ฮฺว่า กั๋วเฟิง
ฮฺว่า กั๋วเฟิง | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
华国锋 | |||||||||||||||||||||
![]() ฮฺว่าใน ค.ศ. 1979 | |||||||||||||||||||||
ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน | |||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 7 ตุลาคม ค.ศ. 1976 – 28 มิถุนายน ค.ศ. 1981 | |||||||||||||||||||||
รอง | เย่ เจี้ยนอิง | ||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | เหมา เจ๋อตง | ||||||||||||||||||||
ถัดไป | หู เย่าปัง | ||||||||||||||||||||
ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง | |||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 7 ตุลาคม ค.ศ. 1976 – 28 มิถุนายน ค.ศ. 1981 | |||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | เหมา เจ๋อตง | ||||||||||||||||||||
ถัดไป | เติ้ง เสี่ยวผิง | ||||||||||||||||||||
นายกรัฐมนตรีจีน คนที่ 2 | |||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1976 – 10 กันยายน ค.ศ. 1980 | |||||||||||||||||||||
รองหัวหน้ารัฐบาล | เติ้ง เสี่ยวผิง | ||||||||||||||||||||
ประมุขแห่งรัฐ | ซ่ง ชิ่งหลิง เย่ เจี้ยนอิง | ||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | โจว เอินไหล | ||||||||||||||||||||
ถัดไป | จ้าว จื่อหยาง | ||||||||||||||||||||
รองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนลำดับที่ 1 | |||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 6 เมษายน ค.ศ. 1976 – 6 ตุลาคม ค.ศ. 1976 | |||||||||||||||||||||
ประธาน | เหมา เจ๋อตง | ||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | โจว เอินไหล | ||||||||||||||||||||
ถัดไป | เย่ เจี้ยนอิง | ||||||||||||||||||||
รองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน | |||||||||||||||||||||
ดำรงตำแหน่ง 28 มิถุนายน ค.ศ. 1981 – 12 กันยายน ค.ศ. 1982 | |||||||||||||||||||||
ประธาน | หู เย่าปัง | ||||||||||||||||||||
ข้อมูลส่วนบุคคล | |||||||||||||||||||||
เกิด | ซู จู้ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1921 อำเภอเจียวเฉิง ชานซี สาธารณรัฐจีน | ||||||||||||||||||||
เสียชีวิต | 20 สิงหาคม ค.ศ. 2008 ปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน | (87 ปี)||||||||||||||||||||
พรรคการเมือง | พรรคคอมมิวนิสต์จีน (1938) | ||||||||||||||||||||
คู่สมรส | หัน จือจฺวิ้น (สมรส 1949) | ||||||||||||||||||||
บุตร | 4 | ||||||||||||||||||||
ลายมือชื่อ | ![]() | ||||||||||||||||||||
ชื่อภาษาจีน | |||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวย่อ | 华国锋 | ||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 華國鋒 | ||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||
Su Zhu | |||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวย่อ | 苏铸 | ||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 蘇鑄 | ||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||
การเป็นสมาชิกสถาบันกลาง Other offices held
| |||||||||||||||||||||
ฮฺว่า กั๋วเฟิง (จีน: 华国锋; พินอิน: Huà Guófēng; ชื่อเกิด ซู จู้; 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1921 – 20 สิงหาม ค.ศ. 2008)[1] เป็นนักการเมืองชาวจีนผู้ดำรงตำแหน่งประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนและนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ของจีน ในฐานะผู้สืบทอดที่ได้รับเลือกจากเหมา เจ๋อตง เขาดำรงตำแหน่งสูงสุดของรัฐบาล พรรค และกองทัพหลังการถึงแก่อสัญกรรมของเหมาและนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล แต่ค่อย ๆ ถูกบังคับให้ออกจากอำนาจสูงสุดโดยกลุ่มผู้นำพรรคระหว่างเดือนธันวาคม ค.ศ. 1978 จนถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1981 และถอนตัวจากวงการเมืองในเวลาต่อมา แม้จะยังคงเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนจนถึง ค.ศ. 2002
ฮฺว่าเกิดและเติบโตในเจียวเฉิง เขาเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 1938 และเข้าร่วมทั้งสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สองและสงครามกลางเมืองจีนในฐานะนักรบกองโจร[2] ใน ค.ศ. 1948 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นเลขาธิการพรรคประจำเซียงถานในหูหนาน ซึ่งรวมถึงเฉาชานซึ่งเป็นบ้านเกิดของเหมาด้วย ฮฺว่าซึ่งเป็นผู้บริหารท้องถิ่นที่ได้รับความนิยมได้ก้าวขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรคของหูหนานในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม และได้รับการยกระดับสู่เวทีระดับชาติในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับตำแหน่งที่กระทรวงความมั่นคงสาธารณะใน ค.ศ. 1973 และรองนายกรัฐมนตรีใน ค.ศ. 1975 ภายหลังการถึงแก่อสัญกรรมของโจว เอินไหลในเดือนมกราคม ค.ศ. 1976 เหมาเลื่อนตำแหน่งฮฺว่าให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนลำดับที่ 1 ซึ่งทำให้เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของเหมา
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1976 หนึ่งเดือนหลังการถึงแก่อสัญกรรมของเหมา ฮฺว่าได้จับกุมและปลดกลุ่มแก๊งสี่คนออกจากอำนาจด้วยความช่วยเหลือของวัง ตงซิ่ง หัวหน้าฝ่ายความั่นคงของเหมา ผู้กลายมาเป็นผู้สนับสนุนหลักคนหนึ่งของฮฺว่าร่วมกับหลี่ เซียนเนี่ยน รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าฝ่ายวางแผนเศรษฐกิจ และหลัว ชิงฉาง หัวหน้าหน่วยข่าวกรอง ฮฺว่ายังสืบทอดตำแหน่งจากเหมาในฐานะประธานพรรคและประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง กลายเป็นบุคคลแรกที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค นายกรัฐมนตรี และผู้บัญชาการทหารสูงสุดพร้อมกัน[2]
ฮฺว่าย้อนกลับบางนโยบายในสมัยปฏิวัติวัฒนธรรม เช่น การรณรงค์ทางอุดมการณ์อย่างต่อเนื่อง แต่โดยทั่วไปแล้วเขาอุทิศตนให้กับระบบเศรษฐกิจแบบสั่งการและการสานต่อแนวทางลัทธิเหมา ระหว่างเดือนธันวาคม ค.ศ. 1978 ถึงมิถุนายน ค.ศ. 1981 กลุ่มผู้อาวุโสพรรคที่นำโดยเติ้ง เสี่ยวผิงบังคับให้ฮฺว่าออกจากตำแหน่งผู้นำสูงสุด แต่ยังคงอนุญาตให้เขารักษาบางตำแหน่งไว้ได้ ฮฺว่า ค่อย ๆ หายไปจากวงการเมือง แต่ยังคงยืนรานในความถูกต้องของหลักการลัทธิเหมา[2]
ชีวิตช่วงต้น
[แก้]
ฮฺว่าเกิดในเจียวเฉิง มณฑลชานซี เป็นลูกชายคนที่สี่ของครอบครัวที่มีต้นกำเนิดจากอำเภอฟ่าน มณฑลเหอหนาน ฮฺว่าสูญเสียพ่อของเขาเมื่ออายุ 7 ปี[2] เขาศึกษาที่โรงเรียนพาณิชย์อำเภอเจียวเฉิงและเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 1938 ในช่วงสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง[3] เช่นเดียวกับคอมมิวนิสต์หลายคนในสมัยนั้นที่ใช้ชื่อปฏิวัติ เขาเปลี่ยนชื่อเป็นฮฺว่า กั๋วเฟิง ซึ่งเป็นคำย่อของ"中華抗日救國先鋒隊" (Zhōnghuá kàngrì jiùguó xiānfēng duì; "กองหน้ากอบกู้ชาติจีนต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น") หลังรับราชการเป็นทหารในกองทัพลู่ที่แปดเป็นเวลา 12 ปีภายใต้การบัญชาการของจอมพลจู เต๋อ[3] เขาได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อของคณะกรรมาธิการพรรคประจำอำเภอเจียวเฉิงใน ค.ศ. 1947 ในช่วงสงครามกลางเมืองจีน
ฮฺว่าย้ายไปมณฑลหูหนานพร้อมกับกองทัพปลดปล่อยประชาชนที่ได้รับชัยชนะใน ค.ศ. 1948 ที่นั่นเขาแต่งงานกับนางหัน จือจฺวิ้น และจะยังคงอยู่ในมณฑลนั้นจนถึง ค.ศ. 1971 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นเลขาธิการพรรคประจำอำเภอเซียงอินในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1949 ก่อนการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ใน ค.ศ. 1952 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นเลขาธิการเขตพิเศษเซียงถาน ซึ่งรวมเฉาชาน ถึงบ้านเกิดของเหมา ในตำแหน่งนี้ เขาสร้างหออนุสรณ์ที่อุทิศให้แก่เหมา เมื่อเหมาไปเยือนสถานที่นั้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1959 เขาประทับใจอย่างมาก[4] เหมา เจ๋อตงพบกับฮฺว่าครั้งแรกใน ค.ศ. 1955 และประทับใจในความเรียบง่ายของเขา[5]

เนื่องจากผู้ว่าการมณฑลหูหนาน นายพลเฉิง เฉียน ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ (เขาเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการปฏิวัติก๊กมินตั๋ง กลุ่มชาตินิยมฝ่ายซ้ายของก๊กมินตั๋งที่ร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน) ฮฺว่าจึงค่อย ๆ มีอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในมณฑล โดยได้รับแต่งตั้งเป็นรองผู้ว่าการใน ค.ศ. 1958[2]
ฮฺว่าเข้าร่วมการประชุมหลูชานใน ค.ศ. 1959 (การประชุมเต็มคณะของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ขยายใหญ่ขึ้น) ในฐานะสมาชิกคณะผู้แทนพรรคประจำมณฑลหูหนาน และเขียนรายงานการตรวจสอบสองฉบับที่ปกป้องนโยบายทั้งหมดของเหมาอย่างเต็มที่ อิทธิพลของฮฺว่าเพิ่มขึ้นในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม เนื่องจากเขาให้การสนับสนุนและนำการเคลื่อนไหวในหูหนาน เขาจัดเตรียมการสำหรับการก่อตั้งคณะกรรมาธิการปฏิวัติท้องถิ่นใน ค.ศ. 1967 ซึ่งเขาดำรงตำแหน่งรองประธาน ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1970 เขาได้รับเลือกเป็นประธานคณะกรรมาธิการปฏิวัติและเลขาธิการคนแรกของคณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลหูหนาน
เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกเต็มตัวของคณะกรรมาธิการกลางชุดที่ 9 ใน ค.ศ. 1969[2]
สู่ศูนย์กลางอำนาจ
[แก้]
ฮฺว่าถูกเรียกตัวไปปักกิ่งเพื่อกำกับดูแลสำนักงานเจ้าหน้าที่มนตรีรัฐกิจของโจว เอินไหลใน ค.ศ. 1971 แต่เขาอยู่ได้เพียงไม่กี่เดือนก่อนจะกลับไปยังตำแหน่งเดิมในหูหนาน[4] ต่อมาในปีนั้น เขาได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกอาวุโสน้อยที่สุดในคณะกรรมาธิการเจ็ดคนซึ่งทำการสอบสวนเหตุการณ์หลิน เปียว เป็นสัญญาณแสดงถึงความไว้วางใจอย่างมากที่เหมามีต่อเขา ใน ค.ศ. 1973 ฮฺว่าได้รับเลือกกลับเข้ามาเป็นสมาชิกเต็มตัวของคณะกรรมาธิการกลางชุดที่ 10 และได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นสมาชิกกรมการเมือง ในปีเดียวกันนั้น เขาได้รับมอบหมายจากโจว เอินไหลให้ดูแลการพัฒนาด้านการเกษตร
ใน ค.ศ. 1973 เหมาแต่งตั้งฮฺว่าเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะและรองนายกรัฐมนตรี ทำให้เขามีอำนาจควบคุมตำรวจและกำลังรักษาความมั่นคง อิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของฮฺว่าได้รับการยืนยันจากการที่เขาได้รับเลือกให้กล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับการปรับปรุงการเกษตรให้ทันสมัยในเดือนตุลาคมของปีนั้น ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของโจว เอินไหล[6]
โจว เอินไหลเสียชีวิตในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1976 ในช่วงเวลาที่พันธมิตรปฏิรูปของเติ้ง เสี่ยวผิงยังไม่แข็งแกร่งพอจะต่อกรกับทั้งเหมาที่กำลังป่วยหนักและพันธมิตรการปฏิวัติวัฒนธรรมของเขาหรือแก๊งสี่คน (เจียง ชิง, จาง ชุนเฉียว, หวัง หงเหวิน และเหยา เหวินยฺเหวียน) หนึ่งสัปดาห์หลังอ่านคำสรรเสริญของอดีตนายกรัฐมนตรี เติ้งก็ออกจากปักกิ่งพร้อมกับพันธมิตรใกล้ชิดหลายคนไปยังกว่างโจว ซึ่งค่อนข้างปลอดภัยกว่า[7]
แม้จะมีรายงานว่าเหมาต้องการแต่งตั้งจาง ชุนเฉียวเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของโจว เอินไหล แต่สุดท้ายเขากลับแต่งตั้งฮฺว่าเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยไม่ได้รับอนุญาตจากสภาประชาชนแห่งชาติ[8] ในขณะเดียวกัน สื่อที่ควบคุมโดยแก๊งสี่คนเริ่มกล่าวหาโจมตีเติ้งอีกครั้ง (เขาถูกกวาดล้างในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม และเพิ่งคืนสู่อำนาจใน ค.ศ. 1973) อย่างไรก็ตาม ความรักใคร่ที่ประชาชนมีต่อโจวถูกประเมินต่ำไป นำไปสู่กรณีเทียนอันเหมิน การเผชิญหน้าระหว่างพันธมิตรของกลุ่มหัวรุนแรงที่เป็นกำลังติดอาวุธกับประชาชนปักกิ่งที่ต้องการให้เกียรติโจวในช่วงเทศกาลเช็งเม้งตามธรรมเนียม ขณะเดียวกัน ฮฺว่าก็กล่าวสุนทรพจน์ใน "แนวทางการวิจารณ์เติ้ง เสี่ยวผิงอย่างเป็นทางการ" ซึ่งได้รับการอนุมัติจากเหมาและคณะกรรมาธิการกลางพรรค
ในช่วงกรณีเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1976 ผู้คนนับพันประท้วงการที่กำลังติดอาวุธนำพวงหรีดที่ระลึกถึงโจวออกไปจากหน้าอนุสาวรีย์วีรชน พาหนะถูกเผา สำนักงานถูกรื้อค้น และมีรายงานผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก[9] ภายหลังเหตุการณ์ เติ้งถูกกล่าวโทษว่ายุยงให้เกิดการประท้วงและถูกปลดจากตำแหน่งทั้งหมดในพรรคและรัฐบาล แม้สมาชิกภาพในพรรคของเขาจะยังคงได้รับการรักษาไว้ตามคำสั่งของเหมา หลังจากนั้นไม่นาน ฮฺว่าก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานคนแรกของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนและนายกรัฐมนตรี
หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวถังชาน ค.ศ. 1976 ในเดือนกรกฎาคม ฮฺว่าเดินทางไปยังพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายและช่วยกำกับดูแลความพยายามบรรเทาทุกข์ ขณะที่แก๊งสี่คนไม่ได้ไปปรากฏตัว
กำจัดแก๊งสี่คน
[แก้]เหมาเสียชีวิตในวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1976 และฮฺว่าในฐานะสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีตำแหน่งสูงสุดเป็นอันดับสองและนายกรัฐมนตรี ได้เป็นผู้นำการไว้อาลัยทั่วประเทศในปักกิ่งในช่วงวันต่อมา และเป็นผู้กล่าวสุนทรพจน์หลักในพิธีรำลึกระดับชาติที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ในเวลานั้น คณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมือง องค์กรที่มีอำนาจสูงสุดของประเทศ ประกอบด้วยฮฺว่า, จอมพลเย่ เจี้ยนอิง, จาง ชุนเฉียว และหวัง หงเหวิน โดยเย่อยู่ในช่วงกึ่งเกษียณ ส่วนจางกับหวังเป็นสมาชิกของของแก๊งสี่คน[10]
ฮฺว่ารู้ว่าในภาวะสุญญากาศทางอำนาจหลังเหมา ตำแหน่งของเขาเมื่อเทียบกับแก๊งสี่คนจะเป็นเกมผลรวมเป็นศูนย์ กล่าวคือ ถ้าไม่กำจัดแก๊งสี่คนด้วยกำลัง พวกเขาอาจชิงลงมือกำจัดเขาเสียก่อน[10] ฮฺว่าติดต่อกับเย่หลังจากเหมาเสียชีวิตไม่กี่วันเพื่อหารือแผนการเกี่ยวกับแก๊งสี่คน เย่เริ่มหมดศรัทธาในแก๊งสี่คนก่อนเหมาจะเสียชีวิต ดังนั้นเขากับฮฺว่าจึงตกลงกันอย่างรวดเร็วที่จะดำเนินการต่อต้านแก๊ง[10]
ฮฺว่าได้รับความช่วยเหลือสำคัญจากวัง ตงซิ่ง หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยผู้ภักดีของเหมา ผู้ซึ่งควบคุมกรมทหารพิเศษ 8341 ชั้นยอด รวมถึงบุคคลสำคัญอื่น ๆ ในกรมการเมือง เช่น หลี่ เซียนเนี่ยน รองนายกรัฐมนตรี และเฉิน ซีเหลียน ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารปักกิ่ง ตลอดจนหลัว ชิงฉาง หัวหน้าหน่วยข่าวกรอง[10][2] กลุ่มดังกล่าวหารือกันถึงวิธีกำจัดแก๊ง รวมไปถึงการจัดประชุมกรมการเมืองหรือคณะกรรมาธิการกลางเพื่อขับไล่พวกเขาออกไปตามกระบวนการของพรรค แต่แนวคิดนี้ถูกปัดตกไป เนื่องจากในเวลานั้นคณะกรรมาธิการกลางประกอบไปด้วยผู้สนับสนุนแก๊งจำนวนมาก ท้ายที่สุด กลุ่มก็ตัดสินใจใช้กำลัง
สมาชิกของแก๊งถูกจับกุมในวันที่ 6 ตุลาคม หลังเที่ยงคืนไม่นาน[11] ฮฺว่าได้เรียกจาง ชุนเฉียว, หวัง หงเหวิน และเหยา เหวินยฺเหวียน มาประชุมที่จงหนานไห่ โดยอ้างว่าเพื่อหารือเกี่ยวกับหนังสือ "สรรนิพนธ์ของเหมา" เล่มที่ห้า พวกเขาถูกจับกุมขณะเดินเข้าไปในการประชุมที่โถงหวยเหริน ตามคำบอกเล่าของฮฺว่าเองเกี่ยวกับเหตุการณ์ เขาและจอมพลเย่ เจี้ยนอิงเป็นผู้นำเพียงสองคนที่อยู่ใน "การประชุม" โดยรอการมาถึงของสมาชิกแก๊งสี่คน ทันทีที่ทั้งสามคนถูกจับกุม ฮฺว่าได้แจ้งเหตุผลการควบคุมตัวให้พวกเขาทราบด้วยตนเอง ฮฺว่ากล่าวว่าพวกเขาได้กระทำการ "ต่อต้านพรรคและต่อต้านสังคมนิยม" และ "สมคบคิดเพื่อช่วงชิงอำนาจ เจียงชิงและเหมา ยฺเหวี่ยนซินถูกจับกุมที่บ้านพักของพวกเขา[12]
กำลังเฉพาะกิจที่นำโดยเกิ่ง เปียวเข้ายึดสำนักงานใหญ่ของหน่วยงานโฆษณาชวนเชื่อหลักของพรรค ซึ่งในขณะนั้นถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของเขตอิทธิพลของแก๊งสี่คน อีกกลุ่มถูกส่งไปเพื่อรักษาเสถียรภาพเซี่ยงไฮ้ ฐานอำนาจหลักในภูมิภาคของแก๊ง ในการประชุมฉุกเฉินของกรมการเมืองในวันรุ่งขึ้น ฮฺว่าได้รับแต่งตั้งเป็นประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง องค์กรปกครองกองทัพปลดปล่อยประชาชน[13] หลังกำจัดแก๊งสี่คนแล้ว คำกล่าวของเหมาที่ว่า "เมื่อคุณดูแล ฉันก็สบายใจ" ถูกตีพิมพ์เพื่อยืนยันความชอบธรรมในการขึ้นสู่อำนาจสูงสุดของฮฺว่า โดยใช้เป็นหลักฐานแสดงถึง "ความไว้วางใจอย่างไร้ขีดจำกัด" ที่เหมามีต่อฮฺว่า[14] การแต่งตั้งฮฺว่าได้รับแรงสนับสนุนอย่างมากจากกองทัพปลดปล่อยประชาชน[15]
ประธานพรรคและนายกรัฐมนตรี
[แก้]
ในช่วงเวลาที่เขาอยู่ในอำนาจค่อนข้างสั้น ตั้งแต่เดือนตุลาคม ค.ศ. 1976 ถึงธันวาคม ค.ศ. 1978 ฮฺว่าได้ขับไล่แก๊งสี่คนออกจากอำนาจทางการเมืองอย่างรวดเร็วและด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นผู้นำที่การปรากฏตัวของเขาเป็นเครื่องหมายของการสิ้นสุดการปฏิวัติวัฒนธรรม หลังจากที่แก๊งสี่คนถูกจำคุกและมีการจัดตั้งคณะปกครองสามคนชุดใหม่ (ฮฺว่า กั๋วเฟิง, จอมพลเย่ เจี้ยนอิง และหลี่ เซียนเนี่ยน นักวางแผนเศรษฐกิจหลัก) การฟื้นฟูอำนาจของเติ้ง เสี่ยวผิงก็เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการกำจัดอิทธิพลของแก๊งสี่คนออกจากระบบการเมืองทั้งหมด นำไปสู่การต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างฮฺว่ากับเติ้ง[16] การต่อสู้ครั้งนี้ได้รับการตัดสินอย่างเด็ดขาดโดยชัยชนะของเติ้งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1978 ซึ่งโดยทั่วไปถือกันว่าเป็นจุดเริ่มต้นสมัยการปฏิรูปเศรษฐกิจจีน
การเมืองภายในประเทศ
[แก้]ในช่วงที่เขาได้รับการแต่งตั้ง ฮฺว่ายังไม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชนชาวจีน[15]
ในช่วงปลาย ค.ศ. 1976 ฮฺว่าเริ่มต้นการรณรงค์ทั่วประเทศเพื่อวิพากษ์วิจารณ์แก๊งสี่คน ควบคู่ไปกับกระบวนการ "กลับคำตัดสิน" ให้กับผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์แก๊งดังกล่าว ผู้คนที่ถูกลงโทษหลังกรณีเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1976 ได้รับการปล่อยตัว[17] และเหตุการณ์นั้นได้รับการประเมินใหม่ระหว่างการประชุมคณะทำงานส่วนกลางที่จัดขึ้นใน ค.ศ. 1977 ระหว่างเดือนตุลาคม ค.ศ. 1976 ถึงเดือนธันวาคม ค.ศ. 1978 แกนนำกว่า 4,600 คนที่ถูกทำให้เสื่อมเสียเกียรติในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมได้รับการกู้ชื่อเสียง[13]
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1977 ในการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 1 ของคณะกรรมาธิการกลางพรรคชุดที่ 11 เติ้ง เสี่ยวผิงได้รับการกู้ชื่อเสียงโดยได้รับอนุมัติจากฮฺว่า การประชุมเต็มคณะนี้ยังแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในองค์ประกอบของคณะกรรมาธิการกลาง โดยมีสมาชิกที่ได้รับเลือกใหม่ 68 คน ซึ่งในจำนวนนี้กว่า 20 คนเป็นเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการกู้ชื่อเสียง[13] แม้เหมาจะปรารถนาให้เผาศพของเขา แต่ร่างของเขาก็ถูกนำไปบรรจุในหอรำลึก ขณะที่ฮฺว่ารับผิดชอบการแก้ไขสรรนิพนธ์ของเหมา เจ๋อตงเล่มที่ห้า ซึ่งภายหลังถูกนำไปใช้ในความพยายามด้านการโฆษณาชวนเชื่ออย่างมีนัยสำคัญ[18]
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1977 คณะผู้นำส่วนกลางภายใต้การนำของฮฺว่าเผยแพร่คำขวัญใหม่ว่า "เราจะยึดมั่นการตัดสินใจใดก็ตามของท่านประธานเหมา และปฏิบัติตามคำสั่งใดก็ตามที่ท่านประธานเหมาให้ไว้อย่างแน่วแน่" คำขวัญที่ถูกเรียกเชิงเสียดสีว่า "สองสิ่งใดก็ตาม" นี้ถูกใช้เพื่อวิพากษ์วิจารณ์ฮฺว่าเนื่องจากถูกมองว่าเขาเชื่อฟังคำสั่งของเหมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาเกินไป[18] ผู้นำอนุมัติการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยระดับชาติครั้งแรกนับตั้งแต่การปฏิวัติวัฒนธรรมเริ่มต้นใน ค.ศ. 1977[18]
ฮฺว่ายังพยายามปรับเปลี่ยนระเบียบการของรัฐเพื่อเป็นวิธีการยกระดับเกียรติภูมิของตนเอง ใน ค.ศ. 1978 ที่ประชุมพรรคทุกแห่งจะต้องแขวนภาพเหมือนของเหมาและฮฺว่าไว้คู่กัน รวมถึงในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติและการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วย โรงเรียนทุกแห่งถูกสั่งให้แขวนภาพของฮฺว่าไว้ข้างภาพของเหมา ฮฺว่ายังเปลี่ยนแปลงเนื้อเพลงชาติจีนโดยใส่เนื้อหาเกี่ยวกับเหมา เจ๋อตง และพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าไป เปลี่ยนโทนเพลงจากที่เคยปลุกใจให้ฮึกเหิมในการทำสงครามไปเป็นการเน้นอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ล้วน แต่เนื้อเพลงเหล่านี้ก็ถูกยกเลิกในภายหลัง ฮฺว่ายังคงใช้ศัพท์ของการปฏิวัติวัฒนธรรม แต่เขาวิพากษ์วิจารณ์บางแง่มุมของมัน รวมถึงการปฏิรูปการศึกษา กิจกรรมของคณะกรรมาธิการปฏิวัติ และความเกินเลยอื่น ๆ โดยโยนความผิดให้กับแก๊งสี่คน สื่อของรัฐเรียกเขาว่า "ผู้นำผู้ชาญฉลาด"
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1978 การประชุมครั้งแรกของสภาประชาชนแห่งชาติชุดที่ 5 อนุมัติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของรัฐ ซึ่งฮฺว่ามีส่วนร่วมอย่างมากในการร่าง เอกสารนี้พยายามฟื้นฟูหลักนิติธรรมและกลไกการวางแผนบางส่วนจากรัฐธรรมนูญฉบับดั้งเดิมของสาธารณรัฐประชาชนจีนปี ค.ศ. 1956 แม้จะยังคงมีการอ้างถึงการปฏิวัติอย่างต่อเนื่องและลัทธิสากลนิยมของชนกรรมาชีพ แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยรัฐธรรมนูญฉบับอื่นในอีกเพียงสี่ปีต่อมา[17]
เศรษฐกิจ
[แก้]ในช่วงดำรงตำแหน่งของเขา ฮฺว่าเป็นกังวลเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจของจีน โดยกล่าวว่าเขากลัวว่ามันกำลังใกล้ถึงจุดล่มสลาย ฮฺว่าได้ทำงานร่วมกับหลี่ เซียนเนี่ยนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยสนับสนุนแผนเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านการเพิ่มงบประมาณวิสาหกิจและการนำเข้าเทคโนโลยีต่างชาติจำนวนมาก เขานำเสนอแผนเศรษฐกิจระยะเวลาสิบปีที่ทะเยอทะยานซึ่งมุ่งสร้างเศรษฐกิจแบบโซเวียตโดยการเพิ่มการลงทุนในอุตสาหกรรมหนักและพลังงาน การใช้เครื่องจักรในการเกษตร และการใช้เทคโนโลยีนำเข้าเพื่อสร้างโรงงานผลิตใหม่[19] ตั้งแต่ ค.ศ. 1977 เป็นต้นมา ฮฺว่ายังพูดถึง "สี่ทันสมัย" ด้วย[20] แม้แนวคิดการนำเข้าเทคโนโลยีจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่แนวทางของฮฺว่าแตกต่างออกไปตรงที่ขนาด โดยมีการวางแผนนำเข้ามูลค่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในฤดูร้อน ค.ศ. 1978[19]
ข้อเสนอของเขาในการจัดซื้ออุปกรณ์ บริการ และโครงสร้างพื้นฐานจากต่างประเทศผ่านการกู้ยืมจำนวนมหาศาล ซึ่งถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ประมาท ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง และต่อมาถูกเยาะเย้ยว่าเป็น "การก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าที่นำโดยตะวันตก"[21] แม้ข้อเสนอทางอุตสาหกรรมของเขาจะพิสูจน์แล้วว่าไม่สมจริง แต่ความพยายามของฮฺว่าก็ได้ลบล้างตราบาปทางการเมืองออกจากแนวคิดเรื่องการนำเข้าเทคโนโลยี[22] แผนนำเข้าเทคโนโลยีถูกยกเลิกอย่างรวดเร็วและหันไปใช้แผนห้าปีที่ถูกกว่าและทำได้จริงมากกว่าซึ่งให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมเบาและสินค้าอุปโภคบริโภค แผนเศรษฐกิจและการเมืองของฮฺว่าเกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูการวางแผนอุตสาหกรรมแบบโซเวียต[23] และการควบคุมของพรรคที่คล้ายกับที่จีนเคยใช้ก่อนการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า อย่างไรก็ตาม รูปแบบนี้ถูกปฏิเสธโดยผู้สนับสนุนเติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งโต้แย้งถึงระบบเศรษฐกิจที่เน้นภาคเอกชนมากกว่า
นโยบายต่างประเทศ
[แก้]ใน ค.ศ. 1978 ฮฺว่าเดินทางเยือนยูโกสลาเวียและโรมาเนียเพื่อศึกษาประสบการณ์ทางเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมและเทคนิคการผลิตขั้นสูงของพวกเขา[24]
ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1979 ฮฺว่าเดินทางเยือนยุโรป เป็นการเดินทางเยือนลักษณะนี้ครั้งแรกของผู้นำจีนหลัง ค.ศ. 1949 เขาเดินทางไปยังเยอรมนีตะวันตกและฝรั่งเศส วันที่ 28 ตุลาคม ฮฺว่าเดินทางเยือนสหราชอาณาจักรและได้พบกับนางมาร์กาเรต แทตเชอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันอย่างเป็นมิตรและหารือเกี่ยวกับอนาคตของฮ่องกง ซึ่งในขณะนั้นเป็นดินแดนโพ้นทะเลของอังกฤษ ฮฺว่าเดินทางไปเยี่ยมชมศูนย์เทคนิคทางรถไฟของการรถไฟอังกฤษในเดอร์บี เพื่อสังเกตการณ์การพัฒนาของรถไฟโดยสารความเร็วสูง[25] การเยือนของเขาเกิดขึ้นพร้อมกับการบริจาครถจักรไอน้ำรัฐบาลจีนชั้น KF หมายเลข 7 แบบ 4-8-4 ให้กับพิพิธภัณฑ์รถไฟแห่งชาติในยอร์ก[26] ฮฺว่ายังเดินทางไปยังฟาร์มแห่งหนึ่งในออกซฟอร์ดเชอร์และเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดด้วย[27]

ฮฺว่าเป็นหนึ่งในชาวต่างชาติกลุ่มสุดท้ายที่ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี แห่งอิหร่าน ก่อนที่พระองค์จะถูกโค่นล้มใน ค.ศ. 1979[29]
การชิงอำนาจและการขับไล่
[แก้]แม้เติ้งจะสนับสนุนนโยบายของฮฺว่ามาโดยตลอด แต่ต่อมาเขาเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ฮฺว่าอย่างแนบเนียน โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มอำนาจของตนเอง เขาได้รับการสนับสนุนจากหู เย่าปัง หัวหน้ากรมองค์การพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่ ค.ศ. 1977 ผู้ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์ฮฺว่าว่าเคร่งหลักการมากเกินไปและเปรียบเทียบเขากับเติ้ง[30] สิ่งนี้ในที่สุดก็นำไปสู่บทบรรณาธิการสำคัญที่มีชื่อว่า "การปฏิบัติเป็นเกณฑ์เดียวในการทดสอบความจริง" ซึ่งร่างโดยนักปรัชญาหู ฝูหมิงและตีพิมพ์ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1978 ซึ่งโต้แย้งว่าความผิดพลาดครั้งสำคัญเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเนื่องจากมีการให้ความสำคัญกับการ "ทดสอบความจริง" ผ่าน "การปฏิบัติ" ไม่เพียงพอ แม้บทความนั้นจะถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยสมาชิกพรรคบางคน แต่ในไม่ช้าเติ้งก็ให้การรับรอง[30]
ในการประชุมการทำงานส่วนกลางที่จัดขึ้นในวันที่ 10 พฤศจิกายน ฮฺว่าพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของพรรคคอมมิวนิสต์จีนจากการเน้นการต่อสู้ระหว่างชนชั้นไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยี[30] แม้จะประสบความสำเร็จ แต่เขาถูกสมาชิกอาวุโสพรรคตำหนิที่ไม่ให้ความสำคัญกับการสะสางผลกระทบของการปฏิวัติวัฒนธรรมและกรณีเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1976 มากพอ[31] ฮฺว่าได้รับการสนับสนุนจากเย่ เจี้ยนอิงและผู้อาวุโสพรรค เช่น เฉิน ยฺหวิน ให้ยอมรับข้อเรียกร้อง และได้กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมในวันที่ 25 พฤศจิกายน โดยเขากล่าวว่ากรณีเทียนอันเหมินเป็น "การเคลื่อนไหวของมวลชนปฏิวัติโดยสมบูรณ์ และจำเป็นต้องประเมินใหม่โดยเปิดเผยและละเอียดถี่ถ้วน" การกระทำนี้ช่วยเสริมสร้างอำนาจของเติ้งอย่างมาก นำไปสู่การกู้ชื่อเสียงหลังเสียชีวิตรวมถึงการคืนตำแหน่งให้แก่ผู้นำคนอื่น ๆ เช่น ปั๋ว อีปัว และหยาง ช่างคุน สมาชิกพรรคอาวุโสจำนวนมากพูดถึงความทุกข์ทรมานของพวกเขาในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม และวิพากษ์วิจารณ์ฮฺว่าที่ไม่ยอมตัดขาดจากลัทธิเหมา ฮฺว่าวิจารณ์ตนเองในวันที่ 13 กันยายนสำหรับการเข้าข้างจุดยืนของเหมาอย่างใกล้ชิดเกินไป[31]
ฮฺว่าเสียอำนาจอย่างมีนัยสำคัญในการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 3 ของคณะกรรมาธิการกลางชุดที่ 11 ซึ่งหลังจากนั้น เติ้ง เสี่ยวผิงก็กลายเป็นผู้นำโดยพฤตินัยของจีนโดยแนวคิดการปฏิรูปเศรษฐกิจของเขาได้รับการยอมรับจากพรรค[32] เขายังคงมีอำนาจอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขัดขวางการเพิ่มข้อความที่วิจารณ์ตัวเขาใน "มติประวัติศาสตร์" ที่ร่างโดยผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนเพื่อประเมินการปฏิวัติวัฒนธรรม[33] เขาถูกแทนที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยจ้าว จื่อหยางในเดือนกันยายน ค.ศ. 1980 ขณะที่กรมการเมืองออกคำวิจารณ์อย่างเป็นทางการต่อฮฺว่าในเดือนธันวาคม โดยกล่าวหาว่าเขาเป็นบุคคลที่ต่อต้านการปฏิรูปและเพียงต้องการจะเลียนแบบเหมา สิ่งนี้ได้รับการตอกย้ำโดยมติประวัติศาสตร์ที่รับรองในการประชุมเต็มคณะครั้งที่ 6 ของคณะกรรมการกลางชุดที่ 11 ในวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 1981 ซึ่งระบุว่าฮฺว่าทำน้อยเกินไปในการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ หลังการเสียชีวิตของเหมา[33] นอกจากนี้ยังระบุว่าเขาทำสิ่งที่ดีโดยการกำจัดแก๊งสี่คน แต่หลังจากนั้น เขาได้กระทำ "ความผิดพลาดร้ายแรง"
ขณะที่เติ้งค่อย ๆ ควบคุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนมากขึ้น ฮฺว่าก็ถูกประณามสำหรับการส่งเสริมนโยบายสองสิ่งใดก็ตาม ตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ. 1979 สื่อของรัฐได้หยุดเรียกเขาว่า "ผู้นำผู้ชาญฉลาด" และในเดือนกันยายน ค.ศ. 1980 เขาถูกแทนที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยจ้าว จื่อหยาง[33] ถูกแทนที่ในตำแหน่งประธานพรรคโดยหู เย่าปัง และใน ค.ศ. 1981 ถูกแทนที่ในตำแหน่งประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางโดยเติ้งเอง ฮฺว่าถูกลดตำแหน่งเป็นรองประธานพรรคคนรอง และเมื่อตำแหน่งนี้ถูกยกเลิกใน ค.ศ. 1982 เขายังคงดำรงตำแหน่งสมาชิกสามัญของคณะกรรมาธิการกลาง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาดำรงอยู่จนถึงการประชุมสภาแห่งชาติพรรคครั้งที่ 16 ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2002 แม้จะอายุเกินเกณฑ์เกษียณอายุอย่างไม่เป็นทางการที่ 70 ปีใน ค.ศ. 1991 ก็ตาม
เกษียณและเสียชีวิต
[แก้]หลังการประชุมสภาแห่งชาติพรรคครั้งที่ 16 ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2002 ฮฺว่าเสียที่นั่งในคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างเป็นทางการ มีรายงานว่าเขาเกษียณด้วยความสมัครใจด้วยเหตุผลด้านอายุและสุขภาพ แต่พรรคไม่ได้ยืนยันเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ[34] อย่างไรก็ตาม เขาได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมสภาแห่งชาติพรรคครั้งที่ 17 ใน ค.ศ. 2007 ในฐานะผู้แทนพิเศษ และเขาปรากฏตัวในพิธีซึ่งจัดขึ้นในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2007 เพื่อรำลึกถึงวันเกิดครบรอบ 115 ปีของเหมา เจ๋อตง[35] แม้เขาจะยังคงตำแหน่งอย่างเป็นทางการในพรรค แต่ฮฺว่าก็วางตัวออกห่างจากการมีส่วนร่วมทางการเมือง งานอดิเรกหลักของเขาคือการปลูกองุ่น และเขาติดตามข่าวสารปัจจุบันโดยการอ่านหนังสือพิมพ์จำนวนมาก[36]
สุขภาพของฮฺว่าเสื่อมโทรมลงใน ค.ศ. 2008 และเขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนเกี่ยวกับไตและหัวใจ[36] ฮฺว่าเสียชีวิตในปักกิ่งเมื่อ 20 สิงหาคม ค.ศ. 2008[37] ไม่ได้ระบุสาเหตุการเสียชีวิต และเนื่องจากการเสียชีวิตเกิดขึ้นระหว่างการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 สื่อของรัฐจึงไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก มีเพียงการรายงานออกอากาศ 30 วินาทีในรายการข่าวแห่งชาติซินเหวินเหลียนปัว[ต้องการอ้างอิง] และย่อหน้าสั้นๆ ที่มุมหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์เหรินหมินรื่อเป้า[38] พิธีศพของเขา ซึ่งจัดขึ้นที่สุสานปฏิวัติปาเป่าชานในวันที่ 30 สิงหาคม มีสมาชิกคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองทุกคนเข้าร่วม รวมถึงอดีตประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน และอดีตนายกรัฐมนตรีจู หรงจี[39]
มรดก
[แก้]มรดกของฮฺว่ามักถูกลดทอนเหลือเพียงสองสิ่งใดก็ตาม: "เราจะยึดมั่นการตัดสินใจใดก็ตามของท่านประธานเหมา และปฏิบัติตามคำสั่งใดก็ตามที่ท่านประธานเหมาให้ไว้อย่างแน่วแน่"[23]
อิซาเบลลา เวเบอร์ นักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ กล่าวว่า การที่ฮฺว่ายึดถือนโยบายสองสิ่งใดก็ตามเป็นแง่มุมของมรดกของฮฺว่าที่ถูกเน้นย้ำมากเกินไป[23] เวเบอร์แย้งว่า "การแสดงความเคารพต่อเหมาในปีหลังจากที่เขาเสียชีวิตนั้นไม่ได้เป็นเรื่องเฉพาะตัวของฮฺว่าเท่านั้น" และคำขวัญ "สองสิ่งทใดก็ตาม" ก็ได้รับการสนับสนุนจากเฉิน ยฺหวินเช่นกัน ผู้ซึ่งก้าวขึ้นมาแทนที่ฮฺว่าพร้อมกับเติ้ง เสี่ยวผิง[23]
การที่ฮฺว่าละทิ้งนโยบายเศรษฐกิจสมัยการปฏิวัติวัฒนธรรมสอดคล้องกับวาระการปฏิรูป ค.ศ. 1975 ของเติ้ง[23] ฮฺว่าให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเป็นอันดับแรกและเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการ "ปลดปล่อยพลังการผลิต"[23] เขา "ผสมผสานการผลักดันอุตสาหกรรมขนาดใหญ่แบบโซเวียตเข้ากับการเปิดประเทศสู่โลกทุนนิยม" และภายใต้การนำของเขา จีนได้เปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรกและเริ่มความพยายามครั้งใหญ่ในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ[23] ฮฺว่าสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นโดยผสมผสานการวางแผนจากส่วนกลางเข้ากับการเปิดโอกาสให้ตลาดมีอิสระบ้าง ซึ่งเป็นรูปแบบที่เหมาเคยดูถูกว่าเป็นเศรษฐกิจนิยม[40] ฮฺว่ายังสนับสนุนการอภิปรายอย่างเสรีภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมลัทธิเหมาในรูปแบบที่เน้นการปฏิรูปมากขึ้น การปฏิรูปการเมืองและเศรษฐกิจของเขามีส่วนช่วยในการลดอิทธิพลของลัทธิเหมาในทางปฏิบัติในช่วงแรกในประเทศจีน ดังนั้นจึงเป็นการปูทางสำหรับการปฏิรูปเศรษฐกิจจีนที่นำโดยเติ้ง[41]
ฮฺว่ายกเลิกการควบคุมที่แก๊งสี่คนได้วางไว้เหนือนโยบายวัฒนธรรมและการศึกษา การผ่อนปรนการควบคุมเนื้อหาทางวัฒนธรรมส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากศิลปะปฏิวัติไปสู่ผลงานที่เน้นตลาดและปัจเจกนิยมมากขึ้น เช่น Scar literature[40] ฮฺว่าได้รับความภักดีคืนมาจากแกนนำพรรคและปัญญาชน ผู้ซึ่งโดยทั่วไปถูกกีดกันในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม สิ่งนี้เสริมสร้างกลไกของพรรคและมีส่วนช่วยให้เกิดเสถียรภาพของชาติ[40]
การปลดฮฺว่ามีความสำคัญอย่างน้อยสองประการ ประการแรก มันแสดงให้เห็นความไม่สำคัญของตำแหน่งทางการในพรรคคอมมิวนิสต์จีนในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 แม้ฮว่าจะเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการของพรรค รัฐ และกองทัพ แต่เขาก็ไม่สามารถเอาชนะความท้าทายด้านความเป็นผู้นำจากเติ้ง เสี่ยวผิง ประการที่สอง การปลดฮฺว่าสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ริเริ่มโดยเติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งตามนโยบายนั้น สมาชิกพรรคที่ถูกลดบทบาทจะถูกปลดจากตำแหน่งเท่านั้น โดยพวกเขาจะไม่ถูกจำคุกหรือทำร้ายร่างกาย
ชีวิตส่วนตัว
[แก้]ฮฺว่าแต่งงานกับหัน จือจฺวิ้นในเดือนมกราคม ค.ศ. 1949 พวกเขามีลูกด้วยกันสี่คน ทั้งหมดใช้นามสกุล "ซู" (苏) ตามชื่อเกิดของฮฺว่า ซู หฺวา ลูกชายคนแรกของพวกเขา เป็นนายทหารอากาศเกษียณอายุ ซู ปิน ลูกชายคนที่สอง เป็นนายทหารเกษียณอายุ ซู หลิง ลูกสาวคนโต เป็นเจ้าหน้าที่พรรคและสหภาพแรงงานที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศจีน ซู หลี่ ลูกสาวคนเล็ก ทำงานให้กับคณะมนตรีรัฐกิจ
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ Profile of Hua Guofeng
- ↑ 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 2.6 Ye Yonglie, 邓小平改变中国 – 1978:中国命运大转折 (Deng Xiaoping Changed China-1978: China's Destiny Turned, pp. 108-141, Sichuan People's Publishing House, 2008
- ↑ 3.0 3.1 Palmowski, Jan: "Hua Guofeng" in A Dictionary of Contemporary World History. Oxford University Press, 2004.
- ↑ 4.0 4.1 Wang, James C.F., Contemporary Chinese Politics: An Introduction (Prentice-Hall, New Jersey: 1980), p. 36.
- ↑ Li, Xiaobing; Tian, Xiansheng (21 พฤศจิกายน 2013). Evolution of Power: China's Struggle, Survival, and Success (ภาษาอังกฤษ). Lexington Books. p. 67. ISBN 978-0-7391-8498-1.
- ↑ Wang, James C.F., Contemporary Chinese Politics: An Introduction (Prentice-Hall, New Jersey: 1980), p. 37.
- ↑ Hollingworth, Clare, Mao and the Men Against Him (Jonathan Cape, London: 1985), p. 291ff
- ↑ Fontana 1982, p. 245.
- ↑ Hollingworth, Clare, Mao and the Men Against Him (Jonathan Cape, London: 1985), pp. 297–298
- ↑ 10.0 10.1 10.2 10.3 华国锋口述:怀仁堂事变真实经过. Duowei. 3 พฤศจิกายน 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 มิถุนายน 2019. สืบค้นเมื่อ 9 สิงหาคม 2017.
- ↑ Hsü, Immanuel Chung-yueh (1990), China Without Mao: the Search for a New Order, Oxford University Press, p. 18, ISBN 0-19536-303-5
- ↑ Hsin, Chi. The Case of the Gang of Four. Revised ed. Hong Kong: Cosmo, 1978. Print.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 Li-Ogawa 2022, p. 126.
- ↑ Li-Ogawa 2022, p. 131.
- ↑ 15.0 15.1 Lampton 2024, p. 68.
- ↑ "Post-Mao Period, 1976-78". ibiblio.org. สืบค้นเมื่อ 1 พฤษภาคม 2019.
- ↑ 17.0 17.1 Gewirtz 2022, p. 15.
- ↑ 18.0 18.1 18.2 Gewirtz 2022, p. 16.
- ↑ 19.0 19.1 Gewirtz 2022, p. 17–18.
- ↑ Li-Ogawa 2022, p. 127.
- ↑ Minami 2024, p. 15.
- ↑ Minami 2024, p. 56–57.
- ↑ 23.0 23.1 23.2 23.3 23.4 23.5 23.6 Weber 2021, p. 106.
- ↑ Andelman, David A. (20 สิงหาคม 1979). "China's Balkan Strategy". International Security. 4 (3): 60–79. doi:10.2307/2626694. JSTOR 2626694. S2CID 154252900.
- ↑ "Chairman Hua Officially Visits the UK". Hua Guofeng Memorial Website. 28 ตุลาคม 1979. สืบค้นเมื่อ 27 มีนาคม 2010.
- ↑ "Chinese Government Railways Steam Locomotive 4-8-4 KF Class No 7". National Railway Museum. 10 เมษายน 2017. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 มิถุนายน 2017. สืบค้นเมื่อ 10 เมษายน 2017.
- ↑ "1979: Chairman Hua arrives in London". BBC News. 28 ตุลาคม 1979. สืบค้นเมื่อ 27 มีนาคม 2010.
- ↑ 华主席抵德黑兰进行正式友好访问 巴列维国王举行盛大宴会热烈欢迎. People's Daily (ภาษาChinese (China)). 30 สิงหาคม 1978. p. 1.
- ↑ Wright, Robin (17 พฤศจิกายน 2004). "Iran's New Alliance With China Could Cost U.S. Leverage". The Washington Post. สืบค้นเมื่อ 4 พฤษภาคม 2010.
- ↑ 30.0 30.1 30.2 Gewirtz 2022, p. 18–19.
- ↑ 31.0 31.1 Gewirtz 2022, p. 20.
- ↑ Li-Ogawa 2022, p. 134.
- ↑ 33.0 33.1 33.2 Gewirtz 2022, p. 26–27.
- ↑ "Pakistan Daily Times Article". Daily Times. สืบค้นเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ 2005.
- ↑ 十七大之后拜访华国锋 [Visiting Hua Guofeng after the 17th Congress]. Sohu. สืบค้นเมื่อ 22 กันยายน 2008.
- ↑ 36.0 36.1 简单的晚年生活 华国锋远离政治的日子 [A simple late life: Hua Guofeng's days away from politics]. China News Weekly (ภาษาChinese (China)). 21 กันยายน 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 มิถุนายน 2020. สืบค้นเมื่อ 21 กันยายน 2008.
- ↑ Keith Bradsher and William J. Wellman, "Hua Guofeng, 87, Who Led China After Mao, Dies", The New York Times, 20 August 2008.
- ↑ 华国锋在京病逝 曾经担任党和国家重要领导职务. Sohu via Xinhua. 21 สิงหาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 31 ธันวาคม 2011.
- ↑ 华国锋同志遗体在京火化 胡锦涛等到革命公墓送别 [Comrade Hua Guofeng's body was cremated in Beijing; Hu Jintao waited at the Revolutionary Cemetery to bid farewell]. People's Daily. 30 สิงหาคม 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 ธันวาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 31 ธันวาคม 2011.
- ↑ 40.0 40.1 40.2 Karl 2010, p. 160–161.
- ↑ Li-Ogawa 2022, p. 129.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- ประวัติอย่างเป็นทางการของฮฺว่า กั๋วเฟิง (ภาษาจีน), สำนักข่าวซินหัว 31 สิงหาคม 2551
- เอกสารเก่าของฮฺว่า กั๋วเฟิง ในเอกสารสำคัญทางอินเทอร์เน็ตของลัทธิมาร์กซิสต์