ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สโมสรฟุตบอลยูเวนตุส"
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
||
บรรทัด 54: | บรรทัด 54: | ||
สำหรับยูเวนตุส เดิมแฟนฟุตบอล[[ชาวไทย]]จะอ่านออกเสียงว่า "จูเวนตัส" จะเรียกฉายาใน[[ภาษาไทย]]ว่า "ม้าลาย" หรือ เรียกสั้นๆว่า "ยูเว่" ส่วนฉายาในภาษาอิตาลี คือ "La Vecchia Signora" ซึ่งแปลได้ว่า "หญิงชรา" (อันเป็นฉายาเดียวกับ[[สโมสรกีฬาแฮร์ธาเบอร์ลิน|แฮร์ธาเบอร์ลิน]] ใน[[บุนเดิสลีกา]] เยอรมนี) <ref>{{cite web|title=ทำไมถึงเรียกแฮร์ธ่าว่า old lady (หญิงชรา) ครับ |author=GolfGear|date=2012-05-11|url=http://topicstock.pantip.com/supachalasai/topicstock/2012/05/S12077805/S12077805.html|work=พันทิปดอตคอม|accessdate=2016-12-18}}</ref> |
สำหรับยูเวนตุส เดิมแฟนฟุตบอล[[ชาวไทย]]จะอ่านออกเสียงว่า "จูเวนตัส" จะเรียกฉายาใน[[ภาษาไทย]]ว่า "ม้าลาย" หรือ เรียกสั้นๆว่า "ยูเว่" ส่วนฉายาในภาษาอิตาลี คือ "La Vecchia Signora" ซึ่งแปลได้ว่า "หญิงชรา" (อันเป็นฉายาเดียวกับ[[สโมสรกีฬาแฮร์ธาเบอร์ลิน|แฮร์ธาเบอร์ลิน]] ใน[[บุนเดิสลีกา]] เยอรมนี) <ref>{{cite web|title=ทำไมถึงเรียกแฮร์ธ่าว่า old lady (หญิงชรา) ครับ |author=GolfGear|date=2012-05-11|url=http://topicstock.pantip.com/supachalasai/topicstock/2012/05/S12077805/S12077805.html|work=พันทิปดอตคอม|accessdate=2016-12-18}}</ref> |
||
==ประวัติ== |
==ประวัติของสโมสร== |
||
===ช่วงก่อตั้ง=== |
===ช่วงก่อตั้ง=== |
||
ยูเวนตุสก่อตั้งขึ้นปี [[ค.ศ. 1897]] ในชื่อ '''สปอร์ต คลับ ยูเวนตุส''' โดยมีนักเรียนที่ชื่อ [[มัสซิโม เด'อาเซกีโล]] ที่ศึกษาอยู่ที่เมือง[[ตูริน]]เป็นผู้ก่อตั้ง,<ref name=history>{{cite web|url=http://www.magicajuventus.com/storia_juventus.php|title=Storia della Juventus Football Club|work=magicajuventus.com|language=Italian|accessdate=8 July 2007}}{{ลิงก์เสีย|date=สิงหาคม 2554}}</ref>.และก็ต้องเปลี่ยนชื่อเป็นเป็น '''สโมสรฟุตบอลยูเวนตุส'''ในเวลาอีกสองปีถัดมา.<ref name="JFC History">{{cite web|url=http://www.juventus.com/site/eng/CLUB_storia.asp|work=Juventus Football Club S.p.A official website|title=Juventus Football Club: The History|accessdate=9 August 2008|archiveurl=http://web.archive.org/web/20080729181702/http://www.juventus.com/site/eng/CLUB_storia.asp <!--Added by H3llBot-->|archivedate=29 July 2008}}</ref> สโมสรได้เข้าร่วมการแข่งขัน [[เซเรียอา|อิตาเลียนฟุตบอลแชมเปียนส์ชิพ]] (ปัจจุบันคือ[[เซเรียอา]]) ในช่วงปี [[ค.ศ. 1904]] ซึ่งใช้ชุดแข่งสีดำและสีชมพูเป็นชุดเหย้าในการแข่งขันและใช้สนาม[[เวโลโดรโมอัมเบรโต I]]เป็นสนามเหย้าในการแข่งขัน ยูเวนตุสได้แชมป์ในรายการนี้ครั้งแรกในปี [[ค.ศ. 1905]].แล้วในช่วงเดียวกันนั้นสโมสรได้เปลี่ยนสีประจำทีมจะเป็น[[สีขาว]]และ[[สีดำ]]ลายทางและกางเกงสีดำ ซึ่งถูกเปรียบเทียบว่าเหมือนสโมสรฟุตบอลใน[[ประเทศอังกฤษ]]อย่าง [[สโมสรฟุตบอลนอตส์เคาน์ตี]].<ref name=league/> |
ยูเวนตุสก่อตั้งขึ้นปี [[ค.ศ. 1897]] ในชื่อ '''สปอร์ต คลับ ยูเวนตุส''' โดยมีนักเรียนที่ชื่อ [[มัสซิโม เด'อาเซกีโล]] ที่ศึกษาอยู่ที่เมือง[[ตูริน]]เป็นผู้ก่อตั้ง,<ref name=history>{{cite web|url=http://www.magicajuventus.com/storia_juventus.php|title=Storia della Juventus Football Club|work=magicajuventus.com|language=Italian|accessdate=8 July 2007}}{{ลิงก์เสีย|date=สิงหาคม 2554}}</ref>.และก็ต้องเปลี่ยนชื่อเป็นเป็น '''สโมสรฟุตบอลยูเวนตุส'''ในเวลาอีกสองปีถัดมา.<ref name="JFC History">{{cite web|url=http://www.juventus.com/site/eng/CLUB_storia.asp|work=Juventus Football Club S.p.A official website|title=Juventus Football Club: The History|accessdate=9 August 2008|archiveurl=http://web.archive.org/web/20080729181702/http://www.juventus.com/site/eng/CLUB_storia.asp <!--Added by H3llBot-->|archivedate=29 July 2008}}</ref> สโมสรได้เข้าร่วมการแข่งขัน [[เซเรียอา|อิตาเลียนฟุตบอลแชมเปียนส์ชิพ]] (ปัจจุบันคือ[[เซเรียอา]]) ในช่วงปี [[ค.ศ. 1904]] ซึ่งใช้ชุดแข่งสีดำและสีชมพูเป็นชุดเหย้าในการแข่งขันและใช้สนาม[[เวโลโดรโมอัมเบรโต I]]เป็นสนามเหย้าในการแข่งขัน ยูเวนตุสได้แชมป์ในรายการนี้ครั้งแรกในปี [[ค.ศ. 1905]].แล้วในช่วงเดียวกันนั้นสโมสรได้เปลี่ยนสีประจำทีมจะเป็น[[สีขาว]]และ[[สีดำ]]ลายทางและกางเกงสีดำ ซึ่งถูกเปรียบเทียบว่าเหมือนสโมสรฟุตบอลใน[[ประเทศอังกฤษ]]อย่าง [[สโมสรฟุตบอลนอตส์เคาน์ตี]].<ref name=league/> |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 03:28, 20 มิถุนายน 2563
ชื่อเต็ม | Juventus Football Club | |||
---|---|---|---|---|
ฉายา | La Vecchia Signora (หญิงชรา) La Fidanzata d'Italia (แฟนสาวแห่งอิตาลี) Bianconeri (ขาว-ดำ) Juve Le Zebre (ม้าลาย) | |||
ก่อตั้ง | 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1897 | |||
สนาม | ยูเวนตุส สเตเดียม | |||
ความจุ | 41,000 | |||
ประธาน | อันเดรีย อันเจลนี | |||
ผู้จัดการทีม | เมารีซีโอ ซาร์รี | |||
ลีก | เซเรียอา | |||
2018–19 | อันดับที่ 1 | |||
เว็บไซต์ | เว็บไซต์สโมสร | |||
| ||||
สโมสรฟุตบอลยูเวนตุส (อิตาลี: Juventus Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองตูริน เป็นสโมสรเก่าแก่สโมสรหนึ่งของประเทศอิตาลี โดยก่อตั้งเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1897 (พ.ศ. 2440) ประสบความสำเร็จมากมาย อีกทั้งยังเป็นสโมสรแรกที่ได้แชมป์ยุโรปทั้งสามรายการ คือ ยูโรเปียนคัพ (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก), ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ และยูฟ่าคัพ
ยูเวนตุส เป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดใน เซเรียอา ได้แชมป์ถึง 35 สมัย แชมป์ โกปปาอีตาเลีย 13 สมัย แชมป์ซูแปร์โกปปาอีตาเลียนา อีก 6 สมัย แชมป์ ยูโรเปียนคัพ 2 สมัย และ แชมป์ ยูฟ่าคัพ 3 สมัย ในช่วงปัจจุบัน (ตั้งแต่ฤดูกาล 2011-2012 เป็นต้นมา) ถือว่าเป็นช่วงที่สโมสรประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยได้แชมป์เซเรียอาติดต่อกันถึง 8 สมัย ขณะที่ผู้เล่นคนสำคัญส่วนใหญ่อายุเลย 30 ปีแล้วทั้งนั้น สำหรับยูเวนตุส เดิมแฟนฟุตบอลชาวไทยจะอ่านออกเสียงว่า "จูเวนตัส" จะเรียกฉายาในภาษาไทยว่า "ม้าลาย" หรือ เรียกสั้นๆว่า "ยูเว่" ส่วนฉายาในภาษาอิตาลี คือ "La Vecchia Signora" ซึ่งแปลได้ว่า "หญิงชรา" (อันเป็นฉายาเดียวกับแฮร์ธาเบอร์ลิน ในบุนเดิสลีกา เยอรมนี) [1]
ประวัติของสโมสร
ช่วงก่อตั้ง
ยูเวนตุสก่อตั้งขึ้นปี ค.ศ. 1897 ในชื่อ สปอร์ต คลับ ยูเวนตุส โดยมีนักเรียนที่ชื่อ มัสซิโม เด'อาเซกีโล ที่ศึกษาอยู่ที่เมืองตูรินเป็นผู้ก่อตั้ง,[2].และก็ต้องเปลี่ยนชื่อเป็นเป็น สโมสรฟุตบอลยูเวนตุสในเวลาอีกสองปีถัดมา.[3] สโมสรได้เข้าร่วมการแข่งขัน อิตาเลียนฟุตบอลแชมเปียนส์ชิพ (ปัจจุบันคือเซเรียอา) ในช่วงปี ค.ศ. 1904 ซึ่งใช้ชุดแข่งสีดำและสีชมพูเป็นชุดเหย้าในการแข่งขันและใช้สนามเวโลโดรโมอัมเบรโต Iเป็นสนามเหย้าในการแข่งขัน ยูเวนตุสได้แชมป์ในรายการนี้ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1905.แล้วในช่วงเดียวกันนั้นสโมสรได้เปลี่ยนสีประจำทีมจะเป็นสีขาวและสีดำลายทางและกางเกงสีดำ ซึ่งถูกเปรียบเทียบว่าเหมือนสโมสรฟุตบอลในประเทศอังกฤษอย่าง สโมสรฟุตบอลนอตส์เคาน์ตี.[4]
ในปี ค.ศ. 1906 สโมสรได้มีการแยกทางกับพนักงานของสโมสรและนักเตะบางส่วนออกไปเนื่องจากต้องการออกไปจากเมืองตูริน.[3] เมื่อประธานสโมสรอัลเฟรโดทราบเหตุการณ์ท่านกังกวลใจและไม่มีความสุขเพราะขาดนักเตะหลักในการเล่นกับ สโมสรฟุตบอลโตริโน สโมสรร่วมเมืองเดียวกันในเกมส์ ดาร์บีเดลลาโมเลและหลังจากนั้นได้ไม่นานก็ได้เกิดสงครามโลกขึ้นอีกทำให้นักเตะต่างได้แยกย้ายออกจากทีมเพื่อหลบหนี้ภัยสงครามเป็นจำนวนมาก.[5] ยูเวนตุสใช้เวลานานในการสร้างทีมขึ้นมาใหม่อย่างต่อเนื่องหลังจากจบ สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
เจ้าแห่งวงการลูกหนังอิตาลี
หลังจากนั้นเจ้าขององค์กรธุรกิจรถยนต์(เฟียต)ในเมืองตูรินอย่าง เอโดอาร์โด อเกลลี ได้เข้ามาควบคุมกิจการของสโมสรในช่วงปีค.ศ. 1923และได้มีการสร้างสนามเหย้าใหม่ขึ้น (เนื่องจากสนามเดิมได้มีการพังทลายจากเหตุสงครามโลก)[3].พวกเขาได้ช่วยให้สโมสรคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้งในปี ค.ศ. 1926 ด้วยการชนะ อัลบา โรมา ไปถึง 12-1, ด้วยการยิงของ อันโตนีโอ โวจาค ซึ่งเป็นนักเตะยอดเยี่ยมของฤดูกาล 1925-26.[4]หลังจากนั้นสโมสรได้เป็นกำลังสำคัญในวงการฟุตบอลอิตาลีตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 เป็นต้นมาและได้กลายเป็นสโมสรมืออาชีพครั้งแรกของประเทศและเป็นสโมสรแรกที่มีแฟนคลับกระจายอยู่หลายประเทศ,[6][7].ในขณะนั้นสโมสรอยู่ภายใต้การคุมทีมของ การ์โล การ์ซาโน อดีตผู้จัดการทีมชาตอิตาลี ซึ่งเขาสามารถนำยูเวนตุสได้แชมป์ลีกในระดับประเทศได้ถึง 4 สมัยติดต่อกันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 ถึง ค.ศ. 1934 และในช่วงนั้นมีนักเตะระดับสตาร์ชื่อดังมากมายของสโมสรอาทิเช่น ไรมุนโด ออร์ซิ, ลูอิกี เบอร์โทลินี, จิโอวานนี เฟอร์รารี, ลุยส์ มอนตี และอื่นๆอีกมากมาย
สโมสรได้ย้ายไปใช้สนามเหย้าใหม่คือ สตาดีโอโอลิมปิกโกดิโทริโน เป็นสนามเหย้า ในช่วงปี ค.ศ. 1933.แต่หลังจากนั้นในช่วงทศวรรษที่ 1940 เป็นต้นมาสโมสรไม่สามารถคว้าแชมป์รายการใหญ่มาได้เลย.หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง, กีอันนี อักเนลลี ได้เขามารับตำแหน่งประธานสโมสร.[3]ต่อมาสโมสรก็สามารถคว้าแชมป์ลีกมาได้อีก 2 สมัยในช่วงฤดูกาล 1949-50 และ 1951-52 โดยในช่วงนั้นสโมสรได้อยู่ภายใต้การคุมทีมของ เจสเซ คาร์เวอร์ ผู้จัดการทีมชาวอังกฤษ.ในฤดูกาล1957-58 สโมสรได้เซ็นสัญญากับสองกองหน้าชื่อดังอย่าง โอมาร์ ซีโบรี นักเตะลูกครึ่งอิตาลี-อาร์เจนตินา และ จอห์น คาร์เลส นักเตะชาวเวลส์ โดยพวกเขาได้เล่นรวมกับ กีอัมปีเอโร โบนีเปอร์ตี นักเตะชื่อดังของสโมสรในเวลานั้น โดยทั้งสามคนเป็นกำลังสำคัญของยูเวนตุสมาโดยตลอด.ต่อมานักเตะใหม่อย่างซีโบรีก็เป็นนักเตะคนแรกของสโมสรที่ได้รับรางวัล นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป ในปี ค.ศ. 1961.ในปีเดียวกันนั้นพวกเขาชนะสโมสรฟุตบอลฟีออเรนตีนา ซึ่งสามารถคว้าแชมป์เซเรียอามาครองได้เป็นสมัยที่ 11 ได้สำเร็จและคว้าแชมป์โกปปาอีตาเลียได้ในฤดูกาลเดียวกันพร้อมสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์สองอย่างครั้งแรกพร้อมกันเป็นครั้งแรกของสโมสรและโบนีเปอร์ตีดาวยิงสูงสุดของสโมสร ณ เวลานั้นก็ได้ตัดสินใจเลิกเล่นอาชีพฟุตบอลไปพร้อมสร้างสถิติทำประตูสูงสุดอีกทั้งหมด 182 ประตู.[8]
ในช่วงทศวรรษต่อมาสโมสรก็ได้แชมป์ลีกอีกครั้งในฤดูกาล1966-67,[4].ต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 1970 ยูเวนตุสได้เพิ่มความแข็งแกร็งในแต่ละตำแหน่งให้มากขึ้นด้วยการเซ็นสัญญากับ เซสเมียรฺ์ เวียฟซาปาเลก ผู้จัดการทีมชาวเช็กเข้ามาคุมทีมและนำยูเวนตุสคว้าแชมป์เซเรียอาได้ในฤดูกาล1971-72 และ 1972-73,[4]โดยมีนักเตะชื่อดังหลายคนอาทิเช่น โรแบร์โต เบตเตกา, ฟรานโก กาอูซีโอ และ โชเซ อัลตาฟีนี.ในช่วงที่เหลือของทศวรรษที่ 70 สโมสรได้แชมปฺ์ลีกมากขึ้นซึ่งได้มาถึง 5 สมัย โดยมีกองหลังตัวเก่งอย่าง เกเอตาโน ซีซ์เรีย โดยมีผู้จัดการทีม ณ ขณะนั้นคือจีโอวานนี ตราปัตโตนี เป็นคนที่ช่วยนำสโมสรใหก้าวสู่ความยิ่งใหญ่อย่างต่อเนื่องจนถึงทศวรรษที่ 80[9]
ความยิ่งใหญ่ในเวทียุโรป
ในยุคของตราปาตโตนีเป็นยุคที่สโมสรประสบความสำเร็จมากที่สุด ซึ่งอยู่ในช่วงยุค ค.ศ. 1980;สโมสรเริ่มต้นได้ดีในช่วงทศวรรษใหม่ด้วยการคว้าแชมป์ลีก 3 สมัย โดยในปี ค.ศ. 1984.[4] สโมสรสามารถคว้าแชมป์ลีกได้เป็นสมัยที่ 20 ของสโมสร.และทางสมาพันธ์ฟุตบอลอิตาลีได้รับการอนุญาตจากสโมสรด้วยการให้เพิ่มดาวสีทองดวงที่สองบนเสื้อชุดแข่งของสโมสร.[9]ต่อมานักเตะของสโมสรอย่าง เปาโล รอสซี ได้ถูกเป็นการดึงดูดและควาสนใจในการเสนอชื่อเขาในการแข่งขันชิง นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป เนื่องจากเขาเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในการนำฟุตบอลทีมชาติอิตาลีคว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก 1982 และเขายังเป็นทั้งดาวซัลโวและนักเตะยอดเยี่ยมประจำรายการนี้อีกด้วย.[10]
นักเตะชาวฝรั่งเศสของสโมสรอีกคนอย่าง มีแชล ปลาตีนี ก็ถูกเสนอชื่อเป็นนักเตะยอดเยี่ยมอีกคน.ซึ่งเขาก็สามารถคว้ารายการนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรปได้ถึง 3 สมัยติดต่อกันในปี 1983, 1984 และ 1985.[11]โดยยูเวนตุสเป็นสโมสรเดียวที่มีนักเตะจากสโมสรคว้าแชมป์รายการนี้ในรอบ 4 ปีติดต่อกัน.[11] โดยนัดที่สำคัญของปลาตีนีและเป็นนัดที่สำคัญของสโมสรคือนัดที่ปลาตีนีทำประตูชัยในนัด ยูโรเปียนส์คัพ ฤดูกาล 1985 ช่วยให้สโมสรเอาชนะ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล สโมสรฟุตบอลชื่อดังจากอังกฤษไป 1-0 ซึ่งทำให้ยูเวนตุสสามารถคว้าแชมป์ ยูโรเปียนส์คัพ มาเป็นสมัยแรกของสโมสรได้สำเร็จ.แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็ยังมีโศกนาฏกรรมที่แฟนบอลทุกคน ณ ขณะนั้นยังจำกันไม่ได้ลืม.[12]ในปีนี้เป็นปีที่ยูเวนตุสกลายเป็นสโมสรแรกในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลยุโรปที่ได้รับรางวัลทั้งสามที่สำคัญการแข่งขันของยูฟ่า[13][14] และหลังจากที่ประสบความสำเร็จของพวกเขาในระดับทวีปถ้วยสโมสรก็กลายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลและยังคงเป็นสโมสรหนึ่งเดียวของโลกในปัจจุบันที่ได้รับรางวัลจากสมาพันธ์การแข่งขันทั้งหมด.[15]
สโมสรคว้าแชมป์ เซเรียอา ได้ในฤดูกาล1985-86 ซึ่งเป็นแชมป์สมัยที่ 22 ของสโมสรและเป็นแชมป์สุดท้ายในการคุมทีมของตราปาตโตนีพร้อมกับเป็นแชมป์สุดท้ายในช่วงทศวรรษที่ 80 ต่อมาในปี ค.ศ. 1990 ยูเวนตุสได้ย้ายสนามเหย้าไปใช้สนาม สตาดีโอเดลเลอัลปี ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามที่จะใช้แข่งขัน ฟุตบอลโลก 1990
ลิปปีผู้นำความสำเร็จ
มาร์เชลโล ลิปปีได้เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมให้กับสโมสรโดยเริ่มคุมทีมตั้งแต่ฤดูกาล1994-95.[3].ฤดูกาลของเขากับยูเวนตุสก็สามารถนำทีมคว้าแชมป์เซเรียอาได้สำเร็จซึ่งครั้งล่าสุดที่สโมสรได้คือในช่วงกลางทศวรรษที่ 1980.[4]โดยมีผู้เล่นชื่อดังหลายคนอาทิเช่น ซีโร เฟอร์รารา, โรแบร์โต บักโจ้, จีอันลูกา วีอัลลี และนักเตะเยาวชนะชื่อดังอย่าง อาเลสซันโดร เดล ปีเอโร.ลิปปีสามารถนำสโมสรเขาไปเล่นแชมเปียนส์ ในฤดกาล 1995-96ซึ่งเขานำยูเวนตุสไปถึงรอบชิงชนะเลิศกับสโมสรเอเอฟซีอาแจ็กซ์ผลออกมาเสมอกันไป 1-1 โดยยูเวนตุสได้จาก ฟาบรีซีโอ ราเวเนลลี ก่อนที่จะชนะด้วยการดวลลูกโทษไป 2-4 แล้วทำให้สโมสรคว้าแชมป์มาได้เป็นสมัยที่ 2.[16]
มาร์เชลโล ลิปปี หลังจากคว้าแชมป์ยุโรปได้ไม่นานสโมสร[17]สโมสรได้เสริมทัพด้วยการซื้อผู้เล่นชื่อดังที่มีประสิทธิภาพหลายคนอาทิเช่น ฟีลิปโป อินซากี, ซีเนดีน ซีดาน, เอ็ดการ์ ดาวิดส์.ซึ่งผลจากการซื้อผู้เล่นใหม่มาทำให้สโมสรคว้าแชมป์เซเรียอาได้ใน 1996-97 และ 1997-98 และในช่วงเดียวกันนั้นสโมสรก็สามารถคว้าแชมป์ ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปและอเมริกาใต้ และ ยูฟ่าซูเปอร์คัพ ได้ในปี ค.ศ. 1996.ต่อมาในปี ค.ศ. 1997 และปี ค.ศ. 1998 สโมสรสามารถเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ถึง 2 รอบ แต่ก็ได้แค่รองแชมป์ทั้งสองรอบด้วยการปราชัยให้แก่ โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ และ เรอัลมาดริด ตามลำดับ.[18][19]
หลังจากผ่านไปนาน ลิปปีก็ได้กลับมาคุมทีมอีกครั้งในปี ค.ศ. 2001.แล้วได้ซื้อผู้เล่นใหม่มามากมายอาทิเช่น จันลุยจี บุฟฟอน, ดาวิด เทรเซกูเอต, ปาเวล เนดเวด และ ลีเลียน ทูร์ราม มาช่วยให้สโมสรสามารถคว้าแชมป์เซเรียอาได้ในฤดูกาล 2001-02และ2002-03[4] ในปี ค.ศ. 2003 ยูเวนตุสในฐานะแชมลีกได้เข้าไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกจนเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศโดยพบกับ เอซี มิลานสโมสรจากประเทศเดียวกันผลออกมาเสมอ 0-0 แต่ยูเวนตุสก็เป็นฝ่ายแพ้ในการดวลจุดโทษ.จากการแข่งขันนี้ทำให้ลิปปีได้ลาออกจากผู้จัดการทีมแล้วไปคุม ฟุตบอลทีมชาติอิตาลีแล้วทำให้ต้องหยุดสถิติการนำยูเวนตุสคว้าแชมป์รายการทั้งหมดไว้แค่ 13 รายการ แต่เขาก็ยังเป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จกับยูเวนตุสอยู่ในประวัติศาสตร์ของสโมสร.[9]
เรื่องอื้อฉาวในอิตาลี
ฟาบีโอ กาเปลโล ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมให้สโมสรในปี ค.ศ. 2004.คาเปลโลสามารถนำทีมได้อันดับที่ 3 ของลีก.ในช่วงเดือนพฤษภาคม ปีค.ศ. 2006 ยูเวนตุสกลายเป็นหนึ่งในห้าสโมสรที่เชื่อมโยงกับเรื่องอื้อฉาวในการล้มบอลผลจากการลงโทษทำให้ยูเวนตุสได้ถูกลดชั้นลงไปเล่นเซเรียบีครั้งแรกเป็นประวัติศาสตร์ของสโมสร.นอกจากนั้นสโมสรก็ได้ปลดกาเปลโลที่สามารถนำทีมได้แชมป์ลีกในปี ค.ศ. 2005 และ ค.ศ. 2006 (โดนริบแชมป์) ออกจากเป็นผู้จัดการทีม .[20]
ผู้เล่นคนสำคัญหลายคนที่เหลือต่อไปได้ออกจากสโมสรหลังจากสโมสรได้ถูกปรับชั้นให้ลงไปเล่นในเซเรียบีอาทิเช่น ซลาตัน อีบราฮีมอวิช, ฟาบีโอ กันนาวาโรแต่ผู้เล่นคนอื่นคนอื่นก็ยังตัดสินใจอยู่ร่วมช่วยสโมสรเพื่อให้กับไปเล่นในเซเรียอาต่อเช่น อาเลสซันโดร เดล ปีเอโร, เนดเวด ขณะที่ผู้เล่นเยาวชนจากพรีมาเวรา เช่น เซบัสเตียน โจวินโก และ เคลาดีโอ มาร์คีซีโอ ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้เล่นตัวจริงของสโมสรมาช่วยในทีมชุดใหญ่.หลังจากนั้นพวกเขาก็สามารถเลื่อนชั้นขึ้นมาสู่เซเรียอาได้สำเร็จ โดยเป็นสโมสรแรกที่ตกชั้นจากเซเรียเอไปสู่เซเรียบีแล้วใช้เวลาแค่ 1 ฤดูกาลสามารถเลื่อนชั้นขึ้นมาได้ แล้วกัปตันทีมของสโมสรอย่างอาเลสซันโดร เดล ปีเอโรก็ยังเป็นดาวซัลโวสูงสุดของเซเรียบีในฤดูกาล 2006-07 ด้วยการทำไป 21 ประตูอีกด้วย
กลับสู่เซเรียอา
ตั้งแต่กลับสู่ เซเรียอา ได้ในฤดูกาล2007-08 ด้วยการนำทีมของอดีตผู้จัดการทีมของสโมสรฟุตบอลเชลซีอย่าง เคลาดีโอ รานีเอรีซึ่งมาคุมทีมสองฤดูกาล.[21].สโมสรสามารถจบอันดับที่ 3 ได้หลังจากเลื่อนชั้นขึ้นมาในฤดูกาลแรก และในรอบคัดเลือก ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2008-09 โดยในรอบเพลย์ออฟถล่มทีมจากสโลวาเกียได้ถึง 5-1 แล้วในรอบแบ่งกลุ่มพวกเขาสามารถเอาชนะเรอัลมาดริดได้ในบ้านและเป็นแชมป์กลุ่มจึงสามารถทะลุเข้ารอบต่อไปได้แต่ก็ต้องปราชัยให้กับ สโมสรฟุตบอลเชลซี ไปด้วยสกอร์ 3-2.ก่อนจบฤดูกาลสองนัดสุดท้ายรานีเอรีก็โดนไล่ออกหลังจากไม่ประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์, และสโมสรได้แต่งตั้ง ซิโร เฟอร์รารา เป็นผู้จัดการทีมชั่วคราวในการคุมทีมสองเกมส์สุดท้ายของฤดูกาล[22] ก่อนที่จะถูกแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการในฤดูกาล 2009-10.[23]
อย่างไรก็ตามเฟอร์ราราก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นผู้จัดการทีมที่ไม่ประสบความสำเร็จกับสโมสร โดยนำยูเวนตุสตกรอบยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่มซึ่งได้แค่อันดับที่ 3 แล้วในโกปปาอีตาเลียก็แพ้ให้กับอินเตอร์มิลานในรอบ 8 ทีมสุดท้าย แล้วยังนำยูเวนตุสได่แค่อันดับที่ 6 ในลีก.แล้วในเดือนมกราคม ค.ศ. 2010สโมสรได้ปลดเฟอร์ราราออก, แล้วแต่งตั้งอัลแบร์โต ซัคเคโรนีเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราวแต่ซัคเคโรนีก็ไม่ได้ช่วยให้ยูเวนตุสมีผลงานที่ดีขึ้นได้ซึ่งสโมสรจบอันดับ 7 ของเซเรียอา ในฤดูกาล 2010-11, อันเดรอา อักเนลลี ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานสโมสรแทน จีน-คลูเด บลันซ์.โดยอักเนลลีได้แต่งตั้งให้อเลสซีโอ เซกโกกับอดีตผู้จัดการทีมของอูนีโอเนกัลโชซัมป์โดเรียอย่าง ลูอีกี เดลเนรีเป็นผู้อำนวยการกีฬาของสโมสรแทนซาดเชโรนี และเขาก็ได้แต่งตั้งให้ กีอูเซปเป มารอตตา เป็นผู้จัดการทีมของสโมสร .[24].แต่การคุมทีมของเดลเนรีก็ล้มเหลวเนื่องจากทำผลงานไม่ได้ดีอย่างที่คิดทางสโมสรจึงแต่งตั้งงให้อดีตผู้เล่นของสโมสรและเป็นผู้เล่นที่แฟนบอลทุกคนชื่นชอบและรู้จักกันดีอย่าง อันโตนีโอ คอนเต ซึ่งคอนเตทำผลงานได้ดีในการเป็นผู้จัดการทีมด้วยการนำทีม สโมสรฟุตบอลเซียนา เลื่อนชั้นจากเซเรียบีขึ้นมาสู่เซเรียอาได้สำเร็จ.
ด้วยแท็กติกและความฉลาดของคอนเตในฐานะผู้จัดการทีมทำให้เขาสามารถคุมทีมยูเวนตุสไปทั้งตลอดฤดูกาล 2011-12. ซึ่งในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลที่สโมสรต้องแข่งขันแย่งแชมป์เซเรียอากับคู่แข่งทางเหนืออย่างสโมสรเอซี มิลาน โดยสถานการที่ถือว่าตัดสินแชมป์ได้อย่างแท้จริงคือในนัดที่ 37 ของลีกซึ่งยูเวนตุสเอาชนะกายารีไป 2-0 และมิลานแพ้ให้กับคู้แข่งร่วมเมืองอย่างอินเตอร์ มิลานไป 4-2.หลังจากนั้นในนัดสุดท้ายยูเวนตุสเอาชนะสโมสรฟุตบอลอลันตานาไปได้ 3-1 ในนัดสุดท้าย.ซึ่งทำให้ยูเวนตุสเป็นทีมแรกของเซเรียอาที่ไม่แพ้ให้กับทีมใดตลอด 38 เกมที่ทำการแข่งขัน.[25]
แบรนด์เสื้อและผู้สนับสนุน
ปีที่ใช้ | แบรนด์เสื้อ | ผู้สนับสนุน |
---|---|---|
1979–1989 | Kappa | Ariston |
1989–1992 | Upim | |
1992–1995 | Danone | |
1995–1998 | Sony | |
1998–1999 | D+Libertà digitale / Tele+ | |
1999–2000 | CanalSatellite / D+Libertà digitale / Sony | |
2000–2001 | Lotto | Sportal.com / Tele+ |
2001–2002 | Fastweb / Tu Mobile | |
2002–2003 | Fastweb / Tamoil | |
2003–2004 | Nike | |
2004–2005 | Sky Sport / Tamoil | |
2005–2007 | Tamoil | |
2007–2010 | FIAT Group (New Holland) | |
2010–2012 | BetClic / Balocco | |
2012–2015 | FIAT S.p.A (Jeep) | |
2015- | Adidas | FIAT S.p.A (Jeep) |
สนามที่ใช้ในการแข่งขัน
สโมสรยูเวนตุสนับตั้งแต่ก็ตั้งสโมสรขึ้นมาในปี ค.ศ. 1897 มาจนถึงปัจจุบันสโมสรได้เปลี่ยนสนามเหย้ามาแล้วทั้งหมด 5 สนาม โดยแยกตามปีได้ดังนี้
- สนามเวโลโดรโมอัมเบรโต I ใช้ในช่วงปี ค.ศ. 1904 ถึง ค.ศ. 1909
- สนามสตาดีโอดีคอร์ซีเซบาสโตโปลี ใช้ในช่วงปี ค.ศ. 1909 ถึง ค.ศ. 1922
- สนามสตาดีโอดีคอร์โซมาร์ซีเกลีย ใช้ในช่วงปี ค.ศ. 1923 ถึง ค.ศ. 1933
- สนามสตาดีโอโอลิมปีโกโตริโน ใช้ในช่วงปี ค.ศ. 1933 ถึง ค.ศ. 1990 / ค.ศ. 2006 ถึง ค.ศ. 2011
- สนามสตาดีโอเดลเลอัลปี ใช้ในช่วงปี ค.ศ. 1990 ถึง ค.ศ. 2006
- สนามยูเวนตุสสเตเดียม ใช้ในช่วงปี ค.ศ. 2011 ถึง ปัจจุบัน
ผู้เล่น
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
- ณ วันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 2019[26]
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
|
สตาฟโค้ชของสโมสร
[[ไฟล์:Allegri_with_Milan_players_(cropped)_-_2.jpg|thumb|211x211px|[[ไฟล์:SarriChelsea.png|thumb|เมารีซีโอ ซาร์รี่ ผู้จัดการทีมคนปัจจุบัน|258x258px]]|alt=]]
ตำแหน่ง | เจ้าหน้าที่ |
---|---|
ผู้จัดการทีม | เมารีซีโอ ซาร์รี |
ผู้ช่วยผู้จัดการทีม | จิโอวานนี่ มาตูส์เชียลโล่ |
ผู้ฝึกสอนผู้รักษาประตู | คลาดิโอ ฟิลลิปปี |
หัวหน้าผู้ฝึกสอน | มาร์โก้ เอียนนี่ |
หัวหน้าผู้ฝึกสอนฟิตเนส | เดเนียล ตอญาคซินี่ |
ผู้ฝึกสอนฟิตเนส | อันเดรีย เปอตูซิโอ้ |
ผู้ฝึกสอนฟิตเนส | ดาวิด โลซี่ |
หัวหน้าผู้ฝึกสอนเทรนนิงเชค | โรแบร์โต ซาสซี |
อ้างอิง: Juventus.com
สถิติผู้เล่น
สถิติทำประตูสูงสุด
- อเลสซานโดร เดล ปีเอโร - 272
- จามปีเอโร โบนีแปร์ตี - 182
- โรแบร์โต เบตเตก้า - 178
- โอมาร์ ซิวอรี - 167
- เฟลีเซ ปลาซีโด โบเรล II -161
สถิติเล่นให้สโมสรสูงสุด
- อเลสซานโดร เดล ปีเอโร - 629
- เกตาโน ชีเรีย -552
- จูเซปเป ฟูรีโน -528
- จันลุยจี บุฟฟอน -509
- โรเบอร์โต เบตเตกา - 481
ประวัติเกียรติยศของสโมสร
ยูเวนตุสเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของอิตาลีตามประวัติศาสตร์ โดยคว้าแชมป์มาครองได้ถึง 40 รายการ และยังเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีชื่อเสียง และเกียรติประวัติมากที่สุดในโลก เพราะสามารถคว้าแชมป์ระดับนานาชาติได้ถึง 11 รายการ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จในระดับนี้เป็นอันดับ 3 ในยุโรป และอันดับ 6 ของโลก
ทีมหญิงชราทีมนี้ยังได้มีดาวสีทองสำหรับความยอดเยี่ยมบนเสื้อของทีม 2 ดวง เพื่อแสดงถึงการคว้าแชมป์ลีกนับครั้งไม่ถ้วน โดยการคว้าแชมป์ 10 ครั้ง จะได้สิทธิ์ในการติดดาว 1 ดวง แชมป์ 10 ครั้งแรกนั้นอยู่ในช่วงฤดูกาล 1957-58 และครบ 20 ครั้งในฤดูกาล 1981-82 นอกจากความยิ่งใหญ่ในประเทศ ยูเวนตุสยังเป็นสโมสรเดียวที่ได้แชมป์รายการระดับนานาชาติครบทุกรายการ
เบียงโคเนรีถูกจัดอันดับให้อยู่อันดับ 7 และอันดับสูงสุดของทีมจากอิตาลี ในการจัดอันดับสโมสรของฟีฟ่าในศตวรรษที่ 20 ซึ่งมีขึ้นในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2543 (ค.ศ.2000)
ขณะเดียวกันยูเวนตุสยังมีชื่อเสียงในด้านลบเกี่ยวกับอิทธิพลมืดในวงการฟุตบอลอิตาเลียน เหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดคือ กัลโช่โปลี ซึ่งยูเวนตุส และอีกหลายๆทีม ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีกำหนดผู้ตัดสินในนัดที่ตัวเองลงแข่ง โดยมีหลักฐานเป็น ซิมการ์ดบันทึกบทสนทนาในโทรศัพท์มือถือ ซึ่งแม้จะไม่มีหลักฐานชี้ไปถึงการกำหนดผลการแข่งขัน แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ศาลกีฬาตัดสินให้ยูเวนตุสตกชั้น และถูกริบแชมป์ ในขณะที่ทีมมิลาน ฟิออเรนติน่า และลาซิโอถูกตัดแต้ม ซึ่งแม้ภายหลังจะมีการตรวจสอบพบหลักฐานที่ทีมอินเตอร์ มิลานก็มีส่วนพัวพันกับคดีนี้ เพราะมีการตรวจพบหลักฐานว่า อินเตอร์มิลานก็มีการติดต่อขอกำหนดตัวผู้ตัดสินในนัดที่ทีมลงแข่ง อีกทั้ง Moratti ผู้เป็นเจ้าของทีม ยังมีหุ้นส่วนใหญ่ใน บริษัทสื่อสาร TIM แต่เนื่องจากคดีหมดอายุความ ทำให้อินเตอร์ มิลานไม่ได้ถูกสอบสวน หรือริบแชมป์ย้อนหลัง แต่อย่างใด
เกียรติประวัติ
ระดับประเทศ
- เซเรียอา (สกูเดตโต)[27]
- ชนะเลิศ (35): 1905, 1925–26,[28] 1930–31, 1931–32, 1932–33, 1933–34, 1934–35, 1949–50, 1951–52, 1957–58, 1959–60, 1960–61, 1966–67, 1971–72, 1972–73, 1974–75, 1976–77, 1977–78, 1980–81, 1981–82, 1983–84, 1985–86, 1994–95, 1996–97, 1997–98, 2001–02, 2002–03, 2011–12, 2012–13, 2013–14, 2014–15, 2015–16, 2016–17, 2017–18, 2018–19
- เซเรียบี
- ชนะเลิศ (1): 2006–07
ระดับทวีปยุโรป
- ยูโรเปียนคัพ/ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก[29]
- ชนะเลิศ (2): 1984–85, 1995–96
- ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ
- ชนะเลิศ (1): 1983–84
- ยูฟ่าคัพ/ยูฟ่ายูโรปาลีก[30]
- ชนะเลิศ (3): 1976–77, 1989–90, 1992–93
- ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ [31]
- ชนะเลิศ (1): 1999
- ยูฟ่าซูเปอร์คัพ [32]
- ชนะเลิศ (2): 1984, 1996
ระดับโลก
- อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ[33]
- ชนะเลิศ (2): 1985, 1996
หุ้นของสโมสร
ก่อตั้ง | 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2440 |
---|---|
รายได้ | €172,066,450 (2010–11) |
รายได้จากการดำเนินงาน | (€92,154,792) (2010–11) |
รายได้สุทธิ | (€95,414,019) (2010–11) |
สินทรัพย์ | €334,040,001 (2010–11) |
ส่วนของผู้ถือหุ้น | (€4,951,466) (2010–11) |
อ้างอิง
- ↑ GolfGear (2012-05-11). "ทำไมถึงเรียกแฮร์ธ่าว่า old lady (หญิงชรา) ครับ". พันทิปดอตคอม. สืบค้นเมื่อ 2016-12-18.
- ↑ "Storia della Juventus Football Club". magicajuventus.com (ภาษาItalian). สืบค้นเมื่อ 8 July 2007.
{{cite web}}
: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์)[ลิงก์เสีย] - ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 "Juventus Football Club: The History". Juventus Football Club S.p.A official website. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 July 2008. สืบค้นเมื่อ 9 August 2008.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 4.5 4.6 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อleague
- ↑ "FIFA Classic Rivalries: Torino vs Juventus". Fédération Internationale de Football Association. สืบค้นเมื่อ 29 June 2007.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อHazzard
- ↑ (Papa 1993, p. 271)
- ↑ "Tanti auguri, Presidente!" (ภาษาItalian). Juventus Football Club S.p.A official website. สืบค้นเมื่อ 3 July 2009.
{{cite news}}
: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์)[ลิงก์เสีย] - ↑ 9.0 9.1 9.2 "Albo d'oro Serie A TIM". Lega Nazionale Professionisti Serie A (ภาษาItalian). สืบค้นเมื่อ 21 May 2012.
{{cite web}}
: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์) - ↑ (Glanville 2005, p. 263)
- ↑ 11.0 11.1 "European Footballer of the Year ("Ballon d'Or")". The Record Sport Soccer Statistics Foundation. สืบค้นเมื่อ 8 June 2007.
- ↑ "Olsson urges anti-racism action". Union des Associations Européennes de Football. 13 May 2005. สืบค้นเมื่อ 22 January 2011.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อGiovanni Trapattoni
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อEl Mundo Deportivo
- ↑ (TheTechnician (UEFA) 2010:5)
- ↑ "1995/96: Juve hold their nerve". Union des Associations Européennes de Football. 22 May 1996.
- ↑ "1996: Dazzling Juve shine in Paris". Union des Associations Européennes de Football. 1 March 1997.
- ↑ "UEFA Champions League 1996–97: Final". Union des Associations Européennes de Football. 28 May 1997.
- ↑ "UEFA Champions League 1997–98: Final". Union des Associations Européennes de Football. 20 May 1997.
- ↑ "Italian trio relegated to Serie B". BBC. 14 July 2006. สืบค้นเมื่อ 14 July 2006.
- ↑ "Ranieri appointed Juventus coach". BBC News. 4 June 2007. สืบค้นเมื่อ 4 June 2007.
- ↑ "Via Ranieri, ecco Ferrara" (ภาษาItalian). Union des Associations Européennes de Football. สืบค้นเมื่อ 19 May 2009.
{{cite news}}
: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์) - ↑ "Ferrara handed Juventus reins". Union des Associations Européennes de Football. สืบค้นเมื่อ 5 June 2009.
- ↑ "Zaccheroni nuovo allenatore della Juventus" (ภาษาItalian). Juventus Football Club S.p.A official website. 29 January 2010. สืบค้นเมื่อ 29 January 2010.
{{cite news}}
: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์)[ลิงก์เสีย] - ↑ "A Scudetto built on defense". juventus.com. 15 May 2012.
- ↑ "First Team - Juventus.com". Juventus.com. สืบค้นเมื่อ 2018-08-18.
- ↑ The 2004-05 and 2005-06 Italian League championship titles were stripped as consequence of the 2006 Serie A scandal.
- ↑ Up until 1929, the top division of Italian football was the Federal Football Championship, since then, it has been the Lega Calcio Serie A.
- ↑ Up until 1992, the European football's premier club competition was the European Champion Clubs' Cup; since then, it has been the ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก.
- ↑ The European Inter-Cities Fairs Cup (1958–1971) was a football tournament organized by foreign trade fairs in European seven cities (London, Barcelona, Copenhagen, and others) played by professional and –in its first editions- amateur clubs. Along these lines, that's not recognized by the Union of European Football Associations. See: "History of the UEFA Cup". uefa.com. สืบค้นเมื่อ August.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help). - ↑ "European team profiles: Juventus F.C." uefa.com. สืบค้นเมื่อ 26 December.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help). - ↑ The UEFA Super Cup 1985 final between the Old Lady and Everton, 1984-85 Cup Winners' Cup winners not played due to the Heysel Stadium disaster. See: "History of the UEFA Super Cup". uefa.com. สืบค้นเมื่อ August.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์|accessyear=
ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=
) (help). - ↑ Up until 2004, the main FIFA football club competition was the Intercontinental Champions Club' Cup (so called European / South American Cup); since then, it has been the FIFA World Club Championship.