ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระมหากัสสปะ"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
พุทธามาตย์ (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 10: | บรรทัด 10: | ||
| วันเกิด = |
| วันเกิด = |
||
| วันประสูติ = |
| วันประสูติ = |
||
| สถานที่เกิด = |
| สถานที่เกิด = หมู่บ้านมหาติตถะ [[แคว้นมคธ]] |
||
| สถานที่ประสูติ = |
| สถานที่ประสูติ = |
||
| สถานที่บวช = [[ต้นไทร]]พหุปุตตนิโครธ ระหว่าง[[เมืองราชคฤห์]] กับ[[นาลันทา]] |
| สถานที่บวช = [[ต้นไทร]]พหุปุตตนิโครธ ระหว่าง[[เมืองราชคฤห์]] กับ[[นาลันทา]] |
||
| วิธีบวช = โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทา |
| วิธีบวช = โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทา |
||
| สถานที่บรรลุธรรม = |
| สถานที่บรรลุธรรม = พหุปุตตเจดีย์ |
||
| ตำแหน่ง = |
| ตำแหน่ง = |
||
| เอตทัคคะ = ผู้มีธุดงค์มาก |
| เอตทัคคะ = ผู้มีธุดงค์มาก |
||
บรรทัด 22: | บรรทัด 22: | ||
| นิพพาน = |
| นิพพาน = |
||
| สถานที่เสียชีวิต = |
| สถานที่เสียชีวิต = |
||
| สถานที่นิพพาน = [[ |
| สถานที่นิพพาน = [[เขากุกกุฏสัมปาต]] |
||
| ชาวเมือง = |
| ชาวเมือง = |
||
| นามบิดา = กปิลพราหมณ์ |
| นามบิดา = กปิลพราหมณ์ |
||
| นามพระบิดา = |
| นามพระบิดา = |
||
| นามพระราชบิดา = |
| นามพระราชบิดา = |
||
| นามมารดา = |
| นามมารดา = |
||
| นามพระมารดา = |
| นามพระมารดา = |
||
| นามพระราชมารดา = |
| นามพระราชมารดา = |
||
| วรรณะเดิม = [[พราหมณ์]] |
| วรรณะเดิม = [[พราหมณ์]] |
||
| ราชวงศ์ = |
| ราชวงศ์ = |
||
| การศึกษา = |
| การศึกษา = |
||
| อาชีพ = |
| อาชีพ = |
||
| ชื่อสถานที่ = ประตูถ้ำสัตตบรรณคูหาข้างภูเขาเวภาระ กรุง[[ราชคฤห์]] [[แคว้นมคธ]] สถานที่ทำสังคายนาครั้งแรก |
| ชื่อสถานที่ = ประตูถ้ำสัตตบรรณคูหาข้างภูเขาเวภาระ กรุง[[ราชคฤห์]] [[แคว้นมคธ]] สถานที่ทำสังคายนาครั้งแรก |
||
| หมายเหตุ = |
| หมายเหตุ = |
||
}} |
}} |
||
'''พระมหากัสสปะ''' เป็น[[พระอรหันต์]][[สาวก]]องค์หนึ่งของ[[พระโคตมพุทธเจ้า]] เป็น[[เอตทัคคะ]]ที่ทรงยกย่องและให้ถือเป็นแบบอย่างในด้าน'''ผู้ |
'''พระมหากัสสปะ''' เป็น[[พระอรหันต์]][[สาวก]]องค์หนึ่งของ[[พระโคตมพุทธเจ้า]] เป็น[[เอตทัคคะ]]ที่ทรงยกย่องและให้ถือเป็นแบบอย่างในด้าน'''ผู้ทรงธุดงค์และสรรเสริญคุณแห่งธุดงค์'''<ref name="ปฐมวรรค">[http://www.geocities.ws/tmchote/tpd-mcu/tpd20.htm ปฐมวรรค], พระสุตตัตนตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกกนิบาต ๑๔. เอตทัคควรรค ๑. ปฐมวรรค</ref> ภายหลังที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ท่านได้เป็นประธานในการ[[สังคายนาครั้งที่หนึ่งในศาสนาพุทธ]] |
||
== ประวัติ == |
== ประวัติ == |
||
=== ก่อนบวช === |
|||
'''พระมหากัสสปะ''' มีพระนามเดิมว่า '''ปิปผลิ''' เป็นบุตรของกปิลพราหมณ์และสุมนเทวีพราหมณี เกิดที่เมืองราชคฤห์ ตอนวัยเด็ก ขณะที่ปิปผลิกุมารได้วิ่งเล่นออกจากพระราชวังนั้น ได้เห็น[[ภิกษุ]]รูปหนึ่งกำลังทำ[[สมาธิ]] จึงเกิดความเลื่อมใส คิดอยากจะออกบวชในวัยหนุ่ม เมื่ออายุเข้าย่างสู่ 20 ปี ได้แต่งงานกับพราหมณีนามว่า[[พระภัททากปิลานี|ภัททกาปิลานี]] อาศัยอยู่ในเมือง[[สาคละ]] [[แคว้นมัททะ]] ซึ่งมีพราหมณ์คนหนึ่งตามมาขอ และทั้งก็ได้แต่งงานกันอย่างสมเกียรติ และหลังจากแต่งงาน ภัททกาปิลานีก็ได้มาอยู่ที่บ้านของปิปผลิภาณพ เมื่อมารดาบิดาของทั้งสองฝ่ายถึงแก่กรรม ทั้งสองจึงได้ออกบวชใน[[ศาสนาพุทธ]] ระหว่างเมือง[[ราชคฤห์]]กับ[[นาลันทา]] (บ้านเกิด[[พระสารีบุตร]]) |
|||
พระมหากัสสปะมีนามว่า '''ปิปผลิ''' เป็นบุตรของกปิลพราหมณ์ เกิดที่หมู่บ้านมหาติตถะ แคว้นมคธ เมื่ออายุเข้าย่างสู่ 20 ปี มารดาบิดาของท่านรบเร้าให้ท่านแต่งงาน ท่านปฏิเสธเพราะตั้งใจว่าเมื่อดูแลมารดาบิดาจนทั้งสองเสียชีวิตแล้วก็จะออกบวช แต่มารดาบิดาของท่านยังยืนยันให้ท่านแต่งงานเพื่อดำรงวงศ์ตระกูล ปิปผลิจึงจ้างช่างหล่อทองคำเป็นรูปหญิงสาว ประดับด้วยผ้านุ่งสีแดง ดอกไม้ และเครื่องประดับต่าง ๆ แล้วบอกมารดาว่าถ้าหาหญิงสาวลักษณะตามรูปปั้นดีได้จึงจะยอมแต่งงาน มารดาของท่านจึงให้พราหมณ์ ๘ คนนำรูปหล่อไปตามหาหญิงสาวที่มีลักษณะตามนั้น เมื่อได้พบ[[พระภัททกาปิลานี|นางภัททากาปิลานี]] จึงแจ้งให้กบิลพราหมณ์ทราบ ปิปผลิและภัททาต่างไม่อยากแต่งงานจึงแอบส่งจดหมายขอให้อีกฝ่ายหาคู่ครองใหม่ แต่คนถือจดหมายได้แปลงข้อความในจดหมาย ทั้งสองจึงได้แต่งงานกันในที่สุด<ref name="อรรถกถาสูตรที่ ๔">[http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=146&p=4 อรรถกถาสูตรที่ ๔ ประวัติพระมหากัสสปเถระ], อรรถกถาอังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เอตทัคคบาลี วรรคที่ ๑</ref> |
|||
=== ออกบวช=== |
|||
⚫ | |||
วันหนึ่ง ปิปผลิไปตรวจนาเห็นฝูงนกจิกกินไส้เดือน จึงถามบริวารว่าบาปของสัตว์พวกนั้นตกแก่ใคร บริวารว่าตกแก่ท่านปิปผลิ เขาสังเวชใจว่าถ้าอกุศลกรรมแบบนี้ตกแก่ท่านแล้ว ต่อให้เวียนว่ายตายเกิดสักพันชาติก็คงไม่พ้นทุกข์ กลับถึงบ้านแล้วจึงบอกภรรยาว่าจะออกบวช ภรรยาของท่านก็จะออกบวชเช่นกัน ทั้งสองปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสายะ ตั้งใจออกบวชเพื่ออุทิศพระอรหันต์ในโลก<ref name="จีวรสูตร">[http://www.geocities.ws/tmchote/tpd-mcu/tpd16.htm จีวรสูตร], พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค [๕. กัสสปสังยุต]</ref>แล้วออกจากไปจนถึงทางแยกก็แยกกันเดินทาง ขณะที่แยกทางกันนั้นก็เกิดแผ่นดินไหว<ref name="อรรถกถาสูตรที่ ๔"/> |
|||
=== บรรลุอรหัตผล === |
|||
หลังจากบวชได้ครบ 7 วัน เข้าวันที่ 8 พระมหากัสสปะก็พบพระพุทธเจ้าขณะประทับที่พหุปุตตเจดีย์ พระองค์ประทานโอวาทแก่ท่าน 3 ข้อ คือ<ref name="จีวรสูตร"/> |
|||
# มีหิริและโอตตัปปะอย่างแรงกล้าในภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเถระ ผู้เป็นนวกะ ผู้เป็นมัชฌิมะ |
|||
# ฟังธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งประกอบด้วยกุศล จักกระทำธรรมนั้นทั้งหมดให้เป็นประโยชน์ มนสิการถึงธรรมนั้นทั้งหมด จักประมวลจิตมาทั้งหมด เงี่ยโสตสดับธรรม |
|||
# ไม่ละกายคตาสติที่ประกอบด้วยความยินดี |
|||
พระมหากัสสปะฟังแล้วก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ จากนั้นท่านนำผ้าสังฆาฏิของตนปูถวายพระพุทธเจ้าให้ทรงประทับนั่ง พระพุทธเจ้าจึงประทานผ้าป่านบังสุกุลให้ท่านใช้แทน ขณะนั้นแผ่นดินก็ไหวขึ้นเพราะไม่เคยมีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะประทานจีวรที่ทรงใช้แล้วแก่พระสาวก<ref name="อรรถกถาสูตรที่ ๔"/> พระมหากัสสปะประทับใจมากด้วยระลึกว่าท่านเป็น "''บุตรของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เกิดแต่อก เกิดแต่พระโอษฐ์ เกิดแต่พระธรรม อันพระธรรมเนรมิตแล้ว เป็นธรรมทายาท ได้รับผ้าป่านบังสุกุลที่ใช้สอยแล้ว''"<ref name="จีวรสูตร"/> |
|||
⚫ | |||
{{บทความหลัก|สังคายนาครั้งที่หนึ่งในศาสนาพุทธ}} |
{{บทความหลัก|สังคายนาครั้งที่หนึ่งในศาสนาพุทธ}} |
||
[[ไฟล์:Sattapanni.jpg|thumb|left|[[ถ้ำสัตบรรณคูหา]] สถานที่ทำสังคายนาครั้งแรก |
[[ไฟล์:Sattapanni.jpg|thumb|left|[[ถ้ำสัตบรรณคูหา]] สถานที่ทำสังคายนาครั้งแรก]] |
||
พระมหากัสสปเถระได้ทราบข่าวการ[[ปรินิพพาน]]ของพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วได้ 7 วัน ขณะที่ท่านกำลังเดินทางอยู่ ณ เมืองปาวาพร้อมด้วยหมู่ศิษย์จำนวนมาก เมื่อได้ทราบข่าวนั้น เหล่าศิษย์ของพระมหากัสสปะซึ่งยังเป็นปุถุชนอยู่ ได้ร้องไห้คร่ำครวญกัน ณ ที่นั้น จึงมีพระภิกษุบวชเมื่อแก่องค์หนึ่ง ชื่อว่า'''สุภัททะ''' ได้กล่าวขึ้นว่า "หยุดเถิด หยุดเถิด ท่านอย่าร่ำไรไปเลย พระสมณะนั้นพ้น (ปรินิพพาน) แล้ว เราจะทำอะไรก็ได้ตามพอใจ ไม่ต้องเกรงบัญชาใคร" พระมหากัสสปะได้ฟังเช่นนั้น คิดจะทำนิคคหกรรม (ทำโทษ) แต่เห็นว่ายังมิควรก่อน และดำริขึ้นว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานเพียง 7 วัน ก็มีผู้คิดที่จะทำให้เกิดความแปรปรวน หรือประพฤติปฏิบัติให้วิปริตไปจากพระธรรมวินัยเช่นนี้ จึงควรจะทำ[[สังคายนาในศาสนาพุทธ|สังคายนา]]และจะชักชวน[[พระอรหันต์]]เถระทั้งหลาย ซึ่งล้วนทันเห็นพระพุทธเจ้า ได้ฟังคำสอนของพระองค์มาโดยตรง เป็นผู้รู้คำสอนของพระพุทธเจ้า และได้อยู่ในหมู่สาวกที่เคยสนทนาตรวจสอบกันอยู่เสมอ รู้ว่าสิ่งใดที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้มาประชุมกัน เพื่อช่วยกันแสดง ถ่ายทอด รวบรวม ประมวลคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วตกลงวางมติไว้ จากนั้นท่านจึงเดินทางไปยังเมือง[[กุสินารา]]เพื่อเป็นประธานในการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ใช้เวลา 7 เดือน พระเจ้าอชาตศัตรู เป็นผู้อุปถัมภ์ |
พระมหากัสสปเถระได้ทราบข่าวการ[[ปรินิพพาน]]ของพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วได้ 7 วัน ขณะที่ท่านกำลังเดินทางอยู่ ณ เมืองปาวาพร้อมด้วยหมู่ศิษย์จำนวนมาก เมื่อได้ทราบข่าวนั้น เหล่าศิษย์ของพระมหากัสสปะซึ่งยังเป็นปุถุชนอยู่ ได้ร้องไห้คร่ำครวญกัน ณ ที่นั้น จึงมีพระภิกษุบวชเมื่อแก่องค์หนึ่ง ชื่อว่า'''สุภัททะ''' ได้กล่าวขึ้นว่า "หยุดเถิด หยุดเถิด ท่านอย่าร่ำไรไปเลย พระสมณะนั้นพ้น (ปรินิพพาน) แล้ว เราจะทำอะไรก็ได้ตามพอใจ ไม่ต้องเกรงบัญชาใคร" พระมหากัสสปะได้ฟังเช่นนั้น คิดจะทำนิคคหกรรม (ทำโทษ) แต่เห็นว่ายังมิควรก่อน และดำริขึ้นว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานเพียง 7 วัน ก็มีผู้คิดที่จะทำให้เกิดความแปรปรวน หรือประพฤติปฏิบัติให้วิปริตไปจากพระธรรมวินัยเช่นนี้ จึงควรจะทำ[[สังคายนาในศาสนาพุทธ|สังคายนา]]และจะชักชวน[[พระอรหันต์]]เถระทั้งหลาย ซึ่งล้วนทันเห็นพระพุทธเจ้า ได้ฟังคำสอนของพระองค์มาโดยตรง เป็นผู้รู้คำสอนของพระพุทธเจ้า และได้อยู่ในหมู่สาวกที่เคยสนทนาตรวจสอบกันอยู่เสมอ รู้ว่าสิ่งใดที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้มาประชุมกัน เพื่อช่วยกันแสดง ถ่ายทอด รวบรวม ประมวลคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วตกลงวางมติไว้ จากนั้นท่านจึงเดินทางไปยังเมือง[[กุสินารา]]เพื่อเป็นประธานในการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ใช้เวลา 7 เดือน พระเจ้าอชาตศัตรู เป็นผู้อุปถัมภ์ |
||
บรรทัด 50: | บรรทัด 61: | ||
== อ้างอิง == |
== อ้างอิง == |
||
; เชิงอรรถ |
|||
* โอม รัชเวทย์. '''พระมหากัสสปะ ''' ฉบับการ์ตูนสี่สี. พิมพ์ครั้งที่ ๒ กรุงเทพฯ:เครืออมรินทร์,๒๕๕๒ |
|||
{{รายการอ้างอิง}} |
|||
== ดูเพิ่ม == |
|||
* [[พระวิปัสสีพุทธเจ้า]] |
|||
* [[เอตทัคคะ]] |
|||
* [[พระอสีติมหาสาวก]] |
|||
* [[สังคายนาในศาสนาพุทธ]] |
|||
; บรรรานุกรม |
|||
== แหล่งข้อมูลอื่น == |
|||
* ''พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย'' |
|||
* [http://www1.mod.go.th/heritage/religion/priest/priest4.html ตำนาน เรื่อง พระมหากัสสปะ กับ พระเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า] |
|||
{{เริ่มกล่อง}} |
{{เริ่มกล่อง}} |
||
บรรทัด 78: | บรรทัด 84: | ||
{{เรียงลำดับ|มหากัสสปะ}} |
{{เรียงลำดับ|มหากัสสปะ}} |
||
[[หมวดหมู่:ภิกษุชาวอินเดีย]] |
[[หมวดหมู่:ภิกษุชาวอินเดีย]] |
||
[[หมวดหมู่:พระอรหันต์]] |
|||
[[หมวดหมู่:เอตทัคคะ]] |
[[หมวดหมู่:เอตทัคคะ]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:11, 10 พฤษภาคม 2558
พระมหากัสสปะ | |
---|---|
จิตรกรรมภาพพระมหากัสสปะ ในถ้ำคีซิล (อายุราวศตวรรษที่ 6) | |
ข้อมูลทั่วไป | |
ชื่อเดิม | ปิปผลิ |
สถานที่เกิด | หมู่บ้านมหาติตถะ แคว้นมคธ |
สถานที่บวช | ต้นไทรพหุปุตตนิโครธ ระหว่างเมืองราชคฤห์ กับนาลันทา |
วิธีบวช | โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทา |
สถานที่บรรลุธรรม | พหุปุตตเจดีย์ |
เอตทัคคะ | ผู้มีธุดงค์มาก |
อาจารย์ | พระโคตมพุทธเจ้า |
สถานที่นิพพาน | เขากุกกุฏสัมปาต |
ฐานะเดิม | |
บิดา | กปิลพราหมณ์ |
วรรณะเดิม | พราหมณ์ |
สถานที่รำลึก | |
สถานที่ | ประตูถ้ำสัตตบรรณคูหาข้างภูเขาเวภาระ กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ สถานที่ทำสังคายนาครั้งแรก |
ส่วนหนึ่งของสารานุกรมพระพุทธศาสนา |
พระมหากัสสปะ เป็นพระอรหันต์สาวกองค์หนึ่งของพระโคตมพุทธเจ้า เป็นเอตทัคคะที่ทรงยกย่องและให้ถือเป็นแบบอย่างในด้านผู้ทรงธุดงค์และสรรเสริญคุณแห่งธุดงค์[1] ภายหลังที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ท่านได้เป็นประธานในการสังคายนาครั้งที่หนึ่งในศาสนาพุทธ
ประวัติ
ก่อนบวช
พระมหากัสสปะมีนามว่า ปิปผลิ เป็นบุตรของกปิลพราหมณ์ เกิดที่หมู่บ้านมหาติตถะ แคว้นมคธ เมื่ออายุเข้าย่างสู่ 20 ปี มารดาบิดาของท่านรบเร้าให้ท่านแต่งงาน ท่านปฏิเสธเพราะตั้งใจว่าเมื่อดูแลมารดาบิดาจนทั้งสองเสียชีวิตแล้วก็จะออกบวช แต่มารดาบิดาของท่านยังยืนยันให้ท่านแต่งงานเพื่อดำรงวงศ์ตระกูล ปิปผลิจึงจ้างช่างหล่อทองคำเป็นรูปหญิงสาว ประดับด้วยผ้านุ่งสีแดง ดอกไม้ และเครื่องประดับต่าง ๆ แล้วบอกมารดาว่าถ้าหาหญิงสาวลักษณะตามรูปปั้นดีได้จึงจะยอมแต่งงาน มารดาของท่านจึงให้พราหมณ์ ๘ คนนำรูปหล่อไปตามหาหญิงสาวที่มีลักษณะตามนั้น เมื่อได้พบนางภัททากาปิลานี จึงแจ้งให้กบิลพราหมณ์ทราบ ปิปผลิและภัททาต่างไม่อยากแต่งงานจึงแอบส่งจดหมายขอให้อีกฝ่ายหาคู่ครองใหม่ แต่คนถือจดหมายได้แปลงข้อความในจดหมาย ทั้งสองจึงได้แต่งงานกันในที่สุด[2]
ออกบวช
วันหนึ่ง ปิปผลิไปตรวจนาเห็นฝูงนกจิกกินไส้เดือน จึงถามบริวารว่าบาปของสัตว์พวกนั้นตกแก่ใคร บริวารว่าตกแก่ท่านปิปผลิ เขาสังเวชใจว่าถ้าอกุศลกรรมแบบนี้ตกแก่ท่านแล้ว ต่อให้เวียนว่ายตายเกิดสักพันชาติก็คงไม่พ้นทุกข์ กลับถึงบ้านแล้วจึงบอกภรรยาว่าจะออกบวช ภรรยาของท่านก็จะออกบวชเช่นกัน ทั้งสองปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสายะ ตั้งใจออกบวชเพื่ออุทิศพระอรหันต์ในโลก[3]แล้วออกจากไปจนถึงทางแยกก็แยกกันเดินทาง ขณะที่แยกทางกันนั้นก็เกิดแผ่นดินไหว[2]
บรรลุอรหัตผล
หลังจากบวชได้ครบ 7 วัน เข้าวันที่ 8 พระมหากัสสปะก็พบพระพุทธเจ้าขณะประทับที่พหุปุตตเจดีย์ พระองค์ประทานโอวาทแก่ท่าน 3 ข้อ คือ[3]
- มีหิริและโอตตัปปะอย่างแรงกล้าในภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเถระ ผู้เป็นนวกะ ผู้เป็นมัชฌิมะ
- ฟังธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งประกอบด้วยกุศล จักกระทำธรรมนั้นทั้งหมดให้เป็นประโยชน์ มนสิการถึงธรรมนั้นทั้งหมด จักประมวลจิตมาทั้งหมด เงี่ยโสตสดับธรรม
- ไม่ละกายคตาสติที่ประกอบด้วยความยินดี
พระมหากัสสปะฟังแล้วก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ จากนั้นท่านนำผ้าสังฆาฏิของตนปูถวายพระพุทธเจ้าให้ทรงประทับนั่ง พระพุทธเจ้าจึงประทานผ้าป่านบังสุกุลให้ท่านใช้แทน ขณะนั้นแผ่นดินก็ไหวขึ้นเพราะไม่เคยมีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะประทานจีวรที่ทรงใช้แล้วแก่พระสาวก[2] พระมหากัสสปะประทับใจมากด้วยระลึกว่าท่านเป็น "บุตรของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เกิดแต่อก เกิดแต่พระโอษฐ์ เกิดแต่พระธรรม อันพระธรรมเนรมิตแล้ว เป็นธรรมทายาท ได้รับผ้าป่านบังสุกุลที่ใช้สอยแล้ว"[3]
ปฐมสังคายนา
พระมหากัสสปเถระได้ทราบข่าวการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วได้ 7 วัน ขณะที่ท่านกำลังเดินทางอยู่ ณ เมืองปาวาพร้อมด้วยหมู่ศิษย์จำนวนมาก เมื่อได้ทราบข่าวนั้น เหล่าศิษย์ของพระมหากัสสปะซึ่งยังเป็นปุถุชนอยู่ ได้ร้องไห้คร่ำครวญกัน ณ ที่นั้น จึงมีพระภิกษุบวชเมื่อแก่องค์หนึ่ง ชื่อว่าสุภัททะ ได้กล่าวขึ้นว่า "หยุดเถิด หยุดเถิด ท่านอย่าร่ำไรไปเลย พระสมณะนั้นพ้น (ปรินิพพาน) แล้ว เราจะทำอะไรก็ได้ตามพอใจ ไม่ต้องเกรงบัญชาใคร" พระมหากัสสปะได้ฟังเช่นนั้น คิดจะทำนิคคหกรรม (ทำโทษ) แต่เห็นว่ายังมิควรก่อน และดำริขึ้นว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานเพียง 7 วัน ก็มีผู้คิดที่จะทำให้เกิดความแปรปรวน หรือประพฤติปฏิบัติให้วิปริตไปจากพระธรรมวินัยเช่นนี้ จึงควรจะทำสังคายนาและจะชักชวนพระอรหันต์เถระทั้งหลาย ซึ่งล้วนทันเห็นพระพุทธเจ้า ได้ฟังคำสอนของพระองค์มาโดยตรง เป็นผู้รู้คำสอนของพระพุทธเจ้า และได้อยู่ในหมู่สาวกที่เคยสนทนาตรวจสอบกันอยู่เสมอ รู้ว่าสิ่งใดที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้มาประชุมกัน เพื่อช่วยกันแสดง ถ่ายทอด รวบรวม ประมวลคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วตกลงวางมติไว้ จากนั้นท่านจึงเดินทางไปยังเมืองกุสินาราเพื่อเป็นประธานในการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ใช้เวลา 7 เดือน พระเจ้าอชาตศัตรู เป็นผู้อุปถัมภ์
การสังคายนาครั้งที่หนึ่งในศาสนาพุทธจึงได้จัดขึ้นที่ถ้ำสัตบรรณคูหา กรุงราชคฤห์ ตามคำปรารภของพระมหากัสสปะเถระ โดยมีพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นองค์อุปถัมภ์ ใช้เวลาในการสังคายนารวบรวมพระธรรมวินัยอยู่ 7 เดือนจึงแล้วเสร็จ โดยในครั้งนั้น พระมหากัสสปะเถระเป็นประธานทำสังคายนา พระอานนท์เป็นองค์วิสัชชนาแสดงพระธรรม พระอุบาลีเป็นองค์วิสัชชนาพระวินัยปิฎก การสังคายนาครั้งนั้นนับเป็นต้นกำเนิดของพระไตรปิฎกภาษาบาลีที่ใช้ในนิกายเถรวาทในปัจจุบัน
อ้างอิง
- เชิงอรรถ
- บรรรานุกรม
- พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ก่อนหน้า | พระมหากัสสปะ | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
— | ประธานการสังคายนาครั้งที่ 1 |
พระเรวตเถระ ประธานการสังคายนาครั้งที่ 2 |