ข้ามไปเนื้อหา

เฟร์นันโด ตอร์เรส

หน้าถูกกึ่งป้องกัน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เฟร์นันโด ตอร์เรส
ตอร์เรสกับอัตเลติโกมาดริดในปี ค.ศ. 2017
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม เฟร์นันโด โฆเซ ตอร์เรส ซันซ์[1]
วันเกิด (1984-03-20) 20 มีนาคม ค.ศ. 1984 (40 ปี)[1]
สถานที่เกิด ฟูเอนลาบราดา สเปน
ส่วนสูง 1.86 เมตร (6 ฟุต 1 นิ้ว)[2]
ตำแหน่ง กองหน้าตัวเป้า
ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบัน
อัตเลติโกเดมาดริด อายุไม่เกิน 19 ปี (ผู้จัดการทีม)
สโมสรเยาวชน
1995–2001 อัตเลติโกเดมาดริดเยาวชน
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
2001–2007 อัตเลติโกเดมาดริด 214 (91)
2007–2011 ลิเวอร์พูล 102 (65)
2011–2015 เชลซี 110 (20)
2014–2015มิลาน (ยืมตัว) 10 (1)
2015–2016 มิลาน 0 (0)
2015–2016อัตเลติโกเดมาดริด (ยืมตัว) 49 (14)
2016–2018 อัตเลติโกเดมาดริด 58 (13)
2018–2019 ซางัน โทสุ 35 (5)
รวม 578 (200)
ทีมชาติ
2000 สเปน อายุไม่เกิน 15 ปี 1 (0)
2001 สเปน อายุไม่เกิน 16 ปี 9 (11)
2001 สเปน อายุไม่เกิน 17 ปี 4 (1)
2002 สเปน อายุไม่เกิน 18 ปี 1 (1)
2002 สเปน อายุไม่เกิน 19 ปี 5 (6)
2002–2003 สเปน อายุไม่เกิน 21 ปี 10 (3)
2003–2014 สเปน 110 (38)
จัดการทีม
2021– อัตเลติโกเดมาดริด อายุไม่เกิน 19 ปี
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น
ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 20:23, 20 พฤษภาคม ค.ศ. 2018 (UTC)
‡ ข้อมูลการลงเล่นและประตูให้แก่ทีมชาติล่าสุด
ณ วันที่ 20:42, 16 พฤษภาคม ค.ศ. 2018 (UTC)

เฟร์นันโด โฆเซ ตอร์เรส ซันซ์ (สเปน: Fernando José Torres Sanz; เกิด 20 มีนาคม ค.ศ. 1984) เป็นอดีตนักฟุตบอลชาวสเปน ปัจจุบันเป็นผู้จัดการทีมอัตเลติโกเดมาดริด รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ได้รับฉายาจากสื่อในสเปนว่า El Niño "เอลนีโญ" เนื่องจากความสามารถในการทำประตูที่โดดเด่นตั้งแต่อายุยังน้อย และเป็นฉายาที่ติดตัวเขามาตลอดอาชีพ ในช่วงที่ตอร์เรสโด่งดังถึงขีดสุด เขาได้รับการยกย่องในด้านฝีเท้า, การจบสกอร์ และ ทักษะลูกกลางอากาศ

ตอร์เรสเกิดที่เมืองฟูเอนลาบราดา เมืองชนบททางใต้ของกรุงมาดริด เดิมทีเป็นเด็กฝึกหัดของอัตเลติโกเดมาดริดในลาลิกา และก้าวขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่ครั้งแรกใน ค.ศ. 2001 และได้รับเลือกเป็นกัปตันของทีมในขณะที่มีอายุเพียง 19 ปี ตอร์เรสกลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญของสโมสรหลายฤดูกาล และอำลาทีมไปด้วยผลงาน 75 ประตูจากการลงสนาม 174 นัดในลาลิกา เขาย้ายร่วมทีมลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีกใน ค.ศ. 2007 ด้วยมูลค่า 26 ล้านปอนด์ และกลายเป็นผู้เล่นที่ใช้เวลาน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรที่ทำครบ 50 ประตูในลีก ส่งผลให้เขาคว้าอันดับสามในการประกาศรางวัลบาลงดอร์ และนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปีใน ค.ศ. 2008 ด้วยความมุ่งมั่นที่จะคว้าถ้วยรางวัล ส่งผลให้เขาย้ายร่วมทีมเชลซีในเดือนมกราคม ค.ศ. 2011 ด้วยราคา 50 ล้านปอนด์ซึ่งเป็นสถิติของพรีเมียร์ลีกในขณะนั้น รวมทั้งเป็นสถิติสูงสุดในการย้ายทีมของนักฟุตบอลสเปน ตอร์เรสชนะเลิศสามถ้วยรางวัลได้แก่ เอฟเอคัพ, ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และยูฟ่ายูโรปาลีก เขาย้ายร่วมทีมเอซีมิลานด้วยสัญญายืมตัวในฤดูกาล 2014–15 และกลับไปยังอัตเลติโกเดมาดริดซึ่งเขาลงเล่นเป็นระยะเวลา 4 ฤดูกาล พาทีมชนะเลิศยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2017–18 ก่อนจะลงเล่นให้กับซางัน โทซุในเจลีก ดิวิชัน 1 เป็นสโมสรสุดท้าย และเลิกเล่นอาชีพใน ค.ศ. 2019

ตอร์เรสลงเล่นให้ทีมชาติสเปนครั้งแรกในเกมกระชับมิตรกับโปรตุเกสใน ค.ศ. 2003 เขาลงสนามให้ทีมชาติจำนวน 110 นัด และผลงาน 38 ประตูถือเป็นสถิติอันดับสามตลอดกาลของทีมชาติสเปน ตอร์เรสมีส่วนร่วมในรายการระดับเมอร์ 6 รายการติดต่อกัน ได้แก่: ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004, ฟุตบอลโลก 2006, ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008, ฟุตบอลโลก 2010, ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 และฟุตบอลโลก 2014 โดยสเปนชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 และ 2012 ซึ่งตอร์เรสทำประตูในนัดชิงชนะเลิศได้ทั้งสองนัด รวมทั้งการชนะเลิศฟุตบอลโลก 2010 ซึ่งเป็นแชมป์สมัยแรกของสเปน ตอร์เรสยังเป็นผู้ทำประตูสูงสุด (รางวัลรองเท้าทองคำ) ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012

ผลงานในระดับสโมสร

อัตเลติโกเดมาดริด

ตอร์เรส เริ่มต้นเป็นนักฟุตบอลกับอัตเลติโกเดมาดริด มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 เมื่อครั้งยังเป็นนักฟุตบอลฝึกหัด และมีแววว่าจะได้เป็นนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียง จนกระทั่งสามารถขึ้นสู่ชุดใหญ่ของสโมสรได้ตอนอายุเพียง 17 ปี และได้รับตำแหน่งกัปตันทีมเมื่ออายุเพียง 19 ปี โดยลงเล่นให้กับอัตเลติโกเดมาดริดไปทั้งสิ้น 244 นัด ยิงประตูได้ 91 ประตู [3]

ลิเวอร์พูล

ฤดูกาล 2007-2008 (ฤดูกาลแรก)

ตอร์เรสกับลิเวอร์พูล ในฤดูกาล 2007–08

ค่าตัวในการเซ็นสัญญาของ เฟร์นันโด ตอร์เรส ได้รับการบันทึกไว้เป็นสถิติสูงสุดของลิเวอร์พูล แม้ว่าสื่ออังกฤษรายงานว่าอยู่ที่ประมาณ 26.5 ล้านปอนด์ ราฟาเอล เบนีเตซ ยืนยันในการสัมภาษณ์กับสื่อสเปนว่า ค่าตัวอยู่ที่เกือบ 20 ล้านปอนด์ ยังมีรายงานอีกว่า ตอร์เรสยอมลดค่าเหนื่อยเพื่อการย้ายทีมครั้งนี้ หนังสือพิมพ์ชื่อดังอย่าง The Times รายงานว่า ค่าเหนื่อยดังกล่าวลดจำนวนลงจาก 103,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ในสเปน เหลือ 91,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์[4]

ในวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 2007 ตอร์เรสลงแข่งนัดเปิดตัวให้ลิเวอร์พูลโดยแข่งกับแอสตันวิลลา และชนะไปด้วยผลประตู 2–1 หลังจากนั้นตอร์เรสยิงประตูแรกในพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ ในการลงแข่งครั้งแรกในสนามแอนฟีลด์ ในวันที่ 19 สิงหาคมซึ่งจบด้วยผลเสมอ 1–1 กับเชลซี โดยวิ่งไปรับบอลจากการส่งของ สตีเฟน เจอร์ราร์ด ตอร์เรสเลี้ยงผ่านกองหลังเชลซี ทาล เบน ฮาอิม และยิงผ่านมือผู้รักษาประตู ปีเตอร์ เช็ค เข้าไป

ตอร์เรสยิงแฮตทริกเป็นครั้งแรกให้สโมสรในวันที่ 25 กันยายน ในนัดเยือนถ้วยคาร์ลิงคัพกับเรดดิง และชนะไป 4–2[5] จากนะั้น ประตูแรกของตอร์เรสในเกมคือประตูที่ยิงให้ลิเวอร์พูลนำ 2–1 ลูกที่สองของเขาทำให้ลิเวอร์พูลนำ 3–2 และตามด้วยลูกปิดท้าย 4–2 หลังจากจบการแข่งขัน ตอร์เรสได้รับการคิดเลือกเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน และเนื่องจากตอร์เรสสามารถทำแฮตทริกได้สำเร็จ เขาจึงได้รับลูกบอลที่ใช้ในการแข่งขันเป็นของที่ระลึก

ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ต.ศ. 2008 ตอร์เรสสามารถทำแฮตทริกแรกในลีกได้สำเร็จในเกมที่ลิเวอร์พูลเปิดบ้านเอาชนะมิดเดิลสโบร 3–2 ต่อมา ในวันที่ 5 มีนาคม ตอร์เรสสามารถทำแฮตทริกได้อีกครั้งในเกมที่ลิเวอร์พูลเอาชนะเวสต์แฮมยูไนเต็ด 4–0 ได้รับการบันทึกไว้เป็นสถิติว่า เป็นผู้เล่นคนแรกต่อจากแจ็กกี บัลเมอร์ ในการทำแฮตทริกในเกมที่แอนฟีลด์ติดต่อกันสองนัดนัดในปี 1946 และยังเป็นนักเตะคนที่ 5 ของสโมสรที่สามารถทำได้ ตอร์เรสได้รับการคัดเลือกให้ได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งเดือนกุมภาพันธ์ของพรีเมียร์ลีก โดยนอกจากนี้เขายังเป็นนักเตะนอกสหราชอาณาจักรคนแรกที่ยิงได้ 15 ประตูในพรีเมียร์ลีกให้ลิเวอร์พูล

ในวันที่ 15 มีนาคม ตอร์เรสกลายเป็นผู้เล่นคนแรกของสโมสรต่อจาก ร็อบบี ฟาวเลอร์ ที่สามารถทำประตูในลีกได้เกินถึง 20 ประตูใน 1 ฤดูกาล เมื่อเขาทำประตูให้ทีมเอาชนะเรดดิง 2–1 และหลังจากนั้น ตอร์เรสก็สามารถยิงประตูช่วยให้ทีมเอาชนะอินเตอร์มิลานในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย ต่อมา วันที่ 13 เมษายน ตอร์เรสทำประตูที่ 30 ของตัวเองให้กับลิเวอร์พูลได้ในฤดูกาลแรกที่ย้ายมา โดยประตูดังกล่าวเกิดขึ้นในเกมที่ลิเวอร์พูลเปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะแบล็กเบิร์นโรเวอร์ส 3–1 ในพรีเมียร์ลีก และด้วยประตูนี้เอง ทำให้ตอร์เรสทำสถิติยิงประตูติดต่อกัน 7 นัด ในแอนฟีลด์

และในวันสุดท้ายของฤดูกาล ณ ในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 2008 ตอร์เรสได้ทำประตูสุดท้ายของฤดูกาลนี้เป็นประตูที่ 33 ที่ทำให้เขาเป็นนักเตะคนแรกที่ทำประตูเกิน 30 ประตูในหนึ่งฤดูกาล โดยก่อนหน้านั้น มีเพียงฟาวเลอร์ (30 ประตู) ในปี 1996–97 ต่อมาในวันที่ 4 พฤษภาคม ณ สนามแอนฟีลด์ ลิเวอร์พูลเปิดบ้านรับการมาเยือนของแมนเชสเตอร์ซิตี และชนะไป 1–0 โดยตอร์เรสเป็นผู้ยิงประตูทำให้เขาสามารถทำประตูติดต่อกันเป็นนัดที่ 8 ในแอนฟีลด์ ส่งผลให้เขาเป็นนักเตะคนแรกของทีมที่ทำสถิตินี้ได้ ไม่นับสถิติเดิมของโรเจอร์ ฮันต์ ในฟุตบอลดิวิชัน 2 เดิมในช่วงทศวรรษที่ 60

จากผลงาน 33 ประตูจาก 46 นัดในทุกรายการ และ 24 ประตู จาก 33 นัดที่ลงแข่งในพรีเมียร์ลีกซึ่งไม่มีประตูจากจุดโทษเลย ทำให้ตอร์เรสเป็นนักเตะต่างชาติที่ทำประตูสูงสุดเพียงปีแรกที่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกคนใหม่ และทำให้เขามีสถิติยิงประตูเฉลี่ยทุก ๆ 1.39 เกม ทำลายสถิติผู้เล่นที่ทำประตูเฉลี่ยสูงสุดให้ลิเวอร์พูลในฤดูกาลแรกของ จอห์น อัลดิดจ์ (1.55 เกม) และยังเอาชนะนักเตะอย่างเอียน รัช (1.63), โรเจอร์ ฮันต์ (1.65), ร็อบบี ฟาวเลอร์ (1.83), ไมเคิล โอเวน (1.91) และเคนนี ดัลกลิช (2) ได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีสถิติที่น่าจดจำคือ ทุกนัดที่เขาสามารถทำประตูได้ในเกมลีกทีมจะไม่แพ้ และ 25 ประตู ใน 33 ประตูที่เขาทำได้ในฤดูกาลนี้เกิดขึ้นในสนามแอนฟีลด์ นัดสุดท้ายที่เขาเล่นให้ลิเวอร์พูลคือนัดที่ลิเวอร์พูลบุกชนะวูล์ฟแฮมป์ตัน 3–0 เมื่อ 22 มกราคม ปี 2011

เชลซี

ตอร์เรสทำสองประตูในนัดที่เชลซีพบกับเลสเตอร์ซิตี ในเอฟเอคัพ รอบ 5 ค.ศ. 2012

ในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2011 ตอร์เรสได้ย้ายจากลิเวอร์พูลมาเชลซีด้วยค่าตัวที่สูงที่สุดในอังกฤษคือ 50 ล้านปอนด์ (ราว 2,458 ล้านบาท) ในเกมแรกเขาลงสนามเจอกับทีมเก่าอย่างลิเวอร์พูลที่สนามสแตมฟอร์ดบริดจ์ ผลการแข่งขันปรากฏว่าเชลซีแพ้ไป 0–1 ประตูแรกของตอร์เรสนั้น เป็นเกมที่เชลซีชนะเวสต์แฮมยูไนเต็ด 3–0 ที่ สนามสแตมฟอร์ดบริดจ์ โดยนัดนั้นเชลซีขึ้นนำไปก่อน 1–0 ก่อนที่ตอร์เรสจะถูกเปลี่ยนตัวลงไปแทนดีดีเย ดรอกบา และทำประตูด้วยเท้าซ้ายทำให้เชลซีขึ้นนำ 2–0 และเขาได้รับการยกย่องให้เป็นแมนออฟเดอะแมตช์ในเกมนั้น

เข้าสู่ฤดูกาล 2011–12 ตอร์เรสได้มีโอกาสลงเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2012 รอบแบ่งกลุ่ม เขายิงสองประตูช่วยให้ทีมชนะเกงค์ไป 5–0 ทว่าหลังจากนั้น ตอร์เรสก็ยิงประตูคู่แข่งไม่ได้อีกเลยในทุกรายการ ทำให้เขาถูกตัดชื่อออกจากทีมชาติสเปนชุดแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 และอุ่นเครื่องกับทีมชาติเวเนซุเอลา จนครบหนึ่งปีที่เขาย้ายออกจากถิ่นแอนฟีลด์สู่สแตมฟอร์ดบริดจ์ จนกระทั่งในวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 2012 เชลซีเปิดบ้านรับมือเลสเตอร์ซิตีและเอาชนะไป 5–2 ตอร์เรสสามารถยิงได้ 2 ประตู และแอสซิสต์อีก 2 ลูก สามารถหยุดสถิติยิงประตูคู่แข่งไม่ได้ในรอบ 5 เดือน 1,541 นาที ตามมาด้วยการทำอีก 1 ประตูในเกมที่ชนะแอสตันวิลลา 4–2 หลังจากนั้นเดือนเมษายนในเกมถ้วยยุโรป เชลซีบุกไปเสมอบาร์เซโลนาได้ 2–2 โดยในเกมนั้น ตอร์เรสเป็นผู้ทำประตูปิดท้ายด้วยการรับบอลยาวของแอชลีย์ โคล กลางสนามก่อนหลุดไปดวลกับบิกตอร์ บัลเดส และล็อกหลบผู้รักษาประตูแล้วส่งบอลสู่ก้นตาข่ายทำให้เชลซีผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศด้วยประตูทีมเยือน แม้เขาจะไม่สามารถยิงได้ในนัดชิงชนะเลิศ แต่เชลซีก็สามารถคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีกได้เป็นสมัยแรกหลังเสมอไบเอิร์นมิวนิกในเวลาปกติ 1–1 ก่อนดวลจุดโทษชนะ 5–4

ตอร์เรสลงเล่นในนัดที่เชลซีไปเยือนอาร์เซนอล วันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 2012

การทำแฮตทริกครั้งแรกของตอร์เรสเกิดขึ้นในเกมที่เชลซีเปิดบ้านชนะควีนส์พาร์กเรนเจอส์ ไป 6–1 โดยเขาทำประตูได้ในนาทีที่ 19,25,64 สำหรับผลงานโดยรวมในฤดูกาล 2011–12 เขายิงประตูได้ 11 ประตู โดยลงสนาม 48 นัด

ก่อนเปิดฤดูกาล 2012–13 เชลซีแข่งขันกับแมนเชสเตอร์ซิตีในเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2012 โดยตอร์เรสเป็นผู้ทำประตูให้เชลซีขึ้นนำไปก่อน 1–0 แต่การแข่งขันจบลงโดยเชลซีแพ้ 2–3 ตอร์เรสยิงประตูแรกในฤดูกาลนี้ของตัวเองได้ในเกมที่เชลซีเปิดบ้านเอาชนะเรดดิง 4–2 และทำอีกนัดละ 1 ประตูในนัดที่เชลซีชนะนิวคาสเซิล, อาร์เซนอล, วูล์ฟแฮมตัน, นอริชซิตี และทำ 1 ประตูในเกมที่ชนะชัคตาร์โดเนตสค์ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 3–2 ในเดือนธันวาคม เชลซีได้ราฟาเอล เบนิเตซมาคุมทีมแทนดี มัตเตโอ ตอร์เรสเริ่มกลับมาทำประตูให้กับทีมในนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่ถล่มโนร์เชลลันด์ 6–1 เขายิงอีกสองประตูในนัดที่พบกับซันเดอร์แลนด์ สามารถปลดล็อกการยิงประตูไม่ได้ในลีกจำนวน 8 เกมติดต่อกัน ตามด้วยการทำประตูในรายการฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลกที่ชนะมอนเตร์เรย์ 3–1

ต่อมา ตอร์เรสทำประตูช่วยให้ทีมเอาชนะลีดส์ยูไนเต็ด 5–1 และในเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ถล่มแอสตันวิลลา 8–0, เอฟเอคัพกับเบรนด์ฟอร์ด ทว่าหลังจากนั้น เขาไม่สามารถทำประตูได้เลยจนถึงปลายเดือนมีนาคม ตอร์เรสก็ยิงประตูได้อีกครั้งในยูฟ่ายูโรปาลีก 1 ประตู (สเตอัวร์บูคาเรสต์, บาเซิล) 3 ประตู (รูบินคาซัน) และ 1 ประตูในนัดชิงชนะเลิศกับไบฟีกาซึ่งเชลซีคว้าแชมป์ไปครอง

ตอร์เรสกลายเป็นนักเตะเชลซีคนแรกที่สามารถยิงประตูได้ถึง 7 รายการในฤดูกาลเดียว คือ พรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ, ลีกคัพ, คัมมิวนิตีชีลด์, ยูฟ่าแชมป์เปียนส์ลีก, ยูฟ่ายูโรปาลีก และฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก

เอซีมิลาน

ในต้นฤดูกาล 2014-15 ตอร์เรสถูกวิจารณ์ว่าฟอร์มตกลงไป กอรปกับการย้ายเข้ามาเชลซีของดีเอโก คอสตา กองหน้าเพื่อนร่วมชาติจากอัตเลติโกเดมาดริด อันเป็นต้นสังกัดเก่าของตอร์เรสด้วย ทำให้ตอร์เรสต้องกลายเป็นตัวสำรอง ดังนั้นทางสโมสรจัดตัดสินให้เอซีมิลาน ทีมในเซเรียอา ของอิตาลี ยืมตัวตอร์เรสไปเป็นระยะเวลา 2 ปีด้วยกัน[6]

กลับสู่อัตเลติโกเดมาดริด

ในต้นปี ค.ศ. 2015 ตอร์เรสได้กลับคืนสู่อัตเลติโกเดมาดริด ในลาลิกา ของสเปนอีกครั้ง ซึ่งเป็นสโมสรดั้งเดิมของตัวเอง พร้อมกับสวมเสื้อหมายเลข 19 ด้วยสัญญายืมตัว 1 ปีครึ่ง โดยสัญญาจะสิ้นสุดลงเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2015-16 [3]

ตอร์เรสได้ลงเล่นในรายการโกปาเดลเรย์รอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่อัตเลติโกเดมาดริด พบกับ เรอัลมาดริด นัดที่ 2 ที่สนามซานเตียโก เบร์นาเบว โดยลงเล่นแทน มารีออ มันจูคิช และตอร์เรสก็ช่วยยิงประตูให้ทีมได้ถึง 2 ลูกในนาทีที่ 1 และนาทีที่ 46 เมื่อจบการแข่งขันเสมอกันไป 2-2 แต่ผลการแข่งขันโดยรวม เรอัลมาดริดแพ้ไป 2-4 [7]

ผลงานในระดับชาติ

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2544 ตอร์เรสชนะเลิศทัวร์นาเมนต์อัลการ์ฟกับทีมชาติสเปนชุดอายุไม่เกิน 16 ปี ในเดือนพฤษภาคม ที่มีได้ลงแข่ง ในฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี และชนะเลิศ โดยตอร์เรสยิงประตูชัยซึ่งเป็นประตูเดียวในนัดชิงชนะเลิศ[8] ตอร์เรสยิงประตูได้มากที่สุดในการแข่งขัน (7 ประตูใน 6 เกม) และได้รับเลือกให้เป็นนักกีฬายอดเยี่ยม

ในปี พ.ศ. 2546 ตอร์เรสได้ลงเล่นเป็นครั้งแรกให้กับทีมชาติสเปนในวันที่ 6 กันยายน ในการแข่งกระชับมิตรกับโปรตุเกส ตอร์เรสยิงประตูแรกให้ทีมชาติได้ในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2547 โดยแข่งกับอิตาลี เมื่อปิดฤดูกาล ตอร์เรสได้รับเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติสเปน เพื่อแข่งในฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรปปี 2547 ตอร์เรสได้ลงสนาม โดยการเปลี่ยนตัว ใน 2 เกมแรกในรอบแบ่งกลุ่มของสเปน แต่ได้ลงสนามเป็นตัวจริงในการแข่งนัดชี้ชะตากับโปรตุเกส ตอร์เรสยิงชนเสาในนาทีที่ 62 หลังจากนูโน โกเมส ยิงให้โปรตุเกสนำ ในนาทีที่ 57 สเปนแพ้ไป 1-0 และตกรอบ

ในการลงแข่งครั้งแรกในฟุตบอลโลกในปี พ.ศ. 2549 ในประเทศเยอรมนี ตอร์เรสยิงประตูสุดท้าย ในเกมที่ชนะยูเครน 4-0 ด้วยลูกวอลเลย์ ในนัดที่สองรอบแบ่งกลุ่ม ตอร์เรสยิง 2 ประตูในนัดเจอตูนิเซีย ประตูแรกในนาทีที่ 76 ทำให้สเปนนำ 2-1 และอีกลูกจากจุดโทษ ในนาทีที่ 90 ตอร์เรสไม่ได้ลงในนัดกระชับมิตรกับโรมาเนีย ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2549 แต่ได้ลงเล่นในนัดกระชับมิตรกับอังกฤษ ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 โดยสเปนชนะไป 1-0

ตอร์เรสฉลองแชมป์ยูโร 2012 กับเพื่อนร่วมทีมชาติ

ในฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป ปี 2551 รอบคัดเลือก ตอร์เรสยิงประตูแรกในนัดเจอกับลีชเทินชไตน์ ซึ่งสเปนชนะไป 4-0 ตอร์เรสยิงลูกเสียบมุมประตู จากระยะ 11 เมตร ตอร์เรสได้ลงเล่นในนัดเจอกับไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งสเปนแพ้ 3-2 สเปนได้แข่งกับสวีเดน และแพ้ไป 2-0 ในนัดนี้ ในนัดเจอเดนมาร์ก ตอร์เรสได้เปลี่ยนตัวลงมาเล่นในนาทีที่ 64 แต่ไม่สามารถยิงประตูได้ แต่สเปนก็ชนะไป 2-1 ตอร์เรสเป็นตัวสำรองอีกครั้ง แต่ได้เปลี่ยนตัวลงมาในนาทีที่ 43 แทนเฟร์นันโด โมเรียนเตส ตอร์เรสยิง 2 ครั้ง แต่ไม่ตรงกรอบทั้งสองครั้ง แต่สเปนยังชนะ 1-0 จากประตูของอีเนียสตาในนาทีที่ 80 ตอร์เรสไม่ได้ถูกเลือกในนัดที่สเปนชนะลัตเวีย 2-0 และนัดเจอลีชเทินชไตน์ 2-0 ตอร์เรสได้ลงเล่นในนัดเสมอ 1-1 กับไอซ์แลนด์ ชาบี อาลอนโซเพื่อนร่วมทีมลิเวอร์พูล โดนใบแดงไล่ออก ในนัดเจอลัตเวีย ตอร์เรสยิงได้ 1 ประตู สเปนได้เป็นที่ 1 ของกลุ่ม และตอร์เรสยิงให้สเปนได้ 2 ประตู

ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 ตอร์เรสยิงประตูได้ 3 ประตู ในเกมที่ชนะทีมชาติไอร์แลนด์ 4-0 สองลูก และในนัดชิงชนะเลิศที่สเปนชนะอิตาลี 4-0 อีกหนึ่งลูก คว้าดาวซัลโวร่วมกับคริสเตียโน โรนัลโด, มารีโอ โกเมซ, มารีโอ บาโลเตลลี, อลัน ดซาโกเอฟ และมารีออ มันจูคิช แต่ตอร์เรสได้รับรางวัลดาวซัลโวรองเท้าทองคำ เนื่องจากยิงได้ 3 ประตู จ่ายให้เพื่อนยิง 1 ลูกและลงเล่นในเวลาที่น้อยกว่า 5คนที่เป็นดาวซัลโวร่วม เขาจึงได้รับรางวัลดาวซัลโวพร้อมแชมป์ยูโร 2012 กับสเปนไปครอง โดยก่อนหน้าที่จะมาทำศึกฟุตบอลยูโร 2012 เขายิงได้ในเกมอุ่นเครื่องกับทีมชาติเกาหลีใต้ได้อีก 1 ลูก

ชีวิตส่วนตัว

ตอร์เรสสนิทกับเพื่อนร่วมทีมชาติสเปน เซร์คีโอ ราโมส ตอร์เรสคบหาอย่างเงียบ ๆ กับแฟนสาว โอลายา โดมิงเกซ ลิสเต (Olalla Domínguez Liste) ซึ่งเขารู้จักตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 โดยครอบครัวของตอร์เรสย้ายไปอยู่บ้านในถนนเดียวกับแฟนสาวในแคว้นกาลิเซีย[9] ตอร์เรสแต่งงานกับโอลายา ไปเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2552

ตอร์เรสแสดงมิวสิกวิดีโอ "Ya Nada Volvera a Ser Como Antes" ของเอลกันโตเดลโลโก วงดนตรีป็อปร็อกของสเปน

เขารับบทนักแสดงสมทบใน "Torrente 3" ซึ่งเป็นหนังตลกสเปน ในปี 2548 เขาแสดงเป็นตัวเองและหลบหลีกอันตราย โดยเตะลูกระเบิดมือ เหมือนกับเป็นลูกฟุตบอล

เขาสักชื่อ "Fernando" ที่ด้านในแขนซ้าย ด้วยอักษรเทงกวาร์ สักหมายเลข 9 ที่ด้านในแขนขวา และสักวันที่ 7-7-2001 เป็นตัวเลขโรมัน ที่ด้านในน่องขวา[10]

เกียรติประวัติ

อัตเลติโกเดมาดริด

  • แชมป์
    • สเปน ดิวิชัน 2: พ.ศ. 2544-45
    • ไนกี้คัพ ยุโรป ปี 2541 (บอลเยาวชนอายุไม่เกิน 15 ปี)

เชลซี

สเปน

เกียรติประวัติส่วนตัว

  • แชมป์
    • ผู้เล่นที่ยิงประตูสูงสุดไนกี้คัพ 2541

09

    • ผู้เล่นยุโรปยอดเยี่ยม รุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี ปี 2541
    • ผู้เล่นยอดเยี่ยม, ยิงประตูสูงสุด (7 ลูก ใน 6 เกม) ฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี ปี 2544
    • ผู้เล่นยอดเยี่ยม, ยิงประตูสูงสุด (4 ลูก ใน 4 เกม) ฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี ปี 2545
    • ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือนกุมภาพันธ์ ฤดูกาล 2007-2008 พรีเมียร์ลีกอังกฤษ
    • ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือนกันยายน ฤดูกาล 2009-2010 พรีเมียร์ลีกอังกฤษ
    • 1 ใน 11 ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของพรีเมียร์อังกฤษ 2007-2008 2008-2009
    • ประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนเมษายน ปี 2009 พรีเมียร์ลีกอังกฤษ
    • ประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนมีนาคม ปี 2010 พรีเมียร์ลีกอังกฤษ
    • ผู้เล่นที่ยิงประตูสูงสุด (3 ประตู) ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012
    • ผู้เล่นที่ยิงประตูสูงสุด (5 ประตู) ฟุตบอลคอนเฟรเดอเรชั่นคัพ 2013

สถิติ

ผลงานในระดับสโมสร
สโมสร ฤดูกาล ประเทศอังกฤษ พรีเมียร์ลีก เอฟเอคัพ ลีกคัพ ยุโรป รวม
นัด ประตู นัด ประตู นัด ประตู นัด ประตู นัด ประตู
เชลซี 2011-13 36 8 5 2 4 2 16 9 61 21
2011-12 34 6 6 2 1 0 10 3 49 11
2010-11 14 1 0 0 0 0 4 0 18 1
รวม เชลซี 75 14 10 4 5 2 26 9 104 25
ลิเวอร์พูล 2010-11 23 9 1 0 0 0 2 0 26 9
2009-10 22 18 2 0 0 0 8 4 32 22
2008-09 24 14 3 1 2 0 9 2 38 17
2007-08 33 24 1 0 1 3 11 6 46 33
รวม ลิเวอร์พูล 102 65 7 1 3 3 30 12 142 81
สโมสร ฤดูกาล ประเทศสเปน ลาลิกา โกปาเดลเรย์ - ยุโรป รวม
นัด ประตู นัด ประตู นัด ประตู นัด ประตู นัด ประตู
อัตเลติโกเดมาดริด 2006-07 36 14 4 5 - - - - 40 19
2005-06 36 13 4 0 - - - - 40 13
2004-05 38 16 6 2 - - 5 2 49 20
2003-04 35 19 5 2 - - - - 40 21
2002-03 29 13 2 1 - - - - 31 14
(ดิวิชัน 2 สเปน) 2001-02 36 6 1 1 - - - - 37 7
2000-01 4 1 2 0 - - - - 6 1
รวม อัตเลติโกเดมาดริด 214 82 24 7 0 0 5 2 243 91
รวม 391 161 41 12 8 5 61 23 501 201

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 "FIFA World Cup South Africa 2010: List of players" (PDF). FIFA. 4 June 2010. p. 29. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-05-17. สืบค้นเมื่อ 20 April 2014.
  2. "Fernando Torres". Chelsea F.C. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 August 2014. สืบค้นเมื่อ 5 August 2014.
  3. 3.0 3.1 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ ยืม
  4. "The forward thinking that helped bring £20m Torres to Liverpool". Article in The Times. July 4, 2007. {{cite news}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  5. Torres caps a fine display with a hat-trick as Liverpool beat Reading 4-2 in the Carling Cup.http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/league_cup/7008013.stm
  6. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ ตอร์
  7. ""ตอร์" เบิ้ล อเวย์ โกล หมีเจ๊า 2-2 ลิ่ว 8 ทีมโกปาฯ". ผู้จัดการออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 17 January 2015.[ลิงก์เสีย]
  8. "Will Torres be Kop's new God or just another Fernando?". Article on guardian.co.uk. July 4, 2007. สืบค้นเมื่อ July 4. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |accessyear= ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=) (help)
  9. "Liverpool's new Spanish superstar no Spice Boy". Article on liverpooldailypost.co.uk. July 5, 2007. สืบค้นเมื่อ July 5. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |accessyear= ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=) (help)
  10. "Torres tattoos". October 1,2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-13. สืบค้นเมื่อ October 1. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help); ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |accessyear= ถูกละเว้น แนะนำ (|access-date=) (help)

แหล่งข้อมูลอื่น