ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ศาสนาพุทธในประเทศจีน"
พุทธามาตย์ (คุย | ส่วนร่วม) ล ย้อนการแก้ไขของ เสริฐ บินเดี่ยว (พูดคุย) ไปยังรุ่นก่อนหน้าโดย 27.55.117.163 ป้ายระบุ: ย้อนรวดเดียว |
พุทธามาตย์ (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
{{รอการตรวจสอบ}} |
{{รอการตรวจสอบ}} |
||
{{พุทธศาสนา}} |
{{พุทธศาสนา}} |
||
'''[[ |
'''[[ศาสนาพุทธ]]'''ได้เข้ามาใน'''[[ประเทศจีน]]''' ดังที่ปรากฏในหลักฐาน เมื่อประมาณ พ.ศ. 608 ในรัชสมัย[[จักรพรรดิฮั่นหมิง]] พระองค์ได้จัดส่งคณะทูต 18 คน ไปสืบพระพุทธศาสนาใน[[ประเทศอินเดีย]] คณะทูตชุดนี้ได้เดินทางกลับประเทศจีนพร้อมด้วยพระภิกษุ 2 รูป คือ [[พระกาศยปมาตังคะ]]และ[[พระธรรมรัตนะ]] รวมทั้งคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาอีกส่วนหนึ่งด้วย เมื่อพระเถระ 2 รูป พร้อมด้วยคณะทูตมาถึง[[ลั่วหยาง]] จักรพรรดิฮั่นหมิงได้ทรงสั่งให้สร้างวัดเพื่อเป็นที่อยู่ของพระทั้ง 2 รูป นั้นซึ่งมีชื่อว่า [[วัดม้าขาว|วัดแป๊ะเบ๊ยี่]] แปลเป็นไทยว่า วัดม้าขาว เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ม้าตัวที่บรรทุกพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนากับพระเถระทั้งสอง หลังจากนั้นพระกาศปมาตังตะกับพระธรรมรัตนะได้แปลคัมภีร์พระพุทธศาสนาเป็น[[ภาษาจีน]]เล่มแรก |
||
บรรทัด 7: | บรรทัด 7: | ||
=== ยุคราชวงศ์ฮั่น === |
=== ยุคราชวงศ์ฮั่น === |
||
⚫ | ในสมัย[[ราชวงศ์ฮั่น]] แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะเป็นที่เลื่อมใสแต่ก็ยังจำกัดอยู่ในวงแคบคือ ในหมู่ข้าราชการและชนชั้นสูงแห่งราชสำนักเป็นส่วนใหญ่ ยังไม่แพร่หลายในหมู่ประชาชนชาวเมือง เพราะ[[ชาวจีน]]ส่วนใหญ่ยังคงนับถือ[[ลัทธิขงจื๊อ]]และ[[ลัทธิเต๋า]] จนกระทั่งโม่งจื๊อ นักปราชญ์ผู้มีความสามารถยิ่งได้แสดงหลักธรรมของพระพุทธศาสนา]ห้ชาวเมืองได้เห็นถึงความจริงแท้อันลึกซึ้งของ[[พระพุทธศาสนา]]เหนือกว่าลัทธิเดิม กับอาศัยความประพฤติอันบริสุทธิ์ของพระสงฆ์เป็นเครื่องจูงใจให้ชาวจีนเกิดศรัทธาเลื่อมใส จนทำให้ชาวเมืองหันมานับถือพระพุทธศาสนามากกว่าลัทธิศาสนาอื่นๆ พระพุทธศาสนาก็เจริญรุ่งเรืองมาเป็นลำดับ แต่ปัจจุบันนี้ศาสนาเต๋าได้มีการฟื้นฟูโดยมีการประมวลศาสนาเต๋าใหม่รวบรวมทุกอย่างเกี่ยวกับเต๋าไว้ในคำภีร์เต้าจ้าง ทำให้คนจีนกลับมาให้ความสำคัญของคำสอนแนวคิดแบบเต๋าว่าไม่แพ้ศาสนาใดในโลก และหันกลับมานับถือศาสนาเต๋าเป็นจำนวนมาก โดยคนจีนส่วนใหญ่จะนับถือทั้ง2ศาสนา1ลัทธิไปพร้อมๆกัน คือ1.ศาสนาเต๋า 2.ศาสนาพุทธ 3.ลัทธิหยู (ขงจื๊อ) |
||
⚫ | ในสมัย[[ราชวงศ์ฮั่น]] แม้ว่า |
||
=== ยุคราชวงศ์ถัง === |
=== ยุคราชวงศ์ถัง === |
||
[[ราชวงศ์ถัง]] ( |
[[ราชวงศ์ถัง]] (พ.ศ. 1161-1450) พระพุทธศาสนาก็เจริญสูงสุด เพราะได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้าจักรพรรดิตลอดจนนักปราชญ์ราชบัณฑิตต่างๆโดยมีการสร้างวัดขึ้นหลายแห่ง และมีการแปลพระสูตรจากภาษาบาลีเป็นภาษาจีนมากมายพระพุทธศาสนาเริ่มเสื่อมลงเมื่อ[[จักรพรรดิถังอู่จง]]ขึ้นปกครองประเทศ เพราะพระองค์ทรงเลื่อมใสใน[[ลัทธิเต๋า]] พระองค์ได้ทำลายพระพุทธศาสนา เช่น ให้[[ภิกษุ]][[ภิกษุณี]]ลาสิกขาบท ยึดวัด ทำลาย[[พระพุทธรูป]] เผาคัมภีร์ เป็นต้น พระพุทธศาสนาไม่ได้รับการอุปถัมภ์จากราชสำนัก ก็เริ่มเสื่อมลงตั้งแต่บัดนั้น |
||
=== ยุคสาธารณรัฐจีน === |
=== ยุคสาธารณรัฐจีน === |
||
⚫ | ใน พ.ศ. 2455 ประเทศจีนได้เปลี่ยน ชื่อ ประเทศเป็นสาธารณรัฐจีน รัฐบาลไม่ได้สนับสนุนในพระพุทธศาสนา แต่สนับสนุนแนวความคิดของ[[ลัทธิมาร์กซิสต์]] ซึ่งลัทธิดังกล่าว ได้โจมตี[[พระพุทธศาสนา]]ตลอดมา และมีการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อ[[พระพุทธศาสนา]]มากขึ้นโดยเอา[[วัด]]ไปใช้เป็นสถานที่ราชการอื่นๆ สถานการณ์ของ[[พระพุทธศาสนา]]จึงยังไม่ดีขึ้น |
||
⚫ | ใน พ.ศ. 2465 พระสงฆ์ชาวจีนรูปหนึ่ง ชื่อว่า [[พระอาจารย์ไท้สู]] ได้ช่วยกู้ฐานะของ[[พระพุทธศาสนา]]ไว้บางส่วนคือ ท่านได้ทำการปฏิรูปพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง แม้จะมีกำลังน้อย เริ่มด้วยการตั้งวิทยาลัยสงฆ์ขึ้นที่ [[วูซัน]] [[เอ้หมิง]] [[เสฉวน]] และ [[หลิ่งนาน]] เพื่อฝึกผู้นำทางพระพุทธศาสนาให้มีความรู้ทางพระธรรมวินัยและวิชาการทางโลกสมัยใหม่ และนำมาเผยแผ่เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม จนผู้คนเลื่อมใสมากขึ้น จึงตั้ง[[พุทธสมาคมแห่งประเทศจีน]]ขึ้น |
||
⚫ | ใน |
||
⚫ | |||
⚫ | ใน |
||
⚫ | |||
⚫ | |||
⚫ | |||
=== ยุคสาธารณรัฐประชาชนจีน === |
=== ยุคสาธารณรัฐประชาชนจีน === |
||
ใน |
ใน พ.ศ. 2492 สาธารณรัฐจีนได้เปลี่ยนชื่อประเทศอีกครั้งหนึ่ง เป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน ปกครองด้วย[[ลัทธิคอมมิวนิสต์]] ลัทธิคอมมิวนิสต์นี้มีคำสอนที่ขัดแย้งกับ[[พระพุทธศาสนา]]เป็นอย่างมาก พระพุทธศาสนาจึงไม่อาจอยู่ได้ใน[[สาธารณรัฐประชาชนจีน]] ในระยะแรกพรรคคอมมิวนิสต์เป็นว่าพระพุทธศาสนายังมีอิทธิพลอยู่ในจิตใจของประชาชนจึงไม่ใช้ความรุนแรง |
||
ใน |
ใน พ.ศ. 2494 รัฐบาลได้ออกกฎหมาย เพิกถอนสิทธิวัดในการยึดครองที่ดิน ซึ่งเป็นการบีบให้[[พระสงฆ์]]ต้องลาสิกขาบทโดยทางอ้อม พระภิกษุที่ยังไม่ลาสิกขาก็ต้องไปประกอบอาชีพเอง เช่น ทำไร่ ทำนา เป็นต้น ทั้งที่ยังครองเพศเป็นภิกษุอยู่ และในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ของสาธารณรัฐประชาชนจีน |
||
ใน |
ใน พ.ศ. 2509-2512 ได้มีเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากคือ รัฐบาลได้ยึดวัดเป็นของราชการ ห้ามประกอบศาสนกิจต่างๆ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาถือเป็นความผิดกฎหมาย พระภิกษุถูกบังคับให้ลาสิกขา พระคัมภีร์ต่างๆ ถูกเผา พระพุทธรูปและวัดถูกทำลายไปเป็นอันมาก จากเหตุการณ์นี้ทำให้พระพุทธศาสนา เกือบสูญสิ้นไปจากประเทศจีนเลยทีเดียว เมื่อประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน [[เหมา เจ๋อตง]] ได้ถึงแก่อสัญกรรม |
||
ใน |
ใน พ.ศ. 2519 รัฐบาลชุดใหม่ของจีนก็คลายความเข้มงวดลงบ้างและให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาของประชาชนมากขึ้น |
||
== พุทธศาสนาในปัจจุบัน == |
== พุทธศาสนาในปัจจุบัน == |
||
ในปัจจุบันได้มีการฟื้นฟู |
ในปัจจุบันได้มีการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาลัทธิ[[มหายาน]]ขึ้นใหม่ ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน นอกจากนี้รัฐบาลจีนยังให้การสนับสนุนจัดตั้ง[[พุทธสมาคมแห่งประเทศจีน]] และสภาการศึกษาพระพุทธศาสนาแห่งประเทศจีนขึ้นในกรุง[[ปักกิ่ง]]อีกด้วย เพื่อเป็นศูนย์กลางการติดต่อเผยแผ่พระพุทธศาสนากับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ปัจจุบันนี้ชาวจีนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาคู่ไปกับ[[ลัทธิขงจื๊อ]] [[ห้าทหารเสือ]]แห่ง[[จ๊กก๊ก]] และ[[ลัทธิเต๋า]] ซึ่งปัจจุบันมีผู้นับถือถึง 30% |
||
== พุทธศาสนาเถรวาทในจีน == |
== พุทธศาสนาเถรวาทในจีน == |
||
บรรทัด 44: | บรรทัด 42: | ||
พุทธศาสนาใน[[สิบสองปันนา]]เป็นพุทธศาสนาเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ โดยได้รับอิทธิพลจาก[[อาณาจักรล้านนา]]หรือ[[เชียงใหม่]]ในปัจจุบัน แบ่งเป็น 2 นิกายเช่นเดียวกับพุทธศาสนาในเชียงใหม่คือ <ref>เจีย แยนจอง. พุทธศาสนากับวิถีชีวิตชาวพุทธไทลื้อในสิบสองพันนา ใน คนไทไม่ใช่ไทย แต่เป็นเครือญาติชาติภาษา. กทม. มติชน. 2549. หน้า 233</ref> |
พุทธศาสนาใน[[สิบสองปันนา]]เป็นพุทธศาสนาเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ โดยได้รับอิทธิพลจาก[[อาณาจักรล้านนา]]หรือ[[เชียงใหม่]]ในปัจจุบัน แบ่งเป็น 2 นิกายเช่นเดียวกับพุทธศาสนาในเชียงใหม่คือ <ref>เจีย แยนจอง. พุทธศาสนากับวิถีชีวิตชาวพุทธไทลื้อในสิบสองพันนา ใน คนไทไม่ใช่ไทย แต่เป็นเครือญาติชาติภาษา. กทม. มติชน. 2549. หน้า 233</ref> |
||
* สำนักวัดสวนดอกหรือฝ่ายสวน ตั้งที่เชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. 1914 แต่เข้าสู่สิบสองปันนาเมื่อใดไม่มีหลักฐาน |
* สำนักวัดสวนดอกหรือฝ่ายสวน ตั้งที่เชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. 1914 แต่เข้าสู่สิบสองปันนาเมื่อใดไม่มีหลักฐาน |
||
* สำนักวัดป่าแดงหรือฝ่ายป่า ตั้งขึ้นที่เชียงใหม่เมื่อราว พ.ศ. 1973 โดยคณะสงฆ์ที่ไปบวชเรียนมาใหม่จาก[[ศรีลังกา |
* สำนักวัดป่าแดงหรือฝ่ายป่า ตั้งขึ้นที่เชียงใหม่เมื่อราว พ.ศ. 1973 โดยคณะสงฆ์ที่ไปบวชเรียนมาใหม่จาก[[ประเทศศรีลังกา]] ถือวินัยเคร่งครัดกว่าฝ่ายสวน เผยแพร่เข้าสู่สิบสองปันนาเมื่อ พ.ศ. 1989 โดยผ่านทาง[[เชียงตุง]] |
||
=== พุทธศาสนาในเขตปกครองตนเองไทใต้คง === |
=== พุทธศาสนาในเขตปกครองตนเองไทใต้คง === |
||
บรรทัด 57: | บรรทัด 55: | ||
{{รายการอ้างอิง}} |
{{รายการอ้างอิง}} |
||
* หนังสือศาสนา ศีลธรรม และจริยธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ สำนักพิมพ์ บริษัทพัฒนาคุณภาพวิชาการ จำกัด |
* หนังสือศาสนา ศีลธรรม และจริยธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ สำนักพิมพ์ บริษัทพัฒนาคุณภาพวิชาการ จำกัด |
||
== ดูเพิ่ม == |
== ดูเพิ่ม == |
||
* [[เซน]] |
|||
* [[ลัทธิขงจื๊อ]] |
|||
* [[ลัทธิเต๋า]] |
|||
* [[พุทธศาสนาในทิเบต]] |
* [[พุทธศาสนาในทิเบต]] |
||
* [[พุทธศาสนาในซินเจียงอุยกูร์ และเอเชียกลาง]] |
* [[พุทธศาสนาในซินเจียงอุยกูร์ และเอเชียกลาง]] |
||
[[หมวดหมู่: |
[[หมวดหมู่:ศาสนาพุทธในประเทศจีน| ]] |
||
[[หมวดหมู่:ศาสนาพุทธในประเทศจีน]] |
|||
[[หมวดหมู่:ประเทศจีน]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 08:53, 13 เมษายน 2561
ส่วนหนึ่งของชุดบทความ |
ศาสนาพุทธ |
---|
ศาสนาพุทธได้เข้ามาในประเทศจีน ดังที่ปรากฏในหลักฐาน เมื่อประมาณ พ.ศ. 608 ในรัชสมัยจักรพรรดิฮั่นหมิง พระองค์ได้จัดส่งคณะทูต 18 คน ไปสืบพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย คณะทูตชุดนี้ได้เดินทางกลับประเทศจีนพร้อมด้วยพระภิกษุ 2 รูป คือ พระกาศยปมาตังคะและพระธรรมรัตนะ รวมทั้งคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาอีกส่วนหนึ่งด้วย เมื่อพระเถระ 2 รูป พร้อมด้วยคณะทูตมาถึงลั่วหยาง จักรพรรดิฮั่นหมิงได้ทรงสั่งให้สร้างวัดเพื่อเป็นที่อยู่ของพระทั้ง 2 รูป นั้นซึ่งมีชื่อว่า วัดแป๊ะเบ๊ยี่ แปลเป็นไทยว่า วัดม้าขาว เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ม้าตัวที่บรรทุกพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนากับพระเถระทั้งสอง หลังจากนั้นพระกาศปมาตังตะกับพระธรรมรัตนะได้แปลคัมภีร์พระพุทธศาสนาเป็นภาษาจีนเล่มแรก
ประวัติพุทธศาสนาในประเทศจีน
ยุคราชวงศ์ฮั่น
ในสมัยราชวงศ์ฮั่น แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะเป็นที่เลื่อมใสแต่ก็ยังจำกัดอยู่ในวงแคบคือ ในหมู่ข้าราชการและชนชั้นสูงแห่งราชสำนักเป็นส่วนใหญ่ ยังไม่แพร่หลายในหมู่ประชาชนชาวเมือง เพราะชาวจีนส่วนใหญ่ยังคงนับถือลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋า จนกระทั่งโม่งจื๊อ นักปราชญ์ผู้มีความสามารถยิ่งได้แสดงหลักธรรมของพระพุทธศาสนา]ห้ชาวเมืองได้เห็นถึงความจริงแท้อันลึกซึ้งของพระพุทธศาสนาเหนือกว่าลัทธิเดิม กับอาศัยความประพฤติอันบริสุทธิ์ของพระสงฆ์เป็นเครื่องจูงใจให้ชาวจีนเกิดศรัทธาเลื่อมใส จนทำให้ชาวเมืองหันมานับถือพระพุทธศาสนามากกว่าลัทธิศาสนาอื่นๆ พระพุทธศาสนาก็เจริญรุ่งเรืองมาเป็นลำดับ แต่ปัจจุบันนี้ศาสนาเต๋าได้มีการฟื้นฟูโดยมีการประมวลศาสนาเต๋าใหม่รวบรวมทุกอย่างเกี่ยวกับเต๋าไว้ในคำภีร์เต้าจ้าง ทำให้คนจีนกลับมาให้ความสำคัญของคำสอนแนวคิดแบบเต๋าว่าไม่แพ้ศาสนาใดในโลก และหันกลับมานับถือศาสนาเต๋าเป็นจำนวนมาก โดยคนจีนส่วนใหญ่จะนับถือทั้ง2ศาสนา1ลัทธิไปพร้อมๆกัน คือ1.ศาสนาเต๋า 2.ศาสนาพุทธ 3.ลัทธิหยู (ขงจื๊อ)
ยุคราชวงศ์ถัง
ราชวงศ์ถัง (พ.ศ. 1161-1450) พระพุทธศาสนาก็เจริญสูงสุด เพราะได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้าจักรพรรดิตลอดจนนักปราชญ์ราชบัณฑิตต่างๆโดยมีการสร้างวัดขึ้นหลายแห่ง และมีการแปลพระสูตรจากภาษาบาลีเป็นภาษาจีนมากมายพระพุทธศาสนาเริ่มเสื่อมลงเมื่อจักรพรรดิถังอู่จงขึ้นปกครองประเทศ เพราะพระองค์ทรงเลื่อมใสในลัทธิเต๋า พระองค์ได้ทำลายพระพุทธศาสนา เช่น ให้ภิกษุภิกษุณีลาสิกขาบท ยึดวัด ทำลายพระพุทธรูป เผาคัมภีร์ เป็นต้น พระพุทธศาสนาไม่ได้รับการอุปถัมภ์จากราชสำนัก ก็เริ่มเสื่อมลงตั้งแต่บัดนั้น
ยุคสาธารณรัฐจีน
ใน พ.ศ. 2455 ประเทศจีนได้เปลี่ยน ชื่อ ประเทศเป็นสาธารณรัฐจีน รัฐบาลไม่ได้สนับสนุนในพระพุทธศาสนา แต่สนับสนุนแนวความคิดของลัทธิมาร์กซิสต์ ซึ่งลัทธิดังกล่าว ได้โจมตีพระพุทธศาสนาตลอดมา และมีการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนามากขึ้นโดยเอาวัดไปใช้เป็นสถานที่ราชการอื่นๆ สถานการณ์ของพระพุทธศาสนาจึงยังไม่ดีขึ้น
ใน พ.ศ. 2465 พระสงฆ์ชาวจีนรูปหนึ่ง ชื่อว่า พระอาจารย์ไท้สู ได้ช่วยกู้ฐานะของพระพุทธศาสนาไว้บางส่วนคือ ท่านได้ทำการปฏิรูปพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง แม้จะมีกำลังน้อย เริ่มด้วยการตั้งวิทยาลัยสงฆ์ขึ้นที่ วูซัน เอ้หมิง เสฉวน และ หลิ่งนาน เพื่อฝึกผู้นำทางพระพุทธศาสนาให้มีความรู้ทางพระธรรมวินัยและวิชาการทางโลกสมัยใหม่ และนำมาเผยแผ่เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม จนผู้คนเลื่อมใสมากขึ้น จึงตั้งพุทธสมาคมแห่งประเทศจีนขึ้น
ใน พ.ศ. 2472 ความพยายามของพระอาจารย์ไท้สู ทำให้ประชาชนและรัฐบาลเข้าใจในพระพุทธศาสนาดีขึ้น ทางราชการได้ออกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์สินของวัดห้ามนำไปใช้ในกิจการอื่น
ใน พ.ศ. 2473 สาธารณรัฐจีนมีพระภิกษุและภิกษุณีรวม 738,000 รูป มีวัดทั้งสิ้น 267,000 วัด ซึ่งนับว่าพระพุทธศาสนาเจริญในประเทศจีนพอสมควร
ยุคสาธารณรัฐประชาชนจีน
ใน พ.ศ. 2492 สาธารณรัฐจีนได้เปลี่ยนชื่อประเทศอีกครั้งหนึ่ง เป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน ปกครองด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์ ลัทธิคอมมิวนิสต์นี้มีคำสอนที่ขัดแย้งกับพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก พระพุทธศาสนาจึงไม่อาจอยู่ได้ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ในระยะแรกพรรคคอมมิวนิสต์เป็นว่าพระพุทธศาสนายังมีอิทธิพลอยู่ในจิตใจของประชาชนจึงไม่ใช้ความรุนแรง
ใน พ.ศ. 2494 รัฐบาลได้ออกกฎหมาย เพิกถอนสิทธิวัดในการยึดครองที่ดิน ซึ่งเป็นการบีบให้พระสงฆ์ต้องลาสิกขาบทโดยทางอ้อม พระภิกษุที่ยังไม่ลาสิกขาก็ต้องไปประกอบอาชีพเอง เช่น ทำไร่ ทำนา เป็นต้น ทั้งที่ยังครองเพศเป็นภิกษุอยู่ และในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ของสาธารณรัฐประชาชนจีน
ใน พ.ศ. 2509-2512 ได้มีเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากคือ รัฐบาลได้ยึดวัดเป็นของราชการ ห้ามประกอบศาสนกิจต่างๆ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาถือเป็นความผิดกฎหมาย พระภิกษุถูกบังคับให้ลาสิกขา พระคัมภีร์ต่างๆ ถูกเผา พระพุทธรูปและวัดถูกทำลายไปเป็นอันมาก จากเหตุการณ์นี้ทำให้พระพุทธศาสนา เกือบสูญสิ้นไปจากประเทศจีนเลยทีเดียว เมื่อประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน เหมา เจ๋อตง ได้ถึงแก่อสัญกรรม
ใน พ.ศ. 2519 รัฐบาลชุดใหม่ของจีนก็คลายความเข้มงวดลงบ้างและให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาของประชาชนมากขึ้น
พุทธศาสนาในปัจจุบัน
ในปัจจุบันได้มีการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาลัทธิมหายานขึ้นใหม่ ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน นอกจากนี้รัฐบาลจีนยังให้การสนับสนุนจัดตั้งพุทธสมาคมแห่งประเทศจีน และสภาการศึกษาพระพุทธศาสนาแห่งประเทศจีนขึ้นในกรุงปักกิ่งอีกด้วย เพื่อเป็นศูนย์กลางการติดต่อเผยแผ่พระพุทธศาสนากับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ปัจจุบันนี้ชาวจีนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาคู่ไปกับลัทธิขงจื๊อ ห้าทหารเสือแห่งจ๊กก๊ก และลัทธิเต๋า ซึ่งปัจจุบันมีผู้นับถือถึง 30%
พุทธศาสนาเถรวาทในจีน
ในประเทศจีน มีผู้นับถือพุทธศาสนาแบบเถรวาทเฉพาะในมณฑลยูนนาน ซึ่งโดยทั่วไปเป็นชนกลุ่มน้อยชาวไทลื้อและชาวไทใหญ่
พุทธศาสนาในสิบสองปันนา
พุทธศาสนาในสิบสองปันนาเป็นพุทธศาสนาเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ โดยได้รับอิทธิพลจากอาณาจักรล้านนาหรือเชียงใหม่ในปัจจุบัน แบ่งเป็น 2 นิกายเช่นเดียวกับพุทธศาสนาในเชียงใหม่คือ [1]
- สำนักวัดสวนดอกหรือฝ่ายสวน ตั้งที่เชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. 1914 แต่เข้าสู่สิบสองปันนาเมื่อใดไม่มีหลักฐาน
- สำนักวัดป่าแดงหรือฝ่ายป่า ตั้งขึ้นที่เชียงใหม่เมื่อราว พ.ศ. 1973 โดยคณะสงฆ์ที่ไปบวชเรียนมาใหม่จากประเทศศรีลังกา ถือวินัยเคร่งครัดกว่าฝ่ายสวน เผยแพร่เข้าสู่สิบสองปันนาเมื่อ พ.ศ. 1989 โดยผ่านทางเชียงตุง
พุทธศาสนาในเขตปกครองตนเองไทใต้คง
พุทธศาสนาแพร่เข้าสู่เขตปกครองตนเองไทใต้คงเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 19-20 แบ่งออกเป็น 4 นิกายคือ
- นิกายปายจอง เป็นนิกายที่แพร่เข้ามาก่อนนิกายอื่น ไม่เคร่งวินัย ภิกษุเลี้ยงสัตว์เลี้ยง เช่น เป็ด ไก่ ได้
- นิกายกึงโยน เป็นนิกายที่แพร่เข้าสู่เมืองขอนเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 20 ได้รับอิทธิพลจากเชียงใหม่ มีการแบ่งย่อยเป็นโยนสวนกับโยนป่าเหมือนในเมืองเชียงใหม่ เขียนคัมภีร์ด้วยอักษรล้านนา
- นิกายโตเล เป็นนิกายที่ได้รับอิทธิพลจากพม่าเข้าสู่เมืองมาวเมื่อ พ.ศ. 2294 ถือวินัยเคร่งครัดกว่านิกายอื่น มีการบวชสามเณรีและภิกษุณี
- นิกายชุติหรือโจติเป็นนิกายที่เกิดขึ้นในใต้คงโดยภิกษุชาวไทใหญ่เห็นว่าพระสงฆ์เดิมถือวินัยหย่อนยาน แพร่เข้าสู่เมืองแจ้ฝางและเมืองมาวเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 20 เคยแพร่หลายที่เมืองขอนระยะหนึ่งเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 25 แต่ภายหลังพ่ายแพ้นิกายปายจอง คณะสงฆ์นิกายนี้ในเมืองขอนจึงถอนตัวจากเมืองขอนเข้าสู่พม่าไปตั้งศูนย์กลางที่เมืองมีดและเมืองยางในรัฐฉานตามลำดับ ภิกษุในนิกายนี้มีวัตรปฏิบัติต่างจาก 3 นิกายข้างต้น ทั้งภิกษุและฆราวาสต่างเคร่งครัดวินัย
เมื่อ พ.ศ. 2532 สำรวจพบว่าชาวพุทธในไต้คง เป็นชาวไทใหญ่ 90% ชาวปะหล่องและชาวอาชาง 10% ในจำนวนนี้นับถือนิกายปายจอง 52% นิกายโตเล 33% นิกายกึงโยน 12% และนิกายชุติ 3%[2]
อ้างอิง
- หนังสือศาสนา ศีลธรรม และจริยธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ สำนักพิมพ์ บริษัทพัฒนาคุณภาพวิชาการ จำกัด