ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ประเทศเซอร์เบีย"

พิกัด: 44°N 21°E / 44°N 21°E / 44; 21
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Noobythailand (คุย | ส่วนร่วม)
จัดรูปแบบ +เก็บกวาดด้วยสจห.
Noobythailand (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 125: บรรทัด 125:
== ประวัติศาสตร์ ==
== ประวัติศาสตร์ ==
{{บทความหลัก|ประวัติศาสตร์เซอร์เบีย}}
{{บทความหลัก|ประวัติศาสตร์เซอร์เบีย}}
=== ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ===
{{บทความหลัก|ยุคก่อนประวัติศาสตร์ในเซอร์เบีย|อารยธรรมโรมันในเซอร์เบีย}}
หลักฐานทางโบราณคดีของการตั้งถิ่นฐาน[[ยุคหินเก่า]]ในดินแดนเซอร์เบียในปัจจุบันนั้นหายาก ชิ้นส่วนของกรามมนุษย์ถูกพบในซิเชโว (Mala Balanica) และเชื่อว่ามีอายุมากถึง 525,000–397,000 ปี


ประมาณ 6,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ระหว่าง[[ยุคหินใหม่]] วัฒนธรรมสตาร์เชโวและวินชามีอยู่ในภูมิภาคเบลเกรดยุคใหม่ พวกเขาครอบครองส่วนใหญ่ของยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ (เช่นเดียวกับบางส่วนของ[[ยุโรปกลาง]]และ[[อานาโตเลีย|เอเชียไมเนอร์]]) แหล่งโบราณคดีที่สำคัญหลายแห่งในยุคนี้ รวมถึง เลเปนสกี้ เวียร์ และ Vinča-Belo Brdo ยังคงมีอยู่ใกล้ฝั่ง[[แม่น้ำดานูบ]].{{sfn|Chapman|1981|p=}}{{sfn|Srejović|1988|p=}}
=== การล่มสลาย และ วิกฤติทางการเมือง ===
[[ยูโกสลาเวีย]]เดิมประกอบด้วย 6 สาธารณรัฐสังคมนิยม คือ [[สาธารณรัฐสโลวีเนีย]] [[โครเอเชีย]] เซอร์เบีย [[บอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา]] [[มอนเตเนโกร]] และ[[มาซิโดเนีย]] รวมทั้ง[[คอซอวอ]]และ[[วอยวอดีนา]] ซึ่งเป็นจังหวัดปกครองตนเอง


ในช่วงยุคเหล็ก ชนเผ่าท้องถิ่นของ ทริบัลลี, ดาร์ดานี และ ออทาเรียแท ถูกพบโดยชาวกรีกโบราณในระหว่างการขยายตัวทางวัฒนธรรมและการเมืองสู่ภูมิภาคตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 จนถึงศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราชสครอดิชี เผ่าเซลติกตั้งรกรากอยู่ทั่วพื้นที่ในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช มันกลายเป็นรัฐของชนเผ่าและสร้างป้อมปราการหลายแห่งรวมถึงเมืองหลวงของพวกเขาที่ซิงกิดูนัม (ปัจจุบันคือ[[เบลเกรด]]) และ ไนซอส (ปัจจุบันคือนีส)
{{Multiple image
| align = left
| direction = vertical
| width = 150
| image1 = Carska palata Sirmijum1.JPG
| caption1 =
| image2 = Tetrarchy map3.jpg
| footer = [[เซอร์เรียม]], หนึ่งใน 4 เมืองหลวงของ [[จักรวรรดิโรมัน]] ในช่วง[[จตุราธิปไตย]]
}}
=== ยุคกลาง===
{{บทความหลัก|ประวัติศาสตร์ยุคกลางในเซอร์เบีย}}
[[File:Stephan Dusan Coronation Paja Jovanovic.png|thumb|right|พิธ๊บรมราชาภิเษกของจักรพรรดิ [[สเตฟาน ดูซาน]] ]]

ไวท์เซิร์บ ชนเผ่าสลาฟยุคแรกจาก ไวท์เซอร์เบีย ในที่สุดก็ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ระหว่าง[[แม่น้ำซาวา]]และ[[เทือกเขาไดนาริกแอลป์]]{{sfn|Fine|1991|p=52-53}}{{sfn|Ivić|1995|p=9}}{{sfn|Ćirković|2004|p=11}} ในตอนต้นของศตวรรษที่ 9 เซอร์เบียบรรลุระดับความเป็นรัฐ{{sfn|Fine|1991|p=141}} คริสต์ศาสนิกชนแห่งเซอร์เบียเป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไป สิ้นสุดกลางศตวรรษที่ 9{{sfn|Ćirković|2004|p=15-17}} ในช่วงกลางศตวรรษที่ 10 รัฐเซอร์เบียทอดยาวระหว่าง[[ทะเลเอเดรียติก]] เนเรตวา ซาวา โมราวา และสกาดาร์ ในช่วงศตวรรษที่ 11 และ 12 รัฐเซอร์เบียต่อสู้กับ[[จักรวรรดิไบแซนไทน์]]ที่อยู่ใกล้เคียงบ่อยครั้ง{{sfn|Ćirković|2004|p=23-24}} ระหว่างปี ค.ศ. 1166 ถึงปี ค.ศ. 1371 เซอร์เบียถูกปกครองโดย[[ราชวงศ์เนมันจิช]] (ซึ่งมรดกตกทอดเป็นพิเศษ) ซึ่งรัฐได้รับการยกฐานะเป็นอาณาจักรในปี ค.ศ. 1217{{sfn|Ćirković|2004|p=38}} และ[[จักรวรรดิเซอร์เบีย|จักรวรรดิ]]ในปี 1346{{sfn|Ćirković|2004|p=64}}ภายใต้การปกครองของสเตฟาน ดูซาน [[คริสตจักรออร์ทอดอกซ์เซอร์เบีย]]ได้รับการจัดให้เป็นออโต้เซฟาลัส ในปี 1219,{{sfn|Ćirković|2004|p=28}} ด้วยความพยายามของชาวลุ่มน้ำซาวา นักบุญผู้อุปถัมภ์ของประเทศ และในปี ค.ศ. 1346 ได้รับการยกขึ้นเป็นสังฆราช อนุสาวรีย์แห่งยุคเนมานจิชยังคงอยู่ในอารามหลายแห่ง (หลายแห่งเป็นมรดกโลก) และป้อมปราการ

ในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา รัฐเซอร์เบีย (และอิทธิพล) ได้ขยายตัวอย่างมาก ทางตอนเหนือ (ปัจจุบันคือ[[วอยวอดีนา]]) ถูกปกครองโดยราชอาณาจักรฮังการี ช่วงเวลาหลังปี ค.ศ. 1371 หรือที่เรียกว่าการล่มสลายของจักรวรรดิเซอร์เบีย รัฐที่เคยมีอำนาจแตกแยกออกเป็นหลายอาณาเขต ถึงจุดสูงสุดในยุทธการที่โคโซโว (ค.ศ. 1389) เพื่อต่อต้าน[[จักรวรรดิออตโตมัน]]ที่ผงาดขึ้น.{{sfn|Ćirković|2004|p=84-85}} ในที่สุดพวกออตโตมานก็พิชิตเซอร์เบียเดสโปเทตในปี 1459 การคุกคามของออตโตมันและการพิชิตในที่สุดทำให้ชาวเซิร์บอพยพไปทางตะวันตกและทางเหนือจำนวนมาก.{{sfn|Ćirković|2004|p=107-108}}
=== การปกครองของออตโตมัน และ ราชวงศ์ฮับส์บูร์ก ===
{{บทความหลัก|ประวัติศาสตร์ออตโตมันในเซอร์เบีย|การอพยพของชาวเซิร์บครั้งใหญ่}}
[[File:Battle of Kosovo, Adam Stefanović, 1870.jpg|thumb|left|การสู้รบในสมรภูมิคอซอวอในปี 1389<ref>{{cite book|first=Isabelle|last=Dierauer|title=Disequilibrium, Polarization, and Crisis Model: An International Relations Theory Explaining Conflict|url=https://books.google.com/books?id=GCuDsecLWmYC|date=16 May 2013|publisher=University Press of America|isbn=978-0-7618-6106-5|page=88}}</ref>]]
ในดินแดนเซอร์เบียทั้งหมดที่ถูกยึดครองโดยพวกออตโตมาน ขุนนางพื้นเมืองถูกกำจัดและชาวนาถูกปกครองโดยผู้ปกครองชาวเติร์ก ขณะที่นักบวชส่วนใหญ่หลบหนีหรือถูกจำกัดให้อยู่แต่ในอารามที่โดดเดี่ยว ภายใต้ระบบออตโตมัน ชาวเซิร์บและชาวคริสต์ถือเป็นชนชั้นล่างและต้องเสียภาษีจำนวนมาก และประชากรเซอร์เบียส่วนหนึ่งมีประสบการณ์ในการนับถือศาสนาอิสลาม ชาวเซอร์เบียจำนวนมากถูกเกณฑ์มาระหว่างระบบเดฟเชียร์เม ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการเป็นทาสในจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งเด็กผู้ชายจากครอบครัวคริสเตียนบอลข่านถูกบังคับให้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามและได้รับการฝึกฝนสำหรับหน่วยทหารราบของกองทัพออตโตมันที่รู้จักกันในชื่อ เจนิสซารี่{{sfn|A ́goston|Masters|2010|p=383}}{{sfn|Riley-Smith|2001|p=251}}{{sfn|Rodriguez|1997|p=6}}{{sfn|Kia|2011|p=62}} ระบอบสังฆราชเซอร์เบียแห่งเพชสิ้นสุดลงในปี 1463{{sfn|Ćirković|2004|p=134}} แต่ได้รับการสถาปนาขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1557{{sfn|Ćirković|2004|p=135-136}}{{sfn|Fotić|2008|p=519–520}}{{sfn|Sotirović|2011|p=143–169}} จัดให้มีการจำกัดความต่อเนื่องของประเพณีวัฒนธรรมเซอร์เบียภายในจักรวรรดิออตโตมัน {{sfn|Runciman|1968|p=204}}{{sfn|Kia|2011|p=115}}

ในปี ค.ศ. 1718–39 [[ราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค|ราชวงศ์ฮาพส์บวร์ก]]ได้ยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของเซอร์เบียตอนกลางและสถาปนาราชอาณาจักรเซอร์เบียขึ้นเป็นดินแดนมกุฏราชกุมาร{{sfn|Ćirković|2004|p=151}} ผลประโยชน์เหล่านั้นสูญหายไปโดยสนธิสัญญาเบลเกรดในปี 1739 เมื่อออตโตมานยึดพื้นที่คืนได้{{sfn|Ćirković|2004|p=176}} นอกเหนือจากอาณาเขตของวอยวอดีนาสมัยใหม่ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้จักรวรรดิฮับส์บูร์กแล้ว พื้นที่ตอนกลางของเซอร์เบียก็ถูกราชวงศ์ฮับส์บูร์กยึดครองอีกครั้งในปี 1788-1792

=== ศตวรรษที่ 19 ===
{{บทความหลัก|การลุกขึ้นสู้ของชาวเซิร์บ|ราชรัฐเซอร์เบีย|ราชอาณาจักรเซอร์เบีย}}
การปฏิวัติเซอร์เบียเพื่อเอกราชจากจักรวรรดิออตโตมันกินเวลาสิบเอ็ดปี ตั้งแต่ปี 1804 ถึง 1815{{sfn|Jelavich|1983a|p=193-204}}{{sfn|Pavlowitch|2002|p=29-32}}{{sfn|Radosavljević|2010|p=171-178}}{{sfn|Rajić|2010|p=143-148}} การปฏิวัติประกอบด้วยการลุกฮือที่แยกจากกัน 2 ครั้งซึ่งได้รับเอกราชจากจักรวรรดิออตโตมัน (1830) และในที่สุดก็พัฒนาไปสู่ความเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ (1878) ระหว่างการจลาจลเซอร์เบียครั้งแรก (1804-1813) นำโดย [[คาราจอร์เจ ปีตอร์วิช]] เซอร์เบียเป็นอิสระเป็นเวลาเกือบหนึ่งทศวรรษก่อนที่กองทัพออตโตมันจะสามารถยึดครองประเทศได้อีกครั้ง{{sfn|Ćirković|2004|p=179-183}} หลังจากนั้นไม่นาน การจลาจลในเซอร์เบียครั้งที่สองเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2358 นำโดยมิโลส โอเบรโนวิก และจบลงด้วยการประนีประนอมระหว่างนักปฏิวัติชาวเซอร์เบียกับเจ้าหน้าที่ออตโตมัน{{sfn|Ćirković|2004|p=190-196}} ในทำนองเดียวกัน เซอร์เบียเป็นหนึ่งในชาติแรกๆ ในคาบสมุทรบอลข่านที่ยกเลิก[[ระบบฟิวดัล|ระบบศักดินา]] [[อนุสัญญาอัคเคอร์มาน]] ในปี 1826 [[สนธิสัญญาเอเดรียโนเปิล]]ในปี 1829 และในที่สุด [[ฮัตอี ชารีฟ]] ยอมรับอำนาจการปกครองของเซอร์เบีย รัฐธรรมนูญเซอร์เบียฉบับแรกได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 1835 (วันครบรอบการจลาจลเซอร์เบียครั้งแรก) ทำให้ประเทศนี้เป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่นำรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยมาใช้ในยุโรป.{{sfn|Stavrianos|2000|p=248–250}}{{sfn|Ćirković|2004|p=195}} ปัจจุบันวันที่ 15 กุมภาพันธ์เป็นวันเอกราชซึ่งเป็นวันหยุดราชการ<ref>{{cite web |url=https://fim.edu.rs/en/statehood-day-of-the-republic-of-serbia-2019/ |title=Statehood Day of the Republic of Serbia 2019 |website=School of Engineering Management (Belgrade) |access-date=12 February 2020 }}</ref>

{{multiple images
| footer =[[คาราจอร์เจ ปีตอร์วิช]] และ [[Miloš Obrenović I of Serbia|มีโลส โอเบรโนวิก]], ผู้นำการปฏิวัติ
| image1 = Uroš Knežević - Karađorđe, 1852.jpg
| image2 = MilosObrenovic 1848.jpg
| align = left
| direction =
| total_width = 280
| alt1 =
}}

หลังจากการปะทะกันระหว่างกองทัพออตโตมันและชาวเซิร์บในกรุงเบลเกรดในปี 1862{{sfn|Ćirković|2004|p=214-215}} และภายใต้แรงกดดันจากมหาอำนาจ ในปี 1867 ทหารตุรกีคนสุดท้ายได้ออกจากอาณาเขต ทำให้ประเทศเป็นอิสระโดยพฤตินัย{{sfn|Jelavich|1983a|p=246}}โดยการตรารัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ในปี 1869{{sfn|Pavlowitch|2002|p=58}} นักการทูตเซอร์เบียยืนยันความเป็นอิสระของประเทศโดยพฤตินัยโดยไม่ปรึกษาปอร์เต ในปี 1876 เซอร์เบียได้ประกาศสงครามกับจักรวรรดิออตโตมัน โดยเข้าข้างการลุกฮือของชาวคริสต์อย่างต่อเนื่องในบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนาและบัลแกเรีย{{sfn|Pavlowitch|2002|p=63-64}}{{sfn|Ćirković|2004|p=224}}

=== ศตวรรษที่ 20 ===
{{บทความหลัก|สงครามบอลข่าน|การทัพเซอร์เบีย (สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง)|ราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย}}
ในช่วงสงครามบอลข่านครั้งที่หนึ่งในปี 1912 สันนิบาตบอลข่านเอาชนะจักรวรรดิออตโตมันและยึดดินแดนยุโรปได้ ซึ่งทำให้สามารถขยายอาณาเขตของอาณาจักรเซอร์เบียไปยังภูมิภาคราสกา คอซอวอ เมโตฮิจา และวาร์ดาเรียนมาซิโดเนีย ในไม่ช้าสงครามบอลข่านครั้งที่สองก็เกิดขึ้นเมื่อบัลแกเรียหันหลังให้กับอดีตพันธมิตร แต่พ่ายแพ้ ส่งผลให้สนธิสัญญาบูคาเรสต์ ในสองปี เซอร์เบียขยายอาณาเขตของตน 80% และประชากรเพิ่มขึ้น 50%<ref name="Collection of Cooper Hewitt, Smithsonian Design Museum 1914">{{cite web | title=Serbia - Countries | website=Collection of Cooper Hewitt, Smithsonian Design Museum | date=1914-06-28 | url=https://collection.cooperhewitt.org/countries/20069818/ | access-date=2021-06-20}}</ref> นอกจากนี้ยังได้รับบาดเจ็บจำนวนมากในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งโดยมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 36,000 คน{{sfn|Hall|2000|p=135}} ออสเตรีย-ฮังการีเริ่มระแวดระวังอำนาจในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้นบริเวณพรมแดน และศักยภาพในการเป็นสมอเรือในการรวมชาวเซิร์บและชาวสลาฟใต้อื่นๆ เข้าด้วยกัน และความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศก็ตึงเครียดขึ้น
[[File:Serbiancolumnretreat1915.jpg|thumb|right|upright=1.0|Great Serbian Retreat ในปี 1915 นำโดย[[สมเด็จพระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 แห่งเซอร์เบีย|ปีเตอร์ที่ 1]]แห่งเซอร์เบีย ในฐานะส่วนหนึ่งของ Entente Powers ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เซอร์เบียสูญเสียผู้คนไปประมาณ 850,000 คน ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ของประชากรก่อนสงคราม{{sfn|Curtis|1992|p=28}}]]
การลอบสังหาร[[อาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดีนันท์ แห่งออสเตรีย|อาร์ชดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์]]แห่งออสเตรียเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1914 ใน[[ซาราเยโว]]โดย[[กัฟรีโล ปรินซีป]] ซึ่งเป็นสมาชิกขององค์กรเยาวชนทำให้ออสเตรีย-ฮังการีประกาศสงครามกับเซอร์เบียเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม {{sfn|Ćirković|2004|p=246-247}} สงครามท้องถิ่นทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อ[[จักรวรรดิเยอรมัน|เยอรมนี]]ประกาศสงครามกับ[[จักรวรรดิรัสเซีย|รัสเซีย]]และรุกราน[[สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3|ฝรั่งเศส]]และ[[ประเทศเบลเยียม|เบลเยียม]] ด้วยเหตุนี้จึงดึงบริเตนใหญ่เข้าสู่ความขัดแย้งที่กลายเป็นสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เซอร์เบียชนะการรบครั้งใหญ่ครั้งแรกของสงครามโลกครั้งที่ 1 รวมทั้งการรบแห่งเซอร์{{sfn|Mitrović|2007|p=69}} และยุทธการโคลูบารา นับเป็นชัยชนะครั้งแรกของ[[ฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง|ฝ่ายสัมพันธมิตร]]ต่อ[[ฝ่ายมหาอำนาจกลาง]]ในสงครามโลกครั้งที่ 1
===ราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย===
{{บทความหลัก|ราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย|การสถาปนายูโกสลาเวีย}}
จุดเริ่มต้นของแนวคิดของรัฐสลาฟใต้ร่วมกันครั้งแรกคือการลงนามในคำประกาศบนคอร์ฟูในปี 1917<ref>{{cite web|url=https://ww1live.wordpress.com/2017/07/20/corfu-2/|title = 20/7/1917 the Corfu Declaration: Plans for a future Yugoslavia|date = 20 July 2017}}</ref> ปฏิญญาคอร์ฟูเป็นข้อตกลงอย่างเป็นทางการระหว่างรัฐบาลพลัดถิ่นของ[[ราชอาณาจักรเซอร์เบีย]]และคณะกรรมการยูโกสลาเวีย (กลุ่มต่อต้านชาวสลาฟใต้แห่งราชวงศ์ฮับส์บูร์ก) ซึ่งให้คำมั่นว่าจะรวมราชอาณาจักรเซอร์เบียและ[[ราชอาณาจักรมอนเตเนโกร]]เข้ากับดินแดนปกครองตนเองของชาวสลาฟใต้ของออสเตรีย-ฮังการี ได้แก่ [[ราชอาณาจักรโครเอเชีย-สลาโวเนีย]] [[ราชอาณาจักรแดลเมเชีย]] สโลวีเนีย วอยวอดีนา (ขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของ[[ราชอาณาจักรฮังการี]]) และบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาในรัฐยูโกสลาเวียหลังสงคราม มีการลงนามเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 1917 ที่คอร์ฟู

[[File:Velika-narodna-skupstina-1918.jpg|thumb|left|upright=1.0|สมัชชาประชาชนชาวเซิร์บ บุนเยฟซี และชาวสลาฟอื่นๆ ในบานัต บาชกา และบารันยา]]
เมื่อจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีล่มสลาย ดินแดนของซีร์มีอารวมเป็นหนึ่งเดียวกับเซอร์เบียในวันที่ 24 พฤศจิกายน 1918 เพียงหนึ่งวันต่อมาในวันที่ 25 พฤศจิกายน 1918 สมัชชาประชาชนชาวเซิร์บ บุนเยฟซี และชาวสลาฟอื่นๆ ในบานัต บาชกา และบารันยาได้ประกาศการรวมภูมิภาคเหล่านี้ ([[บานัต]] [[บาชกา]] และ[[บารันยา]]) กับราชอาณาจักรเซอร์เบีย<ref>[http://www.arhivyu.gov.rs/active/en/home/glavna_navigacija/leksikon_jugoslavije/konstitutivni_akti_jugoslavije/prvodecembarski_akt.html Arhiv Jugoslavije – 1 December Act, 1 December 1918<!-- Bot generated title -->]</ref>

เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 1918 สภาพอดกอรีตซา ได้ปลดสภาเปโตรวิช-นเยโกสและรวมมอนเตเนโกรเข้ากับเซอร์เบีย<ref>Bojovi, Jovan,Zakonik knjza Danila,Titograd: Istorijski institut Crne Gore, 1982.––––––, Podgorič ka skupština 1918: dokumenta, Gornji Milanovac: Dečje novine, 1989.</ref> เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2461 ในกรุงเบลเกรด เจ้าชายผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์[[สมเด็จพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 1 แห่งยูโกสลาเวีย|อเล็กซานเดอร์]]แห่งเซอร์เบียได้ประกาศราชอาณาจักรเซอร์เบีย โครแอต และสโลวีเนีย ภายใต้[[สมเด็จพระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 แห่งเซอร์เบีย|กษัตริย์ปีเตอร์ที่ 1 แห่งเซอร์เบีย]]{{sfn|Pavlowitch|2002|p=108-109}}{{sfn|Ćirković|2004|p=251-252}}

กษัตริย์ปีเตอร์ขึ้นครองราชย์ต่อจากอเล็กซานเดอร์ ลูกชายของเขาในเดือนสิงหาคม 1921 พวกรวมศูนย์ชาวเซอร์เบียและพวกปกครองตนเองชาวโครแอตปะทะกันในรัฐสภา และรัฐบาลส่วนใหญ่เปราะบางและมีอายุสั้น นิโคลา ปาซิช นายกรัฐมนตรีหัวอนุรักษ์นิยมเป็นผู้นำหรือครอบงำรัฐบาลส่วนใหญ่จนกระทั่งเสียชีวิต กษัตริย์อเล็กซานเดอร์สถาปนาการปกครองแบบเผด็จการในปี 1929 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างอุดมการณ์ยูโกสลาเวียและรวมประเทศยูโกสลาเวียเดียว เปลี่ยนชื่อประเทศเป็นยูโกสลาเวีย และเปลี่ยนการแบ่งแยกภายในจาก 33 แคว้นเป็นบาโนวินาใหม่ 9 แห่ง ผลของการปกครองแบบเผด็จการของอเล็กซานเดอร์คือการทำให้คนที่ไม่ใช่ชาวเซิร์บที่อาศัยอยู่ในยูโกสลาเวียแปลกแยกจากแนวคิดเรื่องเอกภาพ{{sfn|Stavrianos|2000|p=624}}

อเล็กซานเดอร์ถูกลอบสังหารในมาร์กเซย ระหว่างการเยือนอย่างเป็นทางการในปี 1934 โดยวลาโด เชอร์โนเซ็มสกี สมาชิกของ IMRO อเล็กซานเดอร์ได้รับการสืบทอดตำแหน่งโดย[[สมเด็จพระเจ้าปีเตอร์ที่ 2 แห่งยูโกสลาเวีย|ปีเตอร์ที่ 2]] ลูกชายวัย 11 ขวบของเขา และสภาผู้สำเร็จราชการนำโดยเจ้าชายพอล ลูกพี่ลูกน้องของเขา ในเดือนสิงหาคม 1939 ความตกลง Cvetković–Maček ได้จัดตั้งบานัต ปกครองตนเองของโครเอเชียขึ้นเพื่อเป็นทางออกสำหรับข้อกังวลของชาวโครเอเชีย

===สงครามโลกครั้งที่ 2===
{{บทความหลัก|วิกฤติการณ์ยูโกสลาเวีย|แนวรบยูโกสลาเวีย|สงครามโลกครั้งที่สองในยูโกสลาเวีย}}
Iในปี 1941 แม้ว่ายูโกสลาเวียจะพยายามวางตัวเป็นกลางในสงคราม แต่ฝ่ายอักษะก็รุกรานยูโกสลาเวีย ดินแดนของเซอร์เบียสมัยใหม่ถูกแบ่งระหว่างฮังการี บัลแกเรีย รัฐเอกราชของโครเอเชีย เกรตเตอร์แอลเบเนีย และมอนเตเนโกร ในขณะที่ส่วนที่เหลือของเซอร์เบียที่ถูกยึดครองอยู่ภายใต้การปกครองของกองทัพนาซีเยอรมนี โดยมีรัฐบาลหุ่นเชิดของเซอร์เบียที่นำโดย มิลาน อชิโมวิช และมิลาน เนดิช ได้รับความช่วยเหลือจากดิมิทริเย โยติช องค์กรฟาสซิสต์ Yugoslav National Movement (Zbor)
[[File:Children_in_Stara_Gradiska.jpg|thumb|right|แม่และเด็กที่ค่ายกักกัน Ustaše Stara Gradiška ของโครเอเชีย ซึ่งเป็นค่ายของชาวเซิร์บและชาวยิวใน[[รัฐเอกราชโครเอเชีย]]ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ภาพระหว่างปี 1942 ถึง 1945]]

ดินแดนยูโกสลาเวียเป็นฉากของสงครามกลางเมืองระหว่าง[[เชทนิกส์|เชตนิกส์]]ผู้นิยมกษัตริย์ซึ่งได้รับคำสั่งจาก Draža Mihailović และพรรคคอมมิวนิสต์ที่ [[ยอซีป บรอซ ตีโต|ยอซีฟ บรอซ ตีโต]] บัญชาการ หน่วยสนับสนุนฝ่ายอักษะของกองอาสาสมัครเซอร์เบียและหน่วยพิทักษ์รัฐเซอร์เบียต่อสู้กับกองกำลังทั้งสองนี้ การปิดล้อมของ คราลเยโว เป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ของการจลาจลในเซอร์เบีย นำโดยกองกำลัง เชทนิกส์เพื่อต่อต้านพวกนาซี หลายวันหลังจากการสู้รบเริ่มขึ้น กองกำลังเยอรมันได้สังหารหมู่พลเรือนประมาณ 2,000 คนในเหตุการณ์ที่เรียกว่าการสังหารหมู่คราลเยโว เพื่อเป็นการตอบโต้การโจมตี

การสังหารหมู่ ดราจิแนก และ โลซนิก้า ของชาวบ้าน 2,950 คนในเซอร์เบียตะวันตกในปี 2484 ถือเป็นการประหารชีวิตพลเรือนครั้งใหญ่ครั้งแรกในเซอร์เบียที่ถูกยึดครองโดยชาวเยอรมัน โดยการสังหารหมู่ครากูเยวัตส์ และ Novi Sad Raid ของชาวยิวและเซอร์เบียโดยพวกฟาสซิสต์ฮังการีนั้นโด่งดังที่สุด โดยมีเหยื่อมากกว่า 3,000 รายในแต่ละกรณี{{sfn|Pavlowitch|2008|p=62}}<ref>{{cite news|title=The Kragujevac massacre |first=Karl |last=Savich |url=http://www.pogledi.rs/kragujevac/english/1e.php |url-status=dead |archive-url=https://web.archive.org/web/20121217101508/http://www.pogledi.rs/kragujevac/english/1e.php |archive-date=17 December 2012 }}</ref> หลังจากยึดครองได้หนึ่งปี ชาวยิวเซอร์เบียราว 16,000 คนถูกสังหารในพื้นที่ หรือราว 90% ของประชากรยิวก่อนสงครามระหว่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในเซอร์เบีย ค่ายกักกันหลายแห่งถูกสร้างขึ้นทั่วพื้นที่ ค่ายกักกันบันจิกาเป็นค่ายกักกันที่ใหญ่ที่สุดและดำเนินการร่วมกันโดยกองทัพเยอรมันและระบอบการปกครองของเนดิช<ref name="Israeli2013">{{cite book|first=Raphael|last=Israeli|title=The Death Camps of Croatia: Visions and Revisions, 1941–1945|url=https://books.google.com/books?id=M66fG2bhi1AC&pg=PA31|access-date=12 May 2013|date=4 March 2013|publisher=Transaction Publishers|isbn=978-1-4128-4930-2|page=31}}</ref> โดยมีเหยื่อหลักคือชาวยิวเซอร์เบีย [[ชาวโรมานี|โรมา]] และนักโทษการเมืองชาวเซิร์บ<ref name=JewishHeritage>{{cite web|url=http://www.jewish-heritage-europe.eu/country/serbia/serbia2.htm|archive-url=https://web.archive.org/web/20100630011836/http://www.jewish-heritage-europe.eu/country/serbia/serbia2.htm|url-status=dead|archive-date=30 June 2010|title=Jewish Heritage Europe – Serbia 2 – Jewish Heritage in Belgrade|publisher=Jewish Heritage Europe|access-date=28 April 2010}}</ref>

ในช่วงเวลานี้ ชาวเซิร์บหลายแสนคนได้หลบหนีจาก[[รัฐหุ่นเชิด]]ของฝ่ายอักษะที่รู้จักกันในชื่อ[[รัฐเอกราชโครเอเชีย]] และแสวงหาที่ลี้ภัยในเซอร์เบียที่ถูกยึดครองโดยเยอรมัน โดยพยายามหลบหนีการประหัตประหารขนานใหญ่และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเซอร์เบีย ชาวยิว และชาวโรมา ซึ่งกระทำโดยระบอบการปกครองของ[[อูสตาเช]]<ref>{{cite web|website=Britannica OnlineEncyclopedia |url=http://www.britannica.com/EBchecked/topic/620426/Ustasa|title=Ustaša|publisher=Britannica.com|access-date=28 April 2010}}</ref> จำนวนเหยื่อชาวเซิร์บมีประมาณ 300,000 ถึง 350,000 คน<ref>{{cite book |last=Yeomans |first=Rory |title=The Utopia of Terror: Life and Death in Wartime Croatia |url=https://books.google.com/books?id=8HEDCwAAQBAJ |year=2015 |publisher=Boydell & Brewer |isbn=978-1-58046-545-8 |page=18}}</ref><ref>{{cite web |title=Ustasa |url=https://www.yadvashem.org/odot_pdf/Microsoft%20Word%20-%205904.pdf |publisher=yadvashem.org |access-date=25 June 2018}}</ref><ref>{{cite web| title=Genocide of the Serbs| url= http://combatgenocide.org/?page_id=86 |publisher=The Combat Genocide Association}}</ref>

ตามคำกล่าวของตีโต ชาวเซิร์บประกอบด้วยนักสู้ต่อต้านฟาสซิสต์และ[[พลพรรคยูโกสลาเวีย]]ส่วนใหญ่ตลอดช่วง[[สงครามโลกครั้งที่สอง]]<ref>{{Cite book |last=Tito |first=Josip Broz |date=1945 |title=Nacionalno pitanje u Jugoslaviji: u svjetlosti narodnooslobodilačke borbe |location=Zagreb |url=https://books.google.com/books?id=MPsfnQEACAAJ |publisher=Naprijed |language=hr |page=11 |quote=Moram ovdje podvući činjenicu da su u redovima naše Narodno-oslbodilačke vojske i partizanskih odreda u Jugoslaviji, od samog početka pa do danas, nalaze u ogromnoj većini baš Srbi, umjesto da to bude obratno.}}</ref>[[สาธารณรัฐอูซิตเซ]]เป็นดินแดนที่ได้รับการปลดปล่อยในช่วงสั้นๆ ก่อตั้งโดยพรรคพวก และเป็นดินแดนที่ได้รับการปลดปล่อยครั้งแรกในยุโรปในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยได้รับการจัดระเบียบเป็นรัฐย่อยทางการทหารที่มีขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงปี 1941 ทางตะวันตกของเซอร์เบียที่ถูกยึดครอง ช่วงปลายปี 1944 ฝ่ายรุกเบลเกรดเข้าข้างพรรคพวกในสงครามกลางเมือง ต่อมาพรรคพวกได้ควบคุมยูโกสลาเวีย<ref>{{cite web |author=PM |url=http://www.bulgaria-italia.com/bg/info/storia/partigiani.asp|title=Storia del movimento partigiano bulgaro (1941–1944)|publisher=Bulgaria – Italia|access-date=28 April 2010}}</ref> หลังจากการรุกเบลเกรด แนวรบซีเรียเป็นปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่สองในเซอร์เบีย การศึกษาโดย วลาดิมีร์ เซียร์ยาวิช ประมาณการผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสงครามทั้งหมดในยูโกสลาเวียที่ 1,027,000 คน รวมถึง 273,000 คนในเซอร์เบีย<ref>{{cite book|last=Žerjavić |first=Vladimir |title=Yugoslavia: Manipulations with the Number of Second World War Victims |year=1993 |publisher=Croatian Information Centre |url=http://www.hic.hr/books/manipulations/index.htm |isbn=978-0-919817-32-6}}</ref>

===ยุคคอมมิวนิสต์===
{{บทความหลัก|สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย}}
พวกเขาได้รับชัยชนะจากพรรคคอมมิวนิสต์ส่งผลให้มีการยกเลิกระบอบกษัตริย์และมีการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญตามมา รัฐพรรคเดียวก่อตั้งขึ้นในยูโกสลาเวียในไม่ช้าโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งยูโกสลาเวีย มีการอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตระหว่าง 60,000 ถึง 70,000 คนในเซอร์เบียระหว่างการปฏิวัติและกวาดล้างในปี 1944–45<ref>{{cite web|author=Tanjug |url=http://www.mondo.rs/a622628/Info/Drustvo/Posle-rata-u-Srbiji-streljano-preko-60.000-civila.html |title=Posle rata u Srbiji streljano preko 60.000 civila |publisher=Mondo.rs }}</ref> ฝ่ายค้านทั้งหมดถูกปราบปรามและผู้คนที่คิดว่าส่งเสริมการต่อต้านสังคมนิยมหรือส่งเสริมการแบ่งแยกดินแดนถูกจำคุกหรือประหารชีวิตในข้อหายุยงปลุกปั่น เซอร์เบียกลายเป็นสาธารณรัฐที่มีส่วนประกอบภายใน[[สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย]] (SFRY) หรือที่เรียกว่าสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งเซอร์เบีย และมีสาขาสาธารณรัฐของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหพันธรัฐ สันนิบาตคอมมิวนิสต์แห่งเซอร์เบีย
[[File:Konferencija_Pokreta_nesvrstanih_1961._godine.jpg|thumb|left|The principle of non-alignment was the core of Yugoslav and later Serbian diplomacy. The First [[Non-Aligned Movement]] Summit Conference took place in [[Belgrade]] in September 1961]]

นักการเมืองที่มีอำนาจและทรงอิทธิพลที่สุดของเซอร์เบียในยูโกสลาเวียยุคตีโตคืออเล็กซานดาร์ รังโควิช ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำยูโกสลาเวีย "บิ๊กโฟร์" ร่วมกับตีโต้ เอ็ดวาร์ด คาร์เดลจ์ และมิโลวาน ดิลาส ต่อมารันโควิช ถูกถอดจากสำนักงานเนื่องจากความขัดแย้งเกี่ยวกับการตั้งชื่อของคอซอวอและเอกภาพของเซอร์เบีย การเลิกจ้างรันโควิชไม่เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ชาวเซิร์บ นักปฏิรูปที่สนับสนุนการกระจายอำนาจในยูโกสลาเวียประสบความสำเร็จในช่วงปลายทศวรรษ 1960 ในการกระจายอำนาจอย่างเป็นรูปธรรม สร้างเอกราชในโคโซโวและวอจโวดินา และยอมรับสัญชาติ "มุสลิม" ที่โดดเด่น อันเป็นผลมาจากการปฏิรูปเหล่านี้ มีการยกเครื่องครั้งใหญ่ของระบบการตั้งชื่อและตำรวจของคอซอวอ ซึ่งเปลี่ยนจากการถูกครอบงำโดยชาวเซิร์บไปสู่การครอบงำโดยกลุ่มชาติพันธุ์แอลเบเนียผ่านการยิงชาวเซอร์เบียในวงกว้าง มีการให้สัมปทานเพิ่มเติมกับชาวอัลเบเนียในโคโซโวเพื่อตอบสนองต่อความไม่สงบ รวมถึงการสร้างมหาวิทยาลัยพริสตีนา ให้เป็นสถาบันภาษาแอลเบเนีย การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สร้างความหวาดกลัวอย่างกว้างขวางในหมู่ชาวเซอร์เบียว่าจะถูกปฏิบัติเหมือนเป็นพลเมืองชั้นสอง<ref>{{cite book |first1=Melissa Katherine |last1=Bokovoy |first2=Jill A. |last2=Irvine |first3=Carol S. |last3=Lilly |title=State-society relations in Yugoslavia, 1945–1992 |location=Scranton, Pennsylvania |publisher=Palgrave Macmillan |year=1997 |pages=295–296, 301}}</ref>

เบลเกรด เมืองหลวงของ SFR ยูโกสลาเวียและ SR เซอร์เบีย เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดการเคลื่อนไหวที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดครั้งแรกในเดือนกันยายน 1961 ตลอดจนการประชุมใหญ่ครั้งแรกของ[[องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป]] (OSCE) โดยมีจุดประสงค์เพื่อดำเนินการตามข้อตกลงเฮลซิงกิตั้งแต่เดือนตุลาคม 1977 ถึงมีนาคม 1978<ref>{{cite book|last=Norris|first=David A|title=Belgrade A Cultural History|publisher=Oxford University Press|isbn=978-0-19-988849-8|year=2008|page=134}}</ref><ref>{{cite book|last1=Bilandžić|first1=Vladimir|last2=Dahlmann|first2=Dittmar|last3=Kosanović|first3=Milan |title=From Helsinki to Belgrade: The First CSCE Follow-up Meeting and the Crisis of Détente|publisher=Vandenhoeck & Ruprecht|isbn=978-3-89971-938-3|year=2012|pages=163–184}}</ref> การระบาดของโรคไข้ทรพิษในปี 1972 ในคอซอวอและส่วนอื่นๆของเซอร์เบีย เป็นการระบาดครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายของไข้ทรพิษในยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง<ref>{{cite journal|last=Trifunović|first=Vesna|title=Patterns of competitive authoritarianism in the Western Balkans|journal=Glasnik Etnografskog instituta SANU|date=July 2018|volume=65|issue=1|pages=127–145|doi=10.2298/GEI1701127T|doi-access=free}}</ref>

=== การล่มสลาย และ วิกฤติทางการเมือง===
[[File:Stevan Kragujevic, Slobodan Milosevic, portret (cropped).jpg|160px|thumb|right|[[สลอบอดัน มีลอเชวิช]] เป็นบุคคลสำคัญทางการเมืองในอดีตยูโกสลาเวีย ความเป็นผู้นำของเขาเป็นที่ถกเถียงกัน โดยนักวิจารณ์ระบุว่ารัฐบาลของเขายังคงเป็นเผด็จการแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ]]
{{บทความหลัก|การล่มสลายของยูโกสลาเวีย|สงครามยูโกสลาเวีย|สงครามคอซอวอ|สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย}}
ในปี 1989 [[สลอบอดัน มีลอเชวิช]] ขึ้นสู่อำนาจในเซอร์เบีย มีลอเชวิชสัญญาว่าจะลดอำนาจสำหรับจังหวัดปกครองตนเองคอซอวอและวอยวอดีนา ซึ่งพันธมิตรของเขาเข้ามายึดอำนาจในเวลาต่อมา ในระหว่างการปฏิวัติต่อต้านระบบราชการ<ref>{{cite book|url=https://books.google.com/books?id=d5np99Vgc0YC&q=anti-bureaucratic+revolution&pg=PA165|title=The Destruction of Yugoslavia: tracking the break-up 1980–92 (pp 165–170)|first=Branka|last=Magaš|year=1993|publisher=Verso|isbn=978-0-86091-593-5}}</ref> สิ่งนี้จุดชนวนความตึงเครียดระหว่างผู้นำคอมมิวนิสต์ของสาธารณรัฐอื่น ๆ ของยูโกสลาเวีย และปลุกกระแสชาตินิยมทางชาติพันธุ์ทั่วยูโกสลาเวีย ซึ่งส่งผลให้ประเทศแตกแยกในที่สุด โดย[[ประเทศสโลวีเนีย|สโลวีเนีย]] [[ประเทศโครเอเชีย|โครเอเชีย]] [[ประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา|บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา]] และ[[มาซิโดเนีย (กรีซ)|มาซิโดเนีย]]ประกาศเอกราชระหว่างปี 1991 และ 1992<ref>{{cite news|url=https://www.nytimes.com/1992/01/16/world/breakup-of-yugoslavia-leaves-slovenia-secure-croatia-shaky.html|work=The New York Times|title=Breakup of Yugoslavia Leaves Slovenia Secure, Croatia Shaky|first=Stephen|last=Engelberg|date=16 January 1992|access-date=6 April 2010}}</ref>{{better source needed|date=March 2017}} เซอร์เบียและมอนเตเนโกรยังคงรวมกันเป็น[[ประเทศเซอร์เบียและมอนเตเนโกร|สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย]] (FRY) อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของ Badinter Commission ประเทศนี้ไม่ได้ถูกพิจารณาว่ามีความต่อเนื่องจากยูโกสลาเวียเดิม แต่เป็นรัฐใหม่

[[สงครามยูโกสลาเวีย]] (1991-2001) ปะทุขึ้นด้วยแรงกระตุ้นจากความตึงเครียดทางชาติพันธุ์ โดยความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในโครเอเชียและบอสเนีย ซึ่งชุมชนชาวเซิร์บกลุ่มใหญ่ต่อต้านการเป็นอิสระจากยูโกสลาเวีย ยูโกสลาเวียยังคงอยู่นอกความขัดแย้ง แต่ให้การสนับสนุนด้านลอจิสติกส์ การทหาร และการเงินแก่กองกำลังเซิร์บในสงคราม เพื่อเป็นการตอบโต้ สหประชาชาติได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อยูโกสลาเวีย ซึ่งนำไปสู่การโดดเดี่ยวทางการเมืองและการล่มสลายของเศรษฐกิจ (จีดีพีลดลงจาก 24 พันล้านดอลลาร์ในปี 2533 เป็นต่ำกว่า 10 พันล้านดอลลาร์ในปี 2536) เซอร์เบียถูกฟ้องร้องในช่วงทศวรรษ 2000 ในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาและโครเอเชียที่อยู่ใกล้เคียง แต่ในทั้งสองกรณี ข้อกล่าวหาหลักต่อเซอร์เบียถูกยกฟ้อง<ref>{{cite web|date=2007-02-26|title=Serbia not guilty of genocide|url=https://humanrightshouse.org/articles/serbia-not-guilty-of-genocide-2/|access-date=2021-07-21|website=Human Rights House Foundation|language=en-US}}</ref>
===ประวัติศาสตร์ยุคปัจจุบัน===
เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2006 มอนเตเนโกรจัด[[การลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชของมอนเตเนโกร พ.ศ. 2549|การลงประชามติ]]เพื่อตัดสินว่าจะยุติการเป็นสหภาพกับเซอร์เบียหรือไม่ ผลปรากฏว่า 55.4% ของผู้ลงคะแนนสนับสนุนเอกราช ซึ่งสูงกว่า 55% ที่ผู้ลงประชามติกำหนด ตามมาด้วยการประกาศเอกราชของเซอร์เบียในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2549 นับเป็นการสลายตัวขั้นสุดท้ายของสหภาพแห่งรัฐเซอร์เบียและมอนเตเนโกร และการเกิดขึ้นใหม่ของเซอร์เบียในฐานะรัฐเอกราชเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ 1918 ในโอกาสเดียวกัน สมัชชาแห่งชาติเซอร์เบียได้ประกาศให้เซอร์เบียเป็นผู้สืบทอดทางกฎหมายของสหภาพรัฐเดิม<ref>{{cite news|url=http://news.bbc.co.uk/2/hi/europe/5083690.stm|title=Montenegro gets Serb recognition|publisher=BBC|date=15 June 2006}}</ref>

สมัชชาแห่งคอซอวอประกาศเอกราชจากเซอร์เบียเพียงฝ่ายเดียวเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2008 เซอร์เบียประณามการประกาศดังกล่าวทันทีและยังคงปฏิเสธความเป็นมลรัฐใดๆ ต่อคอซอวอ คำประกาศดังกล่าวได้จุดประกายการตอบสนองที่หลากหลายจากประชาคมระหว่างประเทศ บางชาติยอมรับ ขณะที่ชาติอื่นๆ ประณามการเคลื่อนไหวฝ่ายเดียว<ref name="New York Sun">{{cite news|url=http://www.nysun.com/foreign/rift-emerges-at-the-united-nations-over-kosovo/71420/|title=Rift Emerges at the United Nations Over Kosovo|newspaper=New York Sun|date=19 February 2008}}</ref> การเจรจาสถานะเป็นกลางระหว่างเจ้าหน้าที่เซอร์เบียและคอซอวอ-แอลเบเนียจัดขึ้นที่[[บรัสเซลส์|กรุงบรัสเซลส์]] โดยมีสหภาพยุโรปเป็นผู้ไกล่เกลี่ย

เซอร์เบียสมัครเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2009<ref>{{cite web|url=http://www.mfa.gov.rs/en/foreign-policy/eu/republic-of-serbia-eu |title=Republic of Serbia – European Union |publisher=Ministry of Foreign Affairs |access-date=24 June 2013 |url-status=dead |archive-url=https://web.archive.org/web/20130506084426/http://www.mfa.gov.rs/en/foreign-policy/eu/republic-of-serbia-eu |archive-date=6 May 2013 }}</ref> และได้รับสถานะผู้สมัครในวันที่ 1 มีนาคม 2012 หลังจากล่าช้าในเดือนธันวาคม 2011<ref name="bbc">{{cite news|url=https://www.bbc.co.uk/news/world-europe-17225415|work=BBC News|title=EU leaders grant Serbia candidate status|date=1 March 2012|access-date=2 March 2012}}</ref><ref>{{cite web|url=http://euobserver.com/enlargement/115466|title=Serbia gets EU candidate status, Romania gets nothing|publisher=EUobserver|date=2 March 2012|access-date=24 June 2013}}</ref> ตามคำแนะนำในเชิงบวกของ[[คณะกรรมาธิการยุโรป]]และ[[คณะมนตรียุโรป]]ในเดือนมิถุนายน 2013 การเจรจาเพื่อเข้าร่วมสหภาพยุโรปจึงเริ่มขึ้นในเดือนมกราคม 2014<ref>{{cite web |url=http://www.consilium.europa.eu/uedocs/cms_data/docs/pressdata/en/ec/137634.pdf |title= conclusions of the European Council (27/28 June 2013) |website=[[European Council]] |date= |accessdate=2021-11-19 |url-status=dead |archive-url=https://web.archive.org/web/20130705123423/http://www.consilium.europa.eu/uedocs/cms_data/docs/pressdata/en/ec/137634.pdf |archive-date=2013-07-05}}</ref>

ตั้งแต่ [[อาเล็กซานดาร์ วูชิช|อาเล็กซานดาร์ วูซิช]] และ พรรค Serbian Progressive เข้ามามีอำนาจในปี 2012<ref>{{cite web |title=Serbia: Nations in Transit 2020 Country Report |url=https://freedomhouse.org/country/serbia/nations-transit/2020 |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20201030120841/https://freedomhouse.org/country/serbia/nations-transit/2020 |archive-date=30 October 2020 |access-date=3 November 2020 |website=[[Freedom House]]}}</ref><ref>{{Cite web |last=Fruscione |first=Giorgio |date=2020-10-02 |title=Serbia: From Milosevic to Vucic, Return Ticket |url=https://www.ispionline.it/it/pubblicazione/serbia-milosevic-vucic-return-ticket-27699 |access-date=2022-07-23 |website=ISPI |language=it}}</ref> เซอร์เบียได้รับความเดือดร้อนจากการเสื่อมถอยของระบอบประชาธิปไตยไปสู่[[ลัทธิอำนาจนิยม|อำนาจนิยม]]<ref name="Freedom House 2019">{{cite news |url=http://rs.n1info.com/English/NEWS/a457849/Freedom-House-ranks-Serbia-as-Partly-Free-in-latest-report.html |website=N1 |title=Freedom House ranks Serbia as Partly Free in latest report |date=5 February 2019 |access-date=5 February 2019 |archive-date=7 February 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20190207020214/http://rs.n1info.com/English/NEWS/a457849/Freedom-House-ranks-Serbia-as-Partly-Free-in-latest-report.html |url-status=dead }}</ref><ref>{{cite book|last=Voltmer|first=Katrin |title=Media, Communication and the Struggle for Democratic Change: Case Studies on Contested Transitions|publisher=Springer Nature|isbn=978-3-030-16747-9|year=2019|page=6}}</ref><ref>{{cite journal |last1=Bieber |first1=Florian |title=Patterns of competitive authoritarianism in the Western Balkans|journal=East European Politics|date=July 2018|volume=38|issue=3|pages=337–54|doi=10.1080/21599165.2018.1490272|doi-access=free}}</ref> ตามด้วยการลดลงของเสรีภาพสื่อและเสรีภาพของพลเมือง<ref>{{cite journal|last1=Maerz|first1=Seraphine F|display-authors=etal|title=State of the world 2019: autocratization surges – resistance grows |journal=Democratization |date=April 2020|volume=27|issue=6|pages=909–927|doi=10.1080/13510347.2020.1758670|doi-access=free}}</ref><ref>{{cite journal |last1=Castaldo |first1=Antonino |last2=Pinna |first2=Alessandra |title=De-Europeanization in the Balkans. Media freedom in post-Milošević Serbia |journal=European Politics and Society |year=2017|volume=19|issue=3|pages=264–281 |doi=10.1080/23745118.2017.1419599 |hdl=10451/30737 |s2cid=159002076|hdl-access=free}}</ref> หลังจากการระบาดใหญ่ของ[[โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019|โควิด-19]] แพร่กระจายไปยังเซอร์เบียในเดือนมีนาคม 2020 มีการประกาศ[[สถานการณ์ฉุกเฉิน|ภาวะฉุกเฉิน]]และประกาศ[[เคอร์ฟิว]]เป็นครั้งแรกในเซอร์เบียนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2021 เซอร์เบียเปิดตัววัคซีนได้เร็วที่สุดเป็นอันดับสองในยุโรป<ref>{{cite web|date=29 January 2021|title=Serbia carrying out Europe's second-fastest vaccine rollout|url=http://intellinews.com/serbia-carrying-out-europe-s-second-fastest-vaccine-rollout-201572/|access-date=30 January 2021|website=intellinews.com|language=en}}</ref><ref>{{cite web|title=Франкфуртер алгемајне цајтунг: Зашто Србија успешно вакцинише|url=http://www.politika.rs/scc/clanak/471896/Frankfurter-algemajne-cajtung-Zasto-Srbija-uspesno-vakcinise|access-date=30 January 2021|website=Politika Online}}</ref><ref>{{cite web|date=2021-03-03|title=Srbija prva u Evropi po broju onih koji su dobili drugu dozu na milion građana|url=https://rs.n1info.com/vesti/srbija-prva-u-evropi-po-broju-onih-koji-su-dobili-drugu-dozu-na-milion-gradjana/|access-date=2021-03-19|website=N1|language=sr-RS}}</ref> ในเดือนเมษายน 2022 ประธานาธิบดีวูซิช ได้รับเลือกอีกครั้ง<ref>{{cite news |title='Endlessly happy': Serbia's Vucic claims re-election victory |url=https://www.aljazeera.com/news/2022/4/4/endlessly-happy-serbias-vucic-claims-re-election-victory |work=www.aljazeera.com |language=en}}</ref>
== การเมือง ==
== การเมือง ==
เซอร์เบียเป็นสาธารณรัฐที่มีรัฐสภา โดยรัฐบาลแบ่งออกเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ เซอร์เบียมีรัฐธรรมนูญสมัยใหม่ฉบับแรกในยุโรป รัฐธรรมนูญปี ค.ศ. 1835 (รู้จักกันในชื่อรัฐธรรมนูญสเรเตนเย) ซึ่งในเวลานั้นถือว่าเป็นหนึ่งในรัฐธรรมนูญที่มีความก้าวหน้าและเสรีนิยมมากที่สุดในยุโรป ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ได้มีรัฐธรรมนูญถึง 10 ฉบับ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้รับการรับรองในปี 2549 หลังจากการลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชของมอนเตเนโกร ซึ่งผลที่ตามมาคือการต่ออายุความเป็นอิสระของเซอร์เบียเอง ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ<ref>{{Cite web|last=Magazina|first=Redakcija|date=2012-10-29|title=Svi Ustavi moderne države Srbije od 1835 do 2006 - Sretenjski, Turski, Radikalski ustav i Srpska ustavnost|url=https://www.bastabalkana.com/2012/10/svi-ustavi-moderne-drzave-srbije-od-1835-do-2006-sretenjski-turski-radikalski-ustav-i-srpska-ustavnost/|website=Bašta Balkana Magazin|language=sr-RS}}</ref><ref>{{Cite web|title=Environmental impact of the war in Yugoslavia on south-east Europe|url=https://assembly.coe.int/nw/xml/XRef/X2H-Xref-ViewHTML.asp?FileID=9143&lang=EN|website=assembly.coe.int}}</ref>
เซอร์เบียเป็นสาธารณรัฐที่มีรัฐสภา โดยรัฐบาลแบ่งออกเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ เซอร์เบียมีรัฐธรรมนูญสมัยใหม่ฉบับแรกในยุโรป รัฐธรรมนูญปี ค.ศ. 1835 (รู้จักกันในชื่อรัฐธรรมนูญสเรเตนเย) ซึ่งในเวลานั้นถือว่าเป็นหนึ่งในรัฐธรรมนูญที่มีความก้าวหน้าและเสรีนิยมมากที่สุดในยุโรป ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ได้มีรัฐธรรมนูญถึง 10 ฉบับ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้รับการรับรองในปี 2549 หลังจากการลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชของมอนเตเนโกร ซึ่งผลที่ตามมาคือการต่ออายุความเป็นอิสระของเซอร์เบียเอง ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ<ref>{{Cite web|last=Magazina|first=Redakcija|date=2012-10-29|title=Svi Ustavi moderne države Srbije od 1835 do 2006 - Sretenjski, Turski, Radikalski ustav i Srpska ustavnost|url=https://www.bastabalkana.com/2012/10/svi-ustavi-moderne-drzave-srbije-od-1835-do-2006-sretenjski-turski-radikalski-ustav-i-srpska-ustavnost/|website=Bašta Balkana Magazin|language=sr-RS}}</ref><ref>{{Cite web|title=Environmental impact of the war in Yugoslavia on south-east Europe|url=https://assembly.coe.int/nw/xml/XRef/X2H-Xref-ViewHTML.asp?FileID=9143&lang=EN|website=assembly.coe.int}}</ref>

รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:26, 25 กรกฎาคม 2566

44°N 21°E / 44°N 21°E / 44; 21

สาธารณรัฐเซอร์เบีย

Република Србија (เซอร์เบีย)
ที่ตั้งของประเทศเซอร์เบีย (เขียว) และดินแดนพิพาทคอซอวอ[a] (เขียวอ่อน) ในทวีปยุโรป (เทาเข้ม)
เมืองหลวง
และเมืองใหญ่สุด
เบลเกรด
44°48′N 20°28′E / 44.800°N 20.467°E / 44.800; 20.467
ภาษาราชการเซอร์เบีย[b]
กลุ่มชาติพันธุ์
(2011)
ศาสนา
(2011)
การปกครองรัฐเดี่ยว ระบบรัฐสภา
สาธารณรัฐรัฐธรรมนูญ
อาเล็กซานดาร์ วูชิช
อานา เบอร์นาบิช
อิวิกา ดาชิช
สภานิติบัญญัติรัฐสภา
ประวัติก่อตั้ง
780
1217
1346
1459–1556
1804
1878
1882
1918
1992
• ฟื้นฟูเอกราช
2006
พื้นที่
• รวมคอซอวอ[a]
88,361 ตารางกิโลเมตร (34,116 ตารางไมล์) (อันดับที่ 111)
• ไม่รวมคอซอวอ[a]
77,474 ตารางกิโลเมตร (29,913 ตารางไมล์)[1]
ประชากร
• 2021 ประมาณ
ลดลงเป็นกลาง 6,871,547 (ไม่รวมคอซอวอ)[2] (อันดับที่ 106)
89 ต่อตารางกิโลเมตร (230.5 ต่อตารางไมล์) (อันดับที่ 95)
จีดีพี (อำนาจซื้อ) 2020 (ประมาณ)
• รวม
ลดลง 130.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ไม่รวมคอซอวอ)[a][3] (อันดับที่ 78)
เพิ่มขึ้น 18,840 ดอลลาร์สหรัฐ (ไม่รวมคอซอวอ)[a][3] (อันดับที่ 66)
จีดีพี (ราคาตลาด) 2020 (ประมาณ)
• รวม
เพิ่มขึ้น 52 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ไม่รวมคอซอวอ)[a][3] (อันดับที่ 84)
เพิ่มขึ้น 7,497 ดอลลาร์สหรัฐ (ไม่รวมคอซอวอ)[a][3] (อันดับที่ 75)
จีนี (2019)positive decrease 33.3[4]
ปานกลาง
เอชดีไอ (2019)เพิ่มขึ้น 0.806[5]
สูงมาก · อันดับที่ 64
สกุลเงินดีนาร์เซอร์เบีย (RSD)
เขตเวลาUTC+1 (เวลายุโรปกลาง)
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง)
UTC+2 (เวลาออมแสงยุโรปกลาง)
ขับรถด้านขวา
รหัสโทรศัพท์+381
โดเมนบนสุด
  1. คอซอวอเป็นเรื่องข้อพิพาทดินแดนระหว่างคอซอวอและเซอร์เบีย คอซอวอประกาศเอกราชเพียงฝ่ายเดียวในปี 2008 ในขณะที่เซอร์เบียยังคงอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนอธิปไตยของตนเอง ปัจจุบันคอซอวอได้รับการยอมรับว่าเป็นเอกราชโดย 98 จาก 193 ประเทศสมาชิกสหประชาชาติ

เซอร์เบีย (อังกฤษ: Serbia; เซอร์เบีย: Србија, Srbija, ออกเสียง: [sř̩bija] ออกเสียง) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐเซอร์เบีย (อังกฤษ: Republic of Serbia; เซอร์เบีย: Република Србија, Republika Srbija, ออกเสียง: [repǔblika sř̩bija] ออกเสียง) เป็นประเทศสาธารณรัฐตั้งอยู่ทางตอนกลางค่อนไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป เมืองหลวงคือกรุงเบลเกรด เซอร์เบียมีอาณาเขตติดต่อกับฮังการีทางทิศเหนือ ติดต่อกับโรมาเนียและบัลแกเรียทางทิศตะวันออก ติดต่อกับมาซิโดเนียและแอลเบเนียทางทิศใต้ (พื้นที่ชายแดนทางด้านนี้กำลังมีปัญหาเรื่องการเรียกร้องเอกราชของคอซอวอ) และติดต่อกับมอนเตเนโกร โครเอเชีย และบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนาทางทิศตะวันตก

เซอร์เบียเป็นที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยุคหินใหม่ ดินแดนของเซอร์เบียในยุคปัจจุบันเผชิญกับการอพยพของชาวสลาฟในศตวรรษที่ 6 ก่อตั้งรัฐในภูมิภาคหลายแห่งในยุคกลางตอนต้น ซึ่งบางครั้งได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรไบแซนไทน์ อาณาจักรแฟรงค์กิช และฮังการี อาณาจักรเซอร์เบียได้รับการยอมรับจากสันตะสำนักและคอนสแตนติโนเปิลในปี ค.ศ. 1217 ถึงจุดสูงสุดในดินแดนของตนในปี ค.ศ. 1346 ในฐานะจักรวรรดิเซอร์เบีย ในช่วงกลางศตวรรษที่ 16 พวกออตโตมานได้ยึดครองเซอร์เบียสมัยใหม่ทั้งหมด บางครั้งการปกครองของพวกเขาถูกขัดจังหวะโดยจักรวรรดิฮับส์บูร์ก ซึ่งเริ่มแผ่ขยายไปยังเซอร์เบียตอนกลางตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 17 ขณะที่ยังคงตั้งหลักอยู่ในวอจโวดินา ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 การปฏิวัติเซอร์เบียได้สถาปนารัฐชาติขึ้นเป็นระบอบรัฐธรรมนูญแห่งแรกของภูมิภาค ซึ่งต่อมาได้ขยายอาณาเขตออกไป หลังจากความสูญเสียในสงครามโลกครั้งที่ 1 และการรวมอดีตดินแดนฮับส์บวร์กแห่งโวจโวดินากับเซอร์เบียเข้าด้วยกัน ประเทศนี้ก่อตั้งยูโกสลาเวียร่วมกับประเทศสลาฟใต้อื่นๆ จนเป็นยูโกสลาเวีย ซึ่งจะดำรงอยู่ในรูปแบบทางการเมืองที่หลากหลายจนกระทั่งสงครามยูโกสลาเวียในทศวรรษที่ 1990 ระหว่างการแตกแยกของยูโกสลาเวีย เซอร์เบียได้จัดตั้งสหภาพกับมอนเตเนโกร ซึ่งสลายตัวในปี พ.ศ. 2549 การฟื้นฟูเอกราชของเซอร์เบียในฐานะรัฐอธิปไตยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ พ.ศ. 2461 ในปี พ.ศ. 2551 ผู้แทนสมัชชาแห่งคอซอวอได้ประกาศเอกราชเพียงฝ่ายเดียว โดยมีการตอบรับที่หลากหลายจากประชาคมระหว่างประเทศ ในขณะที่เซอร์เบียยังคงอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนอธิปไตยของตนเอง[6][7]

เซอร์เบียเป็นเศรษฐกิจที่มีรายได้ปานกลางบน ซึ่งอยู่ในอันดับที่ "สูงมาก" ในโดเมนดัชนีการพัฒนามนุษย์ (อันดับที่ 63) เป็นสาธารณรัฐตามรัฐธรรมนูญที่มีรัฐสภารวมกัน เป็นสมาชิกของ UN, CoE, OSCE, PfP, BSEC, CEFTA และเข้าเป็นภาคีของ WTO ตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา ประเทศกำลังเจรจาเกี่ยวกับการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป โดยมีเป้าหมายที่จะเข้าร่วมสหภาพยุโรปภายในปี เซอร์เบียปฏิบัติตามนโยบายความเป็นกลางทางทหารอย่างเป็นทางการ ประเทศให้การดูแลสุขภาพถ้วนหน้าและการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาฟรีแก่ประชาชน

ภูมิศาสตร์

แบ่งออกเป็นเขตที่ราบสูง ที่ราบพันโนเนีย แม่น้ำและทะเลสาบ

iron gate ที่อุทยานแห่งชาติเดอร์แดป
Picea omorika เป็นสายพันธุ์ของต้นสนเฉพาะถิ่นบนภูเขา Tara ทางตะวันตกของเซอร์เบีย

ประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลตั้งอยู่ที่ทางแยกระหว่างยุโรปกลางและยุโรปใต้[8] [9]เซอร์เบียตั้งอยู่ในคาบสมุทรบอลข่านและที่ราบพันโนเนีย เซอร์เบียอยู่ระหว่างละติจูด 41° และ 47° เหนือ และลองจิจูด 18° และ 23° ตะวันออก ประเทศนี้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 88,499 ตร.กม. (34,170 ตร.ไมล์) (รวมโคโซโว) ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 113 ของโลก หากไม่รวมโคโซโว พื้นที่ทั้งหมดคือ 77,474 ตร.กม. (29,913 ตร.ไมล์) ซึ่งจะอยู่ในลำดับที่ 117 ความยาวชายแดนรวม 2,027 กม. (1,260 ไมล์) : แอลเบเนีย 115 กม. (71 ไมล์) บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา 302 กม. (188 ไมล์) บัลแกเรีย 318 กม. (198 ไมล์) โครเอเชีย 241 กม. (150 ไมล์) ฮังการี 151 กม. (94 ไมล์), มาซิโดเนียเหนือ 221 กม. (137 ไมล์), มอนเตเนโกร 203 กม. (126 ไมล์) และโรมาเนีย 476 กม. (296 ไมล์) พรมแดนทั้งหมดของโคโซโวติดกับแอลเบเนีย (115 กม. (71 ไมล์)) มาซิโดเนียเหนือ (159 กม. (99 ไมล์)) และมอนเตเนโกร (79 กม. (49 ไมล์)) อยู่ภายใต้การควบคุมของตำรวจชายแดนโคโซโว[151] เซอร์เบียถือว่าพรมแดนยาว 352 กม. (219 ไมล์) ระหว่างคอซอวอและส่วนที่เหลือของเซอร์เบียเป็น "สายการปกครอง" อยู่ภายใต้การควบคุมร่วมกันของตำรวจชายแดนโคโซโวและกองกำลังตำรวจเซอร์เบีย และมีจุดผ่านแดน 11 จุด ที่ราบพันโนเนีย ครอบคลุมทางตอนเหนือที่สามของประเทศ (วอยวอดีนา) ในขณะที่ปลายด้านตะวันออกสุดของเซอร์เบียขยายไปสู่ที่ราบวัลลาเชีย ภูมิประเทศในภาคกลางของประเทศ โดยมีพื้นที่ของ ซูมาดิยา เป็นหัวใจ ประกอบด้วยเนินเขาที่มีแม่น้ำไหลผ่านเป็นส่วนใหญ่ ภูเขาครองที่สามทางตอนใต้ของเซอร์เบีย เทือกเขาไดนาริกแอลป์ ทอดยาวไปทางทิศตะวันตกและทิศตะวันตกเฉียงใต้ ตามการไหลของแม่น้ำดรีนา เทือกเขาคาร์เพเทียนและเทือกเขาบอลข่านทอดยาวในแนวเหนือ-ใต้ในเซอร์เบียตะวันออก[10][11][12]

แผนที่ภูมิศาสตร์ของเซอร์เบีย (รวมคอซอวอ)

ภูเขาโบราณในมุมตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศอยู่ในระบบภูเขาริโล-โรโดป ความสูงมีตั้งแต่ยอดเขา มิดซอร์ ของเทือกเขาบอลข่านที่ความสูง 2,169 เมตร (7,116 ฟุต) (ยอดเขาที่สูงที่สุดในเซอร์เบีย ไม่รวมโคโซโว) ถึงจุดต่ำสุดเพียง 17 เมตร (56 ฟุต) ใกล้แม่น้ำดานูบที่ปราโฮโว ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดคือทะเลสาบเดอร์แดป (163 ตารางกิโลเมตร (63 ตารางไมล์)) และแม่น้ำที่ยาวที่สุดที่ไหลผ่านเซอร์เบียคือแม่น้ำดานูบ (587.35 กิโลเมตร (364.96 ไมล์))

ประวัติศาสตร์

ยุคก่อนประวัติศาสตร์

หลักฐานทางโบราณคดีของการตั้งถิ่นฐานยุคหินเก่าในดินแดนเซอร์เบียในปัจจุบันนั้นหายาก ชิ้นส่วนของกรามมนุษย์ถูกพบในซิเชโว (Mala Balanica) และเชื่อว่ามีอายุมากถึง 525,000–397,000 ปี

ประมาณ 6,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ระหว่างยุคหินใหม่ วัฒนธรรมสตาร์เชโวและวินชามีอยู่ในภูมิภาคเบลเกรดยุคใหม่ พวกเขาครอบครองส่วนใหญ่ของยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ (เช่นเดียวกับบางส่วนของยุโรปกลางและเอเชียไมเนอร์) แหล่งโบราณคดีที่สำคัญหลายแห่งในยุคนี้ รวมถึง เลเปนสกี้ เวียร์ และ Vinča-Belo Brdo ยังคงมีอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำดานูบ.[13][14]

ในช่วงยุคเหล็ก ชนเผ่าท้องถิ่นของ ทริบัลลี, ดาร์ดานี และ ออทาเรียแท ถูกพบโดยชาวกรีกโบราณในระหว่างการขยายตัวทางวัฒนธรรมและการเมืองสู่ภูมิภาคตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 จนถึงศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราชสครอดิชี เผ่าเซลติกตั้งรกรากอยู่ทั่วพื้นที่ในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช มันกลายเป็นรัฐของชนเผ่าและสร้างป้อมปราการหลายแห่งรวมถึงเมืองหลวงของพวกเขาที่ซิงกิดูนัม (ปัจจุบันคือเบลเกรด) และ ไนซอส (ปัจจุบันคือนีส)

เซอร์เรียม, หนึ่งใน 4 เมืองหลวงของ จักรวรรดิโรมัน ในช่วงจตุราธิปไตย

ยุคกลาง

พิธ๊บรมราชาภิเษกของจักรพรรดิ สเตฟาน ดูซาน

ไวท์เซิร์บ ชนเผ่าสลาฟยุคแรกจาก ไวท์เซอร์เบีย ในที่สุดก็ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ระหว่างแม่น้ำซาวาและเทือกเขาไดนาริกแอลป์[15][16][17] ในตอนต้นของศตวรรษที่ 9 เซอร์เบียบรรลุระดับความเป็นรัฐ[18] คริสต์ศาสนิกชนแห่งเซอร์เบียเป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไป สิ้นสุดกลางศตวรรษที่ 9[19] ในช่วงกลางศตวรรษที่ 10 รัฐเซอร์เบียทอดยาวระหว่างทะเลเอเดรียติก เนเรตวา ซาวา โมราวา และสกาดาร์ ในช่วงศตวรรษที่ 11 และ 12 รัฐเซอร์เบียต่อสู้กับจักรวรรดิไบแซนไทน์ที่อยู่ใกล้เคียงบ่อยครั้ง[20] ระหว่างปี ค.ศ. 1166 ถึงปี ค.ศ. 1371 เซอร์เบียถูกปกครองโดยราชวงศ์เนมันจิช (ซึ่งมรดกตกทอดเป็นพิเศษ) ซึ่งรัฐได้รับการยกฐานะเป็นอาณาจักรในปี ค.ศ. 1217[21] และจักรวรรดิในปี 1346[22]ภายใต้การปกครองของสเตฟาน ดูซาน คริสตจักรออร์ทอดอกซ์เซอร์เบียได้รับการจัดให้เป็นออโต้เซฟาลัส ในปี 1219,[23] ด้วยความพยายามของชาวลุ่มน้ำซาวา นักบุญผู้อุปถัมภ์ของประเทศ และในปี ค.ศ. 1346 ได้รับการยกขึ้นเป็นสังฆราช อนุสาวรีย์แห่งยุคเนมานจิชยังคงอยู่ในอารามหลายแห่ง (หลายแห่งเป็นมรดกโลก) และป้อมปราการ

ในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา รัฐเซอร์เบีย (และอิทธิพล) ได้ขยายตัวอย่างมาก ทางตอนเหนือ (ปัจจุบันคือวอยวอดีนา) ถูกปกครองโดยราชอาณาจักรฮังการี ช่วงเวลาหลังปี ค.ศ. 1371 หรือที่เรียกว่าการล่มสลายของจักรวรรดิเซอร์เบีย รัฐที่เคยมีอำนาจแตกแยกออกเป็นหลายอาณาเขต ถึงจุดสูงสุดในยุทธการที่โคโซโว (ค.ศ. 1389) เพื่อต่อต้านจักรวรรดิออตโตมันที่ผงาดขึ้น.[24] ในที่สุดพวกออตโตมานก็พิชิตเซอร์เบียเดสโปเทตในปี 1459 การคุกคามของออตโตมันและการพิชิตในที่สุดทำให้ชาวเซิร์บอพยพไปทางตะวันตกและทางเหนือจำนวนมาก.[25]

การปกครองของออตโตมัน และ ราชวงศ์ฮับส์บูร์ก

การสู้รบในสมรภูมิคอซอวอในปี 1389[26]

ในดินแดนเซอร์เบียทั้งหมดที่ถูกยึดครองโดยพวกออตโตมาน ขุนนางพื้นเมืองถูกกำจัดและชาวนาถูกปกครองโดยผู้ปกครองชาวเติร์ก ขณะที่นักบวชส่วนใหญ่หลบหนีหรือถูกจำกัดให้อยู่แต่ในอารามที่โดดเดี่ยว ภายใต้ระบบออตโตมัน ชาวเซิร์บและชาวคริสต์ถือเป็นชนชั้นล่างและต้องเสียภาษีจำนวนมาก และประชากรเซอร์เบียส่วนหนึ่งมีประสบการณ์ในการนับถือศาสนาอิสลาม ชาวเซอร์เบียจำนวนมากถูกเกณฑ์มาระหว่างระบบเดฟเชียร์เม ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการเป็นทาสในจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งเด็กผู้ชายจากครอบครัวคริสเตียนบอลข่านถูกบังคับให้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามและได้รับการฝึกฝนสำหรับหน่วยทหารราบของกองทัพออตโตมันที่รู้จักกันในชื่อ เจนิสซารี่[27][28][29][30] ระบอบสังฆราชเซอร์เบียแห่งเพชสิ้นสุดลงในปี 1463[31] แต่ได้รับการสถาปนาขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1557[32][33][34] จัดให้มีการจำกัดความต่อเนื่องของประเพณีวัฒนธรรมเซอร์เบียภายในจักรวรรดิออตโตมัน [35][36]

ในปี ค.ศ. 1718–39 ราชวงศ์ฮาพส์บวร์กได้ยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของเซอร์เบียตอนกลางและสถาปนาราชอาณาจักรเซอร์เบียขึ้นเป็นดินแดนมกุฏราชกุมาร[37] ผลประโยชน์เหล่านั้นสูญหายไปโดยสนธิสัญญาเบลเกรดในปี 1739 เมื่อออตโตมานยึดพื้นที่คืนได้[38] นอกเหนือจากอาณาเขตของวอยวอดีนาสมัยใหม่ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้จักรวรรดิฮับส์บูร์กแล้ว พื้นที่ตอนกลางของเซอร์เบียก็ถูกราชวงศ์ฮับส์บูร์กยึดครองอีกครั้งในปี 1788-1792

ศตวรรษที่ 19

การปฏิวัติเซอร์เบียเพื่อเอกราชจากจักรวรรดิออตโตมันกินเวลาสิบเอ็ดปี ตั้งแต่ปี 1804 ถึง 1815[39][40][41][42] การปฏิวัติประกอบด้วยการลุกฮือที่แยกจากกัน 2 ครั้งซึ่งได้รับเอกราชจากจักรวรรดิออตโตมัน (1830) และในที่สุดก็พัฒนาไปสู่ความเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ (1878) ระหว่างการจลาจลเซอร์เบียครั้งแรก (1804-1813) นำโดย คาราจอร์เจ ปีตอร์วิช เซอร์เบียเป็นอิสระเป็นเวลาเกือบหนึ่งทศวรรษก่อนที่กองทัพออตโตมันจะสามารถยึดครองประเทศได้อีกครั้ง[43] หลังจากนั้นไม่นาน การจลาจลในเซอร์เบียครั้งที่สองเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2358 นำโดยมิโลส โอเบรโนวิก และจบลงด้วยการประนีประนอมระหว่างนักปฏิวัติชาวเซอร์เบียกับเจ้าหน้าที่ออตโตมัน[44] ในทำนองเดียวกัน เซอร์เบียเป็นหนึ่งในชาติแรกๆ ในคาบสมุทรบอลข่านที่ยกเลิกระบบศักดินา อนุสัญญาอัคเคอร์มาน ในปี 1826 สนธิสัญญาเอเดรียโนเปิลในปี 1829 และในที่สุด ฮัตอี ชารีฟ ยอมรับอำนาจการปกครองของเซอร์เบีย รัฐธรรมนูญเซอร์เบียฉบับแรกได้รับการรับรองเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 1835 (วันครบรอบการจลาจลเซอร์เบียครั้งแรก) ทำให้ประเทศนี้เป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่นำรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยมาใช้ในยุโรป.[45][46] ปัจจุบันวันที่ 15 กุมภาพันธ์เป็นวันเอกราชซึ่งเป็นวันหยุดราชการ[47]

หลังจากการปะทะกันระหว่างกองทัพออตโตมันและชาวเซิร์บในกรุงเบลเกรดในปี 1862[48] และภายใต้แรงกดดันจากมหาอำนาจ ในปี 1867 ทหารตุรกีคนสุดท้ายได้ออกจากอาณาเขต ทำให้ประเทศเป็นอิสระโดยพฤตินัย[49]โดยการตรารัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ในปี 1869[50] นักการทูตเซอร์เบียยืนยันความเป็นอิสระของประเทศโดยพฤตินัยโดยไม่ปรึกษาปอร์เต ในปี 1876 เซอร์เบียได้ประกาศสงครามกับจักรวรรดิออตโตมัน โดยเข้าข้างการลุกฮือของชาวคริสต์อย่างต่อเนื่องในบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนาและบัลแกเรีย[51][52]

ศตวรรษที่ 20

ในช่วงสงครามบอลข่านครั้งที่หนึ่งในปี 1912 สันนิบาตบอลข่านเอาชนะจักรวรรดิออตโตมันและยึดดินแดนยุโรปได้ ซึ่งทำให้สามารถขยายอาณาเขตของอาณาจักรเซอร์เบียไปยังภูมิภาคราสกา คอซอวอ เมโตฮิจา และวาร์ดาเรียนมาซิโดเนีย ในไม่ช้าสงครามบอลข่านครั้งที่สองก็เกิดขึ้นเมื่อบัลแกเรียหันหลังให้กับอดีตพันธมิตร แต่พ่ายแพ้ ส่งผลให้สนธิสัญญาบูคาเรสต์ ในสองปี เซอร์เบียขยายอาณาเขตของตน 80% และประชากรเพิ่มขึ้น 50%[53] นอกจากนี้ยังได้รับบาดเจ็บจำนวนมากในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งโดยมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 36,000 คน[54] ออสเตรีย-ฮังการีเริ่มระแวดระวังอำนาจในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้นบริเวณพรมแดน และศักยภาพในการเป็นสมอเรือในการรวมชาวเซิร์บและชาวสลาฟใต้อื่นๆ เข้าด้วยกัน และความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศก็ตึงเครียดขึ้น

Great Serbian Retreat ในปี 1915 นำโดยปีเตอร์ที่ 1แห่งเซอร์เบีย ในฐานะส่วนหนึ่งของ Entente Powers ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เซอร์เบียสูญเสียผู้คนไปประมาณ 850,000 คน ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ของประชากรก่อนสงคราม[55]

การลอบสังหารอาร์ชดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์แห่งออสเตรียเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1914 ในซาราเยโวโดยกัฟรีโล ปรินซีป ซึ่งเป็นสมาชิกขององค์กรเยาวชนทำให้ออสเตรีย-ฮังการีประกาศสงครามกับเซอร์เบียเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม [56] สงครามท้องถิ่นทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเยอรมนีประกาศสงครามกับรัสเซียและรุกรานฝรั่งเศสและเบลเยียม ด้วยเหตุนี้จึงดึงบริเตนใหญ่เข้าสู่ความขัดแย้งที่กลายเป็นสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เซอร์เบียชนะการรบครั้งใหญ่ครั้งแรกของสงครามโลกครั้งที่ 1 รวมทั้งการรบแห่งเซอร์[57] และยุทธการโคลูบารา นับเป็นชัยชนะครั้งแรกของฝ่ายสัมพันธมิตรต่อฝ่ายมหาอำนาจกลางในสงครามโลกครั้งที่ 1

ราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย

จุดเริ่มต้นของแนวคิดของรัฐสลาฟใต้ร่วมกันครั้งแรกคือการลงนามในคำประกาศบนคอร์ฟูในปี 1917[58] ปฏิญญาคอร์ฟูเป็นข้อตกลงอย่างเป็นทางการระหว่างรัฐบาลพลัดถิ่นของราชอาณาจักรเซอร์เบียและคณะกรรมการยูโกสลาเวีย (กลุ่มต่อต้านชาวสลาฟใต้แห่งราชวงศ์ฮับส์บูร์ก) ซึ่งให้คำมั่นว่าจะรวมราชอาณาจักรเซอร์เบียและราชอาณาจักรมอนเตเนโกรเข้ากับดินแดนปกครองตนเองของชาวสลาฟใต้ของออสเตรีย-ฮังการี ได้แก่ ราชอาณาจักรโครเอเชีย-สลาโวเนีย ราชอาณาจักรแดลเมเชีย สโลวีเนีย วอยวอดีนา (ขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรฮังการี) และบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาในรัฐยูโกสลาเวียหลังสงคราม มีการลงนามเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 1917 ที่คอร์ฟู

สมัชชาประชาชนชาวเซิร์บ บุนเยฟซี และชาวสลาฟอื่นๆ ในบานัต บาชกา และบารันยา

เมื่อจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีล่มสลาย ดินแดนของซีร์มีอารวมเป็นหนึ่งเดียวกับเซอร์เบียในวันที่ 24 พฤศจิกายน 1918 เพียงหนึ่งวันต่อมาในวันที่ 25 พฤศจิกายน 1918 สมัชชาประชาชนชาวเซิร์บ บุนเยฟซี และชาวสลาฟอื่นๆ ในบานัต บาชกา และบารันยาได้ประกาศการรวมภูมิภาคเหล่านี้ (บานัต บาชกา และบารันยา) กับราชอาณาจักรเซอร์เบีย[59]

เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 1918 สภาพอดกอรีตซา ได้ปลดสภาเปโตรวิช-นเยโกสและรวมมอนเตเนโกรเข้ากับเซอร์เบีย[60] เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2461 ในกรุงเบลเกรด เจ้าชายผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อเล็กซานเดอร์แห่งเซอร์เบียได้ประกาศราชอาณาจักรเซอร์เบีย โครแอต และสโลวีเนีย ภายใต้กษัตริย์ปีเตอร์ที่ 1 แห่งเซอร์เบีย[61][62]

กษัตริย์ปีเตอร์ขึ้นครองราชย์ต่อจากอเล็กซานเดอร์ ลูกชายของเขาในเดือนสิงหาคม 1921 พวกรวมศูนย์ชาวเซอร์เบียและพวกปกครองตนเองชาวโครแอตปะทะกันในรัฐสภา และรัฐบาลส่วนใหญ่เปราะบางและมีอายุสั้น นิโคลา ปาซิช นายกรัฐมนตรีหัวอนุรักษ์นิยมเป็นผู้นำหรือครอบงำรัฐบาลส่วนใหญ่จนกระทั่งเสียชีวิต กษัตริย์อเล็กซานเดอร์สถาปนาการปกครองแบบเผด็จการในปี 1929 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างอุดมการณ์ยูโกสลาเวียและรวมประเทศยูโกสลาเวียเดียว เปลี่ยนชื่อประเทศเป็นยูโกสลาเวีย และเปลี่ยนการแบ่งแยกภายในจาก 33 แคว้นเป็นบาโนวินาใหม่ 9 แห่ง ผลของการปกครองแบบเผด็จการของอเล็กซานเดอร์คือการทำให้คนที่ไม่ใช่ชาวเซิร์บที่อาศัยอยู่ในยูโกสลาเวียแปลกแยกจากแนวคิดเรื่องเอกภาพ[63]

อเล็กซานเดอร์ถูกลอบสังหารในมาร์กเซย ระหว่างการเยือนอย่างเป็นทางการในปี 1934 โดยวลาโด เชอร์โนเซ็มสกี สมาชิกของ IMRO อเล็กซานเดอร์ได้รับการสืบทอดตำแหน่งโดยปีเตอร์ที่ 2 ลูกชายวัย 11 ขวบของเขา และสภาผู้สำเร็จราชการนำโดยเจ้าชายพอล ลูกพี่ลูกน้องของเขา ในเดือนสิงหาคม 1939 ความตกลง Cvetković–Maček ได้จัดตั้งบานัต ปกครองตนเองของโครเอเชียขึ้นเพื่อเป็นทางออกสำหรับข้อกังวลของชาวโครเอเชีย

สงครามโลกครั้งที่ 2

Iในปี 1941 แม้ว่ายูโกสลาเวียจะพยายามวางตัวเป็นกลางในสงคราม แต่ฝ่ายอักษะก็รุกรานยูโกสลาเวีย ดินแดนของเซอร์เบียสมัยใหม่ถูกแบ่งระหว่างฮังการี บัลแกเรีย รัฐเอกราชของโครเอเชีย เกรตเตอร์แอลเบเนีย และมอนเตเนโกร ในขณะที่ส่วนที่เหลือของเซอร์เบียที่ถูกยึดครองอยู่ภายใต้การปกครองของกองทัพนาซีเยอรมนี โดยมีรัฐบาลหุ่นเชิดของเซอร์เบียที่นำโดย มิลาน อชิโมวิช และมิลาน เนดิช ได้รับความช่วยเหลือจากดิมิทริเย โยติช องค์กรฟาสซิสต์ Yugoslav National Movement (Zbor)

แม่และเด็กที่ค่ายกักกัน Ustaše Stara Gradiška ของโครเอเชีย ซึ่งเป็นค่ายของชาวเซิร์บและชาวยิวในรัฐเอกราชโครเอเชียในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ภาพระหว่างปี 1942 ถึง 1945

ดินแดนยูโกสลาเวียเป็นฉากของสงครามกลางเมืองระหว่างเชตนิกส์ผู้นิยมกษัตริย์ซึ่งได้รับคำสั่งจาก Draža Mihailović และพรรคคอมมิวนิสต์ที่ ยอซีฟ บรอซ ตีโต บัญชาการ หน่วยสนับสนุนฝ่ายอักษะของกองอาสาสมัครเซอร์เบียและหน่วยพิทักษ์รัฐเซอร์เบียต่อสู้กับกองกำลังทั้งสองนี้ การปิดล้อมของ คราลเยโว เป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ของการจลาจลในเซอร์เบีย นำโดยกองกำลัง เชทนิกส์เพื่อต่อต้านพวกนาซี หลายวันหลังจากการสู้รบเริ่มขึ้น กองกำลังเยอรมันได้สังหารหมู่พลเรือนประมาณ 2,000 คนในเหตุการณ์ที่เรียกว่าการสังหารหมู่คราลเยโว เพื่อเป็นการตอบโต้การโจมตี

การสังหารหมู่ ดราจิแนก และ โลซนิก้า ของชาวบ้าน 2,950 คนในเซอร์เบียตะวันตกในปี 2484 ถือเป็นการประหารชีวิตพลเรือนครั้งใหญ่ครั้งแรกในเซอร์เบียที่ถูกยึดครองโดยชาวเยอรมัน โดยการสังหารหมู่ครากูเยวัตส์ และ Novi Sad Raid ของชาวยิวและเซอร์เบียโดยพวกฟาสซิสต์ฮังการีนั้นโด่งดังที่สุด โดยมีเหยื่อมากกว่า 3,000 รายในแต่ละกรณี[64][65] หลังจากยึดครองได้หนึ่งปี ชาวยิวเซอร์เบียราว 16,000 คนถูกสังหารในพื้นที่ หรือราว 90% ของประชากรยิวก่อนสงครามระหว่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในเซอร์เบีย ค่ายกักกันหลายแห่งถูกสร้างขึ้นทั่วพื้นที่ ค่ายกักกันบันจิกาเป็นค่ายกักกันที่ใหญ่ที่สุดและดำเนินการร่วมกันโดยกองทัพเยอรมันและระบอบการปกครองของเนดิช[66] โดยมีเหยื่อหลักคือชาวยิวเซอร์เบีย โรมา และนักโทษการเมืองชาวเซิร์บ[67]

ในช่วงเวลานี้ ชาวเซิร์บหลายแสนคนได้หลบหนีจากรัฐหุ่นเชิดของฝ่ายอักษะที่รู้จักกันในชื่อรัฐเอกราชโครเอเชีย และแสวงหาที่ลี้ภัยในเซอร์เบียที่ถูกยึดครองโดยเยอรมัน โดยพยายามหลบหนีการประหัตประหารขนานใหญ่และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเซอร์เบีย ชาวยิว และชาวโรมา ซึ่งกระทำโดยระบอบการปกครองของอูสตาเช[68] จำนวนเหยื่อชาวเซิร์บมีประมาณ 300,000 ถึง 350,000 คน[69][70][71]

ตามคำกล่าวของตีโต ชาวเซิร์บประกอบด้วยนักสู้ต่อต้านฟาสซิสต์และพลพรรคยูโกสลาเวียส่วนใหญ่ตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง[72]สาธารณรัฐอูซิตเซเป็นดินแดนที่ได้รับการปลดปล่อยในช่วงสั้นๆ ก่อตั้งโดยพรรคพวก และเป็นดินแดนที่ได้รับการปลดปล่อยครั้งแรกในยุโรปในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยได้รับการจัดระเบียบเป็นรัฐย่อยทางการทหารที่มีขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงปี 1941 ทางตะวันตกของเซอร์เบียที่ถูกยึดครอง ช่วงปลายปี 1944 ฝ่ายรุกเบลเกรดเข้าข้างพรรคพวกในสงครามกลางเมือง ต่อมาพรรคพวกได้ควบคุมยูโกสลาเวีย[73] หลังจากการรุกเบลเกรด แนวรบซีเรียเป็นปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่สองในเซอร์เบีย การศึกษาโดย วลาดิมีร์ เซียร์ยาวิช ประมาณการผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสงครามทั้งหมดในยูโกสลาเวียที่ 1,027,000 คน รวมถึง 273,000 คนในเซอร์เบีย[74]

ยุคคอมมิวนิสต์

พวกเขาได้รับชัยชนะจากพรรคคอมมิวนิสต์ส่งผลให้มีการยกเลิกระบอบกษัตริย์และมีการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญตามมา รัฐพรรคเดียวก่อตั้งขึ้นในยูโกสลาเวียในไม่ช้าโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งยูโกสลาเวีย มีการอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตระหว่าง 60,000 ถึง 70,000 คนในเซอร์เบียระหว่างการปฏิวัติและกวาดล้างในปี 1944–45[75] ฝ่ายค้านทั้งหมดถูกปราบปรามและผู้คนที่คิดว่าส่งเสริมการต่อต้านสังคมนิยมหรือส่งเสริมการแบ่งแยกดินแดนถูกจำคุกหรือประหารชีวิตในข้อหายุยงปลุกปั่น เซอร์เบียกลายเป็นสาธารณรัฐที่มีส่วนประกอบภายในสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย (SFRY) หรือที่เรียกว่าสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งเซอร์เบีย และมีสาขาสาธารณรัฐของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหพันธรัฐ สันนิบาตคอมมิวนิสต์แห่งเซอร์เบีย

The principle of non-alignment was the core of Yugoslav and later Serbian diplomacy. The First Non-Aligned Movement Summit Conference took place in Belgrade in September 1961

นักการเมืองที่มีอำนาจและทรงอิทธิพลที่สุดของเซอร์เบียในยูโกสลาเวียยุคตีโตคืออเล็กซานดาร์ รังโควิช ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำยูโกสลาเวีย "บิ๊กโฟร์" ร่วมกับตีโต้ เอ็ดวาร์ด คาร์เดลจ์ และมิโลวาน ดิลาส ต่อมารันโควิช ถูกถอดจากสำนักงานเนื่องจากความขัดแย้งเกี่ยวกับการตั้งชื่อของคอซอวอและเอกภาพของเซอร์เบีย การเลิกจ้างรันโควิชไม่เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ชาวเซิร์บ นักปฏิรูปที่สนับสนุนการกระจายอำนาจในยูโกสลาเวียประสบความสำเร็จในช่วงปลายทศวรรษ 1960 ในการกระจายอำนาจอย่างเป็นรูปธรรม สร้างเอกราชในโคโซโวและวอจโวดินา และยอมรับสัญชาติ "มุสลิม" ที่โดดเด่น อันเป็นผลมาจากการปฏิรูปเหล่านี้ มีการยกเครื่องครั้งใหญ่ของระบบการตั้งชื่อและตำรวจของคอซอวอ ซึ่งเปลี่ยนจากการถูกครอบงำโดยชาวเซิร์บไปสู่การครอบงำโดยกลุ่มชาติพันธุ์แอลเบเนียผ่านการยิงชาวเซอร์เบียในวงกว้าง มีการให้สัมปทานเพิ่มเติมกับชาวอัลเบเนียในโคโซโวเพื่อตอบสนองต่อความไม่สงบ รวมถึงการสร้างมหาวิทยาลัยพริสตีนา ให้เป็นสถาบันภาษาแอลเบเนีย การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สร้างความหวาดกลัวอย่างกว้างขวางในหมู่ชาวเซอร์เบียว่าจะถูกปฏิบัติเหมือนเป็นพลเมืองชั้นสอง[76]

เบลเกรด เมืองหลวงของ SFR ยูโกสลาเวียและ SR เซอร์เบีย เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดการเคลื่อนไหวที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดครั้งแรกในเดือนกันยายน 1961 ตลอดจนการประชุมใหญ่ครั้งแรกขององค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE) โดยมีจุดประสงค์เพื่อดำเนินการตามข้อตกลงเฮลซิงกิตั้งแต่เดือนตุลาคม 1977 ถึงมีนาคม 1978[77][78] การระบาดของโรคไข้ทรพิษในปี 1972 ในคอซอวอและส่วนอื่นๆของเซอร์เบีย เป็นการระบาดครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายของไข้ทรพิษในยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง[79]

การล่มสลาย และ วิกฤติทางการเมือง

สลอบอดัน มีลอเชวิช เป็นบุคคลสำคัญทางการเมืองในอดีตยูโกสลาเวีย ความเป็นผู้นำของเขาเป็นที่ถกเถียงกัน โดยนักวิจารณ์ระบุว่ารัฐบาลของเขายังคงเป็นเผด็จการแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ

ในปี 1989 สลอบอดัน มีลอเชวิช ขึ้นสู่อำนาจในเซอร์เบีย มีลอเชวิชสัญญาว่าจะลดอำนาจสำหรับจังหวัดปกครองตนเองคอซอวอและวอยวอดีนา ซึ่งพันธมิตรของเขาเข้ามายึดอำนาจในเวลาต่อมา ในระหว่างการปฏิวัติต่อต้านระบบราชการ[80] สิ่งนี้จุดชนวนความตึงเครียดระหว่างผู้นำคอมมิวนิสต์ของสาธารณรัฐอื่น ๆ ของยูโกสลาเวีย และปลุกกระแสชาตินิยมทางชาติพันธุ์ทั่วยูโกสลาเวีย ซึ่งส่งผลให้ประเทศแตกแยกในที่สุด โดยสโลวีเนีย โครเอเชีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา และมาซิโดเนียประกาศเอกราชระหว่างปี 1991 และ 1992[81][ต้องการแหล่งอ้างอิงดีกว่านี้] เซอร์เบียและมอนเตเนโกรยังคงรวมกันเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย (FRY) อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของ Badinter Commission ประเทศนี้ไม่ได้ถูกพิจารณาว่ามีความต่อเนื่องจากยูโกสลาเวียเดิม แต่เป็นรัฐใหม่

สงครามยูโกสลาเวีย (1991-2001) ปะทุขึ้นด้วยแรงกระตุ้นจากความตึงเครียดทางชาติพันธุ์ โดยความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในโครเอเชียและบอสเนีย ซึ่งชุมชนชาวเซิร์บกลุ่มใหญ่ต่อต้านการเป็นอิสระจากยูโกสลาเวีย ยูโกสลาเวียยังคงอยู่นอกความขัดแย้ง แต่ให้การสนับสนุนด้านลอจิสติกส์ การทหาร และการเงินแก่กองกำลังเซิร์บในสงคราม เพื่อเป็นการตอบโต้ สหประชาชาติได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อยูโกสลาเวีย ซึ่งนำไปสู่การโดดเดี่ยวทางการเมืองและการล่มสลายของเศรษฐกิจ (จีดีพีลดลงจาก 24 พันล้านดอลลาร์ในปี 2533 เป็นต่ำกว่า 10 พันล้านดอลลาร์ในปี 2536) เซอร์เบียถูกฟ้องร้องในช่วงทศวรรษ 2000 ในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาและโครเอเชียที่อยู่ใกล้เคียง แต่ในทั้งสองกรณี ข้อกล่าวหาหลักต่อเซอร์เบียถูกยกฟ้อง[82]

ประวัติศาสตร์ยุคปัจจุบัน

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2006 มอนเตเนโกรจัดการลงประชามติเพื่อตัดสินว่าจะยุติการเป็นสหภาพกับเซอร์เบียหรือไม่ ผลปรากฏว่า 55.4% ของผู้ลงคะแนนสนับสนุนเอกราช ซึ่งสูงกว่า 55% ที่ผู้ลงประชามติกำหนด ตามมาด้วยการประกาศเอกราชของเซอร์เบียในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2549 นับเป็นการสลายตัวขั้นสุดท้ายของสหภาพแห่งรัฐเซอร์เบียและมอนเตเนโกร และการเกิดขึ้นใหม่ของเซอร์เบียในฐานะรัฐเอกราชเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ 1918 ในโอกาสเดียวกัน สมัชชาแห่งชาติเซอร์เบียได้ประกาศให้เซอร์เบียเป็นผู้สืบทอดทางกฎหมายของสหภาพรัฐเดิม[83]

สมัชชาแห่งคอซอวอประกาศเอกราชจากเซอร์เบียเพียงฝ่ายเดียวเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2008 เซอร์เบียประณามการประกาศดังกล่าวทันทีและยังคงปฏิเสธความเป็นมลรัฐใดๆ ต่อคอซอวอ คำประกาศดังกล่าวได้จุดประกายการตอบสนองที่หลากหลายจากประชาคมระหว่างประเทศ บางชาติยอมรับ ขณะที่ชาติอื่นๆ ประณามการเคลื่อนไหวฝ่ายเดียว[84] การเจรจาสถานะเป็นกลางระหว่างเจ้าหน้าที่เซอร์เบียและคอซอวอ-แอลเบเนียจัดขึ้นที่กรุงบรัสเซลส์ โดยมีสหภาพยุโรปเป็นผู้ไกล่เกลี่ย

เซอร์เบียสมัครเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2009[85] และได้รับสถานะผู้สมัครในวันที่ 1 มีนาคม 2012 หลังจากล่าช้าในเดือนธันวาคม 2011[86][87] ตามคำแนะนำในเชิงบวกของคณะกรรมาธิการยุโรปและคณะมนตรียุโรปในเดือนมิถุนายน 2013 การเจรจาเพื่อเข้าร่วมสหภาพยุโรปจึงเริ่มขึ้นในเดือนมกราคม 2014[88]

ตั้งแต่ อาเล็กซานดาร์ วูซิช และ พรรค Serbian Progressive เข้ามามีอำนาจในปี 2012[89][90] เซอร์เบียได้รับความเดือดร้อนจากการเสื่อมถอยของระบอบประชาธิปไตยไปสู่อำนาจนิยม[91][92][93] ตามด้วยการลดลงของเสรีภาพสื่อและเสรีภาพของพลเมือง[94][95] หลังจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 แพร่กระจายไปยังเซอร์เบียในเดือนมีนาคม 2020 มีการประกาศภาวะฉุกเฉินและประกาศเคอร์ฟิวเป็นครั้งแรกในเซอร์เบียนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2021 เซอร์เบียเปิดตัววัคซีนได้เร็วที่สุดเป็นอันดับสองในยุโรป[96][97][98] ในเดือนเมษายน 2022 ประธานาธิบดีวูซิช ได้รับเลือกอีกครั้ง[99]

การเมือง

เซอร์เบียเป็นสาธารณรัฐที่มีรัฐสภา โดยรัฐบาลแบ่งออกเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ เซอร์เบียมีรัฐธรรมนูญสมัยใหม่ฉบับแรกในยุโรป รัฐธรรมนูญปี ค.ศ. 1835 (รู้จักกันในชื่อรัฐธรรมนูญสเรเตนเย) ซึ่งในเวลานั้นถือว่าเป็นหนึ่งในรัฐธรรมนูญที่มีความก้าวหน้าและเสรีนิยมมากที่สุดในยุโรป ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ได้มีรัฐธรรมนูญถึง 10 ฉบับ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้รับการรับรองในปี 2549 หลังจากการลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชของมอนเตเนโกร ซึ่งผลที่ตามมาคือการต่ออายุความเป็นอิสระของเซอร์เบียเอง ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ[100][101]

อาคารรัฐสภาแห่งชาติ

ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ (Predsednik Republike) เป็นประมุขแห่งรัฐ ได้รับการเลือกตั้งโดยการลงคะแนนเสียงของประชาชน มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี และถูกจำกัดโดยรัฐธรรมนูญให้ดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 วาระ นอกจากการเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแล้ว ประธานาธิบดียังมีหน้าที่ในกระบวนการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีโดยได้รับความยินยอมจากรัฐสภา และมีอิทธิพลต่อนโยบายต่างประเทศ อาเล็กซานดาร์ วูชิช จากพรรค Serbian Progressive เป็นประธานาธิบดีคนปัจจุบันหลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2560[102] [103]ตำแหน่งประธานาธิบดีคือโนวี ดวอร์

รัฐบาล (Vlada) ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี รัฐบาลมีหน้าที่รับผิดชอบในการเสนอกฎหมายและงบประมาณ ดำเนินการตามกฎหมาย และชี้นำนโยบายต่างประเทศและภายใน นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือ อนา บรานาบิช ซึ่งได้รับการเสนอชื่อโดยพรรคก้าวหน้าเซอร์เบีย

สภาแห่งชาติ (Narodna skupština) เป็นสภานิติบัญญัติที่มีสภาเดียว สภาแห่งชาติมีอำนาจในการออกกฎหมาย อนุมัติงบประมาณ กำหนดการเลือกตั้งประธานาธิบดี เลือกและถอดถอนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคนอื่นๆ ประกาศสงคราม และให้สัตยาบันสนธิสัญญาและข้อตกลงระหว่างประเทศ ประกอบด้วยสมาชิกที่ได้รับการเลือกตั้งตามสัดส่วนจำนวน 250 คน ซึ่งดำรงตำแหน่งวาระละสี่ปี หลังการเลือกตั้งรัฐสภาในปี 2020 พรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสภาแห่งชาติคือพรรคเซอร์เบียโปรเกรสซีฟประชานิยมและพรรคสังคมนิยมแห่งเซอร์เบีย ซึ่งร่วมกับพรรคพวกได้ที่นั่งมากกว่าจำนวนเสียงข้างมาก ในปี 2564 เซอร์เบียเป็นประเทศที่ 5 ในยุโรปเมื่อพิจารณาจากจำนวนสตรีที่ดำรงตำแหน่งสาธารณะระดับสูง

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

  ประเทศที่ถือว่าจังหวัดคอซอวอเป็นส่วนหนึ่งของเซอร์เบีย
  ประเทศที่ยอมรับคอซอวอเป็นประเทศเอกราช
  ประเทศที่ยอมรับคอซอวอและถอนการรับรองนั้นในภายหลัง

เซอร์เบียได้สร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับ 191 ประเทศสมาชิกสหประชาชาติ, สันตะสำนัก, คณะเสนาธิปัตย์แห่งมอลตาและสหภาพยุโรป[104] ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดำเนินการผ่านกระทรวงการต่างประเทศ เซอร์เบียมีเครือข่ายสถานทูต 65 แห่งและสถานกงสุล 23 แห่งในต่างประเทศ[105] มีสถานทูตต่างประเทศ 69 แห่ง สถานกงสุล 5 แห่ง และสำนักงานประสานงาน 4 แห่งในเซอร์เบีย[106][107]

นโยบายต่างประเทศของเซอร์เบียมุ่งเน้นไปที่การบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ในการเข้าเป็นรัฐสมาชิกของสหภาพยุโรป (EU) เซอร์เบียเริ่มกระบวนการเข้าร่วมสหภาพยุโรปโดยลงนามในข้อตกลงการรักษาเสถียรภาพและสมาคมเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2008 และสมัครเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2009[108] ได้รับสถานะเป็นผู้สมัครโดยสมบูรณ์ในวันที่ 1 มีนาคม 2012 และเริ่มการเจรจาภาคยานุวัติเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2014[109][110] คณะกรรมาธิการยุโรปพิจารณาว่าภาคยานุวัติเป็นไปได้ภายในปี 2568[111]

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2008 คอซอวอได้ประกาศเอกราชจากเซอร์เบียเพียงฝ่ายเดียว ในการประท้วง เซอร์เบียเรียกคืนเอกอัครราชทูตของตนจากประเทศที่ยอมรับเอกราชของคอซอวอ[112] มติของสมัชชาแห่งชาติเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2007 ระบุว่าทั้งการประกาศเอกราชของคอซอวอและการยอมรับโดยรัฐใดๆ จะเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง[113]

เซอร์เบียเริ่มความร่วมมือและการเจรจากับเนโทในปี 2006 เมื่อประเทศเข้าร่วมแผนความร่วมมือเพื่อสันติภาพและสภาหุ้นส่วนหุ้นส่วนยูโรแอตแลนติก ความเป็นกลางทางทหารของประเทศได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการโดยมติที่รับรองโดยรัฐสภาของเซอร์เบียในเดือนธันวาคม 2007 ซึ่งทำให้การเข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางทหารขึ้นอยู่กับการลงประชามติที่เป็นที่นิยม[114][115] ในจุดยืนที่เนโทยอมรับ[116][117][118] ในทางกลับกัน ความสัมพันธ์ของเซอร์เบียกับรัสเซียมักได้รับการอธิบายโดยสื่อมวลชนว่าเป็น "พันธมิตรทางศาสนา ชาติพันธุ์ และการเมืองที่มีอายุเก่าแก่หลายศตวรรษ"[119] และรัสเซียได้รับการกล่าวขานว่าพยายามกระชับความสัมพันธ์กับเซอร์เบียนับตั้งแต่มีมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียในปี 2014[120] ระหว่างการรุกรานยูเครนของรัสเซียในปี 2565 เซอร์เบียลงมติประณามการรุกรานดังกล่าว โดยสนับสนุนการยอมรับร่างข้อมติสมัชชาใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติที่เรียกร้องให้รัสเซียถอนกำลังทหารออกจากยูเครน[121] อย่างไรก็ตาม เซอร์เบียเป็นหนึ่งในประเทศเดียวในยุโรปที่ไม่คว่ำบาตรรัสเซียหลังการรุกราน[122]

กองทัพ

กองกำลังพิเศษที่ 4 แห่งกองทัพเซอร์เบีย

กองทัพเซอร์เบียอยู่ภายใต้กระทรวงกลาโหมและประกอบด้วยกองทัพบกและกองทัพอากาศ แม้ว่าเซอร์เบียจะเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล แต่เซอร์เบียก็มีกองเรือในแม่น้ำซึ่งลาดตระเวนในแม่น้ำดานูบ แม่น้ำซาวา และแม่น้ำติซอ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ทั่วไปของเซอร์เบียรายงานต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เสนาธิการได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในปี 2019 งบประมาณกลาโหมของเซอร์เบียอยู่ที่ 804 ล้านดอลลาร์[123]

ตามรูปแบบกองทัพเซอร์เบียต้องพึ่งพาทหารเกณฑ์จำนวนมากผ่านช่วงเวลาแห่งการลดขนาด การปรับโครงสร้าง และความเป็นมืออาชีพ การเกณฑ์ทหารถูกยกเลิกในปี 2011 กองทัพเซอร์เบียมีทหารประจำการ 28,000 นาย เสริมด้วย "กำลังสำรองประจำการ" ซึ่งมีสมาชิก 20,000 นาย และ "กำลังสำรองประจำการ" ประมาณ 170,000 นาย[124][125]

เซอร์เบียเข้าร่วมในโครงการแผนปฏิบัติการหุ้นส่วนรายบุคคลของเนโท แต่ไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าร่วมเนโท เนื่องจากการปฏิเสธที่ได้รับความนิยมอย่างมาก มรดกส่วนใหญ่มาจากการทิ้งระเบิดของเนโทในยูโกสลาเวีย ในปี 1999 และเป็นสมาชิกผู้สังเกตการณ์ขององค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกัน (CSTO) ณ ปี 2013 ประเทศยังได้ลงนามในสนธิสัญญาเสถียรภาพสำหรับยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ กองทัพเซอร์เบียมีส่วนร่วมในภารกิจรักษาสันติภาพข้ามชาติหลายภารกิจ รวมทั้งการประจำการในเลบานอน ไซปรัส ไอวอรีโคสต์ และไลบีเรีย[126][127]

เซอร์เบียเป็นผู้ผลิตและส่งออกยุทโธปกรณ์ทางทหารรายใหญ่ในภูมิภาค การส่งออกกลาโหมมีมูลค่ารวมประมาณ 600 ล้านดอลลาร์ในปี 2561 อุตสาหกรรมการป้องกันมีการเติบโตอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และยังคงเติบโตทุกปี[128]

เซอร์เบียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีพลเรือนใช้อาวุธปืนเป็นจำนวนมากที่สุดในโลก[129]

กฎหมายและความยุติธรรมทางอาญา

เซอร์เบียเป็นประเทศในยุโรปสมัยใหม่ลำดับที่สี่ รองจากฝรั่งเศส ออสเตรีย และเนเธอร์แลนด์ ที่มีระบบกฎหมายที่ประมวลขึ้น

ประเทศนี้มีระบบการพิจารณาคดีสามชั้น ประกอบด้วยศาลฎีกาแห่งแคสเซชั่น เป็นศาลที่พึ่งสุดท้าย ศาลอุทธรณ์และศาลพื้นฐานและศาลสูงเป็นเขตอำนาจศาลทั่วไปในตอนแรก[130]

ศาลที่มีเขตอำนาจพิเศษ ได้แก่ ศาลปกครอง ศาลพาณิชย์ (รวมถึงศาลอุทธรณ์พาณิชย์ในคดีที่สอง) และศาลลหุโทษ (รวมถึงศาลลหุโทษในคดีที่สอง) ฝ่ายตุลาการอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงยุติธรรม เซอร์เบียมีระบบกฎหมายแพ่งทั่วไป

การบังคับใช้กฎหมายเป็นความรับผิดชอบของตำรวจเซอร์เบีย ซึ่งอยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงมหาดไทย ตำรวจเซอร์เบียมีเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบ 27,363 คน ด้านความมั่นคงแห่งชาติและการต่อต้านการข่าวกรองเป็นความรับผิดชอบของหน่วยข่าวกรองความมั่นคง (BIA)[131]

ส่วนการปกครอง

แผนที่เขตย่อยทั้งหมดของเซอร์เบีย (รวมคอซอวอ)

เซอร์เบียนั้นแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่คือ เซอร์เบียกลาง (อังกฤษ: Central Serbia / Serbia proper) และ จังหวัดปกครองตัวเองวอยโวดีนา (อังกฤษ: Autonomous Province of Vojvodina; เซอร์เบีย: Аутономна Покрајина Војводина / Autonomna Pokrajina Vojvodina) ซึ่งมีการแบ่งการปกครองย่อยลงมาเป็นเขตต่างๆจำนวน 25 เขต (30 หากรวมคอซอวอด้วย) แบ่งออกเป็น 1 เขตปกครองพิเศษ 7 เขตปกครองในวอยโวดีนา 8 เขตปกครองในชูมาดียาและเซอร์เบียตะวันตก 9 เขตปกครองในเซอร์เบียภาคตะวันออกและใต้ และ 5 เขตปกครองอยู่ในคอซอวอ

เขตปกครองพิเศษ

แผนที่ ชื่อเขต ชื่อภาษาเซอร์เบีย เมืองหลัก ประชากรเขต (ค.ศ. 2011)
เขตปกครองพิเศษกรุงเบลเกรด Град Београд / Grad Beograd กรุงเบลเกรด 1,659,440

เขตปกครองในชูมาดียาและเซอร์เบียตะวันตก

แผนที่ ชื่อเขต ชื่อภาษาเซอร์เบีย เมืองหลัก ประชากรเขต (ค.ศ. 2011)
โกลูบารา Колубарски округ / Kolubarski okrug วัลเยโว 174,513
ชูมาดียา Шумадијски округ / Šumadijski okrug ครากูเยวัตส์ 293,308
ซลาติบอร์ Златиборски округ / Zlatiborski okrug อูซีตเซ 286,549
โปโมราฟลีเย Поморавски округ / Pomoravski okrug ยาโกดินา 214,536
มาชวา Мачвански округ / Mačvanski okrug ชาบัทส์ 298,931
โมราวิทซา Моравички округ / Moravički okrug ชาชัก 212,603
ราชกา Рашки округ / Raški okrug คราเยโว 309,258
ราซินา Расински округ / Rasinski okrug ครูเชวัทส์ 241,999

เขตปกครองในเซอร์เบียภาคตะวันออกและใต้

แผนที่ ชื่อเขต ชื่อภาษาเซอร์เบีย เมืองหลัก ประชากรเขต (ค.ศ. 2011)
ซาเยชาร์ Зајечарски округ / Zaječarski okrug ซาเยชาร์ 119,967
โทปลิทซา Топлички округ / Toplički okrug โปรคุปลีเย 91,754
นิชาวา Нишавски округ / Nišavski okrug นีช 372,404
บรานิเชโว Браничевски округ / Braničevski okrug โปซาเรวัทส์ 180,480
บอร์ Борски округ / Borski okrug บอร์ 123,848
ปชินยา Пчињски округ / Pčinjski okrug วรานเย 159,081
ปิรอท Пиротски Oкруг / Pirotski Okrug ปิรอท 92,277
โปดูนาฟลีเย Подунавски округ / Podunavski okrug ซเมเดเรโว 199,395
ยาบลานิทซา Јабланички округ / Jablanički okrug เลสโกวัทส์ 215,463

เขตปกครองในวอยวอดีนา

แผนที่ ชื่อเขต ชื่อภาษาเซอร์เบีย เมืองหลัก ประชากรเขต (ค.ศ. 2011)
ซเรม Сремски округ / Sremski okrug ซเรมสกา มิตรอวิทซา 311,053
บาชกาใต้ Јужнобачки округ / Južnobački okrug นอวีซาด 615,371
บาชกาตะวันตก Западнобачки округ / Zapadnobački okrug ซอมบอร์ 188,087
บาชกาเหนือ Севернобачки округ / Severnobački okrug ซูบอตีตซา 186,906
บานัทเหนือ Севернобанатски округ / Severnobanatski okrug กีกันดา 146,690
บานัทตอนกลาง Средњебанатски округ / Srednjebanatski okrug ซเรนยานิน 186,851
บานัทใต้ Јужнобанатски округ / Južnobanatski okrug ปันเชโว 291,327

เขตปกครองในคอซอวอ (มีปัญหาขัดแย้งเรื่องการอ้างสิทธิ์)

แผนที่ ชื่อเขต ชื่อภาษาเซอร์เบีย เมืองหลัก ประชากรเขต (ค.ศ. 2011)
คอซอวอ Косовски округ / Kosovski okrug พริสตีนา 672,292
คอซอวอ-โปโมราฟลีเย Косовско-Поморавски округ / Kosovsko-Pomoravski okrug กนีลาเน 217,726
คอซอฟสกา มิตรอวิทซา Косовскомитровички округ / Kosovskomitrovički okrug คอซอฟสกา มิตรอวิทซา 275,904
เปช Пећки округ / Pećki okrug เปช 414,187
พริซเรน Призренски округ / Prizrenski okrug พริซเรน 376,085

ประชากรศาสตร์

เชื้อชาติ

จากการสำรวจสำมะโนประชากรปี พ.ศ. 2565 เซอร์เบีย (ไม่รวมโคโซโว) มีประชากรทั้งหมด 6,647,003 คน และความหนาแน่นของประชากรโดยรวมอยู่ในระดับปานกลางเนื่องจากมีประชากร 85.8 คนต่อตารางกิโลเมตรการสำรวจสำมะโนประชากรไม่ได้ดำเนินการในโคโซโวซึ่งจัดทำการสำรวจสำมะโนประชากรของตนเองซึ่งมีจำนวนประชากรทั้งหมดอยู่ที่ 1,739,825 คน ไม่รวมโคโซโวเหนือที่มีชาวเซิร์บอาศัยอยู่ เนื่องจากชาวเซิร์บจากพื้นที่ดังกล่าว (ประมาณ 50,000 คน) คว่ำบาตรการสำรวจสำมะโนประชากร[132]

Ethnic composition (2011)
ชาวเซิร์บ
  
83.3%
ชาวฮังการี
  
3.5%
ชาวโรมา
  
2.0%
ชาวบอสเนีย
  
2.0%
ชาวโครแอต
  
0.8%
ชาวสโลวัค
  
0.7%
อื่น ๆ
  
5.3%
ไม่ปรากฏสัญชาติ
  
2.2%

เซอร์เบียประสบปัญหาวิกฤตด้านประชากรมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 โดยมีอัตราการเสียชีวิตที่สูงกว่าอัตราการเกิดอย่างต่อเนื่อง ประมาณว่ามีผู้คน 300,000 คนออกจากเซอร์เบียในช่วงทศวรรษที่ 1990 โดย 20% มีการศึกษาสูงเซอร์เบียมีประชากรอายุมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก โดยมีอายุเฉลี่ย 43.3 ปีและประชากรของประเทศนี้กำลังลดจำนวนลงในอัตราที่เร็วที่สุดในโลก หนึ่งในห้าของครัวเรือนทั้งหมดประกอบด้วยบุคคลเพียงคนเดียว และมีเพียงหนึ่งในสี่ของสี่คนขึ้นไปอายุขัยเฉลี่ยในเซอร์เบียเมื่อแรกเกิดอยู่ที่ 76.1 ปี

ในช่วงทศวรรษที่ 1990 เซอร์เบียมีประชากรผู้ลี้ภัยมากที่สุดในยุโรปผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ (IDPs) ในเซอร์เบียเกิดขึ้นระหว่าง 7% ถึง 7.5% ของประชากรในขณะนั้น ผู้ลี้ภัยประมาณครึ่งล้านคนขอลี้ภัยในประเทศหลังจากสงครามยูโกสลาเวียซึ่งส่วนใหญ่มาจากโครเอเชีย (และในระดับที่น้อยกว่า จากบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา) และผู้พลัดถิ่นจากโคโซโว

เซิร์บ ที่มี 5,988,150 เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในเซอร์เบีย ซึ่งคิดเป็น 83% ของประชากรทั้งหมด (ไม่รวมโคโซโว) เซอร์เบียเป็นหนึ่งในประเทศในยุโรปที่มีจำนวนชนกลุ่มน้อยที่ลงทะเบียนมากที่สุด ในขณะที่จังหวัด Vojvodina เป็นที่รู้จักจากเอกลักษณ์หลากหลายเชื้อชาติและหลากหลายวัฒนธรรมด้วยประชากร 253,899 คน ชาวฮังกาเรียนเป็นชนกลุ่มน้อยที่ใหญ่ที่สุดในเซอร์เบีย โดยส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ทางตอนเหนือของ Vojvodina และคิดเป็น 3.5% ของประชากรในประเทศ (13% อยู่ใน Vojvodina) ประชากรโรมานีอยู่ที่ 147,604 คนตามการสำรวจสำมะโนประชากรปี 2554 แต่การประมาณอย่างไม่เป็นทางการทำให้จำนวนที่แท้จริงอยู่ระหว่าง 400,000 ถึง 500,000 คน

ประชากรส่วนใหญ่หรือ 59.4% อาศัยอยู่ในเขตเมืองและ 16.1% ในกรุงเบลเกรดเพียงแห่งเดียว เบลเกรดเป็นเมืองเดียวที่มีประชากรมากกว่าหนึ่งล้านคน และมีอีกสี่เมืองที่มีประชากรมากกว่า 100,000 คน

ศาสนา

ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายออร์ทอดอกซ์ 86% นิกายโรมันคาทอลิก 8% ไม่นับถือศาสนา / ไม่ทราบ 6%

คริสตจักรเซนต์ซาวา ในกรุงเบลเกรด

รัฐธรรมนูญแห่งเซอร์เบียกำหนดให้เป็นรัฐฆราวาสที่รับประกันเสรีภาพทางศาสนา คริสเตียนออร์โธดอกซ์จำนวน 6,079,396 คนคิดเป็น 84.5% ของประชากรทั้งประเทศ คริสตจักรเซอร์เบียออร์โธดอกซ์เป็นคริสตจักรที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ของประเทศซึ่งมีชาวเซิร์บอย่างท่วมท้น ชุมชนคริสเตียนออร์โธดอกซ์อื่น ๆ ในเซอร์เบีย ได้แก่ มอนเตเนกริน,โรมาเนีย,วลาช,มาซิโดเนีย และ บัลแกเรีย

ในปี พ.ศ. 2554 ผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกมีจำนวน 356,957 คนในเซอร์เบีย หรือประมาณ 6% ของประชากร ส่วนใหญ่อยู่ทางตอนเหนือของวอยวอดีนาซึ่งเป็นที่อยู่ของชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ เช่น ชาวฮังกาเรียน ชาวโครแอต และชาว บุนเยฟซี รวมถึงชาวสโลวาเกียและชาวเช็กบางส่วน

นิกายโปรเตสแตนต์มีสัดส่วนประมาณ 1% ของประชากรในประเทศ ส่วนใหญ่นับถือนิกายลูเทอแรนในหมู่ชาวสโลวักในโวจโวดินา และลัทธิคาลวินในหมู่ชาวฮังการีที่กลับเนื้อกลับตัว คริสตจักรกรีกคาทอลิกมีพลเมืองประมาณ 25,000 คน (0.37% ของประชากร) ส่วนใหญ่นับถือนิกายรูซึน (Rusyns) ในวอยวอดีนา

ชาวมุสลิมซึ่งมี 222,282 หรือ 3% ของประชากรเป็นกลุ่มศาสนาที่ใหญ่เป็นอันดับสาม อิสลามมีประวัติอันยาวนานในภูมิภาคทางตอนใต้ของเซอร์เบีย โดยเฉพาะทางตอนใต้ของราสกา บอสนีแอก เป็นชุมชนอิสลามที่ใหญ่ที่สุดในเซอร์เบีย รองลงมาคือชาวอัลเบเนีย มีการประมาณว่าประมาณหนึ่งในสามของชาวโรมาในประเทศนับถือศาสนาอิสลาม[ต้องการอ้างอิง]

ในปี 2554 มีชาวยิวเพียง 578 คนในเซอร์เบีย เทียบกับกว่า 30,000 คนก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้ามีจำนวน 80,053 คนหรือ 1.1% ของประชากร และอีก 4,070 คนที่ประกาศตัวเองว่าเป็นผู้ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า

วัฒนธรรม

สถาปัตยกรรม

พิพิธภัณฑ์แห่งชาติเซอร์เบีย

ตั้งอยู่ที่เบลารุสตอนกลาง ราชวงศ์ราดซีวิลล์เป็นผู้สร้างและปกครองดินแดนนี้มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยได้ให้กำเนิดบุคคลที่สำคัญที่สุดบางคนในประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมยุโรป ทำให้เมืองเนซวิซมีอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ด้านวิทยาศาสตร์, ศิลปะ, งานช่างฝีมือ และสถาปัตย์กรรม แหล่งมรดกโลกนี้ประกอบไปด้วยปราสาทที่ประทับ โบสถ์สุสสานคอร์ปัส คริสตี รวมทั้งองค์ประกอบแวดล้อมตัวปราสาทเป็นอาการที่เชื่อมต่อกัน 10 หลัง เป็นองค์รวมของสถาปัตย์กรรมรอบพื้นที่โล่งรูปหกเหลี่ยม พระราชวังและโบสถ์ได้กลายเป็นต้นแบบและพัฒนาการของสถาปัตย์กรรมทั่วทั้งยุโรปกลาง และรัสเซีย

ดนตรีและนาฎศิลป์

มีการเต้นระบำพื้นบ้านที่เรียกว่า โคโล (Kolo)

นักแต่งเพลงและนักดนตรี Stevan Stojanović Mokranjac ถือเป็นผู้ก่อตั้งดนตรีเซอร์เบียสมัยใหม่[133][134] นักแต่งเพลงชาวเซอร์เบียในรุ่นแรก พีตาร์ คอนโจวิช, Stevan Hristić และมิโลเย มิโลเยวิช ได้รักษาการแสดงออกของชาติไว้และปรับปรุงแนวโรแมนติกให้ทันสมัยไปสู่แนวทางของลัทธิอิมเพรสชันนิสม์ นักแต่งเพลงชาวเซอร์เบียคลาสสิกที่มีชื่อเสียงคนอื่น ๆ ได้แก่อิซิดอร์ บาจิช, สตานิสลาฟ บินิชกี้ และโยซิฟ มารินโควิช มีโรงละครโอเปร่าสามแห่งในเซอร์เบีย:โอเปร่าของโรงละครแห่งชาติ และ Madlenianum Opera ทั้งใน เบลเกรด และ โอเปร่าของโรงละครแห่งชาติเซอร์เบีย ใน นอวีซาด วงดุริยางค์ซิมโฟนิกสี่วงดำเนินการในประเทศ:เบลเกรด ฟิลฮาร์โมนิก ออร์เคสตร้า และ ซิมโฟนิกออร์เคสตร้าของวิทยุโทรทัศน์แห่งเซอร์เบีย คณะนักร้องประสานเสียงวิทยุโทรทัศน์แห่งเซอร์เบียเป็นวงดนตรีชั้นนำในประเทศ BEMUS เป็นหนึ่งในเทศกาลดนตรีคลาสสิกที่โดดเด่นที่สุดในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้

อนุสรณ์นักดนตรีของเซอร์เบีย

ดนตรีพื้นเมืองของเซอร์เบียประกอบด้วยปี่ ฟลุต แตร ทรัมเป็ต ลูต สดุดี กลองและฉิ่งหลายชนิด โคโลเป็นการเต้นรำพื้นบ้านแบบดั้งเดิมซึ่งมีอยู่หลากหลายทั่วภูมิภาค ความนิยมมากที่สุดคือผู้ที่มาจากภูมิภาค Užice และ Morava บทกวีมหากาพย์ของ Sung เป็นส่วนสำคัญของดนตรีเซอร์เบียและบอลข่านมานานหลายศตวรรษ ในที่ราบสูงของเซอร์เบีย บทกวีขนาดยาวเหล่านี้มักจะใช้ซอสายเดียวที่เรียกว่า Gusle และเกี่ยวข้องกับประเด็นจากประวัติศาสตร์และตำนาน มีบันทึกการเล่นตลกในราชสำนักของกษัตริย์ Stefan Nemanjić ในศตวรรษที่ 13

ศิลปินเพลงป๊อป ซิลจ์โก โยคซิโมวิช คว้าอันดับสองในการประกวดเพลงยูโรวิชันปี 2004 และ มาริยา เซริโฟวิช ชนะการประกวดเพลงยูโรวิชันปี 2007 ด้วยเพลง "Molitva" และเซอร์เบียเป็นเจ้าภาพในการประกวดฉบับปี 2008 นักร้องป๊อป ได้แก่ Zdravko Čolić, Vlado Georgiev, Aleksandra Radović, Jelena Tomašević และ Nataša Bekvalac เป็นต้น

หมายเหตุ

  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 1.6 1.7 1.8 คอซอวอเป็นดินแดนข้อพิพาทระหว่างสาธารณรัฐคอซอวอกับสาธารณรัฐเซอร์เบีย สาธารณรัฐคอซอวอประกาศเอกราชเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 แต่เซอร์เบียยังคงอ้างว่าคอซอวอเป็นดินแดนอธิปไตยของตน ใน พ.ศ. 2556 ทั้งสองรัฐบาลเริ่มกระชับความสัมพันธ์ให้เป็นปกติในฐานะส่วนหนึ่งของข้อตกลงบรัสเซลส์ ปัจจุบันคอซอวอได้รับการยอมรับว่าเป็นรัฐเอกราชจากประเทศสมาชิกสหประชาชาติ 98 ชาติจาก 193 ชาติ
  2. ภาษาชนกลุ่มน้อยที่ได้รับการยอมรับ:
    ฮังการี, บอสเนีย, แอลเบเนีย, โครเอเชีย, สโลวัก, โรมาเนีย, บัลแกเรีย, รูซึน และมาซีโดเนีย

อ้างอิง

  1. "The World Factbook: Serbia". Central Intelligence Agency. 20 June 2014. สืบค้นเมื่อ 18 December 2014.
  2. "PBC stats". stat.gov.rs. 2020.
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 "World Economic Outlook Database, October 2020". IMF.org. International Monetary Fund. สืบค้นเมื่อ 16 December 2020.
  4. "Gini coefficient of equivalised disposable income – EU-SILC survey". ec.europa.eu. Eurostat. สืบค้นเมื่อ 16 December 2020.
  5. "2019 Human Development Report" (PDF). United Nations Development Programme. 2019. สืบค้นเมื่อ 9 December 2019.
  6. "Yugoslav Agreement on Succession Issues (2001) | Public International Law". web.archive.org. 2012-05-26. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-26. สืบค้นเมื่อ 2023-05-23.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  7. "Wayback Machine" (PDF). web.archive.org. 2011-09-28. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-09-28. สืบค้นเมื่อ 2023-05-23.
  8. "Serbia: On the Way to EU Accession". World Bank (ภาษาอังกฤษ).
  9. "Serbia: Introduction". globaledge.msu.edu (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  10. "Serbia", The World Factbook (ภาษาอังกฤษ), Central Intelligence Agency, 2023-05-16, สืบค้นเมื่อ 2023-05-23
  11. https://publikacije.stat.gov.rs/G2021/Pdf/G20212054.pdf
  12. "Policia e Kosovës". web.archive.org. 2015-01-08. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-01-08. สืบค้นเมื่อ 2023-05-23.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  13. Chapman 1981.
  14. Srejović 1988.
  15. Fine 1991, p. 52-53.
  16. Ivić 1995, p. 9.
  17. Ćirković 2004, p. 11.
  18. Fine 1991, p. 141.
  19. Ćirković 2004, p. 15-17.
  20. Ćirković 2004, p. 23-24.
  21. Ćirković 2004, p. 38.
  22. Ćirković 2004, p. 64.
  23. Ćirković 2004, p. 28.
  24. Ćirković 2004, p. 84-85.
  25. Ćirković 2004, p. 107-108.
  26. Dierauer, Isabelle (16 May 2013). Disequilibrium, Polarization, and Crisis Model: An International Relations Theory Explaining Conflict. University Press of America. p. 88. ISBN 978-0-7618-6106-5.
  27. A ́goston & Masters 2010, p. 383.
  28. Riley-Smith 2001, p. 251.
  29. Rodriguez 1997, p. 6.
  30. Kia 2011, p. 62.
  31. Ćirković 2004, p. 134.
  32. Ćirković 2004, p. 135-136.
  33. Fotić 2008, p. 519–520.
  34. Sotirović 2011, p. 143–169.
  35. Runciman 1968, p. 204.
  36. Kia 2011, p. 115.
  37. Ćirković 2004, p. 151.
  38. Ćirković 2004, p. 176.
  39. Jelavich 1983a, p. 193-204.
  40. Pavlowitch 2002, p. 29-32.
  41. Radosavljević 2010, p. 171-178.
  42. Rajić 2010, p. 143-148.
  43. Ćirković 2004, p. 179-183.
  44. Ćirković 2004, p. 190-196.
  45. Stavrianos 2000, p. 248–250.
  46. Ćirković 2004, p. 195.
  47. "Statehood Day of the Republic of Serbia 2019". School of Engineering Management (Belgrade). สืบค้นเมื่อ 12 February 2020.
  48. Ćirković 2004, p. 214-215.
  49. Jelavich 1983a, p. 246.
  50. Pavlowitch 2002, p. 58.
  51. Pavlowitch 2002, p. 63-64.
  52. Ćirković 2004, p. 224.
  53. "Serbia - Countries". Collection of Cooper Hewitt, Smithsonian Design Museum. 1914-06-28. สืบค้นเมื่อ 2021-06-20.
  54. Hall 2000, p. 135.
  55. Curtis 1992, p. 28.
  56. Ćirković 2004, p. 246-247.
  57. Mitrović 2007, p. 69.
  58. "20/7/1917 the Corfu Declaration: Plans for a future Yugoslavia". 20 July 2017.
  59. Arhiv Jugoslavije – 1 December Act, 1 December 1918
  60. Bojovi, Jovan,Zakonik knjza Danila,Titograd: Istorijski institut Crne Gore, 1982.––––––, Podgorič ka skupština 1918: dokumenta, Gornji Milanovac: Dečje novine, 1989.
  61. Pavlowitch 2002, p. 108-109.
  62. Ćirković 2004, p. 251-252.
  63. Stavrianos 2000, p. 624.
  64. Pavlowitch 2008, p. 62.
  65. Savich, Karl. "The Kragujevac massacre". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 December 2012.
  66. Israeli, Raphael (4 March 2013). The Death Camps of Croatia: Visions and Revisions, 1941–1945. Transaction Publishers. p. 31. ISBN 978-1-4128-4930-2. สืบค้นเมื่อ 12 May 2013.
  67. "Jewish Heritage Europe – Serbia 2 – Jewish Heritage in Belgrade". Jewish Heritage Europe. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 June 2010. สืบค้นเมื่อ 28 April 2010.
  68. "Ustaša". Britannica OnlineEncyclopedia. Britannica.com. สืบค้นเมื่อ 28 April 2010.
  69. Yeomans, Rory (2015). The Utopia of Terror: Life and Death in Wartime Croatia. Boydell & Brewer. p. 18. ISBN 978-1-58046-545-8.
  70. "Ustasa" (PDF). yadvashem.org. สืบค้นเมื่อ 25 June 2018.
  71. "Genocide of the Serbs". The Combat Genocide Association.
  72. Tito, Josip Broz (1945). Nacionalno pitanje u Jugoslaviji: u svjetlosti narodnooslobodilačke borbe (ภาษาโครเอเชีย). Zagreb: Naprijed. p. 11. Moram ovdje podvući činjenicu da su u redovima naše Narodno-oslbodilačke vojske i partizanskih odreda u Jugoslaviji, od samog početka pa do danas, nalaze u ogromnoj većini baš Srbi, umjesto da to bude obratno.
  73. PM. "Storia del movimento partigiano bulgaro (1941–1944)". Bulgaria – Italia. สืบค้นเมื่อ 28 April 2010.
  74. Žerjavić, Vladimir (1993). Yugoslavia: Manipulations with the Number of Second World War Victims. Croatian Information Centre. ISBN 978-0-919817-32-6.
  75. Tanjug. "Posle rata u Srbiji streljano preko 60.000 civila". Mondo.rs.
  76. Bokovoy, Melissa Katherine; Irvine, Jill A.; Lilly, Carol S. (1997). State-society relations in Yugoslavia, 1945–1992. Scranton, Pennsylvania: Palgrave Macmillan. pp. 295–296, 301.
  77. Norris, David A (2008). Belgrade A Cultural History. Oxford University Press. p. 134. ISBN 978-0-19-988849-8.
  78. Bilandžić, Vladimir; Dahlmann, Dittmar; Kosanović, Milan (2012). From Helsinki to Belgrade: The First CSCE Follow-up Meeting and the Crisis of Détente. Vandenhoeck & Ruprecht. pp. 163–184. ISBN 978-3-89971-938-3.
  79. Trifunović, Vesna (July 2018). "Patterns of competitive authoritarianism in the Western Balkans". Glasnik Etnografskog instituta SANU. 65 (1): 127–145. doi:10.2298/GEI1701127T.
  80. Magaš, Branka (1993). The Destruction of Yugoslavia: tracking the break-up 1980–92 (pp 165–170). Verso. ISBN 978-0-86091-593-5.
  81. Engelberg, Stephen (16 January 1992). "Breakup of Yugoslavia Leaves Slovenia Secure, Croatia Shaky". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 6 April 2010.
  82. "Serbia not guilty of genocide". Human Rights House Foundation (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2007-02-26. สืบค้นเมื่อ 2021-07-21.
  83. "Montenegro gets Serb recognition". BBC. 15 June 2006.
  84. "Rift Emerges at the United Nations Over Kosovo". New York Sun. 19 February 2008.
  85. "Republic of Serbia – European Union". Ministry of Foreign Affairs. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 May 2013. สืบค้นเมื่อ 24 June 2013.
  86. "EU leaders grant Serbia candidate status". BBC News. 1 March 2012. สืบค้นเมื่อ 2 March 2012.
  87. "Serbia gets EU candidate status, Romania gets nothing". EUobserver. 2 March 2012. สืบค้นเมื่อ 24 June 2013.
  88. "conclusions of the European Council (27/28 June 2013)" (PDF). European Council. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2013-07-05. สืบค้นเมื่อ 2021-11-19.
  89. "Serbia: Nations in Transit 2020 Country Report". Freedom House. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 October 2020. สืบค้นเมื่อ 3 November 2020.
  90. Fruscione, Giorgio (2020-10-02). "Serbia: From Milosevic to Vucic, Return Ticket". ISPI (ภาษาอิตาลี). สืบค้นเมื่อ 2022-07-23.
  91. "Freedom House ranks Serbia as Partly Free in latest report". N1. 5 February 2019. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 February 2019. สืบค้นเมื่อ 5 February 2019.
  92. Voltmer, Katrin (2019). Media, Communication and the Struggle for Democratic Change: Case Studies on Contested Transitions. Springer Nature. p. 6. ISBN 978-3-030-16747-9.
  93. Bieber, Florian (July 2018). "Patterns of competitive authoritarianism in the Western Balkans". East European Politics. 38 (3): 337–54. doi:10.1080/21599165.2018.1490272.
  94. Maerz, Seraphine F; และคณะ (April 2020). "State of the world 2019: autocratization surges – resistance grows". Democratization. 27 (6): 909–927. doi:10.1080/13510347.2020.1758670.
  95. Castaldo, Antonino; Pinna, Alessandra (2017). "De-Europeanization in the Balkans. Media freedom in post-Milošević Serbia". European Politics and Society. 19 (3): 264–281. doi:10.1080/23745118.2017.1419599. hdl:10451/30737. S2CID 159002076.
  96. "Serbia carrying out Europe's second-fastest vaccine rollout". intellinews.com (ภาษาอังกฤษ). 29 January 2021. สืบค้นเมื่อ 30 January 2021.
  97. "Франкфуртер алгемајне цајтунг: Зашто Србија успешно вакцинише". Politika Online. สืบค้นเมื่อ 30 January 2021.
  98. "Srbija prva u Evropi po broju onih koji su dobili drugu dozu na milion građana". N1 (ภาษาเซอร์เบีย). 2021-03-03. สืบค้นเมื่อ 2021-03-19.
  99. "'Endlessly happy': Serbia's Vucic claims re-election victory". www.aljazeera.com (ภาษาอังกฤษ).
  100. Magazina, Redakcija (2012-10-29). "Svi Ustavi moderne države Srbije od 1835 do 2006 - Sretenjski, Turski, Radikalski ustav i Srpska ustavnost". Bašta Balkana Magazin (ภาษาเซอร์เบีย).
  101. "Environmental impact of the war in Yugoslavia on south-east Europe". assembly.coe.int.
  102. "The president of the republic of Serbia". web.archive.org. 2013-06-05. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-06-05. สืบค้นเมื่อ 2023-05-23.
  103. "Serbia elects Prime Minister Aleksandar Vucic as president". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2017-04-02. สืบค้นเมื่อ 2023-05-23.
  104. "Serbia Diplomatic List 2012" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 23 October 2013. สืบค้นเมื่อ 27 October 2014.
  105. "Diplomatic Missions". Ministry of Foreign Affairs of Serbia. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 May 2012. สืบค้นเมื่อ 24 May 2012.
  106. "Diplomatic Missions in Serbia". Ministry of Foreign Affairs of Serbia. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 February 2012. สืบค้นเมื่อ 15 September 2012.
  107. "Ambasade Republike Srbije". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 November 2018. สืบค้นเมื่อ 2 February 2020.
  108. "Serbia applies for EU membership". Swedish Presidency of the European Union. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 January 2010. สืบค้นเมื่อ 25 December 2009.
  109. "EUROPEAN COUNCIL 27/28 JUNE 2013 CONCLUSIONS" (PDF). Council of the European Union. 27 June 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 10 October 2017. สืบค้นเมื่อ 28 June 2013.
  110. "EU grants Serbia candidate status". Times of India. 2 March 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 April 2012. สืบค้นเมื่อ 24 May 2012.
  111. EU to map out membership for 6 western Balkan states, Michael Peel and Neil Buckley, Financial Times, 1 February 2018
  112. Protest conveyed to France, Britain, Costa Rica, Australia, Albania ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (เก็บ index)
  113. Резолуција Народне скупштине о заштити суверенитета, територијалног интегритета и уставног поретка Републике Србије // See Article 4.
  114. Резолуција Народне скупштине о заштити суверенитета, територијалног интегритета и уставног поретка Републике Србије // See Article 6.
  115. Како је утврђена војна неутралност politika.rs, 12 January 2010.
  116. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ natorelations
  117. NATO "accepts Serbia's determination to be neutral" b92.net, 13 October 2017.
  118. В зависимости от независимости: Сербия готова разорвать отношения с Западом из-за Косово เก็บถาวร 3 มกราคม 2018 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Kommersant, 27 December 2007.
  119. With Russia as an ally, Serbia edges toward NATO Reuters, 3 July 2016.
  120. Ramani, Samuel (15 February 2016). "Why Serbia is Strengthening its Alliance with Russia". HuffPost.
  121. Mojsilović, Julijana (2 March 2022). "Serbia votes 'yes' to UN's resolution condemning Russian attack, West welcomes". N1 (ภาษาเซอร์เบีย). สืบค้นเมื่อ 14 February 2023.
  122. "Serbian president rejects calls for sanctions against Russia". AP NEWS. 4 January 2023. สืบค้นเมื่อ 6 June 2023.
  123. "The president of the republic of Serbia". web.archive.org. 2013-06-05. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-06-05. สืบค้นเมื่อ 2023-05-23.
  124. Танјуг. "Војска Србије од сутра и званично професионална". Politika Online.
  125. "Sa 28.000 vojnika Vojska Srbije među najbrojnijim u regionu". Blic.rs (ภาษาเซอร์เบีย). 2010-02-12.
  126. https://www.nato.int/cps/cs/natohq/topics_50100.htm
  127. INFORM.KZ (2013-04-12). "Afghan and Serbian parliaments acquire observer status at CSTO PA". Казинформ (ภาษาอังกฤษ).
  128. "Vulin: Izvoz odbrambene industrije 600 miliona dolara u 2018. | N1 Srbija". web.archive.org. 2019-08-01. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-08-01. สืบค้นเมื่อ 2023-06-16.
  129. "Gun Ownership by Country 2023". worldpopulationreview.com.
  130. "History of judiciary in Serbia | Supreme Court of Cassation". web.archive.org. 2019-04-27. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-04-27. สืบค้นเมื่อ 2023-06-30.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  131. "About Agency / Security Information Agency". web.archive.org. 2013-10-20. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-10-20. สืบค้นเมื่อ 2023-06-30.
  132. "Final results of the Census of Population, Households and Dwellings, 2022 | ABOUT CENSUS". popis2022.stat.gov.rs.
  133. "Projekat Rastko: Istorija srpske kulture". www.rastko.rs.
  134. "[Project Rastko] THE HISTORY OF SERBIAN CULTURE - Roksanda Pejovic: Musical composition and performance from the eighteenth century to the present". www.rastko.rs.

ข้อมูล

แหล่งข้อมูลอื่น