ศาสนาพุทธในประเทศรัสเซีย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วัดพุทธเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
วัดแห่งหนึ่งในแคว้นอัสตราฮันที่ได้รับการฟื้นฟูใหม่

ศาสนาพุทธในประเทศรัสเซีย เป็นหนึ่งในศาสนาดั้งเดิมและเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ตามกฎหมายของประเทศรัสเซีย[1] ประดิษฐานครั้งแรกช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในแถบไซบีเรีย[2][3] เดิมเป็นศาสนาพื้นเมืองหลักในสาธารณรัฐคัลมืยคียา, บูเรียตียา และตูวา แต่ปัจจุบันได้แพร่หลายไปทั่วประเทศรัสเซีย สามารถพบชาวรัสเซียเข้ารีตพุทธมากขึ้น[4]

ศาสนาพุทธในประเทศรัสเซียส่วนใหญ่เป็นนิกายเกลุกหรือนิกายหมวกเหลือง ซึ่งเป็นศาสนาพุทธแบบทิเบต[5] ส่วนนิกายอื่น ๆ เป็นชนกลุ่มน้อย ศาสนาพุทธแบบทิเบตนี้แพร่หลายมาจากดินแดนทิเบต เข้าสู่ดินแดนมองโกเลีย ไซบีเรีย ก่อนกระจายเข้าสู่รัสเซียในเวลาต่อมา[2] ปัจจุบันมีพุทธศาสนิกชนจำนวน 700,000–1.5 ล้านคนทั่วรัสเซีย โดยมากอาศัยอยู่ในสาธารณรัฐคัลมืยคียา, บูเรียตียา และตูวา[6]

ประวัติ[แก้]

ยุคแรก[แก้]

อารามแห่งหนึ่งในซาไบคัลสกี เมื่อ ค.ศ. 1899
วัดแห่งหนึ่งในคัลมืยคียา เมื่อ ค.ศ. 1925

มีหลักฐานการดำรงอยู่ของศาสนาพุทธในดินแดนรัสเซียสมัยใหม่ตั้งแต่สองปีก่อนคริสต์ศักราช บรรพบุรุษของชาวมองโกล เช่น ซฺยงหนู, เซียนเปย์ และชี่ตัน มีความคุ้นเคยกับศาสนาพุทธมาก่อน ดังปรากฏการค้นพบสายประคำแบบพุทธในสุสานชาวซฺยงหนูในนิคมอีโวลกินสค์ในสาธารณรัฐบูเรียตียา[7] และคริสต์ศตวรรษที่ 8 พบหลักฐานเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมของรัฐพัลแฮซึ่งครอบครองดินแดนปรีมอร์สกีและแคว้นอามูร์ในปัจจุบัน ชนพื้นเมืองแถบนั้นรับอิทธิพลจากศาสนาพุทธนิกายมหายาน ก่อนแพร่หลายไปยังบริเวณชายแดนของรัสเซียที่ติดกับมองโกเลีย หรือแหล่งอาศัยของกลุ่มชนเชื้อสายมองโกล เช่น คัลมืยคียา, บูเรียตียา, ตูวา และซาไบคัลสกี อันเกิดจากการเผยแผ่ศาสนาพุทธแบบทิเบตช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา[7] ต่อมาชาวมองโกลเผ่าออยรัตที่รับศาสนาพุทธแล้ว เคลื่อนย้ายเข้าไปในแดนยุโรปและเป็นบรรพบุรุษของชาวคัลมึคในคัลมืยคียา[8]

ค.ศ. 1714 จักรพรรดินีเยลิซาเวตา เปตรอฟนา ประกาศในราชกฤษฎีกายอมรับการมีอยู่ของ "ลัทธิลามะ" พร้อมยอมรับการดำรงอยู่ของมหาวิทยาลัยสงฆ์หรือดาซัน[ก] 11 แห่ง และลามะจำนวน 150 รูป ถือว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ได้รับการยอมรับของทางการรัสเซียมาตั้งแต่นั้น[7] ใน ค.ศ. 1887 มีดาซัน 29 แห่ง และ ค.ศ. 1917 มีพุทธศาสนิกชนราว 200,000 คน และศาสนสถานจำนวน 175 แห่ง[9] แต่ก่อนหน้านี้ ในเอกสารของชาวรัสเซียยุคแรก พบว่าชาวรัสเซียโดยเฉพาะกลุ่มหมอสอนศาสนามีทัศนคติเชิงลบต่อศาสนาพุทธ ด้วยมองว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งโชคลาง ซึ่งตรงกันข้ามกับหลักเหตุผลหรือความเป็นวิทยาศาสตร์ ทั้งยังเห็นว่าศาสนาพุทธเป็นอุปสรรคในการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ และการทำให้เป็นรัสเซียในไซบีเรีย[10] ในช่วงที่คอสแซคเข้ายึดไซบีเรีย ก็พบกับพุทธศาสนิกชนในแถบนั้น พวกเขามองว่า ศาสนาพุทธคือพวกนอกรีตกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ขณะที่นักสำรวจและหมอสอนศาสนา อธิบายว่าศาสนาพุทธแบบทิเบตเป็น "ความเชื่อทางไสยศาสตร์" "พวกหลงผิด" "พวกบูชารูปเคารพ" เป็นอาทิ[10] สอดคล้องกับวรรณคดีรัสเซียมักเรียกพุทธศาสนสถานหรืออารามว่าเป็นศาลเจ้าของพวกนอกรีต ที่มีการร่ายคาถา การหลอกลวง และประกอบพิธีกรรมทรงเจ้าเข้าผี[10]

ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กกลายเป็นศูนย์กลางการวิจัยด้านศาสนาพุทธที่ใหญ่ที่สุด เกิดการค้นคว้าและตีพิมพ์ปรัชญาพุทธศาสนาออกมาจำนวนมาก[11] ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ศาสนาพุทธขยายตัวขึ้น แต่ถูกเหล่าหมอผีและหมอสอนศาสนาคริสต์ในท้องถิ่นต่อต้าน[7] ประกอบกับนักวิชาการในยุคนั้นส่วนใหญ่เป็นคริสต์ศาสนิกชนหรือเป็นหมอสอนศาสนาคริสต์ มักใช้อคติในการหาข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของศาสนาพุทธ[10] ทว่าในยุคหลังมานี้ ชาวรัสเซียเริ่มมีทัศนคติเชิงบวกต่อศาสนาพุทธแบบทิเบตมากขึ้น เพราะมีแนวทาง หลักปรัชญา และประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขามองว่าศาสนาพุทธแบบทิเบตในไซบีเรียคือศาสนาของคนล้าหลัง นอกจากนี้ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 พวกเขามีการสนับสนุนให้เปลี่ยนศาสนาพุทธให้เป็นแบบยุโรป และให้ชาวพุทธรวมตัวกันอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความเป็น "อารยะ" แก่ศาสนาพุทธ[10]

ต่อมาในยุคโซเวียตเรืองอำนาจ ศาสนาต่าง ๆ รวมไปถึงศาสนาพุทธถูกมองว่าเป็น "เครื่องมือสำหรับกดขี่" และชาวพุทธที่อยู่ในอำนาจเองก็ไม่ยี่หระการที่ศาสนาของตนถูกกดขี่[12] ค.ศ. 1917 โจเซฟ สตาลินออกมาประกาศว่าไม่มีดาซันแห่งใดในประเทศที่เปิดให้บริการ[13] รัฐบาลโซเวียตพยายามที่จะลบศาสนาพุทธและศาสนาอื่น ๆ ออก เพราะเชื่อว่าจะทำให้ชุมชนเมืองและการผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้น[14] ค.ศ. 1929 อารามพุทธหลายแห่งถูกปิด ลามะหลายรูปถูกจับ บ้างก็ถูกเนรเทศ[15] คริสต์ทศวรรษที่ 1930 เป็นช่วงที่พุทธศาสนิกชนเป็นชุมชนศาสนาได้รับความทุกข์ระทมมากที่สุดในสหภาพโซเวียต[3] ลามะหลายรูปถูกขับออกและถูกกล่าวหาว่าเป็น "สายลับญี่ปุ่น" บ้างก็ว่าเป็น "ศัตรูของประชาชนทั้งหลาย"[2] ค.ศ. 1943 ชาวคัลมืยคียาซึ่งเป็นชุมชนพุทธแห่งเดียวในยุโรปถูกรัฐบาลโซเวียตเนรเทศไปไซบีเรีย หลังถูกรัฐบาลสงสัยว่าพวกเขาให้ความร่วมมือกับพวกนาซีเยอรมนีเมื่อคราวยึดครองคัลมืยคียา[16] ทำให้ชาวชาวคัลมืยคียาร้อยละ 40 เสียชีวิตระหว่างทาง ส่วนผู้ที่รอดชีวิตไม่สามารถกลับมาตุภูมิได้จนถึง ค.ศ. 1956[17] ส่วนชาวพุทธในบูเรียตียาลี้ภัยไปเขตปกครองตนเองมองโกเลียในของประเทศจีน[7]

แต่ศาสนาพุทธยังไม่หายไปจากรัสเซียเสียทีเดียว เพราะบีเดีย ดันดารอน นักคิดและนักพุทธศาสนศึกษา พยายามฟื้นฟูศาสนาพุทธในยุครัฐอเทวนิยมด้วยแนวคิดศาสนาพุทธใหม่ โดยนำคำสอนของศาสนาพุทธ ปรัชญาตะวันตก และทฤษฎีวิทยาศาสตร์มาผสมผสานกัน แต่เวลาต่อมานายดันดารอนถูกรัฐบาลจับกุมตัวในข้อหาสร้างชุมชนทางศาสนา เขาถูกส่งเข้าค่ายกักกันจนกระทั่งเสียชีวิตในนั้น อย่างไรก็ตามลูกศิษย์ของเขามีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่ศาสนาพุทธช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมา[18]

ยุคฟื้นฟู[แก้]

ดมีตรี เมดเวเดฟ ขณะเยือนอีวอลกาดาซันในบูเรียตียา เมื่อ ค.ศ. 2009
พุทธศาสนิกชนชาวคัลมืยคียาขณะร่วมพิธีกรรมทางศาสนา
รินชินดาซันในแคว้นโนโวซีบีสค์

หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ศาสนาพุทธได้รับการฟื้นฟูอีกครั้ง พร้อมกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีคีร์ซัน อิลูย์มซีนอฟของสาธารณรัฐคัลมืยคียา[19] และมีการฟื้นฟูศาสนาพุทธในบูเรียตียาและตูวา ผู้คนหวนกลับไปนับถือศาสนาดั้งเดิมของบรรพบุรุษ[20] ก่อนแพร่หลายสู่ชาวรัสเซียในพื้นที่อื่น

ค.ศ. 1992 ทะไลลามะที่ 14 ประมุขของศาสนาพุทธนิกายเกลุก เสด็จเยือนสาธารณรัฐตูวาเป็นครั้งแรก[21]

ปัจจุบันมีการก่อตั้งอารามและมหาวิทยาลัยสงฆ์หรือที่เรียกว่าดาซันทั่วไปในประเทศ[22] และลามะต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูประเพณีและตำราทางศาสนาขึ้นใหม่[23]

ประเทศไทยมีการส่งพระธรรมทูตเพื่อเผยแผ่ศาสนาพุทธนิกายเถรวาทตั้งแต่ ค.ศ. 1997 เป็นต้นมา โดยมีศูนย์กลางที่วัดอภิธรรมพุทธวิหาร เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก[24]

ศาสนิกชน[แก้]

ค.ศ. 2012 สาธารณรัฐตูวามีพุทธศาสนิกชนร้อยละ 62, สาธารณรัฐคัลมืยคียาร้อยละ 38 และสาธารณรัฐบูเรียตียาร้อยละ 20[25] นอกจากนี้ยังพบพุทธศาสนิกชนในดินแดนซาไบคัลสกีร้อยละ 6, แคว้นตอมสค์ร้อยละ 0.6 และสาธารณรัฐยาคูเตียร้อยละ 0.4

มีชุมชนชาวพุทธกระจายอยู่ทั่วไปในประเทศรัสเซีย เช่น แคว้นซาฮาลิน, ดินแดนฮาบารอฟสค์, แคว้นอามูร์, แคว้นอีร์คุตสค์, ดินแดนอัลไต, สาธารณรัฐคาคัสเซีย, แคว้นโนโวซีบีสค์, แคว้นตูย์เมน, แคว้นโอเรนบุร์ก, แคว้นอาร์ฮันเกลสค์, แคว้นมูร์มันสค์, กรุงมอสโก, แคว้นมอสโก, นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก, แคว้นเลนินกราด และแคว้นคาลินินกราด แต่ละดินแดนจะมีชาวพุทธราวร้อยละ 0.1–0.5[25]

ส่วนหัวเมืองใหญ่อย่างมอสโก, เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และซามารา แต่ละเมืองมีประชากรกว่าร้อยละ 1 ระบุตัวตนว่าเป็นพุทธศาสนิกชน[26]

ดินแดน ประชากร
(ค.ศ. 2012)[25]
ประชากร
(ค.ศ. 2016)[27]
สาธารณรัฐตูวา 61.8% 52.2%
สาธารณรัฐคัลมืยคียา 37.6% 53.4%
สาธารณรัฐบูเรียตียา 19.8% 19.8%
ดินแดนซาไบคัลสกี 6.3% 14.6%
รวมทั้งประเทศ 0.5% 0.6%

อ้างอิง[แก้]

หมายเหตุ[แก้]

ดาซัน (Дацан) เป็นคำที่ใช้เรียกมหาวิทยาลัยสงฆ์ของนิกายเกลุก พบได้ทั่วไปในมองโกเลีย ทิเบต และไซบีเรียของรัสเซีย โดยทั่วไปดาซันจะมีอยู่สองคณะคือ คณะปรัชญาและคณะแพทย์ บ้างก็มีคณะปฏิบัติตันตระ ซึ่งลามะจะศึกษาหลังสำเร็จการศึกษาจากคณะปรัชญาแล้ว[11]

เชิงอรรถ[แก้]

  1. Bell, I (2002). Eastern Europe, Russia and Central Asia. ISBN 978-1-85743-137-7. สืบค้นเมื่อ 27 Dec 2007.
  2. 2.0 2.1 2.2 "Buddhism in Russia". buddhist.ru. สืบค้นเมื่อ July 30, 2019.
  3. 3.0 3.1 Troyanovsky, Igor. "Buddhism in Russia". www.buddhismtoday.com. สืบค้นเมื่อ July 30, 2019.
  4. Research Article- Ostrovskaya - JGB Volume 5 เก็บถาวร 2007-07-17 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  5. Holland, Edward C. (Dec 2014). "Buddhism in Russia: challenges and choices in the post-Soviet period". Religion, State and Society. 42 (4): 389–402. doi:10.1080/09637494.2014.980603. S2CID 145460994.
  6. "Putin Promises 100% Support for Buddhists". Ria Novosti. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 April 2013. สืบค้นเมื่อ 15 April 2017.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  7. 7.0 7.1 7.2 7.3 7.4 Александр Берзин, Тибетский буддизм: история и перспективы развития, M., 1992 (Alexandr Berzin, Tibetan Buddhism: History and Future Prospects, Moscow 1992; Буддизм, Л. Л. Абаева, М., Республика, 1991 (Buddhism, L.L. Abaeva, Respublika, Moscow 1991)
  8. "Regions and territories: Kalmykia". BBC News. 2010-06-09. สืบค้นเมื่อ 2010-10-11.
  9. "2. Buddhist Temples for the Elites", Faith and Power in Japanese Buddhist Art, 1600–2005, University of Hawaii Press, 2017-12-31, pp. 45–72, doi:10.1515/9780824862466-006, ISBN 9780824862466
  10. 10.0 10.1 10.2 10.3 10.4 Tsyrempilov, Nikolay (2015-12-09). "Noble Paganism: Orientalist Discourse on Tibetan Buddhism in Nineteenth-Century Russian Polemic Literature". Inner Asia. 17 (2): 199–224. doi:10.1163/22105018-12340042. ISSN 1464-8172.
  11. 11.0 11.1 อัมมารินทร์ อุตรชน (2560). การนับถือศาสนาพุทธของประชาชนในสาธารณรัฐตูวา (PDF). สาขาวิชารัสเซียศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. p. 32. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2022-06-05. สืบค้นเมื่อ 2020-09-20.
  12. Bernstein, Anna (2002). "Buddhist Revival in Buriatia: Recent Perspectives". Mongolian Studies. 25: 1–11. ISSN 0190-3667. JSTOR 43193334.
  13. Weir, Fred (2018). "Buddhism flourishes in Siberia, opening window on its pre-Soviet past.(World)". The Christian Science Monitor. ISSN 0882-7729. สืบค้นเมื่อ 2019-11-12.
  14. Timasheff, N. S. (1955). "Urbanization, Operation Antireligion and the Decline of Religion in the USSR". American Slavic and East European Review. 14 (2): 224–238. doi:10.2307/3000744. ISSN 1049-7544. JSTOR 3000744.
  15. Bräker, Hans (1981). Der Buddhismus in der Sowjetunion, Cahiers du Monde russe et soviétique 22 (2/3), p. 333
  16. Holland, Edward C. (2014-10-02). "Buddhism in Russia: challenges and choices in the post-Soviet period". Religion, State and Society (ภาษาอังกฤษ). 42 (4): 389–402. doi:10.1080/09637494.2014.980603. ISSN 0963-7494. S2CID 145460994.
  17. "Chapter 3. Tibet", The Tibetan Book of the Dead, Princeton University Press, 2011-12-31, pp. 49–70, doi:10.1515/9781400838042-005, ISBN 978-1-4008-3804-2
  18. "Buddhism in Russia: History and Modernity | Buddhistdoor". www.buddhistdoor.net. สืบค้นเมื่อ 2020-03-20.
  19. Буддизм в России[การอ้างอิงวกเวียน]
  20. Jim Brooke และประภัสสร อักขราสา (14 กรกฎาคม 2554). "พุทธศาสนาในรัสเซียซึ่งถูกปราบปรามในสมัยสหภาพโซเวียต กำลังกลับฟื้นคืนตัวหลังจากการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ในประเทศนั้น". วีโอเอ. สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2563. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  21. "RUSSIA: When will Dalai Lama next visit Tuva? - WWRN - World-wide Religious News". wwrn.org. สืบค้นเมื่อ 12 September 2017.
  22. Tricycle. "lettucecomic". สืบค้นเมื่อ 12 September 2017.
  23. อัมมารินทร์ อุตรชน (2560). การนับถือศาสนาพุทธของประชาชนในสาธารณรัฐตูวา (PDF). สาขาวิชารัสเซียศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. p. 58. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2022-06-05. สืบค้นเมื่อ 2020-09-20.
  24. "พุทธศาสนา 'บูม' ในรัสเซีย ชี้คำสอนพิสูจน์ได้จริง-เตรียมแปลพระไตรปิฎกรองรับ". ผู้จัดการออนไลน์. 7 มีนาคม 2551. สืบค้นเมื่อ 20 กันยายน 2563. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  25. 25.0 25.1 25.2 "Арена: Атлас религий и национальностей" [Arena: Atlas of Religions and Nationalities] (PDF). Среда (Sreda). 2012. See also the results' main interactive mapping and the static mappings: "Religions in Russia by federal subject" (Map). Ogonek. 34 (5243). 27 August 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 April 2017. The Sreda Arena Atlas was realised in cooperation with the All-Russia Population Census 2010 (Всероссийской переписи населения 2010) and the Russian Ministry of Justice (Минюста РФ).
  26. Filatov & Lunkin 2006, p. 38.
  27. "ФСО доложила о межконфессиональных отношениях в РФ". ZNAK. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-04-16. สืบค้นเมื่อ 15 April 2017.

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]