ข้ามไปเนื้อหา

ผลต่างระหว่างรุ่นของ "มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Narutzy (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
บรรทัด 1: บรรทัด 1:

{{ลิงก์ไปภาษาอื่น}}
{{เก็บกวาดสถานศึกษา}}
{{กล่องข้อมูล มหาวิทยาลัย
{{กล่องข้อมูล มหาวิทยาลัย
|name = มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
|name = มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
บรรทัด 21: บรรทัด 20:
'''มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์''' ({{lang-en|University of Cambridge}})<ref group="note">ใช้ชื่อทางการว่า นายกสภา อนุสาสก และคณาจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (The Chancellor, Masters, and Scholars of the University of Cambridge)</ref> เป็นสถาบันอุดมศึกษาขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ในสหราชอาณาจักร มีความเก่าแก่เป็นอันดับที่สองของ[[สหราชอาณาจักร]] ก่อตั้งเมื่อ [[พ.ศ. 1752]] โดยมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งก่อนหน้านั้นคือ [[มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด]] นอกจากนี้ยังเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่เป็นอันดับที่สี่ของโลกและยังเปิดดำเนินการอยู่อีกด้วย<ref>{{cite book|author=Sager, Peter|year= 2005|title= Oxford and Cambridge: An Uncommon History}}</ref> มหาวิทยาลัยก่อกำเนิดจากคณาจารย์และนักวิจัยของมหาวิทยาลัยซึ่งขัดแย้งกับชาวบ้านที่เมืองออกซฟอร์ด<ref>{{cite web|url=http://www.cam.ac.uk/univ/history/records.html|title=A Brief History: Early records|publisher=University of Cambridge|accessdate=17 August 2008}}</ref> มหาวิทยาลัยเคมบริจด์และมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดมักได้รับการจัดอันดับต้น ๆ ของการจัดอันดับโดยสำนักต่าง ๆ จนมีการเรียกรวมกันว่า [[อ๊อกซบริดจ์]] ในปีพ.ศ. 2562 มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ รั้งตำแหน่งอันดับที่สองของโลก ในบรรดา[[รายชื่อมหาวิทยาลัยเรียงตามรางวัลโนเบลที่ได้รับ|มหาวิทยาลัยที่มีผู้ได้รางวัลโนเบลสูงที่สุด]] กล่าวคือ 118 รางวัล
'''มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์''' ({{lang-en|University of Cambridge}})<ref group="note">ใช้ชื่อทางการว่า นายกสภา อนุสาสก และคณาจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (The Chancellor, Masters, and Scholars of the University of Cambridge)</ref> เป็นสถาบันอุดมศึกษาขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ในสหราชอาณาจักร มีความเก่าแก่เป็นอันดับที่สองของ[[สหราชอาณาจักร]] ก่อตั้งเมื่อ [[พ.ศ. 1752]] โดยมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งก่อนหน้านั้นคือ [[มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด]] นอกจากนี้ยังเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่เป็นอันดับที่สี่ของโลกและยังเปิดดำเนินการอยู่อีกด้วย<ref>{{cite book|author=Sager, Peter|year= 2005|title= Oxford and Cambridge: An Uncommon History}}</ref> มหาวิทยาลัยก่อกำเนิดจากคณาจารย์และนักวิจัยของมหาวิทยาลัยซึ่งขัดแย้งกับชาวบ้านที่เมืองออกซฟอร์ด<ref>{{cite web|url=http://www.cam.ac.uk/univ/history/records.html|title=A Brief History: Early records|publisher=University of Cambridge|accessdate=17 August 2008}}</ref> มหาวิทยาลัยเคมบริจด์และมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดมักได้รับการจัดอันดับต้น ๆ ของการจัดอันดับโดยสำนักต่าง ๆ จนมีการเรียกรวมกันว่า [[อ๊อกซบริดจ์]] ในปีพ.ศ. 2562 มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ รั้งตำแหน่งอันดับที่สองของโลก ในบรรดา[[รายชื่อมหาวิทยาลัยเรียงตามรางวัลโนเบลที่ได้รับ|มหาวิทยาลัยที่มีผู้ได้รางวัลโนเบลสูงที่สุด]] กล่าวคือ 118 รางวัล


นิสิตและคณาจารย์ของมหาวิทยาลัย จะถูกจัดให้สังกัดแต่ละวิทยาลัยแบบคณะอาศัย (College)<ref group="note">หมายถึง คณะที่เป็นที่อยู่ของนักศึกษาจากหลายสาขาวิชา นักศึกษาจะพักอาศัยกินอยู่และทบทวนวิชาเรียนในคณะอาศัย แต่การเรียนการทำวิจัยต้องทำในคณะวิชา</ref> จำนวนทั้งสิ้น 31 แห่ง โดยคละกันมาจากคณะวิชา (School) 6 คณะ โดยวิทยาลัยแต่ละแห่งอาศัยบริหารงานอย่างเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน<ref>{{cite web|url=http://www.cam.ac.uk/colleges-and-departments|title= Cambridge – Colleges and departments| accessdate=27 November 2013|publisher= University of Cambridge}}</ref> ลักษณะการบริหารเช่นนี้มีให้เห็นใน[[มหาวิทยาลัยเคนต์]] และ[[มหาวิทยาลัยเดอแรม]] อาคารต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยเป็นอาคารแทรกตัวตามร้านรวงในเมือง แทนที่จะเป็นกลุ่มอาคารในพื้นที่ของตนเองเช่นมหาวิทยาลัยยุคใหม่ อาคารเหล่านั้นบางหลังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมาก มหาวิทยาลัยจัดให้มีสำนักพิมพ์เป็นของตนเอง ซึ่งถือเป็นสำนักพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลกที่สังกัดมหาวิทยาลัย<ref>{{cite web|url=http://www.guinnessworldrecords.com/world-records/2000/oldest-printing-and-publishing-house |title=Oldest printing and publishing house |publisher=Guinnessworldrecords.com |date=22 January 2002 |accessdate=28 March 2012}}</ref><ref>{{cite book | title = Cambridge University Press, 1583–1984 | first= Michael | last = Black | pages= 328–9 | year = 1984 | isbn = 978-0-521-66497-4}}</ref> นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังมีห้องสมุดขนาดใหญ่อีกด้วย
นิสิตและคณาจารย์ของมหาวิทยาลัย จะถูกจัดให้สังกัดแต่ละวิทยาลัยแบบคณะอาศัย (College)<ref group="note">หมายถึง คณะที่เป็นที่อยู่ของนักศึกษาจากหลายสาขาวิชา นักศึกษาจะพักอาศัยกินอยู่และทบทวนวิชาเรียนในคณะอาศัย แต่การเรียนการทำวิจัยต้องทำในคณะวิชา</ref> จำนวนทั้งสิ้น 31 แห่ง โดยคละกันมาจากคณะวิชา (School) 6 คณะ โดยวิทยาลัยแต่ละแห่งอาศัยบริหารงานอย่างเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน<ref>{{cite web|url=http://www.cam.ac.uk/colleges-and-departments|title= Cambridge – Colleges and departments| accessdate=27 November 2013|publisher= University of Cambridge}}</ref> ลักษณะการบริหารเช่นนี้มีให้เห็นใน[[มหาวิทยาลัยเคนต์]] และ[[มหาวิทยาลัยเดอแรม]] อาคารต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยเป็นอาคารแทรกตัวตามร้านรวงในเมือง แทนที่จะเป็นกลุ่มอาคารในพื้นที่ของตนเองเช่นมหาวิทยาลัยยุคใหม่ อาคารเหล่านั้นบางหลังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมาก มหาวิทยาลัยจัดให้มีสำนักพิมพ์เป็นของตนเอง ซึ่งถือเป็นสำนักพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลกที่สังกัดมหาวิทยาลัย<ref>


== ประวัติ ==
== ประวัติ ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 21:22, 7 กรกฎาคม 2563

มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
ตราอาร์ม
ละติน: Universitas Cantabrigiensis
คติพจน์ละติน: Hinc Lucem Et Pocula Sacra
"[จาก]ที่แห่งนี้ [พวกเราจักได้รับ] แสงสว่างแห่งปัญญา และ วิชชาอันประเสริฐ"
คติพจน์อังกฤษ
[From] here [we receive] light and sacred draughts.
ประเภทสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ (ยกเว้นคณะอาศัยที่เป็นส่วนงานเอกชน)
สถาปนาค.ศ. 1209
ที่ตั้ง, ,
วิทยาเขตในเมือง
366,444 ตารางเมตร (36.6444 เฮกตาร์) (ไม่รวมพื้นที่ของคณะอาศัยต่าง ๆ)[1]
สี  ฟ้าหม่น[2]
เครือข่ายกลุ่มรัสเซล
EUA
กลุ่มจีห้า
LERU
IARU
เว็บไซต์http://www.cam.ac.uk/

มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (อังกฤษ: University of Cambridge)[note 1] เป็นสถาบันอุดมศึกษาขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ในสหราชอาณาจักร มีความเก่าแก่เป็นอันดับที่สองของสหราชอาณาจักร ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 1752 โดยมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งก่อนหน้านั้นคือ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด นอกจากนี้ยังเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่เป็นอันดับที่สี่ของโลกและยังเปิดดำเนินการอยู่อีกด้วย[3] มหาวิทยาลัยก่อกำเนิดจากคณาจารย์และนักวิจัยของมหาวิทยาลัยซึ่งขัดแย้งกับชาวบ้านที่เมืองออกซฟอร์ด[4] มหาวิทยาลัยเคมบริจด์และมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดมักได้รับการจัดอันดับต้น ๆ ของการจัดอันดับโดยสำนักต่าง ๆ จนมีการเรียกรวมกันว่า อ๊อกซบริดจ์ ในปีพ.ศ. 2562 มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ รั้งตำแหน่งอันดับที่สองของโลก ในบรรดามหาวิทยาลัยที่มีผู้ได้รางวัลโนเบลสูงที่สุด กล่าวคือ 118 รางวัล

นิสิตและคณาจารย์ของมหาวิทยาลัย จะถูกจัดให้สังกัดแต่ละวิทยาลัยแบบคณะอาศัย (College)[note 2] จำนวนทั้งสิ้น 31 แห่ง โดยคละกันมาจากคณะวิชา (School) 6 คณะ โดยวิทยาลัยแต่ละแห่งอาศัยบริหารงานอย่างเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน[5] ลักษณะการบริหารเช่นนี้มีให้เห็นในมหาวิทยาลัยเคนต์ และมหาวิทยาลัยเดอแรม อาคารต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยเป็นอาคารแทรกตัวตามร้านรวงในเมือง แทนที่จะเป็นกลุ่มอาคารในพื้นที่ของตนเองเช่นมหาวิทยาลัยยุคใหม่ อาคารเหล่านั้นบางหลังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมาก มหาวิทยาลัยจัดให้มีสำนักพิมพ์เป็นของตนเอง ซึ่งถือเป็นสำนักพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลกที่สังกัดมหาวิทยาลัยอ้างอิงผิดพลาด: ไม่มีการปิด </ref> สำหรับป้ายระบุ <ref>[6]

คณะศิลปศาสตร์และมนุษยศาสตร์

  • ภาควิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์และประวัติศาสตร์ศิลปะ
    • สาขาวิชาสถาปัตยกรรม
    • สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ
  • ภาควิชาเอเชียตะวันออกและตะวันออกกลางศึกษา (Asian and Middle Eastern Studies, เดิมคือภาควิชาบูรพคดีศึกษา Oriental Studies)
    • สาขาวิชาเอเชียตะวันออกศึกษา (East Asian Studies)
    • สาขาวิชาตะวันออกกลางศึกษา (Middle Eastern Studies)
  • ภาควิชาศิลปคลาสสิก (Classics)
    • พิพิธภัณฑ์โบราณคดีคลาสสิก
  • ภาควิชาเทววิทยา (Divinity)
  • ภาควิชาภาษาอังกฤษ
  • ภาควิชาภาษาสมัยใหม่และภาษายุคกลาง
    • สาขาวิชาภาษาฝรั่งเศส
    • สาขาวิชาภาษาเยอรมันและดัตช์
    • สาขาวิชาภาษาอิตาเลียน
    • สาขาวิชาสลาฟศึกษา (Slavonic studies)
    • สาขาวิชาภาษาสเปนและโปรตุเกส
    • สาขาวิชาภาษากรีกสมัยใหม่
    • สาขาวิชาภาษาลาตินใหม่ (Neo-Latin)
  • ภาควิชาดุริยศาสตร์
  • ภาควิชาปรัชญา
  • ศูนย์วิจัยศิลปศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์
  • ศูนย์ภาษา

คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

  • ภาควิชามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และรัฐศาสตร์
    • สาขาวิชาโบราณคดีและมานุษยวิทยา
      • สาขาวิชาโบราณคดี
      • สาขาวิชามานุษยวิทยาเชิงชีวภาพ
      • ศูนย์ศึกษาวิวัฒนาการมนุษย์ลีเวอร์ฮูล์ม (Leverhulme Centre for Human Evolutionary Studies)
      • สาขาวิชามานุษยวิชาเชิงสังคม
      • หน่วยศึกษามองโกเลียและเอเชียตอนใน
      • พิพิธภัณฑ์โบราณคดีและมานุษยวิทยา
      • สถาบันวิจัยโบราณคดีแมกโดนัลด์ (McDonald Institute for Archaeological Research)
    • สาขาวิชารัฐศาสตร์และนานาชาติศึกษา
      • ศูนย์เพศศึกษา
      • ศูนย์แอฟริกันศึกษา
      • ศูนย์ศึกษาการพัฒนา
      • ศูนย์ลาตินอเมริกันศึกษา
      • ศูนย์เอเชียใต้ศึกษา
    • สาขาวิชาสังคมวิทยา
  • ภาควิชาเศรษฐศาสตร์
  • ภาควิชาครุศาสตร์
  • ภาควิชาประวัติศาสตร์
  • สาขาวิชาประวัติและปรัชญาวิทยาศาสตร์
    • พิพิธภัณฑ์ประวัติวิทยาศาสตร์วิพเพิล (Whipple Museum of the History of Science)
  • ภาควิชานิติศาสตร์
    • ศูนย์กฎหมายระหว่างประเทศเลาเทอร์พัคท์ (Lauterpacht Centre for International Law)
  • สถาบันอาชญาวิทยา
  • สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ที่ดิน

คณะวิทยาศาสตร์ชีวภาพ

  • ภาควิชาชีววิทยา
    • สาขาวิชาชีวเคมี
    • ศูนย์วิจัยครอบครัว
    • สาขาวิชาพันธุศาสตร์
    • สาขาวิชาพยาธิวิทยา
    • สาขาวิชาเภสัชวิทยา
    • สาขาวิชาสรีรวิทยา การพัฒนา และประสาทศาสตร์
    • สาขาวิชาพืชศาสตร์
      • สวนพฤกษศาสตร์
    • สาขาวิชาจิตวิทยา
      • ศูนย์เจตมิติ (psychometrics)
    • สาขาวิชาสัตววิทยา
  • ภาควิชาสัตวแพทยศาสตร์
    • สาขาวิชาสัตวแพทยศาสตร์
  • ศูนย์วิจัยเซลล์ต้นกำเนิดเวลคัมทรัสต์
  • สถาบันเกอร์ดอนว่าด้วยการวิจัยมะเร็ง
  • ศูนย์ชีววิทยาระบบเคมบริดจ์
  • ห้องปฏิบัติการเซนสบรี (Sainsbury Laboratory)

คณะวิทยาศาสตร์กายภาพ

  • ภาควิชาโลกศาสตร์และภูมิศาสตร์
    • สาขาวิชาโลกศาสตร์
      • พิพิธภัณฑ์โลกศาสตร์เซดจ์วิก (Sedgwick Museum of Earth Sciences)
    • สาขาวิชาภูมิศาสตร์
      • ศูนย์วิจัยขั้วโลกสกอตต์
      • พิพิธภัณฑ์ขั้วโลก
  • ภาควิชาคณิตศาสตร์
    • สาขาวิชาคณิตศาสตร์ประยุกต์และฟิสิกส์ทฤษฎี
    • สาขาวิชาคณิตศาสตร์บริสุทธิ์และสถิติเชิงคณิตศาสตร์
      • ห้องปฏิบัติการสถิติ
  • ภาควิชาฟิสิกส์และเคมี
    • สาขาวิชาดาราศาสตร์
    • สาขาวิชาเคมี
    • สาขาวิชาวัสดุศาสตร์และโลหวิทยา
    • สาขาวิชาฟิสิกส์
  • สถาบันคณิตศาสตร์ไอแซก นิวตัน

คณะแพทยศาสตร์

  • ภาควิชาชีวเคมีคลินิก
    • ห้องปฏิบัติการวิจัยเมทาบอลิก
  • ภาควิชาประสาทศาสตร์คลินิก
    • ศูนย์เคมบริดจ์ว่าด้วยการซ่อมแซมสมอง
    • หน่วยวิจัยประสาทวิทยา
    • สาขาวิชาการผ่าตัดประสาท
    • ศูนย์วิจัยการถ่ายภาพสมองวูล์ฟสัน (Wolfson Brain Imaging Centre)
  • ภาควิชาโลหิตวิทยา
    • สาขาวิชาเวชศาสตร์การถ่ายเลือด
  • ภาควิชาพันธุเวชศาสตร์
  • ภาควิชาแพทยศาสตร์
    • สาขาวิชาวิสัญญีวิทยา
    • สาขาวิชาเภสัชวิทยาคลินิก
    • สาขาวิชาวักกเวชศาสตร์ (renal medicine)
  • ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา
  • ภาควิชาวิทยาเนื้องอก
  • ภาควิชาจิตเวชศาสตร์
    • หน่วยวิจัยด้านผังสมอง
    • สาขาวิชาจิตเวชศาสตร์เด็ก
  • ภาควิชาสาธารณสุขและการดูแลปฐมภูมิ
    • หน่วยวิจัยการดูแลปฐมภูมิ
    • สาขาวิชาเวชศาสตร์ผู้ชรา (gerontology)
  • ภาควิชารังสีวิทยา
  • ภาควิชาศัลยกรรม
  • สถาบันวิจัยแพทยศาสตร์เคมบริดจ์

คณะเทคโนโลยี

  • ภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์
    • สาขาวิชาพลังงาน กลศาสตร์ของไหล และเครื่องกลเทอร์โบ
    • สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า
    • สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล วัสดุ และการออกแบบ
    • สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา
    • สาขาวิชาการผลิตและจัดการ
    • สาขาวิชาวิศวกรรมสารสนเทศ
  • ภาควิชาบริหารธุรกิจและการจัดการ (หรือ วิทยาลัยธุรกิจเคมบริดจ์จัดจ์ (Cambridge Judge Business School))
    • ศูนย์วิจัยธุรกิจ
  • ภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี
    • ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์
  • ภาควิชาวิศวกรรมเคมีและชีวเทคโนโลยี
  • สถาบันภาวะผู้นำอย่างยั่งยืน

ศูนย์ไม่สังกัดคณะ

  • ศูนย์วิจัยเชิงประยุกต์ว่าด้วยเทคโนโลยีการศึกษา
  • ศูนย์อิสลามศึกษา
  • สถาบันการศึกษาต่อเนื่อง
  • หน่วยบริการสนเทศมหาวิทยาลัย
  • หอสมุด

คอลเลจ/วิทยาลัยแบบคณะอาศัย

มหาวิทยาลัยแบ่งออกเป็น 31 คอลเลจ หรือวิทยาลัยแบบคณะอาศัย (college) แต่ละวิทยาลัยจะมีหน้าที่หลักในการอำนวยความสะดวกที่พักและอาหารให้นิสิตทุกระดับ[7] รวมทั้งจัดการเรียนการสอนเสริม ติวแบบตัวต่อตัวหรือกลุ่มเล็ก ๆ (Supervisions/ ส่วนทางออกซฟอร์ดเรียก Tutorials) กับรับนิสิตปริญญาตรีด้วย นิสิตทุกคนและอาจารย์ส่วนใหญ่จะมีวิทยาลัยสังกัด ภายในวิทยาลัยจะเป็นเขตที่พักอาศัยและพื้นที่เรียนรู้ร่วมกันของนิสิต โดยคละกันมาจากแต่ละคณะวิชา ทั้งนี้บางคณะอาจจะเลือกนิสิตอย่างกว้าง ๆ กระจายไปในแต่ละสาขา เช่น วิทยาลัยเซนต์แคเทอรีน[8] บางวิทยาลัยก็เลือกให้มีสาขาเอนเอียงไปในทางใดทางหนึ่ง เช่น วิทยาลัยเชอร์ชิลล์ จะเลือกนิสิตเน้นสาขาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์[9]

ในจำนวน 31 วิทยาลัยนี้ มีวิทยาลัยเมอร์เรย์ เอ็ดเวิร์ด (Murray Edward College) วิทยาลัยนิวแนม (Newnham College) วิทยาลัยลูซี คาเวนดิช (Lucy Cavendish College) เป็นคณะหญิงล้วน ส่วนวิทยาลัยที่เหลือเป็นแบบสหศึกษา (รับทั้งนิสิตชายและหญิง) บางวิทยาลัยในจำนวนนี้เคยมีแต่เฉพาะนิสิตชาย ได้แก่ วิทยาลัยเชอร์ชิลล์ (Churchill College) วิทยาลัยแคลร์ และราชวิทยาลัยคิงส์ (King's College) ทั้งสามวิทยาลัยดังกล่าวเริ่มรับนิสิตหญิงในปี พ.ศ. 2515 ซึ่งจากการนี้เอง 16 ปีต่อมา วิทยาลัยมอดลิน (Magdalene College)[note 3][10] จึงได้เป็นวิทยาลัยชายล้วนแห่งสุดท้ายของมหาวิทยาลัย[11]

วิทยาลัยนอกจากเป็นที่อาศัยศึกษาของนิสิตแล้ว ยังแสดงถึงทัศนะทางการเมืองและสังคมของนิสิตในวิทยาลัยนั้นด้วย อาทิ วิทยาลัยคิงส์ นิสิตมักมีแนวคิดหัวก้าวหน้า (ตรงข้ามกับแนวคิดอนุรักษนิยม)[12] วิทยาลัยโรบินสันและวิทยาลัยเชอร์ชิลล์ มีงานด้านการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม[13]

วิทยาลัยแคลร์ฮอลล์ (Clare Hall) วิทยาลัยดาร์วิน (Darwin College) เป็นสองวิทยาลัยที่รับเฉพาะนิสิตระดับบัณฑิตศึกษา นอกจากนี้ วิทยาลัยฮิวก์ฮอลล์ (Hugh Hall) วิทยาลัยลูซี คาเวนดิช วิทยาลัยเซนต์เอดมุนด์ (St Edmunds College) และวิทยาลัยวูล์ฟสัน จะรับเฉพาะนิสิตผู้ใหญ่ซึ่งมีอายุ 21 ปีขึ้นไป ทั้งนี้วิทยาลัยที่เหลือมีนโยบายรับนิสิตทุกคณะวิชา ทุกเพศ ทุกวัย

วิทยาลัยตรีนิตี้ (Trinity College) จัดเป็นวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดของระบบอ๊อกบริดจ์ และได้รับการจัดอันดับทางวิชาการสุงที่สุดของเคมบริดจ์ติดต่อกันมาหลายปีกระทั่งปัจจุบัน มีศิษย์เก่าที่ได้รับรางวัลโนเบลสูงถึง 32 คน

ราชวิทยาลัยควีนส์ หรือ สมเด็จพระราชินีนาถราชวิทยาลัย หรือ ควีนส์คอลเลจ (Queens College) เป็นหนึ่งในบรรดาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดและใหญ่ที่สุดของเคมบริดจ์ และเป็นหนึ่งในวิทยาลัยชั้นนำด้านวิชาการในระดับสูงสุดห้าอันดับแรกของเคมบริดจ์[14] มีศิษย์เก่าที่ชื่อเสียงทั้งเชื้อพระวงศ์, ขุนนาง, นักการศาสนา, นักการเมือง, นักดาราศาสตร์ และอื่น ๆ ก่อตั้งเมื่อปี 1444 โดยพระนางมาร์กาเร็ตแห่งอองชู สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ราชวิทยาลัยควีนส์ เป็นวิทยาลัยเดียวของเคมบริดจ์ ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษหลายพระองค์ ทรงรับไว้ในพระบรมราชินูปถัมภ์ โดยปัจจุบัน สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับ ราชวิทยาลัยควีนส์ ไว้ในพระบรมราชินูปถัมภ์เช่นกัน นอกจากนี้ราชวิทยาลัยควีนส์ ทั้งยังเป็นที่ตั้งของสะพานคณิตศาสตร์ (Mathematical Bridge) ที่มีชื่อเสียงเพียงแห่งเดียวของเคมบริดจ์อีกด้วย

วิทยาลัยแต่ละแห่งกำหนดค่าที่พัก ค่าอาหารแตกต่างกันไป โดยไม่ขึ้นกับทางมหาวิทยาลัย[15][16] รวมทั้งมีเงินลงทุนเพื่อการศึกษาที่แตกต่างมากน้อยไปด้วย[17] สำหรับเมืองไทยระบบ "เวียง" ของมหาวิทยาลัยพะเยา มีลักษณะร่วมบางประการ คล้ายกับระบบคอลเลจ ของอ๊อกบริดจ์

มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ยังคงเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยไม่กี่แห่งของสหราชอาณาจักร ที่ยังคงรักษาประเพณีการฝากตัวเป็นศิษย์และการรับเข้าสู่การเป็นสมาชิกของคอลเลจ (matriculation) ซึ่งแต่ละคอลเลจจะจัดพิธีนี้ขึ้นในช่วงก่อนเปิดการศึกษาในแต่ละปี โดยนิสิตทั้งระดับปริญญาตรีและนิสิตบัณฑิตศึกษาทุกคนต้องสวมเสื้อคลุม (gown) คล้ายในเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ เข้าร่วมกิจกรรมอันสำคัญนี้ ถึงจะถือว่า ได้เข้าสู่สมาชิกภาพของคอลเลจอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี สง่างาม อย่างสมบูรณ์ และสถานะภาพความเป็นสมาชิกอันทรงเกียรตินี้ จะติดตัวนิสิตไปตลอดชีวิต ยกเว้นจะมีการย้ายวิทยาลัยในช่วงเปลี่ยนระดับการศึกษา

รายนามวิทยาลัยในสังกัดมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์มีดังนี้

(ตัวเลขข้างท้าย คือปี ค.ศ. ที่ก่อตั้ง)

ในจำนวนวิทยาลัยทั้งหมดนี้ มี 3 วิทยาลัยที่รับเฉพาะนิสิตหญิงเท่านั้น (นิวแน่ม คอลเลจ, ลูซี่ คาเวนดิช คอลเลจ, และ เมอร์เรย์ เอ็ดเวิร์ดส์) และ 4 วิทยาลัยที่รับเฉพาะนิสิตระดับบัณฑิตศึกษา (แคลร์ ฮอลล์, ดาร์วิน คอลเลจ, วูลฟ์สัน คอลเลจ, และ เซนท์ เอดมันด์ส คอลเลจ)

เกียรติภูมิของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์

ภาพ King's College Chapel ใจกลางเมืองเคมบริดจ์

มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้รับการจัดอันดับสถาบันอุดมศึกษาจากหลายหน่วยงาน เช่น Complete, Guardian, Times/Sunday Times ให้เคมบริด์จเป็น มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดอันดับหนึ่ง ของสหราชอาณาจักร ติดต่อกันมาหลายปี กระทั่งถึงปัจจุบันนี้ (พ.ศ. 2562) และตามมาด้วยมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ดที่รั้งอันดับที่สอง

มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เป็นหนึ่งในหลาย ๆ สถาบันการศึกษาในโลกที่ได้รับการจับตามอง ระหว่างที่ประเทศโลกเสรีพยายามพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อป้องกันประเทศ เมื่อเกิดภัยคุกคามจากเยอรมนี ซึ่งมี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นผู้นำ ระหว่างนี้ มหาวิทยาลัยหลายแห่ง มีการเคลื่อนไหวทางวิชาการอย่างคึกคัก เพราะรัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณการวิจัยเป็นจำนวนมหาศาล อาทิเช่น มหาวิทยาลัยปารีส มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด มหาวิทยาลัยมอสโกสเตท มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยเยล สถาบันเอ็มไอที ฯลฯ มหาวิทยาลัยเหล่านี้จึงแข่งขันกันอยู่ในที บางทีก็มีการดึงเอาคณาจารย์จากกันไปโดยเพิ่มเงินเดือนให้สูงกว่าก็มี

เมื่อเทียบกับหลายมหาวิทยาลัยในโลก เคมบริดจ์ได้เปรียบทางวิทยาศาสตร์อยู่มาก เพราะรากฐานทางวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนี้เข้มแข็งมาช้านาน ดังนั้น ตั้งแต่อดีตจวบจนยุคปัจจุบัน นอกจากจะได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นเยี่ยมในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของอังกฤษแล้ว ยังเป็นมหาวิทยาลัยลัยที่มีผู้ได้รางวัลโนเบลสูงที่สุดในโลก กล่าวคือมีถึง 81 รางวัล เพราะความมีชื่อเสียงในด้านการวิจัยนี้เอง ในระยะหลัง เคมบริดจ์ได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนด้านเงินทุนจากหลายหน่วยงาน เช่น EPSRC และ Gates Foundation ทำให้เคมบริดจ์มีสถานะการเงินที่ดีกว่ามหาวิทยาลัยในอังกฤษอื่น ๆ หลายแห่ง

ที่จริงแล้ว มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกที่จัดตั้งสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย แต่บังเอิญว่างานวิจัยส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ซึ่งสมัยก่อนนั้น ยังไม่มีการนำไปใช้เชิงพาณิชย์เท่าใดนัก จึงขยายตัวสู้สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดซึ่งเกิดทีหลัง แต่มีปริมาณงานวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์มากกว่าไม่ได้ แต่ระยะหลัง สำนักพิมพ์ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ก็เริ่มพัฒนาขึ้นอย่างมาก เห็นได้จากปริมาณงานทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ซึ่งมีเพิ่มขึ้น

ในปี พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) วารสาร The Times Higher Education Supplement ได้จัดอันดับมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์มีคะแนนรวมเป็นอันดับ 3 ของโลก โดยแบ่งเป็น: อันดับ 1 ของยุโรปในคะแนนรวม, เป็นอันดับ 1 ของโลกด้านวิทยาศาสตร์, เป็นอันดับ 6 ของโลกทางด้านเทคโนโลยี, อันดับ 2 ของโลกทางด้านชีวเวช, อันดับ 8 ของโลกด้านสังคมศาสตร์ และ อันดับ 3 ของโลกด้านศิลปศาสตร์และมนุษยศาสตร์

ในปี พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006), ปี พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007), และปี พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) วารสาร The Times Higher Education Supplement ได้จัดอันดับมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ให้มีคะแนนรวมเป็นอันดับ 2 ของโลก

ศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์

มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้ผลิตนักวิจัย ได้รางวัลโนเบล 118 รางวัล ซึ่งจัดว่ามากเป็นอันดับสองโลกรองจากฮาร์วาร์ด ซึ่งส่วนมากเป็นรางวัลด้านวิทยาศาสตร์ เพราะมหาวิทยาลัยเน้นหนักงานวิจัยทางนี้มากที่สุด อย่างไรก็ดีงานวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ก็มีความโดดเด่นระดับต้นของโลกเช่นกัน ศิษย์เก่าชาวต่างประเทศที่มีชื่อเสียงก็มีจำนวนมาก

ศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงชาวไทย

ดูเพิ่ม

รายชื่อมหาวิทยาลัยที่ใช้ระบบวิทยาลัยแบบคณะอาศัย

หมายเหตุ

  1. ใช้ชื่อทางการว่า นายกสภา อนุสาสก และคณาจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (The Chancellor, Masters, and Scholars of the University of Cambridge)
  2. หมายถึง คณะที่เป็นที่อยู่ของนักศึกษาจากหลายสาขาวิชา นักศึกษาจะพักอาศัยกินอยู่และทบทวนวิชาเรียนในคณะอาศัย แต่การเรียนการทำวิจัยต้องทำในคณะวิชา
  3. เป็นการจงใจอ่านออกเสียงให้ผิด เพื่อระลึกถึงชื่อภาษาลาตินของลอร์ดมอดลีย์ คือ Maudleyn และมิให้สับสนกับวิทยาลัยแมกดาเลน (Magdalen College) ซึ่งเป็นวิทยาลัยแบบคณะอาศัยของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด

อ้างอิง

  1. "University of Cambridge—Facts and Figures January 2013" (PDF).
  2. "Identity Guidelines – Colour" (PDF). University of Cambridge Office of External Affairs and Communications. สืบค้นเมื่อ 28 March 2008.
  3. Sager, Peter (2005). Oxford and Cambridge: An Uncommon History.
  4. "A Brief History: Early records". University of Cambridge. สืบค้นเมื่อ 17 August 2008.
  5. "Cambridge – Colleges and departments". University of Cambridge. สืบค้นเมื่อ 27 November 2013.
  6. "University of Cambridge: Colleges and departments". สืบค้นเมื่อ 15 February 2015.
  7. "Role of the Colleges". University of Cambridge. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-23. สืบค้นเมื่อ 2008-03-27.
  8. "About St. Catharine's College". University of Cambridge. สืบค้นเมื่อ 8 September 2008.
  9. "Information about Churchill College". Churchill College. สืบค้นเมื่อ 7 January 2008.
  10. "Why 'Maudlyn'?". Magdalene College. สืบค้นเมื่อ 16 February 2015.
  11. O'Grady, Jane (13 June 2003). "Obituary – Professor Sir Bernard Williams". The Guardian. UK. สืบค้นเมื่อ 8 May 2009.
  12. "Alternative Prospectus" (PDF). Cambridge University Students' Union. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 27 March 2009. สืบค้นเมื่อ 8 September 2008.
  13. Drage, Mark (7 March 2008). "Survey ranks colleges by green credentials". Varsity. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 September 2008. สืบค้นเมื่อ 9 May 2015.
  14. https://en.wikipedia.org/wiki/Tompkins_Table
  15. "Homerton College Accommodation Guide". Homerton College. สืบค้นเมื่อ 13 March 2013.
  16. "Trinity College Accommodation Guide". Trinity College. สืบค้นเมื่อ 13 March 2009.
  17. "Analysis: Cambridge Colleges – £20,000 difference in education spending". The Cambridge Student. สืบค้นเมื่อ 25 April 2013.

แหล่งข้อมูลอื่น