พระมหากัสสปะ
| พระมหากัสสปะ | |
|---|---|
พระมหากัสสปะกระทำอัญชลีก่อนถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ พระพุทธรูปในวัดอินทารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร | |
| ข้อมูลทั่วไป | |
| ชื่อเดิม | ปิปผลิ |
| สถานที่เกิด | หมู่บ้านมหาติตถะ แคว้นมคธ |
| สถานที่บวช | ต้นไทรพหุปุตตนิโครธ ระหว่างเมืองราชคฤห์ กับนาลันทา |
| วิธีบวช | โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทา |
| สถานที่บรรลุธรรม | พหุปุตตเจดีย์ |
| เอตทัคคะ | ผู้ทรงธุดงควัตร |
| อาจารย์ | พระโคตมพุทธเจ้า |
| สถานที่นิพพาน | เขากุกกุฏสัมปาต |
| ฐานะเดิม | |
| บิดา | กปิลพราหมณ์ |
| วรรณะเดิม | พราหมณ์ |
| สถานที่รำลึก | |
| สถานที่ | ประตูถ้ำสัตตบรรณคูหาข้างภูเขาเวภาระ กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ สถานที่ทำสังคายนาครั้งแรก |
พระมหากัสสปะ เป็นพระอรหันต์สาวกองค์หนึ่งของพระโคตมพุทธเจ้า เป็นเอตทัคคะที่ทรงยกย่องและให้ถือเป็นแบบอย่างในด้านผู้ทรงธุดงค์และสรรเสริญคุณแห่งธุดงค์[1] ภายหลังที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ท่านได้เป็นประธานในการสังคายนาครั้งที่หนึ่งในศาสนาพุทธ
ประวัติ
ก่อนบวช
พระมหากัสสปะมีนามว่า ปิปผลิ เป็นบุตรของกปิลพราหมณ์ เกิดที่หมู่บ้านมหาติตถะ แคว้นมคธ เมื่ออายุเข้าย่างสู่ 20 ปี มารดาบิดาของท่านรบเร้าให้ท่านแต่งงาน ท่านปฏิเสธเพราะตั้งใจว่าเมื่อดูแลมารดาบิดาจนทั้งสองเสียชีวิตแล้วก็จะออกบวช แต่มารดาบิดาของท่านยังยืนยันให้ท่านแต่งงานเพื่อดำรงวงศ์ตระกูล ปิปผลิจึงจ้างช่างหล่อทองคำเป็นรูปหญิงสาว ประดับด้วยผ้านุ่งสีแดง ดอกไม้ และเครื่องประดับต่าง ๆ แล้วบอกมารดาว่าถ้าหาหญิงสาวลักษณะตามรูปปั้นนี้ได้จึงจะยอมแต่งงาน มารดาของท่านจึงให้พราหมณ์ 8 คนนำรูปหล่อไปตามหาหญิงสาวที่มีลักษณะตามนั้น เมื่อได้พบนางภัททากาปิลานี จึงแจ้งให้กบิลพราหมณ์ทราบ ทั้งปิปผลิและภัททาต่างไม่อยากแต่งงานจึงแอบส่งจดหมายขอให้อีกฝ่ายหาคู่ครองใหม่ แต่คนถือจดหมายได้แปลงข้อความในจดหมาย ทั้งสองจึงได้แต่งงานกันในที่สุด[2]
ออกบวช
วันหนึ่ง ปิปผลิไปตรวจนาเห็นฝูงนกจิกกินไส้เดือน จึงถามบริวารว่าบาปของสัตว์พวกนั้นตกแก่ใคร บริวารว่าตกแก่ท่านปิปผลิ ท่านสังเวชใจว่าถ้าอกุศลกรรมแบบนี้ตกแก่ท่านแล้ว ถึงเวียนว่ายตายเกิดสักพันชาติก็คงไม่พ้นทุกข์ กลับถึงบ้านแล้วจึงบอกภรรยาว่าจะออกบวช ภรรยาของท่านก็จะออกบวชเช่นกัน ทั้งสองปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสายะ ตั้งใจออกบวชเพื่ออุทิศพระอรหันต์ในโลก[3] แล้วออกจากไปจนถึงทางแยกก็แยกกันเดินทาง ขณะที่แยกทางกันนั้นก็เกิดแผ่นดินไหว[2]
บรรลุอรหัตผล
หลังจากบวชได้ครบ 7 วัน เข้าวันที่ 8 พระมหากัสสปะก็พบพระพุทธเจ้าขณะประทับที่พหุปุตตเจดีย์ พระองค์ประทานโอวาทแก่ท่าน 3 ข้อ คือ[3]
- มีหิริและโอตตัปปะอย่างแรงกล้าในภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเถระ ผู้เป็นนวกะ และผู้เป็นมัชฌิมะ
- ฟังธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งประกอบด้วยกุศล จักกระทำธรรมนั้นทั้งหมดให้เป็นประโยชน์ มนสิการถึงธรรมนั้นทั้งหมด จักประมวลจิตมาทั้งหมด เงี่ยโสตสดับธรรม
- ไม่ละกายคตาสติที่ประกอบด้วยความยินดี
พระมหากัสสปะฟังแล้วก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ จากนั้นท่านนำผ้าสังฆาฏิของตนปูถวายพระพุทธเจ้าให้ทรงประทับนั่ง พระพุทธเจ้าจึงประทานผ้าป่านบังสุกุลให้ท่านใช้แทน ขณะนั้นแผ่นดินก็ไหวขึ้นเพราะไม่เคยมีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะประทานจีวรที่ทรงใช้แล้วแก่พระสาวก[2] พระมหากัสสปะประทับใจมากด้วยระลึกว่าท่านเป็น "บุตรของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เกิดแต่อก เกิดแต่พระโอษฐ์ เกิดแต่พระธรรม อันพระธรรมเนรมิตแล้ว เป็นธรรมทายาท ได้รับผ้าป่านบังสุกุลที่ใช้สอยแล้ว"[3]
เกล็ดเล็กเกล็ดน้อยในประวัติของท่านกัสสปะ
ในคัมภีร์อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทานนันทวรรคที่ ๓ โลกสูตร
ซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ที่ พระมหากัสสปะเถระ ได้ใช้ จุตูปปาตญาณ ซึ่งเป็นญาณที่สามารถรู้การจุติและอุบัติเกิดขึ้นของสัตว์โลกคือรู้ความเป็นไปต่างๆของสัตว์โลกทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิดได้ เพราะเป็นญาณที่หยั่งรู้ในวิบากแห่งกรรมของสรรพสัตว์ สามารถรู้อดีตและอนาคตรวมถึงสามารถแก้ไขอนาคตด้วยการกระทำสร้างเหตุในปัจจุบันได้บ้างด้วยสามารถแห่งความเข้าใจในกฎแห่งกรรมอย่างแท้จริง
ซึ่งจุตูปปาตญาณเป็นญาณในวิชชา 3 หรือ เตวิชโช พระอรหันต์ที่บรรลุด้วยการเจริญวิปัสสนาและถือธุดงค์มาหลายภพชาติ จะบรรลุวิชชา 3 นี่ แม้พระมหากัสสปะจะเป็นพระอรหันต์ประเภทปฏิสัมภิทา แต่เพราะท่านเป็นเลิศด้านธุดงควัตร จึงมีความเก่งกาจในวิชชา 3 มากที่สุด ( เปรียบเช่นเดียวกับพระโมคคัลลานะเถระที่เป็นพระอรหันต์ประเภทปฏิสัมภิทา แต่ท่านเป็นผู้เป็นเลิศด้านฤทธิ์ เพราะท่านเจริญวิปัสสนาและฌานสมาบัติมาหลายภพชาติ จึงเก่งกาจในอภิญญา 6 )
ซึ่งท่านมหากัสสปะชอบใช้ จุตูปปาตญาณ ดูเรื่องราวเป็นไปของผู้คนเสมอ
ซึ่งตรวจดูการจุติ (ตาย) และปฏิสนธิ (เกิด) ของสัตว์โลก เพื่อต้องการทราบความเป็นไปของสัตว์เหล่านั้น เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำเป็นพระราชกิจในยามเช้ามืด ที่ทรงแผ่ข่ายคือพระญาณ ตรวจดูเวไนยสัตว์ ที่จะทรงไปโปรดในวันนั้น
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบการกระทำของพระมหากัสสปะ ก็ได้ส่งจิตไปตรัสเตือนท่านกัสสปะ โดยมีใจความสำคัญว่า "ดูกร กัสสปะ การตรวจดูการจุติและการเกิดแห่งสัตว์ทั้งหลาย ไม่ใช่หน้าที่ของเธอ" หลังจากนั้น พระมหากัสสปะด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้า จึงปิดการใช้จุตูปปาตญาณ ซึ่งจะเปิดใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น
ดังนั้น จึงเป็นเหตุให้ท่าน ภายหลังสามารถถูกหลอกโดยพระอินทร์และนางสุชาดาที่ปลอมตัวเป็นคนแก่ตายายมาใส่บาตรเมื่อครั้งที่พระมหากัสสปะออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ การไม่ทราบว่ามีเทพธิดามาตอบแทนบุญคุณช่วยกวาดลานกุฏิ ร่วมไปถึงเหตุการณ์สำคัญคือเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ท่านจึงเป็นพระเถระรูปเดียวที่ไม่ทราบและจึงไปช้าถึงเจ็ดวัน
ปฐมสังคายนา

พระมหากัสสปเถระได้ทราบข่าวการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วได้ 7 วัน ขณะที่ท่านกำลังเดินทางอยู่ ณ เมืองปาวาพร้อมด้วยหมู่ศิษย์จำนวนมาก เมื่อได้ทราบข่าวนั้น เหล่าศิษย์ของพระมหากัสสปะซึ่งยังเป็นปุถุชนอยู่ ได้ร้องไห้คร่ำครวญกัน ณ ที่นั้น จึงมีพระภิกษุผู้บวชเมื่อแก่รูปหนึ่ง ชื่อว่าสุภัททะ ได้กล่าวขึ้นว่า "พอทีเถิด พวกท่านอย่าโศกเศร้า อย่าคร่ำครวญเลย พวกเรารอดพ้นดีแล้วจากพระมหาสมณะรูปนั้นที่คอยจ้ำจี้จ้ำไชพวกเราอยู่ว่า ‘สิ่งนี้ควรแก่พวกเธอ สิ่งนี้ไม่ควรแก่พวกเธอ’ บัดนี้ พวกเราปรารถนาสิ่งใด ก็จักทำสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใด ก็จักไม่ทำสิ่งนั้น"[4] พระมหากัสสปะได้ฟังเช่นนั้นก็ดำริขึ้นว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานเพียง 7 วัน ก็มีผู้คิดที่จะทำให้เกิดความแปรปรวน หรือประพฤติปฏิบัติให้วิปริตไปจากพระธรรมวินัยเช่นนี้ จึงควรจะทำสังคายนาและจะชักชวนพระอรหันต์เถระทั้งหลาย ซึ่งล้วนทันเห็นพระพุทธเจ้า ได้ฟังคำสอนของพระองค์มาโดยตรง เป็นผู้รู้คำสอนของพระพุทธเจ้า และได้อยู่ในหมู่สาวกที่เคยสนทนาตรวจสอบกันอยู่เสมอ รู้ว่าสิ่งใดที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้มาประชุมกัน เพื่อช่วยกันแสดง ถ่ายทอด รวบรวม ประมวลคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วตกลงวางมติไว้ ใช้เวลา 7 เดือน พระเจ้าอชาตศัตรู เป็นผู้อุปถัมภ์
การสังคายนาครั้งที่หนึ่งในศาสนาพุทธจึงได้จัดขึ้นที่ถ้ำสัตบรรณคูหา กรุงราชคฤห์ ตามคำปรารภของพระมหากัสสปะเถระ โดยมีพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นองค์อุปถัมภ์ ใช้เวลาในการสังคายนารวบรวมพระธรรมวินัยอยู่ 7 เดือนจึงแล้วเสร็จ โดยในครั้งนั้น พระมหากัสสปะเถระเป็นประธานทำสังคายนา พระอานนท์เป็นองค์วิสัชชนาแสดงพระธรรม พระอุบาลีเป็นองค์วิสัชชนาพระวินัยปิฎก การสังคายนาครั้งนั้นนับเป็นต้นกำเนิดของพระไตรปิฎกภาษาบาลีที่ใช้ในนิกายเถรวาทในปัจจุบัน
อ้างอิง
- เชิงอรรถ
- ↑ ปฐมวรรค, พระสุตตัตนตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกกนิบาต ๑๔. เอตทัคควรรค ๑. ปฐมวรรค
- 1 2 3 อรรถกถาสูตรที่ ๔ ประวัติพระมหากัสสปเถระ, อรรถกถาอังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี วรรคที่ ๑
- 1 2 3 จีวรสูตร, พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค [๕. กัสสปสังยุต]
- ↑ สังคีตินิทาน, พระวินัยปืฎก จูฬวรรค [๑๑. ปัญจสติก ขันธกะ] ๑. สังคีตินิทาน ๑๑. ปัญจกสติกขันธกะ
- บรรณานุกรม
- พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
| ก่อนหน้า | พระมหากัสสปะ | ถัดไป | ||
|---|---|---|---|---|
| — | ประธานการสังคายนาครั้งที่ 1 |
พระเรวตเถระ ประธานการสังคายนาครั้งที่ 2 |