ข้ามไปเนื้อหา

คิงส์คอลเลจลอนดอน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
คิงส์คอลเลจลอนดอน
King's College London
ตราประจำมหาวิทยาลัย
คติพจน์Sancte et Sapienter
คติพจน์อังกฤษ
With Holiness and Wisdom
(ด้วยความศักดิ์สิทธิ์และปัญญา)
ประเภทมหาวิทยาลัยวิจัยของรัฐ
สถาปนา1829; 196 ปีที่แล้ว (1829)
สังกัดการศึกษาUniversity of London
Russell Group (กลุ่มรัสเซล)
Golden Triangle
อธิการบดีเจ้าหญิงแอนน์ พระราชกุมารี
(ในฐานะอธิการบดีของมหาวิทยาลัยลอนดอน)
อาจารย์ใหญ่เอ็ดเวิร์ด เบิร์น
ที่ตั้ง
วิทยาเขตในเขตเมืองรวมทั้งสิ้น 5 แห่ง ได้แก่
  • สแตรนด์
  • วอเตอร์ลู
  • กายส์
  • เซนต์โทมัส
  • เดนมาร์กฮิลล์
สี
           
Blue & King's red[1]
มาสคอต
Reggie the Lion
เว็บไซต์www.kcl.ac.uk
Olive spiral atop green pinstripes over white
แผนที่
ตราสัญลักษณ์มหาวิทยาลัย
ตราสัญลักษณ์ดั้งเดิมของวิทยาลัยใช้ในปี ค.ศ. 1829-1985

คิงส์คอลเลจลอนดอน (อังกฤษ: King's College London; King's; KCL) หรือชื่อภาษาไทยคือ ราชวิทยาลัยแห่งลอนดอน เป็นมหาวิทยาลัยวิจัยของรัฐ (Public Research University) ตั้งอยู่ ณ ใจกลางของกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร และเป็นหนึ่งในสถาบันอุดมศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศอังกฤษ[2] ก่อตั้งโดยตราตั้ง (Royal Charter) ในปี ค.ศ. 1829 ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 4 (พระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮันโนเฟอร์) และดยุกที่ 1 แห่งเวลลิงตัน (นายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักร) ปัจจุบันมีบุคลากรและศิษย์เก่าจากคิงส์คอลเลจลอนดอนได้รับรางวัลโนเบลไปแล้วจำนวน 14 คน[3]

นับตั้งแต่การก่อตั้งมหาวิทยาลัยเป็นต้นมา คิงส์คอลเลจลอนดอนถือว่ามีบทบาทสำคัญมากในการพัฒนาชีวิตในยุคปัจจุบัน เช่น การพยาบาลสมัยใหม่ของโลก การค้นพบโครงสร้างของ DNA การค้นพบไวรัสตับอักเสบซี และการวิจัยด้าน IVF (เด็กหลอดแก้ว) เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันมหาวิทยาลัยยังเป็นศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการเรียนการสอนด้านแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ พยาบาลศาสตร์ และความเป็นมืออาชีพทางด้านสาธารณสุขศาสตร์ของยุโรปและสหราชอาณาจักร โดยคิงส์คอลเลจลอนดอนมีศูนย์การวิจัยด้านแพทยศาสตร์ถึง 6 แห่ง ซึ่งนับว่ามากที่สุดในสหราชอาณาจักร[4] ทั้งนี้สำหรับการจัดอันดับโลก QS World University Ranking 2025 สาขาพยาบาลศาสตร์ของที่นี่ได้ถูกจัดอันดับเป็นที่ 1 ของโลก สาขาทันตแพทยศาสตร์ถูกจัดอันดับเป็นที่ 4 ของโลก สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพและการแพทย์ถูกจัดอันดับเป็นที่ 11 ของโลก และสาขาแพทยศาสตร์ถูกจัดอันดับเป็นที่ 15 ของโลก

ทางด้านสายมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คิงส์คอลเลจก็มีบทบาทสำคัญในระดับโลก ในการเป็นสถาบันที่พัฒนาการเรียน การสอน และการทำวิจัยในหลากหลายสาขาวิชา โดยสาขาปรัชญาก็ได้ถูกจัดอันดับเป็น Top 10 ของโลก สาขารัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์และวรรณคดี ก็ได้ถูกจัดอันดับเป็น Top 15 ของโลก และสาขานิเทศศาสตร์และจิตวิทยาก็ได้ถูกจัดอันดับเป็น Top 20 ของโลก นอกจากนี้คิงส์คอลเลจลอนดอนยังมีจุดเด่นทางด้านสาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง โดยมี Department of Political Economy เป็นที่แรกและที่เดียวในสหราชอาณาจักร โดยไม่ได้ทำการแยกสาขาวิชาการเมืองและเศรษฐศาสตร์ออกจากกัน เหมือนที่ทำกันโดยทั่วไปในคณะรัฐศาสตร์และคณะเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยอื่น ๆ รวมทั้งยังมีปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง (PhD in Political Economy) เป็นที่แรกในประเทศ และคิงส์คอลเลจลอนดอนก็ถือเป็นหนึ่งในสถาบันที่สร้างนักวิชาการและงานวิจัยทางเศรษฐศาสตร์การเมืองที่มีชื่อเสียงสุดแห่งหนึ่งในยุโรปและระดับโลก รวมไปถึงมหาวิทยาลัยแห่งนี้ยังมี Department of Digital Humanities ที่เป็นที่แรกของสหราชอาณาจักร ที่นำเอาการศึกษามนุษยศาสตร์มารวมกันกับด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีดิจิทัลถือเป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลก และมักถูกมองว่าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกที่สำคัญที่สุดในการก่อตั้งสาขาวิชานี้ และภาควิชานี้ยังเป็นที่แรกในประเทศที่มีปริญญาเอกสาขามนุษยศาสตร์ดิจิทัล (PhD in Digital Humanities)

นอกจากนี้ Department of International Development ของทางมหาวิทยาลัยเองก็เป็นศูนย์วิจัยแห่งแรกในสหราชอาณาจักร ที่เป็นแหล่งศึกษาที่มุ่งเน้นด้านพัฒนศาสตร์ หรือการพัฒนาระหว่างประเทศที่เน้นเจาะไปที่เศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Economies; Emerging Markets)โดยเฉพาะ โดยมีบุคลากรที่ก่อตั้งภาควิชาเป็นประธานของ European Association of Development Research and Training Institutes (EADI) และสำหรับการศึกษาในด้านของการต่างประเทศ ความมั่นคง สงคราม การทหาร กลยุทธ์ หน่วยข่าวกรอง และการก่อการร้าย Department of War Studies ของทางมหาวิทยาลัยก็ถือได้ว่าเป็นภาควิชาที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในระดับโลกสำหรับสายงานนี้ คือในแวดวงวิชาการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ถ้าพูดถึงเรื่องสงคราม ความมั่นคง จะต้องนึกที่คิงส์คอลเลจลอนดอนก่อนเป็นที่แรก โดยภาควิชานี้ได้ทำงานใกล้ชิดกับรัฐบาล กองทัพ องค์กรระหว่างประเทศ มีศิษย์เก่ามากมายจากหลากหลายประเทศที่เป็นทั้งอดีตประธานาธิบดี ทหารชั้นผู้ใหญ่ นักการทูต และนักการเมือง นอกจากนี้ก็ถือได้ว่าเป็น Think Tank ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในด้านการต่างประเทศและความมั่นคงของสหราชอาณาจักร โดยมีนายกรัฐมนตรี อาทิ ริชี ซูแน็ก ในปี ค.ศ. 2023[5] และเคียร์ สตาร์เมอร์ ในปี ค.ศ. 2025[6] ได้เข้าร่วมประชุม The London Defence Conference ที่จัดขึ้นโดยทางคิงส์คอลเลจลอนดอน รวมไปในด้านของอาณาบริเวณศึกษา ศูนย์ Lau China Institute ของคิงส์คอลเลจก็ถือได้ว่าเป็นศูนย์จีนศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร

ทั้งนี้คิงส์คอลเลจลอนดอนยังเป็นสมาชิกของกลุ่ม The Golden Triangle (หรือชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่าคือ "Ivy League ของสหราชอาณาจักร") ซึ่งเป็นการรวมตัวของมหาวิทยาลัยชั้นนำ 6 แห่งของสหราชอาณาจักรจากเมืองเคมบริดจ์, ออกซฟอร์ด และ ลอนดอน อันได้แก่ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (University of Oxford), มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (University of Cambridge), อิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน (Imperial College London), ยูนิเวอร์ซิตี้คอลลิจลันเดิน (UCL), คิงส์คอลเลจลอนดอน (King's College London) และวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน (London School of Economics and Political Science)[7][8]

ใน QS World University Rankings 2026 ได้จัดอันดับคิงส์คอลเลจให้เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกอันดับที่ 31 อันดับที่ 9 ของทวีปยุโรป และอันดับที่ 5 ของสหราชอาณาจักร[9] และเมื่อปี ค.ศ. 2015 คิงส์คอลเลจลอนดอนได้ถูกจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยอันดับที่ 16 ของโลก ที่ 6 ของทวีปยุโรป และที่ 5 ของสหราชอาณาจักร ซึ่งถือได้ว่าเป็นทศวรรษที่รุ่งเรืองของคิงส์คอลเลจลอนดอน[10] ก่อนที่อันดับจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในภายหลัง จากผลกระทบของการระบาดของโรคโควิด-19[11] ทั้งนี้ทั้งนั้นคิงส์คอลเลจลอนดอนก็ยังคงถูกจัดให้เป็น 1 ใน 10 มหาวิทยาลัยที่เข้าศึกษาต่อยากที่สุดในสหราชอาณาจักร[12]

ปัจจุบัน อธิการบดีของคิงส์คอลเลจลอนดอน คือ เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ พระวรราชกุมารี (The Princess Royal) พระราชธิดาในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 กล่าวคือ พระองค์ทรงมีฐานะเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยลอนดอน (Chancellor of the University of London) โดยมีศาสตราจารย์ เอ็ดเวิร์ด เบิร์น (Edward Byrne) ดำรงตำแหน่งเป็นอธิการบดีและอาจารย์ใหญ่ (President and Principal) ตั้งแต่เดือนกันยายน ค.ศ. 2014 เป็นต้นมา[13]

ประวัติ

[แก้]

คิงส์คอลเลจลอนดอน ก่อตั้งอย่างเป็นทางการโดยตราตั้ง (Royal Charter) เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1829 โดยสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 4 (King George IV) และดยุกแห่งเวลลิงตัน (Duke of Wellington)[14] กล่าวได้ว่า คิงส์คอลเลจลอนดอนเป็นมหาวิทยาลัยที่มีความเก่าแก่มากที่สุดเป็นลำดับที่ 4 ของประเทศอังกฤษ[15] King's ถือเป็นหนึ่งในสองมหาวิทยาลัย อีกหนึ่งคือ ยูนิเวอร์ซิตีคอลลิจลันเดิน (UCL) ที่ร่วมกันก่อตั้งและสถาปนามหาวิทยาลัยลอนดอนในวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1836[16]

การก่อตั้ง

[แก้]

King's College London ถือกำเนิดขึ้นจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางศาสนา โดยในปี ค.ศ. 1826 University College London (UCL) หรือ ยูนิเวอร์ซิตีคอลลิจลันเดิน ได้ถูกก่อตั้งขึ้นให้เป็นมหาวิทยาลัยฆราวาส จากกลุ่มผู้ยึดมั่นในประโยชน์นิยม (Utilitarianism), ชาวยิว (Jews) และกลุ่มลัทธินอกรีต (Nonconformists) กล่าวคือเป็นสถานศึกษาที่จัดตั้งขึ้นโดยไม่นำเรื่องศาสนามาเกี่ยวข้อง โดยมักถูกสังคมตราหน้าว่าเป็น "สถาบันไร้พระเจ้า" จุดประสงค์ของการก่อตั้งเช่นนี้ ก็เพื่อต่อต้านประเพณีการศึกษาของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดและมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในแง่ที่เป็นมหาลัยของศาสนจักร กล่าวคือมหาวิทยาลัยเหล่านี้ เป็นของชนชั้นนำชาวแองกลิกันเท่านั้น หากใครเกิดเป็นคาทอลิก ยิว หรือลัทธินอกรีตก็จะหมดสิทธิ์ในการเข้าเรียนหรือรับปริญญา นอกจากนี้ยูนิเวอร์ซิตีคอลลิจลันเดินยังเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในกรุงลอนดอน

ทว่าในสามปีต่อมา มหาลัยวิทยาลัยขั้วตรงข้ามจึงถูกจัดตั้งขึ้นมา เพื่อเป็นการตอบโต้เชิงอุดมการณ์ทางศาสนากับยูนิเวอร์ซิตีคอลลิจลันเดินและคานอำนาจ โดยในปี ค.ศ. 1829 ได้รับพระบรมราชานุญาตจากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 4 ให้ใช้ชื่อ King's College, London เป็นมหาวิทยาลัยระดับอุดมศึกษาที่ให้ความรู้ในทางโลก แต่ยังคงยึดมั่นในหลักศีลธรรมและศาสนาเป็นสำคัญ โดยถือว่าเป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งที่สองของกรุงลอนดอน[17] ซึ่งนอกจากนี้แล้ว จากการถือกำเนิดขึ้นมา King's ยังเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาแรก ๆ ในบรรดาสถาบันที่เกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 อันเป็นผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่ในอังกฤษภายหลังสงครามนโปเลียน[18]

ในช่วงแรกเริ่ม King's ได้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนได้แก่ แผนกนักศึกษา (Senior Department) ซึ่งสอนเนื้อหาระดับอุดมศึกษา (มหาวิทยาลัย) และแผนกนักเรียน (Junior Department) ซึ่งภายหลังได้ยกระดับเป็น King's College School, Wimbledon มีสถานะเป็นโรงเรียนในเครือของมหาวิทยาลัย มีโครงสร้างคล้ายโรงเรียนสาธิต ซึ่งปัจจุบันได้แยกเป็นอิสระจากมหาวิทยาลัยแล้ว[19] แต่ยังคงมีกรรมการบริหารของโรงเรียนบางส่วนที่เป็นศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยอยู่ และปัจจุบันก็มีการมาตั้งโรงเรียนสาขาในประเทศไทย โดยนำโมเดลต้นแบบมาจากโรงเรียน King's College School, Wimbledon โดยใช้ชื่อว่า King’s College International School Bangkok[20]

ในส่วนของการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษาในช่วงแรกของการก่อตั้งนั้นแบ่งออกเป็นสามหลักสูตรอันได้แก่

  • หลักสูตรศึกษาทั่วไป ได้แก่ ภาษาโบราณ, คณิตศาสตร์, วรรณกรรม, และประวัติศาสตร์
  • หลักสูตรการแพทย์
  • กลุ่มหลักสูตรสหวิทยาการ อันได้แก่ กฎหมาย เศรษฐศาสตร์และการเมือง และภาษาสมัยใหม่[17]

ก่อตั้งและเข้าร่วมสังกัดมหาวิทยาลัยลอนดอน (University of London)

[แก้]
ครุยวิทยฐานะใหม่ของวิทยาลัย ออกแบบโดยวิเวียน เวสต์วูด (สีเหลือง : คณะสังคมศาสตร์และนโยบายสาธารณะ)

เป็นเวลาเกือบ 7 ปีของความขัดแย้งทางอุดการณ์ทางศาสนาของสองมหาวิทยาลัยแห่งแรกในกรุงลอนดอนนี้ ทำให้บรรยากาศในสังคมลอนดอนตึงเครียดอย่างมาก ซึ่งเหตุการณ์บานปลายจนเกิดการดวลปืนกันของดยุกแห่งเวลลิงตัน (Duke of Wellington) ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษในขณะนั้น และเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของการก่อตั้งคิงส์คอลเลจลอนดอน ปะทะกับเอิร์ลแห่งวินชิลซี (The Earl of Winchilsea) ขุนนางฝ่ายแองกลิกันสายอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง ผู้เขียนจดหมายเปิดผนึกโจมตีเวลลิงตัน โดยกล่าวหาว่า เวลลิงตันใช้การสนับสนุนการก่อตั้งคิงส์คอลเลจ (ซึ่งเป็นสถาบันแองกลิกัน) เป็นหน้ากากเพื่อปิดบังแผนการร้ายที่จะสนับสนุนพวกคาทอลิก อันเนื่องมาจากตอนนั้นดยุกแห่งเวลลิงตันกำลังผลักดันกฎหมาย Catholic Emancipation Act เพื่อให้สิทธิ์ทางการเมืองแก่ชาวคาทอลิก ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มากในยุคนั้น เพราะว่าคาทอลิกไม่เพียงแต่เป็นคนนอกรีต แต่ยังถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ในการที่คาทอลิกจะเข้ามามีอำนาจในรัฐสภาและทำลายรัฐธรรมนูญของโปรเตสแตนต์ (หรือของทั้งคนอังกฤษนั่นเอง) เอิร์ลแห่งวินชิลซีอ้างว่าโกรธมากที่เวลลิงตัน (ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นพวกเดียวกัน) กำลังหักหลังอุดมการณ์แองกลิกันไปสนับสนุนคาทอลิก เมื่อถึงเวลาดวลปืน ดยุกแห่งเวลลิงตันจงใจยิงพลาด (เล็งไปทางอื่น) ส่วนเอิร์ลแห่งวินชิลซี (ยิงขึ้นฟ้าหรืออาจจะไม่ได้ยิง) ทำให้ไม่มีใครเสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น สุดท้ายเอิร์ลแห่งวินชิลซีก็ยอมถอนคำพูดและเขียนจดหมายขอโทษดยุกแห่งเวลลิงตันอย่างเป็นทางการ

หลังจากเหตุการณ์นั้น ถ้าเกิดว่าไม่มีสถาบันนอกรีต ไร้พระเจ้า อย่างยูนิเวอร์ซิตีคอลลิจลันเดินเป็นตัวจุดชนวน ก็จะไม่มีสถาบันที่ยึดถือศาสนา อย่างคิงส์คอลเลจลอนดอนขึ้นมาคัดง้าง และถ้าไม่มีคิงส์คอลเลจลอนดอน การดวลปืนของสองขุนนางใหญ่ของสหราชอาณาจักรก็จะไม่เกิดขึ้น ยูนิเวอร์ซิตีคอลลิจลันเดินและคิงส์คอลเลจลอนดอนจึงได้ทำการรวมตัวกัน เพื่อก่อตั้งมหาวิทยาลัยแบบสหพันธ์ (Federal University) โดยใช้ชื่อว่ามหาวิทยาลัยลอนดอน อันเป็นระบบที่ว่า วิทยาลัยและสถาบันต่าง ๆ นี้จะมารวมตัวกันภายใต้ร่วมเงาของสถาบันที่เรียกว่ามหาวิทยาลัยลอนดอน โดยจะมีการบริหารจัดการที่เป็นอิสระภายใต้การดูแลของมหาวิทยาลัยลอนดอน ทว่าวิทยาลัยและสถาบันต่าง ๆ ที่มารวมตัวกันนี้จะต้องร่วมกันออกปริญญาภายใต้การใช้ชื่อของ University of London[21] กล่าวได้ว่านี่คือทางออกที่ยุติความขัดแย้ง ยูนิเวอร์ซิตีคอลลิจลันเดินยังคง "ไร้พระเจ้า" ได้ต่อไป ส่วนคิงส์คอลเลจลอนดอนยังคง "ดำรงศาสนา" ได้ต่อไป แต่นักศึกษาของทั้งสองที่จะได้รับปริญญา ต้องสอบผ่านข้อสอบกลางของ University of London

เมื่อคิงส์คอลเลจได้ร่วมสถาปนามหาวิทยาลัยลอนดอนกับทางยูนิเวอร์ซิตีคอลลิจลันเดิน และได้แปลงตัวเองไปเป็นวิทยาลัยในสังกัดของมหาวิทยาลัยลอนดอนแล้ว ในปี 1836 คิงส์คอลลเลจจึงได้มีสถานะเป็น King's College, University of London[22] เช่นเดียวกันกับยูนิเวอร์ซิตีคอลลิจลัน ก็มีสถานะเป็น University College, University of London ถึงแม้ทั้งสองมหาวิทยาลัยจะได้กลายตัวเองเป็นวิทยาลัยภายใต้สังกัดของมหาวิทยาลัยลอนดอนแล้ว แต่ทั้งสองนี้ยังคงมีสถานะของการเป็น "ผู้ก่อตั้ง (Founder)" อยู่ ภายหลังต่อมา วิทยาลัยอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นตามหลังสองวิทยาลัยนี้ก็จะใช้ชื่อที่พ่วงท้ายด้วย University of London รวมเข้าไปผสมกับชื่อด้วย เช่น Queen Mary University of London หรือ SOAS University of London แต่ก็มีข้อยกเว้นในบางวิทยาลัยที่ใช้ชื่อเฉพาะของตัวเองไปเลย โดยไม่มีคำว่า University of London พ่วงท้ายด้วย เช่น London School of Economics (LSE) หรือ Imperial College of Science, Technology and Medicine

ในปี ค.ศ. 1980 ทางคิงส์คอลเลจได้รับสถานะเป็นวิทยาลัยอิสระในสังกัดมหาวิทยาลัยลอนดอน กล่าวคือ มีอิสระจากทางมหาวิทยาลัยส่วนกลางมากขึ้น แต่ยังมอบปริญญาในนามมหาวิทยาลัยลอนดอนอยู่ สุดท้ายในปี 2006 ทางคิงส์คอลเลจได้รับมอบอำนาจเต็มจากมหาวิทยาลัยลอนดอน ในการออกใบปริญญาในนามของวิทยาลัยเอง โดยนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในวิทยาลัยในเดือนสิงหาคม 2007 สามารถเลือกได้ว่า จะให้มีการออกปริญญาให้ในนาม University of London หรือ King's College London นำมาซึ่งภายหลังปี 2008 เป็นต้นมาการออกใบปริญญาทั้งหมดจะกระทำการในนาม King's College London และตัววิทยาลัยได้ยกระดับมาสู่เป็นมหาวิทยาลัยอิสระเต็มตัว โดยกลับมาเป็น King's Collge London ตามต้นกำเนิดเดิม แต่อย่างไรก็ตามยังมีการระบุว่า King's College London ยังเป็นวิทยาลัยในสังกัด University of London อยู่ท้ายใบปริญญาบัตรอยู่ ซึ่งเป็นการคงไว้ตามธรรมเนียม หมายความว่า อำนาจการบริหารทุกอย่างแยกขาดเป็นอิสระออกจากกัน แต่คงเหลือไว้ซึ่งสถานะของการเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้ง[23] นอกจากนี้ในปีเดียวกันยังมีการเปลี่ยนการใช้ครุยวิทยฐานะจากรูปแบบมาตรฐานของมหาวิทยาลัยลอนดอน มาสู่ครุยวิทยฐานะแบบเฉพาะของทางคิงส์คอลเลจ ซึ่งถูกออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดโดยวิเวียน เวสต์วูด[24]

การควบรวมกับวิทยาลัยอื่น

[แก้]
Reggie the Lion มาสคอตของมหาวิทยาลัย ตั้งแต่ ค.ศ. 1923

King's ได้ดำเนินการรวมวิทยาลัยทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์หลายแห่งในกรุงลอนดอนเข้าด้วยกัน โดยวิทยาลัยที่ถูกควบรวมบางแห่งก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของวิทยาลัยที่แยกตัวออกไป ได้แก่ Queen Elizabeth College (ค.ศ. 1985) Chelsea College of Science and Technology (ค.ศ. 1985) the Institute of Psychiatry (ค.ศ. 1997) และ the United Medical and Dental Schools of Guy's (ค.ศ. 1998) and St Thomas' Hospitals (ค.ศ. 1998) และ Florence Nightingale School of Nursing and Midwifery (ค.ศ. 1998)[25] กล่าวได้ว่าคิงส์คอลเลจลอนดอนเป็นศูนย์กลางการเรียนการสอนและการวิจัยด้านการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป[26] นอกเหนือจากความโดดเด่นด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์แล้ว King's ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาชั้นนำของโลกที่มีผลงานการค้นคว้าและการวิจัยที่ได้รับการยอมรับมาอย่างต่อเนื่องในอีกหลายสาขาวิชา เช่น มนุษยศาสตร์ กฎหมาย การระหว่างประเทศ และสังคมศาสตร์[27]

การศึกษา

[แก้]

คณะ

[แก้]

ปัจจุบัน (ค.ศ. 2017) การการเรียนการสอนและการวิจัยของมหาวิทยาลัยได้ดำเนินการและแบ่งการจัดการออกเป็นจำนวน 9 คณะ (academic faculties) ได้แก่

    • คณะศิลปศาสตร์และมนุษยศาสตร์ (Faculty of Arts and Humanities)
    • สถาบันทันตกรรม (Dental Institute)
    • คณะชีววิทยาศาสตร์และแพทยศาสตร์ (Faculty of Life Sciences and Medicine)
    • สถาบันจิตเวช จิตวิทยา และประสาทวิทยาศาสตร์ (Institute of Psychiatry, Psychology and Neuroscience)
    • สำนักวิชากฎหมายดิ๊กสัน พูน (The Dickson Poon School of Law)
    • คณะวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและคณิตศาสตร์ (Faculty of Natural and Mathematical Sciences)
    • คณะพยาบาลศาสตร์และการผดุงครรภ์ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล (Florence Nightingale Faculty of Nursing and Midwifery)
    • คณะสังคมศาสตร์และนโยบายสาธารณะ (Faculty of Social Science and Public Policy)
    • สำนักวิชาธุรกิจคิงส์ (King's Business School)

โดยจำนวน 9 คณะดังกล่าวนี้ ได้ถูกแบ่งย่อยออกเป็นสำนักวิชา (schools) ภาควิชา (departments) ศูนย์และแผนกวิจัย (centres and research divisions) อีกเป็นจำนวนมาก[28]

วิทยาเขต

[แก้]

มหาวิทยาลัยมีพื้นที่ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอนจำนวนถึง 5 วิทยาเขต โดยวิทยาเขตแห่งแรกและเป็นวิทยาเขตหลักคือ Strand Campus ซึ่งตั้งอยู่ในศูนย์กลางของกรุงลอนดอน (Central London) อีก 3 วิทยาเขต ได้แก่ Guy's Campus, St Thomas' Campus และ Waterloo Campus ตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเทมส์ (Thames-side campuses) และอีกหนึ่งวิทยาเขตคือ Denmark Hill Campus ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของลอนดอน (South London)[29]

อาคาร King's Building วิทยาเขต Strand
อาคาร Bush House วิทยาเขต Strand อดีตที่ทำการสำนักข่าว BBC
หอสมุด Maughan Library อดีตที่ทำการสำนักงานสถิติแห่งชาติ สหราชอาณาจักร

บุคลากร

[แก้]

ปัจจุบัน คิงส์คอลเลจลอนดอน มีบุคลากรประมาณ 7,000 คน และมีนักศึกษามากกว่า 26,500 คน ในจำนวนนี้เป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีประมาณ 10,400 คน โดยมาจาก 150 ประเทศทั่วโลก[30] ศิษย์เก่าที่จบการศึกษาจากวิทยาลัยแห่งนี้ได้รับการยอมรับในหลากหลายสาขาวิชาชีพ เช่น ด้านการเมือง การปกครอง การทหาร กฎหมาย การระหว่างประเทศ การเงิน การแพทย์ การศึกษา สื่อมวลชน ดนตรี วรรณกรรม ศาสนา ตลอดจนภาคธุรกิจ[31] จนถึงปัจจุบัน บุคลากรและศิษย์เก่าจากคิงส์คอลเลจลอนดอนได้รับรางวัลโนเบลไปแล้วจำนวน 12 คน[32] ถือเป็นหนึ่งใน Top 50 Universities with the Most Nobel Prize Winners[33]

อันดับและมาตรฐานของมหาวิทยาลัย

[แก้]

ในปี ค.ศ. 2022 QS World University Rankings จัดอันดับวิทยาลัยไว้ที่ 35 ของโลก ที่ 7 ของสหราชอาณาจักร และ 9 ของทวีปยุโรป[34] โดยสาขาที่มีความโดดเด่นอย่างยิ่งใน 20 อันดับแรกของโลก[35] ได้แก่

สายสังคมศาสตร์
[แก้]

Philosophy อันดับ 9 ของโลก

History อันดับ 12 ของโลก

Classic and Ancient History อันดับ 12 ของโลก

Politics อันดับ 13 ขอบโลก

Law and Legal Studies อันดับ 15 ของโลก

English Language and Literature อันดับ 16 ของโลก

สายวิทยาศาสตร์
[แก้]

Nursing อันดับ 2 ของโลก

Dentistry อันดับ 9 ของโลก

Life Science and Medicine อันดับ 14 ของโลก

Anatomy and Physiology อันดับ 16 ของโลก

Medicine อันดับ 16 ของโลก

Pharmacy อันดับ 17 ของโลก

นอกจากนี้คิงส์คอลเลจลอนดอนยังได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกกับองค์กรการศึกษาหลายแห่ง เช่น the Association of Commonwealth Universities, the European University Association และ the Russell Group

ความเป็นคู่แข่งระหว่าง King's College London และ UCL

[แก้]

การแข่งขันระหว่าง King's College London และ University College London เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนในลอนดอนมาเกือบสองศตวรรษ โดยทั้งสองมหาวิทยาลัยเปรียบได้กับเป็นมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (UCL) และ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (King's College London) ในแบบฉบับของกรุงลอนดอน รวมไปถึงการเป็นคู่แข่งระหว่าง King's และ UCL นี้ยังนำมาซึ่งการแข่งขันกีฬาประจำปีระหว่างสองสถาบันนี้ คล้ายกับงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์ของไทย โดยนักเรียนชาวไทยที่ศึกษาอยู่ในสหราชอาณาจักรมักจะให้ความคิดเห็นเปรียบเทียบไปในทำนองว่า UCL คือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ King's คือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตามลำดับการก่อตั้งของสองสถาบันนี้

London Varsity อันเป็นงานประจำปีที่เต็มไปด้วยประเพณีและการแข่งขัน มีต้นกำเนิดมาจากการก่อตั้ง UCL และ King's โดยมี Adam Sommerfeld ได้ทำการจัดตั้งในปี ค.ศ. 2004 เพื่อใช้จัดการแข่งขันรักบี้ โดย London Varsity นั้นเป็นแหล่งรวบรวมการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างสถาบันอันทรงเกียรติทั้งสองแห่งนี้ไว้ด้วยกัน เพื่อรำลึกถึงการแข่งขันในประวัติศาสตร์ที่ยาวนานเกือบสองศตวรรษ ซึ่งมีงาน "Rag" เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ร่วมกันระดมทุนเพื่อการกุศล ขณะเดียวกันก็ท้าทายอำนาจและแสดงจิตวิญญาณของมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม งานเหล่านี้มักกลายเป็นการเผชิญหน้าระหว่างนักศึกษาจาก UCL และ King's ซึ่งบางครั้งจำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาแทรกแซง ท่ามกลางการเผชิญหน้าอันดุเดือดเหล่านี้ นำมาซึ่งประเพณีการจับมาสคอตกลายมาเป็นจุดเด่นของการแข่งขันระหว่างสองมหาวิทยาลัย[36]

ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1923 King's ได้นำ Reggie สิงโตมาเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย ซึ่งกลายมาเป็นเป้าหมายหลักของนักศึกษา UCL ที่ต้องการแสดงความเป็นผู้นำ มีความพยายามนับไม่ถ้วนที่จะลักพาตัว Reggie ไป โดยนักศึกษา UCL พยายามอย่างยิ่งที่จะย้ายสิงโตไปยังสถานที่ต่าง ๆ ตั้งแต่ อินเวอร์เนสส์ เซอร์รีย์ ไปจนถึงข่าวลือว่าถูกซ่อนไปยังกรุงเทพมหานคร[37] เพื่อตอบโต้การกระทำอันหยามเกียรตินี้ นักศึกษาของ King's ได้เสริมกำลังให้ Reggie โดยครั้งหนึ่งได้เติมคอนกรีตให้กับมาสคอต เพื่อขัดขวางความพยายามลักพาตัว นักศึกษาของ King's ตอบโต้ด้วยการเล็งเป้าไปที่ Phineas มาสคอตของ UCL อยู่หลายครั้ง การแข่งขันยังถึงขั้นที่แปลกประหลาด โดยมีรายงานว่านักศึกษาของ King's เล่นฟุตบอลกับศีรษะของ Jeremy Bentham ผู้ก่อตั้ง UCL ที่ถูกเก็บรักษาไว้ การกระทำเหล่านี้ทำให้การแข่งขันระหว่างสองสถาบันซึ่งเคยเข้มข้นอยู่แล้วยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีก

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา London Varsity ได้พัฒนาจากจุดเริ่มต้นที่แสนธรรมดาเป็นการแข่งขันรักบี้ยูเนี่ยนให้กลายเป็นงานกีฬาที่ยิ่งใหญ่ ดึงดูดความสนใจและการมีส่วนร่วมจากนักศึกษา ศิษย์เก่า และผู้สนับสนุนอย่างกว้างขวาง งานดังกล่าวซึ่งจัดโดย UCLU และ KCLSU ร่วมกัน ถือเป็นจุดสุดยอดของฤดูกาลรักบี้ของมหาวิทยาลัย ซึ่งโดยปกติจะจัดขึ้นในเดือนมีนาคม ในปี ค.ศ. 2012 สถานที่จัด London Varsity ได้ย้ายไปที่ Twickenham Stoop ซึ่งถือเป็นบทใหม่ในประวัติศาสตร์ของงานนี้ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่และรูปแบบ แต่แก่นแท้ของการแข่งขันยังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยทั้ง UCL และ King's แข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อชิงความเป็นใหญ่และถ้วย Jeremy George Cup ที่เป็นที่ปรารถนา ซึ่งตั้งชื่อตามผู้ก่อตั้งสถาบันของตน ในขณะที่ London Varsity ยังคงดึงดูดผู้ชมและแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณแห่งการแข่งขันที่เป็นมิตรและประเพณี การแข่งขันระหว่าง UCL และ King's ยังคงมีอยู่ต่อไป ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงมรดกที่ยั่งยืนของสถาบันอันทรงเกียรติเหล่านี้[38]

บุคคลสำคัญ

[แก้]

ศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียง[39]

[แก้]

ศิษย์เก่าชาวไทยที่มีชื่อเสียง

[แก้]

ภาคราชการ

[แก้]
ข้าราชการประจำ
[แก้]
ข้าราชการการเมือง
[แก้]

ภาควิชาการ

[แก้]

ภาคเอกชน

[แก้]
  • พัณณิน ชาญมนูญ (MSc in Digital Marketing) นักแสดงซีรีส์น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์, Love Sick The Series
  • ฟ้าใหม่ กัสทาลดี (MSc in Digital Marketing) นักแสดงสังกัดช่องวัน 31
  • ชินดนัย อัครวงศ์วริศ (BSc in Business Management) นักแสดงซีรีส์

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Branding Essentials" (PDF). Branding Essentials November 2018. สืบค้นเมื่อ 24 March 2019.[ลิงก์เสีย]
  2. https://russellgroup.ac.uk/about/our-universities/kings-college-london/
  3. Frishberg, Aron. "Universities with the Most Nobel Prizes". www.aronfrishberg.com (ภาษาอังกฤษ).
  4. "King's College London (KCL) ข้อมูลการศึกษาต่อและคอร์สเรียน". SI-UK: Move Forward. Be Great.
  5. London, King's College. ""We're not going away" Rishi Sunak warns Putin at King's conference". King's College London (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-05-31.
  6. London, King's College. "Sir Keir Starmer announces boost in defence spending at King's conference". King's College London (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-05-31.
  7. Golden opportunities - Nature สืบค้นเมื่อ 24.12.2015
  8. Savage, Michael (2015). Social class in the 21st century. [London]: Penguin. p. 167. ISBN 978-0-241-00422-7. OCLC 928843792. Higher education researchers often talk about a 'Golden Triangle' of universities. The 'triangle' describes an imaginary three-sided shape with corners in Oxford, Cambridge and London. The exact composition of the London 'corner' can vary, but typically it includes the London School of Economics, King's College London, University College London and Imperial College London.
  9. "QS World University Rankings 2026: Top global universities". Top Universities (ภาษาอังกฤษ). 2025-06-18. สืบค้นเมื่อ 2025-06-21.
  10. "QS World University Rankings® 2014/15". Top Universities (ภาษาอังกฤษ). 2024-09-04.
  11. Hogan, Fintan (2023-10-09). "London Universities: King's Needs To Mind The Gap". Roar News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  12. "These are the easiest UK universities to get into". Save the Student (ภาษาอังกฤษ). 2024-05-29.
  13. The Principal เก็บถาวร 2013-03-03 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน - King's College London สืบค้นเมื่อ 24.12.2015
  14. History of King's - King's College London สืบค้นเมื่อ 24.12.2015
  15. King's Facts at a glance เก็บถาวร 2016-01-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน - King's College London สืบค้นเมื่อ 24.12.2015
  16. A brief history - the foundation of the university, 1836 เก็บถาวร 2014-02-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน - University of London สืบค้นเมื่อ 24.12.2015
  17. 1 2 J S Cockburn; H P F King; K G T McDonnell (1969). The University of London: The Constituent Colleges. A History of the County of Middlesex. Victoria County History. pp. 345–359 – via British History Online. https://www.british-history.ac.uk/vch/middx/vol1/pp345-359#h3-0005
  18. "Somerset House booklet circa 1963 by King's College London - Issuu". issuu.com (ภาษาอังกฤษ). 2010-03-19.
  19. "King's College School". www.kcs.org.uk (ภาษาอังกฤษ).
  20. "King's College School". www.kcs.org.uk (ภาษาอังกฤษ).
  21. "University of London", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2024-09-05, สืบค้นเมื่อ 2024-09-05
  22. Freedman, Lawrence (1982). "The War of the Falkland Islands, 1982". Foreign Affairs. 61 (1): 196–210. doi:10.2307/20041358. ISSN 0015-7120. (The author stated that he is the professor at "King's College, University of London")
  23. "Wayback Machine: Certificate FAQs" (PDF). web.archive.org. King's College London. 2013-09-03. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2013-09-03. สืบค้นเมื่อ 2023-04-19.
  24. London, King's College. "Remembering Dame Vivienne Westwood". King's College London (ภาษาอังกฤษ).
  25. History of King's - timeline - King's College London สืบค้นเมื่อ 24.12.2015
  26. About เก็บถาวร 2010-10-31 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน - King's Health Partner สืบค้นเมื่อ 24.12.2015
  27. King's Facts at a glance เก็บถาวร 2016-01-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน - King's College London สืบค้นเมื่อ 24.12.2015
  28. Academic faculties at King's - King's College London สืบค้นเมื่อ 14.04.2017
  29. Our campuses เก็บถาวร 2015-11-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน - King's College London สืบค้นเมื่อ 24.12.2015
  30. King's Facts at a glance เก็บถาวร 2016-01-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน - King's College London สืบค้นเมื่อ 24.12.2015
  31. Fellows of King's - King's College London สืบค้นเมื่อ 24.12.2015
  32. King's Nobel Laureates - King's College London สืบค้นเมื่อ 24.12.2015
  33. Alder, Jeremy (2014-03-06). "50 Universities with the Most Nobel Prize Winners". bestmastersprograms.org (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  34. "Top Universities in the UK 2022". Top Universities (ภาษาอังกฤษ).
  35. "King's College London". Top Universities (ภาษาอังกฤษ).
  36. 1 2 Jumsai, Sumet. 2004. "Prince Prisdang and the Proposal for the First Siamese Constitution, 1885" Journal of the Siam Society Vol. 92 2004. 107. https://thesiamsociety.org/wp-content/uploads/2004/03/JSS_092_0g_SumetJumsai_PrincePrisdangAndProposalForConstitut.pdf
  37. "Dark Days: 1961 - 1981 | Feature from King's College London". www.kcl.ac.uk (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  38. "A History of Varsity". www.kclsu.org (ภาษาอังกฤษแบบบริติช).
  39. "List of alumni of King's College London", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2025-02-03, สืบค้นเมื่อ 2025-02-03
  40. ปฤษฎางค์, พระองค์เจ้า. 2472. ประวัติย่อนายพันเอกพิเศษ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ แต่ประสูติ พ.ศ. 2392 ถึง 2472. กรุงเทพฯ. 10-12. https://www.car.chula.ac.th/display7.php?bib=b2209972 . http://eresource.car.chula.ac.th/chula-ebooks/redirect.php?name=clra56_0058%5Bลิงก์เสีย%5D
  41. https://era.ed.ac.uk/bitstream/handle/1842/7790/Pongsapan2013.pdf?sequence=2&isAllowed=n. 208
  42. "Sophon Ratanakorn", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2022-04-17, สืบค้นเมื่อ 2023-09-07
  43. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. 2499. ประวัติกระทรวงเกษตร. พิมพ์แจกเป็นที่ระลึกในวันเปิดที่ทำการใหม่ วันที่ 1 เมษายน 2500. โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม. ประเทศไทย. http://archives.psd.ku.ac.th/kuout/p042.html เก็บถาวร 2023-04-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  44. คำโพธิ์ทอง. รวินทร์. 2565. "ทวี บุณยเกตุ กับ ปรีดี พนมยงค์​ ในการรักษาเอกราชและประชาธิปไตยสมบูรณ์". อ้างอิงจาก อนุสรณ์พิมพ์เป็นบรรณาการในงานพระราชทานเพลิงศพ นายทวี บุณยเกตุ. พ.ศ. 2515. สถาบันปรีดี พนมยงค์. https://pridi.or.th/th/content/2022/11/1311