อุบาสก

อุบาสก (บาลี: उपासक, upāsaka; สันสกฤต: उपासक, upāsaka) แปลว่า ผู้นั่งใกล้พระรัตนตรัย หมายถึงผู้ใกล้ชิดพระพุทธศาสนา ผู้นับถือศาสนาอย่างมั่นคง ถ้าเป็นหญิง ใช้ว่า อุบาสิกา (उपासिका, upāsikā) มาจากคำบาลี-สันสกฤต แปลว่า "ผู้ดูแล"[1] ใช้เป็นคำนำหน้าสำหรับพุทธศาสนิกชน ที่มิใช่ภิกษุ ภิกษุณี สามเณร หรือนักพรตทรงศีลอื่น ๆ[2] ใช้เรียกชายหญิงที่รักษาอุโบสถศีลโดยค้างคืนที่วัดในวันพระก็มี ในยุคพุทธกาล ปรากฏอุบาสกผู้มีชื่อเสียง คือ อนาถบิณฑิกเศรษฐี ส่วนอุบาสิกาที่มีชื่อเสียง เช่น สุชาดา และขุชชุตตรา เป็นต้น
ปัจจุบันคำว่าอุบาสก/อุบาสิกา จะใช้เรียกผู้ที่มีศรัทธาแรงกล้าในพระพุทธศาสนา หรือผู้ที่ปฏิบัติตนตามหลักพุทธธรรมอย่างเคร่งครัด[3] อุบาสกผู้เรียนรู้และเข้าใจถึงคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถปฏิบัติตนตามหลักธรรมได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งมีความรู้เพียงพอที่จะเผยแผ่หลักธรรมได้กว้างขวางดำรงต่อไปกาลนาน เพื่อเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่มนุษย์ทั้งหลาย สนับสนุนให้ภิกษุและภิกษุณีทำหน้าที่ของตนไปได้ด้วยดี[4]
กล่าวโดยสรุปคือ อุบาสก คือผู้มีศรัทธาในพระรัตนตรัย เป็นผู้มีศีล เชื่อกรรม ไม่เชื่อมงคลตื่นข่าว ไม่แสวงหาเขตนาบุญนอกพระศาสนา และให้การสนับสนุนทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา[4]
อุบาสก เรียกกร่อนไปว่า ประสก คำว่า อุบาสิกา เรียกกร่อนไปว่า สีกา ก็มี
ประวัติ
[แก้]อุบาสก และอุบาสิกา คือ สาวกกลุ่มหนึ่งในศาสนาพุทธ ในฐานะผู้อุปถัมภ์พระศาสนา คือคฤหัสถ์หรือผู้ครองเรือน ที่ประกาศขอถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก[5] โดยอุบาสกคู่แรกในพระพุทธศาสนา คือ ตปุสสะและภัลลิกะ ทั้งสองเป็นพ่อค้า ได้นำสัตตุก้อนและสัตตุผง ซึ่งเป็นเสบียงทาง ไปถวายแก่พระผู้มีพระภาคใต้ต้นเกด เมื่อถวายแล้ว ทั้งสองได้ถวายตัวเป็นอุบาสกตลอดชีวิต[6] อุบาสกสองคนนี้ ถูกเรียกว่า เทฺววาจิกะ [อ่าน ทะเววาจิกะ] แปลว่า "ผู้มีวาจา 2" คือ ผู้เปล่งวาจาระบุรัตนะ 2 รัตนะ คือ นับถือพระพุทธเจ้า และพระธรรม เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก เพราะศาสนาพุทธในยุคแรกเริ่มนั้นยังไม่มีพระภิกษุ[5]
ในเวลาต่อมา เมื่อมีภิกษุเป็นพุทธบริษัทเพิ่มขึ้น อุบาสกผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา จะเปล่งวาจาขอถึงพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก เรียกอุบาสกนี้ว่า เตวาวาจิกะ แปละว่า "ผู้มีวาจา 3" คือ ผู้เปล่งวาจาระบุรัตนะ 3 รัตนะ คือ นับถือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก[5] โดยมีบิดาของพระยสะ เป็น เตวาวาจิกอุปาสก คนแรก[5] มีนางสุชาดา และภริยาเก่าของพระยสะ เป็น เตวาวาจิกอุปาสิกา คู่แรก[5]
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระบุถึงอาชีพที่อุบาสกห้ามประกอบกิจ ได้แก่ การค้าขายอาวุธ การค้าขายสิ่งมีชีวิตรวมทั้งมนุษย์ การค้าขายเนื้อสัตว์ การค้าขายของมึนเมา และการค้าขายยาพิษ[5]
ในพระคัมภีร์
[แก้]

ชีวกสูตร ระบุถึงการสนทนาระหว่างชีวกโกมารภัจจ์กับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า[7] โดยชีวกกล่าวว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไรหนอ บุคคลชื่อว่าเป็นอุบาสก"[8][9] สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสตอบไปว่า
"ดูกรชีวก เมื่อใดแลบุคคลถึงพระพุทธเจ้า ถึงพระธรรม ถึงพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล ชื่อว่าเป็นอุบาสก ฯ"[8]
กล่าวคืออุบาสกคือผู้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง[10]
นอกจากนี้ ชีวกสูตร ยังระบุบทสนทนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับชีวก ถึงหน้าที่ของอุบาสก ว่าคือผู้ที่ดำรงตนอยู่ในศีล คือเว้นจากการฆ่า และไม่เสพสิ่งมัวเมาอันเหตุแห่งความประมาท ความว่า
"ดูกรชีวก เมื่อใดแล อุบาสกงดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล อุบาสกชื่อว่าเป็นผู้มีศีล ฯ"[8]
สอดคล้องกับ มหานามสูตร ซึ่งเป็นบทสนทนาระหว่างสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระเจ้ามหานามะ ซี่งพระเจ้ามหานามะทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ. ด้วยเหตุเพียงเท่าไร อุบาสกจึงจะชื่อว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล." สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสตอบไปว่า
"ดูกรมหานาม เมื่อใดแล อุบาสกงดเว้นจากปาณาติบาต งดเว้นจากอทินนาทาน งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร งดเว้นจากมุสาวาท งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้ อุบาสกชื่อว่า เป็นผู้มีศีล ฯ"[11]
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสถึงหน้าที่ของอุบาสก ปรากฏใน ชีวกสูตร และ มหานามสูตร ไว้ตรงกันว่า อุบาสกเป็นผู้ศรัทธาที่ชี้ชวนให้ผู้อื่นศรัทธา เป็นผู้ทรงศีลที่ชี้ชวนให้ผู้คนมีศีล เป็นผู้เสียสละ (จาคะ) ที่ชี้ชวนให้ผู้อื่นเสียสละ เป็นผู้ที่ใคร่เห็นภิกษุที่ชักชวนให้ผู้อื่นเห็นภิกษุ เป็นผู้ที่ฟังธรรม จำธรรม และปฏิบัติธรรม ที่ชี้ชวนให้ผู้อื่นฟังธรรม จำธรรม และปฏิบัติธรรม[8][11] โดยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวทิ้งท้ายในพระสูตรทั้งสองไว้ว่า "...อุบาสกชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตนและเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ฯ"[8][11]
ศีล
[แก้]อุบาสกพึงยึดถือ เบญจศีล หรือ ศีล 5 ให้บริสุทธิ์ มีองค์ประกอบดังนี้[12]
| ลำดับที่ | คำสมาทาน | คำแปล |
|---|---|---|
| 1. ปาณาติบาต | ปาณาติปาตา เวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ | เราจักถือศีลโดยเว้นจากการเบียดเบียนชีวิต |
| 2. อทินนาทาน | อทินฺนาทานา เวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ | เราจักถือศีลโดยเว้นจากการเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ |
| 3. กาเมสุมิจฉาจาร | กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ | เราจักถือศีลโดยเว้นจากการประพฤติผิดในกาม |
| 4. มุสาวาท | มุสาวาทา เวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ | เราจักถือศีลโดยเว้นจากการกล่าวเท็จ |
| 5. สุราเมรยมัชปมาทัฏฐาน | สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ | เราจักถือศีลโดยเว้นจากการบริโภคสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท |
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวถึงคุณสมบัติของผู้ที่ปฏิบัติตนตามศีลทั้งห้าข้อไว้ใน มหาปรินิพพานสูตร ไว้ ความว่า[13]
"....ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย อานิสงส์แห่งศีลสมบัติของคนมีศีล 5 ประการเหล่านี้ 5 ประการเป็นไฉน
ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย คนมีศีล ถึงพร้อมแล้วด้วยศีล ย่อมได้รับกองโภคะใหญ่ อันมีความไม่ประมาทเป็นเหตุ อันนี้เป็นอานิสงส์ข้อที่หนึ่งแห่งศีลสมบัติของคนมีศีล ฯ
อีกข้อหนึ่ง กิตติศัพท์อันงามของคนมีศีล ถึงพร้อมแล้วด้วยศีล ย่อมขจรไป อันนี้เป็นอานิสงส์ข้อที่สอง แห่งศีลสมบัติของคนมีศีล ฯ
อีกข้อหนึ่ง คนมีศีล ถึงพร้อมแล้วด้วยศีล จะเข้าไปสู่บริษัทใดๆ คือขัตติยบริษัท พราหมณบริษัท คฤหบดีบริษัท หรือสมณบริษัท ย่อมองอาจไม่เก้อเขิน อันนี้เป็นอานิสงส์ข้อที่สาม แห่งศีลสมบัติของคนมีศีล ฯ
อีกข้อหนึ่ง คนมีศีล ถึงพร้อมแล้วด้วยศีล ย่อมไม่หลงทำกาละ อันนี้เป็นอานิสงส์ข้อที่สี่ แห่งศีลสมบัติของคนมีศีล ฯ
อีกข้อหนึ่ง คนมีศีล ถึงพร้อมแล้วด้วยศีล เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ อันนี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ห้า แห่งศีลสมบัติของคนมีศีล ฯ
ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย อานิสงส์แห่งศีลสมบัติของคนมีศีล 5 ประการเหล่านี้แล ฯ
ในคตินิกายเถรวาท อุบาสกที่เคร่งครัดจะรับ อัฏฐศีล หรือ ศีล 8 จากพระภิกษุในวันอุโบสถ[14] ซึ่งธรรมเนียมนี้ยังแพร่หลายในกลุ่มพุทธศาสนิกชนจีน[15] และยังคงจารีตนี้ไว้จนถึงปัจจุบัน[16] โดยศีล 8 เป็นศีลที่ฆราวาสยึดถือปฏิบัติในวันอุโบสถ หรือวันสำคัญทางศาสนาอื่น ๆ[15] อัฏฐศีลประกอบไปด้วยศีลทั่วไป เช่น การเว้นจากการเบียดเบียนชีวิต การเว้นจากการกล่าวเท็จ เป็นอาทิ แต่ศีลแปดจะมีการเพิ่มเติมการปฏิบัติเฉพาะเจาะจงเพิ่มขึ้น เช่น การเว้นการใช้เครื่องหอม[17] ซึ่งศีลเหล่านี้มีพื้นฐานมาจากข้อปฏิบัติของสมณะยุคก่อนพุทธกาล[18]
โดยอัฏฐศีล หรือ ศีล 8 ประกอบไปด้วย[19]
| ลำดับที่ | คำสมาทาน | คำแปล |
|---|---|---|
| 1. ปาณาติบาต | ปาณาติปาตา เวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ | เว้นจากการฆ่าสัตว์ |
| 2. อทินนาทาน | อทินฺนาทานา เวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ | เว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ด้วยอาการแห่งขโมย |
| 3. อพรหมจริยา | อพฺรหฺมจริยา เวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ | เว้นจากการประพฤติที่ไม่จัดเป็นพรหมจรรย์ (การมีเพศสัมพันธ์) |
| 4. มุสาวาท | มุสาวาทา เวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ | เว้นจากการพูดเท็จ |
| 5. สุราเมรยมัชปมาทัฏฐาน | สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ | เว้นจากการเสพสุราเมรัยและของมึนเมาอันเป็นเหตุให้ขาดสติ |
| 6. วิกาลโภชนา | วิกาลโภชนา เวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ | เว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล (หลังเที่ยงวันไปจนถึงเช้าวันใหม่) |
| 7. นัจจคีตวาทิตวิสูกทัสสนา มาลาคันธวิเลปนธารณมัณฑนวิภูสนัฏฐานา | นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ | เว้นจากการดูการแสดงคือ การฟ้อนรำ ขับร้อง และการบรรเลงดนตรีอันเป็นข้าศึก (ต่อพรหมจรรย์) รวมทั้งจากการประดับตัว ตกแต่งตัว และทาตัวให้สวยงามด้วยพวงดอกไม้ ของหอม และเครื่องไล้ทา |
| 8. อุจจาสยนมหาสยนา | อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ | เว้นจากการนอนบนที่นอนสูง ที่นอนใหญ่ (คือ เตียง ตั่ง และฟูกอันเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์) |
อัฏฐศีล หรือ ศีลแปด มักกระทำในวันอุโบสถ จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า อุโบสถศีล[20] เป็นการปฏิบัติเพื่อสนับสนุนการทำสมาธิ[21] มุ่งให้จิตใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่านไปตามกามารมณ์ หากแต่ยึดถือนิพพานเป็นอารมณ์[22] ศีลแปดจะมีการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มเติมศีลที่ต่างไปจากเบญจศีล[17] เช่น ศีลข้อที่ 3 ผู้ถือเบญจศีลสามารถมีเพศสัมพันธ์กับคู่ครองของตนเองได้ แต่จะผิดศีลเมื่อไม่ใช่คู่ครองของตน แต่ผู้ถืออัฏฐศีลจะถูกห้ามมิให้มีเพศสัมพันธ์แม้แต่คู่ครองของตนเอง เพราะถือศีลพรหมจรรย์ นอกจากนี้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติให้งดเว้นการกินอาหารในเวลาวิกาล ให้สำรวมตนด้วยการให้งดเว้นจากการดูการแสดงต่าง ๆ ที่เป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ และให้ประกอบความเพียรด้วยการเว้นจากการนอนบนที่นอนที่สุขสบาย[19] ด้วยเหตุนี้อุบาสกที่เคร่งครัดในพระศาสนาจะนุ่งขาวห่มขาวไปสมาทานศีลที่วัด ฟังธรรม และพักอาศัยอยู่ในวัดตามเจตนาของตนเอง[22][23] อุบาสกบางคนที่ไม่สะดวกไปวัด ก็สมาทานศีลได้ด้วยตนเอง โดยการเปล่งวาจาสมาทาน หรือเพียงตั้งจิตว่าประพฤติตามศีลก็ได้[22] ในประเทศไทย อุบาสิกาบางคนถือศีลแปดเป็นอาจิณและครองผ้าขาวอยู่ที่วัด หากแต่มิได้อุปสมบท เรียกว่า แม่ชี[22][24]
ในประเทศจีน เคยมีการปฏิบัติศีลแปดในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 7 ถึง 10 อย่างกว้างขวาง[25] ในยุคปัจจุบันมีการฟื้นฟูธรรมเนียมการถือศีลอย่างต่อเนื่อง[26][27][28]
หลักธรรม
[แก้]อุบาสกธรรม 5
[แก้]

อุบาสก มีหลักธรรมอยู่ 5 ประการ เรียกว่า อุบาสกธรรม 5 หมายถึง ธรรมของอุบาสกที่ดี หรือองค์คุณแห่งอุบาสกอย่างเยี่ยม ประกอบด้วยธรรม 5 ข้อ ดังนี้[29]
- มีศรัทธา
- มีศีล
- ไม่ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อกรรม ไม่เชื่อมงคล คือ มุ่งหวังจากการกระทำและการงาน มิใช่จากโชคลางและสิ่งที่ตื่นกันว่าขลังศักดิ์สิทธิ์
- ไม่แสวงหาทักขิไณย์ภายนอกหลักคำสอนนี้ คือ ไม่แสวงหาเขตบุญนอกหลักพระพุทธศาสนา
- กระทำความสนับสนุนในพระศาสนานี้เป็นเบื้องต้น คือ ขวนขวายในการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา
อุบาสกสามารถกระทำตามธรรมทั้งห้านี้ได้ จะเรียกว่า อุบาสกรัตน์ (คือ อุบาสกแก้ว) หรือ อุบาสกปทุม (คือ อุบาสกดอกบัว)[29]
อุบาสกธรรม 7
[แก้]นอกจากนี้ ยังมีหลักธรรม 7 ประการสำหรับอุบาสก เรียกว่า อุบาสกธรรม 7 หมายถึง ธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญของอุบาสก ประกอบไปด้วยธรรม 7 ข้อ ดังนี้[30]
- ไม่ขาดการเยี่ยมเยือนพบปะพระภิกษุ
- ไม่ละเลยการฟังธรรม
- ศึกษาในอธิศีล
- มากด้วยความเลื่อมใสในภิกษุทั้งหลาย ทั้งที่เป็นเถระ นวกะ และปูนกลาง
- ไม่ฟังธรรมด้วยตั้งใจจะคอยเพ่งโทษติเตียน
- ไม่แสวงหาทักขิไณย์ภายนอกหลักคำสอนนี้
- กระทำความสนับสนุนในพระศาสนานี้เป็นเบื้องต้น คือ ขวนขวายในการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา
ธรรมทั้ง 7 ข้อนี้ เรียกว่า สัมปทาของอุบาสก หรือ สมบัติของอุบาสก[30]
อ้างอิง
[แก้]- เชิงอรรถ
- ↑ Nattier (2003), p. 25, states that the etymology of upāsikā suggests "those who serve" and that the word is best understood as "'lay auxiliary' of the monastic community".
- ↑ Nattier (2003), p. 25, notes: "...[T]he term upāsaka (fem. upāsikā) ... is now increasingly recognized to be not a generic term for supporters of the Buddhist community who happen not to be monks or nuns, but a very precise category designating those lay adherents who have taken on specific vows. ...[T]hese dedicated lay Buddhists did not constitute a free-standing community, but were rather adjunct members of particular monastic organizations."
- ↑ Rhys Davids & Stede (1921-25), p. 150, entry for "Upāsaka," available at ; and, Encyclopædia Britannica (2007), entry for "upasaka," available at http://www.britannica.com/eb/article-9074383/upasaka. Also, see Nattier (2003), p. 25, quoted at length above, for recent scholarship on the Pali term's historical usage.
- 1 2 มณีรัตน์ มีจั่นเพชร และบุญศรี ญาณวุฑโฒ, ผศ. ดร. พระมหา (31 มกราคม 2564). อุบาสกอุบาสิกาต้นแบบในพุทธกาล : มิติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา (PDF). GNMIS 14:(55). p. 195.
- 1 2 3 4 5 6 กนกวรรณ ทองตะโก (1 กรกฎาคม 2553). "อุบาสก อุบาสิกา". ราชบัณฑิตยสภา. สืบค้นเมื่อ 11 สิงหาคม 2568.
{{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=(help) - ↑ "ตปุสสะ ภัลลิกะ". 84000 พระธรรมขันธ์. สืบค้นเมื่อ 11 สิงหาคม 2568.
{{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=(help) - ↑ In this article, regarding the Jivaka Sutta (AN 8.26), English translations are from Thanissaro (1997) while the Pali is from SLTP (undated), 8.1.3.6.
- 1 2 3 4 5 "ชีวกสูตร". พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต. สืบค้นเมื่อ 5 สิงหาคม 2568.
{{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=(help) - ↑ Thanissaro (1997). The Pali is: Kittāvatā nu kho bhante, upāsako hotīti (SLTP 8.1.3.1, undated).
- ↑ The Pali is: Yato kho jīvaka, buddhaṃ saraṇaṃ gato hoti, dhammaṃ saraṇaṃ gato hoti, saṇghaṃ saraṇaṃ gato hoti, ettāvatā kho jīvaka, upāsako hotīti (SLTP 8.1.3.1, undated).
- 1 2 3 "มหานามสูตร". พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต. สืบค้นเมื่อ 6 สิงหาคม 2568.
{{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=(help) - ↑ ราชบัณฑิตยสถาน. (2548). พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. (พิมพ์ครั้งที่ 2, แก้ไขเพิ่มเติม). กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, หน้า 364
- ↑ "มหาปรินิพพานสูตร". พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค. สืบค้นเมื่อ 11 สิงหาคม 2568.
{{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=(help) - ↑ Rhys Davids & Stede (1921-25), pp. 150-1, entry for "Uposatha," available at ; also see: Harvey (1990), p. 192; and Kariyawasam (1995), chapter 3, "Poya Days," available at http://www.accesstoinsight.org/lib/authors/kariyawasam/wheel402.html#ch3.
- 1 2 Buswell & Lopez 2013, Baguan zhai.
- ↑ Harvey 2000, p. 88.
- 1 2 Keown 2004, p. 22.
- ↑ Tachibana 1992, p. 65.
- 1 2 กนกวรรณ ทองตะโก (4 สิงหาคม 2553). "ศีล ๘". ราชบัณฑิตยสภา. สืบค้นเมื่อ 10 สิงหาคม 2568.
{{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=(help) - ↑ Keown 2004, Uposatha.
- ↑ Harvey 2000, p. 87.
- 1 2 3 4 "อุโบสถศีล". กัลยาณมิตร. 2 พฤศจิกายน 2556. สืบค้นเมื่อ 10 สิงหาคม 2568.
{{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=(help) - ↑ "Religions – Buddhism: Theravada Buddhism". BBC. 2 October 2002. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 November 2018.
- ↑ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) (19 มีนาคม 2547). "ชี แม่ชี". กัลยาณมิตร. สืบค้นเมื่อ 24 พฤศจิกายน 2558.
{{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=(help) - ↑ Watson 1988, p. 13.
- ↑ Harvey 2013, pp. 378–9.
- ↑ Keyes 1989, pp. 319–20.
- ↑ Fuengfusakul 1993, p. 157.
- 1 2 "อุบาสกธรรม 5". พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต). 19 มีนาคม 2547. สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2568.
{{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=(help) - 1 2 "อุบาสกธรรม 7". พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต). 19 มีนาคม 2547. สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2568.
{{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=(help)
- บรรณานุกรม
- Fuengfusakul, Apinya (1 January 1993), "Empire of Crystal and Utopian Commune: Two Types of Contemporary Theravada Reform in Thailand", Sojourn, 8 (1): 153–83, JSTOR 41035731
- Harvey, Peter (1990). An introduction to Buddhism: Teachings, history and practices (1st ed.), Cambridge University Press. ISBN 0-521-31333-3.
- Keown, Damien (2004), A Dictionary of Buddhism, Oxford University Press, ISBN 978-0-19-157917-2
- Keyes, C.F. (1989), "Buddhist Politics and Their Revolutionary Origins in Thailand", International Political Science Review, 10 (2): 121–42, doi:10.1177/019251218901000203, S2CID 145572706
- Nattier, Jan (2003). A Few Good Men: The Bodhisattva Path according to The Inquiry of Ugra (Ugraparpṛcchā). Honolulu: University of Hawai'i Press. ISBN 0-8248-2607-8.
- Tachibana, S. (1992), The Ethics of Buddhism, Curzon Press, ISBN 978-0-7007-0230-5
- Rhys Davids, T.W. & William Stede (eds.) (1921-5). The Pali Text Society’s Pali–English dictionary. Chipstead: Pali Text Society. A general on-line search engine for the PED is available at http://dsal.uchicago.edu/dictionaries/pali/. Retrieved on 2006-12-26.