ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เครื่องราชอิสริยาภรณ์วัลลภาภรณ์"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ScorpianPK (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
add english wikilink
บรรทัด 29: บรรทัด 29:
{{เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย}}
{{เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย}}
[[หมวดหมู่:เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย|วัลลภาภรณ์]]
[[หมวดหมู่:เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย|วัลลภาภรณ์]]

[[en:Vallabhabhorn Order]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:57, 27 เมษายน 2551

ตราวัลลภาภรณ์ ฝ่ายหน้า

เครื่องราชอิสริยาภรณ์วัลลภาภรณ์ (The Vallabhabhorn order) หรือ ตราวัลลภาภรณ์ เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นบำเหน็จในพระองค์ ที่สร้างขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2461 พระราชทานให้แก่ผู้มีหน้าที่อยู่ประจำใกล้ชิดพรองค์ในพระราชสำนัก โดยตั้งใจรับราชการด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่พอพระราชหฤทัย โดยพระราชทานให้ทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายใน เครื่องราชอิสริยาภรณ์วัลลภาภรณ์จัดเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่มีลำดับเกียรติเป็นลำดับที่ 20 ของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย[1] ปัจจุบัน พ้นสมัยพระราชทานแล้ว

ประวัติ

เครื่องราชอิสริยาภรณ์วัลลภาภรณ์ เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่สร้างขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงพระราชปรารภว่า ตราวชิรมาลา ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นสำหรับพระราชทานผู้รับราชการสนองพระเดชพระคุณมีความดีความชอบเฉพาะพระองค์นั้น บางคนเป็นผู้ที่มีหน้าที่ประจำำอยู่นอกพระราชสำนัก และได้รับใช้ราชการชั่วคราว แต่คนที่อยู่รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ภายในพระราชสำนักและตั้งใจสนองพระเดชพระคุณด้วยความจงรักภักดี ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่พอพระราชหฤทัยนั้น ก็สมควรจะมีเครื่องราชอิสริยาภรณ์พระราชทานให้สมกับความดีความชอบนอกเหนือจาก ตราวชิรมาลา โดยพระราชทานนามว่า "ตราวัลลภาภรณ์"

ในระยะแรกนั้น พระองค์พระราชทานตราวัลลภาภรณ์ให้แก่พระราชวงศ์และข้าราชการฝ่ายหน้าทั้งสิ้น ต่อมา พระองค์ทรงพระราชคำนึงความดีความชอบของฝ่ายในที่สมควรได้รับพระราชทานตรานี้เช่นกัน ดังนั้น พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี (พระยศขณะนั้น) ทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะทรงพระดำริห์ว่า ฝ่ายในผู้ใดเป็นผู้สมควรจะได้รับพระราชทานตราวัลลภาภรณ์ชนิดสำหรับฝ่ายใน ก็สุดแล้วแต่พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีจะทรงเห็นเป็นการสมควรและทรงประทานได้[2]

ต่อมา เมื่อพระองค์ทรงถอนหมั้นกับพระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีแล้ว พระองค์ก็ถอนสิทธิที่ให้พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีทรงประทานตราวัลลภาภรณ์แก่ฝ่ายหน้าได้ลงด้วย โดยพระองค์มีพระราชดำริที่จะพระราชทานด้วยพระองค์เอง หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระราชินีทรงถือสิทธินั้นสนองพระองค์ ก็สุดแล้วแต่พระองค์จะทรงพระราชดำริเห็นสมควร[3]

ลักษณะของเครื่องราชอิสริยาภรณ์วัลลภาภรณ์

ตราวัลลภาภรณ์ ฝ่ายใน

ตราวัลลภาภรณ์ มีลักษณะเป็นเรือนเงิน ทำเป็นรูปกลีบดอกบัวแหลมยื่นออกมาสี่แฉก ในแฉกหนึ่ง ๆ จำหลักเป็นลายกลีบซ้อนกันสองกลีบ มีเกสรจำหลักโปร่งแทรกสี่ทิศสลับกับกลีบบัวแฉก ด้านหน้ามีอักษรพระบรมนามาภิไธย ร.ร. กับ เลข ๖ หมายความว่า สมเด็จพระรามราชาธิบดี รัชกาลที่ 6 จำหลักเป็นเพชรโสร่งประดับลอยเด่นอยู่ในวงกลมกลางดวงตรา ด้านหลังเป็นรูปวชิราวุธดุลลอยขึ้นมาจากพื้นเงินเกลี้ยง ห้อยแพรแถบสีครามแก่ มีริ้วขาวริ้วแดงเป็นลวดอยู่ริม เหมือนแพรแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมหาวชิรมงกุฎ สำหรับประดับเสื้อที่อกข้างซ้าย[4]

ส่วนเครื่องราชอิสริยาภรณ์วัลลภาภรณ์สำหรับพระราชทานฝ่ายในนั้น แถบแพรจะผูกเป็นเงื่อนหูกระต่ายเช่นเดียวกับเงื่อนของเหรียญรัตนาภรณ์สำหรับพระราชทานฝ่ายใน[2]

ผู้ได้รับเครื่องราชอิสิยาภรณ์วัลลภาภรณ์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะทรงพระราชทานและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ได้ตามพระราชประสงค์ แต่จะพระราชทานสำหรับผู้ที่ได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณประจำอยู่ในพระราชสำนัก โดยห้ามมิให้ผู้ใดกราบบังคมทูลขอพระราชทานเพื่อตนเองหรือกราบบังคมทูลแนะนำเพื่อพระราชทานแก่ผู้อื่นเป็นอันขาด

ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ จะได้รับการประกาศนามในราชกิจจานุเบกษาด้วย[4]

อ้างอิง

  1. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ลำดับเกียรติเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย, เล่ม ๑๑๐, ตอน ๒๙ง ฉบับพิเศษ, ๑๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๖, หน้า ๑
  2. 2.0 2.1 ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ เพิ่มเติมข้อความในพระราชบัญญัติตราวัลละภาภรณ์ พ.ศ. ๒๔๖๑, เล่ม ๓๗, ตอน ๐ก, ๒ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๓, หน้า ๓๔๕
  3. ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ ถอนสิทธิที่พระราชทานไว้แก่พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี, เล่ม ๓๗, ตอน ๐ก, ๒๐ มีนาคม พ.ศ.๒๔๖๓, หน้า ๔๓๗
  4. 4.0 4.1 ราชกิจจานุเบกษา, พระราชบัญญัติตราวัลละภาภรณ์, เล่ม ๓๕, ตอน ๐ ก, ๒๖ มีนาคม พ.ศ.๒๔๖๑, หน้า ๔๑๓

แหล่งข้อมูลอื่น