ศาสนาพุทธในประเทศมาเลเซีย
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
ร้อยละประชากรที่นับถือศาสนาพุทธในประเทศมาเลเซียตามสำมะโน ค.ศ. 2020 | |
ประชากรทั้งหมด | |
---|---|
5,620,483 (2010) | |
ภูมิภาคที่มีประชากรอย่างมีนัยสำคัญ | |
ภาษา | |
ศาสนา | |
กลุ่มชาติพันธุ์ที่เกี่ยวข้อง | |
ชาวมาเลเซียที่นับถือศาสนาฮินดู |
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากเป็นอันดับสองในประเทศมาเลเซีย เป็นรองเพียงอิสลาม โดยมีประชากรที่นับถือศาสนาพุทธร้อยละ 19.8[1][2] ถึงแม้ว่าบางข้อมูลระบุจำนวนที่ร้อยละ 21.6 ซึ่งรวมจำนวนชาวพุทธที่นับถือศาสนาชาวบ้านจีนด้วย[3]
ส่วนหนึ่งของชุดบทความ |
ศาสนาพุทธ |
---|
ประวัติ
[แก้]ศาสนาพุทธเริ่มแผ่ไปยังชาวมลายูและประชากรในคาบสมุทรมลายูเร็วสุดที่ 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช ข้อมูลภาษาจีนระบุว่ามีรัฐที่แผลงเป็นอินเดีย 30 แห่งที่เจริญรุ่งเรืองและล่มสลายในคาบสมุทรนี้ ศาสนาพุทธเริ่มปรากฏขึ้นเมื่อพ่อค้าและนักบวชจากอินเดียเดินทางมาทางทะเลและนำแนวคิดศาสนา รัฐบาล และศิลปะอินเดียมาด้วย จากนั้นเป็นเวลาหลายศตวรรษที่ประชากรในภูมิภาคนี้ (โดยเฉพาะราชสำนัก) ผสมแนวคิดพื้นเมืองและอินเดียอย่างศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธนิกายมหายานเข้าด้วยกัน ซึ่งกำหนดรูปแบบทางการเมืองและวัฒนธรรมของภูมิภาคนี้[4] อย่างไรก็ตาม ราชอาณาจักรเกอดะฮ์ประณามศาสนาอินเดียหลังกษัตริย์แห่งโจฬะจากทมิฬนาฑูโจมตีพื้นที่นี้ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 11 พระองค์มหาวงศ์ กษัตริย์แห่งเกอดะฮ์ เป็นผู้นำมลายูองค์แรกที่ประณามศาสนาอินเดีย พระองค์หันไปนับถือศาสนาอิสลาม และในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ในช่วงยุคทองของรัฐสุลต่านมะละกา ชาวมลายูส่วนใหญ่หันไปนับถือศาสนาอิสลาม
พ.ศ. 1837 ภายใต้การปกครองของอาณาจักรสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ซึ่งแผ่อำนาจลงทางคาบสมุทรมลายู และได้นครศรีธรรมราชเป็นศูนย์กลางอำนาจหัวเมืองมลายูทั้งหลาย แต่เนื่องจากประชาชนในแถบนี้ นับถือพุทธศาสนาแบบมหายานมาหลายร้อยปีแล้ว พุทธศาสนาแบบเถรวาทจึงไม่ค่อยมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตความเชื่อของคนบริเวณนี้มากนัก ซึ่งจะปรากฏแต่รูปพระโพธิสัตว์ หรือรูปเคารพตามแบบมหายานโดยมาก
ชาวจีน และชาวไทยพุทธ
[แก้]แต่เนื่องจากมีชาวไทยที่อาศัยอยู่ในสามรัฐทางภาคเหนือของมาเลเซีย ได้แก่ รัฐเกอดะฮ์ รัฐกลันตัน และรัฐปะลิส เป็นเวลายาวนาน จนได้รับรองสถานะเทียบเท่าชาวมลายู แต่ชนชาวไทย จะแสดงถึงความเป็นไทย คือ ความเป็นพุทธเถรวาท ซึ่งมีพิธีกรรม และสถาปัตยกรรมทางศาสนาเหมือนกันกับชาวพุทธในประเทศไทย โดยมีชาวจีนให้ความอุปถัมภ์วัดทางการเงิน และช่วยเหลืองานต่าง ๆ ช่วงเทศกาลงานบุญ แต่ชาวไทยพุทธมีบทบาทในการดูแลศาสนามากกว่า เช่น การบวชของชาวไทยจะยาวนานกว่าชาวจีน จนสามารถแยกได้ว่า กลุ่มใดเป็นกลุ่มชาวไทย และชาวจีนในมาเลเซีย ส่วนวัดวาอารามของชาวสยามจะอยู่แถบชนบท มีสถาปัตยกรรมเป็นแบบไทย พิธีกรรมเป็นแบบชาวไทย คือเน้นการทำบุญเป็นหลัก ซึ่งผู้ที่จะบริจาคให้วัดจะเป็นชาวจีนโดยมาก ดังนั้นวัดไทยหลาย ๆ วัดที่มีชาวจีนอุปถัมภ์จะมีรูปเคารพเจ้าแม่กวนอิม หรือเทพเจ้าจีน ไว้เพื่อยึดเหนี่ยวศรัทธาของชาวจีน ในแต่ละชุมชน จะมีสำนักสงฆ์ไว้ เพื่อให้เป็นที่พำนักของพระสงฆ์ ที่หมุนเวียนกันมาจำพรรษาโปรดญาติโยม แต่ที่วัดใหญ่จะมีพระสงฆ์ไม่ต่ำกว่า 5 รูป โดยพระสงฆ์ที่บวชนาน ๆ และพระสงฆ์ที่บวชระยะสั้น ๆ อยู่จำพรรษาในวัดนั้น ๆ ชาวจีนส่วนมาก จะให้ความนับถือพระที่เก่งทางไสยศาสตร์ และสมุนไพร บางครั้งก็นิมนต์ไปประกอบพิธีทางศาสนาที่บ้านของตนที่จำเป็นต้องใช้งาย
สถานะ
[แก้]รายงานจากรัฐธรรมนูญมาเลเซีย มีกำหนดไว้ตามกฎหมายว่าชาวมลายู ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นมุสลิม โดยมีจำนวนร้อยละ 60 ของประเทศ นอกนั้นส่วนใหญ่เป็นชาวจีนที่ทั่วไปนับถือศาสนาพุทธหรือคริสต์ และชาวอินเดียที่ทั่วไปนับถือศาสนาฮินดู นอกจากนี้ยังมีชนกลุ่มน้อยและผู้อพยพ ได้แก่ชาวมาเลเซียเชื้อสายสิงหล, ไทย และยูเรเชีย ชาวพุทธเกือบทั้งหมดอาศัยอยู่ในพื้นที่เมือง
ใน ค.ศ. 2013 มีวิดีโอกลุ่มผู้นับถือศานาพุทธนิกายวัชรยานจากสิงคโปร์ทำพิธีทางศาสนาในสุเหร่ากลายเป็นไวรัลในเฟซบุ๊ก ตำรวจมาเลเซียได้จับกุมเจ้าของรีสอร์ทหลังจากอนุญาตให้ชาวพุทธ 13 คนใช้ห้องละหมาดมุสลิม (สุเหร่า) ไว้ทำสมาธิที่โกตาติงกี รัฐยะโฮร์[5] เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นร้อนในสื่อสังคม จากนั้นในวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 2013 หลังพลเมืองโกตาติงกีออกมาประท้วงจำนวนมาก ผู้จัดการรีสอร์ทจึงให้รื้ออาคารละหมาดดังกล่าวภายใน 21 วันนับตั้งแต่วันได้รับใบสั่ง[6][7] เช็ด อะฮ์มัด ซาลิม เจ้าของรีสอร์ทในขณะนั้นกล่าวว่าเขาอนุญาตให้ชาวพุทธใช้สุเหร่าไว้ทำสมาธิเนื่องจากไม่รู้ว่าเป็นความผิด[8]
การกดขี่
[แก้]กฎหมายอิสลามและมลายูสุดโต่ง
[แก้]ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติของประเทศมาเลเซีย รัฐธรรมนูญมาเลเซียระบุว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาของชาวมลายูแท้เท่านั้น และกลุ่มชนที่ได้รับการยอมรับ (เช่น ภูมิบุตร) ต้องเป็นมุสลิม[9] รัฐบาลสนับสนุนให้ผู้คนในประเทศหันมานับถือศาสนาอิสลาม[10] กฎหมายกำหนดให้ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมที่จะแต่งงานกับชาวมุสลิมต้องเข้ารับศาสนาอิสลามก่อน ถ้ามีการละเมิดกฎหมาย การแต่งงานนั้นจะถือเป็นโมฆะโดยพฤตินัย[10] ถ้าพ่อแม่นับถือศาสนาอิสลาม ลูก ๆ ของทั้งสองก็จะกลายเป็นมุสลิมโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องรับความยินยอมจากทั้งสอง[11][12]
การทำลายศาสนสถาน
[แก้]รัฐบาลได้สั่งทำลายวัดบางแห่งโดยอ้างว่าสร้างบนที่ดินสาธารณะ จากนั้นจึงขายที่ดินนี้ให้กับผู้พัฒนาเพื่อก่อให้เกิดการแปลงพื้นที่เพื่อเปลี่ยนชนชั้น
ใน ค.ศ. 2014 นักพัฒนาเมืองทำลายซากเจดีย์บางส่วนในหุบเขาบูจัง ก่อให้เกิดเสียงเรียกร้องต่อต้านการโจมตีมรดกทางวัฒนธรรมจากนานาชาติ[13]
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ "Taburan Penduduk dan Ciri-ciri Asas Demografi" (PDF). Jabatan Perangkaan Malaysia. p. 82. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 13 พฤศจิกายน 2013. สืบค้นเมื่อ 25 มีนาคม 2013.
- ↑ "Population Distribution and Basic Demographic Characteristic Report 2010 (Updated: 05/08/2011)". Department of Statistics, Malaysia. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-11-13. สืบค้นเมื่อ 11 March 2017.
- ↑ "The World Factbook: Malaysia". CIA World Factbook. สืบค้นเมื่อ 2007-11-22.
- ↑ "Early Malay Kingdoms". Sabrizain.org. สืบค้นเมื่อ 2016-04-29.
- ↑ "S'porean held in Malaysia after Buddhists use Muslim prayer room". YouTube. 2013-08-12. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-12-22. สืบค้นเมื่อ 2016-04-29.
- ↑ "Surau in Kota Tinggi resort demolished". The Star Online. August 28, 2013. สืบค้นเมื่อ August 28, 2013.
- ↑ "Surau kontroversi diroboh(Malay)". Kosmo!. August 28, 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 5, 2015. สืบค้นเมื่อ August 28, 2013.
- ↑ "One year after surau controversy, normalcy returns to Johor resort". Kosmo!. 23 October 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 October 2014. สืบค้นเมื่อ 23 October 2014.
- ↑ Sophie Lemiere, apostasy & Islamic Civil society in Malaysia, ISIM Review, Vol. 20, Autumn 2007, pp. 46-47
- ↑ 10.0 10.1 Gill & Gopal, Understanding Indian Religious Practice in Malaysia, J Soc Sci, 25(1-2-3): 135-146 (2010)
- ↑ 2011 Report on International Religious Freedom - Malaysia U.S. State Department (2012)
- ↑ Perry Smith (2003), Speak No Evil: Apostasy, Blasphemy, and Heresy in Malaysian Syariah Law, UC Davis Journal Int'l Law & Pol'y, 10, pp. 357-399
- ↑ "Prehistoric temple ruin site that applied for UNESCO heritage status furtively destroyed" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-05. สืบค้นเมื่อ 2021-10-04.
บรรณานุกรม
[แก้]- Lee, Raymond L. M.; Ackerman, Susan Ellen (1997). "In Search of Nirvana", in: Sacred Tensions: Modernity and Religious Transformation in Malaysia. University of South Carolina Press. pp. 57–88. ISBN 978-1-57003-167-0.
- ปฏิทินพระพุทธศาสนา พ.ศ. 2548
- มูฮัมเมด ยูซอฟฟ์ อิสมาอิล, วัดสยามในกลันตัน, วรสารพุทธศาสน์ศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีที่ 2 ฉบับที่ 1, หน้า 11
- ทรงวิทย์ แก้วศรี, พุทธสถานในนานาประเทศ, หน้า 378-379