย่องพระเกียรติของพระองค์

พิพิธภัณฑ์วัดระฆังโฆสิตาราม (อาคารเฉลิมพระเกียรติริมแม่น้ำเจ้าพระยา)

[แก้]

ลำดับเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม

[แก้]

วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีมาจนถึงยุคปัจจุบันนี้ มีอธิบดีสงฆ์ปกครองวัดมาแล้ว 12 รูปด้วยกัน ดังนี้

ลำดับ เจ้าอาวาส วาระ (พ.ศ.)
1. สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) 2312 — 2337
2. พระพนรัตน (นาค) 2337 — ?
3. พระพุฒาจารย์ (อยู่) ? — ?
4. สมเด็จพระพนรัตน (ทองดี) ? — ?
5 สมเด็จพระพนรัตน (ฤกษ์) ? — ?
6. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) 2395 — 2415
7. หม่อมเจ้าพระสมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัด) 2415 — 2437
8. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (หม่อมราชวงศ์เจริญ ญาณฉนฺโท) 2437 — 2470
9. พระเทพสิทธินายก (นาค โสภโณ) 2470 — 2514
10. พระเทพญาณเวที (ละมูล สุตาคโม) 2515 — 2530
11. พระเทพประสิทธิคุณ (ผัน ติสฺสโร)[7] 2532 — 2550
12. พระธรรมธีรราชมหามุนี (เที่ยง อคฺคธมฺโม) 2550 — 2564
13. พระเทพประสิทธิคุณ (ประจวบ ขนฺติธโร) 19 กุมภาพันธ์ 2565 - ปัจจุบัน

อ้างอิง

[แก้]
  1. ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 634-636
  2. ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 637-638
  3. ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 633-634
  4. ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 631-633
  5. ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 641
  6. ศักดิ์ชัย สายสิงห์, คู่มือนำชม ๓๓ พระอารามหลวงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, 2566), 641-642
  7. พระเทพประสิทธิคุณ (ผัน ติสฺสโร)

ดูเพิ่ม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]

13°45′10″N 100°29′08″E / 13.752683°N 100.485485°E / 13.752683; 100.485485