อัตเลติโกเดมาดริด
ชื่อเต็ม | กลุบอัตเลติโกเดมาดริด | |||
---|---|---|---|---|
ฉายา | Los Colchoneros (The Mattressers) Los Rojiblancos (The Red-and-Whites) ตราหมี (ในภาษาไทย) | |||
ก่อตั้ง | 26 เมษายน 1903 (ในชื่อ Athletic Club de Madrid) 4 ตุลาคม 1939 (ในชื่อ Club Atlético de Madrid) | |||
สนาม | เอสตาดีโอเมโตรโปลีตาโน, มาดริด | |||
ความจุ | 67,703 ที่นั่ง[1] | |||
ประธานสโมสร | เอนริเก เซเรโซ | |||
ผู้จัดการ | ดิเอโก ซิเมโอเน | |||
ลีก | ลาลิกา | |||
2022–23 | ลาลิกา อันดับที่ 3 จาก 20 | |||
เว็บไซต์ | เว็บไซต์สโมสร | |||
| ||||
กลุบอัตเลติโกเดมาดริด (สเปน: Club Atlético de Madrid) เป็นสโมสรฟุตบอลจากกรุงมาดริด ประเทศสเปน เล่นอยู่ในลีกลาลิกา อัตเลติโกเดมาดริดได้ชื่อว่าเป็นสโมสรที่ใหญ่และมีชื่อเสียงมากที่สุดในสามทีมของประเทศสเปน เป็นรองเพียงเรอัลมาดริด และบาร์เซโลนา อัตเลติโกเดมาดริดเคยได้แชมป์ลาลิกา 11 สมัย แชมป์โกปาเดลเรย์ 10 สมัย ซึ่งเคยได้ทั้งสองถ้วยในปี 1996 สโมสรยังเป็นรองแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 3 สมัย และเคยได้แชมป์อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพในปี 1974 ได้แชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก 3 สมัย และได้แชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 3 สมัย แล้วมีเรอัลมาดริดเป็นสโมสรเพื่อนบ้านเดียวกันซึ่งเป็นทีมที่มาจากกรุงมาดริด และสโมสรแห่งนี้เป็นสโมสรที่สร้างนักเตะที่มีชื่อเสียงมากมายและเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกในปัจจุบัน เช่น เฟร์นันโด ตอร์เรส, เดียโก ฟอร์ลัน, เซร์คีโอ อะกูเอโร, ราดาเมล ฟัลกาโอ, อ็องตวน กรีแยซมาน เป็นต้น
ประวัติ
[แก้]ประวัติในการก่อตั้งสโมสร
[แก้]สโมสรก่อตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1903[2] ในชื่อ แอทเลติกคลับเดมาดริด โดยนักศึกษาชาวบาสก์ที่อาศัยอยู่ในกรุงมาดริด ได้ลงเล่นนัดแรกอย่างเป็นทางการในนัดที่เจอกับอัตเลติกเดบิลบาโอ[2][3] ในชุดสีน้ำเงินและสีขาว แต่ต่อมาในปี 1911 สโมสรได้ใช้ชุดในสีแดงและขาวซึ่งเป็นเอกลักษณ์ชุดเหย้าของสโมสรมาจนถึงปัจจุบัน
สโมสรในยุคปัจจุบัน (2000-ปัจจุบัน)
[แก้]ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 อัตเลติโกเดมาดริดเริ่มกลับมาเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการฟุตบอลสเปนอีกครั้ง หลักจากที่ได้แชมป์เซกุนดาดิบิซิออน ในปี 2002 ในยุคที่ ลุยส์ อาราโกเนส ซึ่งทั้งเคยเป็นตำนานของสโมสรและเป็นผู้จัดการทืมคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จกับสโมสรซึ่งเคยคุมสโมสรตั้งแต่ปี 1974 และเขาก็ได้กลับมาคุมทีมอีกครั้งในปีเดียวกัน เขาได้นำอัตเลติโกเดมาดริดขึ้นมาอยู่ในดิวิชันแรก (ลาลิกาในปัจจุบัน) และเป็นคนที่ให้โอกาสเฟร์นันโด ตอร์เรสได้ลงเล่นในลาลิกาครั้งแรกในชีวิตของเขา ซึ่งเป็นนัดที่พบกับสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาที่กัมนอว์ และจบผลด้วยสกอร์ 2-2
ในปี 2006 สโมสรได้เซ็นสัญญากับกอชตินยาและมานีชีนักฟุตบอลชาวโปรตุเกส รวมทั้งเซร์คีโอ อะกูเอโร กองหน้าชาวอาร์เจนตินา
ในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 2007 สโมสรได้ขายตอร์เรสให้กับสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลทีมยักษ์ใหญ่จากอังกฤษ แลกกับจำนวนเงิน 26 ล้านปอนด์ และได้ลุยส์ การ์ซีอาที่ย้ายจากลิเวอร์พูลมาอยู่กับสโมสรแทนโดยการย้ายแบบค่าตัวฟรี แลจากนั้นสโมสรได้เซ็นสัญญากับเดียโก ฟอร์ลัน นักเตะตำแหน่งกองหน้าชาวอุรุกวัย ด้วยจำนวนเงิน 21 ล้านปอนด์จาก สโมสรฟุตบอลบิยาร์เรอัล พร้อมปล่อยตัวมาร์ติน เปตรอฟ นักเตะชาวบัลแกเรียให้กับสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีไป 7 ล้านปอนด์ และได้เซ็นสัญญากับนักเตะชื่อดังชาวโปรตุเกสอย่างซีเมา ซาบรอซา จากสปอร์ลิชบัวอีไบฟีกา และในวันที่ 29 มิถุนายน สโมสรได้เซ็นสัญญากับอันโตนีโอ เรเยส ด้วยค่าตัว 12 ล้านปอนด์
ในเดือน กรกฎาคม ปี ค.ศ. 2007 ทางคณะกรรมการบริหารของสโมสรได้พูดคุยกับเทศบาลกรุงมาดริดในการสร้างสนามเหย้าใหม่คือเอสตาดีโอลาเปย์เนตา ซึ่งจะเปิดใช้งานในปี 2016
ในฤดูกาล 2007-08 สโมสรได้เริ่มประสบความสำเร็จในการแข่งขันของยุโรปมากขึ้น โดยสามารถผ่านเข้ารอบ 32 ทีมสุดท้ายในการแข่งขันยูฟ่าคัพ แต่ก็ต้องแพ้ให้กับสโมสรฟุตบอลโบลตันวันเดอเรอส์ การแข่งขันภายในประเทศในถ้วยโกปาเดลเรย์ก็เข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายและแพ้ต่อสโมสรฟุตบอลบาเลนเซีย และในฤดูกาลนี้สโมสรจบในอันดับที่ 4 และได้สิทธิ์ไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบคัดเลือกฤดูกาลหน้า โดยมีนักเตะตัวหลักและสำคัญมากมายในฤดูกาลนี้ เช่น เซร์คีโอ อะกูเอโร, เดียโก ฟอร์ลัน, ซีเมา ซาบรอซา, มักซี โรดรีเกซ และผู้รักษาประตูอย่างเลโอ ฟรานโก
ต่อมาในฤดูกาล 2008-09 สโมสรได้ลงเล่นแชมเปียนส์ลีกครั้งแรกหลังจากปี 1997 โดยในรอบคัดเลือกรอบที่ 3 เจอกับสโมสรฟุตบอลชัลเคอ 04 จากเยอรมนี ซึ่งรวมผลทั้งสองนัด (เหย้า-เยือน) ชนะไป 4-1 หลังจากนั้นได้เข้ามาอยู่ในรอบแบ่งกลุ่มซึ่งเจอกับสโมสรที่เป็นยักษ์ใหญ่ของแต่ละประเทศทั้งสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล, พีเอสวี ไอน์โฮเฟน, ออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ แต่สโมสรก็สามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้ในฐานะรองแชมป์กลุ่ม แต่ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย สโมสรได้แพ้ให้กับสโมสรฟุตบอลโปร์ตูด้วยกฎประตูทีมเยือน 2-2 จึงทำให้ตกรอบแชมเปียนส์ลีก หลังจากตกรอบแชมเปียนส์ลีก สโมสรได้เสริมทัพด้วยการซื้อนักเตะในช่วงตลาดซื้อ-ขายนักเตะเปิดในช่วงมกราคม ค.ศ. 2009 ด้วยการซื้อเกรกอรี กูแป ผู้รักษาประตูชาวฝรั่งเศส, จอห์น ไฮทิงกา กองหลังชาวดัตช์, โตมาช อุลฟาลูชี เซ็นเตอร์แบ็กตัวรับชาวเช็ก, เปาลู อาซุงเซา กองกลางตัวรับชาวบราซิล, เอเบร์ บาเนกา กองกลางตัวรับชาวอาร์เจนตินาซึ่งยืมตัวมาจากสโมสรฟุตบอลบาเลนเซีย และกองหน้าชาวฝรั่งเศสอย่างฟลอร็อง ซีนามา ปงกอล
ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 คาเบียร์ อากีร์เร ได้ขอลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีมของสโมสร หลังจากการเริ่มต้นในปี 2009 ด้วยการนำสโมสรชนะ 6 เกม โดยเขาอ้างว่าไม่ได้มีกรณีหรือเหตุการณ์ใด ๆ กับสโมสร ซึ่งในสื่อข่าวได้นำเสนอว่าเขาถูกยกเลิกสัญญามากกว่าการไล่ออก[4] หลังจากนั้นแฟนบอลของสโมสรได้ออกมาประท้วงและโต้แย้งจากการลาออกของอากีร์เร โดยพวกเขาเชื่อว่าอากีร์เรไม่ได้เป็นปัญหาอะไรสำหรับสโมสรทั้งสิ้น
เอสตาดิโอเมโตรโปลิตาโน
[แก้]เอสตาดิโอเมโตรโปลิตาโน เดิมมีชื่อว่า สนามกีฬาแคว้นมาดริด เริ่มก่อสร้างเมื่อ ปี ค.ศ.1990 ในฐานะส่วนหนึ่งของแผนการเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน กรีฑาชิงแชมป์โลก 1997 แต่ไม่ได้รับเลือก ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 4 ปีจึงเสร็จและเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 กันยายน 1994 โดยมีความจุ 20,000 ที่นั่ง ต่อมาสนามถูกปิดเพื่อปรับปรุงสำหรับรองรับการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก 2016 แต่กรุงมาดริดก็ไม่ได้รับเลือกอีกเช่นกัน ในปี 2013 อัตเลติโกเดมาดริดได้ซื้อและเข้าปรับปรุงสนามโดยขยายความจุเป็น 66,703 ที่นั่ง และลงเล่นนัดแรกเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2017 สนามแห่งนี้จะเป็นสถานที่จัดการแข่งขันฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกฤดูกาล 2018–2019 รอบชิงชนะเลิศ
เกียรติประวัติ
[แก้]ระดับประเทศ
[แก้]- ลาลิกา
- ชนะเลิศ (11): 1939–40, 1940–41, 1949–50, 1950–51, 1965–66, 1969–70, 1972–73, 1976–77, 1995–96, 2013–14, 2020–21
- โกปาเดลเรย์
- ชนะเลิศ (10):1960, 1961, 1965, 1972, 1976, 1985, 1991, 1992, 1996, 2013
- ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา
- ชนะเลิศ (2): 1985, 2014
- โกปาเดกัมเปโอเนสเดเอสปัญญา
- ชนะเลิศ (1): 1940[5]
- โกปาเอบาดัวร์เต
- ชนะเลิศ (1): 1951[6]
- โกปาเปรซีเดนเตเอเฟเอเอเฟ
- ชนะเลิศ (1): 1947
- เซกุนดาดิบิซิออน
- ชนะเลิศ (1): 2001–02
ระดับทวีปยุโรป
[แก้]- ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
- ยูฟ่ายูโรปาลีก
- ชนะเลิศ (3): 2009–10, 2011–12, 2017–18
- ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ
- ชนะเลิศ (1): 1961–62
- รองชนะเลิศ (2): 1962–63, 1985–86
- ยูฟ่าซูเปอร์คัพ
- ชนะเลิศ (3): 2010, 2012, 2018
- ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ
- ชนะเลิศ (1): 2007[7]
- รองชนะเลิศ (1): 2004
- ไอบีเรียนคัพ
- ชนะเลิศ (1): 1991
ระดับโลก
[แก้]- อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ
- ชนะเลิศ (1): 1974
ผู้เล่น
[แก้]ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
[แก้]หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
|
ผู้เล่นที่ถูกยืมตัว
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ http://stadiumdb.com/constructions/esp/estadio_la_peineta
- ↑ 2.0 2.1 "Classic club". FIFA. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-09-06. สืบค้นเมื่อ 20 November 2010.
- ↑ "Atletico Madrid History". Atleticomadrid.azplayers. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-07-07. สืบค้นเมื่อ 20 November 2010.
- ↑ Javier Aguirre Walks Away From Atletico เก็บถาวร 2011-10-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. TheOriginalWinger.com (3 February 2009). Retrieved 20 November 2010.
- ↑ es:Copa de Campeones de España. "The first Supercopa de España". See: es:Precedentes de la Supercopa de España de fútbol.
- ↑ The Copa Eva Duarte was only recognized and organized with that name by the RFEF from 1947 until 1953, and therefore Atlético Madrid's "Copa de Campeones" win of 1940 is not included in this count.
- ↑ UEFA.com. please see: UEFA club competition honours: Winners in 2007 and runners-up in 2004. Retrieved on 2011-02-12.
- ↑ "Primer Equipo" [First team] (ภาษาสเปน). Atlético Madrid. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-11-04. สืบค้นเมื่อ 3 February 2016.
- ↑ "Club Atlético de Madrid - Effectif". uefa.com.
- ↑ "Club Atlético de Madrid SAD - Plantilla". laliga.es.