พญานาค
หน้าตา
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
พญานาค | |
---|---|
รูปปั้นพญานาคที่วัดทศาวตาร | |
ชื่อในอักษรเทวนาครี | नागराज |
ชื่อในการทับศัพท์ภาษาสันสกฤต | Nāgarāja |
ชื่อในการทับศัพท์แบบไวลี | Klu'i rgyal po |
ส่วนเกี่ยวข้อง | นาค |
ที่ประทับ | บาดาล |
บิดา-มารดา | พระกัศยปและนางกัทรู |
พญานาค หรือ นาคราช (สันสกฤต: नागराज นาคราช) หมายถึง นาคผู้เป็นใหญ่ นาคผู้เป็นหัวหน้า[1] ตามความเชื่อในศาสนาแบบอินเดีย คล้ายกับพญามังกรตามคติศาสนาชาวบ้านจีน
ศาสนาพุทธ
[แก้]พระไตรปิฎกภาษาบาลีกล่าวถึงพญานาคหลายตน เช่น
- มณิกัณฐะ มีแก้วมณีประดับที่คอ อาศัยในแม่น้ำคงคา ศรัทธาฤๅษีตนหนึ่งจึงขึ้นมาขนดตัว 7 รอบแล้วแผ่พังพานใหญ่บนศีรษะฤๅษีนั้น[2]
- มุจลินท์ ได้ขนดตัว 7 รอบพระโคตมพุทธเจ้า แล้วแผ่พังพานใหญ่บนพระเศียรเพื่อปกป้องพระองค์จากสภาพอากาศและสัตว์ต่าง ๆ ระหว่างทรงเสวยวิมุตติสุขใต้ต้นจิกน้ำหลังตรัสรู้[3] เป็นที่มาของปางนาคปรก
- สุปัสสะ ผู้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่าบรรดาที่ไม่มีศรัทธาเลื่อมใสอาจทำร้ายภิกษุที่ฉันเนื้องู เมื่อพญานาคกลับจากพุทธสำนักแล้ว ก็ทรงบัญญัติสิกขาบทว่าภิกษุไม่พึงฉันเนื้องู รูปใดฉัน ต้องอาบัติทุกกฏ[4]
ในอรรถกถา กล่าวถึงพญานาคอื่น ๆ เช่น
- กาฬะ เมื่อพระโคดมลอยถาดทองที่แม่น้ำเนรัญชรา ถาดนั้นลอยทวนน้ำแล้วจมลงไปในนาคพิภพ แล้วซ้อนใต้ถาดของพระพุทธเจ้าสามพระองค์ กาฬนาคราชได้ยินเสียงนั้นแล้วจึงกล่าวว่า เมื่อวาน พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นองค์หนึ่ง วันนี้บังเกิดขึ้นอีกหนึ่งองค์ แล้วลุกขึ้นกล่าวสรรเสริญด้วยบทหลายร้อยบท[5]
ศาสนาฮินดู
[แก้]ในศาสนาฮินดู มีนาค 3 ตนที่ได้ชื่อว่าพญานาค ได้แก่ เศษะ วาสุกี และ ตักษกะ ทั้งหมดเป็นบุตรของฤๅษีกัศยปะกับนางกัทรู
- เศษะ หรือ อนันตนาคราช เป็นบุตรตนโตผู้อุทิศตนรับใช้พระวิษณุ เป็นพระแท่นบรรทมของพระองค์เมื่อทรงบำเพ็ญโยคนิทรา ซึ่งรู้จักในชื่อนารายณ์บรรทมสินธุ์
- วาสุกี หรือ วาสุกรี เป็นบุตรตนรองผู้รับใช้พระศิวะ ให้ทรงใช้เป็นสังวาลห้อยพระศอ และเสียสละร่างกายเป็นเชือกกวนเกษียรสมุทรแก่เหล่าเทพและอสูร
- ตักษกะ เป็นศัตรูของพระอรชุน ต่อมาพ่ายแพ้จึงถูกเนรเทศไปอยู่ตักศิลา
ตระกูลของพญานาค
[แก้]พญานาคแบ่งออกเป็น 4 ตระกูลด้วยกัน
- ตระกูลวิรูปักษ์
- ตระกูลเอราปถะ
- ตระกูลฉัพยาบุตร
- ตระกูลกัณหาโคตามะ
การเกิดของพญานาค
[แก้]การเกิดของพญานาคแบ่งออกเป็น 4 แบบ
- เกิดในไข่ (อัณฑชะ)
- เกิดในครรภ์ (ชลาพุชะ)
- เกิดจากเหงื่อไคล (สังเสทชะ)
- เกิดแล้วโตทันที (โอปปาติกะ)
พิษของพญานาค
[แก้]แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ
- กัฏฐมุขะ เป็นพญานาคมีพิษ ผู้ใดถูกกัด ร่างกายจะมีอาการแข็งไปหมดทั้งตัว ปวดมากอวัยวะต่าง ๆ ยึดหรืองอไม่ได้
- ปุติมุขะ เป็นพญานาคมีพิษ เมื่อกัดผู้ใดแล้ว รอยแผลที่ถูกกัดจะเน่าลุกลาม มีน้ำเหลืองไหลออกมา ถ้าไม่มียารักษา จะถึงแก่ความตาย
- อัคคิมุขะ เป็นพญานาคมีพิษ ผู้ถูกกัดจะมีอาการร้อนจัดไปทั้งตัว รอยแผลที่ถูกกัดเป็นลักษณะคล้ายถูกไฟไหม้
- สัตถมุขะ เป็นพญานาคมีพิษ ผู้ถูกกัดมีอาการเหมือนถูกฟ้าผ่า
พญานาคทั้งหมดเหล่านี้ มีวิธีทำอันตรายได้ 4 อย่าง คือ
- กัดแล้วให้เกิดพิษซ่านทั้งตัว
- ใช้ตามองดูแล้วพ่นพิษออกทางตา
- มีพิษทั่วไปที่ร่างกาย กระทบถูกตรงที่ใด แพร่พิษให้ได้ทั้งสิ้น
- ใช้ลมหายใจพ่นเป็นพิษ แผ่ซ่านพิษไปทั่ว
พิษที่พญานาคปล่อยออกมาทั้ง 4 วิธีนั้นมีปฏิกิริยาเป็น 4 อย่าง คือ
- พิษแผ่ซ่านไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่รุนแรง
- พิษรุนแรงมาก แต่แผ่ออกไปอย่างช้า ๆ
- พิษรุนแรง แผ่ซ่านรวดเร็ว
- พิษไม่แรง แผ่ออกไปซ้า
อ้างอิง
[แก้]- ↑ ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. พิมพ์ครั้งที่ ๒, กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, 2556. 1,544 หน้า. ISBN 978-616-7073-80-4
- ↑ กุฏิการสิกขาบท, พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑
- ↑ มุจลินทกถา, พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑
- ↑ พระพุทธบัญญัติห้ามฉันเนื้องู, พระไตรปิฎกเล่มที่ ๕ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒
- ↑ อรรกถาพุทธาปทาน, อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ เถราปทาน ๑. พุทธวรรค