การก่อการกำเริบในลาว
การก่อการกำเริบในลาว | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
| |||||||
คู่ขัดแย้ง | |||||||
![]()
|
ขบวนการต่อต้านลาว
องค์กรปลดปล่อยของชนกลุ่มน้อยในลาว
เจ้าฟ้า (ถึง พ.ศ. 2527) สนับสนุนโดย: | ||||||
ผู้บัญชาการหรือผู้นำ | |||||||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
|||||||
กำลังพลสูญเสีย | |||||||
พลเรือนมากกว่า 100,000 คน (1975–1980)[5] |
การก่อการกำเริบในลาว เป็นเหตุการณ์ความขัดแย้งของกองทัพประชาชนลาวกับสมาชิกกองทัพลับของชาวม้ง ซึ่งประกอบด้วยชาวม้งที่สหรัฐให้การสนับสนุนและกลุ่มต่อต้านคอมมิวนิสต์ในสงครามกลางเมืองลาว ในช่วง พ.ศ. 2523 กลุ่มกบฏนิยมเจ้ายังคงอยู่และมีกองโจรโจมตีเป็นครั้งคราว กลุ่มกบฏฝ่ายขวาที่มีต่างชาติสนับสนุนมีกิจกรรมต่อเนื่องมาจนถึงราว พ.ศ. 2533 ส่วนกลุ่มกบฏม้งเป็นกลุ่มที่ยังคงมีกิจกรรมยาวนานที่สุด โดยระยะเวลาเริ่มตั้งแต่สงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง จนสิ้นสุดสงครามกลางเมืองลาว
กลุ่มกบฏม้ง[แก้]
ความขัดแย้งเกิดจากเหตุการณ์ก่อนลาวได้รับเอกราชได้แก่การรัฐประหารที่ล้มเหลวของเจ้าสุพานุวง การที่ม้งเข้าช่วยเหลือทหารฝรั่งเศสในเชียงขวางต่อต้านลาวและเวียดนาม และฝรั่งเศสให้สิทธิ์แก่ชาวม้งเทียบเท่าชาวลาว
ใน พ.ศ. 2489 ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดการยึดครองของญี่ปุ่น เจ้าเพชรราช เจ้าสุพานุวงและเจ้าสุวรรณภูมาได้จัดตั้งขบวนการเรียกร้องเอกราชเพื่อล้มล้างราชบัลลังก์ของพระเจ้าศรีสว่างวงศ์ ผู้ที่ต้องการให้ลาวอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ชาวม้งเข้าเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของฝรั่งเศส ตูบี ลีฟุง ผู้นำคนสำคัญของชาวม้งได้รวมกองกำลังของชาวม้ง ฝรั่งเศสและลาวในการต่อสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่ประกอบด้วยชาวลาวและชาวเวียดนาม และช่วยเหลือตัวแทนฝรั่งเศสไว้ในหมู่บ้านระหว่างช่วงสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง
เมื่อฝรั่งเศสถอนตัวออกจากอินโดจีน หลังจากพ่ายแพ้ในยุทธการเดียนเบียนฟู สหรัฐได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับลาวมากขึ้นเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ในอินโดจีน สหรัฐเห็นลาวเป็นโดมิโนตัวหนึ่งในทฤษฎีโดมิโน กองทัพม้งนำโดยวังเปาที่มีสหรัฐสนับสนุนได้ป้องกันการรุกหน้าของขบวนการปะเทดลาวที่มีเวียดนามหนุนหลัง พวกเขาช่วยเหลือสหรัฐในเมืองลับของสหรัฐที่ล่องแจ้งซึ่งเป็นศูนย์กลางการทิ้งระเบิดในเวียดนามและลาว[6] ใน พ.ศ. 2518 เมื่อเวียดนามใต้ล่มสลายและไม่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐ ขบวนการปะเทดลาวได้เข้าควบคุมประเทศ ชาวม้งที่เข้าร่วมในปฏิบัติการทางทหารถูกโดดเดี่ยว ขบวนการปะเทดลาวเริ่มการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยมีการสังหารหมู่ วางระเบิด จัดค่ายสัมมนา และข่มขืนชาวม้งรูดอล์ฟ รุมเนลได้ประมาณว่าในการร่วมมือกับกองทัพประชาชนเวียดนาม มีชาวม้งถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ราว 100,000 คน ระหว่าง พ.ศ. 2518 – 2523 ทำให้มีชาวม้งมากกว่า 350,000 คน อพยพไปยังสหรัฐและไทย
ชาวม้งที่ยังอยู่ในลาวมากกว่า 30,000 คนถูกส่งเข้าค่ายสัมมนาในฐานะนักโทษการเมือง มีการใช้แรงงานหนัก บางส่วนเสียชีวิต ชาวม้งราวพันคนส่วนใหญ่เป็นทหารเก่าและครอบครัวอพยพไปยังเขตภูเขาห่างไกลเช่น ภูเบี้ย กลุ่มนี้ยังคงโจมตีทหารของขบวนการปะเทดลาวและเวียดนาม บางส่วนหลบซ่อนเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ในปัจจุบัน ชาวม้งในลาวส่วนใหญ่อยู่อย่างมีสันติภาพในหมู่บ้านและในเมือง มีชาวม้งกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งเป็นรุ่นที่ 2 หรือ 3 ของทหารที่เคยฝึกจากหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐยังคงอยู่ตามพื้นที่ห่างไกลในลาวเพราะหวาดกลัวรัฐบาล ใน พ.ศ. 2546 ยังมีรายงานการโจมตีโดยกลุ่มเหล่านี้ แต่นักข่าวที่เข้าไปเยี่ยมพวกเขาในค่ายลับ กล่าวว่าพวกเขาหิวโหย เจ็บป่วยและขาดแคลนอาวุธ[7][8] และมักจะฆ่า ทำร้ายผู้หญิงและเด็ก[9]
เมื่อฝ่ายรัฐบาลยังตามล่า บางกลุ่มออกจากที่ซ่อน บางส่วนลี้ภัยมายังไทยและประเทศอื่น ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2552 กลุ่มผู้อพยพราว 4,500 คน ในค่ายผู้ลี้ภัยในไทยถูกบังคับให้กลับมายังลาว ชาวม้งบางส่วนอพยพไปแคลิฟอร์เนียหลังจากทหารสหรัฐถอนตัวไปจากเวียดนามและลาว
กลุ่มกบฏนิยมเจ้า[แก้]
ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2523 ได้ก่อตั้งกองทัพที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์และนิยมเจ้าขึ้นเรียกว่ากองทัพปลดปล่อยแห่งชาติลาว กองทัพนี้ก่อกบฏในลาวภาคใต้ ได้โจมตีทหารลาวและเวียดนามใน พ.ศ. 2525 กองทัพนี้ได้จัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยราชอาณาจักรลาว[10] ซึ่งเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นในกรุงเทพฯเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2525 มีเป้าหมายในการรวบรวมพื้นที่ในลาวภาคใต้ ได้รับความช่วยเหลือจากสาธารณรัฐประชาชนจีน[11] กองทัพนี้ให้ความช่วยเหลืออย่างจำกัดกับเขมรแดงในการโค่นล้มสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชาที่มีเวียดนามหนุนหลัง และได้สลายตัวไปเมื่อ พ.ศ. 2533
กลุ่มกบฏฝ่ายขวา[แก้]
เป็นกลุ่มกบฏที่ร่วมมือกับกลุ่มกบฏนิยมเจ้านำโดยสหแนวร่วมเพื่อปลดปล่อยลาวและกลุ่มพันธมิตรขนาดเล็กอื่น ๆ มีกำลังทหารประมาณ 40,000 คน จีนและเขมรแดงสนับสนุนและช่วยฝึกกลุ่มกบฏฝ่ายขวา เพื่อให้กลุ่มนี้ช่วยในการสู้รบกับเวียดนาม กลุ่มนี้กล่าวอ้างว่ามีเขตปลดปล่อยเป็นของตนเอง กลุ่มนี้มีประสิทธิภาพน้อยกว่ากลุ่มนิยมเจ้า ไม่มีหลักฐานว่าเหลืออยู่ในลาวปัจจุบันและไม่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง
อ้างอิง[แก้]
- ↑ Vietnam People's Army#International presence
- ↑ "Hmong Conflict". สืบค้นเมื่อ 20 March 2015.
- ↑ http://www.globalpolitician.com/22937-laos
- ↑ "Laos' controversial exile". BBC News. 2007-06-11.
- ↑ Statistics of Democide Rudolph Rummel
- ↑ Jane Hamilton-Merritt, Tragic Mountains: The Hmong, the Americans, and the Secret Wars for Laos, 1942-1992 (Indiana University Press, 1999), pp337-460
- ↑ Perrin, Andrew (2003-04-28). "Welcome to the Jungle". Time Magazine. สืบค้นเมื่อ 2007-04-27.
- ↑ Arnold, Richard (2007-01-19). "Laos: Still a Secret War". Worldpress. สืบค้นเมื่อ 2007-04-27.
- ↑ "Rebecca Sommer Film Clips". สืบค้นเมื่อ 20 March 2015.
- ↑ "Political Terrorism". สืบค้นเมื่อ 20 March 2015.
- ↑ http://www.jstor.org/pss/2644329
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
- FactFinding.org - information about the Hmong veterans of the Secret War remaining in the jungles of Laos (requires Adobe Flash)
- "Acts of Betrayal", by Michael Johns, National Review, October 23, 1995.
- Clips from "Hunted like animals" - a documentary by Rebecca Sommer on the plight of the Hmong in Laos and problems faced by those facing repatriation from Thai refugee camps