ข้ามไปเนื้อหา

มณฑลปัตตานี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มณฑลปัตตานี
มณฑลเทศาภิบาล
พ.ศ. 2449 - พ.ศ. 2475
ธงประจำกองลูกเสือมณฑลปัตตานี
(พ.ศ. 2469 - พ.ศ. 2475)

เมืองหลวงปัตตานี
การปกครอง
  ประเภทสมุหเทศาภิบาลต่างพระเนตรพระกรรณ
สมุหเทศาภิบาล 
 พ.ศ. 2449–2466
พระยาศักดิ์เสนี (หนา บุนนาค) (คนแรก)
 พ.ศ. 2466–2468
หม่อมเจ้าสฤษดิเดช ชยางกูร
 พ.ศ. 2469–2475
พระยาอุดมพงศ์เพ็ญสวัสดิ์ (หม่อมราชวงศ์ประยูร อิศรศักดิ์) (คนสุดท้าย)
ยุคทางประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์
 จัดตั้ง
27 กรกฎาคม พ.ศ. 2449
 เป็นส่วนหนึ่งของมณฑลภาคปักษ์ใต้
29 มีนาคม พ.ศ. 2459 – 31 มีนาคม พ.ศ. 2469
1 เมษายน พ.ศ. 2475
ก่อนหน้า
ถัดไป
เมืองปัตตานี
เมืองยะลา
เมืองสายบุรี
เมืองยะหริ่ง
เมืองหนองจิก
เมืองรามัน
เมืองระแงะ
มณฑลนครศรีธรรมราช
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ ไทย

มณฑลปัตตานี เป็นมณฑลที่จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2449 ประกอบด้วย 7 หัวเมือง ได้แก่ เมืองปัตตานี, เมืองยะหริ่ง, เมืองสายบุรี, เมืองหนองจิก, เมืองระแงะ, เมืองรามันห์, และเมืองยะลา ปัจจุบันคือ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อันประกอบด้วย จังหวัดปัตตานี จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดยะลา

ภูมิหลัง

[แก้]

ในอดีตความสัมพันธ์ระหว่างปัตตานีกับสยามเป็นแบบประเทศราชกับราชธานี อยู่ในความสัมพันธ์แบบหละหลวมตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งการมีอำนาจ หากสยามมีอำนาจที่จะปราบปรามและปกป้องได้ ปัตตานีก็พร้อมจะเป็นประเทศราชของสยาม แต่หากสยามมีภัยคุกคาม ปัตตานีก็ถือโอกาสแยกตัวเป็นอิสระทันที[1] ในช่วงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีการแบ่งปัตตานีเป็น 7 หัวเมือง เพื่อต้องการตัดกำลังปัตตานีให้อ่อนลง[2] โดยสยามใช้วิธีผ่อนสั้นผ่อนยาว ปล่อยให้เจ้าเมืองมีความอิสระในการปกครองภายใน แต่ถึงกระนั้นแล้วก็พบว่าเจ้าเมืองใช้อำนาจกันอย่างไม่เป็นธรรม เก็บผลประโยชน์จากภาษีอากรเอง โดยไม่ได้ส่งส่วย ส่งแต่เพียงต้นไม้เงินต้นไม้ทองเท่านั้น[3] อีกทั้งมีภัยจากมหาอำนาจตะวันตกที่เริ่มประชิดชายแดนตั้งแต่ พ.ศ. 2329

จนในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2445 พระยาแขกเจ้าเมือง ตานี ยะหริ่ง สายบุรี ระแงะ รามันห์ ยะลา และหนองจิก คบคิดขบถรัฐบาลต้องใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามจนระงับเหตุได้[4] ต่อมาจึงได้มีการยกเลิกระบบกินเมืองและตั้งมณฑลเทศาภิบาลซึ่งเป็นการดึงอำนาจของหัวเมืองต่าง ๆ เข้าสู่ศูนย์กลาง[5] จัดตั้งมณฑลปัตตานีเมื่อ พ.ศ. 2449 มีเมืองใหญ่น้อยรวมกัน 7 เมือง คือ ปัตตานี ยะลา ยะหริ่ง ระแงะ ราห์มัน สายบุรี และหนองจิก ให้พระยาศักดิ์เสนี (หนา) ดำรงตำแหน่งเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลปัตตานี[6]

พ.ศ. 2474 มณฑลปัตตานีได้รวมเข้ากับมณฑลนครศรีธรรมราช[7]

การปฏิรูป

[แก้]

หลังจากจัดตั้งเป็นมณฑลปัตตานีโดยสมบูรณ์ ได้ยุบหัวเมืองทั้ง 7 เหลือเพียง 4 เมือง คือยุบเมืองหนองจิกและยะหริ่ง เข้ากับเมืองปัตตานี ยุบรวมเมืองราห์มันเข้ากับยะละรวมเรียกยะลา ส่วนระแงะกับสายบุรี คงไว้เช่นเดิม กระทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป สอดคล้องกับนโยบายยกเลิกระบบเจ้าเมือง โดยอาศัยช่วงที่เจ้าเมืองคนใดคนหนึ่งถึงแก่อสัญกรรมแล้วไม่แต่งตั้งคนใหม่ทดแทน แต่มีการโยกย้ายยุบรวมตามความเหมาะสม ต่อมายุบเมืองระแงะเข้ากับบางนรา แล้วเปลี่ยนชื่อบางนราเป็นเมืองนราธิวาส เมื่อ พ.ศ 2458 ปีต่อมา พ.ศ. 2459 โปรดให้เรียกทุกเมืองที่เหลืออยู่เป็นจังหวัด มณฑลปัตตานีตอนนั้นจึงประกอบด้วย 4 จังหวัด คือ จังหวัดปัตตานี จังหวัดนราธิวาส จังหวัดยะลา และ จังหวัดสายบุรี จนกระทั่งปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2474 เมื่อมีการประกาศยุบเลิกมณฑลปัตตานี ได้ลดฐานะจังหวัดสายบุรีเป็นอำเภอสายบุรีเข้ารวมกับจังหวัดปัตตานีและลดฐานะจังหวัดระแงะเป็นอำเภอระแงะเข้ารวมกับจังหวัดนราธิวาสตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา[8]

มณฑลปัตตานีแตกต่างจากมณฑลทั่วไป คือ ประกอบด้วยราษฎรหลากหลายเชื้อชาติ ภาษา ขนบธรรมเนียมและศาสนา จึงมีการผ่อนผันเป็นพิเศษให้สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น เช่น ผ่อนผันให้เกณฑ์ชายฉกรรจ์เป็นตำรวจภูธรแทนการเกณฑ์เป็นทหาร เนื่องจากชาวมุสลิมไม่พอใจในการเกณฑ์เป็นทหาร ได้มีการจัดตั้งศาลเป็น 2 ศาล คือ ศาลทั่วไปและศาลสำหรับการพิจารณาคดีศาสนาอิสลาม รัฐบาลยังประกาศยกเว้นการเก็บภาษีบางอย่าง เช่น ภาษีค่านา ค่าราชการ และสรรพภาษีภายใน[9]

อ้างอิง

[แก้]
  1. มณฑลเทศาภิบาล : วิเคราะห์เปรียบเทียบ, 350.
  2. สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ. "คำนำพงศาวดารเมืองปัตตานี". 4.
  3. มณฑลเทศาภิบาล : วิเคราะห์เปรียบเทียบ, 356.
  4. "กรณีเจ้าแขกเจ็ดหัวเมือง การเริ่มต้นความจริงเกี่ยวกับปัตตานี ด้วยประวัติศาสตร์แห่งการลวง". ศิลปวัฒนธรรม.
  5. ปิยดา ชลวร. "ส่วย ภาษีและผลประโยชน์ของเจ้าเมืองปัตตานี" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2021-08-28. สืบค้นเมื่อ 2021-08-28.
  6. "ภูมิศาสตร์มณฑลปัตตานี" (PDF).
  7. "ยุบรวมพื้นที่บางมณฑลและบางจังหวัด" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2008-04-09. สืบค้นเมื่อ 2021-08-28.
  8. มณฑลเทศาภิบาล : วิเคราะห์เปรียบเทียบ, 377.
  9. มณฑลเทศาภิบาล : วิเคราะห์เปรียบเทียบ, 379.

บรรณานุกรม

[แก้]